xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 3 : งัดโลงหาหลักฐาน คนขายชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 3

บทประพันธ์ : วรรณวรรธน์
บทโทรทัศน์ : เอกลิขิต

มุมหนึ่งในตลาด ผลเดินร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจากการถูกหางกระเบนเฆี่ยน โดยมีแมงเม่า และขันทอง เดินตามมา

แมงเม่ารู้สึกผิดมาก
"เจ็บมากรึอ้ายผล ข้าต้องขอโทษเอ็งด้วย ที่เป็นเหตุให้เอ็งถูกเฆี่ยน คราหน้า ข้าจะไม่เอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้อีกแล้ว"
ผลเจ็บระบม
"ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะแม่หญิง แม่หญิงปลอดภัยก็พอแล้วจ้ะ"
ทั้งสามคนเดินมาถึงเรือนหมอ
"ถึงเรือนหมอแล้ว ฉันไปหาหยูกยาใส่ก่อนนะจ๊ะ"
แมงเม่าหยิบถุงใส่เงินยื่นให้
"เอาไปเป็นค่ายาค่าหมอ ข้าจะรอเอ็งอยู่นี่ล่ะ"
ผลรับถุงใส่เงินมา แล้วเดินเข้าเรือนหมอไป
แมงเม่ารู้สึกผิด แต่พอหันกลับมา เจอขันทองมองมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงหนักกว่าเดิมอีก
แมงเม่าหน้าหงิก แต่ก็ยกมือไหว้
"ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะ ที่ออกหลวงช่วยฉันไว้"
ขันทองหน้าบึ้งตึง
"มิต้องขอบพระคุณกระไรดอก แต่จำไว้เป็นบทเรียนก็พอ ที่เจ้าซุกซนแก่นกล้าได้ ก็เพราะพ่อแม่ญาติพี่ น้องรักเอ็นดูเจ้า จะดุว่าอย่างไรก็ไม่ทำร้าย แต่ผู้อื่นเค้ามิได้รักเจ้าอย่างพ่อแม่ เพียงผิดน้อยนิด ก็พร้อมทำร้ายเจ้าเจียนตายได้ เพลาที่เจ้าดื้อดึงกับพ่อ ก็คิดถึงข้อนี้ไว้บ้าง"
แมงเม่าหน้าจ๋อยลง ยิ่งรู้สึกผิดหนักขึ้นไปอีก
"ออกหลวงพูดเสีย ฉันเป็นคนเลวนัก ฉันมิได้อยากดื้อดึงนะเจ้าคะ พ่อท่านบังคับให้ฉันดูตัว
หมดคนนั้น ก็มีคนนี้มาอีก ฉันรำคาญ จึงต้องทำเช่นนี้เจ้าค่ะ ถ้าพ่อท่านเลิกบังคับให้ฉันดูตัวเมื่อใด ฉันก็จะเลิกดื้อดึงเมื่อนั้นเจ้าค่ะ"
ขันทองหน้าหงิก
"พูดอย่างนี้ แสดงว่ายังจะทำอีกรึ ที่พูดไป ไม่ได้เข้าใจเลยหรือกระไร"
แมงเม่ายิ้มแย้ม หน้าเป็น "เข้าใจเจ้าค่ะ แลขอบพระคุณที่ออกหลวงสั่งสอน แต่ถึงอย่างไร ฉันก็จะทำอีก"
ขันทองอึ้งไปเล็กน้อย
"เกิดเป็นหญิง เรื่องคู่ครองนั้นสำคัญนัก ถ้าตามใจพ่อแม่ แล้วภายหน้าอยู่กันไม่ยืด พ่อแม่ก็ช่วยเราไม่ได้นะเจ้าคะ"
ขันทองหงุดหงิด
"แต่เกิดมา ฉันไม่เคยพบหญิงใดเป็นเหมือนเจ้ามาก่อนเลย"
แมงเม่ายิ้มทะเล้น
"ฉันก็ไม่เคยพบใคร เป็นเหมือนออกหลวงเหมือนกันเจ้าค่ะ"
ขันทองโดนยั่วกลับก็ชักโมโห เลยสะบัดหน้าเดินหนีไป
แมงเม่ามองตามแล้วยิ้มขำๆ ชักสนุกที่ได้แกล้งขันทอง แต่ก็ประทับใจในความใจดีและความ
เอื้ออาทรที่ขันทองมีให้เช่นกัน

เวลาเดียวกัน
เลื่อนนางข้าหลวงคนโปรดของเจ้าจอมเพ็ญ กำลังไล่นางข้าหลวงคนอื่นๆที่กำลังทำงานออกไป
จากตำหนัก
เลื่อนดุเสียงดัง ไล่ส่ง “มัวแต่อ้อยสร้อยอยู่นั่นล่ะ รีบๆออกไปได้แล้ว ถ้าหม่อมแม่หรือฉันไม่ได้เรียกใช้ ไม่ต้องเสนอหน้ามาเลยนะ ไป ไปให้หมด ไปๆ”
เลื่อนไล่ทุกคนออกไปจนหมด ก็มีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ภูมิใจในตัวเอง
เลื่อนหันไปพูดที่ประตู
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณ”
ทันใดนั้นเอง พระยาพลเทพก็เดินเข้าประตูมา
“เจ้าจอมท่านเล่า”
เจ้าจอมเพ็ญเดินออกมาจากข้างใน แล้วไปนั่งที่ตั่ง ก่อนที่เลื่อนจะนั่งพับเพียบลงกับพื้นใกล้ๆ
เจ้าจอมเพ็ญ พระยาพลเทพก็เดินไปนั่งที่ตั่งเล็กๆ ห่างออกไปเล็กน้อย
เจ้าจอมเพ็ญหน้าเครียด
“คุณพระนายศรีเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว ดีที่ท่านเจ้าคุณรู้เข้าหูเสียก่อน มิเช่นนั้น ออกญาสีหะราชเดชะคงเอาหลักฐานที่มีฟ้องร้องเราไปแล้ว”
“กระผมไม่เคยไว้ใจออกญาผู้นี้อยู่แล้ว จึงให้คนจับตาดูการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เห็นเงียบไปนานปี นึกว่าหมดพิษสง ที่ไหนได้ ยังย้อนกลับมาแว้งกัดเราอีกจนได้” พระยาพลเทพสีหน้าเจ็บใจ
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มเยาะ
“อย่าเรียกว่าแว้งกัดเลย เรียกว่าย้อนกลับมาหาที่ตายจักเหมาะกว่า”
“ตราบใดที่ยังจับตัวไม่ได้ ก็ยังวางใจไม่ได้ดอกขอรับ แลออกญาผู้นี้ยังมีที่พึ่งสุดท้ายอยู่” เจ้าจอมเพ็ญคิดตาม ยิ้มเจ้าเล่ห์
“กรมขุนวิมลภักดีน่ะรึ” แล้วหันไปพูดกับเลื่อน “นังเลื่อน กรมขุนท่านประทับอยู่ที่ตำหนักหรือไม่”
“อยู่เจ้าค่ะหม่อมแม่”
“ดี เช่นนั้นเอ็งไปเอากลบทที่ข้าเพิ่งแต่งเสร็จมาที ข้าจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวท่าน แลไปกราบทูลกรมขุนวิมลด้วย ว่าข้ามีกลบทใหม่ หากกรมขุนทรงอยากลองแก้กลบทให้เป็นที่สำราญพระทัย จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวพร้อมกัน”
“เจ้าค่ะหม่อมแม่”
เลื่อนคลานเข่าเลี่ยงออกไป
พระยาพลเทพยิ้มแย้ม
“เจ้าจอมช่างมีปัญญานัก ใช้กลบทดึงกรมขุนวิมลให้เข้าเฝ้าทำให้ออกญาสีหะราชเดชะไม่อาจขอความช่วยเหลือจากกรมขุนวิมลได้”
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มรับ
“แต่แผนนี้ก็ถ่วงเวลาได้ไม่นานนักดอกนะ”
“มิต้องกลัว ออกญาสีหะราชเดชะ อยู่ไม่ถึงตะวันตกดินดอกขอรับ”
พระยาพลเทพยิ้มเหี้ยม เจ้าจอมเพ็ญอมยิ้มมุมปากอย่างพอใจ

ในบริเวณวัด ขุนแผลงฤทธิ์ กับลูกน้องกลุ่มใหญ่ กำลังรุมทำร้ายพระยาสีหะราชเดชะอยู่
พระยาสีหะราชเดชะสู้ยิบตา แม้จะบาดเจ็บจากเมื่อคืนก็ไม่ยอมแพ้ จมื่นศรีสรรักษ์กับพระสงฆ์รูปหนึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ
พระร้อนใจสุดๆ พยายามห้าม
“โยม หยุดเถิดโยม ที่นี่เป็นเขตอภัยทาน อย่าฆ่าฟันกันเลย มันเป็นบาป”
จมื่นศรีสรรักษ์ตะคอก
“หยุดเทศน์เสียทีน่ะหลวงพ่อ ให้ที่ซ่อนโจร ไม่จับสึกก็บุญแล้ว ยังจะพูดมากอีก”
พระชักกลัว เลยไม่กล้าพูดอะไรอีก
พระยาสีหะราชเดชะบาดเจ็บอยู่ แผลจากเมื่อคืนเลือดไหลออกมาอีก แต่ก็สู้ไม่ถอย จนพวกลูกน้องพระยาพลเทพเข้าไปทำร้ายง่ายๆไม่ได้
ขุนแผลงฤทธิ์เห็นลูกน้องไม่ได้เรื่อง เลยบุกเข้าไปเอง
ขุนแผลงฤทธิ์ควงดาบรุกไล่อย่างหนัก ก่อนจะได้โอกาสถีบพระยาสีหะราชเดชะล้มลง
แล้วใช้ดาบแทงเข้าที่ท้องทันที
พระยาสีหะราชเดชะโดนแทงเข้าที่ท้องเต็มๆ จนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ขุนแผลงฤทธิ์ชักดาบออกมา แล้วจะฟันซ้ำให้ตาย แต่พระยาสีหะราชเดชะ รีบกำดินขว้างใส่ตา
ขุนแผลงฤทธิ์ทันที
ขุนแผลงฤทธิ์โดนทรายขว้างเข้าตา ก็ระคายเคือง รีบผงะถอยทันที “โอ๊ย”
พระยาสีหะราชเดชะฉวยโอกาสลุกขึ้น แล้วฟันสวนเพื่อเปิดทาง ก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอีกทาง
จมื่นศรีสรรักษ์ตะโกนสั่ง “ตามไปเร็ว”

จมื่นศรีสรรักษ์รีบวิ่งนำลูกน้องตามพระยาสีหะราชเดชะไปทันที

แมงเม่า กับผล เดินคุยกันมา บริเวณด้านหลังของกำแพงวัง ซึ่งเงียบสนิท ไม่มีใครผ่านไปมา

