บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 24
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
ขุนศรีวิสารวาจาอ่านต่อ
"วันนี้หนาวเย็นกว่าทุกวัน บางคนมีเลือดออกจากจมูก แลผิวก็แตกเป็นลายงา แม้ท่านอาจารย์ชีปะขาวร่ำสุราเพื่อทนหนาวได้ยังต้องหาผ้าห่มคลุมหน้า พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่เสด็จไปประทับที่พระราชวังฟองเต็นโบล ทรงพระกรุณาให้นำเสื้อขนสัตว์พระราชทานมาให้ 6 ตัวแลหมวก 6 ใบ เป็นเสื้อตัวใหญ่มาก แขนขายาวเกินแขนและขาของพวกเราแต่กันหนาวได้ดี"
"มันหนาวแค่ไหนวะ" พระนารายณ์ถาม
พระวิสุทธสุนทรบอก "หนาวจนมือไม้แข็งขยับนิ้วแทบไม่ได้พระเจ้าค่ะ"
"เฮ้ย จะปานฉะนั้นเลยหรือเว้ย ข้ามิค่อยเชื่อ"
"จริงพุทธเจ้าค่ะ ที่แปลกประหลาดคือคราใดมีเกล็ดขาวๆตกจากฟ้า ครานั้นไม่หนาวเท่าพุทธเจ้าคะ"
"เอ้า...ก็พวกเจ้าเพ็ดทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า ไอ้เกล็ดขาวๆมันเย็นเฉียบ เอ้ย ไอ้หลวงกัลยา ใช่ฤๅไม่วะ"
หลวงกัลยาณไมตรีบอก"เป็นเช่นนั้นพุทธเจ้าค่ะ"
"เมื่อเป็นเช่นนั้นที่เจ้าว่ามันลอยมาจากฟ้าสุมเป็นกอง เหตุใดจึงไม่หนาววะ ไอ้ขุนศรี"
"หนาวพุทธเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์ตบเข่าฉาด "วะ...ยังไรแน่ หนาวหรือมิหนาว"
"หนาวพุทธเจ้าค่ะ แต่หนาวน้อยกว่าเพ-ลาไม่มีพุทธเจ้าค่ะ"
หอสมุดเรือนออกญาโหราธิบดี
เกศสุรางค์ยังคงนอนนิ่ง
วิญญาณการะเกดเป็นเพียงร่างเงาๆ นั่งอยู่ข้างๆ ท่าทางตกใจและพะวักพะวน ไม่รู้จะทำยังไงดี
พระนารายณ์ยังตรัสถาม
"พวกเอ็งอาบน้ำกันมั่งฤๅไม่ ถ้ามันหนาวจนมือไม้แข็ง"
หลวงกัลยาณไมตรีบอก"อาบพุทธเจ้าค่ะ"
"เอ็งมิแข็งหมดทั้งตัวหรือวะ"
พระวิสุทธสุนทรบอก "มีน้ำต้มอาบพุทธเจ้าค่ะ"
"กี่วันอาบครั้ง"
ขุนศรีวิสารวาจาบอก "สามวันลางทีห้าวันพุทธเจ้าค่ะ"
พระวิสุทธสุนทรบอก "คนฝรั่งเศสไม่ค่อยอาบเช่นกันพุทธเจ้าค่ะ พวกเราโดนพวกเขาว่าเป็นประจำ"
"ว่ายังไรฤๅ"
"ว่าอาบน้ำบ่อยครั้งพุทธเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์หัวเราะขำ ทุกคนก็หัวเราะขำๆอย่างสำรวม
"พวกเอ็งจากเรือนไปนานเป็นปี ไม่มีเมียเป็นนางฝรั่ง คิดถึงเมียทางนี้เต็มทีล่ะสิ อ้อ ไอ้ขุนศรี เอ็งไม่มีเมีย...ว่ายังไร"
"คิดถึงพุทธเจ้าค่ะ"
"คิดถึงใครวะ"
"คิดถึงคนที่ข้าพุทธเจ้ากำลังจักได้เป็นเมียพุทธเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาคิดถึงเกศสุรางค์เหลือเกินแล้ว จ้อยลอบมองยิ้มย่อง
ณ หอสมุด เกศสุรางค์ยังนอนอยู่ท่าเดิม การะเกดนั่งจับเจ่า มาพยายามจับมือแต่หลุดผ่านไป
การะเกดเริ่มลุกลี้ลุกลน ตกใจที่เห็นเกศสุรางค์ยังนอนเงียบไม่ลุกเสียที แล้วแวบออกไปอีกครั้งเร็วๆ ผ่านประตูออกไป
ผินกับแย้มกวาดถูห้องการะเกดอยู่ ต่างทำที่นอนกันขมักเขม้น
"เอ๊ะ...แม่นายไปทางไหน นังแย้ม"
"จะรู้มั้ยเนี่ย"
"ชะ พูดจาเลียนแบบแม่นาย"
"เก๊าะ โอเค" แย้มทำมือ
"เออ...โอเค" ผินทำมือด้วย
สองคนหัวเราะกัน
การะเกดปรากฏตัวเร็วๆ พูดตามนิสัยเดิม
"หัวเราะกันเข้าไปเถิด กูกำลังจะตายนะมึง"
พูดจบหายแว้บ แต่แว้บไปทางประตูไม่ให้ผิดสังเกต
สองคนตาโต หันมามองหน้ากัน
"แม่นาย"
"ใช่"
สองคนพรวดออก แทบจะชนกัน
ผินกับแย้มออกมาเร็วๆ เมียงมองก่อน
"นังจวง...ออกญาท่านอยู่ที่ใด" ผินถาม
"ไม่อยู่" จวงว่า
"นังจิก...แม่นายท่านอยู่ที่ใด" แย้มถาม
"สวดมนต์อยู่"
สองคนหันมามองหน้ากัน
"แม่นายของกูกำลังจะตาย" ผินว่า
"เห็นหรือไม่" แย้มถาม
จวงกับจิกชี้ไปทางห้องหนังสือ
ปริกที่นั่งหมดอารมณ์อยู่ ทะลึ่งพรวด
"ฮะ...มึงว่ายังไรนะอีผิน"
"แม่นายกูกำลังจะตาย"
ปริกตบปากผินเบาๆ "ปากเสีย"
"จริง"
"มึงว่าจริงเรอะ"
"แม่นายมาบอกเอง"
"ฮะ"
ปริกหันหลังพรวดไปทันที
ทั้งหมดตาม
ทั้งหมดเข้ามาในห้องสมุด เกศสุรางค์นอน คอพับแขนทอดห้อยหมดสภาพ
สมุดข่อยตกอยู่ที่พื้น พานทองอยู่ใกล้ๆ
ทุกคนกรีดร้อง
ขุนศรีวิสารวาจานั่ง สีหน้าซึ้งในอก เรือวาดหัวเข้าจอด
ขุนศรีวิสารวาจาซึ่งนั่งก้มหน้านิดๆ จึงไม่เห็นว่าเรือเทียบท่าแล้ว
จ้อย ม่วงมองหน้ากัน ยิ้มๆ
เสียงกรีดร้องดังจากบนเรือน
ขุนศรีวิสารวาจาหันขวับไป อุทาน “เสียงผู้ใด”
จ้อยบอก "เสียงทุกคนขอรับ"
ม่วงบอก "เสียงยายปริกดังกว่าใคร ข้าจำได้ แม่หญิงหรือแม่นายเป็นอะไร"
ขุนศรีวิสารวาจาลุกเร็ว กระโจนตัวลอยจากเรือกระโดดตุ๊บลงบนท่าน้ำ แล้ววิ่งหน้าตั้งไปที่เรือน เสียงโครมคราม
จำปาออกจากห้องพระ เปิดห้องเข้ามาในห้องสมุด
