บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 23
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
ต่อมา แม่หญิงจันทร์วาดเดินพาเกศสุรางค์ไปท่าน้ำ สีหน้าจันทร์วาดขมวดมุ่น
เหมือน บุญตามมา ท่าทางระวังระไว เกศสุรางค์ชำเลืองมองตลอด
เกศสุรางค์ถามทันที
"เวลาแม่หญิงไปเว็จ เจ้าทั้งสองคนไปด้วยรึเปล่า"
สองคนมองหน้ากันงงๆ
จันทร์วาดบอก
"บุญ เหมือน เข้าเรือนไปก่อน"
บุญ/เหมือน "เจ้าค่ะ"
จันทร์วาดหันมาตัดสินใจพูดทันที
"แม่การะเกด ข้าทำไม่ได้หรอกอย่างที่ออเจ้าบอก ให้ข้า...เอ้อ...ข้าไม่กล้า"
"ก็เนี่ยไง ทำเสียจะได้กล้าไง"
จันทร์วาดหน้าตางงแบบน่าขำมาก
"ออเจ้าพูดให้ข้าไม่เข้าใจได้เก่งมาก"
เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ "ข้าก็งงเหมือนกัน เอางี้" แล้วกระซิบ "ถามหน่อยเถอะแม่จันทร์
วาดรักขุนเรืองมั้ย"
จันทร์วาดตอบเสียงมั่นมาก "รัก"
"แมนมาก" จันทร์วาด หน้าเหวอ "ถ้ารักนะ ต้องทำ...คิดดูนะข้าไม่ได้ให้ทำอะไรเยอะแยะเลย แค่เนี้ย แลกกับได้ขุนเรืองมาครอบครอง...คุ้มสุดๆ ไม่เชื่อก็คอยขันหมากจากใครก็ไม่รู้ไปเถอะ อาจจะขาเป๋ ตาเหล่ แถมปากเหม็นอีกด้วย ตามใจนะ ข้าไปล่ะ"
เกศสุรางค์ไม่สนที่จันทร์วาดทำหน้างงตลอดเวลาการสนทนา
เกศสุรางค์เดินไปทันที เรียก “พี่ผิน...พี่แย้ม”
สองคนอยู่แถวนั้น ออกมาเร็วรี่
"ไม่สำเร็จ"
สองคนคอตก ทิ้งแขน ทำท่าผิดหวังอย่างน่าขำ
"พี่...เว่อแล้ว"
สองคนลดท่าลง
"โอเค..แค่นี้พอ"
ทั้งสามเดินไป
แม่หญิงจันทร์วาดมองตามอย่างลังเล...ครุ่นคิด...กังวลใจ
จันทร์วาดเดินเข้ามาในเรือน
บุญ เหมือนออกมา เรียก “แม่หญิง” จันทร์วาดหันไป
"แม่หญิงเจ้าขา อย่าทำเลยเจ้าค่ะ ไม่ดีนะเจ้าคะ" บุญว่า
"จริงเจ้าค่ะ"
"บาปนะเจ้าคะ"
"จริงเจ้าค่ะ"
จันทร์วาดบอก"ข้าไม่ทำหรอก ข้ากลัวบาปเหมือนกันนะบุญ...เหมือน"
บุญบอก
"แม่หญิงการะเกดพูดไว้ว่าจะมาหาแม่หญิงทุกวัน จนกว่าแม่หญิงจะใจอ่อนเจ้าค่ะ"
คืนนั้น ในห้องการะเกด
ผินถาม
"เหตุอันใดต้องไปทุกวันเจ้าคะ"
"นั่นน่ะสิข้ากำลังจะถาม" แย้มว่า
"เพราะว่า...ฟังนะ" เกศสุรางค์ร้องเพลง "น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แต่หัวใจ
อ่อนๆ" แล้วเปลี่ยนเป็นคำพูด "จะทนได้ไง จริงฤๅไม่"
วันรุ่งขึ้น มาตามนัด
"แม่การะเกด มาทำไมอีก"
"รู้ไงว่าแม่จันทร์วาดไม่กล้าเลยต้องมาอีกวัน ถ้ายังไม่ทำข้าจะมาทุกวัน ข้าสงสารขุนเรือง โถ...หน้าดำคร่ำเครียดไม่กินไม่นอน จะมีชีวิตได้ยังไงเนี่ย"
จันทร์วาดหน้าวิตกกังวล วุ่นวายใจมาก
เรือนออกญาโหราธิบดีคุณหญิงถาม
"นังปริก แม่การะเกดไปอีกแล้วรึ"
"นี่ยังไงเจ้าคะ ได้คืบเอาศอกแท้ๆ"
"เมื่อวานไปตั้งครึ่งค่อนวัน วันนี้หายไปตั้งแต่เช้า"
"ข้าเจ้าถึงว่าได้คืบเอาศอก ไปวันขอไปอีกวัน"
"มีธุระอันใดกับแม่จันทร์วาด ต้องไปหาสองวันสามวันติดกัน"
เรือนออกญาโกษาธิบดี
บุญบอก "บาปนะเจ้าคะ แม่หญิงอย่าทำเลยเจ้าค่ะ"
"หาต้องบอกข้า ข้าไม่ทำอยู่แล้ว ต่อให้แม่การะเกดมาพูดทุกวันด้วย"
อีกวันหนึ่ง เรือนออกญาโหราธิบดี
เกศสุรางค์กำลังย่องหนับๆจะลงเรือน
"แม่การะเกด" เสียงคุณหญิงเรียกไว้
เกดสุรางค์หันมาดูแล้วไปอย่างเร็ว ผินแย้มทำท่าตาม
"นังผิน นังแย้ม หยุดนะเอ็ง"
เกศสุรางค์วิ่งมาที่ท่าน้ำ ก้าวลงเรือ สั่งจ้อย
"จ้อยออกเรือ เร็ว"
"พี่ผิน พี่แย้มล่ะขอรับ"
"ไม่มีเวลา ไปเร็ว"
"ไม่ได้ขอรับ แม่หญิงไปคนเดียวไม่มีบ่าวตามไม่ได้ขอรับ"
"ได้สิ ก็กำลังจะไปเนี่ยไง"
"แต่..."
เกศสุรางค์ฉวยพายมา
"โอ๊ย แม่หญิงจะพายเองหรือขอรับ"
"เปล่า จะตีเอ็ง...เร็วหยิบพายอันนั้นแล้วพายไป ไม่งั้นข้าตีกบาลแยก"
จ้อยพายเรือไปอย่างเร็ว
เรือนออกญาโกษาธิบดี
"แม่จันทร์วาดทำไมใจแข็งอย่างนี้นะ"
"แม่การะเกด...หยุดบีบคั้นข้าเสียที ข้อขอร้อง"
"เอาล่ะขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย...อยากฆ่าขุนเรืองให้ตายทั้งเป็นก็ตามใจ"
คุณหญิงจันทร์วาดหน้าเสีย
"มันอะไรนักหนานะแม่จันทร์วาด แค่แกล้งทำเป็นป่วยหนัก ข้าวปลาไม่กิน ไม่พูดไม่จา ปล่อยตัวทรุดโทรม แล้วบ่นแต่ว่าอยากตาย...อยากตาย แค่เนี้ยทำไม่ได้"
"บาป"
"บ้าสิบาปตรงไหน"
"โกหกคุณแม่"
"ไม่บาป อย่างนี้เขาเรียกว่าโกหกขาว"
จันทร์วาดงวยงงไปอีก
"ตามใจ ข้าจะคอยดูต่อไป"
"ยังไงข้าก็ทำไม่ลง...เป็นตายข้าก็ไม่ทำ ไม่ต้องมาหาข้าอีก"
วันรุ่งขึ้น เรือนออกญาโหราธิบดี
คุณหญิงจำปาดักคอ
"จะไปอีกหรือนั่น"
เกศสุรางค์เข้ามาถึงวง นั่งลง หยิบดอกบัวพับ จำปาเฮ้อ...