ผลมีผ้าพันแผลบริเวณที่ถูกหางกระเบนเฆี่ยนมาด้วย
“กรมขุนท่านทรงเข้าเฝ้าอยู่ เราไม่มีที่ไปแล้ว กลับเรือนกันเถิดแม่หญิง”
“เพิ่งบ่ายคล้อย ยังกลับไม่ได้ดอกวะ ต้องรอเย็นก่อน พ่อข้ากินสำรับเย็นแล้ว จะได้ดุด่าข้าน้อยลง”
“ถ้ากระนั้น เราจะไปอยู่ที่ไหนกันดีล่ะแม่หญิง”
แมงเม่ายังไม่ทันตอบ พระยาสีหะราชเดชะในสภาพเลือดท่วมตัว ก็วิ่งสวนมา ก่อนจะล้มคว่ำลงห่างจากแมงเม่าไม่มาก
แมงเม่า และผล ตกใจสุดๆ รีบเข้าไปดูอาการทันที
แมงเม่าตกใจสุดๆ
“พ่อลุงเกิดกระไรขึ้น” แล้วหันไปสั่งผล “อ้ายผล ไปตามคนละแวกนี้มาช่วยที”
“ ได้จ้ะแม่หญิง”
ผลรีบวิ่งไปอีกทางทันที
แมงเม่าประคองศีรษะพระยาสีหะราชเดชะขึ้นมา “พ่อลุง ทำใจดีๆไว้นะจ๊ะ”
พระยาสีหะราชเดชะเสียเลือดมาก บาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย
“กรม กรม ...”
แมงเม่าแปลกใจ “กรม กรมกระไรกัน พ่อลุงจะไปที่กรมใดรึ”
พระยาสีหะราชเดชะแข็งใจสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหยิบกลักดีบุกเล็กๆ ทรงกระบอก
ขนาดประมาณนิ้วก้อย สลักลวดลายผีเสื้อออกมา
พระยาสีหะราชเดชะพยายามยื่นกลักนั้นให้แมงเม่า แต่ไม่สำเร็จ หมดแรงขาดใจตายไปก่อน
กลักดีบุกนั้นเลยหล่นลงพื้น ห่างจากตัวแมงเม่าไปเล็กน้อย
แมงเม่าตกใจสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนตายต่อหน้า
ขณะนั้นเอง จมื่นศรีสรรักษ์ และขุนแผลงฤทธิ์ ก็นำพวกลูกน้องมาถึง
จมื่นศรีสรรักษ์ตะคอก “เฮ้ย ไสหัวไป”
จมื่นศรีสรรักษ์เข้าไปผลักแมงเม่าออกจากศพของพระยาสีหะราชเดชะ
จังหวะที่แมงเม่าถูกผลัก ตัวแมงเม่าเลยทับกลักดีบุก ทำให้ไม่มีใครเห็นกลักบนพื้น...
แมงเม่าโมโห “โอ๊ย นี่ต้องรุนแรงกันด้วยรึ”
จมื่นศรีสรรักษ์ตะคอก
“หุบปากนังไพร่ ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้เลย”
ขุนแผลงฤทธิ์กับลูกน้องรีบเข้ามาดูศพพระยาสีหะราชเดชะ
แผลงฤทธิ์ตรวจดูจนแน่นใจว่าตายแน่
“มันตายแล้ว ช่วยกันค้นศพเร็ว”
จมื่นศรีสรรักษ์ และ ขุนแผลงฤทธิ์ และลูกน้องช่วยกันค้นศพทันที ค้นละเอียดยิบ ไม่ว่าเสื้อผ้า
รอยตะเข็บ ดาบที่พกติดตัว ฯลฯ
แมงเม่าโมโห แต่ทำอะไรไม่ได้ เลยจะลุกขึ้น จังหวะนั้นเอง แมงเม่าก็รู้สึกว่าตนเองทับอะไรบางอย่างอยู่ เลยหยิบออกมาดู
เห็นเป็นกลักดีบุกที่พระยาสีหะราชเดชะหยิบออกมา
แมงเม่าตกใจ เหล่มองไปทางพวกจมื่นศรีสรรักษ์ มั่นใจว่าคนพวกนี้ต้องค้นของสิ่งนี้แน่ แมงเม่าเลยแอบเก็บกลักดีบุกไว้ที่ชายพก แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีไป ปล่อยให้พวกจมื่นศรีสรรักษ์ค้นศพกันวุ่นวายต่อไป

บนเรือนพระยาพลเทพตอนเย็น
พระยาพลเทพกำลังหงุดหงิด ไม่พอใจ
“ จะไม่เจอได้อย่างไร มีรึ เจ้าคุณสีหะราชเดชะ จะลอบเข้ามาอโยธยาตัวเปล่าๆให้ฆ่าเล่น”
พระยาพลเทพกำลังหงุดหงิดใส่ขุนแผลงฤทธิ์ และจมื่นศรีสรรักษ์ อยู่ที่ห้องทำงานในเรือนตน
แผลงฤทธิ์ก็เครียดเช่นกัน
“แต่กระผมค้นศพจนทั่วแล้วนะขอรับ เหลือก็แต่ผ่าศพออกดูเท่านั้น แต่ออกญาสีหะราชเดชะ หวังจะใช้หลักฐานนี้มาฟ้องร้องพวกเรา คงไม่กลืนหลักฐานลงไปเป็นแน่”
“ ถ้าไม่มีที่ศพ ก็ต้องซ่อนไว้ที่อื่น ลองทบทวนดูซิ ว่าท่านขุนไล่ตามเจ้าคุณสีหะราชเดชะไปที่ใดบ้าง”
ขุนแผลงฤทธิ์คิดทบทวน ว่าระหว่างตามล่า มีจังหวะไหนที่พระยาสีหะราชเดชะจะเอาหลักฐานไปซ่อนได้
จมื่นศรีสรรักษ์เครียดหนัก
“ตกลง ท่านเจ้าคุณกับคุณพี่เจ้าจอมของกระผม ทำกระไรกันแน่ เหตุใดต้องกลัวหลักฐานในมือของออกญาสีหะราชเดชะถึงเพียงนี้ด้วย”
พระยาพลเทพหงุดหงิด
“คุณพระนายอยากรู้ ก็ไปถามเจ้าจอมท่านเองเถิด”
จมื่นศรีสรรักษ์ไม่พอใจ
“โยนกันไปโยนกันมาอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกันเล่าขอรับ กระผมสู้เสี่ยงทำการอุกอาจ ไล่ล่าคนไปครึ่งค่อนอโยธยา ก็เพื่อจะช่วยคุณพี่เจ้าจอมกับท่านเจ้าคุณ แล้วเหตุใด ถึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังไม่ได้”
พระยาพลเทพลังเล ไม่ค่อยไว้ใจจมื่นศรีสรรักษ์นัก แม้จะเป็นน้องชายเจ้าจอมเพ็ญ แต่ก็ไม่ได้คิดเห็นตรงกับตนซักเท่าไหร่
จมื่นศรีสรรักษ์จ้องเขม็งมาที่พระยาพลเทพ เหมือนรอคำตอบ
พระยาพลเทพถอนใจเซ็งๆ ไม่อยากเล่าแต่ก็ต้องเล่าจนได้

ย้อนไป 4 ปีก่อน ตอนกลางวัน
พระยาสีหะราชเดชะกำลังโมโหสุดๆ โวยวายใส่พระยาพลเทพและขุนนางอื่นๆอีก 3-4 คนที่ประชุมกันอยู่ในกระโจม
พระยาสีหะราชเดชะโมโหสุดขีด
“เสือขุนทองปล้นกองเสบียงของอังวะ เป็นความลับสุดยอด นอกจากพวกเราที่อยู่กันในที่นี้ ก็ไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องนี้อีก แล้วอังวะจะวางแผนตลบหลัง จนเสือขุนทองตายได้อย่างไร ถ้ามิใช่อ้ายไส้ศึกในนี้มันคาบไปบอก”
พระยาพลเทพปั้นหน้าเครียด แกล้งไกล่เกลี่ย
“ใจเย็นก่อนเถิดท่านเจ้าคุณ เพลานี้บ้านเมืองมีศึก อย่าพูดจาเช่นนี้ให้เสียน้ำใจกันเลย”
พระยาสีหะราชเดชะโมโหสุดขีด
“ไม่พูดตอนนี้ หรือจะรอให้กรุงแตกเพราะน้ำมือคนทุรยศก่อน แล้วค่อยพูดเล่าขอรับ”
ขุนนาง 1โมโห
“เที่ยวกล่าวหาผู้อื่นลอยๆ หลักฐานก็ไม่มี ถ้าพวกเราถูกสงสัยว่าเป็นคนทุรยศ” แล้วชี้หน้าพระยาสีหราชเดชะ “ตัวท่านเจ้าคุณเอง ก็อยู่ในข่ายเป็นคนทุรยศเช่นกัน”
พระยาสีหะราชเดชะโมโหสุดๆ ชักดาบออกจากฝักทันที
พระยาพลเทพตวาดห้าม
“เก็บดาบประเดี๋ยวนี้ ท่านเจ้าคุณ ไม่เห็นแก่ฉันที่ได้อาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพ ก็เห็นแก่บ้านเมืองบ้างเถิด อังวะยิงปืนใหญ่ทั้งวันแลคืนอย่างนี้ นอกจากจะไม่ออกไปสู้กับมันแล้ว ยังมาห้ำหั่นกันเองอีก ไม่ละอายใจบ้างเลยรึ”
พระยาสีหะราชเดชะขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ยอมเก็บดาบ
“กระผมจะพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ให้จงได้ อ้ายคนทุรยศ เนรคุณแผ่นดิน มันต้องไม่ตายดี”
พระยาสีหราชเดชะเดินออกจากกระโจมไปด้วยความโกรธจัดทันที
พระยาพลเทพมองตาม ส่ายหน้าเอือมระอา แต่ในใจคิดวางแผนไว้แล้วว่าจะทำไงต่อ