"ผู้ใดเป็นอะไร เสียงดังกรีดกราดไปทั้งเรือน นั่นแม่การะเกด เหตุใดมานอนอยู่ที่นี่"
ปริกรายงาน "แม่นายเจ้าขา แม่หญิงตายแล้วเจ้าค่ะ"
"นังปริก พูดจาอัปมงคลอย่างนี้อยากโดนหวายลงหลังรึ"
"ข้าเจ้ารักแม่หญิง ข้าเจ้ามิพูดจาแช่งชักแม่หญิงหรอกเจ้าค่ะ"
"อ้อ...เอ็งเปลี่ยนใจแล้วข้าไม่รู้...เอ้า...ถอยออกไปอย่ามุง นางจะหายใจมิออก
นังจวง"
"เจ้าค่ะ"
"นังจิกด้วย ไปหายาหอม น้ำร้อนมากะละมัง ใครก็ได้ปลดซิ่นของนางออก"
ขุนศรีวิสารวาจาพรวดเข้ามาอย่างแรงและเร็ว ชนจวงกับจิกเซไปคนละทาง
"พ่อเดช..." คุณหญิงพยักหน้าไปทางเกศสุรางค์ "เป็นลม แม่จะชงยาหอมให้กิน
เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เย็นลง"
ขุนศรีวิสารวาจาไม่ฟังเสียง ปราดเข้าช้อนร่างเกศสุรางค์ขึ้น ก้มลงมอง อังนิ้วที่จมูกเกศสุรางค์
ร่างกายเกศสุรางค์ปวกเปียก แขนห้อย คอตก หน้าขาวจัด
ขุนศรีวิสารวาจาอุ้มแล้วบอก
"พวกเอ็งไปตามออกหลวงเวชภักดีมาเดี๋ยวนี้ อีผิน อีแย้ม ไปเตรียมที่นอน กูจะพาแม่นายมึงกลับหอนอนของนาง"
"พ่อเดช"
ขุนศรีวิสารวาจาถามเสียงห้วน "แม่การะเกดกำลังจะตาย คุณแม่ไม่เห็นฤๅ"
ขุนศรีวิสารวาจาออกไปทันที จำปาทาบอกตกใจมาก
บ่าวทั้งนั้นตามขุนศรีวิสารวาจาออกไป
เหลือปริกยืนจ้องหน้าจำปา
"นังปริก จ้องหน้าข้าจะว่ากระไร"
"แม่หญิงกำลังจะตาย เหตุใดแม่นายให้กินแค่ยาหอม"
"ตาย...ใครว่านางจะตาย ข้าไม่เห็นนางเป็นอะไร"
"แม่หญิงไม่หายใจน่ะสิ...ไม่หายใจตายฤๅไม่" ปริกตวัดแล้วออกไปทันที
"เออ...นางปริก เอาเสียหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะเอ็ง"
เกศสุรางค์นอนนิ่ง
ขุนศรีวิสารวาจาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง จับมือเกศสุรางค์ มองหน้า สีหน้าห่วงใยเต็มที่
"แม่การะเกด...ตื่นเถิดนะออเจ้า"
เกศสุรางค์เงียบ หายใจแผ่วมาก ขุนศรีวิสารวาจาอังมือที่จมูก
"อย่ากลับไปเลย...อยู่ที่นี่...อย่ากลับไปไหน"
ขุนศรีวิสารวาจายกมือมาแนบหน้า สายตาสิ้นหวัง
ประตูเปิด ขุนศรีวิสารวาจาหันไป
"ออกหลวงเวชภักดี"
หลวงเวชดูอาการเกศสุรางค์แล้วบอกว่า
"ข้ามิเคยพบเห็นอาการป่วยไข้เช่นนี้มาก่อน ลมหายใจเต้นอ่อนนัก แต่เป็นจังหวะอันเสมอกันคล้ายการจำศีลภาวนา เนื้อตัวก็อุ่นมิร้อนมิเย็นน่าประหลาดนัก ก่อนหน้านี้นางได้กินหรือจับต้องสิ่งใดฤๅไม่"
ขุนศรีวิสารวาจาหันไปมองนางผินและนางแย้ม
"ข้าเจ้าพบแม่นายท่านในหอสมุดเจ้าค่ะ มีสมุดข่อยกับพานทองอยู่เคียงกัน ไม่แจ้งว่าแม่นายจับต้องฤๅไม่"
ขุนศรีวิสารวาจาลุกขึ้นเดินออกไปทันที
ขุนศรีวิสารวาจาเดินออกมาจากห้องการะเกดอย่างรวดเร็ว
พวกบ่าวทั้งปวงนั่งออกันเป็นกลุ่ม รอคอย
"ออกขุนท่าน" ปริกเรียก
ขุนศรีวิสารวาจาเดินผ่านไป ตรงเข้าไปหาออกญาโหราธิบดีกับคุณหญิงจำปา
หลวงเวชภักดีเดินออก ปริกพุ่งเข้าหา บ่าวตาม
"ออกหลวงเวช แม่หญิงตายฤๅ...ตายแล้วฤๅ"
จวงเอ็ดเสียงค่อยแต่แรง"ป้าปริก ปากป้าน่ะเก็บไว้พูดสิ่งดีๆมั่งได้ฤๅไม่"
"ก็ข้าเห็น...ฮือ ข้าเห็นแม่หญิงไม่หายใจ"
"ไม่สมใจป้าเรอะ"
"นังจิก" ปริกผลักกระเด็นไป "อย่ามารื้อฟื้นกู กูกลับใจแล้วเว้ย"
ในหอสมุด ออกญาโหราธิบดีหยิบสมุดข่อยบรรจุมนต์กฤษณะกาลีวางบนพาน แล้วมองหน้าขุนศรีวิสารวาจา
"พ่อเดช"
"ขอรับคุณพ่อ"
"ออเจ้าคิดการสิ่งเดียวเช่นพ่อใช่ฤๅไม่"
"ขอรับ"
"หากเราร่ายมนต์กฤษณะกาลีนี้ แล้วแม่การะเกดกลับมาเป็นคนเดิมเมื่อสี่ห้าปีก่อน ออเจ้าจักทำอย่างไร"
"คุณพ่อ...รู้ฤๅขอรับว่า...นางมิใช่"
"เหตุใดพ่อจะมิรู้ แม่การะเกดผู้นี้กลับมีนิสัยใจคอที่แตกต่างจากหลานสาวคนเดิมของพ่อ แม่หญิงผู้นี้น่าเอ็นดูยิ่งนัก ความผูกพันนี้กลับมากยิ่งกว่าที่พ่อระลึกถึงหลานสาวคนเดิมเสียอีก"
ขุนศรีวิสารวาจาขบกรามแน่น ดวงตาคมนั้นสบตาบิดาอย่างคนที่แน่วแน่มั่นคง
"ลูกทนให้นางนอนแน่นิ่งอย่างนี้มิได้ขอรับ หากต้องเสี่ยงลูกก็พร้อมยอมรับ ลูกจะสวดมนต์ ถ้าแม่การะเกดของลูกมิกลับมา หรือนางฟื้นคืนแต่มิใช่แม่การะเกดของลูก แต่เป็นแม่การะเกดคนเก่า ลูกก็จักขอบวชตลอดชีวิต มิขอมีคู่ครองตลอดไป"
ต่อมา ....เสียงสวดมนต์กฤษณะกาลีดังกังวานแว่วๆ
ต่อมา ....เสียงสวดมนต์กฤษณะกาลีดังกังวานแว่วๆ
สองคนพ่อลูกนั่งสวดมนต์นั้น ขุนศรีวิสารวาจาหน้าตามุ่งมั่น
เกศสุรางค์นอนนิ่ง เสียงร้องไห้ดังแผ่วๆ ผิน แย้มนั่งกอดเข่า น้ำตาไหลสะอื้นเล็กๆ
เกศสุรางค์ลุกขึ้น หันไปมองร่างตัวเองที่ยังนอนเงียบอยู่ แล้วตกใจมาก หันขวับมาทางผินและแย้ม
"พี่..."
