หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 4
บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต
หน้าตำหนักของเจ้าจอมเพ็ญตอนเย็น
เจ้าจอมเพ็ญ พระยาพลเทพ จมื่นศรีสรรักษ์ และขุนแผลงฤทธิ์ กำลังคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ห้องหนึ่งในตำหนักของเจ้าจอมเพ็ญ
พระยาพลเทพโมโห
"ผู้หญิงคนเดียวก็เอาตัวมาไม่ได้ คนของฉันไร้ความสามารถถึงเพียงนี้เชียวรึ"
จมื่นศรีสรรักษ์ และขุนแผลงฤทธิ์ กระอักกระอ่วนมาก เพราะพลาดอย่างไม่น่าพลาดจริงๆ
จมื่นศรีสรรักษ์กระอักกระอ่วนบอก
"ก็เพราะผู้หญิงคนเดียวนี่ล่ะท่านเจ้าคุณ พวกกระผมจึงไม่ได้เตรียมการกระไรมาก ใครเล่าจะรู้ ว่าจะมีคนมีฝีมือมาช่วยมันออกไป"
พระยาพลเทพชักสีหน้าหงุดหงิด หันไปพูดกับขุนแผลงฤทธิ์
"ดูจากเพลงดาบแล้ว มันเป็นพวกใดกัน"
ขุนแผลงฤทธิ์คิดทบทวน
"มิทราบเลยขอรับ ฝีมือมันเข้าขั้นอยู่ แต่ทางดาบสับสนเหมือนไม่ได้ฝึกจากอาจารย์อย่างถูกต้อง หากให้กระผมเดา น่าจะเป็นพวกโจรที่รับคำสั่งมามากกว่า"
พระยาพลเทพใช้ความคิดหนัก ว่าเป็นพวกไหนกันแน่
"ป่วยการที่จะมาคาดเดาว่าเป็นพวกใด รู้แต่เพียงว่าเรามีศัตรูเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ซึ่งมิใช่คนของเจ้าคุณสีหะราชเดชะก็พอ" เจ้าจอมเพ็ญบอก
จมื่นศรีสรรักษ์แปลกใจ
"คุณพี่รู้ได้อย่างไรขอรับ"
"ถ้าเป็นคนของเจ้าคุณสีหะราชเดชะที่เหลือรอดอยู่ ย่อมต้องรู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นกระไร หากไม่ชิงตัดหน้า ก็ต้องรอจนเจ้าได้ของมาแล้วค่อยแย่งชิงอีกทีก็ไม่สาย มีหรือจะแค่ช่วยนังหญิงคนนั้นให้หนีไปเท่านั้น แสดงว่าอ้ายพวกนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าของสิ่งนั้นเป็นกระไร"
พระยาพลเทพพยักหน้าช้าๆ ยิ้มรับ
"เจ้าจอมท่านช่างมีปัญญานัก คู่ควรที่จะเป็นแม่หยั่วเมืองในภายภาคหน้าจริงๆ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้ม เป็นสิ่งที่ตนคาดหวังมาตลอดอยู่แล้ว
พระยาพลเทพหันไปพูดกับจมื่นศรีสรรักษ์ ขุนแผลงฤทธิ์
"ถ้าข้าคาดไม่ผิด พวกมันคงคิดเล่นงานเราแต่ไม่มีโอกาส แต่เพราะการไล่ล่าเจ้าคุณสีหะราชเดชะของพวกเจ้าเป็นที่เอิกเกริก พวกมันจึงสงสัย แลลอบจับตาอยู่ พอเห็นพวกเจ้าจับตัวนังหญิงคนนั้น จึงต้องออกมาช่วย ด้วยคิดว่านังหญิงนั่นคงรู้เรื่องกระไรบางอย่าง แต่คงคิดไปไม่ถึงหนังสือลับของพวกเราดอก"
"ถ้าเช่นนั้น ให้กระผมฆ่านังลูกสาวเศรษฐีนั่นดีหรือไม่ขอรับ จะได้ตัดไฟเสียแต่ต้นลม"
เจ้าจอมเพ็ญรีบขัด
"ไม่ได้ เท่าที่คนของข้าสืบมา นังเด็กนั่นเป็นที่โปรดปรานของกรมขุนวิมลนัก ถึงขนาดทรงประทานพระนามของ พระองค์เองให้ใช้ หากเราฆ่ามัน จะมีเรื่องยุ่งยากตามมาอีกมาก อีกประการ เรายังไม่รู้แน่ว่าของอยู่ที่มันจริงหรือไม่ ข้าไม่อยากตีป่าให้เสือตื่น สู้อดทนรออีกสักพักจะดีกว่า"
จมื่นศรีสรรักษ์งงๆ
"รอกระไรหรือขอรับ"
เจ้าจอมเพ็ญลูบท้องตัวเองเบาๆอย่างมีความสุข
"ก็รอหน่อพระพุทธเจ้าในท้องของข้าน่ะซี"
" นี่คุณพี่ตั้งครรภ์แล้วหรือขอรับ"
พระยาพลเทพ และขุนแผลงฤทธิ์ จมื่นศรีสรรักษ์ต่างดีอกดีใจ เพราะเป็นสิ่งที่พวกตนรอมานาน
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มมั่นใจ
"ขรัวเถื่อนผู้นั้นช่างเก่งกาจนัก ข้าทำตามที่บอกไม่ทันไร ก็ได้ทุกอย่างสมใจ อีกไม่นาน ข้าก็จะได้เป็นแม่หยั่วเมือง ถึงตอนนั้นต่อให้มีหนังสือลับมากางตรงหน้า ข้าก็หากลัวไม่"
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเชิดคอตั้งบ่า ยิ้มผยอง
กระท่อมร้างปลายนาหลังหนึ่งตอนกลางคืน ภายในกระท่อมมืดสนิท แต่แล้วจู่ๆ
ก็มีแสงไฟออกมาจากในกระท่อม
พันหาญเป็นคนจุดเทียนไข เพื่อคุยกับขันทอง
ขันทองแต่งชุดรัดกุม ไม่ได้ใส่ชุดขันทีตามหน้าที่
"ทำกันถึงขนาดนี้ มิต้องสงสัยเลย มันเป็นเรื่องสำคัญแน่ แต่พ่อขันทองรู้ได้อย่างไร ว่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราอยากรู้"
ขันทองหน้าขรึมลง
"ฉันไม่รู้ดอกจ้ะ แต่เป็นเบาะแสเดียวที่เรามีตอนนี้ ฉันจึงไม่อยากจะทิ้งไป แลหากไม่เกี่ยวข้องกัน ก็ถือเสียว่า น้าพันหาญได้ทำบุญช่วยชีวิตคนก็แล้วกัน"
พันหาญหัวเราะขำๆ
"พูดเรื่องบุญเรื่องกุศลแล้ว น้าตะครั่นตะครอบอกไม่ถูก แค่ต้องเปลี่ยนจากโจรมารับราชการเป็นหัวพัน ก็สมเพชตัวเองเหลือเกินแล้ว"
ขันทองยิ้มขำๆ
"น้าทำเพื่อพ่อฉันนี่จ๊ะ ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่ต้องฝืนใจเช่นนี้" แล้วนึกขึ้นได้ "น้าพันหาญจ๊ะ แล้วคนที่ว่าจ้างเรา ว่าอย่างไรบ้างจ๊ะ"
"เหมือนเดิม น้ามีข่าวกระไรก็ส่งไปให้ ทางฝ่ายนั้นก็ให้คนเอาเบี้ยมาให้มิได้ขาด" แล้วก็นึกแปลกใจ "แต่จนแล้วจนรอด น้าก็ไม่รู้เสียทีว่าผู้ใดกันแน่ที่ว่าจ้างเรา ช่างลึกลับนัก"
ขันทองท่าทางกลุ้มใจมาก
"ฉันเองก็หนักใจเรื่องนี้เหลือเกิน แต่ถ้าไม่ได้คนผู้นี้ เราก็คงแฝงตัวเข้ามาไม่ได้ แต่จนป่านฉะนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าเราทำงานให้ใคร"
"ถึงไม่รู้ตัวตน แต่เค้าก็เพียงแต่จ้างให้เราหาตัวคนทุรยศบ้านเมืองออกมา คงมิใช่คนชั่วร้ายกระไรดอก เออ แล้วทางพ่อขันทองกับอ้ายแน่นเป็นอย่างไรบ้าง"
"ฉันไม่เป็นกระไรดอกจ้ะ แต่อ้ายแน่น" ขันทองหนักใจแทนเพื่อน "ดีที่ปู่มันเป็นฝาหรั่ง หน้าตามันบอกว่าเป็นแขก
ขาว คนจึงไม่สงสัย แต่กิริยาท่าทางก็ยังแปลกแปร่งจากขันทีคนอื่นอยู่ ฉันกลัวเหลือเกิน ว่าสักวันอ้ายแน่นจะพลาด"
สีหน้าขันทองมีแววกังวล
ใกล้เช้า ขันทองในชุดขันทีเดินกลับเข้าเรือนมา แต่ขณะนั้นเอง เยื้อนก็ถือตะเกียงเดินสวนออกมาจากในเรือน
เยื้อนคุกเข่า
"ออกหลวงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ยินเสียงเลย ขอประทานโทษด้วยเจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มรับ
"ไม่เป็นกระไรดอก ฉันตื่นเอากลางดึก แลนอนไม่หลับอีก เลยออกเดินตรวจตราโดยรอบ จะโทษเจ้าได้อย่างไร"
เยื้อนยิ้มปลื้ม ขันทองรูปงามแล้วยังใจดีอีกต่างหาก
"ออกหลวงจะกลับไปนอนต่อ หรือจะล้างหน้าล้างตาเลยเจ้าคะ บ่าวจะได้ ไปจัดเตรียมให้"