ต่อมา ณ ป่าช้าในวัดแห่งหนึ่ง
ลูกน้องพระยาสีหะราชเดชะ กำลังขุดศพของขุนทองอยู่ โดยมีท่านพระยายืนคุมอยู่ ด้วยสีหน้าเศร้าใจ
“ อังวะเป็นข้าศึกศัตรูแท้ๆ ยังกลบฝังศพทำพิธีให้ แต่คนไทด้วยกัน กลับหักหลังกันเอง เสือกไสให้มาตาย น่าอเนจอนาถนัก”
ขณะนั้นเอง พวกลูกน้องก็ขุดลงไปจนเจอโลงของเสือขุนทอง
“เจอโลงแล้วขอรับ”
“ รีบงัดโลง”
พวกลูกน้องช่วยกันงัดโลงออก ศพเสือขุนทองอยู่ข้างในโลง แม้ว่าเสือขุนทองยังตายไม่ครบ
ยี่สิบสี่ชั่วโมง ศพแข็งแล้ว บวมแต่ยังไม่เน่า
พระยาสีหราชเดชะรีบลงไปตรวจดูศพเสือขุนทองทันที โดยมีลูกน้องคอยถือคบไฟส่องให้
พระยาสีหะราชเดชะทั้งค้นตัว ตรวจดูมือ ซอกเล็บ เสื้อผ้า ฯลฯ
ลูกน้อง 1แปลกใจ
"ท่านเจ้าคุณแน่ใจหรือขอรับ ว่าเสือขุนทองมีหลักฐานสาวถึงตัวคนทุรยศได้"
พระยาสีหะราชเดชะค้นศพไปพูดไป
"ก่อนตาย อ้ายเสือขุนทองมันบอกกับข้า ว่าตอนที่มันบุกปล้นค่ายอังวะ มันเจอคนไทในค่าย มันสงสัย เลยจับตัวไว้ แต่อ้ายคนนั้นชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน มันค้นตัวดู พบของสิ่งหนึ่งเป็นพิรุธ คาดว่าอาจเป็นข่าวที่อ้ายไส้ศึกลอบส่งให้อังวะ แต่ของสิ่งนี้ต้องตีความก่อน จึงจะรู้ความลับที่ซ่อนอยู่" แล้วถอนใจก่อนพูดต่อ "คิดมิถึง วันต่อมามันก็ตาย"
มิทันได้ตีความอันใด
พระยาสีหะราชเดชะค้นจนทั่วก็ไม่เจออะไรหลักฐานซักอย่าง
"ค้นจนทั่วแล้ว ไม่เห็นเจอกระไรเลยขอรับ"
พระยาสีหะราชเดชะคิดหนัก ขณะนั้นเอง ก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้น สายตาพระยาสีหะราชเดชะ เห็นสร้อยคอของเสือขุนทอง แขวนเครื่องรางของขลังหลายอย่าง ทั้งตะกรุด เขี้ยวเสือ ฯลฯ
พระยาสีหราชเดชะค้นที่สร้อยคอของเสือขุนทองอย่างละเอียด เห็นกลักขนาดเล็กแกะสลักลายรูปผีเสื้อแขวนอยู่ ดูผ่านๆเหมือนตะกรุดอันหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าพิจารณาดูดีๆ จะพบว่าแตกต่างจากของขลังอันอื่น
พระยาสีหะราชเดชะดีใจสุดๆ "เจอแล้ว" แล้วดึงกลักออกจากสร้อยคอเสือขุนทองทันที
พระยาสีหะราชเดชะดูกลักลายผีเสื้ออย่างพิจารณา รู้สึกคุ้นๆกับลายบนกลัก
"ลวดลายผีเสื้อ" พลางฉุกคิดขึ้น ตกใจสุดๆ รีบหันไปสั่งลูกน้อง
"รีบฝังศพตามเดิม แล้วตามข้าไปที่นัดกันไว้"
พระยาสีหะราชเดชะรีบเดินเลี่ยงไปทันที
พวกลูกน้องก็ช่วยกันปิดฝาโลงเพื่อฝังศพเสือขุนทองอย่างเดิม

ลูกน้องคนนั้นแอบมองตามพระยาสีหะราชเดชะไปด้วยท่าทางมีพิรุธ ด้วยเป็นไส้ศึกของพระยาพลเทพ

ลูกน้องพระยาสีหะราชเดชะ คนที่เป็นไส้ศึก กำลังคุกเข่ารายงานให้พระยาพลเทพฟัง

"อ้ายพระยาหัวเมือง สาระแนนัก แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ใด"
"เจ้าคุณสีหะราชเดชะหนีกลับไปบ้านเดิมของตนแล้วขอรับ กระผมเกรงจะบอกท่านเจ้าคุณไม่ทัน เลยลอบหลบออกมา ป่านฉะนี้ พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่ากระผมเป็นไส้ศึกที่ถูกส่งมา"
พระยาพลเทพเจ็บใจ ขบกรามแน่นด้วยความแค้น มึงหนีได้ก็หนีไป โผล่หัวมาเมื่อใด กูจะไม่ให้มึงมีลมหายใจอีกเป็นอันขาด"

จมื่นศรีสรรักษ์ฟังเรื่องจากพระยาพลเทพด้วยความตกใจสุดๆ
" นี่ท่านเจ้าคุณกับคุณพี่ คบคิดกันเป็นกบฏเชียวรึ"
" มิใช่กบฏ ฉันกับเจ้าจอมท่าน เพียงแต่ส่งสารขอยอมแพ้ แลขอให้ไว้ชีวิตยามเสียเมืองเท่านั้น แลมิใช่ฉันกับเจ้าจอมท่านเท่านั้นดอกที่ทำเช่นนี้ เจ้าคุณผู้ใหญ่หลายคนก็ลอบทำกัน เพราะเพลานั้น
ไม่ว่าใครก็คิดว่าต้องเสียกรุงเป็นแน่ ใครเล่าจะนึก ว่าพระเจ้าอลองพญาจะสิ้นพระชนม์ เป็นเหตุให้อังวะยกทัพกลับ"
จมื่นศรีสรรักษ์เครียดหนัก
"มิน่าเล่า เมื่อไม่เสียกรุง หนังสือนั้นก็เท่ากับเป็นหลักฐานว่ากบฏคิดคดทุรยศ ท่านเจ้าคุณกับคุณพี่เจ้าจอม ถึงต้องตามฆ่าเจ้าคุณสีหะราชเดชะให้จงได้" แล้วฉุกคิดขึ้น "ประเดี๋ยวก่อน เจ้าคุณสีหะราชเดชะมีหลักฐานในมือ แล้วเหตุใดต้องรอถึงสี่ปี ถึงเพิ่งคิดจะฟ้องร้องเอาผิดกันเล่า"
ขุนแผลงฤทธิ์บอก
"หนังสือฉบับนั้น เขียนด้วยกลบทพิสดาร คุณพระนายก็ทราบ ว่าท่านเจ้าคุณเป็นเอกในเชิงอักษร ถ้าไม่บอกวิธีถอดความ พวกอังวะเองก็ถอดมิได้ อย่าว่าแต่ท่านเจ้าคุณสีหะราชเดชะเลย ฉะนั้น กว่าจะตีความได้ก็ต้องรอถึงสี่ปีอย่างไรเล่า"
พระยาพลเทพบอก
"อีกประการ หลังจากวันนั้น ฉันเอาผิดเจ้าคุณสีหะราชเดชะ ฐานหนีทัพกลางศึก เจ้าคุณสีหะราชเดชะสูญสิ้นอำนาจบารมี จึงไม่อาจย้อนกลับมาเอาผิดฉันได้โดยเร็ว"
ศรีสรรักษ์เครียดหนัก
"ไม่น่าเลยจริงๆ"
พระยาพลเทพตบบ่าจมื่นศรีสรรักษ์
"อย่ามัวแต่คิด ถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วเลย เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าจอมท่านก็กำลังรุ่งเรือง
คุณพระนาย จะยอมให้เจ้าจอมสูญสิ้นทุกสิ่งเชียวรึ"
"ท่านเจ้าคุณ ไม่ต้องยกคุณพี่เจ้าจอมมาอ้างดอก อย่างไรเสีย กระผมก็ต้องช่วยเหลือท่านเจ้าคุณอยู่แล้ว ขอเพียงไม่ทุรยศต่อบ้านเมืองเท่านั้นก็พอ"
พระยาพลเทพพนมมือขึ้น
"ฉันขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง หากฉันมีจิต คิดเนรคุณต่อบ้านเมืองแล้วไซร้ ก็ขอให้มิได้ตายดี คุณพระนายคงพอใจแล้วกระมัง"
จมื่นศรีสรรักษ์ถอนใจเฮือกใหญ่ พระยาพลเทพพูดขนาดนี้ ตนก็ไม่ควรพูดมากอีก
จมื่นศรีสรรักษ์คิดอยู่ครู่หนึ่ง
"ขณะเจอศพเจ้าคุณสีหะราชเดชะ เจ้าคุณมิได้อยู่คนเดียว"
พระยาพลเทพตกใจ
"หมายความว่ากระไร มีใครอยู่ด้วยรึ"
ขุนแผลงฤทธิ์ฉุกคิด
"จริงซี มีแม่หญิงผู้หนึ่งแต่งตัวเลียนแบบชาย อยู่ใกล้ศพเจ้าคุณสีหะราชเดชะ หรือหลักฐานนั้นจะอยู่กับนางคนนั้น"
ทั้งสามคนหันไปมองหน้ากัน เริ่มได้เบาะแสบางอย่างเพิ่มขึ้น

คืนนั้น ในห้องนอน
แมงเม่ากำลังถือกลักลวดลายผีเสื้อ สีหน้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่สายตามองไปที่กลักในมือของตน
แมงเม่าสองจิตสองใจ ใจนึงก็อยากรู้ว่าในกลักมีอะไร แต่อีกใจก็กลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แมงเม่ายื่นมือไปที่ฝากลัก จะดึงออกเพื่อดูว่าข้างในมีอะไร แต่ทันใดนั้น ก็นึกถึงการตายของ
พระยาสีหะราชเดชะขึ้นมา
... พระยาสีหะราชเดชะแข็งใจสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหยิบกลักดีบุกเล็กๆ ทรงกระบอก ขนาดประมาณนิ้วก้อย สลักลวดลายผีเสื้อออกมา
พระยาสีหะราชเดชะพยายามยื่นกลักนั้นให้แมงเม่า แต่ไม่สำเร็จ หมดแรงขาดใจตายไปก่อน กลักดีบุกนั้นเลยหล่นลงพื้น ห่างจากตัวแมงเม่าไปเล็กน้อย
แมงเม่าตกใจสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนตายต่อหน้า

แมงเม่ารีบกำกลักไว้ในมือ แล้วหลับตาแน่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนครู่หนึ่งจะทำใจได้ เลยค่อยๆลืมตาขึ้น สงบสติอารมณ์
"ถือว่าทำเพื่อคนตายเถิด เจ้าแมงเม่า"
แมงเม่าตัดใจเปิดฝากลักดีบุกออก ฝากลักมีขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย จึงค่อยๆเปิดออกอย่างระมัดระวัง
พอเปิดออก ก็พบว่าข้างในมีม้วนกระดาษเล็กๆม้วนหนึ่ง ซ่อนอยู่
แมงเม่าค่อยๆหยิบกระดาษออกมาด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัว อยากรู้ว่าข้างในซ่อนความลับอะไรไว้ ถึงขนาดต้องฆ่ากัน
แมงเม่าคลี่กระดาษออกมา แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อพบว่าเป็นกระดาษเปล่าๆ ไม่ได้เขียนอะไรไว้
แม้แต่น้อย
แมงเม่าพลิกกระดาษไปมาจนแน่ใจ
"กระดาษเปล่า นี่ฆ่าแกงกันเพื่อกระดาษเปล่ารึ"
แมงเม่าสีหน้าติดใจสงสัย

มุมหนึ่งในวัง พระยากำแหงกำลังเดินตรวจเวรยามตอนกลางคืนอยู่
ทหารที่เดินเวรยามเจอพระยากำแหงเข้าก็หยุดยืนตรงเป็นเชิงทำความเคารพ พระยากำแหงพยักหน้ารับ ทหารก็เดินเวรยามต่อไป
พระยากำแหงเดินมาอีกซักพัก ก็เหลือบเห็นขันทองเดินอยู่คนเดียวในเงามืด
พระยากำแหงเพ่งตามอง เห็นขันทองเดินอยู่คนเดียว มองไปรอบๆเหมือนกลัวคนเห็น ก่อนจะรีบเดินไปท่าทางมีพิรุธ
ออกญาวังสงสัย "หลวงศรีขันทิน"