ยังไม่ทันพูดต่อ ร่างของเกศสุรางค์ก็วูบหายเหมือนโดนใครดึงไป
ปริกเข้ามาพอดี เหมือนปะทะอะไรบางอย่างจนเซจนล้มแปะลงไป
"ใครชนกูวะ"
ผิน แย้มส่ายหน้า
"แม่หญิง...แม่หญิงการะเกด เอ๊ะ นังผินนังแย้ม แม่นายของเอ็งไม่หายใจแล้วหนา"
สองคนผวาเข้ามา หน้าซีดหน้าเซียว
"แม่หญิง...แม่หญิงการะเกดอย่าเพิ่งตายนะเจ้าคะ ออกขุนท่านสวดมนต์ช่วยแม่หญิงแล้ว" เมื่ออังลมหายใจ ดูหน้าอก ก็หน้าเสียลงตามลำดับ "แม่หญิง"
เสียงแผ่วลงอย่างสิ้นหวัง
ร่างเกศสุรางค์ลอยคว้าง ลงมายืนบนพื้นดิน ในบรรยากาศเวิ้งว้าง ขมุกขมัว เป็นสีเทาไปทั่ว
เกศสุรางค์มองไปทั่วๆ"ไม่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องจริง"
หมอกควันหนาทึบ จางลง เหมือนม่านที่ถูกแหวกออกสองข้าง
อาจารย์ชีปะขาวยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า สายตาเต็มไปด้วยความเมตตามองมา
"ท่านอาจารย์มาช่วยข้า พาข้ากลับบ้านนะเจ้าคะ"
"บ้านไหนเล่า นังหนู"
"บ้าน...ไหน...หรือเจ้าคะ" สีหน้าเกศสุรางค์เหมือนดอกไม้โดนแดด "จริงสิข้าไม่มีบ้าน
จะกลับ"
"เอ็งดูนี่ก่อน เกศสุรางค์"
"อาจารย์รู้จักชื่อข้า"
ชีปะขาวหัวเราะเบาๆ "มันยากนักรึ...เอาล่ะ ตั้งจิตให้ดี"
เกศสุรางค์ เข้าไปถึงดวงตา
ปรากฏภาพทั้งหมดของเหตุการณ์รถถูกชน
หลังเหตุการณ์ บริเวณถนนหน้าบ้านสิปาง
สิปางประคองคุณยายนวลให้นั่งลง
คนเข็นรถเรืองฤทธิ์ ตามถนนช้าๆ เรืองฤทธิ์บาดเจ็บมีผ้าคล้องไหล่
รถเข็นไปจอดตรงหน้า แม่สิปางกับยายนวลจ้องมอง
เรืองฤทธิ์ขยับตัวลงจากรถอย่างลำบาก
"เรือง...ไม่ต้องลูก"
เรืองฤทธิ์ลงไปแล้ว กราบแทบเท้าคุณยายและแม่
เงยหน้ามอง สีหน้าลุกะโทษ รู้สึกผิด น้ำตาเต็มตาจวนเจียนจะหยด
เกศสุรางค์ในร่างการะเกด ยืนมองอยู่
"ผมขอโทษที่เกศตาย"
ร่างเกศสุรางค์ตกใจพอประมาณ เพราะเดาเรื่องราวได้แล้ว
เรืองฤทธิ์นั่งรถเข็น สงบนิ่งหน้ารูปภาพเกศสุรางค์ เป็นรูปถ่ายเล่นๆกับแม่กับยาย
เกศสุรางค์ยืนมองที่มุมห้อง
เรืองฤทธิ์น้ำตาไหลเป็นทาง เงียบๆ สีหน้าเศร้าล้ำลึก
เกศสุรางค์เคลื่อนตัวเหมือนลอยออกมา
แม่และยายนั่งอยู่ด้วยกัน ยายกำลังปลอบแม่
เกศสุรางค์เดินไปนั่งจนใกล้ คุกเข่าตรงหน้า เงยหน้าขึ้นมอง
ยายนวลบอก "เขาทำบุญกับเราแค่นี้ หักอกหักใจเสียเถิดลูก"
"คุณแม่...เขาอุตส่าห์รอดตาย ทั้งๆที่น้องสาวฝาแฝดไม่รอด แล้วเขาก็อยู่มาจน
โตจนผูกพันกับเรา ทำไมต้องมาเอาเขาไปล่ะคะ เอาไปเลยตั้งแต่เล็กจะได้เสียใจครั้งเดียว"
เกศสุรางค์เพิ่งรู้ แปลกใจ
"น้องเกศ น้องฝาแฝดหรือคะ"
"เขาอยู่กับเราให้เราชื่นใจนานพอดู"
"เกศอยากรู้เรื่องน้องฝาแฝดค่ะ"
"แค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ไม่นานเลย"
"ตั้งยี่สิบกว่าปี คิดอย่างนั้นสิลูก"
"สงสารเรืองฤทธิ์ คงจะบวชตลอดชีวิตค่ะคุณแม่"
เกศสุรางค์หันขวับไปทางห้องที่เรืองฤทธิ์นั่งอยู่
"ทำไมแกต้องบวชตลอดชีวิตด้วยวะ ไอ้เรือง"
เรืองฤทธิ์ยังคงจ้องมองรูปเกศสุรางค์
"แล้วพ่อแม่แกจะอยู่ยังไง ใครจะดูแล"
เกศสุรางค์พูดไม่จบประโยค ต้องหยุดกึกเพราะสิ่งที่เรืองฤทธิ์พูดออกมา
"ทำไมแกต้องตาย ฉันยังไม่ได้บอกแกเลยว่าฉันรักแก"
เกศสุรางค์ตะลึงมาก
"ฉันกำลังจะบอกว่าฉันรักแกตลอดเวลา รักมานานตั้งแต่" เรืองฤทธิ์หยุดกึก สีหน้า
เหมือนรำลึกอะไรบางอย่าง "ตั้งแต่..."
เกศสุรางค์อ้าปากค้าง มองจ้องเรืองฤทธิ์
ทันใดร่างของขุนศรีวิสารวาจาในเครื่องแต่งกายอยุธยา ก็ซ้อนทับร่างของเรืองฤทธิ์อยู่
"คุณพี่"
เรืองฤทธิ์และขุนศรีวิสารวาจาอยู่ในอิริยาบถเดียวกัน ซ้อนทับกันอยู่ คือจ้องที่รูปภาพของเกศสุรางค์
"ฉันรักแกมานานมากนะเกศ ตั้งแต่..."
"คุณพี่...ตั้งแต่สามร้อยกว่าปีมาแล้วหรือคะคุณพี่ เรืองฤทธิ์คือคุณพี่หรือคะ"
เกศสุรางค์ยืนน้ำตาไหลพราก
"ข้าจะได้กลับไปหาคุณพี่หรือไม่"
เกศสุรางค์นอนหลับตานิ่งไม่หายใจ ขุนศรีวิสารวาจาคุกเข่าข้างเตียง จับมือเกศสุรางค์ ก้มลงกระซิบ
"กลับมาเถิดแม่การะเกดของพี่ อย่านอนนิ่งอย่างนี้เลย ใจพี่ราญรอนนักหนา" ขุนศรีวิสารวาจาก้มลงกระซิบใกล้หู "คืนกลับมาเถิดออเจ้า อย่าไปอื่นไกลเลย"
สองคนสวดมนต์ คุณหญิงจำปานั่งแอบๆหน้าประตู สายตาเป็นห่วง
เรืองฤทธิ์ไหว้แม่กับยาย
"บวชแน่หรือลูก"
"ครับ บวชให้เกศ"
"พ่อเรือง...ขอบใจนะลูก"
เรืองฤทธิ์ไหว้อีกครั้ง "เกศพ้นทุกข์แล้วครับ"
เมื่อเรืองฤทธิ์หันหลังกลับก็ชะงัก มองมาจุดที่เกศสุรางค์ยืนอยู่ เหมือนมองเห็น
แต่ไม่เห็น แล้วเดินผ่านไป
เกศสุรางค์เดินไปหาแม่กับยาย คุกเข่ากราบที่เข่า
"เกศลานะคะแม่ ลานะคะคุณยาย"
สิปางมองตรงไปข้างหน้า กระซิบเหมือนฝากไปถึงเกศสุรางค์ "ชาติหน้า...กลับมา
เป็นลูกแม่อีกนะลูก"
ทุกอย่างเงียบงัน
แม่และยายไม่เห็นเกศสุรางค์
สองคนยังสวดมนต์อย่างมุ่งมั่น
"คุณพ่อขอรับ"
ออกญาโหราธิบดีสวดไม่หยุด
"คุณพ่อพักเถิดขอรับ"
ออกญาโหราธิบดีส่ายหน้ายังคงตั้งหน้าตั้งตาสวดสีหน้ามุ่งมั่นมาก