"เฮ้อ"
จำปามองปริกที่ร้องขึ้น
"น่าปวดกบาลนะเจ้าคะ" ปริกว่า
"แม่การะเกด วันนี้ไม่ไปหาแม่จันทร์วาดรึ"
"ไม่ไปเจ้าค่ะ"
"ทำไม"
ปริกบอก
"สงสัยจะไปทำอะไรที่ไม่ชอบมาพากลเจ้าค่ะแม่นายท่าน แม่หญิงจันทร์วาดคงมิต้อนรับอีกเป็นแน่"
เรือนออกญาโกษาธิบดีเวลาเดียวกัน
เจ้าคุณ ข้าราชการระดับสูง มาเป็นเถ้าแก่นั่งเจรจากับคุณหญิงนิ่ม
"ขอบพระคุณออกญาท่าน และพ่อมิ่ง ที่ประสงค์จะได้ลูกข้าไปร่วมเรือน แต่ข้าจะเตือนไว้ก่อนจักได้ไม่เป็นข้อกีดกันลูกข้าในภายภาคหน้า เวลานี้ข้ามีแต่เรือนเปล่าๆ เพราะถูกริบราชบาตร ขุนหลวงน้ำพระทัยกรุณาไม่เอาตัวไปจำ แต่เราสองแม่ลูกมีแต่ตัว"
พ่อมิ่ง ลูกออกญา ที่จะมาเกี่ยวดองเป็นเขยนั้น รูปลักษณ์นั้นแสนขี้เหร่ รูปชั่ว ตัวเตี้ย หัวล้าน !
คุณหญิงนิ่มบอกลูกสาว
"เขาไม่รังเกียจเลย พ่อมิ่งเขาอยู่กองทะลวงฟันตำแหน่งออกขุน สมบัติเขามากมาย แม่จันทร์วาดจะสบายไปจนตายนะลูก"
ในหอนอน จันทร์วาดนอนตาลอยมองเพดาน แขนสองทอดข้างตัวแบบไม่ใยดี
"นังบุญ นังเหมือน แม่หญิงเป็นอะไรวะไม่พูดไม่จา"
บุญหน้าไม่ดี มองสบตาจันทร์วาดที่พลิกตัวนอนหันหลังให้แม่
จันทร์วาดบอกด้วยสายตาว่าพูดไป
บุญหลบตาพูด
"แม่หญิงไม่สบายเจ้าค่ะ"
"เป็นอะไร"
"ไม่แจ้งเจ้าค่ะ"
"ยังไงวะ"
"แม่หญิงได้แต่บ่นว่าอยากตายเจ้าค่ะ"
จันทร์วาดพูดพร้อมบุญ
"อยากตาย ลูกอยากตาย"
คุณหญิงนิ่ม อึ้งตะลึงไป
ท่าน้ำเรือนออกญาโหราธิบดีอีกวันหนึ่ง
ขุนเรืองอภัยภักดีอยู่ในเรือ พายเรือมาคนเดียว
"โอ๊ย กว่าจะมาขุนเรือง ข้าให้จ้อยไปตามตั้งแต่เมื่อวาน ทำไมเพิ่งมาคะ"
"มีเรื่องร้อนอันใดหรือแม่การะเกด"
"ร้อนมาก ก็เรื่องของขุนเรืองนั่นแหละ เฮ้อ" เกศศุรางค์พูดเบาๆกับตัวเอง "บื้อพอๆกะ
ไอ้เรืองเล้ย"
"บอกข้าสิ"
"จะบอกเดี๋ยวนี้ ฟังดีๆนะคะ...ต้องลงทุนหน่อย"
จันทร์วาดนอนอย่างคนป่วย ไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง
คุณหญิงนิ่มนั่งมอง สายตาเป็นทุกข์มาก
"กินยาตั้งสองหม้อแล้ว ไม่ดีขึ้นเลยนี่นังบุญ"
"เจ้าค่ะ อยากตายตลอดเวลาเจ้าค่ะ"
"เป็นอะไรก็บอกสิแม่จันทร์วาด แม่จะได้หาหมอถูกกับโรค"
"อยากตายเจ้าค่ะคุณแม่"
"รู้แล้ว...บอกแม่หลายหนแล้ว"
บุญมองชะเง้อไป "ขุนเรืองมาเจ้าค่ะ กำลังจอดเรือเจ้าค่ะ"
จันทร์วาดลุกขึ้นทันที
คุณหญิงนิ่มหันมามองจันทร์วาด เหล่นิดๆ
"จะมาทำไม้...เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยกลูกสาวให้เป็นแน่นอน"
ขุนเรืองอภัยภักดี มาพร้อมกับกองของกำนัล อันได้แก่ เครื่องแก้ว ผ้าแพรเป็นพับ
คุณหญิงนิ่ม มองของ...เปลี่ยนสายตาเหล่ๆขุนเรืองอภัยภักดีเป็นพอใจขึ้น
แล้วเหลือบไปสบตาขุนเรืองอภัยภักดี ก็ทำกิริยาไม่สนใจ
"เอามาทำไมมากมายก่ายกอง ไม่มีที่จะเก็บ"
"ในเรือนไม่มีของเลย...ไม่มีที่เก็บหรือขอรับ"
คุณหญิงนิ่มนิ่งอึ้งไป แล้วน้ำตาซึม "ไม่มีใครเข้าใจหัวอกของคนที่สูญเสียทุกอย่างหรอก"
"กระผมเข้าใจขอรับ กระผมรับอาสาเป็นผู้ทำให้เรือนนี้เป็นเรือนเต็มเรือนอย่างเดิมขอรับ"
คุณหญิงนิ่มยังคงปั้นปึ่ง แต่ในแววตามีแวววูบด้วยความดีใจ
ขุนเรืองอภัยภักดีมองอย่างใจเต้น
คุณหญิงนิ่มไม่ตอบ
บ้านของฟอลคอน เมืองละโว้ ในวันหนึ่ง
ฟอลคอนกับคนฝรั่งเศสคนหนึ่ง อายุประมาณ 35-40 ปี ทั้งคู่คุยกันอย่างเบามาก ส่วนใหญ่ฟอลคอนจะเป็นพูด
ตองกีมาร์แอบดู แอบฟัง เงี่ยหูหน้านิ่วคิ้วขมวด
พอได้ยิน...ตกใจ มือทาบอก
ตองกีมาร์มาที่เรือนออกญาโหราธิบดี
ตองกีมาร์เดินเข้า เกศสุรางค์เดินออกไปรับ หน้าตาดีใจทั้งสองคน
ตองกีมาร์ไหว้คุณหญิงจำปา จำปารับไหว้ครึ่งๆอก ยิ้มแย้มนิดหน่อย
บ่าวในเรือนออกญา ต่างมองจ้องตองกีมาร์แบบไม่ค่อยเคยเห็นฝรั่งมาก่อน
เกศสุรางค์พาตองกีมาร์ออกไป
คุณหญิงจำปาหันมาเห็นบ่าวจ้องไม่วางตา ก็ตบพื้นเบาๆทีหนึ่ง ทำนองว่า ให้รักษามารยาทหน่อย
บ่าวสะดุ้ง หันกลับมาอย่างเดิม
"นางก็เป็นคนเหมือนเรา"
ปริกว่า"แต่งตัวกะรุงกะรัง ลุกนั่งจะหกล้มหกลุกมั้ยเจ้าคะ"
"ลองแต่งมั่งมั้ยปริกแล้วเจ้าก็จะรู้"
"อุ๊ย...อายผีสางเทวดา" ปริกปิดปากหัวเราะน้ำหมากจะย้อย "แค่คิดก็ก้าวไม่ออกล่ะเจ้าค่ะ"
"ว่าแต่เอ็งสังเกตสังกาอะไรบ้างไหมวะปริก"
ปริกตอบมั่นใจ "ไม่สังเกตสังกาอะไรเลยเจ้าค่ะ"
บ่าวหัวเราะกันคิกคัก
"นางมีหน้ามีตาที่เป็นกังวล น่าวิตกนักว่านางจะเอาเรื่องผัวของนางมาใส่หูแม่การะเกด เพราะผัวของนางเพ-ลานี้ใหญ่โตเสียเหลือเกิน"