ขันทองยิ้มแย้ม
" มิต้องลำบากเจ้าดอก อยู่กันสองคน ฉันทำเองได้"
"ไม่ได้เจ้าค่ะ ออกหลวงดีกับบ่าวนัก หากไม่ได้ออกหลวงช่วยไว้ บ่าวคงตายไปแล้ว บ่าวตั้งใจว่าชาตินี้จะขอรับใช้ออก หลวงจนกว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ"
ขันทองยิ้มรับ แต่ไม่ทันพูดอะไร พระราชาข่านก็เดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดสุดๆ
ขันทองยกมือไหว้
" ออกพระมาแต่ยังไม่รุ่งสาง มีกระไรหรือขอรับ"
ราชาข่านเครียดหนัก ตะคอก
"ไปอยู่ที่ใดมาถึงไม่รู้ ออกญาวังจับตัวคนปลอมเป็นขันทีได้ มีคำสั่งเรียกขันทีทุกคน ให้มาประชุม
พร้อมหน้ากันบัดเดี๋ยวนี้"
ขันทองตกใจหน้าซีดเผือด หรือว่าแน่นจะถูกจับได้แล้ว
บริเวณสาลาในวัง ศพขันทีคนหนึ่ง นอนตายอยู่บนพื้น
พระยากำแหงกำลังยืนอยู่หลังศพ และกวาดตามองขันทอง แน่น พระราชาข่าน ศรีมะโนราช เทพชำนาญ เทพรักษา รักษ์เทวา และขันทีคนอื่นๆด้วยสายตากราดเกรี้ยวดุดัน
เจ้าคุณหน้าตาถมึงทึง " มากันครบแล้วรึออกพระ"
ราชาข่านไอโขลก "ครบแล้วเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ขันทีในวังมีเพียงเท่านี้"
พระยากำแหงชี้ไปที่คนที่นอนตาย
"ออกพระท่านรู้จักอ้ายคนนี้หรือไม่"
ราชาข่านมองตาม
"ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าค่ะ แต่ชุดที่ใส่เป็นชุดของขันทีในราชสำนักจริง"
"มันเป็นขันทีปลอม ฉันจับได้เมื่อคืนนี้ แต่ไม่ทันไต่สวนทวนความ มันก็ชิงดื่มยาพิษฆ่าตัวตายไปเสียก่อน" พระยากำแหงบอกเสียงดุ พูดต่อ "แต่ที่ฉันอยากรู้ คือมันหลบเข้ามาอยู่ในวังได้อย่างไร และมีใครสมรู้ร่วมคิดกับมันบ้าง"
ทุกคนพากันหน้าเครียดไปหมด ต่างคนต่างกลัว
ขันทอง และแน่น ขันทองยังมีสีหน้าเรียบเฉย แต่แน่นกลัวจนหลบสายตา
ขันทองเอื้อมมือไปสะกิดแน่น เตือนอย่าให้มีพิรุธ แน่นก็พยายามเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็มีท่าทางกลัวจนเห็นได้ชัดอยู่ดี
"ท่านเจ้าคุณสงสัย ว่าจะมีหนึ่งในพวกเราพามันเข้ามากระนั้นหรือ" หลวงศรีมะโนราชบอก
"ฉันไม่ควรสงสัยรึ ที่ผ่านมา คนที่แอบพาผู้ชายเข้ามาในวังมากที่สุด ก็คือพวกขันที" พระยากำแหงหันไปพูดกับพระราชาข่าน "จริงหรือไม่ออกพระ"
ราชาข่านนิ่งๆไม่ให้เป็นพิรุธ ระหว่างพูดมีไอโขลกเป็นระยะ
"จริงเจ้าค่ะ นับแต่ที่ดีฉันขึ้นมาเป็นหัวหน้าของขันที ก็สามครั้ง ทุกครั้งลงเอยด้วยการตัดหัวทั้งสิ้น"
ทุกคนได้ฟังยิ่งเครียดกันเข้าไปใหญ่
ขุนเทพชำนาญเครียดหนัก
"ดีฉันยอมรับว่ามีพวกเราบางคนกระทำความผิดจริง แต่ชายที่นำเข้ามาก็เป็นแต่พวกลูกสวาทที่เราเอาเข้ามาเชยชม ไม่เคยมีใครคิดคด นำจารบุรุษเข้ามาดอกเจ้าค่ะ"
พระยากำแหงระแวง
" ฉันพูดสักคำแล้วรึ ว่าคนที่ตายเป็นจารบุรุษ"
ขุนเทพชำนาญหน้าเสีย ยิ่งซวยหนักกว่าเดิม
ศรีมะโนราชรีบช่วยแก้
"อ้ายคนนี้มันดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย ถ้าไม่ใช่จารบุรุษแล้วจะเป็นกระไร พวกลูกสวาทไม่กล้าฆ่าตัวตายดอกเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณก็ระแวงพวกดีฉันเกินไปเสียแล้ว"
ขุนเทพรักษาบอก
"เช่นนี้เถิดเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านเจ้าคุณค้นที่พักพวกเราทุกคนจนกว่าจะสิ้นสงสัย จะได้สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย ดีหรือไม่เจ้าคะ"
"ข้อนั้นฉันต้องทำอยู่แล้ว แต่เพียงเท่านี้ยังไม่พอดอก" แล้วหันไปพูดกับพระราชาข่าน "ออกพระท่าน เพลาที่รับขันทีเข้ามา มีกฎระเบียบเช่นใดบ้าง"
" หากมีความจำเป็น ต้องรับขันทีเพิ่ม เราก็จะส่งคนไปขอซื้อเจ้าค่ะ โดยส่วนมาก ขันทีจะเป็นชาวโต้ระกี่ แต่ก็มีบ้างที่เป็นพวกจามหรือชาวจีน แต่ขันทีโต้ระกี่จะได้รับการฝึกฝนดีกว่า รู้ขนบธรรมเนียมแลพูดภาษาไทได้ ซึ่งทางเมืองโต้ระกี่จะคัดเลือกคนที่เหมาะสมส่งมาให้ ดีฉันก็จะเป็นคนออกไปรับเจ้าค่ะ"
"ได้มีการตรวจดูหรือไม่ ว่าเป็นขันทีจริง"
"ทางโต้ระกี่จะมีหนังสือยืนยันมาเป็นภาษาโต้ระกี่เจ้าค่ะ หากมีหนังสือนี้ ก็เชื่อได้ว่าจริง"
พระยากำแหงพยักหน้ารับ
"ก็รอบคอบดี แต่หากฉันเป็นจารบุรุษ ก็คงต้องปลอมตัวเข้ามาตอนนี้ล่ะ มิแน่ ว่าอาจจะดักฆ่าขันทีจริงแล้วสวมรอยก็เป็นได้"
ขันทองและ แน่นลอบสบตากัน ขันทองยังนิ่งๆ แต่แน่นเครียดหนักมาก
พระยากำแหงพูดกับทุกคน
"เพื่อความรอบคอบ นอกจากจะตรวจดูว่ามีใครแอบนำคนภายนอกเข้ามาหรือไม่ ฉันคงต้องขอตรวจความเป็นชายของทุกคนด้วยเสียเลย"
ขันทองและแน่นชะงักไป แต่ทั้งคู่พยายามเก็บอาการเอาไว้
พระยากำแพงกวาดตามองขันทีทุกคนเรียงตัวอย่างจับพิรุธ
ขันทีทุกคนสู้ตาอย่างบอกว่าไม่ใช่ตนแน่ๆ มีแต่แน่นที่กลืนน้ำลายคงคออึกใหญ่
ขันทองเก็บอาการซ่อนพิรุธได้อย่างยอดเยี่ยม แต่แน่นแม้ในใจจะกลัวมากแต่ก็ยังเก็บอาการอยู่ไม่ออกพิรุธจนผิดสังเกต
พระกำแหงหน้านิ่งเอาจริง "จะได้ไม่ต้องระแวงกันอีกต่อไป"
ขันทองหน้านิ่ง ใช้ความคิดว่าคราวนี้จะเอาตัวรอดได้ยังไง
ต่อมา ขันทอง และแน่น เดินกลับเข้ามาในเรือน โดยมีเยื้อนเป็นคนไปต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
"สำรับเช้าจัดเสร็จแล้ว ออกหลวงจะรับเลยหรือไม่เจ้าคะ"
ขันทองหน้าเครียด "ฉันยังไม่รับ เจ้าไปเฝ้าอยู่หน้าเรือนที อย่าให้ใครเข้ามา"
เยื้อนแปลกใจ "มีกระไรหรือเจ้าคะ"
"ทำตามที่ฉันบอกเถิด"
เยื้อนรู้ว่าขันทองมีเรื่องสำคัญ ไม่อยากให้ตนได้ยินแน่ๆ " เจ้าค่ะ"
เยื้อนเดินลงจากเรือนไป
" หนีกันเถิดวะ ใช้ทางท่อน้ำของเอ็ง หนีไปข้างนอก แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า" แน่นบอก
" เราเพิ่งจะได้เบาะแส ถ้าหนีกันตอนนี้ ที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า แลจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว"
"แต่ถ้าเอ็งไม่หนี เอ็งก็ต้องถูกกุดหัว ไม่มีโอกาสกระไรเหลือทั้งนั้นล่ะวะ"
ขันทองลังเลเพราะแน่นพูดถูก แต่ตนก็ไม่อยากเสียโอกาสสำคัญไปเหมือนกัน
ห้องหนึ่งในวัง