เกศสุรางค์เดินเร็วๆผ่านนอกชานใหญ่ แต่ไม่มีใครเห็น บ่าวบางคนเดินผ่านเกศสุรางค์ไป เกศสุรางค์หน้าตั้งไปห้องนอนตัวเอง แต่ต้องหยุดชะงักเพราะมือการะเกดคว้าไว้ เกศสุรางค์สะบัดตัวหันมามองหน้า
"มาทวงร่างของเจ้าคืนใช่ไหม"
"ข้าหมดบุญแล้วหนา จักมาทวงร่างได้อย่างไร" การะเกดบอก
"แปลว่าอะไร แปลว่าตอนนี้ร่างของเจ้าก็ตายแล้วอย่างนั้นเหรอ"
"ถูกแล้ว ข้าได้ตายลงไปแล้ว ตายไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้วที่เราได้พบกัน ขอบใจพี่เกศสุรางค์มากที่ช่วยทำบุญให้ข้ามาโดยตลอด ทั้งดูแลพี่ผินพี่แย้มให้ข้าด้วย"
"แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
"จักว่าสบายก็มีถูกนัก แต่ก็มิลำบากเฉกเช่นแต่ก่อน ข้าทำบาปหนักฆ่าคน แม้จักไม่ตั้งใจแต่ก็เป็นเหตุให้มีคนตาย"
"เจ้าเรียกข้าว่าพี่ เจ้าเป็นน้องสาวฝาแฝดของข้าจริงๆหรือ"
"ถูกแล้วข้าเป็นน้องสาวฝาแฝดของพี่ หลายภพหลายชาตินักที่เราสองเป็นพี่น้องกัน แม้แต่ในภพที่ข้าเป็นการะเกด"
"ทุกชาติทุกภพเลยเหรอ"
"ใช่ ภพนี้พี่ก็เป็นพี่ข้า หากแต่ท่านตายก่อนตั้งแต่ยังแบเบาะ ภพของท่านข้ากลับเป็นฝ่ายที่ตายก่อนเพราะแรงกรรม จึงมิสามารถมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างบุญได้" การะเกดอธิบายช้าๆ
"โอ้โฮ! แม่เจ้า อะไรมันจะซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดนั้น แล้วเราไปทำกรรมอะไรกันมา ทำไมต้องมาเป็นฝาแฝดแล้วคนหนึ่งอายุสั้นสลับกันอย่างนี้ล่ะ"
"เรื่องนั้นพี่ท่านมิต้องรู้ รู้มากไปจักปวดหัวเปล่าเพราะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยผ่านมาหาได้ไม่"
"เจ้าจะไปเกิดใหม่หรือไม่"
"ยังเจ้าค่ะอีกนานนัก ข้ายังมี กรรมใหม่ที่ข้าก็ต้องชดใช้ต่อไป" การะเกดเงี่ยหูเหมือน
ได้ยินอะไร "ข้าต้องไปแล้วหนาพี่เกศสุรางค์"
" เจ้าจะไปไหน ข้ายังอยากรู้อะไรอีกตั้งเยอะ หลังจากนี้ข้าต้องไปที่ไหน เกิดใหม่อย่างนั้นเหรอ แล้วคุณพี่ล่ะจะเป็นยังไง เรืองฤทธิ์เพื่อนของข้าคือคุณพี่จริงๆหรือ"
"พี่เกศสุรางค์ เกิดใหม่ตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว จักไปเกิดใหม่ที่ใดอีกเล่า ส่วนคุณพี่กับพี่ท่านนั้นเคียงคู่กันมาทุกภพทุกชาติเป็นบุพเพสันนิวาสต่อเนื่องวนเวียน แม้มีกรรมมาแทรกบ้าง แต่สุดท้ายก็คือคู่กัน ข้าไปแล้วนะเจ้าคะ รักษาตัวด้วย"
การะเกดกระพุ่มมือไหว้เกศสุรางค์
"พี่ทำให้แม่หญิงการะเกดกลายเป็นคนดีมีเมตตา มิฉะนั้นจักมีแต่คนสาปแช่งก่นด่าข้า เป็นแรงกรรมที่ทำให้ข้าตกนรกหมกไหม้ยิ่งไปกว่านี้ ข้าขอบใจพี่ยิ่งนัก"
เกศสุรางค์อ้าแขนกอดการะเกด
"ข้าจะคอยชาติภพที่เราสองคนจะเกิดด้วยกันโตด้วยกัน ไม่มีใครตายจากกัน"
การะเกดยิ้มหวาน แล้วร่างค่อยๆเรืองแสง โปร่งบางขึ้น จนหายไป
เกศสุรางค์หน้าหมองเศร้ากับความจริงทั้งหมดที่ได้รู้ เหลียวดูไปรอบตัว
เห็นบ่าวทำงาน แต่ทุกคนหน้าเศร้าหมอง
ปริกนั่งร้องไห้เงียบๆ ซับน้ำตา จ้อยนั่งพิงฝา หน้าตาไม่สบายใจ
คุณหญิงจำปาก็นั่งมือกุมขมับ เศร้าหมอง
เสียงสวดมนต์ดังแว่วๆมา เกศสุรางค์หันหน้าไปทางห้องสมุด แล้วหันไปทางหอนอนของตัวเอง
เกศสุรางค์วิ่งผ่านชานบ้าน ผ่านบ่าวทุกคนไปหอนอนตัวเอง
พลัน เกศสุรางค์ก็ลืมตาขึ้นทันที
สบตาผินกับแย้มที่นั่งจ้องอยู่ทันที
ผินเรียกเสียงสั่นสะท้านดีใจมาก "แม่นายฟื้นแล้ว อีแย้ม"
แย้มพรวดออกไปตะโกนทันที "ออกขุนท่าน"
แย้มวิ่งผ่านไปรวดเร็ว
ทุกคนลุกขึ้นดู สีหน้างงงวย และตื่นเต้นตามกันมา
สักครู่แย้มวิ่งมา ขุนศรีวิสารวาจาหน้าซูบซีด หนวดเคราเต็ม วิ่งแซงแย้มนำไปก่อน
แย้มตามไป
"นังแย้ม...หยุด"
แย้มเบรกพรืด เมื่อได้ยินเสียงคุณนายจำปา
"เกิดเหตุอันใด"
ปริกพรวดไปทันที
"แม่หญิงฟื้นแล้วน่ะสิเจ้าคะ" ปริกวิ่งหายตามขุนศรีไป มีเสียง
ลอยมา " ไม่เห็นต้องถามเลย"
"จริงฤๅ"
"เจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเข้ามาอย่างเร็ว ยืนจ้องเกศสุรางค์เหมือนไม่เชื่อสายตา
"คุณพี่ ทำไมดูโทรมจังเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาก้าวเข้านั่งเคียง ดึงร่างเกศสุรางค์มาแนบอก กอดแน่น
"วาจานี้มิผิด เจ้ากลับมาแล้วแม่การะเกดของพี่ ถ้าเจ้ายังมิกลับมาในวันนี้ใจพี่จะขาดแน่ๆ" ขุนศรีวิสารวาจาโน้มตัวแนบหน้ากับหน้าเกศสุรางค์
ผินออกไปจากห้องอย่างเร็ว
"ข้าต้องกลับสิเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจามองหน้า
"เพราะข้าหิวมาก ชนิดที่ว่ากินไก่ได้เป็นตัวๆเลยหนาเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหัวเราะเสียงดัง
เสียงหัวเราะของขุนศรีวิสารวาจาดังแว่วมา
ผินกางแขนไม่ให้ใครเข้าไป
บ่าวอยากเข้าไป พยายามดันผิน
"หลีกไปนังผิน" ปริกบอก
"อย่าเพิ่งเข้าไปเลยแม่ปริก"
จำปาแหวกคนมา "เหตุใดจึงเข้าไม่ได้นังผิน"