"ใหญ่โตแล้วนางกังวลทำไมเจ้าคะแม่นาย"
"นั่นสินะ"
อีกมุมหนึ่ง ตองกีมาร์สีหน้าไม่สบายใจ
เกศสุรางค์เสียงแผ่วเบา มีกังวานตกใจ "เจ้าว่าอะไรนะตองกีมาร์"
"ผัวข้า...คุยกับพวกฝรั่งเศสว่าคณะทูตกลับมาครานี้จักนำทหารมาด้วย"
"มาทำไม...มาท่องเที่ยวเหรอ"
"หกร้อยคน"
"หา ! " เกศสุรางค์เสียงแผ่วเบา ราวกระซิบ "เยอะนะนั่น มาทำไมกัน"
ตองกีมาร์ชะโงกมาใกล้อีก "ขุนหลวงประชวรบ่อยๆ"
"ข้ารู้แล้ว"
"พวกข้าราชการก็แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทั้งฝ่ายเจ้านายก็แบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก"
"ฝ่ายเจ้านายมีใครบ้างตองกีมาร์ พระปีย์ใช่ไหม"
"เจ้าฟ้าอภัยทศพระอนุชาอีกฝ่ายหนึ่ง"
"ข้าราชการมีพระเพทราชา"
ตองกีมาร์บอก "กับหลวงสรศักดิ์"
"ผัวเจ้าล่ะตองกีมาร์"
ตองกีมาร์หน้านิ่งไป ไม่สบายใจเลย
"ผัวเจ้าคิดทำการอะไรอยู่"
"ข้ามิรู้ แต่ข้าไม่สบายใจเลย หากการเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มานับถือพระผู้เป็นเจ้าต้องใช้เลือดเนื้อมาแลกมันไม่ถูกต้อง ข้าเกรงแต่ว่าผัวข้าจักมิได้ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแท้จริง สิ่งที่เขาทำเพียงต้องการอำนาจเงินทองเท่านั้น"
เกศสุรางค์หรี่ตามองอย่างครุ่นคิด
"มีอะไรที่ทำให้เจ้าคิดอย่างนั้น เขาทำอะไรเกี่ยวกับทหารฝรั่งเศสที่จะมากรุงศรีหรือเปล่า ผัวเจ้าเป็นคนนัดแนะให้มาหรือ"
ตองกีมาร์จ้องมองไปในดวงตาของเพื่อน เสียงแผ่วเบากลุ้มใจ
"ข้าเองก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าข้ายึดมั่นในความถูกต้อง"
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาทั้งหมดอาจจักเป็นการว่าร้ายต่อผัวเจ้าได้ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องรู้ความให้จริงนะแม่มะลิ"
ตองกีมาร์เงียบนิ่งอั้น
"เอาเถิดกว่าคณะทูตจักเดินทางกลับก็คงพอทำกระไรได้บ้าง หากเจ้าสามารถพูดจาดีๆ เกลี้ยกล่อมผัวเจ้าให้อยู่ในทางที่ดีงามได้ ก็เป็นการดีกับเจ้านะ"
ตองกีมาร์ยังนิ่ง
"ออเจ้าเองก็นับถือในพระผู้เป็นเจ้า พระองค์สอนถึงความรัก แม้แต่ความรักที่ให้กับศัตรู แต่เขาเป็นผัวเจ้าเชียวหนา บางทีความรักอาจจักช่วยลดความเห่อเหิมในจิตใจของเขาได้ ข้าอยากให้เจ้าเอาไปคิดดู"
"เจ้าพูดว่าเขาเห่อเหิม เจ้ารู้มาว่าผัวข้าจักทำสิ่งใดไม่ดีใช่มั้ย แม่การะเกด"
เกศสุรางค์สีหน้าไตร่ตรองมาก "มิใช่ข้าหรอกแม่มะลิ พระยาวิไชยเยนทร์ผัวเจ้ามีอำนาจนักเพลานี้ ใครๆก็ย่อมสงสัยว่าเขาจะทำอะไร แน่นอนไม่มีใครคิดว่าเป็นในทางดี ยิ่งถ้ารู้ว่าเขาให้ทหารฝรั่งเศสมาตั้งมากมายแบบนี้ก็ต้องทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง"
"ข้าถึงกังวลและคิดเพียงแต่ต้องมาบอกเจ้า ทหารจักทำสิ่งใดก็ไม่พ้นที่จะถึงเลือดถึงเนื้อถึงความตาย" ตองกีมาร์ก้มหน้า กัดปากไม่ให้น้ำตาไหล "ข้าวิตกกังวลยิ่งนัก"
"ถ้าเจ้าจับตาผัวเจ้าไว้คงไม่เสียหายอะไรนะแม่มะลิ"
"ถ้าได้รู้...แล้วข้าควรทำอย่างไรเล่า"
"เจ้าก็ลองตรึกตรองดู เจ้าเป็นคนกรุงศรี เติบโตในกรุงศรี แต่เขาเป็นคนต่างชาติที่เพิ่งเข้ามาอยู่ ได้ดีมีวาสนาสูงยิ่ง ถ้าเขาจะทำอะไรที่ไม่ดีกับบ้านเมืองนี้ มันก็ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งนะแม่มะลิ"
ตองกีมาร์พยักหน้า
"ถ้าเจ้ายึดมั่นความถูกต้องนะแม่มะลิ" เกศสุรางค์น้ำเสียงจริงจังแบบรู้อะไรล่วงหน้าอยู่แล้ว "ต่อไปเจ้าจะไม่อายฟ้าอายดิน ใครจะรู้ว่ามันอาจทำให้เจ้ามีชื่อจารึกไว้ ต่อไปอีกเป็นสิบเป็นร้อยปีอาจยังคงมีคนจดจำเจ้าได้ไม่ลืม"
สองสาวมองหน้ากัน คนหนึ่งฟังอย่างเลื่อมใส คนพูดพูดอย่างตั้งใจเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง
อีกวันหนึ่ง ออกญาโหราธิบดีนั่งทำงาน เกศสุรางค์เมียงมองเข้ามา
มองไปทางโน้น เห็นบ่าวนั่งทำงานกันอยู่
"คุณลุงเจ้าขา ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกคุณลุงเจ้าค่ะ"
"เรื่องอะไรฤๅออเจ้า"
บริเวณรอเข้าเฝ้าพระนารายณ์
เหล่าขุนนางยืนคุยๆกัน มีบาทหลวงยืนอยู่ด้วย
ออกญาโหราธิบดีกำลังพูดเบาๆกับพระเพทราชา หลวงสรศักดิ์
หลวงสรศักดิ์ถาม
"นางตองกีมาร์เมียของมันมาบอกฤๅ คุณลุงท่าน"
"ใช่ นางแอบได้ยินผัวของนางพูดกัน"