บรรดาขันทีทั้งหลายเข้าแถวกัน เพื่อให้พระยากำแหงตรวจอวัยวะเพศว่าผ่านการตอนหรือยัง โดยพระยากำแหงให้มีฉากบังตาขนาดใหญ่กั้นไว้ คนที่จะตรวจก็เดินเข้าไปในฉาก พอตรวจเสร็จก็เดินออกไปรอข้างนอก
หลวงศรีมะโนราชเดินเข้าไปในฉากบังตา
ปลายขาหลวงศรีมะโนราช เห็นว่ากางเกงถูกถอดลงมากองที่พื้น
พระยากำแหงมองดูว่าตอนแล้ว ก็พยักหน้า
หลวงศรีมะโนราชสวมกางเกงด้วยสีหน้าหงุดหงิด ไม่ชอบที่ถูกทำแบบนี้แต่ก็ไม่มีทางเลือก
ก่อนจะออกจากฉากบังตาไป
ผ่านขันทีคนแล้วคนเล่า จนมาถึงขุนรักษ์เทวาเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ที่ดูกระเง้ากระงอด
"ท่านเจ้าคุณเจ้าขา แก้ผ้าต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้ดีฉันไม่เคย เราไปตรวจตรากันสองคนไม่ได้หรือเจ้าคะ" แล้วพลางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้
"ไม่ได้ เร็วเข้าเถิดท่านขุน ฉันต้องตามไปตรวจค้นที่เรือนอีก"
รักษ์เทวาทิ้งค้อนเล็กน้อย ก่อนจะปลดกางเกงให้พระยากำแหงตรวจ
พระยากำแหงมองดูแล้วพยักหน้า
ขุนรักษ์เทวาเสียดาย
"ดูแค่นี้ก็พอหรือเจ้าคะ ไม่ตรวจตรา ตรวจค้น ตรวจจับ เพื่อความแน่ใจสักหน่อยหรือเจ้าคะ เอาให้ละเอียดๆเลยก็ได้นะ เจ้าคะ"
พระยากำแหงหน้าหงิก "ไม่ต้อง เพียงเท่านี้ก็เกินพอแล้ว"
ขุนรักษ์เทวาไม่ได้ดั่งใจ ถอนใจกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย หยิบกางเกงขึ้นมาใส่
พระยากำแหงรีบเดินออกมาจากฉากบังตา มองไปรอบๆ
"ใครยังไม่ได้ตรวจความเป็นชาย เมื่อครู่ ฉันนับดูแล้วยังไม่ครบ"
ทุกคนพากันมองไปรอบๆ
ขุนเทพรักษาฉุกคิดขึ้น
"หลวงศรีขันทิน กับขุนจิตใจภักดิ์ไม่อยู่นี่"
"หายไปแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อครู่ยังเห็นอยู่เลย" ขุนรักษ์เทวาบอก
หลวงศรีมะโนราชรีบฉวยโอกาสทันที
"ท่าไม่ดีแล้วเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ดีฉันว่าเป็นพิรุธอยู่นะเจ้าคะ จู่ๆก็มาหายไปเช่นนี้"
พระยากำแหงรีบเดินออกจากห้องทันที โดยมีพวกทหารตามไป
หลวงศรีมะโนราชมองตามแล้วยิ้มสะใจ ถ้าขันทองผิดจริงก็เข้าทางตนพอดี
ในเรือน ขันทองหยิบมีดเหน็บไว้ที่เอว แล้วใช้เสื้อปิดไว้ เผื่อฉุกเฉินต้องใช้ป้องกันตัว
แน่นเดินออกมาจากข้างใน เครียดมาก
"ข้าสวมชุดทับไว้ข้างในแล้ว จะเอาอย่างไรต่อ"
"ตามข้ามา"
ขันทองเดินนำแน่นลงจากเรือน พอลงมาก็เห็นเยื้อนกำลังใช้กระบวยรดน้ำต้นไม้รอบๆอยู่
"ออกหลวงจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ"
ขันทองไม่ทันตอบ พระยากำแหงก็คุมทหารจำนวนหนึ่งตรงเข้ามา
แน่นเหลือบไปเห็นเข้า ตกใจสุดๆ "ไม่ทันแล้ว"
แน่นจะหนี แต่ขันทองรีบจับแขนแน่นไว้ ถ้าหนีก็เท่ากับยอมรับ เผชิญหน้ายังอาจพอพลิกสถานการณ์ได้
พระยากำแหงตรงเข้ามา ทหารรีบกระจายกำลังกันล้อมขันทอง และแน่น ไว้ทันที
กำแหงหน้าตาถมึงทึง
"จะรีบไปที่ใดหรือคุณหลวง"
ขันทองทำหน้าตาย
"ไม่ได้ไปที่ใดนี่เจ้าคะ ดีฉันเห็นว่าท่านเจ้าคุณจะมาตรวจเรือน จึงกลับมาทำความสะอาดเรือนให้เรียบร้อยเท่านั้นเองเจ้าค่ะ"
" ก็ดี ถ้ากระนั้นฉันก็คงต้องขอตรวจเรือน แลขอตรวจความเป็นชายของคุณหลวงกับท่านขุนเสียประเดี๋ยวนี้เลย"
แน่นหน้าซีดเผือด หมดทางรอดแล้ว
ขันทองแกล้งตกใจ
"ที่นี่หรือเจ้าคะ" แล้วมองไปทางเยื้อน "บ่าวของดีฉันก็อยู่แลเป็นบ่าวหญิงอีกด้วย มันจะไม่งามนะเจ้าคะ"
"คุณหลวงก็รู้ ว่าฉันไม่ประเจิดประเจ้ออย่างนั้นดอก ขึ้นไปตรวจบนเรือนเถิด"
"เชิญเจ้าค่ะ"
ขันทองหันหลังให้ มือจับไปที่ด้ามมีด สีหน้าแววตาดุดัน เตรียมพร้อมสู้เต็มที่
แต่ทันใดนั้นเอง พระราชาข่านก็เดินเข้ามาหา ในมือถือกล่องเล็กๆสองกล่องมาด้วย
"ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ"
ทุกคนหันไปมองตาม เห็นพระราชาข่านเดินเข้ามาหาพระยากำแหง
"มีกระไรหรือออกพระ"
" ตามธรรมเนียมของชาวโต้ระกี่แล้ว หากจะตรวจความเป็นชาย จะไม่ตรวจโดยการเปลื้องผ้า เพราะถือว่าน่าอับอายยิ่งนัก หลวงศรีขันทินกับขุนจิตใจภักดิ์ เพิ่งมาอยู่อโยธยาได้ไม่นาน ยังถือธรรมเนียมนี้อยู่ จึงมาปรึกษาดีฉัน ดีฉันจึงใคร่ขอความเมตตาจากท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ"
กำแหงหน้าบึ้งตึง
"ไม่ให้เปลื้องผ้า แล้วออกพระจะให้ตรวจกันอย่างไร"
ราชาข่านยื่นกล่องเล็กๆสองกล่องให้
"นี่เป็นกล่องใส่ความเป็นชายของหลวงศรีขันทินกับขุนจิตใจภักดิ์เจ้าค่ะ"
พระยากำแหงแปลกใจ เลยรับกล่องมา
ราชาข่านไอโขลกบอก
"ผู้เป็นขันที ล้วนมาจากตระกูลยากจน ถูกทำการตอนแต่เล็ก เมื่อตอนเสร็จก็จะเอาความเป็นชายใส่ไว้ในกล่อง เพื่อเอาไปฝังไว้กับตัวยามตาย จะได้ไม่ตายอย่างคนพิกลพิการเจ้าค่ะ"
"เมื่อสำคัญเช่นนั้น แล้วเหตุใดกล่องนี้ถึงไปอยู่กับออกพระได้เล่า"
"เพราะทั้งสองเคารพนับถือดีฉันมาก จึงให้กล่องใส่ความเป็นชายนี้ไว้ หากเป็นกระไรไป ดีฉันจะได้กลบฝังให้เจ้าค่ะ"
พระยากำแหงเปิดดูกล่องทั้งสอง สีหน้าเครียดขึ้นมา ของในกล่องไม่น่าดูมากนัก ก่อนจะปิด
ฝากล่องแล้วคืนพระราชาข่านไป
"ที่เมื่อครู่ไม่ยอมถูกตรวจตรา ก็เพราะสาเหตุนี้น่ะรึ"
แน่นตีหน้าเศร้า
"เจ้าค่ะ แต่เกิดมาไม่เคยมีใครทำเช่นนี้เลย ดีฉันอับอายเหลือเกิน ไม่รู้ขันทีคนอื่นทนได้อย่างไร"
พระยากำแหงกระอักกระอ่วน รู้สึกว่าตนทำร้ายจิตใจคนอื่นมาก แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม
"แต่ถ้าท่านเจ้าคุณยังไม่สิ้นระแวง จะให้เปลื้องผ้าอีกก็ได้นะเจ้าคะ"
พระยากำแหงกระอักกระอ่วน
"ช่างเถิด ของในกล่องก็เป็นของจริง แลออกพระรับรองเองเช่นนี้ ฉันก็ไม่อยากจะบีบคั้นกันมากเกินไป แต่เรื่องตรวจค้นเรือน ฉันยังต้องทำอยู่นะ"
ขันทองยิ้มแย้ม
"เชิญเลยเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ" ก่อนหันไปสั่งเยื้อน "เยื้อน นำท่านเจ้าคุณกับเหล่าทหารไปที"
"เจ้าค่ะออกหลวง เชิญเจ้าค่ะ"
เยื้อนนำพระยากำแหงกับทหารขึ้นเรือนไป
ขันทองถอนใจโล่งอก รอดไปได้อย่างหวุดหวิด
หลวงศรีมะโนราชกำลังเดินคุยกับขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา ด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ขุนเทพชำนาญหงุดหงิด "ออกพระราชาข่านลำเอียงนัก กับพวกเรารึไม่พูดอะไร ปล่อยให้พวกเราต้องเปลื้องผ้าน่าอับอายต่อหน้า ออกญาวัง แต่กับอ้ายศรีขันทิน อ้ายจิตใจภักดิ์ กลับช่วยพวกมัน ให้ดูเพียงแค่
กล่องใส่ความเป็นชายก็พอ"
"ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าโมโห หากมิใช่เพราะออกพระ มีหรืออ้ายสองคนนั่นจะตีตนเสมอพวกเราได้" ขุนเทพรักษาบอก
หลวงศรีมะโนราชบอก
"เพลานี้ พักเรื่องริษยาอ้ายศรีขันทินไว้ก่อนเถิด บุญเท่าใดแล้ว ที่พวกเจ้าส่งลูกสวาทของตนออกไปก่อน หาไม่ ออกญาวังค้นเจอเข้า คอคงไม่ได้อยู่บนบ่าเช่นนี้ดอก"
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาหน้าเสีย เพราะพวกตนก็ทำผิดกฎแอบเอาชายหนุ่มเข้ามาในวังเช่นกัน
" พวกเรารู้ว่าทำผิด แต่เรื่องเช่นนี้ มีผู้ใดอดใจไว้ได้บ้างเล่าคุณหลวง"
หลวงศรีมะโนราชไม่พอใจ
"ก็แล้วเหตุใดต้องเอาเข้ามาในวัง ปลูกเรือนให้อยู่ภายนอก แล้วค่อยไปหาไม่ได้รึ เงินทองพวกเจ้าก็มีโขอยู่ มิใช่ข้าไม่รู้"
ขุนเทพชำนาญเซ็งๆ "คุณหลวงก็ทราบ ว่าเป็นขันทีนั้นยากจะออกจากวัง ถ้าไม่ใช่ไปทำงานตามรับสั่ง ก็อย่าหมายจะออกไปง่ายๆ แล้วพวกเราจะเอาเวลาใดไปพบลูกสวาทที่เราเลี้ยงไว้กันเล่า"
ขุนเทพรักษาบอก " หากให้ใช้แต่เบี้ยอัฐ แต่นานทีค่อยไปหา ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้เอาเบี้ยเราไปเลี้ยงผู้อื่นน่ะซี ยิ่งหากเอาไปเลี้ยงผู้หญิง ยิ่งไม่อาจยอมได้นะคุณหลวง"
หลวงศรีมะโนราชไม่พอใจ
"มัวเมาแต่ตัณหา วันใดถูกบั่นคอขึ้นมา อย่าหาว่าฉันใจดำที่ไม่ช่วยก็แล้วกัน"
หลวงศรีมะโนราชเดินเลี่ยงไปด้วยความหงุดหงิด
ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษา มองตามด้วยความไม่สบายใจ แต่ให้ตนเลิกเลี้ยงลูกสวาทก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ในห้องหนึ่ง พระราชาข่านกำลังโวยใส่ขันทอง และแน่น ด้วยความโมโห
" ดีที่ข้าเก็บกล่องใส่ความเป็นชายของศรีขันทินตัวจริงไว้ แลออกญาวังให้เกียรติข้าด้วย มิเช่นนั้นหาก ดึงดันจะให้พวกเอ็งเปลื้องผ้าจริง เอ็งสองคนคงโดนผ่าอกควักไส้ทิ้งให้ตายทั้งเป็นไปแล้ว" พระราชาข่านไอโขลก
แน่นหน้าเสีย ยกมือไหว้
"พวกฉันก็สำนึกในบุญคุณของออกพระอยู่ แต่เรื่องนี้มิใช่ความผิดของพวกเราสองคนเลยนะขอรับ"
" ข้ารู้ แต่พวกเอ็งรู้หรือไม่ ว่าข้าต้องหวาดกลัวเพียงใด พวกเอ็งจะต้องให้ข้าอยู่กับความกลัวเช่นนี้
ไปอีกนานเท่าใดกัน"
ขันทองเกรงใจมาก
"พวกฉันเอง ก็พยายามสืบหาคนทุรยศอยู่ ไม่ได้นิ่งนอนใจเลย แต่งานการในแต่ละวันก็มีมาก ทำให้การสืบเป็นไปได้ล่าช้า ขอออกพระท่านอย่าเพิ่งเร่งรัดเลย"
ราชาข่านไอโขลก หน้าขรึมลงใช้ความคิด
"หากช้ามากนัก ก็มีอีกวิธีที่พวกเอ็งจะอยู่ทำงานของเอ็งได้นาน ตราบเท่าที่ต้องการ"
ขันทองดีใจ "วิธีใดรึ ออกพระท่าน"
"ก็เป็นขันทีจริงๆเสียอย่างไรเล่า"
ขันทอง และ แน่นตกใจมาก ไม่คิดว่าพระราชาข่านจะพูดแบบนี้
แน่นตกใจมาก
"ไม่นะขอรับ พวกกระผมขอตายเสียดีกว่าที่จะยอมถูกตอน ออกพระท่านอย่าบังคับพวกเราเลยขอรับ"
"ข้าไม่ได้บังคับ ข้าเพียงแต่ชี้แนะ เมื่อพวกเอ็งไม่ยอมก็ช่างเถิด ต่อแต่นี้ ก็ระมัดระวังตัวให้หนักกว่าเดิมก็พอ ใช่ว่าข้าจะช่วยได้ทุกคราดอกนะ"
"ขอรับออกพระ"
ราชาข่านเดินออกจากห้อง พร้อมกับไอโขลกไปด้วย แต่สายตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ถ้าตอนทั้งคู่ซะ ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องขันทีปลอมจะแพร่ออกไป
พอราชาข่านออกไป แน่นก็ปิดประตูลง
แน่นถอนใจเฮือกใหญ่
"แต่ออกพระก็พูดถูก ครานี้ ทำเอาหัวใจข้าเกือบหยุดเต้น"
" แต่นั่น ก็ทำให้เรารู้ว่า นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีจารบุรุษอื่นอีก"
แน่นพยักหน้ารับ "แล้วเอ็งว่าเป็นผู้ใดส่งเข้ามาวะ"
ขันทองคิดตาม
"จารบุรษผู้นี้ พอถูกจับได้ก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย แสดงว่าเตรียมการมารัดกุม แลมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ผู้ที่จะใช้สอยจารบุรุษเช่นนี้ได้ นอกจากมิตรเก่าเมื่อสี่ปีก่อนแล้ว ก็ไม่น่าจะมีผู้อื่นอีก"
"พวกอังวะ"
ขันทองพยักหน้ารับ
ขันทองสีหน้าเครียดขรึม มั่นใจว่ามีสายของอังวะอยู่ในวังแน่
เวลากลางคืน ณ ท้องพระโรงอังวะ
พระเจ้ามังระในชุดทรงกษัตริย์ เดินช้าๆผ่านขุนนางชาวอังวะที่หมอบกราบอยู่กับพื้น และขุนนางฝรั่งที่นั่งอยู่บนตั่งมิได้หมอบกราบ แต่พอพระเจ้ามังระเดินผ่าน ก็ลุกขึ้นยืนค้อมศีรษะให้ด้วยความยำเกรง
ท่าทางพระเจ้ามังระ เต็มไปด้วยสง่าราศี มีอำนาจ
ตอนนี้พระเจ้ามังระ อายุ 28 ปี หลังจากพระเจ้าอลองพญาสวรรคต พี่ชายคือพระเจ้ามังลอกขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ 2 ปี ก็สวรรคต พระราชบุตรมังระจึงขึ้นเป็น “พระเจ้ามังระ” กษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์คองบอง
พระเจ้าอลองพญาทรงมีพระบรมราชโองการ ให้พระโอรสทั้ง 6 ขึ้นครองราชย์ต่อกัน ดังนั้นราชวงศ์คองบองในช่วงแรก จึงเป็นการสืบราชสมบัติจากพี่มาน้อง
พระเจ้ามังระขึ้นมาประทับบนบัลลังก์
พระเจ้ามังระยิ้มพอใจ
"แม้เป็นเพลามืดค่ำแล้ว พวกเจ้าก็ยังมาประชุมโดยพร้อมเพรียง เป็นนิมิตหมายที่ดีของอังวะเรานัก ที่มีขุนนางเช่นพวกเจ้า"
ขุนนางทุกคนพร้อมกัน พนมมือ
"เป็นพระมหากรุณาพระพุทธเจ้าข้า"
"ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามา ก็เพื่อจะถามความเห็น ด้วยเพลานี้ อังวะมั่นคงดีแล้ว ข้าจึงอยากจะยกทัพไปอโยธยา เพื่อล้างอายในศึกคราก่อน พวกเจ้าเห็นเป็นอย่างไร"
ขุนนาง 1 พนมมือ
"ควรแล้วพระพุทธเจ้าข้า เราไม่มีศึกในให้กังวลอีก จึงควรที่จะแผ่ขยายพระบรมเดชานุภาพออกไป"
ขุนนาง 2 พนมมือ
"กองทัพเราเข้มแข็งนัก ออกรบคราใดมิเคยแพ้ ศึกคราก่อนอโยธยาเพียงแต่โชคดีไม่เสียเมือง ครานี้ ต้องให้พวกมันได้รู้ถึงแสนยานุภาพของอังวะเรา"
พระเจ้ามังระยิ้มพอใจ เมื่อทุกคนเห็นด้วยก็ยิ่งฮึกเหิมหนัก
"ถ้าเช่นนั้น ก็เตรียมทัพ..."
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงอะแซหวุ่นกี้ดังขึ้น
"มิบังควรยกทัพ พระพุทธเจ้าข้า"
ทุกคนหันไปมองตามเสียง อะแซหวุ่นกี้เดินเข้ามาในท้องพระโรงอย่างองอาจ
(อะแซหวุ่นกี้ เป็นตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัว แต่อะแซหวุ่นกี้คนนี้ เป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะได้รบกับทัพของเจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) ที่พิษณุโลกในอีก 11 ปีต่อมา)
อะแซหวุ่นกี้อายุประมาณ 54-55 ปี แม้จะอายุมาก แต่ก็อำนาจบารมีสูง
ตำแหน่ง “อะแซหวุ่นกี้” เทียบได้กับ “มหาเสนาบดี” หรือ “นายกรัฐมนตรี” ในปัจจุบัน และอะแซหวุ่นกี้คนนี้ ยังเป็นญาติฝ่ายพระราชมารดาของพระเจ้ามังระ(มีศักดิ์เป็นลุง)ทำให้พระเจ้ามังระให้เกียรติเป็นพิเศษ
"อะแซหวุ่นกี้ เหตุใดถึงเห็นว่าไม่ควรยกทัพ"
อะแซหวุ่นกี้คุกเข่าลงพนมมือ
"แม้เราจะสิ้นศึกในแล้ว แต่อาณาประชาราษฎร์ยังอ่อนล้าจากการทำศึกมานานปี จึงควรให้ พักผ่อนฟื้นกำลังมากกว่าเร่งทำศึกต่อ อีกประการ อังวะเราได้เปรียบอโยธยาอยู่ห้าข้อ จึงไม่จำเป็นต้องออกศึกในเพลานี้พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระชักสนใจ "ได้เปรียบห้าข้อกระไรกัน รีบบอกมา"
"ข้อแรก นับแต่สิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ อโยธยาก็รังเกียจพวกตะวันตกนัก โดยจำเพาะพวกฝาหรั่งเศส... "
ย่านร้านค้าในอโยธยา
พ่อค้าฝรั่งให้ลูกน้องเก็บข้าวของ แล้วช่วยกันยกออกไป
พ่อค้าฝรั่งมองดูร้านค้าของตนด้วยความเสียใจ ก่อนจะเดินคอตกเลี่ยงไป
พ่อค้าจีน และพ่อค้าแขก ยืนแอบมองการจากไปของพ่อค้าฝรั่งด้วยความดีใจ
"มีการผลักดันให้คนฝาหรั่งเศสออกจากอโยธยา เป็นเหตุให้การค้าตกอยู่ในมือคนจีน แลแขก พวกเหล่านี้ไม่มีฝาหรั่งเศสมาแย่งซื้อของ จึงร่วมมือกันกดราคาสินค้าให้ถูก แลขายออกราคาแพง
เป็นเหตุให้ความมั่งคั่งของอโยธยาลดลง"
พระเจ้ามังระกำลังฟังอะแซหวุ่นกี้วิเคราะห์ด้วยความสนใจ
"ต่างกับพระองค์ที่ใช้คนโดยคำนึงถึงความสามารถ มิใช่เชื้อชาติ อังวะจึงจำเริญขึ้น ถือเป็นข้อได้เปรียบของอังวะแลข้อ เสียเปรียบของอโยธยา พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระสนใจมาก "พูดได้ดี ข้อต่อไปเล่า"
อะแซหวุ่นกี้ กำลังจะวิเคราะห์เหตุการณ์ต่อไป
พวกชาวบ้านกำลังทำงานอย่างหนักภายในเรือนของขุนนาง ทั้งแบกหาม ตำข้าว ซ่อมแซมเรือน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นงานส่วนตัวของขุนนางคนนั้นทั้งนั้น
ขุนนางคนหนึ่งกำลังดูพวกชาวบ้านทำงานให้ตน แล้วยิ้มอย่างมีความสุข ได้เกณฑ์แรงงานมาใช้โดยไม่เสียเงิน มีแต่ได้กับได้
"ข้อสอง ขุนนางอโยธยาส่วนใหญ่เกณฑ์แรงงานไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน มิได้ใช้แรงงานที่เกณฑ์เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง จึงทำให้มีแต่เสื่อมทรุดลงไป แลเป็นช่องทางให้เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงยิ่งขึ้นไปอีก"
ขุนนางสองฝ่าย นั่งเสลี่ยงคามหามข้ามสะพานมา จนมาเจอกันที่กลางสะพาน
ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมหลบให้กัน ต่างฝ่ายต่างพยายามจะข้ามไป แต่ก็ไม่มีใครถอย จึงชะงัก
อยู่อย่างงั้น
บ่าวไพร่ทั้งสองฝ่าย มองหน้าท้าทายกัน ไม่มีใครยอมใคร
ขุนนางทั้งสองฝ่ายมองหน้ากัน ชิงดีชิงเด่นจะเอาชนะกันแม้แต่เรื่องเล็กน้อย
"ข้อสาม เหล่าขุนนางของอโยธยาล้วนชิงดีชิงเด่นกัน นานวันก็มีแต่จะแบ่งพรรคแบ่งพวกกันหนักมากขึ้น ทำให้อโยธยาอ่อนแอลงทุกที"
ขุนนางให้ลูกน้องเดินตามเก็บภาษีพวกชาวบ้านตามตลาด
พวกชาวบ้านเอาผักบุ้งมาขาย ก็ยังโดนเก็บภาษี
ชาวบ้านจ่ายภาษีไปด้วยใบหน้าหงิกงอ แต่ก็ต้องยอมจ่ายไปทั้งๆที่ไม่พอใจ
"ข้อสี่ อโยธยาเก็บภาษีไม่เป็นธรรม แม้กระทั่งผักบุ้งยังเก็บภาษี เป็นเหตุให้อาณาประชาราษฎร์เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า"
อะแซหวุ่นกี้กำลังอธิบายให้พระเจ้ามังระและทุกคนในท้องพระโรงฟัง
"แต่ทุกข้อที่กล่าวมา อังวะเราทำตรงข้ามทั้งสิ้น ฉะนั้น มิพัก ต้องถามเลย ว่าฝ่ายใดจะจำเริญ แลฝ่ายใดจะถดถอย จึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องยกทัพในเพลานี้ แลสามารถรอจนถึงเพลาที่สุกงอมได้พระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระตบเข่าฉาด
"ดี เจ้าพิเคราะห์ได้ดี แต่เจ้าบอกว่ามีห้าข้อมิใช่รึ อีกข้อหนึ่งเล่า"
อะแซหวุ่นกี้ยิ้มเจ้าเล่ห์บอก
"นับแต่ศึกคราก่อน เราก็มีไส้ศึกฝังตัวอยู่ในอโยธยา แลทุกวันนี้ ก็ยังทำหน้าที่ไส้ศึกให้เราอย่างดี กล่าวได้ว่า เรารู้ความเป็นไปของอโยธยากระจ่างดั่งนิ้วในฝ่ามือพระพุทธเจ้าข้า"
พระเจ้ามังระหัวเราะชอบใจ ถูกใจการวิเคราะห์ของอะแซหวุ่นกี้มาก ยิ่งเชื่อมั่น ว่าถึงคราวรบจริงๆ ตนต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน
ผ่านเวลาราว 7-8 วัน ณ ตำหนักกรมขุนวิมลตอนเช้า
กรมขุนวิมลภักดี เจ้าจอมอำพัน และพวกข้าหลวงฝั่งกรมขุนวิมลภักดี กำลังหน้าดำคร่ำเครียด ถอดกลบทของเจ้าจอมเพ็ญ แต่กลบทคราวนี้ยากมาก เพราะเจ้าจอมเพ็ญได้พระยาพลเทพช่วย ทำให้พวกกรมขุนวิมลภักดีมืดแปดด้าน ไม่รู้จะถอดยังไง
ในขณะที่เจ้าจอมเพ็ญ นั่งอยู่บนตั่ง มองดูพวกกรมขุนวิมลภักดีแก้กลบทด้วยความสะใจ โดยมีขันทอง และเลื่อนนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ เลื่อนเองก็พลอยยิ้มเยาะสะใจตามนายไปด้วย
กลบทของเจ้าจอมเพ็ญเป็นตารางกลีบดอกบัว คือ เป็นตารางแปดคูณแปดช่องเหมือนตารางหมากรุกไทย และมีรูปดอกบัววาดทับอยู่ในตาราง ดอกบัวมี 8 กลีบ เหมือนเครื่องหมายดอกจัน บนกลีบดอกบัวมีตัวอักษรเขียนอยู่ 5 กลีบ คือเขียนคำว่า “แจ่มแจ้ง” ตรงกลีบบน กลีบเฉียงซ้ายบนเขียนคำว่า “พร” กลีบเฉียงขวาบนเขียนคำว่า “โพยม” กลีบเฉียงซ้ายล่างเขียนคำว่า “แผ้วผ่อง” กลีบเฉียงขวาล่างเขียนคำว่า “กลางอัมพร”
เจ้าจอมอำพันยิ่งถอดไม่ได้ก็ยิ่งหงุดหงิด
"นี่มิใช่กลบท จะไปถอดได้อย่างไร"
เจ้าจอมเพ็ญหัวเราะ มองเย้ย
"ถอดไม่ได้ก็คือถอดไม่ได้ มิมีผู้ใดว่าแม่อำพันดอก แต่อย่ากล่าวหากลบทของฉันเลยนะจ๊ะ"
เจ้าจอมอำพันกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เจ้าจอมเพ็ญหันไปพูดกับกรมขุนวิมลภักดี
"เสด็จจะทรงให้หม่อมฉันเฉลยดีหรือไม่เพคะ"
"ยังไม่ทันไรก็เฉลยเสียแล้ว เหมือนหนึ่งยังมิได้ใช้ความเพียรเลย ขอทางฉันช่วยกันแก้กลบทของแม่เพ็ญก่อนเถิด ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันก็จะยอมแพ้"
" ถ้ากระนั้น ก็สุดแล้วแต่เสด็จเถิดเพคะ แต่หม่อมฉันคงต้องขอทูลลากลับก่อน" แล้วเจ้าจอมเพ็ญก็แกล้งลูบท้องตัวเอง "หน่อพระพุทธเจ้าในครรภ์ของหม่อมฉัน คงไม่ทรงโปรดให้หม่อมฉันนั่งหรือ
ยืนนานๆ มิทันไรก็เวียนหัวเสียแล้ว"
เจ้าจอมเพ็ญเข้าไปกราบลากรมขุนวิมลภักดี และรับไหว้
เลื่อนรีบรับลูกต่อ เข้าไปช่วยประคองเจ้าจอมเพ็ญ
"ระวังนะเจ้าคะหม่อมแม่ หากกระเทือนถึงองค์หน่อพระพุทธเจ้าท่าน ต่อให้บ่าวมีอีกร้อยชีวิต
ก็คงไม่พอเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญมองเย้ยเจ้าจอมอำพันก่อนจะเดินออกไป โดยมีเลื่อนตามไปด้วย
ขันทองเข้าไปกราบลากรมขุนวิมลภักดี ก่อนจะตามเจ้าจอมเพ็ญไปอีกคน
เจ้าจอมอำพันหงุดหงิด
"ทำมาเยาะหยัน นึกว่าไม่รู้เท่าหรืออย่างไร"
กรมขุนวิมลภักดีส่ายหน้า ทั้งเจ้าจอมอำพัน เจ้าจอมเพ็ญ พอกันทั้งคู่ แล้วหยิบเอากระดาษ
ที่เขียนกลบทของเจ้าจอมเพ็ญขึ้นมาดู ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าจะถอดกลบทได้ยังไง
เจ้าจอมเพ็ญนั่งอยู่บนเสลี่ยง โดยมีพวกโขลนเป็นคนหาม และมีขันทอง เลื่อนและพวกข้าหลวง
เดินตาม
เจ้าจอมเพ็ญหัวเราะชอบใจ
"เหมือนบ่งหนองในอกออกก็ไม่ปาน คืนนี้ ข้าคงหลับสนิทเป็นแน่ นังเลื่อนเอ๊ย"
เลื่อนประจบประแจง
"เห็นหน้าเจ้าจอมอำพันแล้ว บ่าวสาแก่ใจเหลือเกินเจ้าค่ะ หิ่งห้อยคิดจะแข่งกับแสงจันทร์ก็เป็นเช่นนี้ล่ะเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญหัวเราะชอบใจ แต่ทันใดนั้นก็ชะงักไป ก่อนจะหันไปดูรอบๆ พูดเสียงดุ
"หยุดประเดี๋ยวนี้"
ทุกคนชะงักกันไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
"เหตุใดพาข้ามาทางนี้ ไม่รู้รึ ว่าข้าจะไม่กลับตำหนักทางนี้"
"ขอประทานโทษเจ้าค่ะ โขลนเหล่านี้เพิ่งมาใหม่ คงเห็นว่าทางนี้ใกล้กับตำหนักมากกว่า จึงพามาทางนี้เจ้าค่ะ"
" ใกล้จริง แต่มันผ่านอ่างแก้ว ฉันไม่อยากเห็น"
ขันทองชะงักไปเล็กน้อยอย่างเก็บข้อมูล
"พาฉันอ้อมไปประเดี๋ยวนี้ และคราหน้าคราหลังก็อย่าพาฉันมาทางนี้อีก"
เจ้าจอมเพ็ญสีหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจมาก
"เจ้าค่ะ ดีฉันจะคอยบอก ไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเจ้าค่ะ"
โขลนรีบหามเสลี่ยงของเจ้าจอมเพ็ญที่นั่งหน้าบึ้งตึงกลับไปอีกทางทันที
ขันทองมองตาม พูดกับตัวเองเบาๆด้วยความสงสัย
"ถึงกับไม่อยากเห็นอ่างแก้วเชียวรึ "
บรรยากาศในสวนตำหนักกรมขุนวิมลภักดี
กรมขุนวิมลภักดีเดินคุยมากับเจ้าจอมอำพัน โดยมีพวกข้าหลวงตามหลังคอยรับใช้
"กลบทของแม่เพ็ญครานี้พิสดารนัก ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มิรู้จะแก้ไขอย่างไร เห็นที คงต้องยอมแพ้แล้วกระมัง"
เจ้าจอมอำพันกลัวเสียหน้า
"ยอมแพ้ไม่ได้นะเพคะ แม่เพ็ญเหิมเกริมขึ้นทุกวัน ยิ่งมีหน่อพระพุทธเจ้าอยู่ในครรภ์ ก็ยิ่งไม่เห็นหัวผู้ใด ฉะนั้น เพื่อไม่ให้แม่เพ็ญหยิ่งยโสมากไปกว่านี้ เราจะแพ้มิได้เป็นอันขาดเพคะ"
"ในบรรดาคนรอบตัวฉัน มิมีผู้ใดชำนาญกลบทเท่าแม่อำพัน เมื่อแม่อำพันยังแก้กลบทไม่ได้ แล้วฉันยังมีทางชำนะอีกรึ"
" จริงซีเพคะ แม่แมงเม่าลูกเศรษฐีมิ่ง เคยแก้กลบทถวายเสด็จอยู่เนืองๆ หม่อมฉันเห็นว่าแม่คนนี้มีไหวพริบดี ไม่แน่ว่าจะแก้กลบทครานี้ได้นะเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีคิดหนัก
"เจ้าแมงเม่าฉลาดเฉลียวก็จริง แต่ยิ่งโต ก็ยิ่งงาม ฉันเกรงว่าจะไปต้องพระทัยเจ้านายพระองค์ใดเข้า จนฉันจำเป็นต้องทูลถวายน่ะสิ"
เจ้าจอมอำพันฟังอย่างใช้ความคิดตาม
"ฉันไม่อยากต้องฝืนใจเจ้าแมงเม่า ที่ผ่านมา จะเข้าจะออกก็ให้เข้าทางท้ายวัง แลฉันไม่เคยให้อยู่ในวังนาน แต่หากเราให้มาแก้กลบท ก็อาจจำเป็นต้องค้างอ้างแรมในวัง ฉันไม่สบายใจเลย"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง หม่อมฉันเพิ่งรู้นะเพคะ ว่าเสด็จทรงห่วงใยแม่คนนี้มากถึงเพียงนี้ แต่อย่าทรงกังวลเลยเพคะ เราให้หลวงศรีมะโนราชไปรับเข้ามาทางท้ายวัง กำชับมิให้ใครเห็น แลหากต้อง
ค้างอ้างแรม ก็ให้ค้างที่เรือนของคุณท้าวโสภาเป็นอย่างไรเพคะ เรือนนั้นอยู่ไกลออกไป ไม่มีเจ้านายพระองค์ใดเสด็จไปดอกเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีคิดตาม ชั่งใจว่าจะเอาไงดี
บ่ายวันนั้น อินยกถาดใส่ขันน้ำ ของว่าง หมากพลู บุหรี่มาให้หลวงศรีมะโนราชที่นั่งหน้าหงิกรอแมงเม่าอยู่
โดยมีมิ่ง และชื่น นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆด้วยท่าทางกลัวๆ ตามประสาชาวบ้าน แม้จะรวยแต่ก็กลัวขุนนาง
ในขณะที่พวกบ่าวไพร่ที่เป็นหญิง คอยแอบดูหลวงศรีมะโนราชด้วยความตื่นเต้น เกิดมาไม่เคยเห็นขันที แถมยังรูปหล่ออีกด้วย เลยแอบดูกันใหญ่
มิ่งปั้นยิ้ม
"ขอเชิญออกหลวงรับน้ำ แล..."
หลวงศรีมะโนราชหน้าบึ้งตึง พูดสวนขึ้น
"ฉันไม่รับกระไรทั้งนั้น ฉันมาราชการตามรับสั่งของกรมขุนวิมลภักดี ให้มาตามลูกสาวเจ้าไปเข้าเฝ้า
แล้วนี่ลูกสาวเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดปล่อยให้ฉันรอเช่นนี้"
มิ่ง ชื่น และอินหน้าเสีย ไม่คิดว่าหลวงศรีมะโนราชจะดุอย่างนี้
แมงเม่าเดินออกมาจากทางด้านหลังเรือน เลยเห็นพ่อคุยกับหลวงศรีมะโนราชอยู่
"ขอประทานอภัยด้วยเถิดขอรับ เจ้าแมงเม่าไปเก็บส้มสูกลูกไม้ในสวน กระผมให้บ่าวไปตามแล้ว อีกสักครู่ก็คงมาขอรับ"
" เป็นหญิง แทนที่จะให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน กลับให้ไปเที่ยวเล่น เลี้ยงลูกพิกลนัก"
หลวงศรีมะโนราชเหลือบเห็นพวกทาสหญิงแอบดูตนอยู่ และหัวเราะกันคิกๆคักๆ จึงตะคอก
" ดูกระไรกัน เห็นฉันเป็นตัวประหลาดหรืออย่างไร"
พวกทาสหญิงที่แอบดู หน้าเสียกันเป็นแถว รีบหลบไปทันทีด้วยความกลัว
แมงเม่าปรายตามองด้วยความไม่พอใจ ที่หลวงศรีมะโนราชมาดุคนของตน
แมงเม่าไม่พอใจ ก่อนจะฉุกคิดขึ้น ว่าหลวงศรีมะโนราชคนนี้เคยใช้หางกระเบน
เฆี่ยนผลและเกือบเฆี่ยนตนด้วยแต่ขันทองมาช่วยไว้ก่อน ยิ้มร้ายๆ
"จำได้แล้ว"
ชื่นกลัวๆ บอก
"ออกหลวงอย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ พวกบ่าวอยากจะเห็นคนต่างด้าวท้าวต่างเมือง ยิ่งเป็นนักเทศขันทีด้วยแล้ว ยิ่งไม่เคยเห็นมาก่อน จึงแอบดูด้วยความอยากรู้เท่านั้นเจ้าค่ะ"
หลวงศรีมะโนราชยิ่งไม่พอใจหนัก ตะคอก
"ทำไมรึ ขันทีแล้วเป็นกระไร หรือเห็นขันทีอย่างฉันแปลกพิกล ถึงต้องมาแอบดู"
มิ่ง ชื่น และอิน ยิ่งกลัวหนัก
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินเข้ามาหา
อินเห็นแมงเม่า รีบเปลี่ยนเรื่อง
"มาแล้วเจ้าแมงเม่า กรมขุนท่านมีรับสั่งให้เจ้าเข้าเฝ้า รีบตามออกหลวงท่านไปเร็ว"
แต่แมงเม่าแกล้งปวดท้องทันที
"โอ๊ยๆๆ"
มิ่ง ชื่น และอิน พากันงง ไม่รู้แมงเม่าเป็นอะไร
" เป็นกระไรของเจ้า"
" ไม่ทราบเจ้าค่ะ จู่ๆก็ปวดท้องขึ้นมา โอ๊ยๆ ปวดกระไรอย่างนี้ ... โอ๊ย เห็นที ฉันจะเข้าเฝ้ากรม
ขุนท่านไม่ได้เสียแล้วเจ้าค่ะ"
"ไม่ได้ กรมขุนท่านรับสั่งมา อย่างไรเจ้าก็ต้องไป"
"โอ๊ย ฉันปวดท้องอย่างนี้ ถึงเข้าเฝ้าไป ก็คงถวายรับใช้ไม่ได้อยู่ดีเจ้าค่ะ"
หลวงศรีมะโนราชมีสีหน้าไม่พอใจนัก
แมงเม่าไม่สนใจ หันไปพูดกับอิน
"พี่อินจ๊ะ วานพี่อินหากระดาษพู่กัน ให้ฉันที ฉันจะเขียนหนังสือขอประทานอภัยกรมขุนท่าน "
อินงงๆ "ได้ๆ รอประเดี๋ยวนะ"
อินรีบเดินเข้าข้างในไป
แมงเม่าก็แกล้งร้องโอดโอยต่อ
หลวงศรีมะโนราชหงุดหงิด ที่แมงเม่ามาปวดท้องและไม่ยอมตามตนไป
แมงเม่าแอบเหล่มองหลวงศรีมะโนราชแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
ผ่านเวลาซักพัก
กรมขุนวิมลภักดีกำลังอ่านจดหมายของแมงเม่า โดยมีเจ้าจอมอำพันนั่งอยู่บนตั่งใกล้ๆ
ส่วนหลวงศรีมะโนราชก็นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น
ความในจดหมาย ราวกับน้ำเสียงของแมงเม่าล่องลอยมาทูลฟ้อง
" คุณหลวงท่านนี้ดุร้ายนัก ถึงกับตะคอกใส่พ่อของหม่อมฉัน แลบ่าวไพร่ในเรือนอย่างที่มิเคยพบเคยเห็นมาก่อน หม่อมฉันกลัวจนจับจิตจับใจ ไม่กล้ามาเข้าเฝ้าเสด็จพร้อมกันกับคุณหลวงศรีมะโนราช ขอเสด็จทรงโปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีอ่านจบก็หันไปพูดกับหลวงศรีมะโนราช
"ไม่มีกระไรแล้ว คุณหลวงมีงานการกระไรก็ไปทำเถิด"
"นะเกล้านะกระหม่อม" แล้วก้มกราบลา
หลวงศรีมะโนราชกราบลาเสร็จ ก็คลานเข่าออกมา ก่อนจะออกจากห้องไป
"เกิดกระไรขึ้นกับแม่แมงเม่าหรือเพคะ ถึงมาเข้าเฝ้าไม่ได้"
กรมขุนวิมลภักดียื่นจดหมายแมงเม่าให้อำพัน อำพันไหว้ ก่อนจะรับจดหมายมา อ่านเสร็จก็ตกใจ
"คุณพระช่วย ถึงกับแอบฟ้องร้องหลวงศรีมะโนราชเชียวรึ คนโปรดของเสด็จนี่ไม่เบาเลยนะเพคะ นี่คงกะให้เสด็จลงโทษคุณหลวงเป็นแน่"
"เพราะอย่างนี้ ฉันถึงให้คุณหลวงกลับไปอย่างไรเล่า ขืนตามใจ เจ้าตัวดีคงได้ใจยิ่งขึ้นไปอีก"
กรมขุนวิมลภักดีหลุดยิ้มขำออกมา ถึงจะดุ แต่จริงๆ เอ็นดูแมงเม่ามาก
"แล้วจะเอาอย่างไรดีเพคะ"
"แม่อำพัน ให้คนไปตามหลวงศรีขันทินมาหาฉันที"
ต่อมา อินยกถาดใส่ขันน้ำ ของว่าง หมากพลู บุหรี่มาให้ขันทองที่นั่งรออยู่ โดยมีมิ่ง และชื่น นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆด้วยท่าทางกลัวๆ ว่าจะเหมือนหลวงศรีมะโนราช
ขันทองรับไมตรียิ้มแย้ม
"ขอบน้ำใจท่านเศรษฐีนัก แต่ดีฉันไม่สูบบุหรี่แลกินหมากพลู ขอรับไว้แต่น้ำแลของว่างก็แล้วกัน"
มิ่ง ชื่น และอิน หันไปยิ้มให้กัน โล่งอกที่ขันทองไม่ดุ แถมสุภาพมาก
" สุดแล้วแต่คุณหลวงเถิดขอรับ"
ขันทองหยิบขันน้ำขึ้นดื่ม ขณะนั้นเอง ก็เหลือบไปเห็นทาสหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังแอบดูตนอยู่
ขันทองเลยส่งยิ้มให้เป็นการทักทาย
พวกทาสหญิงเห็นขันทองยิ้มให้ก็กิ๊วก๊าวเป็นการใหญ่ ขันทองทั้งหล่อ ทั้งใจดี ใครๆก็ชอบ
ชื่นหันไปมองตาม หน้าหงิก
"แหม นังพวกนี้ ... ขอประทานโทษนะเจ้าคะออกหลวง อีฉันจะไปไล่พวกมันเองเจ้าค่ะ"
ขันทองรีบห้ามไว้
"มิต้องดอกแม่นาย พวกเค้าเพียงแต่อยากรู้อยากเห็น ดีฉันไม่ถือสาดอก"
ชื่นยิ้มปลื้ม
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แหม คุณหลวงนี่นอกจากจะรูปงามราวกับอิเหนาแล้ว ยังใจดีอีกด้วยนะเจ้าคะ เป็นบุญของอีฉันเหลือเกินที่ได้เจอคุณหลวง"
ขันทองยิ้มแย้มให้ ชื่นก็ยิ้มปลื้ม เขินอายไปด้วย
มิ่งมองตาเขียวปั้ด ชักหึง แอบ พูดเบาๆกับชื่น
"แม่ชื่น ฉัน เป็นผัวแม่ชื่นนะ"
ชื่นพูดเบาๆ เซ็งๆ "รู้แล้วเจ้าค่ะ จะย้ำทำไมเจ้าคะ"
ชื่นทิ้งค้อนใส่ มิ่งก็ทิ้งค้อนสวน อินเห็นเข้าก็ยิ้มๆ
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินออกมาจากข้างใน
อินหันไปเห็นแมงเม่าจึงเรียกไว้
"เจ้าแมงเม่า ออกหลวงศรีขันทินมารอนานแล้วมากราบท่านเร็ว"
แมงเม่ายืนไหว้ ขันทองก็รับไหว้
"คงไม่ต้องถามกระมัง ว่าหายดีแล้วหรือไม่"
แมงเม่ายิ้มแย้ม
"เจ้าค่ะ ออกหลวงมาเยือนถึงเรือน ถึงฉันป่วยหนักเจียนตายก็ต้องหายเจ้าค่ะ"
อินมองทั้งคู่สลับกันไปมา "รู้จักกันรึ"
ขันทอง / แมงเม่า พูดพร้อมกัน "รู้จักดีทีเดียว"
ขันทอง และแมงเม่า หันมามองหน้ากัน ด้วยท่าทางเขม่นๆ อยู่ในที
บรรยากาศในคลอง เวลาต่อมา ทหารกำลังพายเรือให้ขันทอง แมงเม่า และคุณท้าวโสภา
คุณท้าวโสภาคนนี้เป็นคนเดียวกับที่มาสู่ขอแมงเม่าให้กล้าในคราวนั้น
"ฉันมิทราบเลยว่าคุณท้าวมาด้วย มิเช่นนั้นก็จะเชิญขึ้นไปบนเรือน ไม่ปล่อยให้คุณท้าวรออยู่ในเรือเช่นนี้ดอกเจ้าค่ะ"
คุณท้าวประชด
"โอ๊ย ฉันไม่ขึ้นดอกจ้ะ เห็นฤทธิ์แม่ถีบผู้ชายตกจากเรือนแล้ว ฉันยังจะกล้าขึ้นไปอีกรึ"
แมงเม่ายิ้มแหยๆ
แต่ขันทองอมยิ้ม ประมาณว่ามีวีรกรรมอย่างนี้นี่เอง สร้างความแสบไปทั่วจริงๆ
แมงเม่าเหล่มองขันทองด้วยใบหน้าหงิกงอ
แต่ขันทองทำไม่รู้ไม่ชี้
แมงเม่าหันไปพูดกับคุณท้าวต่อ รีบปั้นยิ้ม
"พุทโธ่ คุณท้าวเจ้าขา ถึงฉันจะเป็นม้าดีดกะโหลกอย่างไร ก็มิกล้าก้าวร้าวล่วงเกินคุณท้าวดอกเจ้าค่ะ"
คุณท้าวทำหน้าปั้นปึงไปมาเล็กน้อย
"ยิ่งกรมขุนท่านทรงให้คุณท้าวมาตามตัวฉันด้วยแล้ว ย่อมแสดงว่า คุณท้าวเป็นที่ไว้วางพระทัยนัก ฉันยิ่งไม่กล้าอาจเอื้อมดอกเจ้าค่ะ"
คุณท้าวทิ้งค้อน รู้ว่าแมงเม่าประจบแต่ก็อารมณ์ดีขึ้น
"ปากหวานอย่างนี้นี่เล่า เสด็จพระองค์หญิงท่านถึงทรงเมตตานัก แต่อย่านึกนะ ว่าฉันไม่รู้เท่า แลฉันก็ยังมิแน่ใจว่าแม่จะช่วยเสด็จพระองค์หญิงได้เพียงไร แม่จะว่าอย่างไร ถ้าฉันอยากจะทดสอบแม่สักหน่อย"
"สุดแล้วแต่คุณท้าวเถิดเจ้าค่ะ"
คุณท้าวยิ้มเจ้าเล่ห์
"ถ้ากระนั้น ฉันขอกำหนดคำขึ้นต้นกลอนสี่วรรค ด้วยคำว่า ลางวัน ร้อนยิ่ง ข่มสุด กรรมกู ดูทีรึ ว่าแม่จะแก้ไขได้หรือไม่ ลางวัน ฟังข่าวร้ายวันลาง ร้อนยิ่ง ไฟฟอนฟางยิ่งร้อน"
ขันทองแอบอมยิ้ม รู้ว่าคุณท้าวแกล้งแมงเม่าเข้าให้แล้ว
" มิใช่โคลง มิใช่กลบทตามแบบหลัก คุณท้าวแกล้งฉันแล้ว"
คุณท้าวกระหยิ่มยิ้มย่อง
"เจ้ามันนักเลงกลอนตัวยงนี่นา ให้ถอดกลกลอนง่ายๆ เจ้าย่อมทำได้หมด ว่าอย่างไร ต่อกลอนนี้ให้จบได้หรือไม่"
" ลางวัน ฟังข่าวร้ายวันลาง ร้อนยิ่ง ไฟฟอนฟางยิ่งร้อน ข่มสุด โศกไป่วางสุดข่มขืนนา กรรมกู ฉันใดซ้อนซัดให้กูกรรม"
คุณท้าวทิ้งค้อน "ย่ะ เก่ง"
คุณท้าวหยิบพัดขึ้นมาพัดแล้วเมินหน้าไปทางอื่น แต่ก็แอบยิ้มพอใจ ชอบในความฉลาดของแมงเม่าเข้าแล้ว
แมงเม่ายิ้มให้ขันทองในเชิงท้าทาย ประมาณว่าเป็นยังไง เก่งมั้ยล่ะ
ขันทองยิ้มบางๆ อ่านท่าทางแมงเม่าออก
"ดีฉันเห็นด้วยเจ้าค่ะคุณท้าว เก่ง เก่งกว่าที่คิด"
แมงเม่าหน้าบึ้งตึง ขันทองพูดอย่างนี้ ก็เหมือนตัวเองไม่เก่งเท่าไหร่ เลยชักจะหมั่นไส้
ขันทองยิ้มขำๆ แม้จะไม่ชอบในความแสบของแมงเม่า แต่ก็รู้สึกเอ็นดูแมงเม่ามากขึ้นเรื่อยๆ
โดยไม่รู้ตัว
ต่อมา แมงเม่าก้มลงกราบกรมขุนวิมลภักดีที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่ง โดยมีขันทอง คุณท้าวนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
ส่วนเจ้าจอมอำพันนั่งอยู่บนตั่งอีกตัวที่อยู่ต่ำกว่ากรมขุนวิมลภักดี
"มาได้เสียทีนะเจ้าตัวดี" แล้วหยิบกระดาษเขียนกลบทยื่นให้ "เอ้า ลองดูทีซิว่า ถอดได้หรือไม่"
"เพคะ"
แมงเม่ายื่นมือออกไป กระดกมือนิดนึงตามธรรมเนียม ก่อนจะรับกระดาษกลบทมาดู ดูอยู่ครู่นึงก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
"เป็นอย่างไรบ้าง"
"พิสดารเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันไม่เคยเจอกลบทเช่นนี้มาก่อน"
แมงเม่ายิ้มดีใจ เหมือนได้ของเล่นถูกใจ
"อย่าว่าแต่แก้กลเลย เพคะ หม่อมฉันยังมิรู้จะขึ้นต้นอย่างไรเลยเสียด้วยซ้ำ"
เจ้าจอมอำพันแปลกใจ "ปากบอกอยู่ว่ามิรู้จะขึ้นต้นอย่างไร แต่กลับหน้าเป็น
เสียอย่างนั้น"
"แม่คนนี้ เค้าชอบกระไรยากๆ นี่คงจะถูกใจล่ะสิ"
แมงเม่ายิ้มเขินๆที่กรมขุนวิมลภักดีเดาถูก "เพคะ"
"ถ้ากระนั้น เจ้าดูไปก่อนก็แล้วกัน ฉันไม่เร่งรัดดอก" แล้วหันไปพูดกับคุณท้าว "คุณท้าวโสภา ถ้าจำต้องค้างอ้างแรม ฉันฝากคุณ ท้าวด้วยนะ"
"เพคะ"
แมงเม่าอ่านกลบทอย่างตั้งใจ พยายามคิดทบทวนว่าจะหาทางแก้ไขยังไง
เจ้าจอมอำพันหาเรื่องชวนคุยไปเรื่อย
"เสด็จเพคะ เมื่อหลายวันก่อน มีคนมาตายที่ท้ายวัง เสด็จทรงทราบเรื่องหรือไม่เพคะ"
แมงเม่าชะงักไปทันที พยายามเงี่ยหูฟังว่าจะเกี่ยวอะไรกับตนมั้ย
ขันทองเหลือบมองไปทางแมงเม่าเพื่อจับผิด เพราะ รู้ว่าแมงเม่าได้กลักซ่อนความลับไป พยายามจะหาทางเอากลักมาเหมือนกัน
"ได้ยินอยู่ เห็นว่าเป็นคนร้ายต้องคดีมิใช่รึ"
" มิใช่เพคะ หม่อมฉันทราบมาว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ จริงหรือไม่คุณหลวง"
"จริงเจ้าค่ะ ชื่อเจ้าคุณสีหะราชเดชะ เคยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ หากแต่ออกจากราชการแล้ว"
แมงเม่าหน้าเครียด รู้ว่าคนที่ให้กลักตนเป็นพระยาก็ยิ่งกังวล
"ฉันรู้จัก" กรมขุนวิมลภักดีหน้าขรึมลง "ท่านเจ้าคุณต้องโทษหนีทัพคราศึกพระเจ้าอลองพญา จึงถูกให้ออกจากราชการ ไม่คิดเลยว่าจะมาตายที่ท้ายวัง"
" เห็นว่าฆ่ากันเพราะความแค้น ออกญาผู้นี้คงมีศัตรูมากอยู่ ตอนที่ยังไม่ตาย อาจจะไม่ใช่คนดีนักก็ได้นะเพคะ"
"ฉันเคยเจอหน้าสองสามครั้ง จะให้บอกว่าดีหรือไม่ดีคงไม่ได้ แต่หนีทัพยามบ้านเมืองมีภัย ย่อมถือว่าใช้ไม่ได้ สงสารก็แต่พรรคพวกแลญาติพี่น้องเท่านั้น เพราะหากเป็นการฆ่าล้างแค้นจริง ญาติพี่น้องแลคนที่เกี่ยวข้อง ก็ยากจะพ้นความเดือดร้อนไปได้"
แมงเม่าชักกลัวตัวเองจะซวยไปด้วย เลยเผลอใจลอย ทำกระดาษกลบทตกลงพื้น ทุกคนเลยหันไปดูเป็นตาเดียว
แมงเม่าตกใจเลยรีบหยิบขึ้นมา
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าตัวดี"
แมงเม่าอึกๆอักๆ ก่อนจะรีบปั้นยิ้ม
"เอ่อ กลบทนี้ยากนัก คงต้องขอเวลาอีกพักใหญ่เพคะ"
กรมขุนวิมลภักดีพยักหน้ารับ
"ฉันก็ว่าอย่างนั้น ถ้าเช่นนั้น เจ้าไปพักผ่อนที่เรือนคุณท้าวโสภาเถิด"
"เสด็จเพคะ วันนี้หม่อมฉันมีเวรที่ตำหนักแดง ขอไหว้วานให้คุณหลวงไปส่งแม่แมงเม่าที่เรือนหม่อมฉันแทนนะเพคะ"
"ว่าอย่างไรคุณหลวง"
ขันทองพนมมือ "นะเกล้านะกระหม่อม"
ขันทองหันไปมองแมงเม่า แมงเม่าหันมาสบตาด้วยพอดี
แมงเม่ายิ้มให้ แต่ขันทองกลับหน้าบึ้งตึงใส่ จนแมงเม่าต้องทำหน้าบึ้งตามไปด้วย
ขันทองเดินนำแมงเม่ามา แมงเม่ามีท่าทางยุกยิกอยู่ไม่สุข มองไปรอบๆตลอดเวลา
" เป็นกระไรของเจ้า เห็นลุกลี้ลุกลนแต่เมื่อครู่แล้ว"
"คุณหลวงคงไม่อยากรู้ดอกเจ้าค่ะ"
ขันทองหน้าบึ้งตึง
"เจ้ามารู้ใจฉันได้อย่างไรว่าฉันไม่อยากรู้ จะ..."
ขันทองพูดไม่ทันจบ โขลน 2-3 คนก็เดินผ่านมาพอดี
โขลน 1แซว "พ่อปันหยี วันนี้มาถึงที่นี่เชียวหรือจ๊ะ"
ขันทองหน้าเสีย โดนแซวต่อหน้าแมงเม่าก็ชักเขิน "เอ่อ จ้ะ"
แมงเม่าตะลึง มองหน้าขันทอง "พ่อปันหยี" แล้วกลั้นหัวเราะเต็มที่ เพิ่งรู้ว่าขันทอง
มีฉายาน่ารักๆซะด้วย
ขันทองมองแมงเม่าเขม็ง แต่แมงเม่าก็ทำไม่รู้ไม่ชี้
โขลน 2มองมาทางแมงเม่า "อุ๊ย แล้วนั่นใครกัน นางข้าหลวงใหม่รึ จิ้มลิ้มพริ้มเพราเชียว"
"มิใช่ดอกจ้ะ กรมขุนวิมลภักดีท่านทรงให้แม่น้องคนนี้มาถวายงานเท่านั้น นี่ฉันกำลังจะพาไปพักที่เรือนคุณท้าวโสภา"
โขลน 1"มิน่าเล่า ถ้าอย่างนั้น พวกฉันไปก่อนนะจ๊ะ พ่อปันหยีจ๋า"
โขลน 1 แอบหยิกแก้มขันทอง ขันทองสะดุ้งเฮือกรีบเบี่ยงตัวหลบ พวกโขลนหัวเราะคิกๆแล้วพากันเดินจากไป
แมงเม่ากลั้นหัวเราะสุดชีวิต "เราจะไปกันหรือยังจ๊ะ พ่อปันหยี"
ขันทองจ้องหน้าแมงเม่าตาเขียวปั้ด
"ตามฉันมา"
ขันทองจะเดินตามไป แต่แมงเม่ารีบเรียกไว้
"ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะออกหลวง"
" มีกระไรอีก"
แมงเม่ายืนบิดไปบิดมา ปวดฉี่สุดๆ ยิ้มเขินๆ
"เอ่อ คือ ฉัน ฉันปวดเบาน่ะเจ้าค่ะ ปวดมาแต่ตอนอยู่ที่เรือนแล้ว เพลานี้ใกล้จะ ราดแล้วเจ้าค่ะ"
" พูดอย่างนี้ได้อย่างไร เป็นผู้หญิงยิงเรือ ไม่มีความสำรวมเสียบ้างเลย"
แมงเม่าหมั่นไส้
"โอ๊ย มัวแต่สำรวม หากราดออกมา มิแย่ยิ่งกว่าหรือเจ้าคะ ว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ จะทนไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ"
ขันทองสุดเซ็ง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
ขันทองหน้าบึ้ง เสียงรำคาญๆ "ตามมาทางนี้"
ขันทองเดินเร็วนำไป
แมงเม่าเดินก้นบิดตัวงออย่างเร็วตามขันทองไปติดๆเพราะปวดแทบจะกลั้นไม่อยู่แล้ว
อ่านต่อตอนที่ 5