"เพราะออกขุนท่านกำลัง" ผินเอานิ้วชี้มาติดกัน ทำท่าเอียงอาย
จำปาถาม "อะไรของมึง"
"อย่างนี้แหละเจ้าค่ะ"
"อ๋อ...แล้วไป" ปริกเดินกลับ
บ่าวทุกคนเดินตามไปด้วย ทำหน้ารู้กันทุกคน ร้อง “อ๋อ...รู้แล้ว”
"มึงพูดให้ชัดเจน...เป็นยังไร" จำปาคาดคั้น
"กะลังกอดกันเจ้าค่ะ แล้วก็...หอมกัน...นิดหน่อยเจ้าค่ะ"
จำปานิ่งไปอึดใจ สีหน้าน่าขำมาก
"ไม่เข้าก็ได้" แล้วคุณหญิงก็หันหลังกลับ
ขุนศรีวิสารวาจาเคลียคลอ กอดนุ่มนวล จูบเบาๆที่แก้ม ที่นัยน์ตา
"ใจพี่ราญรอนเหมือนร่างกายไม่มีชีวิตจิตใจ ออเจ้าอย่าจากไปไหนอีกนะ"
"ไม่ได้อยากไปเสียหน่อยเจ้าค่ะ แค่แตะสมุดข่อยเล่มนั้น จี๊ดขึ้นสมองเลยเจ้าค่ะ โลกมืดทันทีไม่รู้ตัว"
ขุนศรีวิสารวาจานิ่งตัวแข็ง เหมือนฉุกใจคิดอะไรบางอย่าง แล้วลุกพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว
เกศสุรางค์งง
ที่หอสมุด ขุนศรีวิสารวาจายกมือไหว้ แล้วหยิบคัมภีร์กฤษณะกาลี ลุกขึ้นหันมา
ออกญาโหราธิบดียืนอยู่ ขุนศรีวิสารวาจาตัวลู่ลง
"จักเอาคัมภีร์ไปทำลายเสียให้สิ้นขอรับ หากแม่การะเกดแตะต้องเข้าอีกอาจจักมิมีโชค ขอรับคุณพ่อ"
"คิดให้ดี จักทำลายเยี่ยงไร อาจมีผลต่อแม่การะเกดได้หนาลูก"
ขุนศรีวิสารวาจาชะงักกึก แววตาไตร่ตรองลึกซึ้ง หันไปจ้องเกศสุรางค์ที่พรวดเข้ามายืนอยู่กลางห้อง
"ลูกรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ลูกขอหนาขอรับคุณพ่อ"
ออกญาโหราธิบดีพยักหน้า ขุนศรีวิสารวาจาออกไป
"คุณพี่ไปที่ใดเจ้าคะคุณลุง"
"คงจักไปจัดการกับคัมภีร์กฤษณะกาลีที่ทำให้ออเจ้าเป็นอย่างนี้"
"อะไรนะเจ้าคะ"
"พ่อเดชเกรงว่าหากเป็นคราวหน้า ออเจ้าอาจจักมิได้กลับมาร่างนี้อีก เพราะ
หากเป็นแม่การะเกดตัวจริงกลับเข้าร่าง พ่อเดชคงมิยินยอม"
เกศสุรางค์หน้าเหวอยิ่งกว่าเหวอ "การะเกดตัวจริงเหรอเจ้าคะ"
ที่ชานเรือน บ่าวทั้งหลายนั่งอยู่
"ข้าเจ้ารู้ตอนแม่นายเรียกพี่ผินพี่แย้ม ว่าไม่ใช่แม่นายการะเกดคนเดิม" ผินว่า
"แม่หญิงก็เรียกข้าเจ้าว่า พี่จวงเจ้าค่ะ"
"เรียกจิกเฉยๆด้วยเจ้าค่ะ"
"ก่อนเรียกว่าไง"
จิกเลียนแบบ เน้นเสียงอย่างการะเกด "อีจิกเจ้าค่ะ"
"อีบุ้งด้วยเจ้าค่ะ"
แย้มบอก "แม่นายแจกเงินเจ้าค่ะ...ไม่งั้นไม่เคยเลย"
"แม่นายกอดข้าเจ้า" ผินบอก
แย้มว่า"แม่นายยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอดเวลา"
"แม่นายไม่มองข้าเจ้าเป็นบ่าวทาส"
จำปาถาม "แล้วเป็นอะไร"
"เป็นคนที่จงรักภักดีเจ้าค่ะ"
ทุกคนนิ่งอึ้งไปหมด
ปริกบ้าง
"แต่ข้าเจ้าน่ะนึกว่าแม่หญิงแกล้งทำ มารยาสาไถย เจ้าอุบายกลบความร้ายกาจของตัวเอง ข้าเจ้าชังแม่หญิงเหลือที่จะกล่าว"
เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ
"มิน่า สะบัดสะบิ้งใส่ข้าตาล๊อด...ตาหลอด"
"เกลียดนี่เจ้าคะ"
"แล้วตอนนี้ล่ะ"
"รักเจ้าค่ะ ถ้าแม่นายท่านว่าอะไรแม่หญิงนะเจ้าคะ ข้าเจ้าไม่ยอมเป็นอันขาด"
"มันจะมากไปแล้วนังปริก" คุณหญิงจำปาว่า
"ว่าข้าเจ้าเป็นขโมยไม่มากกว่าหรือเจ้าคะ"
"เออ...เอากะมัน จะพูดจนตายฤๅ"
จ้อยว่า"ข้า...รู้ตั้งแต่ออกขุนท่านรู้ขอรับ"
"เกี่ยวอะไรกะข้าวะไอ้จ้อย"
"พอข้าเห็นออกขุนท่านเลิกเกลียด แต่เปลี่ยนมาเป็นรักแม่หญิง ข้าก็เปลี่ยนใจเหมือนกันขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าแดง พูดไม่ออก
"จ้อยก้อ...ออกขุนท่านเขินหน้าแดงแล้วเห็นมั้ยล่ะ"
จำปาเสียงดุ "แม่การะเกด อย่าให้มันเกินงาม เป็นหญิงพูดจามีหูรูดบ้าง" มองแบบเหล่ๆ เอ็นดูๆ "ก็เป็นอันว่าออเจ้าชนะใจคนทุกผู้ในเรือนนี้" เกศสุรางค์มองตาเหมือนถามว่า แล้วคุณป้าล่ะ "ป้าจะไปไหนเสีย"
ทุกคนยิ้มแย้ม
"แม่การะเกด ครานี้จะบอกได้หรือยังว่าออเจ้าเป็นใคร มาจากไหน" ออกญาโหราธิบดีถาม
ทุกคนนิ่งไปทันที หันมาจ้องดูเกศสุรางค์เป็นตาเดียว
"เอ้อ...ถ้าข้าเป็นใครอื่นมาสิงในตัวแม่การะเกด ข้าจะโดนไล่ไป ไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่มั้ยเจ้าคะ"
"ถามลุงฤๅ"
"เจ้าค่ะ" เกศศุรางค์เสียงเบาแต่หนักแน่น จริงใจที่สุด
"ข้า...ไม่ได้เป็นใครที่ไหน และไม่ได้มาจากที่ใด ข้าคือการะเกด ส่วนหนึ่งของแม่หญิงการะเกดคือข้า เพียงแต่ส่วนที่เป็นข้าเพิ่งปรากฏตัวขึ้นเท่านั้น"
บ่าวทั้งหลายยังงง มองหน้ากัน
"ต่อจากนี้ แม่หญิงการะเกดจะเป็นเหมือนที่ข้าเป็น แม่หญิงการะเกดคนเดิมจะไม่มีอีกต่อไป"
บ่าวเริ่มยิ้มกันแบบงงๆ
เกศสุรางค์ทำมือ "โอเคมั้ย พี่ผินพี่แย้ม"
ผิน/แย้มตอบ "โอเคเจ้าค่ะ"
"พี่จวง จิก บุ้ง จ้อย"
ทั้งสี่คน "โอเคเจ้าค่ะ / ขอรับ"
"แม่ปริก"
ปริกทำมือผิด "โอเคเจ้าค่ะ"
จ้อยจับมือให้ทำให้ถูก
ทั้งหมดหัวเราะกันอยู่ไปมา
"คุณป้าเจ้าขา ข้าขออนุญาตพาคุณพี่ไปเยี่ยมแม่จันทร์วาดนะเจ้าคะ"
"อ๋อ...พ่อเดชรู้หรือยังว่าแม่จันทร์วาด"
เกศสุรางค์ทำมือแตะปากว่ายังไม่ให้พูด
"คุณป้าเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาไม่เห็น