"ไอ้ฝรั่งสัญชาติไพร่คนนี้ กระผมชังน้ำหน้ามันยิ่งกว่ามูลสุนัข มันต้องคิดไม่ซื่อแน่ๆ" พระเพทราชาว่า
"น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงนักท่านพ่อ ท่านลุงขอรับ ทหารเรือหกร้อยหรือขอรับที่เข้ามาพร้อมคณะทูต"
ออกญาโหราธิบดีพยักหน้าช้าๆ
เพทราชาถาม "เอาทหารเข้ามา...ทำไม ขุนหลวงทรงรู้ฤๅไม่"
ปริกเดินเข้าเร็วๆ บ่าวชายแบกหลัวใส่ผัก ใส่ปลา ของที่ซื้อมาจากตลาด
ทุกคนทำงานต่างๆ หุงข้าวกะทะ ตำน้ำพริกในครก ขอดปลา
ปริกพรวดเข้ามา "กลับมาแล้ว...มาแล้ว"
แต่ไม่มีใครตื่นเต้นสักคน
"เออ...ถ้าข้าบอกว่าออกขุนท่านกลับมาจากเมืองฝาหรั่งแล้ว จะตื่นเต้นมั่งมั้ย"
จวงบอก "เรือเข้าปากน้ำก่อนแล้วจึงจะล่องขึ้นมาอยุธยาอีกหลายวัน"
"ออกขุนท่านใกล้จะถึงเรือนแล้ว"
พริบตาเดียว คนออกไปหมดครัวแล้ว เหลือปริกยืนโด่เด่อยู่คนเดียว
เกศสุรางค์เดินออกจากห้อง ผินแย้มตาม เจอะคุณหญิงจำปา
คุณหญิงตกใจ
"นั่นอะไรกัน ทัดดอกไม้ใยกัน"
"มาอีกคน" เกศศุรางค์พึมพำเบาๆ
ผินบอก"แม่นายจะทัดเจ้าค่ะ"
แย้มบอก "แม่นายบอกว่า หูข้า"
"แต่มันผิดธรรมเนียม รู้ฤๅไม่ว่าแม่หญิงที่ทัดดอกไม้ เป็นแม่หญิงพวกใด"
"พี่สองคนบอกข้าแล้วเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่าสวยเจ้าค่ะ"
จำปาเสียงหลง"สวย คนจะมองว่าเป็นนางอะไรออเจ้ารู้ฤๅไม่"
"เป็นหญิงงามเมืองเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาทำท่าจะพูด
"แต่คุณป้าเจ้าขา ข้าไม่ใช่นี่เจ้าคะ"
คุณหญิงจำปาปวดหัวกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้เหลือเกิน
"อีกอย่าง...สวยใช่มั้ยเจ้าคะ...สวยแล้วจบเจ้าค่ะ"
จำปาลูบอก ลมตีขึ้น "เอิ๊ก..."
"มันแค่ธรรมเนียมเท่านั้นนะเจ้าคะคุณป้าขา"
จำปายังพูดไม่ออก
"และข้าอยู่ในเรือนเท่านั้น ไม่ได้ออกไปไหน อีกอย่างมันเป็นของๆเรานะเจ้าคะ"
"อะไร"
"ทั้งตัวของเราเนี่ยเจ้าค่ะ แค่ทัดดอกไม้ในเรือนไม่เสียหายหรอกค่ะ"
บนเรือน ออกญาโหราธิบดี คุณหญิงจำปานั่งรอคอยลูกชาย พยายามสงบความตื่นเต้น
ผิน แย้มนั่งอยู่อีกทาง บ่าวอยู่อีกทาง
ข้างล่าง ปริกขึ้นมาเร็วๆ ผ่านบ่าวชายหลายคนที่มารอดูเจ้านาย แต่ขึ้นเรือนไม่ได้ นั่งตามบันได
ข้างบน ปริกโผล่มาแล้วคลานรวดเร็วไปหาคุณหญิงจำปา
จำปากระซิบเอ็ด "เอ็งไปอยู่หนใดมานังปริก"
"ไปบอกข่าวดีให้พวกในครัวไฟเจ้าค่ะ"
"พวกในครัวมันมากันตั้งนานแล้ว โน่นนั่งเป็นแถวอยู่นั่น เหตุไรเอ็งเพิ่งมา"
เกศสุรางค์นั่งยิ้ม มองบันไดเขม็ง
"ป่านนี้หมอนเราจะเน่าหรือยังนะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเดินขึ้นมา สบตาเกศสุรางค์ปังใหญ่ หอบหมอนมาด้วย
เกศสุรางค์ยิ้มกว้างขวาง ส่งให้เต็มที่
ขุนศรีวิสารวาจานัยน์ตาระยับ มองจ้องเกศสุรางค์
ผู้คนเห็นสายตาของทั้งสองคน ยิ้มๆชอบใจบ้าง อายเสียเอง ทั้งๆไม่เกี่ยวกะเขาเลย ไปตามอารมณ์แต่ละคน
ขุนศรีวิสารวาจาเดินมาช้าๆ
จนมาถึงเกศสุรางค์ที่ยืนยิ้ม
"คุณพี่ดูขาวขึ้นนะคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหยุดกึก หันมาเผชิญหน้า
"อยู่เมืองโน้นไม่ค่อยมีแดดแลหนาวเย็นนัก"
มือที่กอดหมอนกอดแน่นขึ้น
เกศสุรางค์มองหมอน แล้วยิ้มขำ
ขุนศรีวิสารวาจาไปกราบพ่อแม่ แม่แตะไหล่ พ่อพยักหน้ายิ้มย่องผ่องใส
ขุนศรีวิสารวาจาคุยกับพ่อแม่
คุณหญิงจำปาหันมาเรียก
"แม่การะเกด ไปจัดเตรียมของว่างน้ำชาให้พี่เจ้า"
บริเวณที่กินน้ำชา
เกศสุรางค์รินน้ำชาให้ขุนศรีวิสารวาจา พวกบ่าวอยู่ห่างออกไป
ขุนศรีวิสารวาจานั่งจ้องตลอดเวลา
"ออเจ้าดูสมบูรณ์ขึ้นหนามิผอมเกร็งอย่างแต่ก่อน"
"หือ...แปลว่าอ้วนเหรอเจ้าคะ" เกศสุรางค์รีบก้มลงมองตัวเองหน้าตาตื่นที่โดนทัก
"มิอวบอ้วนดอก มีน้ำมีนวลกำลังงาม"
"แหม...ใจหายเลย คุณพี่เป็นกระไรบ้างเจ้าคะ เจ็บไข้บ้างมั้ยเจ้าคะ อากาศหนาวอย่างนั้น"
"มิเป็นอันใดดอก คงเพราะได้เสื้อบุนุ่นของออเจ้าจึงอุ่นสบายดี ข้ามีลางสิ่งจักให้ออเจ้าด้วยหนา"
ขุนศรีวิสารวาจาหยิบกล่องส่งให้ กล่องไม้สลักลวดลายแบบฝรั่ง
เกศสุรางค์ไหว้ แล้วรับมาถือไว้ มองอย่างมีความหวัง
เกศสุรางค์ขณะที่ก้มลงมองกล่อง มโน... "เครื่องเพชรราคาเป็นล้าน หรือน้ำหอม ต้องใช่
เพราะฝรั่งเศสเป็นเมืองน้ำหอม"
ขุนศรีวิสารวาจามองเอ็นดู
เกศสุรางค์เปิดกล่อง แล้วมองจ้องนิ่งอยู่
ในกล่อง...สมุดเล่มหนึ่ง ...
"สมุด"
"ถูกแล้ว"
เกศสุรางค์งุบงิบอยู่ในคอ "ไปตั้งไกล"
ขุนศรีวิสารวาจามองขำๆ เกศสุรางค์เงยหน้าสบตา ค้อนๆนิดๆ
"ข้ามิได้หอบนางฝรั่งอันใดมา และมิได้ยุ่งเกี่ยวแก่นางฝรั่งอันใด"
เกศสุรางค์หน้าเหวอนิด แล้วพึมพำ "น่ารักอ้ะ"
ในห้องการะเกด ผินและแย้มมองเกศสุรางค์ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดเล่มนั้น
สองคนพยักหน้ากัน แล้วออกจากห้องไป
เกศสุรางค์อ่าน "1 กันยายน จ.ศ. 1048"
เกศสุรางค์ก้มลงไปเพ่งตัวหนังสือโบราณเขียนติดกันเป็นพรืดเต็มหน้ากระดาษ
เกศสุรางค์อ่านออกเสียงเบาๆ
"อ่านยากจังลายมือคนโบราณ ... กำหนดการให้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ ที่ท้องพระโรงใหญ่พระราชวังแวร์ซายส์ ในห้องกระจก เป็นห้องหินอ่อนมีหน้าต่างบุด้วยกระจกเจียระไนสูงแต่พื้นจรดเพดาน ด้านละ 17 บาน" เกศสุรางค์เงยหน้า พึมพำ"โห...นับด้วย เชื่อเขาเลย"
เธอก้มอ่านต่อ "ระย้าแก้วเจียระไน (....อะไร...อ๋อ แชนเดอเลียร์....) จุดเทียนสว่างไสวห้อยย้อยจากเพดาน สวยงามพราวแพรวไปทั้งห้อง สมชื่อ ห้องกระจก"
เกศสุรางค์เงยหน้า สีหน้ายิ้ม นึกถึงภาพ ... (โถ...จดมาละเอียดละออนะพ่อคุณ)
เกศสุรางค์ก้มลงอ่าน
"พอกรมวังเบิกตัวคณะทูต ท่านราชทูตคุกเข่านำคณะคลานเข้าไป พนมมือถวายบังคมแบบเบญจางคประดิษฐ์"
เกศสุรางค์เงยหน้า สีหน้าระลึกถึง
"คุณพี่ขุน...ข้าเคยเห็นในรูปภาพ เหมือนอย่างนี้ ... ทุกคนแต่งเต็มยศ ใส่ลอมพอก กราบเบญจางคประดิษฐ์"
หน้าห้องการะเกด สองคนเดินพลางพูดพลาง
แย้มถาม "แม่นายจะอ่านทั้งคืนหรือไม่"
"ออกขุนท่านรักแม่นายเหลือเกิน เขียนเล่าละเอียด อยากให้แม่นายเห็นเหมือนที่ท่านเห็น" ผินว่า
ข้างนอกห้อง
ขุนศรีวิสารวาจาถามไถ่
"คุณพ่อป่วยไข้ฤๅขอรับ"
"สามวันดีสี่วันไข้ มิเป็นกระไรมาก ออเจ้าไปร่วมสองปี ที่นี่ก็เกิดเรื่องมากมายนัก เกิดกบฏมักกะสันของพวกแขกจาม หากแต่พระยาวิไชยเยนทร์ ผัวนางตองกีมาร์ได้กำราบเสียสิ้น อำนาจฝรั่งผู้นั้นเริ่มล้นเหลือ สึกพระไปสร้างป้อมสร้างกำแพงเสียมากมาย พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรบ่อยครั้ง
ก็มีเพียงพระยาวิไชยเยนทร์แลพระปีย์ที่พระองค์ท่านทรงเพรียกหาให้เข้าเฝ้า"
"พระยาวิไชยเยนทร์ ?"
"ก็เขาล่ะ ออกพระฤทธิกำแหง นายก็องสตั้งค์นั่นแล เขาปราบกบฏมักกะสันราบคาบ เลยได้อวยยศเป็นพระยาวิไชยเยนทร์"
ขุนศรีวิสารวาจา คิดถึงวันที่เกศสุรางค์พูดถึงชื่อวิชเยนทร์ขึ้นมา
"มีอะไรฤๅพ่อเดช ทำหน้าพิกลนัก" คุณหญิงจำปาถาม
"ข้าเคยได้ยินชื่อยศนี้ขอรับคุณพ่อ จากปากแม่การะเกด"
ออกญาโหราธิบดีกับขุนศรีวิสารวาจาสบตากัน นิ่ง สายตาบอกซึ่งกันและกันว่าฉุกใจคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการะเกด จำปาไม่เห็นมัวแต่รื้อของเชี่ยนหมาก
ค่ำวันนั้น
เรือนทั้งหลังอยู่ในสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
ฝนหยุด หยดน้ำหยดจากใบไม้ดอกไม้ หยดน้ำหยดจากหลังคาบ้าน
เมฆค่อยๆเคลื่อนออกจากกัน เห็นพระจันทร์ดวงโตอยู่กลางฟ้า
เกศสุรางค์แหงนหน้ามองพระจันทร์ สีหน้าละมุนละไม
เสียงเพลงดังแว่วๆ
"ข้ามิได้หอบนางฝรั่งอันใดมา แลมิได้ยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งอันใด"
เกศสุรางค์หัวเราะออกมาเบาๆ
ขุนศรีวิสารวาจาเคลื่อนตัวอย่างเงียบกริบ มายืนอยู่ด้านหลัง
"บื้อจัง แต่ก็...น่ารักเป็นบ้า"
เกศสุรางค์หันหลังกลับ แล้วตะลึงร้อง “อุ๊ย” เซเหมือนจะล้ม
ขุนศรีวิสารวาจาจับตัวจนเกศสุรางค์ยืนอยู่เองอย่างมั่นคง
"ออกมาทำไม ฝนเพิ่งขาดเม็ด"
"คุณพี่ล่ะคะ ออกมายืนมืดๆ เอ...หรือว่าคิดถึงข้า"
ขุนศรีวิสารวาจาทำหน้าพิกล ขำนิดๆ อ่อนใจหน่อย
"ข้ามาดูดวงจันทร์ ดูที่อื่นไม่ชัดเท่าตรงนี้"
เกศสุรางค์ลากเสียงล้อๆ
"หือม์... ที่เมืองฝรั่งไม่มีดวงจันทร์หรือเจ้าคะ น่าจะมองเห็นอยู่ทุกคืนนะเจ้าคะ"
"เห็นอยู่" ขุนศรีวิสารวาจาทอดเสียงแล้วนิ่งไป
เกศสุรางค์เพ่งมอง
ขุนศรีวิสารวาจาสบตาแล้วเมินไป ไม่กล้าสบตานาน
เกศสุรางค์หัวเราะเบาๆ กระแทกหัวไหล่ตนเองเข้ากับต้นแขนของขุนศรีวิสารวาจา
"คิดถึงข้าก็บอกมาเถอะน่า"
ขุนศรีวิสารวาจาเงียบนิ่ง มองไปที่พระจันทร์
เกศสุรางค์มองจ้อง แล้วหันหน้ามองพระจันทร์เช่นกัน
ความเงียบเข้ามาปกคลุม แต่หัวใจสองดวงกลับเต้นแรง
สักครู่ ขุนศรีวิสารวาจาก็หันหน้าช้าๆ เกศสุรางค์หันไป
"ไม่มีวันใดที่ข้าไม่ระลึกถึงเจ้า"
เกศสุรางค์จ้องตะลึงงัน
ขุนศรีวิสารวาจาเดินจากไป
"ร้ายนักนะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหยุดเดินแต่ไม่หันมา
เกศสุรางค์หัวเราะเบาๆ
ขุนศรีวิสารวาจาเดินต่อไปจนลับตัว
"แต่ก็น่ารักดีแฮะ"
ผิน แย้มหลับกลิ้งอยู่
เสียงผู้หญิงหัวเราะดังคิกๆ
แย้มสะดุ้ง ลืมตาโพลง แล้วสะกิดผิน ผินลืมตา
สองคนหน้าตาเลิ่กลั่ก
เสียงหัวเราะดังขึ้น สองคนผวาเข้ากอดกัน สักครู่จำได้ว่าเป็นเสียงเกศสุรางค์ หันขวับไปทางเตียง
เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ ผินกับแย้มยื่นหน้าเลยมุ้งเข้ามาชะโงกดู สีหน้ายิ้มขำๆกัน
เกศสุรางค์ลุกพรวดขึ้นมานั่ง สองบ่าวตกใจถอยกรูด
"น่ารักอ้ะ"
สองบ่าวลุกขึ้นมา เกศสุรางค์นอนลงไปอย่างเดิม หลับตา
เช้าวันใหม่ สุรางค์ใส่บาตรเสร็จ ลุกขึ้นจะเดินกลับ
ผินถาม"เมื่อคืนแม่นายฝันดีหรือเจ้าคะ"
"ใช่สิจ๊ะ"
"มิน่า แม่นายหัวเราะคิก...คิก" แย้มว่า
"ฝันว่ากระไรเจ้าคะ"
"ว่า..." เกศสุรางค์เหลือบแว๊บ
เห็นขุนศรีวิสารวาจายืนตรงทางจะเดินเข้าท่าน้ำ จ้อยถือของอยู่ด้านหลัง
"ฝันว่ามีคนมาปิ๊ง"
สองคนหน้าเหรอหรามาก
"ปิ้งหรือเจ้าคะ
"ปิ๊ง...ไม่ใช่ปิ้ง ปิ้งก็ไหม้หมดน่ะสิ"
ผิน แย้มหัวเราะน้ำหมากย้อย
ขุนศรีวิสารวาจาเดินมา "ผิน แย้ม เอ็งสองคนขึ้นเรือน"
สองคนหน้าเหวอ
"ไม่ได้ยินฤๅ"
สองคนไปอย่างรวดเร็ว ขุนศรีวิสารวาจาหันไปมองจ้อย จ้อยมองสบตาไม่รู้เรื่อง
ขุนศรีวิสารวาจาถลึงตา จ้อยไปเร็วรี่
จ้อย ผิน แย้มเดินมาหยุดตรงทางเดิน ผินกับแย้มทำมือโอเคให้กัน
จ้อยถาม "อะไรน่ะ"
ผิน/แย้มบอก "โอเค"
"หา...อะไรนะ"
ผิน/แย้มทำให้ดู "โอเค"
จ้อยทำมั่ง "โอเค"
ขุนศรีวิสารวาจาและเกศสุรางค์ยืนใกล้กัน ในความสงบงามของลำน้ำ
มีเรือพายผ่านไป คนเรือร้องเพลงสมัยอยุธยาดังหวานแว่วมา
ที่ท่าน้ำ ม่วงถือพายรอคอยอยู่ในเรือ
"ข้าต้องไปแล้วหนา"
"เข้าเฝ้าหรือคะ"
"วันนี้โปรดให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ อ่านเรื่องราวที่ไปเยือนฝรั่งเศส"
"อ่าน ?"
"คุณอาขุนปานเป็นผู้บันทึก แลให้ข้าเป็นผู้คัดลอกข้อความ"
"อ้าว...ที่เขียนในสมุดให้ข้านั่นลอกจากคุณอาขุนปานหรือเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาจ้อง "ข้อความในนั้นข้าเขียนเองทุกคำ"
"จริงหรือคะ"
"ความระลึกถึงของผู้ใดจักใช้คำของผู้อื่นได้เล่า"
"คะ" เกศสุรางค์สู้แรงแห่งแสงในสายตาไม่ได้ จึงต้องหลบ
"โดยเฉพาะที่มีอยู่เต็มหัวอกจนต้องหาที่ระบายออก หาไม่คงจักอึดแน่นจนเจ้าของหัวอกนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปมิได้"
เกศสุรางค์สั่นจนขุนศรีวิสารวาจารู้สึกได้
"หนาวหรือเจ้า" แล้วเอื้อมมือแตะหลังมือเกศสุรางค์เบาๆ นุ่มนวลยิ่งนัก
เกศสุรางค์ส่ายหน้า ไม่อาจสู้นัยน์ตาได้
"ข้าอยากได้ยินเสียงหัวใจของออเจ้า"
เกศสุรางค์ก้มหน้าอีก
"เมื่อถึงครา...ออเจ้าก็ไม่ใช่คนเก่งอันใดเลย"
เกศสุรางค์เงยหน้าขวับ
"เพลาค่ำนี้จักมาฟัง"
ขุนศรีวิสารวาจาลงเรือ ม่วงพายเรือห่างไป
เกศสุรางค์โบกมือ ขุนศรีวิสารวาจาส่ายหน้าไม่ให้โบก เกศสุรางค์ไม่ฟังโบกทั้งสองมือ พยักหน้าให้ขุนศรีวิสารวาจาโบกด้วย
ขุนศรีวิสารวาจาเหลียวดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ แล้วโบกด้วยกิริยาเขินๆแอบๆ
เสียงม่วงหัวเราะเบาๆ
"ไอ้ม่วง เห็นอันใดขำ" ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเข้มดุ
ม่วงก้มหน้า แต่แอบยิ้ม
เกศสุรางค์โบกมือสุดมือ "กลับเร็วๆนะเจ้าคะ"
เกศสุรางค์วิ่งขึ้นเรือน บนเรือนบ่าวๆกำลังวุ่นวายหาของอยู่
"หาให้ทั่วๆ ถ้าไม่เจอข้าจะเฆี่ยนพวกเอ็งเรียงตัว" คุณนายจำปาบอก
"พี่ผิน พี่แย้ม อะไรหาย"
"ของแม่นายท่าน เป็นสร้อยหรือเป็นจี้ข้าเจ้าฟังมิถนัด"
"ไม่พบรึ"
บ่าวทั้งหลายเรียงหน้า “ไม่พบเจ้าค่ะ”
เกศสุรางค์ ผิน แย้ม เลี่ยงไปยืนอีกทาง
"ของหายต้องมีคนหยิบ หาไม่มันก็ไม่หายไปจากที่ของมัน คนหยิบต้องมิใช่คนอื่นคนไกล"
บ่าวหันหน้าไปมา ส่วนปริกนั่งสบายใจ
"มิใช่คนอื่นคนไกล" จำปามองปริก
ปริกเคี้ยวหมากเหยิบๆ และเห็นพวกบ่าวมองตัวก็หยุดเคี้ยว
บ่าวทุกคนมองไปที่คุณหญิงจำปา ปริกหันไปมองมั่ง
"แม่นายท่าน"
"ข้ามิได้อยากสงสัยเอ็งเลยนะนังปริก แต่เป็นเพราะเอ็งใกล้ชิดข้าที่สุด"
"แม่นายสงสัยข้าเจ้าหรือเจ้าคะ"
"ใช่"
"แม่นาย สงสัยข้าเจ้าหรือเจ้าคะ"
"เออ"
"สงสัยได้ยังไง" ปริกลุกขึ้นทันที "สงสัยข้าด้วยเหตุอันใดเจ้าคะ"
"เอ็งนั่งลงอย่ายืนค้ำหัวข้า"
"ข้าไม่นั่ง แม่นายสงสัยข้าไม่ได้"
"ทำไม"
"เพราะข้าไม่ได้เอาไป"
"ข้าจะรู้ได้ยังไร"
"ก็ข้าบอกแม่นายอยู่นี่ไงเจ้าคะ"
"ข้าจะเชื่อได้ยังไร"
"เชื่อได้"
"ทำไม"
"เพราะข้าไม่ได้เอาไป"
ทั้งคู่เถียงกัน บรรดาบ่าวหันซ้ายที ขวาทีเป็นพัลวัน
"เฮ้อ...แต่ข้าสงสัยเอ็ง เอ็งเข้านอกออกในหอนอนของข้าอยู่คนเดียว คนอื่นพ้นสงสัยเพราะไม่มีใครเข้าไป"
ปริกนั่งแรงๆ "สงสัยไปเหอะ ข้าเจ้ามิได้เอา ข้าเจ้าไม่เดือดร้อน"
คุณหญิงจำปาก็นิ่งอึ้งไปสักครู่ ปริกนั่งไม่รู้ไม่ชี้
จำปาเดินไปเดินมาแบบไม่รู้จะทำยังไงดี
"ข้าเจ้าจะไปล่ะแม่นายท่าน" ปริกลุกเดิน
"ไม่ให้ไป" จำปาสวนทันที
"จะไป"
"หยุดนะมึง"
ปริกยังเดิน
"ถ้ามึงไม่หยุดนะ นังปริกมึงไม่ต้องเหยียบเรือนกู อย่าเอาหน้ามึงมาให้กูปะอีก อยู่ก้นครัวไฟไปจนตายเหอะมึง"
ปริกหยุดกึก หันกลับมา ยืนจ้องจำปาสีหน้ากดดันจนปากสั่น น้ำตาค่อยๆเอ่อท้นขึ้นมาจนเต็มตา
จำปาเองก็อึ้งไป ตกใจคำพูดตัวเองเหมือนกัน
ในที่สุดปริกก็ลงนั่ง สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลเต็มหน้า ด้วยความเจ็บในใจสุดขีด ก้มลงปิดหน้าปิดตา เสียงสะท้านใจ
คุณหญิงจำปาคอแข็ง สีหน้าทำอะไรไม่ถูก
เกศสุรางค์เข้ามา
"คุณป้าเจ้าขา"
ผินกับแย้มรั้งตัวไว้
"พี่...ข้าขอ...ปล่อยข้า" สองคนปล่อย เกศสุรางค์เดินเข้าหา "คุณป้า"
"อย่าเพิ่งยุ่งแม่การะเกด หาใช่เรื่องของออเจ้า"
"แม่ปริกไม่เอาไปหรอกเจ้าค่ะ"
จำปาชะงัก คนอื่นๆชะงักเหลียวมอง ปริกเงยหน้ามอง
"ออเจ้าพูดได้ยังไร"
"พูดได้เจ้าค่ะ เพราะแม่ปริกไม่มีนิสัยขโมยหรอกเจ้าค่ะ"
"ออเจ้ารู้ได้ยังไรกัน"
"คนเป็นขโมยจะไม่ทำตัวแบบแม่ปริกหรอกเจ้าค่ะ
"ก็ยังไรไงเล่า" จำปาตวาดเล็กๆ "ข้าถามอยู่นี่"
"ข้าก็จะตอบอยู่นี่ไงเจ้าคะ คนขโมยคือคนทำผิด เขาจะกลบความผิดเจ้าค่ะ คือเขาจะทำดีกับทุกคน เขาจะไม่ว่าใคร ไม่ทะเลาะกับใคร เขาจะดีกับทุกคน พอของหายก็จะไม่มีใครสงสัยเขาเจ้าคะ พอคนไว้ใจเขาแล้วเขาก็ขโมยเจ้าค่ะ"
"แล้วนังปริกมันเป็นไง"
"เป็นคนปากร้ายไงคะ ไม่ดีกับใครซักคน"
เสียงใครซักคนในหมู่บ่าวแทรกขึ้นมาว่า “นอกจากนังบุ้ง”
ทุกคนเหลียวไปดู แต่ไม่รู้ใครพูด
"เพราะบุ้งเป็นลูกไล่ของแม่ปริกตลอดมา"
"งั้นของข้าหายไปที่ใด มันเข้าห้องข้าอยู่ผู้เดียว ฤๅว่าข้าขโมยของตัวเอง"
เกศสุรางค์หันไปทางบ่าว
"พวกพี่ออกค้นหาตั้งแต่ท่าน้ำเรื่อยมาจนถึงเรือน หาตามหญ้าทุกต้นเลยนะ"
"ทุกหย่อมหญ้า"
"ทุกหย่อมหญ้า"
เกศสุรางค์อ่านหนังสือของขุนศรีวิสารวาจาอยู่ในห้อง
"พระเจ้าหลุยส์ทรงพอพระทัยพิธีถวายสาสน์ ทรงพอพระทัยในตัวท่านทูตออกพระวิสุทธสุนทรเป็นที่ยิ่ง เพราะเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ ตัวท่านทูตเองก็กิริยางาม ละมุนละม่อมและฉลาดเฉลียว"
เกศสุรางค์ยิ้มน้อยๆอ่อนละมุน เหมือนแลเห็นภาพ เปิดสมุดไปอีกหน้า
"วันนี้ว่างทั้งวันไม่มีงานการใดๆต้องไปร่วม...เหงาพอดู คิดถึงออเจ้าเหลือเกิน แม่การะเกดของพี่"
เกศสุรางค์หน้าอิ่ม ยิ้ม...เอ็นดูคนเขียน
ผินเข้ามาเร็วๆ
"แม่นายเจ้าขา"
"ตกใจหมดพี่ผิน มีอะไรตื่นเต้นหรือ"
"ของที่หายหาได้แล้วเจ้าค่ะ ที่ศาลาท่าน้ำเจ้าค่ะ ตกอยู่ข้างใต้"
"นั่นไง...ว่าแล้ว แม่ปริกรอดตัวไป"
"แม่นายอยากเห็นพี่ปริกไหมเจ้าคะ"
ปริกร้องไห้กระซิกๆ สายตามองค้อนที่คุณหญิงจำปา
"เอ็งจะอะไรกะข้าวะนังปริก เอ็งมาเป็นตัวข้า เอ็งก็ต้องสงสัยตัวเอ็งเหมือนกัน"
ปริกร้องดังขึ้น มองแค้นๆเสียใจๆ "ไม่อยากฟัง"
"เอ๊ะ...นังปริก"
ปริกมองเห็นเกศสุรางค์เดินออกมา จึงเดินไปเร็วๆ ลงนั่งแล้วไหว้
"ข้าเจ้า...ขอบใจแม่หญิง"
เกศสุรางค์ห้าม "อย่า...แม่ปริกอย่าไหว้ข้า"
"ข้ามองคนผิดไปถึงสองคน"ปริกมองจำปาเข้มๆ แล้วลุกไป
เกศสุรางค์นั่งหน้าเหวอๆ ชำเลืองมองคุณหญิงจำปาแบบเกรงใจ
"นังปริกนี่มันน่ารำคาญจริงๆ" จำปาหันกลับไป
เกศสุรางค์ระบายลมหายใจยาว ลุกขึ้นมองไปทางหอสมุด
ขุนศรีวิสารวาจา , ออกพระวิสุทธสุนทร , ออกหลวงกัลยาณไมตรี , พระปีย์ , มหาดเล็กรับใช้ ทั้งหมดหมอบเฝ้าที่ห้องสำราญพระนารายณ์
ขุนศรีวิสารวาจากำลังอ่านรายงานถวาย สิ่งที่จดรายงานมาคือแผ่นพับทบกันไปมาสีดำ
พระนารายณ์นั่งเอกเขนกฟัง
"พระราชวังแวร์ชายส์นั้นสวยงามใหญ่โตมาก ด้านหน้าเป็นอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้างามสง่า พระราชวังอยู่บนที่ดอน แต่ช่างประหลาดล้ำที่เขาสามารถสร้างบ่อน้ำพุน้ำผุดได้ มีอ่างน้ำที่ประดับด้วยรูปปั้นเทวดา นางฟ้า นรสิงห์
"เออ...คงสวยงามยิ่งนัก"
เกศสุรางค์เปิดประตูเข้ามา หยิบหนังสือ
เกศสุรางค์นั่ง กิริยาสบายๆ อ่านหนังสือ จนจบ
เกศสุรางค์ปิดหนังสือ มองไปรอบๆ บนตู้หนังสือมีพานสีทองวางอยู่ บนนั้นมีสมุดข่อยพับหนึ่งวาง
"หลงหูหลงตาได้ไงเนี่ย อยู่เสียสูงเชียว"
เกศสุรางค์ยื่นมือสุดแขนจึงแตะส่วนฐานของพานได้ เมื่อเลื่อนมือจนคว้าได้จึงดึงมาดูด้วยความสนใจ เพียงมือแตะสมุดข่อยพับนั้นก็รู้สึกสะท้านไปทั้งตัว พลันความรู้สึกก็ดับวูบลงไป
อ่านต่อตอนที่ 24
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
หนังสือ "โกษาปาน ราชทูตผู้กู้แผ่นดิน" โดย ภูธร ภูมะธน หน้า ๑๗๓ กล่าวว่า
กองกำลังสยามปิดล้อมป้อมฝั่งตะวันออกที่บางกอก เมื่อ ค.ศ. ๑๖๘๘ (พ.ศ. ๒๒๓๑) มีข้อความบรรยายว่า "ป้อมที่บางกอกตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เป็นสถานที่ที่ชาวฝรั่งเศสถูกโจมตีโดยกองกำลังของพระเพทราชา ผู้ซึ่งได้อำนาจปกครองอาณาจักร มีชาวฝรั่งเศส ๓๐๐ คนอยู่ที่ป้อมแห่งนี้ มีฐานขนาดเล็กจำนวน๗-๘ ฐานรอบๆ ป้อม เพื่อใช้ปิดป้อม เรา (พวกฝรั่งเศส) ยอมจำนนและออกจากป้อมไปเมื่อ ๒ พฤศจิกายน ๑๖๘๘..."
ภาพเขียนสีน้ำ สมบัติของหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส มีประวัติว่า บาทหลวงปูโช (Pourchot) คณะเจชูอิต มอบให้ เมื่อ ค.ศ. ๑๗๖๒
นายพลเดส์ฟาร์จ : (ข้อมูลจาก "ฟอลคอน Phaulkon" , เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , สำนักพิมพ์ศยาม, หน้า ๒๖๗)
"นายพลเดส์ฟาร์จ (Marshal Desfarges, Desfarges, le Général) อดีตนายทหารในสังกัดของสังฆราชเลอ คาร์ดินาล มาชาแร็ง (le Cardinal Mazarin) ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๑๖๑ และในปี ค.ศ. ๑๖๗๘ ได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ให้นำกองทหารฝรั่งเศสร่วมเดินทางมากับเมอซิเยอร์ เดอ ลาบูแบร์ (Monsieur de La Loubère) อัครราชทูตฝรั่งเศสคนที่ ๒ และโคลด เซเบอเรต์ ดู บูลเลย์ (Claude Céberet du Boullay) โดยมีจุดมุ่งหมายยึดสยามและมะริด (Mergui) รวมทั้งมีการสร้างป้อมปราการ แต่ไม่สำเร็จเพราะถูกต่อต้านจากพระเพทราชา โดยเฉพาะเมื่อพระองค์ปราบดาภิเษกแล้ว เขาจึงสั่งย้ายกองทหารฝรั่งเศสไปจากเมืองลพบุรีกลับมายังกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ถูกกองกำลังของพระเพทราชาล้อมไว้ประมาณ ๔ เดือนกว่า จึงยอมถอนกำลังไปตั้งหลักที่ปอนดิเชรี (Pondichery) ภายใต้ของอินเดีย พร้อมบุตรชาย ๑ คน ส่วนอีกคนถูกกักขังในฐานะนักโทษที่สยาม ในปี ค.ศ. ๑๖๘๘ และในปี ค.ศ. ๑๖๙๐ นายพลเดส์ฟาร์จก็ล้มป่วยเสียชีวิตลง หลังจากไม่ประสบความสำเร็จที่จะยึดภูเก็ต"