พระยากำแหงรู้สึกว่าขันทองมีพิรุธเลยรีบสะกดรอยตามไป

พระยากำแหงตามมาถึงท้ายวัง เห็นหลังขันทองเดินเลี้ยวไป ก็รีบตามไป

พระยากำแหงตามมาถึงท้ายวัง จุดเดียวกับที่ขันทองมุดท่อลอบออกจากวัง แต่กลับไม่เห็น
ขันทองแล้ว
พระยากำแหงมองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ บ่นพึมพำ
"หายตัวได้หรือไร"
พระยากำแหงยิ่งสงสัยหนัก รีบหันกลับ กะจะไปสืบเรื่องขันทอง
แต่ก็ต้องตกใจสุดตัว เมื่อหันกลับมาเจอขันทองยืนอยู่ข้างหลังตน
"คุณหลวง"
ขันทองยิ้มบางๆ
"ก็ดีฉันน่ะซีเจ้าคะ อย่าบอกนะเจ้าคะ ว่าท่านเจ้าคุณสะกดรอยตามดีฉันมา โดยไม่รู้ว่าดีฉันเป็นผู้ใด"
" ฉันไม่ได้สะกดรอยตาม ฉันเพียงแต่ตามมาดูให้รู้แน่ ว่าคุณหลวงมาทำกระไรลับๆล่อๆที่นี่"
"ดีฉันมาแจ้งเหล่ามหาดเล็ก เรื่องการส่งห้ามคนใหม่ไปตำหนักพระองค์เจ้าเชษฐ์วันพรุ่ง เสร็จแล้ว จึงมาเดินเล่นหย่อนใจที่นี่เท่านั้น"
พระยากำแหงยิ้มเยาะ
"หย่อนใจที่ประตูผีนี่น่ะรึ"
"ดีฉันไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ รู้แต่ว่าที่นี่เงียบสงบ เต็มไปด้วยลมพัดเย็น อ่อนโยน แต่ไม่รู้เลย ว่าจะมีผู้ติดตามมาให้ความบันเทิงแก่ดีฉันมากกว่านั้น"
พระยากำแหงชักโมโห เสียงดุ
"ไม่ใช่หน้าที่ฉันต้องให้ความบันเทิงแก่ผู้ใด" แล้วก้าวเข้าหาขันทอง จ้องหน้าอย่างจับผิด "แต่ฉันกำลังจับตาดูคนที่ฉันสงสัยอยู่ต่างหาก"
ขันทองยิ้มแย้ม
"ดีฉันเป็นแค่ขันที จะมีอันใดน่าสงสัย เว้นเสียแต่..."
ขันทองขำๆอยู่ในที
"แต่กระไร" เจ้าคุณขยับตัวเข้าประชิด จ้องหน้าอย่างไม่พอใจ
ขันทองจงใจแกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้หน้าพระยากำแพง แกล้งสูดลมหายใจลึกๆ
"กลิ่นแป้งจากกายท่านเจ้าคุณหอมนัก" ขันทองยิ้มกรุ้มกริ่ม "ท่านเจ้าคุณคิดหรือไม่เจ้าคะ ว่าเข้าใกล้ดีฉันเกินไปแล้ว"
พระยากำแหงหน้าถอดสี รีบขยับถอยออกมาทันที ตะกุกตะกัก
"ฉันไม่ได้อยากเข้าใกล้คุณหลวง แค่จะถามความเท่านั้น"
ขันทองมองพระยากำแหง ยิ้มขำๆอย่างไม่เชื่อ ประมาณว่าพระยากำแหงแก้ตัวจริงๆแล้วอยากใกล้ชิดตนมากกว่า
ขันทองแกล้งมองตาพระยากำแหง ส่งสายตาวิบวับ
พระยากำแหงรู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วนใจ รีบเดินหนีไปทันที
ขันทองเป่าปากโล่งอก เอาตัวรอดมาได้หวุดหวิด ก่อนจะขำๆ ที่ตัวเองที่ต้องใช้วิธีนี้เอาตัวรอด

เช้าวันใหม่ บนเรือนมิ่ง ทุกคนกำลังทำงานกัน สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
บรรดาทาสยกสำรับอาหารเช้ามาให้มิ่ง ชื่น มิ่งหน้าหงิกงอเพราะลูกสาวก่อเรื่องไว้ ยังไม่หายเคือง
ฝ่ายชื่นเอาใจเต็มที่
"มื้อนี้ ฉันให้พวกบ่าวทำแต่ของชอบของพี่ทั้งนั้น กินให้มากๆนะจ๊ะ"
มิ่งหน้าหงิก แต่ก็ล้างมือในขัน แล้วเปิบข้าวเข้าปาก
ขณะนั้นเอง แมงเม่าก็เดินออกมาจากข้างใน แมงเม่ามีสีหน้าเคร่งเครียด คิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้น
มิ่งเห็นหน้าลูกสาว ก็เบือนหน้าไปทางอื่น เพราะยังโกรธอยู่
แมงเม่าเห็นพ่อ ก็รีบปั้นยิ้มเข้าไปประจบทันที
"มีกระไรกินบ้างจ๊ะพ่อ"
มิ่งไม่ตอบ หน้าหงิกงอ กินข้าวต่อไป
แมงเม่าหน้าเสีย รู้ว่าทำให้พ่อไม่พอใจ เลยไม่กล้าพูดมาก หันไปพูดกับชื่น
"น้าชื่นจ๊ะ พี่ม่วงล่ะจ๊ะ แต่เช้ามาฉันยังไม่เห็นเลย"
ชื่นคิดทบทวน
"เอ น้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน ลองถามพวกบ่าวดูซี"
แมงเม่าเดินเลี่ยงมา เพื่อจะตะโกนเรียกสมุนคู่ใจ
"อ้ายติ่น อ้ายผล มาหาข้าที อ้ายติ่น อ้ายผล"
มิ่งหน้าบึ้งตึงบอก "เรียกจนเสียงแหบ พวกมันก็ไม่ได้ยินดอก"
แมงเม่าแปลกใจ
"ทำไมเล่าพ่อ อ้ายติ่นอ้ายผลไม่อยู่รึ"
"ข้าไล่ส่งมันออกไปแล้ว พวกมันช่วยเอ็งหักหน้าข้า จะเลี้ยงไว้ทำกระไร"
แมงเม่าตกใจ รีบวิ่งลงจากเรือนทันที เพื่อจะไปตามลูกน้องด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกน้องทั้งสองต้องตกงาน
แต่พอลงจากเรือน ติ่น กับผลก็วิ่งมาทันที
"แม่หญิง เรียกพวกฉันหรือ"
แมงเม่างงเป็นไก่ตาแตก
"อ้ายติ่น อ้ายผล พวกเอ็งไม่ได้ถูกพ่อไล่ตะเพิดออกจากเรือนไปแล้วรึ"
ติ่น กับผล หันไปมองหน้ากันแบบงงๆ
ขณะนั้นเอง มิ่งก็เดินมาที่หน้าเรือน
"ถูกหลอกเข้าให้บ้าง รู้สึกอย่างไรเล่า"
แมงเม่าหันไปมองทางพ่อ
มิ่งหน้าบึ้งตึง เดินกลับเข้าข้างในไป
แมงเม่ามองตามหน้าเสีย ตนหลอกพ่อหลายต่อหลายครั้ง จนพอพ่อโกรธเข้าจริงๆก็รู้สึกผิดขึ้นมา

ต่อมา แมงเม่าค่อยๆเปิดประตูห้องนอนพ่อด้วยท่าทางจ๋อยๆ
พอมองเข้าไปข้างในก็เห็นพ่อนั่งตรวจบัญชีอยู่ที่เก้าอี้
มิ่งเหลือบไปเห็นลูกสาว ก็ปิดสมุดบัญชีทันที แล้วเมินหน้าไปทางอื่น
แมงเม่าหน้าเสีย ก่อนจะคุกเข่า แล้วคลานเข่าเข้าไปหาพ่อ
แมงเม่าจ๋อยๆ รู้สึกผิด เลยพยายามประจบพ่อ
"พ่อจ๋า เมื่อครู่ฉันเห็นพ่อกินข้าวไปนิดเดียวเอง พ่ออิ่มหรือจ๊ะ ให้ฉันยกสำรับมาให้พ่อกินต่อนะจ๊ะ”
มิ่งงอนลูก เมินหน้าไปทางอื่น ไม่พูดด้วย
แมงเม่าหน้าเสีย ก้มลงกราบที่ตักพ่อ
"ฉันรู้ว่าฉันผิด ที่ทำให้พ่อต้องเสียหน้าแลสร้างความลำบากให้พ่อมาหลายครา ฉันยอมให้พ่อลงโทษทุกอย่าง โดยไม่ปริปากสักคำ ข้อเพียงสองข้อ"
มิ่งเหลือบตามองแมงเม่า
"หนึ่ง พ่ออย่าถือโทษโกรธเคืองฉันอีกเลย กับสอง พ่ออย่าให้ฉันไปเที่ยวดูตัว เหมือนเร่ขายของตามตลาดอีกเลยนะจ๊ะ"
มิ่งยัวะ "เอ็งยังมีหน้ามาขอข้าอีกรึนังแมงเม่า ข้าต้องถูกคนถอนหงอกมาเท่าใด แลเป็นขี้ปากให้คนเค้านินทาไปทั่วคุ้งน้ำก็เพราะเอ็ง ถ้าเอ็งไม่อยากให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับเอ็งอีก เอ็งก็ไม่ต้องมาเป็นลูกข้า จะไปที่ใดก็ไป"
แมงเม่าเข้าไปกอดขาพ่อทันที
"ไม่จ้ะ ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ที่นี่ เป็นลูกพ่อ เป็นลูกพ่อไปทุกๆชาติเลย"
มิ่งยังเจ็บใจ ดึงขาออก ไม่ยอมพูดอะไร
"พ่อจ๋า ฉันรู้ว่าพ่ออยากให้ฉันเป็นฝั่งเป็นฝาจะได้หมดห่วง แต่พ่อตรองดูนะจ๊ะ ว่าฉันต้องไปเป็นเมีย ใครก็ไม่รู้ นิสัยใจคอก็ยังไม่กระจ่าง เพียงเห็นหน้ากันคราสองครา หากเกิดอยู่กันไม่ยืด พ่อจะไม่ยิ่งเป็นห่วงฉันมากกว่าเดิมหรือจ๊ะ แลที่สำคัญ ฉันอยากอยู่ปรนนิบัติพ่อมากกว่า พ่ออย่าขับไล่ไสส่งฉันไปที่ใดเลยนะจ๊ะ"
มิ่งยังงอนอยู่ แต่ใจเริ่มอ่อนไปมากแล้ว
"อ้ายเรื่องประจบประแจง หาตัวจับยากนัก"
แมงเม่าแอบยิ้ม รู้ว่าพ่อใจอ่อนแล้ว ปั้นหน้าจ๋อยต่อ
"ฉันพูดเรื่องจริงนะจ๊ะพ่อ" แล้วบีบน้ำตาซ้ำ "ฉันเกิดมา ก็มีแต่พ่อเท่านั้น หน้าตาแม่เป็นอย่างไรฉันก็จำไม่ได้ พ่อยังจะทิ้งฉันลงอีกหรือจ๊ะ"
มิ่งใจอ่อน ลูบหัวลูกด้วยความรักเอ็นดู
"แมงเม่าเอ๊ย เอ็งมันไม่รู้หัวอกพ่อ ถึงได้ดื้อดึงไม่ฟังคำกัน เกิดเป็นหญิง ไม่มีชายคุ้มครองดูแล ไหนเลยจะปลอดภัยได้"
แมงเม่าออดอ้อนกอดขาพ่อไม่ปล่อย
มิ่งพูดด้วยความเป็นห่วง
"พ่อมีเอ็งตอนแก่ ห่วงเอ็งยิ่งกว่าห่วงชีวิตตัวเองเสียอีก ถ้าพ่อตายไป แล้วเอ็งจะอยู่กับใคร"
"ฉันก็อยู่กับพี่ม่วงอย่างไรล่ะจ๊ะ พี่ม่วงดูแลฉันได้ พ่ออย่าห่วงเลย"
มิ่งส่ายหน้า
"อยู่กับพี่ชาย อย่างไรก็สู้มีเหย้าเรือนของตัวเองไม่ได้ดอก เอาเถิด พ่อบังคับให้เอ็งออกเรือนไม่ได้ ก็จะเลิกหาคู่ให้เอ็งแล้ว"
แมงเม่าดีใจมาก "จริงหรือจ๊ะพ่อ"
มิ่งพยักหน้ารับ
"จริง พ่อจะส่งเอ็งเข้าวังไปอยู่กับกรมขุนท่านแทน มีบารมีท่านคุ้มครอง พ่อก็คงตายตาหลับได้"
แมงเม่าตกใจสุดๆ "เข้าวัง"

แมงเม่าเครียดหนักกว่าเดิม ถ้าเข้าวังตนก็หมดอิสรภาพ ยิ่งกว่าแต่งงานออกไปเสียอีก

กรมขุนวิมลภักดีกำลังอ่านโคลงกลอนที่เจ้าจอมอำพันเขียนแก้ถวาย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

กรมขุนวิมลภักดีประทับนั่งอยู่บนตั่ง โดยมีเจ้าจอมเพ็ญ เจ้าจอมอำพัน นั่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ในลำดับต่ำกว่า ในขณะที่ขันทองนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆกรมขุนวิมลภักดี ส่วนเลื่อนนั่งพับเพียบหมอบอยู่ใกล้ๆเจ้าจอมเพ็ญ
กรมขุนวิมลภักดียิ้มพอใจ ยื่นกระดาษเขียนโคลงกลอนให้ขันทอง
"คุณหลวงเอาไปให้แม่เพ็ญดูทีซิ ว่าแม่อำพันแก้กลบทถูกต้องหรือไม่"
"กระหม่อม"
ขันทองยื่นมือออกไป กระดกมือขึ้นรับ ก่อนจะรับกระดาษมาแล้วคลานไปให้เจ้าจอมเพ็ญ
เจ้าจอมเพ็ญรับกระดาษมาอ่าน หน้าเสีย "ถูกต้องเพคะ"
กรมขุนวิมลภักดียิ้มบางๆ แต่เจ้าจอมอำพันยิ้มสะใจ ยิ้มเยาะออกนอกหน้า
" กลบทคราก่อนที่" แล้วยกมือท่วมหัว "ถวายพระพุทธเจ้าอยู่หัว ฉันก็ว่าไม่ยากเท่าใด มาครานี้ ฉันนึกว่าแม่เพ็ญจะแก้ตัว ที่ไหนได้ง่ายดายกว่าคราวที่แล้วเสียอีก"
เจ้าจอมเพ็ญโกรธจัด แต่พยายามระงับอารมณ์ เพราะอยู่ต่อหน้ากรมขุนวิมลภักดี ไม่กล้าแสดงมาก
แต่เลื่อนจ้องเจ้าจอมอำพันเขม็ง โกรธแทนนาย เพียงแต่ยังไม่กล้าทำอะไร
กรมขุนวิมลภักดียิ้มบางๆ
"สำหรับฝ่ายในอย่างเรา กลบท ก็เป็นแต่เพียงของเล่นให้คลายเหงาแลฝึกเชาว์เท่านั้น มิใช่สิ่งที่ต้องเอาชำนะกันให้ได้เสียหน่อย แม่อำพันก็อย่ากระเซ้าแม่เพ็ญนักเลย"
เจ้าจอมอำพันยิ้มแย้ม "เพคะ" แล้วปรายตามองเย้ยเจ้าจอมเพ็ญ
เจ้าจอมเพ็ญเสียหน้ามาก เลยยิ่งพาลโกรธเข้าไปใหญ่

ครู่ต่อมา ที่ตำหนักเจ้าจอมเพ็ญ
เจ้าจอมเพ็ญปัดถาดใส่น้ำชาจีนร้อนๆที่นางข้าหลวงยื่นให้ จนถ้วยชาตกกระจาย ท่ามกลาง
ความตกใจของทุกคน
นางกำลังอาละวาดใส่นางข้าหลวง โดยมีขันทอง และเลื่อนอยู่ใกล้ๆ
เลื่อนตกใจ หันไปดุพวกข้าหลวง
"นังพวกโง่เง่า หม่อมแม่กำลังพื้นเสียอยู่ยังจะเสนอหน้าเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือ ไสหัวไปเลยเชียว"
ข้าหลวง 1กลัวลนลาน "เจ้าค่ะๆ"
นางข้าหลวงรีบหนีไปทันทีด้วยความกลัว
เจ้าจอมเพ็ญขบกรามแน่น
"แม่อำพันถือตนว่าชำนาญกลบท เลยมาเยาะหยันข้า แค้นนี้ข้าไม่ชำระ ก็เสียทีเกิดมาเป็นคนแล้ว"
เจ้าจอมเพ็ญสะบัดหน้า เดินไปนั่งด้วยความหงุดหงิด
เลื่อนรีบเข้าไปคุกเข่าใกล้ๆ ประจบประแจง
"หม่อมแม่เจ้าขา อย่าโกรธเคืองไปเลยเจ้าค่ะ บ่าวจะให้ข้าหลวงทุกคนในตำหนัก ช่วยกันแต่งกลบท
รับรองว่าเจ้าจอมอำพันต้องแก้ไม่ได้เป็นแน่เจ้าค่ะ"
"ถึงมีคนมาก ก็ไม่ช่วยดอก กลบท เป็นสิ่งต้องใช้ความแตกฉานทางภาษา แลไหวพริบปัญญา ใช่ว่ามีหลายคนแล้ว จะแต่งได้พิสดารก็หาไม่" ขันทองบอก
เจ้าจอมเพ็ญพยักรับหน้า
"คุณหลวงพูดถูกใจฉันนัก แต่เรื่องครานี้ฉันไม่สะสางคงไม่ได้ หลวงท่านพอจะมีอุบายกระไรช่วยฉันได้หรือไม่"
ขันทองนั่งพับเพียบลง "อุบายนั้น ดีฉันไม่มีดอกเจ้าค่ะ แต่หากเจ้าจอมท่านอยากเอาชำนะ ก็ต้องหาผู้ลึกซึ้งในเชิงอักษรมาช่วย แต่จะเป็นผู้ใดนั้น ดีฉันก็บอกมิได้ ด้วยวันทั้งวัน ดีฉันอยู่แต่ในวัง แม้ออกไปข้างนอกก็ด้วยข้อราชการ มิรู้จักผู้ใดเลยเจ้าค่ะ"
เจ้าจอมเพ็ญคิดทบทวน ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์
"ฉันพอรู้แล้ว ว่าจะใช้ผู้ใด"
ขาดคำ ก็มีเสียงข้าหลวงกรีดร้องดังลั่นออกมาจากข้างใน ด้วยความหวาดกลัวสุดๆ
ขันทอง จ้าจอมเพ็ญ และเลื่อน ตกใจ รีบไปตามเสียงทันที

ขันทองรีบตามเสียงมา เห็นนางกำนัล 2-3 คนกำลังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดๆเมื่อเห็นนางกำนัลอีกคนแขวนคอตาย ตัวห้อยโตงเตงน่าสะพรึงกลัว
ขันทองตกใจสุดๆ รีบเข้าไปกอดขาคนที่แขวนคอไว้เพื่อช่วยพยุงน้ำหนัก ไม่ให้เชือกรัดคอ หันไปสั่งข้าหลวง
"ไปเอาบันไดกับมีดมาตัดเชือกประเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า"
ข้าหลวง 1ตั้งสติได้ ลนลาน "เจ้าค่ะๆ"
ข้าหลวง 1 รีบลนลานวิ่งไปทันที
เจ้าจอมเพ็ญ และเลื่อน ตามมาเห็นเข้าก็ตกใจ
เลื่อนกรี๊ดลั่น สติแตก
"ว๊าย แขวนคอตายเจ้าค่ะ หม่อมแม่เจ้าขา"
เจ้าจอมเพ็ญตะคอก
"หุบปาก มันอยากตายก็ให้ไปตายที่อื่น อย่ามาตายโหงในตำหนักข้าให้เป็นอัปมงคลเป็นอันขาด"
เจ้าจอมเพ็ญสะบัดหน้าเดินหนีไป ไม่สนใจความเป็นตายแม้แต่น้อย
เลื่อนตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
ขันทองกอดขาพยุงน้ำหนักไว้ ยิ่งได้เห็นน้ำใจเจ้าจอมเพ็ญก็ยิ่งไม่พอใจ

ครู่หนึ่ง
นางข้าหลวงคนที่แขวนคอ กำลังนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียง รอบคอมีรอยช้ำจาก
เส้นเชือกรัดอยู่
ขันทองยืนมองอยู่ใกล้ๆด้วยความเวทนา
ข้าหลวง 1ร้องไห้
"ออกหลวงไม่น่าช่วยอีฉันเลย น่าจะปล่อยให้อีฉันตาย จะได้พ้นทุกข์เสียที"
ขันทองพยายามปลอบ
"พ้นทุกข์ด้วยความตาย มันมิใช่การพ้นทุกข์ที่แท้จริงดอกเจ้า มีแต่การดับทุกข์ด้วยปัญญาเท่านั้น จึงจะสิ้นทุกข์"
ข้าหลวง 1ร้องไห้บอก
"ออกหลวงไม่เข้าใจ หม่อมแม่จะถวายอีฉันให้พระองค์เจ้าเชษฐวันมะรืนนี้แล้ว อีฉันจะมีปัญญากระไรไปขัดขืน แต่ครั้นจะยอม อีฉันก็ไม่อยากเป็นห้าม นอกจากตายแล้ว จะมีหนทางอื่นใดอีก"
ขณะนั้นเอง เลื่อนก็เดินนำข้าหลวง 2-3 คนเข้ามาในห้อง
เลื่อนไม่พอใจ
"อีโง่ โง่เง่าเหมือนวัวเหมือนควาย พระองค์เจ้าเชษฐ ท่านทรงมั่งมีนัก เอ็งได้เป็นห้ามของพระองค์ท่าน ถือว่าเป็นวาสนาแล้ว ยังจะเล่นตัวอีก นี่หากไม่กลัวว่าเลือดตกยางออกในเขตพระราชฐาน จะไม่เป็นมงคลล่ะก็ ข้าจะตบเอา เลือดโง่ของเอ็งออกมาเสียประเดี๋ยวนี้เลย"
ข้าหลวง 1 ร้องไห้สะอึกสะอื้น กลัวเลื่อนมาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ขันทองสงสาร
"แม่เลื่อนอย่าไปดุด่าเลย คนกำลังขวัญเสีย ค่อยพูดค่อยจาเถิด"
"มิได้ดอกเจ้าค่ะคุณหลวง อีนังนี่มันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้ว ได้หม่อมแม่เมตตาชุบเลี้ยงไว้ มันก็ต้องตอบแทนบุญคุณตามแต่หม่อมแม่จะบัญชา แต่นี่ นอกจากมันจะเนรคุณแล้ว ยังคิดฆ่าตัวตายให้เป็นเสนียดอีก รู้ทั้งรู้ ว่าหม่อมแม่เกลียดคนฆ่าตัวตาย มาแต่ครั้งคุณท้าวสาลิกาแล้ว ยังกล้าทำอีก"
ขันทองได้ยินเลื่อนพูดถึงแม่ตนก็ฉุกใจขึ้นมา ปั้นหน้าแปลกใจ
"คุณท้าวสาลิกา ใครกันรึแม่เลื่อน ฉันอยู่ในวังมาพอควร ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย"
"โอ๊ย เรื่องของคนชั่วช้าสารเลว คุณหลวงไม่เคยได้ยินก็ถือว่าเป็นบุญแล้วเจ้าค่ะ ลอบทำเรื่องชั่วจนต้องกระโดดอ่างแก้วฆ่าตัวตายยังไม่พอ ยังทำให้โคตรเหง้าเดือดร้อนอีก ช่างเลวนัก"
ขันทองขบกรามแน่น ข่มอารมณ์เต็มที่ที่ต้องฟังคนด่าแม่ถึงขนาดนี้
มือขันทองกำหมัดไว้แน่น
เลื่อนหันไปสั่งข้าหลวงคนอื่น
"เฝ้ามันไว้ อย่าให้มันก่อเรื่องได้อีก มิเช่นนั้น ข้าจะบอกหม่อมแม่ ให้โบยพวกเอ็งให้หลังขาดเทียว"
ข้าหลวง 2 กลัว "เจ้าค่ะ"
ข้าหลวงแต่ละคนแยกย้ายกันปัดกวาดห้องหับ เตรียมย้ายกันมาเฝ้าข้าหลวง 1 ไว้

ขันทองเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ให้คนเห็นสีหน้าเจ็บแค้นโกรธจัดของตน

ขันทองเดินหน้าเครียดมา พยายามทำอารมณ์ให้เย็นลง ไม่ให้โกรธเรื่องแม่จนเสียการใหญ่

ขันทองหยุดเดิน แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนอารมณ์เริ่มเย็นขึ้น
ขันทองพูดเบาๆเตือนตัวเอง
"อดทนไว้ ยังมีการใหญ่รออยู่ข้างหน้า"
ขันทองจะเดินเลี่ยงไป แต่ขณะนั้นเอง เจ้าจอมเพ็ญเดินนำพระยาพลเทพเข้าไปในห้องหนังสือ แล้วปิดประตูลง
ขันทองสะดุดใจทันที เพราะตามกฎของฝ่ายใน ห้ามชายหญิงอยู่ด้วยกันในที่ลับตาคน
แต่เจ้าจอมเพ็ญกลับกล้าพาพระยาพลเทพเข้าไปในห้องหนังสือแล้วปิดห้อง แสดงว่ามีเรื่องสำคัญแน่
ในห้องหนังสือ
เจ้าจอมเพ็ญกำลังคุยกับพระยาพลเทพด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
" วันนี้มีแต่เรื่องขุ่นใจ ได้เจอท่านเจ้าคุณ ค่อยคลายความขัดข้องลงไปได้บ้าง"
"เจ้าจอมท่านมีกระไรจะใช้สอยกระผมหรือขอรับ"
"ท่านเจ้าคุณมีความชำนาญในอักษรเป็นเลิศ ช่วยแต่งกลบทให้ฉันสักหน่อยเถิด เอาให้พิสดารจนแม่อำพันกับเสด็จพระองค์หญิงถอดไม่ได้เลย ฉันอยากเห็นน้ำมะหน้าตอนนั้นนัก"
พระยาพลเทพชักเซ็งๆ
"เรื่องเล่นสนุก เจ้าจอมท่านอย่าเอามาใส่ใจเลย"
เจ้าจอมเพ็ญไม่พอใจ "ท่านเจ้าคุณจะไม่ยอมช่วยฉันรึ"
" มิได้ขอรับ กระผมจะเร่งทำให้ แต่ที่กระผมมาที่นี่ ก็เพื่อจะแจ้งข่าวเรื่องออกญาสีหะราชเดชะ"
เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้ม
"ก็ตายแล้วมิใช่รึ ฉันรู้ข่าวแล้ว ท่านเจ้าคุณมิต้องมาด้วยตนเองดอก"
"ตายแล้วก็จริง แต่เรายังมิได้หนังสือคืนมา"
เจ้าจอมเพ็ญตกใจ ก่อนจะโมโหขึ้นมา "ทำไมยังไม่ได้ ค้นดีแล้วรึ"
"ดีแล้วขอรับ แต่มีเหตุไม่คาดหมายเกิดขึ้น คาดว่าก่อนตาย เจ้าคุณสีหะราชเดชะอาจจะให้หนังสือนั้นแก่ผู้อื่นไป แลเหตุนี้เกิดขึ้นที่ท้ายวัง กระผมจึงอยากขอบารมีเจ้าจอม ให้ช่วยส่งคนออกสืบ ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แลมาทำกระไรที่ท้ายวังขอรับ"
"มิน่าเล่า ถึงได้มาหาฉัน อ้ายคนผู้นั้น หน้าตาเป็นอย่างไร มีตำหนิผิดแปลกกระไรบ้าง"
"รูปร่างหน้าตา กระผมไม่แจ้งนัก รู้แต่เป็นหญิง แต่แต่งกายคล้ายชายขอรับ"

ขันทองแนบหูแอบฟังเหตุการณ์ในห้องอยู่ พอได้ยินว่าเป็นหญิงแต่งกายคล้ายชายก็ตกใจ
ขึ้นมาทันที พูดเบาๆกับตัวเอง
"เจ้าแมงเม่า"

สองสัปดาห์ต่อมา ยามสาย
เรือของจมื่นศรีสรรักษ์ กล้า และขุนแผลงฤทธิ์ กำลังพายมาตามคลอง ด้วยมีลูกน้องมาด้วยจำนวนหนึ่ง
จมื่นศรีสรรักษ์ระแวง
"เอ็งแน่ใจหรือวะอ้ายกล้า ว่าใช่คนที่ข้าให้หาจริง"
"ผมหาอยู่กึ่งเดือนเชียวนะขอรับ สอบถามคนไปทั่ว ว่าวันที่เกิดเรื่อง มีหญิงลักษณะเช่นนั้นหรือไม่ รวมกับที่คนของเจ้าจอมท่านสืบมา ว่ามีหญิงลักษณะเดียวกันนั้นมาขอเข้าเฝ้ากรมขุนวิมลท่าน
กระผมมั่นใจว่าต้องเป็นนังแมงเม่าเป็นแน่ขอรับ"
ขุนแผลงฤทธิ์ถาม
"แล้วเหตุใด ลูกสาวเศรษฐีใหญ่เจ้าของโรงกระดาษ ต้องแต่งกายเยี่ยงชายด้วยวะ"
"กระผมทราบมาว่าวันนั้น นังแมงเม่ามันแต่งตัวเยี่ยงชายเพื่อหนีการดูตัวขอรับ ข้อนี้มิใช่เรื่องแปลก คนละแวกนี้รู้กันทั่วว่า นังนี่ฤทธิ์มันมาก เพลาที่พ่อมันให้ดูตัวคราใด มันก็สรรหาวิธีพิกล หนีได้เกือบทุกคราขอรับ"
เรือพายมาจอดซุ่มอยู่ใกล้ๆเรือนของแมงเม่า
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มเยาะ
"แต่ข้าก็รู้มาเหมือนกันโว้ย ว่าเอ็งคิดจะเอาอีนังนี่มาเป็นเมียนานแล้ว" พร้อมชี้หน้าขู่ "อ้ายกล้า เอ็งอย่ามาฉวยโอกาสหาคุณเข้าตัวเพลานี้นะโว้ย ข้าไม่เห็นแก่พ่อเอ็งแน่"
"พุทโธ่ คุณพระนาย" กล้ายกมือไหว้ท่วมหัว "กระผมสาบานให้ก็ได้ ว่ากระผมพูดจริงทุกคำ ถ้าไม่เชื่อ ดูด้วยตาตัวเองก็ได้ขอรับว่าใช่หรือไม่" กล้าชี้ให้ดู
ทุกคนมองตามที่กล้าชี้ เห็นด้านหลังเรือนแมงเม่า มีผู้คนมากมายกำลังทำงานอยู่ ทั้งทำกับข้าว ตากผ้า ผ่าฟืน ฯลฯ
ขุนแผลงฤทธิ์มองไปรอบๆ
"มีแต่พวกบ่าวไพร่ ไม่เห็นมีใครมีสง่าราศีเป็นลูกเศรษฐีสักคน"
" โน่นอย่างไรขอรับ เดินมาโน่นแล้ว สไบสีมะปรางสุก นั่นล่ะขอรับ นังแมงเม่า"
จมื่นศรีสรรักษ์หันไปมองตาม แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลของฝรั่งออกมา แล้วใช้ส่องดูทันที
กล้องที่ว่า เป็นกล้องแบบยาว ใช้ส่องด้วยตาข้างเดียว แพร่เข้าไทยโดยฝรั่งในสมัยพระไชยราชา
จมื่นศรีสรรักษ์ มองผ่านกล้องส่องทางไกล เห็นแมงเม่าเดินคุยมากับอิน
ขุนแผลงฤทธิ์ลุ้นๆ "เป็นอย่างไรคุณพระนาย ใช่หรือไม่"
"น่าจะใช่ คราก่อนแต่งเป็นชาย แต่ก็พอดูออกว่างามไม่น้อย ครานี้แต่งอย่างหญิง ยิ่งดูหมดจดกว่าเดิม ฉันว่าไม่ผิดตัวดอก"
กล้าฉวยโอกาสทันที "ถ้ากระนั้น ให้กระผมลงมือนะขอรับ"
"ถุย รีบอาสาเชียวนะอ้ายกล้า คราก่อนข้าให้คนของข้าไปช่วยเอ็ง เอ็งยังถูกมีดปักไหล่กลับมา แล้วข้าจะไว้ใจเอ็งให้ทำงานสำคัญอย่างนี้ได้รึ"
กล้าจ๋อยไปทันที
"แต่ถ้าข้าได้ของแล้ว เอ็งจะเอามันไปทำกระไรก็เอาไป"
กล้าดีใจสุดๆ รีบยกมือไหว้
"เป็นพระคุณขอรับ"

กล้ายิ้มร้ายๆขึ้นมาทันที ตนอยากได้แมงเม่าเป็นเมียมานานแล้ว คราวนี้คงสมหวังซะที

แมงเม่าเดินคุยมากับอินในเรือน

"กึ่งเดือนมานี้ ฉันเห็นหน้าค่าตาพี่ม่วงสองสามครั้ง คุยกันคำสองคำเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่เคยเห็นหน้าเลย พี่อินพอจะบอกฉันได้หรือไม่จ๊ะ ว่าเกิดกระไรขึ้น"
อินหน้าเสีย
"นับแต่เกิดเรื่องคราก่อน พี่ม่วงก็ไม่อยากกลับเรือนดึกๆดื่นๆให้เสี่ยงถูกซุ่มทำร้ายอีก จึงเช่าเรือนอยู่ข้างนอกเพื่อที่... "
อินอึกๆอักๆ
แมงเม่าตกใจ
"นี่พี่ม่วงหลงหญิงงามเมือง จนถึงกับต้องเช่าเรือนอื่นอยู่กันเทียวรึ"
อินหน้าจ๋อยลงไป
"กว่าจะกลับจากโรงรับชำเราก็ดึกโขอยู่ ให้นอนที่เรือนละแวกนั้นน่ะดีแล้ว พี่เอง ก็ไม่อยากให้พี่ม่วงถูกทำร้ายด้วย"
แมงเม่าอ่อนใจ
" ประเสริฐแท้ ขั้นนี้แล้ว ยังแก้ตัวให้ผัวอีก เป็นฉันล่ะก็จะเพ่นกบาลให้แยกเชียว แล้วพี่อินรู้หรือไม่จ๊ะ
ว่า เรือนที่พี่ม่วงเช่า อยู่ที่ใด"
" เจ้าจะถามไปทำกระไร อย่ามีเรื่องมีราวกันเลยนะ พี่ขอล่ะ"
"พี่อินเป็นเมีย ยังออกรับแทนขนาดนี้ แล้วฉันจะมีหน้าไปเอาเรื่องกับพี่ม่วงได้อย่างไร ที่ฉันถาม เพราะฉันมีเรื่องสำคัญ จะปรึกษากับพี่ม่วง แลเรื่องนี้ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เป็นอันขาด"

ต่อมา ติ่น และผลกำลังพายเรือให้แมงเม่านั่ง โดยแมงเม่านั่งกางร่มกันแดดร้อนไปด้วย
ติ่นอยากรู้มาก
"แม้แต่พวกฉัน ก็บอกไม่ได้เทียวรึแม่หญิง"
"อ้ายติ่น ถ้าเอ็งถามอีกคำเดียว ข้าจะส่งเอ็งกลับไปที่โรงกระดาษ ให้เอ็งหาบน้ำผ่าฟืนยันเช้า เอากระนั้นรึ"
ติ่นหน้าจ๋อยๆ
"พุทโธ่ เพียงเท่านี้ก็ต้องขู่กันด้วย เหมือนท่านเศรษฐีไม่มีผิด"
ผลถามอย่างกลัวๆ
"แม่หญิง ขอฉันถามสักข้อเถิด เรื่องที่จะไป ใช่เกี่ยวกับคนที่ตายเมื่อคราก่อนหรือไม่"
แมงเม่าหน้าขรึมลง ไม่อยากให้ผลมีอันตราย ปั้นหน้าดุ
"ไม่ใช่ หลวงท่านก็บอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าอ้ายคนนั้นเป็นนักโทษหนีคดี มิได้ เกี่ยวกระไรกับพวกเรา ที่ข้าไปหาพี่ม่วง เพราะเหตุอื่นต่างหาก"
ผลโล่งอก "ได้ยินเช่นนี้ ฉันก็ค่อยโล่งใจ"
ขณะนั้นเอง เรือของกล้าและพวก ก็พายออกมาขวางหน้าเรือของแมงเม่าไว้
กล้ากับพวกใช้ผ้าขาวม้าคลุมหน้าไว้
ติ่นโวยวาย " เฮ้ย กระไรของเอ็งวะ หลีกทางไปซีโว้ย"
ทันใดนั้น กล้ากับพวกก็ชักดาบออกมาทันที
แมงเม่า ติ่น และผล ตกใจ แต่ยังไม่ทำอะไร ก็มีเรืออีกลำนำโดยขุนแผลงฤทธิ์พายเข้ามาจากทางด้านหลัง ล้อมเรือของแมงเม่าไว้
ขุนแผลงฤทธิ์กับลูกน้องถืออาวุธครบมือ และใช้ผ้าโพกปิดบังหน้าตาไว้เช่นกัน
แมงเม่าตกใจหน้าเครียด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

กล้า ขุนแผลงฤทธิ์ และพวก ช่วยกันลากเรือของแมงเม่าขึ้นมาบนฝั่ง โดยมีจมื่นศรีสรรักษ์ยืนรออยู่บนฝั่ง
จมื่นศรีสรรักษ์ก็ใช้ผ้าโพกปิดบังหน้าตาไว้เหมือนทุกคน
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มพอใจ "เอาตัวมันขึ้นมาบนฝั่ง"
กล้ากับพวกรีบเข้าไปจับตัวแมงเม่าลงจากเรือทันที
ผลพยายามปกป้อง
"อย่าแตะต้องแม่หญิงนะโว้ย"
ขาดคำ กล้าก็ชกหน้าผลจนล้มคว่ำ แล้วพวกที่เหลือก็ช่วยกันรุมกระทืบติ่นกับผลจนสะบักสะบอม
แมงเม่ายังห่วงลูกน้อง "หยุดนะ หยุดประเดี๋ยวนี้"
"ถ้าอยากให้หยุด ก็บอกมา ว่าของที่เอ็งได้จากอ้ายคนที่ตายท้ายวังอยู่ที่ใด"
แมงเม่าตกใจมาก ในที่สุดเรื่องนี้ก็ลามมาถึงตนจนได้ แต่ตีหน้าตาย
"ของกระไร ข้าไม่เคยได้กระไรมาทั้งนั้น พวกเอ็งเป็นโจรรึ หลวง ท่านบอกว่าคนตายเป็นนักโทษหนีคดี พวกเอ็งคงเป็นพวกเดียวกับมันล่ะซี"
ขุนแผลงฤทธิ์เอาดาบชี้หน้าแมงเม่า
"เอ็งไม่ต้องถามมา ถ้าไม่อยากตาย ก็เอาของออกมา ตอนที่อ้ายนั่นตาย มีเอ็งคนเดียวที่อยู่กับมัน
ถ้าไม่ใช่เอ็งเอาไปแล้วจะเป็นผู้ใด"
"เป็นผู้ใด ข้าจะรู้รึ ข้ากับอ้ายคนที่ตายมิเคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน หากของที่เอ็งอยากได้มันสำคัญนัก มีรึ จะให้กับคนแปลกหน้าอย่างข้า"
ขุนแผลงฤทธิ์ กับจมื่นศรีสรรักษ์เจอย้อนเข้าก็ชักลังเล
จมื่นศรีสรรักษ์เข้าไปพูดเบาๆใกล้ๆขุนแผลงฤทธิ์
"ที่นังเด็กนี่พูดมาก็ถูกอยู่ แลมันไม่รู้ความนัย ย่อมไม่ขโมยของไปเองแน่ หรือเราจะเข้าใจผิด"
ขุนแผลงฤทธิ์ลังเลว่าจะเอาไงดี
กล้าพูดสวนขึ้น
"อย่าไปฟังขอรับ" กล้ามองไปทางแมงเม่าด้วยสายตาหื่นๆ
"ค้นตัวดูก็รู้ ว่าเอาไปจริงหรือไม่"
แมงเม่าตกใจมาก ด่าทันควัน
"อ้ายใจชั่ว สารเลวนัก คนอย่างเอ็งต้องไม่ตายดี"
"แต่ก่อนตาย ข้าขอเห็นเนื้อนวลใต้ร่มผ้าเอ็งก่อนก็แล้วกัน"
กล้าเข้าไปจับตัวแมงเม่า แมงเม่ากรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พยายามจะสะบัดตัว แต่กล้าก็จับ
ไว้แน่น
ทันใดนั้นเอง พันหาญกับลูกน้องก็กรูกันออกมาพร้อมอาวุธครบมือ เข้าโจมตีพวกขุนแผลงฤทธิ์ทันที พันหาญกับลูกน้องก็โพกหน้าปิดบังใบหน้าเหมือนกัน
พวกขุนแผลงฤทธิ์ตกใจ เลยโดนเล่นงานบาดเจ็บกันไปไม่น้อย ทั้งสองฝ่ายต่างสู้กันอุตลุด
กล้ามัวแต่ตกใจ แมงเม่าเลยฉวยโอกาสเข่าเข้าเต็มๆท้องกล้า จนกล้าทรุดร่วงลงไป
แมงเม่ารีบวิ่งหนีทันที แต่กล้าก็แข็งใจวิ่งตามไป ในขณะที่ติ่น และผล เห็นนายตัวเองหนีไปได้
ก็รีบตามไปทันทีเช่นกัน

แมงเม่าวิ่งหนีเข้ามาในสวน โดยมีกล้าวิ่งตามมาติดๆ
กล้าวิ่งตามมาจนจับแขนแมงเม่าไว้ได้ทัน
แมงเม่าหันกลับไปจะเตะใส่ แต่กล้าหลบได้และรวบตัวแมงเม่าไว้ได้
แมงเม่าดิ้นสุดแรงเกิด
"ปล่อยข้า ปล่อยข้านะโว้ย บอกให้ปล่อย"
แมงเม่าดิ้นหนักจนกล้าจับลำบากมาก
"ฤทธิ์มากนักนะเอ็ง คอยดูเถิด"
ขณะนั้นเอง ติ่น และผลก็ตามมาทันพอดี
ติ่นตวาดลั่น
"ปล่อยแม่หญิงประเดี๋ยวนี้นะโว้ย"
กล้าหันไปมองตาม จังหวะนั้นเอง แมงเม่าก็ฉวยโอกาสกระทืบปลายเท้าของกล้าสุดแรงเกิด
แมงเม่าสะบัดตัวหลุดออกมา แล้วเอานิ้วจิ้มตากล้าทันที
กล้าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
แมงเม่ากระชากผ้าขาวม้าที่คลุมหน้ากล้าออกมา จนเห็นหน้าชัดเจน
แมงเม่านึกไม่ถึง "อ้ายกล้า"
กล้ายังเจ็บตาอยู่ แต่ก็ตกใจที่แมงเม่าเห็นหน้าตน
แมงเม่าโกรธจัด เลยยกเท้าถีบยอดอกกล้าเต็มแรง จนกล้าล้มลงกับพื้น

ติ่น และผล รีบเข้าไปซ้ำกล้าทันที

พันหาญกับพวกกำลังตะลุมบอนกับพวกจมื่นศรีสรรักษ์อยู่

พวกพันหาญมีน้อยกว่า แต่ฉวยโอกาสโจมตี จนพวกจมื่นศรีสรรักษ์บาดเจ็บกันไปไม่น้อย
ทำให้พวกพันหาญเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ส่วนพันหาญก็กำลังสู้กับขุนแผลงฤทธิ์อย่างดุเดือด ผลัดกันรุกรับอย่างรวดเร็ว
ขุนแผลงฤทธิ์ตะคอกถาม
"เอ็งเป็นใครวะ ฝีมือเช่นนี้ มิใช่โจรไร้ชื่อเป็นแน่"
พันหาญยิ้มเยาะ
"เพลงดาบเอ็งก็สูงนัก ชะรอยจะเป็นขุนศึกขุนพลเหมือนกัน"
ขุนแผลงฤทธิ์โมโห จู่โจมเข้าใส่พันหาญอย่างดุเดือด ก่อนจะพลิกตัวใช้ท่าไม้ตาย กระหน่ำฟันจน
พันหาญถอยร่น ขุนแผลงฤทธิ์ฉวยโอกาสเตะใส่พันหาญจนล้มคว่ำ แล้วกระหน่ำแทงใส่ทันที
แต่พันหาญพลิกตัวหลบไปได้อย่างหวุดหวิด ขุนแผลงฤทธิ์จะตามซ้ำ
ศรีสรรักษ์โวยลั่น สู้อย่างทุลักทุเล เพราะไม่ใช่คนเก่งอยู่แล้ว
"ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วยโว้ย"
ขุนแผลงฤทธิ์เหลือบมองด้วยความหงุดหงิด แต่จะปล่อยจมื่นศรีสรรักษ์บาดเจ็บก็ไม่ได้
เลยบุกเข้าไปช่วย
พวกลูกน้องที่กำลังรุมเล่นงานจมื่นศรีสรรักษ์อยู่ เจอขุนแผลงฤทธิ์บุกเข้ามาก็แตกกระเจิง
ขุนแผลงฤทธิ์เลยรีบพาจมื่นศรีสรรักษ์หนีไปอีกทางทันที
พันหาญมองตามสีหน้าเคร่งเครียด ขุนแผลงฤทธิ์มีฝีมือเหนือกว่าที่ตนคิดมาก

อีกด้านหนึ่ง เกมพลิก ติ่นโดนกล้าชกจนเลือดกลบปาก
แมงเม่ากำลังยืนดูกล้าไล่อัดลูกน้องตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กล้าฝีมือเหนือกว่าเยอะ ติ่น และผล พยายามสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ โดนหมัดเท้าเข่าศอกประเคนไม่ยั้ง
แมงเม่าเครียดหนัก จะเอาไงดี ถ้าลูกน้องแพ้ ตนแย่แน่ ทันใดนั้นเอง แมงเม่าก็มองดูผ้าขาวม้าของกล้าในมือตน แล้วฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
กล้าเตะผลจนล้มคว่ำ กำลังจะกระทืบซ้ำ แต่ทันใดนั้น แมงเม่าก็กระโดดเอาผ้าขาวม้ารัดคอกล้าไว้ แล้วพยายามรัดแน่นสุดแรงเกิด
กล้าโดนรัดคอหายใจไม่ออก "นังแมงเม่า"
กล้าพยายามจะสะบัดตัวออก แมงเม่าก็เริ่มจะเอาไม่อยู่
"เร็วซีวะ อ้ายติ่นอ้ายผล จะรออ้ายกล้ากลับมากระทืบพวกเอ็งหรือกระไร"
ติ่น และผล แข็งใจเข้าไปรุมกล้าทันที
กล้าใช้เท้าถีบติ่นออก แต่ก็โดนผลชกเข้าไปเต็มหน้า
ติ่นตามเข้าไปเตะกล้าซ้ำ ทั้งคู่ช่วยกันรุมเตะต่อยกล้าไม่ยั้ง โดยมีแมงเม่าใช้ผ้าขาวม้ารัดคอกล้าสุดแรงเกิด

ทุกคนมาที่เรือนของม่วง
ม่วงทั้งโกรธทั้งห่วงน้อง
"อ้ายกล้ามันชั่วจนถึงกับดักฉุดเอ็งเชียวรึ ไป พาข้าไปประเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปเอาเลือดหัวมันมาล้างตีนเอ็ง"
ม่วงกำลังโกรธจัดหลังรู้ความจริงจากแมงเม่าที่หน้าเรือน...ตื่นกับผลบาดเจ็บสะบักสะบอม
"ไม่ต้องดอกพี่ ป่านฉะนี้ มันหนีไปถึงที่ใดแล้วก็ไม่รู้ แลพ่อท่านร่ำๆ จะส่งฉันเข้าวังอยู่ หากรู้เรื่องนี้เข้า คงจับฉันมัดส่ง ฉันเข้าวังคืนนี้เป็นแน่ ช่างมันเถิด อ้ายกล้าก็เจ็บตัวไปไม่น้อย แลฉันก็มิได้เป็น
กระไรมาก อย่าไปยุ่งกับมันอีกเลย"
ม่วงเจ็บใจมาก
"อ้ายกล้า สักวัน ข้าจะบุกไปเหยียบหน้าเอ็งถึงบ้านริมโรงฆ้องให้จงได้"
แมงเม่าหันไปสั่งลูกน้องม่วง
"พาอ้ายติ่น อ้ายผลไปใส่หยูกใส่ยาที พวกมันเจ็บไม่น้อย ช่วยดูแลแทนข้าด้วย"
ลูกน้อง 1 รับคำ "จ้ะ แม่หญิง"
พวกลูกน้องช่วยกันประคองติ่น และผลออกไป
ม่วงหน้าจ๋อยลง
"เอ็งมาหาพี่ถึงที่นี่ได้ คงรู้เรื่องหมดแล้วสิ เรื่องนี้พี่ขอเถิดนะ พี่เอง ก็พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว"
" ถึงฉันจะไม่ชอบ ที่พี่ทำแบบนี้ แต่ฉันก็ไม่มาหาพี่เพราะเรื่องนี้ดอก ฉันมีเรื่องสำคัญกว่านั้นมาก"
ม่วงมองแมงเม่าด้วยความแปลกใจ ว่าเรื่องอะไรกัน

ผ่านเวลาเล็กน้อย กระดาษถูกดึงออกมาจากกลักอย่างระมัดระวัง
ม่วงเป็นคนดึงกระดาษออกมาจากกลักดีบุกสลักลายผีเสื้อ โดยมีแมงเม่ายืนมองอยู่ใกล้ๆ
ม่วงเครียดหนักมาก
"เจ้าแมงเม่าเอ๊ย เรื่องนี้ยิ่งกว่ารับเผือกร้อน เอ็งไปเอามาได้อย่างไร"
"คนตายต่อหน้าต่อตา เป็นพี่ พี่จะวางเฉยเอาตัวรอดรึ ฉันว่าพี่ก็รับมาเหมือนกันล่ะ แลอ้ายพวกที่ตามหาอยู่ก็คงมิใช่คนดีกระไร มิเช่นนั้น คงไม่ร่วมมือกับอ้ายกล้าทำเรื่องชั่วเช่นนี้ดอก"
ม่วงถอนใจเฮือกใหญ่ แต่ก็เถียงน้องไม่ออก
แมงเม่าแปลกใจมาก "พี่ว่ามันพิกลหรือไม่ ที่คนฆ่าฟันแย่งชิงกระดาษเปล่าเช่นนี้"
"นี่มิใช่กระดาษเปล่า กระดาษแผ่นนี้มีไส้ใน แผ่นที่เห็นหุ้มอยู่สองด้านแปะทับปิดไว้"
แมงเม่าตกใจ "พี่รู้ได้อย่างไร"
ม่วงใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ขยี้ตรงปลายกระดาษเบาๆ อึดใจกระดาษก็เผยอมุมให้เห็น เป็นกระดาษสามแผ่นประกบติดกันจริงๆ
แมงเม่าตะลึง ไม่คิดว่าเป็นตามที่พี่ชายบอกเป๊ะๆ
"ตระกูลเรา ทำกระดาษมาหลายชั่วคน ข้ากล้าพูด ว่านอกจากพ่อแล้ว ไม่มีใครแตกฉานเรื่องกระดาษเท่าข้าอีก กระดาษแผ่นนี้ ข้าเพียงแต่จับดูก็รู้แล้วว่ามีไส้ใน"
แมงเม่ายิ้มแย้ม
"เก่งเหลือเกินพี่ม่วง ฉันปรึกษาไม่ผิดคนจริงๆ"
"ถ้าวันทั้งวัน เอ็งไม่เอาแต่ซุกซน แลช่วยงานบ้าง ก็คงเก่งเท่าข้านั่นล่ะ"
แมงเม่าหน้าหงิก โดนพี่แขวะอีกแล้ว
ม่วงลอกกระดาษที่ปิดทับไว้อย่างระมัดระวัง แล้วหยิบกระดาษที่อยู่ตรงกลางมาอ่านดูว่าเขียนข้อความอะไรไว้
แมงเม่ารีบชะโงกหน้ามาอ่านด้วย บนกระดาษเขียนว่า
“หังวฉวาลทหงขสาปหักสะ”
สองพี่น้องหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง
"ข้อความกระไรวะนี่ หรือเป็นกลบท เอ็งชำนาญกลอนกลบท ลองถอดดูซี"
แมงเม่าหน้าหงิก
"ทีอย่างนี้ มายกยอว่าฉันชำนาญกลอนกลบท ถ้าฉันไม่เอาแต่ซุกซน จะรู้เรื่องกลบทรึ พ่อกับพี่ก็ไม่ได้สอนฉันเสียหน่อย" แมงเม่าลองอ่านทวนดูอีกที
"กลบทต้องวางตัวอักษร แลมีบทต่อไปให้เทียบเคียงได้ มิว่าอ่านเดินหน้า ถอยหลัง รูปมาตรา
สระสัมผัส ครุ ลหุ หรือรูปวรรณยุกต์ลงซ้ำ แต่ที่เขียนนี่ไม่มีทางอ่านด้วยวิธีใดได้เลย"
ม่วงคิดหนัก
"มันต้องมี เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้น มิเช่นนั้นคงไม่แย่งชิงถึงฆ่าฟันกันดอก"
"ฉันจะกราบทูลเรื่องนี้ให้กรมขุนท่านทราบดีหรือไม่พี่ แลจะได้ถวายกลักนี้ให้ท่านด้วย"
ม่วงคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"จริงอยู่ ที่กรมขุนท่านทรงเมตตาเอ็งนัก แต่เราไม่รู้ว่าข้อความนี้คือกระไร หากเป็นความลับ สำคัญของบ้านเมือง เอ็งจะมีผิดไปด้วยฐานที่แอบดูความลับ แม้กรมขุนท่านก็อาจจะช่วยเอ็งไม่ได้"
แมงเม่าคิดตามที่พี่ชายพูด
"ข้าว่า เก็บกลักนี้ไว้ก่อนเถิด ระหว่างนี้ เอ็งระวังตัวให้มาก แลอย่าทำตัวให้เป็นพิรุธ อ้ายพวกที่ต้องการกลักนี้ มันก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ที่เอ็งจริง หากมันไม่เห็นพิรุธ ก็คงเลิกราไปเอง"
แมงเม่าคิดตามที่พี่ชายพูด พยักหน้าเห็นด้วย ก็รู้สึกว่าทางนี้ปลอดภัยที่สุด ก่อนที่จะก้มอ่านข้อความในกลบทนั้นอีกครั้ง

“หังวฉวาลทหงขสาปหักสะ”
 
อ่านต่อตอนที่ 4


กำลังโหลดความคิดเห็น