เรือนออกญาโกษาธิบดี แม่หญิงจันทร์วาดเดินออกมาจากห้องข้างใน ยิ้มหวาน
ขุนศรีวิสารวาจาประหลาดใจ "แม่หญิงจันทร์วาด"
"เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ บุญกับเหมือนเอาน้ำและขนมมาเสิร์ฟ
"ข้า...ไม่รู้มาก่อน แม่หญิงมีเรือนแล้วรึ หรือว่าแค่"
"แค่...อันใดหรือเจ้าคะ"
"แค่อวบอ้วนเป็นปกติของแม่หญิง"
"แหม...คุณพี่เจ้าขา มีแม่หญิงคนไหนอ้วนที่พุงเจ้าคะ พอลงพุงเค้าก็ไปฟิตเนสกันทั้งนั้น"
ทุกคนหันมามองเกศสุรางค์
"นางเป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อ แม่จันทร์วาดอย่าฟังเลย"
เกศสุรางค์เหล่ขุนศรีวิสารวาจาเล็กๆ
"มีคนทำให้อ้วนที่พุงเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้างงงวย
"ข้ามีครรภ์เจ้าค่ะคุณพี่ขุน"
"มีครรภ์...กับ...เอ่อ...ใคร"
ขุนเรืองอภัยภักดีเดินออกมายิ้มกว้าง เกศสุรางค์ไหว้ขุนเรืองอภัยภักดี มองหน้าใจคิดถึงเรืองฤทธิ์
ขุนศรีวิสารวาจาชี้หน้าขุนเรืองอภัยภักดี สีหน้าเป็นคำถามมองจันทร์วาด
"เจ้าค่ะ"
"แปลกใจมากนักฤๅพ่อเดช"
"แปลกใจอยู่พ่อเรือง ข้ามิรู้มาก่อน ข้ายินดีด้วย"
"ขอบใจ ข้าว่าจะพาแม่จันทร์วาดไปเยี่ยมออเจ้าอยู่ ได้ยินว่ากลับมาแล้ว"
"ข้ารู้เช่นนั้นจึงชิงมาเยี่ยมออเจ้าก่อน คุณหญิงมารดาของออเจ้าอยู่ไหน ข้ายังมิได้คารวะ" ขุนวิสารวาจาว่า
"คุณแม่ท่านย้ายไปอยู่กับคุณย่าเจ้าค่ะ"
"คุณย่าแม่จันทร์วาดเจ้าแม่วัดดุสิตใช่มั้ยคะ"
"ใช่ค่ะ"
"ที่เป็นแม่นมของขุนหลวง"
"พระนม"
"เป็นพระนม...ใช่มั้ยคะ"
"ค่ะ ท่านรักษาอุโบสถศีลและปฏิบัติธรรมที่วัดดุสิตารามนอกเกาะเมือง คุณแม่ท่านจึงไปอยู่ด้วย"
"ข้าไม่เข้าใจเลย ขุนหลวงกับคุณลุงขุนเหล็กเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กๆ ทำไมใจร้ายรับสั่งลงโทษโบยจน..."
ขุนศรีวิสารวาจาแตะแขน เกศสุรางค์หยุดกึก
จันทร์วาดหน้าหมอง นัยน์ตาหลุบลง...นิ่งไป
"ข้าขอโทษนะเจ้าคะแม่จันทร์วาด"
"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแรงกรรมที่ทุกคนเคยทำมา ข้าไม่โทษใครทั้งสิ้น บัดนี้คุณแม่ท่านเป็นสุขแล้ว"
อีกมุมในเรือนออกญาโกษาธิบดี
ขุนศรีวิสารวาจากับขุนเรืองอภัยภักดีคุยกันอยู่สองคน
อีกทาง... เกศสุรางค์กับจันทร์วาดคุยกัน บ่าวอยู่ด้วย
ขุนศรีวิสารวาจาบอก "ออเจ้าเก่งนักทำให้คุณหญิงนิ่มยอมรับเป็นลูกเขย"
"หันไปชมคู่หมั้นของออเจ้าเถิด"
ขุนศรีวิสารวาจานิ่งคิดสักครู่ ก็พยักหน้า
"มิได้ดูแคลนออเจ้าหนา แต่ข้าก็เชื่อว่าเป็นฝีมือแม่การะเกด"
สองคนหัวเราะกัน
ขุนเรืองอภัยภักดีบอก
"ข้าได้อวยยศเป็นหลวงเรืองณรงค์เดชา"
"ดีจริง ข้ายินดีด้วย"
"ออเจ้าเตรียมรับยศใหม่ อีกไม่นานหรอกพ่อเดช"
"ท่านอาขุนปานควรได้อวยยศสูงยิ่ง แลกินตำแหน่งถึงเสนาบดี"
"คณะทูตจากฝรั่งเศสที่มากรุงศรีเที่ยวนี้มีใครบ้างฤๅพ่อเดช"
บริเวณที่รอคอยเข้าเฝ้า
ขุนนางไทย มีพระยาวิไชยเยนทร์ , ออกพระวิสุทธสุนทร , พระเพทราชา , หลวงสรศักดิ์ , ขุนศรีวิสารวาจา , หลวงเรืองณรงค์เดชา , ออกญาโหราธิบดี , และคนอื่นๆ
คณะทูตจากฝรั่งเศส มีเมอร์ซิเออร์เซเบเรต์ ราชทูตคนที่ 1, ลาลูแบร์ ราชทูตคนที่ 2 ถือสมุดเล่มเล็กๆ และดินสอกำลังจด, บาทหลวงตาชาร์ด , นายพลเดส์ฟาร์จ , , ทหารฝรั่งเศสยืนอยู่ด้วยประมาณ 4-5 คน คณะทูตต่างยืนรอ จับกลุ่มคุยกัน
วันเดียวกัน ที่เรือนออกญาโหราธิบดี
ปริกบอก "แม่หญิงเจ้าขา มาหัดทำอาหารเถิดเจ้าค่ะ ออกขุนท่านชอบกิน..."
"แม่ปริก ข้าไม่อยากหัดวันนี้"
"อ้าว...ออกขุนท่านหิวตาย"
เกศสุรางค์หัวเราะกิ๊ก "แหม... ตลกนะเนี่ย"
ปริกหัวเราะน้ำหมากย้อย) พวกทูตขรตรีเศียรไปเฝ้าขุนหลวงตามธรรมเนียม แม่หญิงจักยุ่งอะไรกะพวกมันเจ้าคะ"
เกศสุรางค์หัวเราะแหะๆ
"อยากรู้ว่าเป็นไงมั่งน่ะสิ แหม แปลงเป็นแมงวันไปกะคุณพี่ได้นะ จะไปเลย"
เย็นวันนั้น มุมหนึ่งที่เรือนออกญาโหราธิบดี
ออกญาโหราธิบดี , พระยาโกษาธิบดี , พระศรีวิสารสุนทร , หลวงเรืองณรงค์เดชา นั่งคุยกัน
อีกทางเป็นคุณหญิงจำปา มีปริก บ่าวสาวๆกำลังจัดสำรับ
พระศรีวิสารวาจา "แม่การะเกด ออเจ้าจ้องเอาความใดเพิ่มเติม เราทุกคนเล่าให้ออเจ้าฟังหมดแล้ว"
"เมอร์ซิเออร์ลาลูแบร์หน้าตาเป็นยังไงเจ้าคะ"
หลวงเรืองณรงค์เดชาบอก "ก็เป็นฝรั่งเศส ออเจ้าถามพิกล"
"เขาชอบจดบันทึกใช่มั้ยเจ้าคะ"
ทุกคนหันขวับมาทางเกศสุรางค์
พระโหราธิบดี "ข้าเห็นเป็นเช่นนั้น จดตลอดเวลา"
พระยาโกษาธิบดถาม "ออเจ้ารู้ได้อย่างไร"
"เอ้อ...ข้าเดาเอาเจ้าค่ะ ว่าคนเป็นทูตเขาต้องจดทุกอย่าง คุณพี่ยังจด คุณอา
ขุนปานก็จดนี่เจ้าคะ"
จวงเข้ามาบอก "สำรับพร้อมแล้วเจ้าค่ะ"
ทุกคนนั่งล้อมวง คุณหญิงจำปากำกับให้บ่าวตักข้าวแจก
"พ่อขุนเรืองไม่ได้มาเสียนาน กินเยอะๆนะ ออกพระท่านเหมือนกันนะคะ"
ออกญาโหราธิบดีบอก "แม่จำปาเรียกผิดแล้วนะ"
"ยังไรเจ้าคะ"
"ขุนเรืองน่ะ เขาเป็นหลวงเรือง..."
"หลวงเรืองณรงค์เดชา" หลวงเรืองบอก
"ออกขุนปานของเราได้อวยยศสูงยิ่ง เป็นพระยาโกษาธิบดี รั้งตำแหน่งพระคลัง"
"อ๋อ ยศเดียวกับพ่อขุนเหล็ก" จำปาว่า
เกศสุรางค์ถาม"คุณพี่ล่ะคะ"
"คุณพี่ของออเจ้าเป็นพระศรีวิสารสุนทร"
เกศสุรางค์ยิ้มกว้าง มองสบตาพระศรีวิสารสุนทร หลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง พระศรีวิสารสุนทรก็มองแบบเคลิ้มๆนิดหน่อย
หลวงเรืองณรงค์เดชากระแอม
พระยาโกษาธิบดีบอก
"พระยาวิไชยเยนทร์ได้อวยยศเป็นเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ รั้งตำแหน่งออกญาอัครมหาเสนาบดีที่สมุหนายกอีกด้วย"
ออกญาโหราธิบดีบอก
"ทรงอวยให้มีอำนาจสูงยิ่ง เป็นถึงที่จักรี หนึ่งในขุนนางจตุสดมภ์ ตำแหน่งนี้ว่างมานานแล้ว"
ทุกคนนิ่งไป
"เขาจักวางอำนาจมากกว่านี้อีกสักเท่าใด ชาวเมืองจะเพิ่มความเกลียดชังเขามากขึ้นอีกเท่าใด พอจะคาดคะเนได้ฤๅไม่"
พระยาโกษาธิบดีบอก
"เสียงลือว่าเขาสึกพระมากมายไปสร้างป้อมสร้างกำแพง ท่านลุงคิดว่าขุนหลวงจักพิโรธฤๅไม่"
วัดแห่งหนึ่งในละโว้
เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์นั่งบนเสลี่ยงแปดคนหาม มองไป
ไกลๆ นั้น พระหลายรูปเดินเรียงเป็นแถว มีคนสนิทของฟอลคอนยืนกำกับอยู่ ชี้แรงๆแบบข่มขู่ให้ออกจากวัด
พระเพทราชาเดินไปเดินมา พระนารายณ์ประทับตั่งมองตาม พระปีย์หมอบห่างออกไป
เพทราชาเสียงหงุดหงิด"ทรงเห็นด้วยหรือพุทธเจ้าค่ะ"
"ข้าสั่งให้มันสร้างป้อม มันก็ต้องหาแรงงาน"
"สึกพระไปสร้างป้อม ขุนหลวงไม่ว่า...?"
"พระก็ได้ทำประโยชน์ ไม่ดีฤๅไอ้ทองคำ"
"ปล่อยให้ไอ้ฝรั่งไพร่รังแกชาวบ้านยังไม่พอ ยังทรงให้ท้ายมันรังแกพระสงฆ์องค์เจ้าหรือพุทธเจ้าค่ะ"
"มันเอาไปทำความดี เอ็งก็พูดมากความไปได้"
"จะให้ข้าพุทธเจ้าเข้าใจว่า จักทรงเข้ารีตเหมือนพระปีย์หรือพุทธเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์มองพระปีย์ พระปีย์เงยหน้ามอง หน้าบึ้ง
"หันไปแว้งกัดไอ้เตี้ยมันทำไม"
"จริงฤๅไม่จริงพุทธเจ้าค่ะ"
"ข้าไม่ตอบเอ็ง ไม่ใช่เรื่องเอ็งจะมาคาดคั้นข้า ส่วนไอ้เตี้ยข้าไม่ห้าม เป็นสิทธิ์ของมัน"
"อ๋อ เพราะขุนหลวงต้องทำตามสัญญากับไอ้ทูตเดอโชมองต์ ว่าใครจักเข้ารีตนับถือพระเจ้าของมันก็ได้ ขุนหลวงจักไม่ห้าม แถมจักยินยอมให้ไปโบสถ์ของมันด้วย...สัญญาอัปยศ"
"หยุดนะไอ้ทองคำ กูเป็นคนยินยอมให้เซ็นสัญญา กูรู้ว่าควร กูมีเหตุผลบอกมึงหลายครั้ง มึงก็หายอมรับไม่"
พระเพทราชาขบกรามแน่น
"งั้นมึงก็มาเป็นขุนหลวงเสียเองสิวะ"
พระเพทราชาเดินออก หน้าเครียดจัดมาก
"ไอ้ทองคำ กลับมานี่"
พระเพทราชาเดิน
"มึงต้องถวายบังคมกูก่อน มึงเป็นข้ากู"
พระเพทราชาหยุดอึดใจ หันกลับมาคุกเข่าถวายบังคม
"มึงอย่าถือดีว่าแม่มึงเป็นพระนมของกูนะเว้ย"
พระเพทราชาลุกแล้วไปอย่างเร็ว ไม่ฟังจนจบประโยค จนพระนารายณ์ต้องขึ้นเสียงตามหลัง
พระนารายณ์นิ่งอั้น พระปีย์คลานเข้ามาใกล้
"ไอ้เตี้ย เห็นฤๅไม่ว่ามึงตัดสินใจเข้ารีตมีผลยังไร อ้ายวิไชยเยนทร์ล่อหลอกมึงด้วยอะไร มึงถึงเชื่อถือมันนัก"
พระปีย์ก้มหน้าไม่ตอบ
เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์นั่งเสลี่ยงแปดคนหาม เป็นเสลี่ยงประจำตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์ แต่งเครื่องยศเต็มที่
เสลี่ยงวาง เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ลงมา เตรียมตัวจะเข้าเฝ้า
หลวงสรศักดิ์เดินมากับพรรคพวก ขวางทาง
"สึกพระเณรออกมามากมายหลายคนไปทำงานเช่นกุลี มีเหตุผลที่ฟังได้หรือไม่ ขอฟังหน่อยเถิด"
"ท่านอัครมหาเสนาบดี งานสร้างป้อมแลกำแพงเมืองเป็นงานหลวงเร่ง พระสงฆ์อยู่ว่างๆ พร่ำสวดคำมิรู้ความ สู้สึกมาทำประโยชน์เสียดีกว่า"
หมัดตรงฮุคขวาเข้าปลายคางเต็มแรง ไม่พูดพล่ามทำเพลง
เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์เซแซ่ดๆ เลือดเต็มปาก
"ไปโว้ย"
เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ยืนมองตาม หลวงสรศักดิ์ที่ไปอย่างรวดเร็ว สายตาลุกเป็นไฟ
ที่ตึกฟอลคอน
เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ทุบโต๊ะเปรี้ยง จนตองกีมาร์ที่กำลังแต่งตัวให้ลูกเล็กสะดุ้งสุดตัวหันมามอง
"น่าเจ็บใจนัก อ้ายหลวงสรศักดิ์ไม่ได้รับโทษอันใดเลย นี่...ชกข้าจนฟันแทบหัก" ฟอลคอนบอก
ทุกคนนิ่งไปทั้งตัว
บรรยากาศเงียบงัน อารมณ์พลุ่งพล่านยังคงปกคลุมห้องนั้นอยู่
"คอยดูเถิดหนา สักวันข้าจะลากคอมันมากราบเท้าข้าให้จงได้ ถึงเพลานั้น จะเฉือนเนื้อมันออกมาดูเล่นให้สาแก่ใจ"
ฟอลคอนมองตาขวางมาที่ตองกีมาร์
ตองกีมาร์เดินมาใกล้ "ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ขอข้าดู"
ฟอลคอนสวน "จักสมน้ำหน้าข้าฤๅตองกีมาร์"
"ด้วยเหตุอันใดเล่า อย่าหงุดหงิดเลย ท่านก็รู้ว่าออกหลวงสรศักดิ์เป็นผู้ใด ยังจะหวังให้ใครลงโทษเล่า"
"คนพาลเช่นนั้น มันต้องโดนดีแน่...อีกไม่นานหรอก"
ตองกีมาร์ มองสีหน้าตรึกตรอง แล้วตัดสินใจพูด
"อยุธยานี้ดีนักใช่ฤๅท่าน"
"จะหมายว่ายังไร"
"เป็นที่พึ่งแก่คนต่างถิ่น ไม่ว่าเป็นคนชาติใด"
ฟังแล้วฟอลคอนของขึ้นอีก ตบโต๊ะเปรี้ยง "แล้วยังไร"
"ข้าเพียงแต่คิดว่า เราคนอาศัยควรจักรู้จักบุญคุณของแผ่นดินที่เราบ่ายหน้ามาพึ่ง ท่านเล่าคิดอย่างข้าฤๅไม่"
"เจ้ากล่าววาจาราวข้าเนรคุณต่อแผ่นดินนี้กระนั้น"
"ข้าคิดว่าคำพูดข้าจักพอทำให้ท่านคิดได้บ้าง ว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่สร้างความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับทั้งแผ่นดิน ท่านดึงเอาพระปีย์มาเป็นพวก สัญญาจะให้บัลลังก์พระปีย์ จนพระปีย์ยอมเข้ารีตใช่หรือไม่"
เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์นิ่ง
"พระเจ้าอยู่หัวแม้ทรงประชวรบ่อยครั้ง หากแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านทำราวจักมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินเสียเร็วๆนี้ ท่านคิดบ้างฤๅไม่ว่าพระองค์เป็นคนฉุดท่านขึ้นมาจากความแล้งไร้ไม่มีซึ่งทุกสิ่ง จนได้เป็นถึงเสนาบดีในทุกวันนี้"
พระยาวิไชยเยนทร์ตัวสั่นระริก เหวี่ยงมือฟาดไปยังแก้มนวล แล้วยืนจังก้า ถลึงตาอยู่ตรงนั้น หน้าที่สะบัดไปตามแรงฟาด พาให้แก้มขาวเป็นปื้นแดงทันทีทันควัน
นางตองกีมาร์เจ็บจนน้ำตาไหลพราก ดวงตาตัดพ้อเจ็บแค้นจับจ้องผัว
"เจ้ากล่าวมากเกินไปแล้วตองกีมาร์" ฟอลคอนเสียงโกรธสุดขีด
ตองกีมาร์เดินออกไป
ฟอลคอนกวาดตามองไปรอบๆห้อง หยุดกึก
บ่าวหญิง 2-3 คนหมอบตัวแทบติดดิน
บ่าวคนหนึ่งชื่อคลาร่า ค่อยๆเอียงหน้าสบตาฟอลคอนเต็มๆ สายตานางทั้งรักเคารพและมีนัยยะ
แววตาฟอลคอนมีแววปรารถนา ด้วยฤทธิ์ไวน์
ฟอลคอนเดินตรงไปหาคลาร่า เอื้อมมือจับอย่างนางอย่างเร็วและแรง กระชากไป
ในห้องนอน ตองกีมาร์กอดลูก 2 คน นัยน์ตาช้ำ แต่ไม่มีน้ำตา
ต่อมา ตองกีมาร์เปิดประตูห้องนอนวิไชยเยนทร์ เบิกตากว้าง ตกใจ
พระยาวิไชยเยนทร์นอนสลบไสล คลาร่านอนซบอยู่อีกทางหนึ่ง
ตองกีมาร์หัวใจสลาย ปราดเข้ากระชากตัววิไชยเยนทร์ ต่อว่าเสียงดัง
"ท่านทำอย่างนี้ได้อย่างไร คลาร่าที่ข้าเลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย รักดุจลูกในไส้ ท่านทำได้อย่างไร"
พระยาวิไชยเยนทร์ปรือตามองเพียงวูบเดียว ฤทธิ์ของความมึนเมาทำให้ความเจ็บปวดจากการทุบตีเป็นเพียงการกระทบเล็กน้อย และนึกว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะรู้ว่านางตองกีมาร์มิมีวันทำเช่นนี้แน่ จึงหลับต่อ
"ต่อให้เป็นหญิงอื่นนับร้อยนับพันข้าจักไม่ว่าเลย แต่ทำไมต้องเป็นคลาร่า ท่านทำเกินไปแล้วพระยาวิไชยเยนทร์"
คลาร่าตื่นจากหลับไหล ก็หวีดร้องมาซบแทบเท้า
"แม่นายเจ้าขา ข้าผิดไปแล้ว"
"เจ้ามิผิดดอกคลาร่า คนที่มักมากในกาม มักมากในทุกสิ่งอย่างต่างหากที่ผิดหนัก ข้าจักไปอยุธยา เจ้าจักไปกับข้าฤๅไม่คลาร่า"
คลาร่าก้มหน้านิ่งร้องไห้กระซิก ตลอดมาตั้งแต่เป็นเด็กจนบัดนี้ย่างเข้า 15 ปี หลงรักฟอลคอนมาก
ตองกีมาร์เหมือนสายฟ้าฟาด เข้าใจทุกอย่าง เจ็บช้ำมาก
ตองกีมาร์พึมพำ "ข้าเข้าใจแล้ว...เข้าใจแล้ว"
อ่านต่อตอนที่ 25
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
ภาพพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ : หนังสือ "การเมืองไทยสมัยพระนาราณ์" โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ สำนักพิมพ์มติชน
คณะราชทูตสยามเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ณ ท้องพระโรงพระราชวังแวร์ซายส์ วันที่ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙) : หนังสือ "โกษาปาน ราชทูตผู้กู้แผ่นดิน" โดย ภูธร ภูมะธน หน้า ๘๔
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 : (ข้อมูลจาก "ฟอลคอน Phaulkon" , เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , สำนักพิมพ์ศยาม, หน้า ๑๕๑)
พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ (Louis XIV de France ค.ศ. ๑๖๓๘ - ๑๗๑๕) พระนามเดิมว่า หลุยส์-ดิเยอตองเน (Louis Dieudonné) หรือรู้จักของคนทั่วไปคือ "สุริยกษัตริย์" (le Roi-Soleil) หรือ หลุยส์ เลอกรองด์ ( Louis-le-Grand ) ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๓ แห่งนาวาร์ (Navarre) เพราะทรงมีเชื้อสายของทั้งราชวงศ์บูรบง (Maison de Bourbon) และราชวงศ์กาปาเตียง (Capetian dynasty) เพราะเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ (Louis XIII de France) และพระนางแอนน์แห่งออสเตรีย (Anne of Austria) เมื่อพระชนมายุ ๕ พรรษาได้ทรงขึ้นครองราชย์ มีพระคาดินัล มาซาแรง (Jules Cardinal Mazarin) เป็นผู้ช่วยคนสำคัญ หลังจากฌูล มาซาแรงเสียชีวิต พระองค์ก็ทรงแต่งตั้งฌอง-บัปติสต์ กอล์แบรต์ (Jean - Baptiste Colbert) เป็นเสนาบดีการคลัง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้พระองค์ทรงขยายอิทธิพลของฝรั่งเศสผ่านนโยบายการค้าโพ้นทะเล และขยายอาณานิคมทั้งในโลกใหม่ และในดินแดนฝั่งตะวันออก นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงนำราชบัณฑิตยสภาฝรั่งเศส (Académie française) เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์อีกด้วย ที่สำคัญ พระองค์ยังได้นำประเทศฝรั่งเศสเข้าร่วมสงครามสันติบาตออก์สเบิร์ก (War of the League of Augsburg ค.ศ. ๑๖๘๘ - ๑๖๙๗) และสงครามสืบราชสมบัติสเปน (War of the Spanish Succession ค.ศ. ๑๗๐๑ - ๑๗๑๔) ซึ่งสงครามทั้งสองนี้ได้ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ราชอาณาจักรโมร็อกโก (The Kingdom of Morocco) และสยาม (Siamese)ด้วย และทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดของยุโรป คือ ๗๒ ปี พระองค์ทรงเข้าพิธีภิเษกสมรสกับพระนางมารี-เตแรสแห่งสเปน (Marie-Thérèse of Spain) พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปที่ ๔ (Philip IV) กับนางเอลิซาเบทแห่งฝรั่งเศส (Henrietta Maria of Spain) และในสมัยของพระองค์ได้มีรับสั่งให้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ (château de Versailles) ที่ชานกรุงปารีส ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางของความเจริญ ความร่ำรวยหรูหรา และฟุ่มเฟือยที่สุดในยุโรป และปัจจุบันถือเป็น ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก