xs
xsm
sm
md
lg

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 21 : ขนมท้าวทอง ! แม่เอ๊ย ...

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 21

บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา

ต่อมา ฟูกนอนหลังย่อมๆวางอยู่ 2 หลัง

หมอนขนาดเท่าหมอนปัจจุบัน 4 ใบวางซ้อนกัน ใส่ปลอกหมอนผ้าลายสวยงาม
คุณหญิงจำปายืนมอง สายตายอมรับ แต่ไม่ออกนอกหน้า
ออกญาโหราธิบดีเดินมามองด้วย
พอเกศสุรางค์เอาหมอนมาส่งให้ คุณหญิงจำปาตกใจทำไมหมอนใบเบ้อเร่อ
ปริกผสมโรงทันทีว่า ข้าเจ้าบอกแล้วแม่หญิงไม่ยอมเชื่อ
ออกญาโหราธิบดีก็มองขำๆ
เกศสุรางค์ตอบว่า นอนสบาย เหลือบชำเลืองมาสบตาขุนศรีวิสารวาจา
ขุนศรีวิสารวาจายังโกรธเรื่องไม่ได้กินน้ำชา เมินไปทันที
เกศสุรางค์ยิ้มชอบใจ พวกบ่าวมายกที่นอน

เย็นวันนั้น ทุกคนต่างกินข้าวกันตามปกติ ออกญาโหราธิบดีคุยกับคุณหญิงจำปา
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าบึ้งๆ ยังงอนต่อเนื่อง
เกศสุรางค์มองแล้วขำ ยิ้มในหน้า
ขุนศรีวิสารวาจาเมินหน้าฉับ เกศสุรางค์หัวเราะออกมาเบาๆ
ออกญาโหราธิบดีกับคุณหญิงจำปาหันขวับมามองพร้อมกัน คุณหญิงจำปาสายตาตำหนิ แต่ออกญาโหราธิบดีสายตายิ้ม แม้หน้าจะเฉยๆ
"นึกจะหัวเราะหัวใคร่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย" คุณหญิงพูดไปเรื่อยๆไม่มองหน้าเกศสุรางค์แค่หมั่นไส้เล็กๆ ไม่ได้เอ็ด
เกศสุรางค์ไหว้ขอโทษ
"จะมีเหย้ามีเรือนอยู่แล้วกิริยาหามีไม"
เกศสุรางค์ไหว้ต่ำลงไปอีกหน่อย
"ไปหนทางไหนก็ขายหน้าวันละห้าเบี้ย"
เกศสุรางค์ไหว้ฟุบไปกับโต๊ะทันที สีหน้ารู้สึกผิดมาก
พวกบ่าวหัวเราะกันคิกคัก ปริกอยากหัวเราะแต่วางฟอร์มอยู่
ขุนศรีวิสารวาจานั้นอมยิ้มขำเลย

คืนนั้น
จ้อยเคาะประตู ขุนศรีวิสารวาจาเปิดอย่างเร็ว สีหน้าเปลี่ยนจากตื่นเต้นดีใจเป็นผิดหวัง ขยับจะเข้าห้อง
"เดี๋ยวสิขอรับออกขุนท่าน"
"ทำไมวะไอ้จ้อย กวนกูเรื่องอันใดกูจะทำงาน"
"ไม่เป็นไรขอรับไม่กวนก็ได้ขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาปิดประตู ยังไม่สนิท
"ข้าแค่จะมาเรียนออกขุนท่านว่าแม่หญิงชมจันทร์อยู่ข้างนอกขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าวูบด้วยยินดี แต่วางฟอร์ม บึ้งอยู่
"เชิญออกขุนท่านทำงานเถิดขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจานิ่ง
"เอ็งไปให้พ้นหน้าเลยไอ้จ้อย ข้าจะทำงาน"
ขุนศรีวิสารวาจาเข้าห้องปิดประตู)
จ้อยเซ็งมาก หันไป ผินกับแย้มที่แอบลุ้นอยู่
จ้อยส่ายหน้า...หมดหวัง

เกศสุรางค์มองพระจันทร์ ออกญาโหราธิบดีนั่งเอกเขนกสบายใจ คุณหญิงจำปานั่งเจียนหมากอยู่ที่ประจำ ค้นหาของไว้ในเชี่ยนหมากไม่ได้สนใจมองเกศสุรางค์
"พระจันทร์ที่นี่ดวงโตจัง"
ทุกคนหันไปมอง เป็นคำพูดที่แปลกประหลาด พวกบ่าวพูดซุบซิบกันอยู่ไปมา
"คุณลุงอยากฟังเพลงมั้ยคะ"
"เพลงรึ...เพลงอะไร พวกเพลงตับไม่เอานะแม่การะเกด เพราะลุงง่วงนอน เกรงจะฟังไม่จบ"
"พอเกดร้อง คุณลุงจะตื่นทันทีค่ะ"
"เป็นเพราะเหตุใดฤา"
"ฟังนะคะ"
เกศสุรางค์เริ่มร้องเพลง “คิดถึง” - จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว ...
คุณหญิงจำปาหยุดมือเหลียวมาดู บ่าวทั้งนั้นก็เหลียวดูเกศสุรางค์
"เออ...ลุงตื่นเพราะเพลงของออเจ้าจริงๆ"
มุมเรือนในเงามืด ขุนศรีวิสารวาจาซุ่มมองอยู่
เกศสุรางค์ตั้งใจร้อง ... ไพเราะ
ขุนศรีวิสารวาจามองอย่างดื่มด่ำ หน้าเกศสุรางค์ซีกหนึ่งรับแสงจันทร์ ดูสวยซึ้ง
เกศสุรางค์ร้องจบ หันไปถามออกญาโหราธิบดีที่นั่งนิ่ง
"ตื่น...หรือหลับคะคุณลุง"
ออกญาโหราธิบดีหัวเราะเสียงดัง
"เออ...เพลงนี้ผู้ใดเป็นคนคิด ลุงไม่เคยได้ยิน"
คุณหญิงจำปาถึงกับลงทุนเดินมาดู "เพลงอะไรฟังประหลาดนัก"
"เพราะมั้ยคะคุณป้า"
"ไพเราะดี แต่ไม่เหมือนเพลงอยุธยา เพลงสองแควเมืองของออเจ้าฤๅ แม่การะเกด"
"เจ้าค่ะ เพลงของเมืองของข้า"
ผินกับแย้มมองหน้ากัน
"ข้าเคยฟังเพลงเมืองสองแควไม่เหมือนที่เจ้าร้องนะ" จำปาบอกแล้วเดินกลับไป
"ข้าร้องแบบสมัยใหม่เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์มองไปเห็นขุนศรีวิสารวาจาที่เดินเข้ามาใกล้
"เพราะมั้ยคะคุณพี่ขุน"
ทุกคนหันไป ขุนศรีวิสารวาจาเดินมาหน้าเก้อๆนิดหน่อย
จ้อยบอก "ออกขุนท่านไม่ฟังหรอกขอรับ ท่านจะทำงาน"
ขุนศรีวิสารวาจาชี้ให้ไป "ไอ้จ้อย"
จ้อยจ๋อยไปเลย ค่อยๆคลานออกลับตัวไป
"เป็นเพลงชมพระจันทร์ที่ไพเราะที่สุดที่ข้าเคยได้ยิน" ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเบาๆเจตนาให้เกศ
สุรางค์ได้ยินคนเดียว แต่ออกญาโหราธิบดีได้ยินด้วย
"ฟังด้วยหรือคะ"
"ฟังทุกคำ"
ออกญาโหราธิบดีมองลูก มองหลาน พลอยสดชื่นหัวใจไปด้วย
"ข้าร้องให้ฟังสองครั้งแล้วนะคะ"
ออกญาโหราธิบดีตาโต
"อีกหน่อยคุณพี่ต้องร้องให้ข้าฟังมั่ง"
"จริงอย่างยิ่ง ข้าควรเป็นคนร้อง"
"ทำไม"
ออกญาโหราธิบดีเผลอตัวถามพร้อมเกศสุรางค์ "ทำไมรึ"
"เพราะเป็นเพลงชมโฉมแม่หญิงขอรับคุณพ่อ"
"งั้น...พ่อเดชต้องหัดร้องแล้วนะลูก" ออกญาโหราธิบดีเดินไปทันที
"ขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจามองเกศสุรางค์ ส่งความนัยทั้งหมด
เกศสุรางค์เมินไปอีกทางรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว
ต่างคนต่างเงียบทั้งๆที่หัวใจเต้นแรงทั้งคู่ ในที่สุดหันมาพูดพร้อมกัน
"ยังไม่ง่วงฤๅ"
"ง่วงหรือยังคะ"
ทั้งคู่หัวเราะเบาๆ
"คุณพี่คะข้าอยากไปเที่ยววัด"
"ไปทุกวัดแล้วยังจักไปวัดไหนอีก ข้าว่าออเจ้ารู้จักพระนครอยุธยาดีกว่าข้าแล้วกระมัง ช่างสอดรู้สอดเห็นเกินผู้ใดในพระนคร"
เกศสุรางค์มองจ้องนิ่งๆ อำๆ นัยน์ตาค้อนๆหน่อยๆ
ขุนศรีวิสารวาจามองตอบใจเต้นๆนิดๆ แล้วมองไปทางอื่นพูดลอยๆ
"ไม่มีวัดให้เที่ยวแล้ว ไม่อยากไปเมืองละโว้บ้างหรือ"

เกศสุรางค์ตาโต ยิ้มกว้าง ทำท่าจะโผเข้ามาหา แต่ยั้งตัวไว้ทันหัวเราะเต็มที่

ในลำเรือใหญ่ ประกอบด้วย คุณหญิงจำปา ขุนศรีวิสารวาจา เกศสุรางค์และบ่าวไพร่ทั้งปวง ทั้งล้วนมุ่งหน้าสู่เมืองละโว้

เรือแล่นมา สองฟากแม่น้ำเป็นป่าเขียวชอุ่ม มีลิงค่างบ่างชะนีมีเป็นระยะ ผู้คนพายเรือสวนไปแล้วหันมามองเรือใหญ่
มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำบ้าง มีคนทำกิจกรรม เช่น ผ่าฟืน เมียฝัดข้าว ลูกๆวิ่งเล่น ทุกคนหันมามองเรือเป็นตาเดียว มีคนซักผ้าอยู่ท่าน้ำริมน้ำบ้าง หันมาดูเรือใหญ่
"คุณพี่ใจดี๊...ใจดี ข้าอยากเห็นที่ขุนหลวงไปส่องกล้องดูดาวด้วย ที่ไหนนะเจ้าคะ"

พระที่นั่งไกรสรสีหราช และ โบสถ์เซนต์เปาโล คือที่กล่าวถึง
"ที่พระที่นั่งไกรสรสีหราชแลที่โบสถ์เซนต์เปาโล ณ ทะเลชุบศรนั่นฤๅ"
"เจ้าค่ะ...ข้าอยากเห็น"

เกศสุรางค์ ผิน แย้ม และบ่าวเรือนของคุณนายสายหยุด 2-3 คน ทั้งหมดเดินเข้าบริเวณบ้าน เหลียวดูไปรอบๆ
บ่าวบ้านนี้ทำงานต่างๆ
คลาร่าอุ้มแซลลี่ที่กำลังน่ารัก อายุประมาณ 3-4 ขวบแล้ว
เกศสุรางค์ยิ้มให้ "มาหามาดามจ้ะ"
""กำลังทำขนม" คลาร่าผายมือ "อยู่ทางโน้นค่ะ...ไปกับข้า"
เกศสุรางค์กำลังจะไป
ผินบอก "ทำเทียมเจ้าเทียมนายหนาเจ้าคะ เสนียดจัญไรจักกินหัวเอา"
"อะไรเทียมเจ้าเทียมนาย"
"ตึกใหญ่เทียมพระที่นั่งขุนหลวง จักมีผู้ใดหาญกล้าเท่าฝรั่งผู้นี้ไม่มีอีกแล้ว"
"อ๋อ...บ้านเรือนเมืองเขาก็เป็นตึกเป็นปูน เขาก็คงชิน อีกอย่างคงจะเอาไว้ต้อนรับพวกฝรั่งด้วย นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กรุงศรีของเรา พี่ผินอย่าได้คิดมากไป"
"ถึงอย่างไรก็หาดีไม่ ไม่มีใครทำเทียมเจ้าเทียมนายหรอกเจ้าค่ะแม่นาย มันผิดธรรมเนียมนะเจ้าคะ"
"ขุนหลวงโปรดฝรั่งผู้นี้ยิ่งนัก เห็นทีคนเพ็ดทูลจะโดนเสียเอง" แย้มว่า
"นังแย้มเสือกล่ะเอ็ง"
"ข้าพูดเรื่องจริง...จริงมั้ยเจ้าคะแม่นายการะเกด"
"ข้าอยากเห็นลูกชายของมาดาม อยู่ด้วยกับมาดามรึเปล่าจ๊ะ"

บริเวณทำขนมเกศสุรางค์รับยอร์ชจากตองกีมาร์ ยิ้มแย้ม
"หน้าตาน่าเกลียดน่าชังนักพ่อยอร์ชของน้า" เกศสุรางค์เอาสร้อยเส้นบางๆใส่ให้ "อีกคนล่ะ" แล้วหยิบสร้อยมาอีกเส้น "ออเจ้าท้องลูกคนเล็กข้าไม่รู้เลย"

ฟอลคอนใช้กำลังกับนางแวบขึ้นมาในความคิดของตองกีมาร์
"เป็นอะไรแม่มะลิ"
"ไม่เป็น คนเล็กชื่อโยฮันเพิ่งแบเบาะ ข้าให้กินนมข้านะ ไม่มีแม่นม"
"แล้วยังมานั่งทำขนม" เกศสุรางค์มองดู "โอ น่ากินมาก ขนมอะไรหรือ"
"ข้าคิดขึ้นมาเองแต่ยังมิได้ตั้งชื่อ"
ทองหยิบที่ยังไม่จับจีบ ลอยฟ่องในกระทะ
"เป็นไข่เป็ดผสมแป้ง แลข้าคิดเองว่าน้ำตาลเคี่ยวจนข้นจักทำให้ขนมอยู่ได้นาน"
เกศสุรางค์ดีดนิ้ว "มาถูกทางแล้วแม่มะลิ"
"ถูกแล้วฤๅ...ยังไร"
"ก็มันน่ากิน หอม คงหวานชื่นใจ แต่มันแบนดูไม่น่ากิน"
"แล้วทำยังไรดี"
เกศสุรางค์จะบอกว่าให้จับจีบก็รู้สึกจะแทรกแซงประวัติศาสตร์มากไป
"ออเจ้าก็คิดดูสิ แต่ขอข้าชิมก่อน" เกศสุรางค์หยิบแล้วใส่ปาก ร้องลั่น "ร้อน" นางสะบัดขนมทองหยิบจนบินไปวางแหมะในถ้วยชากังไสใบจ้อย
ตองกีมาร์มองตาม พลางบ่น “จักรีบกินไปใย...รอสักครู่”
แผ่นขนมร้อนๆค่อยๆหดตัวห่อเป็นจีบสวยงามลงไปในถ้วย
ตองกีมาร์หันไป
"ข้ารู้แล้ว นางพุ่ม"

ถ้วยกังไสเรียงราย นางพุ่มวาง 2 ถ้วยสุดท้ายลง
ตองกีมาร์ช้อนแผ่นแป้งจากกระทะวางลงทีละอัน...ทีละอัน แผ่นแป้งค่อยๆยุบห่อตัวทุกอัน
ทองหยิบสวยงามถูกแซะขึ้นมาวางเรียงรายเป็นแถว
ผิน แย้ม และพวกบ่าวเข้ามามุงดู
ผินบอก "งามเหลือเกินเจ้าค่ะ"
แย้มบอก "เห็นทีจะกินไม่ลง"
"เหมือนกินดอกไม้ล่ะเอ็งนังแย้ม"
"ข้าจะให้ชื่อว่าทองจีบ"
ตองกีมาร์มองหน้าเกศสุรางค์
เกศสุรางค์ส่ายหน้า คิ้วขมวดเหมือนไม่เห็นด้วย
"เจ้าคิดว่าจักพ้องกับขนมของจีนใช่ฤๅ ให้ชื่อทองหยิบดีฤๅไม่"
เกศสุรางค์พยักหน้ายิ้มกว้าง
ตองกีมาร์หยิบจานทองหยอด
"ขนมนี้ข้าใส่แป้งมากหน่อย เรียกว่าทองหยอด"
ตองกีมาร์หยิบจานฝอยทอง "นี่...ข้าหยอดรูเครื่องกรองลงไปในน้ำตาล เรียกทองแพ"
เกศสุรางค์พูดเร็ว "ไม่ดี เรียกฝอยทองดีกว่า"
"ฝอยทอง...ข้าชอบชื่อนี้แล้ว ออเจ้าช่างคิดเหลือเกินแม่การะเกด"

เกศสุรางค์ส่งยอร์ชให้ตองกีมาร์ รับโยฮันจากบ่าวมากอด
"ก่อนกลับอยุธยาข้าจะแวะมาหาอีกรอบ"

หลังพูดคุยร่ำลา ส่งโยฮันคืนไป แล้วเดินออกกันทุกคน

เรือนพัก เมืองละโว้

คุณหญิงจำปากำลังเจียนหมาก คุยกับปริก จวง และจิกที่ทำงานบางอย่าง
"ไปกันถึงไหนเจ้าคะ ป่านนี้ยังไม่กลับ"
"ข้าก็นั่งอยู่กะเอ็งกรงนี้...จะรู้ฤๅ"
"อ้าว...ก็เป็นแม่"
"คำพูดเฉกเช่นคนไม่เคยมีลูก ไม่รู้ว่าลูกส่วนลูก แม่ส่วนแม่"
จวงบอก "พี่ปริกเขาเคยมีลูกนะเจ้าคะแม่นาย"
"นังจวง"
"อ้าว...จริงนี่นา จริงมั้ยนังจิกบอกแม่นายท่าน"
"ป้าปริกเคย...เอ่อ...เลี้ยง แล้วเรียกเป็นลูกเจ้าค่ะ" จิกบอก
"เลี้ยงอะไร" คุณหญิงถาม
"นังจิก" ปริกปราม
หมากปาถูกหัว จนจิกร้อง “โอ๊ย” เบาๆ เพราะอยู่ต่อหน้ามูลนาย
"เลี้ยง" จิกลังเล
"อย่านะมึง"
จวงบอก "เลี้ยงหมาเจ้าค่ะ"
จิกต่อ "เรียกตัวเองแม่เจ้าค่ะ"
ปริกชี้หน้าต่ำๆแบบเกรงใจคุณนายจำปา"มึงสองคน"
จำปาพัดปิดปาก หัวเราะขำ
"หมาซื่อสัตย์กว่าคนเจ้าค่ะ ข้าเจ้ายินดีมีลูกเป็นหมามากกว่าเป็นคน" ปริกบอก
"ก็มีแล้วไงป้า"
ทุกคนหัวเราะขำ
ขุนศรีวิสารวาจาเดินนำเกศสุรางค์เข้าเรือน ผิน แย้มตาม จ้อยตาม
"มาแล้วพ่อเดชกินข้าวกินปลาเสียก่อน"
ปริกลุกกระวีกระวาด ทุกคนลุกไปช่วย
“แม่กินแล้ว คอยไม่ไหว...หิว ชาย (บ่าย) นี้จักไปเที่ยวไหนกันอีกรึ ดูหน้านังผิน นังแย้ม แล้วดูไอ้จ้อย...หน้าบานไปตามๆกัน ไปถึงไหนกันมาล่ะ”
ผิน แย้ม จ้อยตอบกันไปมา พอได้ยินแว่วๆ

ผินวางโถแกง แล้วค่อยๆถอย แย้มวางขันทองเหลืองใส่น้ำ อาหารตั้งเรียบร้อย เกศสุรางค์และขุนศรีวิสารวาจาลงมือทานข้าว
“ข้าว่า...จะไปหาซื้อช้อนมากินข้าว”
“ตามใจเจ้า แต่งงานกันแล้ว เรื่องในบ้านข้าให้เจ้าเป็นใหญ่ทุกอย่าง”
“ข้าไม่อยากเป็นใหญ่”
“ไม่ต้องเป็นใหญ่หรอก...เพราะ...ข้าจักไม่มีเล็กๆให้ออเจ้าเป็นใหญ่” ชุนศรีสารวาจาพูดไม่
มองหน้าเกศสุรางค์ ทำเป็นง่วนกับตักข้าว “นี่อะไร อ๋อ หมูโสร่ง...ดีจริง”
“คุณพี่...ที่พูดหมายความว่าอะไร”
ขุนศรีวิสารวาจาพูดดังๆ “วันนี้จะพาไปเที่ยวพระปรางค์สามยอด”
เกศสุรางค์ก็เลยต้องหุบปาก

เวลาต่อเนื่องมา ขุนศรีวิสารวาจาเดินลงมาอย่างสง่างาม เกศสุรางค์ตามมารวดเร็ว
ม้าตัวหนึ่งยืนรอ จ้อยจับไว้ เกศสุรางค์ไม่สน พึมพำ
“ใครจะนึกว่าจะได้เห็นพระปรางค์สามยอดของจริง ไอ้เรืองเอ๊ย”
ขุนศรีวิสารวาจาหันขวับมา
“อุ๊ย”
ทั้งคู่มองตากัน
“ยังอยากรู้ฤๅไม่ว่า ที่ข้าพูดหมายความว่ายังไร”
“ไม่อยากแล้วค่ะ”
“เพราะเหตุใด”
“ไม่อยากคือไม่อยาก ไม่มีเหตุ”
ขุนศรีวิสารวาจาจ้องตาดุๆสักครู่ แล้วปล่อย
“ไป”
“ไปค่ะ” เกศสุรางค์หันไปพยักหน้าชวนผินชวนแย้ม
ผิน แย้มยิ้มแย้มดีใจ
“จ้อยไปด้วยกันนะ”
จ้อยหน้าจ๋อย ส่ายหน้า
“ไปเถอะ ม้าใครน่ะเอาไปผูกไว้ก่อนสิแล้วไปด้วยกัน ไม่อยากเที่ยวเหรอ”
จ้อยยังส่ายหน้าอยู่
“ตามใจ”
ขุนศรีวิสารวาจาบอก “ม้านั่นข้าให้เตรียมไว้เอง”
“ม้า !”
“หากเดินไปจักเหนื่อยนัก ละโว้นี้ไม่มีคูคลองให้เดินทางทางเรือมากมายเท่าอยุธยาดอกหนา”
“แต่ข้าขี่ม้าไม่เป็นนี่คะ”
“ไม่ยากดอก”
ผินสีหน้าซีดเซียวบอก “ข้าเจ้า แลอีแย้มก็ขี่ไม่เป็นหนาเจ้าคะ”
“ผู้ใดบอกว่าจักให้พวกเอ็งไปด้วยเล่า ขี่ม้าชมเมืองไปแค่สองคนก็พอ เอ็งก็เห็นแล้วว่ามีม้าตัวเดียว”
“อ้าว แล้วแม่นายจะไปยังไงเจ้าคะ”
“นั่นสิคะข้าจะไปยังไง”
ขุนศรีวิสารวาจาจับเอวสองข้างยกขึ้นไปนั่งทันที เกศสุรางค์ตัวแข็งแต่ไม่วี๊ดว้าย
ผิน แย้มเสียอีก ตกใจ มือปิดปาก
ขุนศรีวิสารวาจาเหยียบโกลน ตามขึ้นไปนั่งคร่อมอย่างเร็ว
“อุ๊ย”
แย้มตาโต ขุนศรีวิสารวาจาพาม้าเดินไป
แย้มดึงผินถอยออกมา ชนกับจ้อยที่ยืนอยู่ด้านหลัง
จ้อยโอบกอดแย้มไว้
“เฮ้ย...ไอ้จ้อย”
“ว้าย” ผินร้องเอามือปิดตา แต่แอบดู
“ปล่อยข้า มากอดทำไม” แย้มพูดแต่หน้ายิ้มๆ
“แหม ก็ทำให้เหมือน” จ้อยพยักเพยิดไปทางม้า
ผินถาม “แล้วข้าล่ะ”

ต่างหัวเราะกันเสียงดัง ท่าทีเล่นๆแบบคนแก่กับเด็ก

ชาวบ้านมีทั้งแบกผักขนฟืน ขี่เกวียน บรรทุกของมาก็มี หาบน้ำก็มี จูงเด็กจูงคนแก่

ขุนศรีวิสารวาจาขี่พาม้าเดินไปช้าๆ บนถนนทางไปพระปรางค์สามยอด เกศสุรางค์นั่งตัวแข็ง ทำสีหน้าปกติไม่มีกิริยาหวั่นไหว
ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน แขนที่โอบตัว ส่งให้สองใบหน้าใกล้กัน จนเกศสุรางค์สัมผัสถึงลมหายใจเป่าแผ่วๆ ที่ข้างหู
สีหน้าขุนศรีวิสารวาจาลึกซึ้งยิ่งนัก ยามเมื่อชำเลืองดูเกศสุรางค์ รู้ว่ากำลังหวั่นไหวเหมือนกัน
ม้าที่เดินไปในเส้นทางที่เขียวชอุ่ม
เกศสุรางค์พยายามหาเรื่องคุย “เอ้อ”
“หือม์”
“คุณพี่”
“อะไรหรือ”
“คุณพี่เห็นของที่พวกทูตเอามาถวายขุนหลวงหรือเปล่าคะ”
“เห็น” ขุนศรีวิสารวาจาตอบสั้นมาก เอียงหน้าเข้ามาชิดผมอีกนิด
“เอ่อ...อะไรบ้างคะ”
“ข้าวของแปลกตา ขุนหลวงพอพระทัยมาก”
“แปลกตายังไงคะ”
“ไม่เคยเห็น จึงแปลกตา”
“อะไรบ้างคะ”
“หลายอย่าง”
เกศสุรางค์หันขวับไป “จะไม่บอกใช่มั้ยคะ”
ขุนศรีวิสารวาจาดึงเกศสุรางค์ที่ตัวเอียงไปให้หันหลังพิงอกตัวเอง
“นั่งให้สบาย เพราะข้าวของมีหลายอย่างนัก กว่าจะฟังจนจบเจ้าก็จะเมื่อยเสียก่อน”
“ไม่เมื่อยค่ะ”
“เมื่อย...อย่าเถียง”
“อะไรบ้างคะ”
ขุนศรีวิสารวาจาเอ่ยช้าๆ
“ที่แน่ๆคือกล้องที่ใช้ส่องจนเห็นถึงดาวที่อยู่แสนไกล”
ม้าเดินไปตามทาง เสียงขุนศรีวิสารวาจาแว่วๆ

ม้าเดินมาช้าๆ ยังถนนอีกสายหนึ่ง เกศสุรางค์นั่งในอ้อมกอดสีหน้าหวั่นไหว จะขยับออกแต่คุณพี่ไม่ยอม
“ท่านออกพระวิสุทธสุนทรจะไปเป็นทูต คุณพี่ว่าเหมาะสมหรือไม่คะ”
“เหมาะสมยิ่ง ท่านราชทูตเดอโชมองต์ยกย่องนับถือท่านออกพระเป็นอย่างดี”
“ก็ท่านงามสง่าเหลือเกิน พูดจาท่าทางดีมีปัญญาสูงส่ง หน้าตาก็ล้อ...หล่อมีเสน่ห์”
ม้าหยุดกึกทันทีจนเกศสุรางค์กระแทกหลังกับอกขุนศรีวิสารวาจา
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเฉยนิ่ง
“หยุดทำไมคะ” เกศสุรางค์หันมาหน้าเกือบชนหน้า จนเกศสุรางค์ต้องเอนตัวห่าง
“ใช่ท่านงามสง่า ท่านจึงมีเมียมากถึงยี่สิบสองคน”
เกศสุรางค์ตกใจมาก “หา ! ยี่สิบสองคน โอ๊ย...จะเป็นลม”
“เรื่องธรรมดาตกใจไปไยกัน”
“ยี่สิบสอง โห...นึกภาพเมียแรกๆออกเลย ยี่สิบสองคน กว่าจะวนลูปมาถึง”
“อะไรของออเจ้า ลูบ...อะไร”
“เมียหนึ่ง เมียสองรู้สึกยังไงคะ”
“ข้ามิรู้...ข้ามิใช่เมียท่านออกพระนี่”
เกศสุรางค์ฟังแล้วอมยิ้ม และหัวเราะออกมาเบาๆ
เกศสุรางค์พึมพำเบาๆ
“คิดว่าเป็นไม่ได้เร้อ...อยากให้ไปกรุงเทพฯจังเลย...หนาวแน่ ท่านขุน”
ขุนศรีเอียงหน้าลงมา “เจ้าว่ากระไร...หนาวรึ”
“ปละ” จะพูดว่าเปล่าแล้วนึกออก “อ๋อค่ะ หนาว”
ขุนศรีวิสารวาจากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“อุ้ย ไม่ใช่”
“ไม่ใช่ได้ยังไร...ก็เจ้าว่าหนาวข้าได้ยินเต็มหู”
เกศสุรางค์หมดปัญญา
ม้าเดินไปช้าๆจนลับตา

พระปรางค์สามยอดปรากฏอยู่ตรงหน้า สวยสมบูรณ์ทุกอย่าง
เกศสุรางค์จ้อง ตะลึงงัน ขุนศรีวิสารวาจาสังเกต
“งามเหลือเกินค่ะคุณพี่ ศิลปะขอมนะคะเนี่ย”
ขุนศรีวิสารวาจาขมวดคิ้ว ตั้งใจฟัง
“พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตั้งเกือบ 400 ปีมาแล้ว ศิลาแลงยังสมบูรณ์อยู่มากนะคะ”
เกศศุรางค์มองจ้องพระปรางค์
ขุนศรีวิสารวาจาเหล่มองอยู่
“องค์กลางพระพุทธรูปปางนาคปรก องค์ทางขวาเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร องค์ทางซ้ายเป็นรูปนางปรัชญาปารมิตา”
ขุนศรีวิสารวาจาเพ่งมอง
“ยอดปรางค์คล้ายฝักข้าวโพดมีกลีบขนุนงามที่สุด”
“แม่การะเกด”
เกศสุรางค์หล่นจากความฝัน
“คะ อ๋อ ทำไมข้ารู้หรือเจ้าคะ ตอนเด็กๆข้ามีครูมาสอนหนังสือ เขาเล่าให้ฟังค่ะ”

ขุนศรีวิสารวาจาเงิบเล็กๆ

ขุนศรีวิสารวาจาพาม้าเดินมาตามทางกลับ

“ถามจริงๆเถอะเจ้าค่ะที่คนเขาว่าข้าเป็นหญิงวิปลาส คุณพี่ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือคะ”
“รู้สึกอะไร”
“อ้าว ก็คุณพี่ต้องมาเป็นคู่หมั้นของคนวิปลาส”
“กระนั้นฤา”
“ค่ะ ก็มันน่าอายใช่มั้ยคะ”
“ข้าเองคงวิปลาสไม่แพ้ออเจ้ากระมัง”
“โธ่เอ๊ยคุณพี่ คุณพี่ต้องบอกว่าข้าไม่บ้าสิเจ้าคะ”
“ออเจ้าเคยบอกข้าเองว่าผู้ใดจักว่ายังไรก็ช่างเขา เรารู้ตัวของเรา ข้าเองคิดตามออเจ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้าออเจ้าบ้า ข้าก็ขอเป็นบ้าด้วย”
เกศสุรางค์หันมามอง หน้าที่ใกล้กันขนาดนั้น สายตาเข้าใจลึกซึ้งต่อกัน
เกศสุรางค์หันกลับมา มองตรงไปข้างหน้า แต่กายนั้นเอนอิงพิงอกอบอุ่นนั้นอย่างเห็นชัดในกิริยา
ขุนศรีวิสารวาจาตระกองกอด สูดกลิ่นหอมของเส้นผม ลดลงมาใกล้ใบหูและอิงใบหน้าอยู่ตรงนั้นนิ่งนาน
ม้าเดินไปสู่พระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำเป็นดวงโตอยู่ข้างหน้า เห็นเป็นเงาดำของสองคนที่อิงแอบแนบกัน

เช้ารุ่งขึ้น พระอาทิตย์ขึ้น
ในเรือนพัก เมืองละโว้
คุณหญิงจำปาเรียกหาแต่เช้า “นังปริก”
“เจ้าคะ”
“วันนี้เขาไปเที่ยววังละโว้กัน เอ็งอยากไปกะเขามากนักรึถึงมานั่งหน้างออยู่
เช่นนี้”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่สวยไม่งามอะไรหรอกสู้อยุธยาไม่ได้ เอ็งก็เห็นหมดแล้วนี่ที่อยุธยา”
“ก็แม่นายท่านใจดีให้ไปทุกคนยกเว้นข้า ทำไมล่ะเจ้าคะ”
“เว้นเจ้าอยู่คนเดียวที่ไหนล่ะ”
“คนเดียวเจ้าค่ะ... แม่นายเว้นใครอีกหรือเจ้าคะ”
“ก็ข้ายังไง”

กำแพงพระราชวัง เป็นอิฐถือปูน มีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพง
ทุกคนเดินเลียบกำแพง
“ตัวพระราชวังมีสามชั้น ที่เราเห็นยอดแหลมทรงมณฑปอยู่นั่นเป็นชั้นนอก พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญ์มหาปราสาท เป็นท้องพระโรง มีสีหบัญชรเสด็จออกรับแขกบ้านแขกเมือง”
ทั้งหมดเดินเลียบกำแพงไป
“พระราชฐานชั้นกลาง พระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นที่ว่าราชการงานเมือง ต่อไปโน่น...ไกลๆ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ เป็นที่ประทับของฝ่ายใน”
“อยากเห็นตึกพระเจ้าเหาค่ะ” เกศสุรางค์บอก

ทุกคนยืนจ้องตึกพระเจ้าเหา เห็นเป็นเงาทาบท้องฟ้าที่ใกล้ค่ำเต็มที่
“ตึกพระเจ้าเหาสร้างแบบฝรั่งเต็มที่ ใช้ต้อนรับแขกเมือง ส่วนใหญ่เป็นคนต่างประเทศ”
เกศสุรางค์มองอย่างประทับใจ

เกศสุรางค์บอก
“ขอแวะบ้านพระฤทธิกำแหงนะคะ ข้าจะไปลาแม่มะลิ”
ออกพระฤทธิกำแหงเดินอย่างองอาจออกมาพอดี บ่าวชายเดินตาม 2 คน
“ขุนศรีวิสารวาจา แม่หญิงการะเกด” ฟอลคอนทัก
สองคนยกมือไหว้ พระฤทธิกำแหงรับไหว้ครึ่งๆอก
“จักมาหาตองกีมาร์ฤๅ”
“ใช่แล้วท่านออกพระ ท่านกำลังออกไปข้างนอกใช่มั้ย” เกศสุรางค์ถาม
“ใช่ ข้ากำลังจะไปดูการสร้างป้อมปราการ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปหาแม่ตองกีมาร์นะ” เกศสุรางค์ทำท่าจะเดินไป
“เดี๋ยวก่อน” ฟอลคอนเหลือบมองขุนศรีวิสารวาจา “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าการที่ข้าจักไปทำนั้น
ไม่สำคัญเท่าไหร่ หากเจ้าจักไปหาตองกีมาร์ก็ตามข้ามาเถิด”
เกศสุรางค์จ้องหน้าออกพระฤทธิกำแหง
“เชิญ...” ฟอลคอนผายมือแล้วเดินนำไป
เกศสุรางค์หันมากระซิบกับขุนศรีวิสารวาจา “ฝรั่งกลับลำ”
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเคร่งขรึม ค่อนข้างบึ้ง
“คุณพี่” ฟอลคอนยิ้มให้ สายตาปลอบใจ

ขุนศรีวิสารวาจายิ้มนิดหน่อยพอรับอารมณ์แล้วเดินตามไป

ออกพระฤทธิกำแหงเดินมายืนนิ่ง สายตาเข้ม เมื่อเห็นตองกีมาร์เดินออกมา มีบ่าวหญิงตามมาด้วย

ตองกีมาร์อุ้มยอร์ชมาด้วย ยิ้มทักทายเกศสุรางค์
เกศสุรางค์เข้ามาเย้าหยอกยอร์ชนิดหน่อย ตองกีมาร์ส่งยอร์ชให้บ่าวไป หันมาไหว้ขุนศรีวิสารวาจา
ขุนศรีวิสารวาจารับไหว้
สายตาตองกีมาร์มองขุนศรีวิสารวาจายังมีใจให้
ขุนศรีวิสารวาจาสายตาอึดอัด ไม่มองหน้าตองกีมาร์ตรงๆ ถอยไปยืนด้านหลัง
ออกพระฤทธิกำแหงขบกรามกลั้นความรู้สึกไว้เต็มที่
"ข้ามาลากลับอยุธยา"
"กลับเร็วจริงแม่การะเกด"
"ทูตฝรั่งเศสเตรียมการกลับฝรั่งเศสในเร็ววัน ข้ากับคู่หมั้น" เกศสุรางค์เน้นคำนิดหน่อยเพื่อบอกกล่าวกับออกพระฤทธิกำแหงด้วย "ต้องรีบกลับไปตระเตรียมข้าวของ"
ตองกีมาร์มองขุนศรีวิสาวาจาแวบหนึ่ง
"ไปดีมาดีเถอะนะแม่การะเกด หากมาละโว้อีกเมื่อใดก็อย่าลืมมาหาข้า"
"ไม่ลืมแน่นอน ไปนะ"
"ข้าลาแม่ตองกีมาร์"
ตองกีมาร์ไหว้
"เป็นพระคุณอย่างยิ่งที่พาแม่การะเกดมาเยี่ยมข้า ข้า...คิดถึง...นางอยู่เสมอ" หางเสียงตองกีมาร์คำพูดมีนัยยะเล็กๆ มองหน้าขุนศรีวิสารวาจา
ออกพระฤทธิกำแหงเห็นทันที ขุ่นมัวมากขึ้น
ขุนศรีวิสารวาจารับไหว้ "ไม่เป็นไร เป็นโอกาสดีที่เจ้าทั้งสองได้พบกัน"
ขุนศรีวิสารวาจาก้มหัวให้นิดหน่อย
เกศสุรางค์ดึงมือขุนศรีวิสารวาจาออกไปอย่างเร็ว
ขุนศรีวิสารวาจาดึงกลับ หันไปไหว้ลาออกพระฤทธิกำแหง เกศสุรางค์จึงไหว้ด้วย
สองคนเดินออกมา บ่าวตามหลังเป็นพรวน
ขุนศรีวิสารวาจากระซิบดุ "จักให้จากโดยไม่ร่ำลาเจ้าของบ้าน เสียกิริยาจริงเชียว"
"ก็เขามองตาเขียวปั้ดอยู่ไม่เห็นหรือเจ้าคะ อย่างกับมีไฟลุกพร้อมปล่อยแสงฟาดฟันเราเสียให้ได้"
ขุนศรีวิสารวาจางงกับคำพูด
"งงหรือคะ" เกศสุรางค์หันไปมองบ่าว "เอ้า งงกันใหญ่ มันมาจากละครโบราณตอน
เช้าๆไง" เกศสุรางค์ยิ้มชอบใจที่อำได้ "ฮ่ะ...ฮ่ะ ไม่รู้กันซักคน"
"มัวแต่พูดเล่นมิเป็นเรื่อง"
"อ้าว...ฮึ" เกศสุรางค์เมินไป แล้วนึกขึ้นได้หันมาพูด "หวังแต่ว่า เราออกมาแล้ว พระฤทธิกำแหงไม่ไปออกฤทธิ์กับแม่มะลินะ"

ในบ้านฟอลคอน ตอนเย็น ต่อเนื่องมา
ตองกีมาร์เดินเข้า ออกพระฤทธิกำแหงตามหลัง โบกมือให้บ่าวไปให้หมด
ตองกีมาร์ไปหยุดยืนหันหลังให้นิ่งๆเหมือนกำลังคิดอะไร เห็นด้านหลังก็รู้ว่ากิริยาเศร้าสร้อย
ออกพระฤทธิกำแหงตบโต๊ะปังใหญ่ พาให้นางสะดุ้งสุดตัว แต่ไม่หันมา
ฤทธิกำแหงเค้นถาม "จนบัดนี้แล้วยังอาลัยอาวรณ์อยู่อีกฤๅ ตองกีมาร์"
ตองกีมาร์ขมวดคิ้ว หันกลับมา "ท่านกล่าวกระไร"
"ขุนศรีวิสารวาจานั่นก็กระไร เอาสหายเจ้ามาบังหน้า คงอยากมาดูว่าชู้รักเก่าสุขสบายดีฤๅไม่"
"ท่านกล่าวอย่างนี้ หากผู้อื่นได้ยินจักว่าอย่างไร จักมิคิดว่าขุนศรีวิสารวาจากระทำผิดแลคิดว่าข้าเป็นหญิงแพศยากระนั้นหรือ อย่าได้นึกว่าตัวเองเป็นสิ่งใดแล้วผู้อื่นจักเป็นอย่างท่าน"
"เจ้าไม่เคยโต้เถียงข้าขนาดนี้ บัดนี้กล้าเถียงให้ข้าได้ยินเพียงเพราะกล่าวกระทบถึงขุนศรีวิสารวาจากระนั้นฤๅ"
ออกพระฤทธิกำแหงปราดเข้ามาใกล้ มือใหญ่เงื้อง้างคล้ายจะออกกำลังตบตี หากนางตองกีมาร์กลับเชิดหน้ามองด้วยความเจ็บช้ำ ดวงตานั้นแดงก่ำจนคนที่คิดใช้กำลังต้องเงื้อค้าง ทำเพียงลดมือลงแล้วสะบัดหน้าเดินจากไป

ตองกีมาร์ทรุดตัวนั่ง ปิดหน้ากลั้นสะอื้น

ทางกลุ่มเกศสุรางค์ทั้งหมดเดินกันมา

"เรื่องของผัวเมีย ออเจ้าอย่ากังวลใจไปเลย"
เกศสุรางค์พยักหน้า "เป็นเรื่องปกติใช่มั้ยคะ"
"ปกติยังไร"
"ที่ผัวจะลงมือลงไม้กับเมีย"
"เป็นเช่นนั้นสิ เหตุใดจึงมิได้"
"ไม่ได้สิคะ ผัวกับเมียเป็นคนเหมือนกันนะคะ"
"ออเจ้าพูดจาแปลกประหลาดอีกแล้ว ผู้ใดว่ามิใช่คนเล่า"
"คนเท่ากัน"
"เท่ากันได้อย่างไร ผู้หญิงต้องอยู่ในอารักขาผู้ชาย ผู้ชายคุ้มครองคุ้มหัวผู้หญิง จักว่าเท่ากันได้อย่างไร"
"คุ้มหัวหรือคะ"
"ใช่ คุ้มหัว"
"รับไม่ได้"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าซื่อมาก "รับอะไรฤๅ"
"เฮ้อ...หากผัวข้ามาตบตีข้า ไม่ข้าก็ผัวต้องตายไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน"
ว่าที่ผัวยืนกะพริบตาปริบๆ หน้าตาไม่เชื่อหูตัวเอง
จ้อย ผิน แย้ม จวง และจิก หน้าเหวอไปตามๆกัน
เกศสุรางค์สำทับเสียงเข้ม "จริง"
"เรียบร้อยเป็นฤๅไม่ วาจาช่างระคายหูนัก หากออเจ้าดื้อดึงจักมิให้ลงไม้ลงมือบ้างดอกฤๅ อย่างน้อยก็ต้องจับตีสักทีสองทีให้หายดื้อ แลต้องขังไว้แต่ในเรือนมิให้ไปเที่ยวที่ใดสักพักถึงจักดี"
"จักดีไปคนเดียวเถิดเจ้าค่ะ" เกศสุรางค์สะบัดหน้าไปทันที
ขุนศรีวิสารวาจาหัวเราะหึ...หึ เดินอมยิ้มตามไป
ผิน แย้มหันมาหัวเราะชอบใจ จ้อยก็ยิ้มแย้มด้วย
จวงทำหน้าอมๆไม่อยากยิ้ม
จิกบอก"น้าจวง...จะยิ้มก็ยิ้มเถิด อมไว้ทำไม"
"เอ็งอย่าบอกแม่ปริกแล้วกันว่าข้ายิ้มหัวกับแม่หญิงการะเกด"
"ทำไมถึงยิ้มไม่ได้"
"ไม่ได้"
แย้มถาม "ทำไมล่ะวะ"
"โอ๊ย จะถามทำไมวะ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิวะ" จวงเดินไปทันที
"ทำไมหรือนังจิก" ผินถาม
"น้าจวงเขายังไม่พูด ข้าจะพูดได้อย่างไรกัน" จิกเดินไป
"ทำไมไอ้จ้อย"
"จะอยากรู้ไปทำไมว้าแม่ผิน ก็แม่ปริกเขาห้ามไว้น่ะซี้"
"ข้านึกแล้ว"
"ข้าก็นึกแล้วเหมือนกัน" แย้มว่า
"รู้แล้วเซ้าซี้ถามทำไม๊" จ้อยเดินไป
ผินกับแย้มเหวอทั้งคู่ เห็นทุกคนเดินกลับไปเป็นพรวน

เช้าวันรุ่งขึ้น ปริก จ้อย จวง จิก ผิน แย้มขนของเดินขึ้นเรือนออกญาโหราธิบดี แล้วแยกย้ายเข้าห้อง
โหราธิบดีถาม "มากันแล้วรึแม่จำปา"
"เจ้าค่ะ เรือมาตามน้ำเร็วดีเจ้าค่ะ" คุณหญิงเดินเลยไปเข้าหอนอนตัวเอง "คุณพี่หิวหรือ
ยังเจ้าคะ ข้าจะขอผลัดผ้าผลัดผ่อนสักครู่เจ้าค่ะ"
"ข้ายังไม่หิว แม่จำปาไม่ต้องรีบร้อน"
คุณหญิงจำปาเดินไปห้อง
"เสียดายคุณลุงไม่ไปด้วย...สนุ๊ก...สนุกเจ้าค่ะ" เกศศุรางค์ว่า
"อย่างนั้นหรือแม่การะเกด ลุงดีใจนะที่ออเจ้าอยู่... ที่นี่...ได้อย่างเป็นสุข"
เกศสุรางค์จ้องนัยน์ตา...รับอารมณ์เมตตา
"ใช่หรือไม่"
"เจ้าค่ะคุณลุง"เกศสุรางค์น้ำตาซึมมองออกญาโหราธิบดี
ออกญาโหราธิบดีค่อยๆยื่นมือมา แล้วตบหัวเบาๆ
"อีกไม่กี่วันพี่เจ้าเขาจะเดินทางไกล ออเจ้ามิต้องพะวงนะแม่การะเกด อยู่กับลุงรอคอยจนกว่าพี่เขาจะกลับมา ลุงจะจัดงานตบแต่งให้"
เกศสุรางค์น้ำตาร่วงทันที
มุมหนึ่งในห้อง ขุนศรีวิสารวาจายืนจ้องมองอยู่
"ร้องไห้ทำไมฤๅ เสียใจอันใด" ออกญาโหราธิบดีถาม
"ไม่ได้เสียใจอันใดเจ้าค่ะ...ดีใจเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีหัวเราะชอบใจ
ขุนศรีวิสารวาจามองประทับใจมาก

เช้ารุ่งขึ้น ในห้อง ผิน แย้มจัดข้าวของเสื้อผ้า
"ข้ารักคุณลุง...คุณลุงใจดีนะพี่ผิน พี่แย้ม"
ผิน/แย้มรับคำ "เจ้าค่ะ"
"แม้ยามที่แม่นายของบ่าว...เอ่อ..." ผินพูดแล้วหยุด
"เป็นคนไม่ดี" เกศสุรางค์ต่อ
ผิน แย้มตอบพร้อมกัน “เจ้าค่ะ” อย่างเร็ว
"พี่ผินจะพูดว่าคุณลุงก็ยังเมตตาข้าใช่มั้ย"
ผิน/แย้ม "เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เสียงนุ่ม รำพึงเบาๆ "ข้ารู้...คนที่มีเมตตา แม้แต่กับคนร้ายกาจที่สุดเขาก็ยัง
เมตตา เป็นโชคดีของข้ายิ่งนักที่ได้มาพึ่งใบบุญคุณลุง"
ผิน/แย้ม "เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เปลี่ยนอิริยาบถลุกขึ้น "ไปเอาเสื้อมาเย็บต่อ นุ่นจะพอมั้ยเนี่ย"

เกศสุรางค์เย็บเสื้อ เอานุ่นที่กองในกระชุมาบุข้างในเสื้อ เป็นเสื้อกั๊ก ผ้าอาจใช้เป็นผ้าเนื้อนุ่มๆ สีเข้มๆ

ดึกแล้ว แสงวอมแวมจากตะเกียงให้ความสว่าง แต่เกศสุรางค์ยังเย็บเสื้ออยู่

เช้าวันรุ่งขึ้น ผินคุกเข่าพูดกับขุนศรีวิสารวาจาที่กำลังทำงาน
"แม่นายการะเกดให้ออกขุนท่านเข้าไปหาในห้องเจ้าค่ะ"
"หา...ในห้อง"
"เจ้าค่ะ แม่นายให้บอกออกขุนท่านว่าไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ ไม่น่าเกลียด"
"เออ...ไม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ใช่แม่นายของเอ็งน่ะสิ"
"จริงเจ้าค่ะ แม่นายของแท้ต้องพูดแบบนี้แหละเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจามองผินเหล่ๆ ผินยิ้มปากกว้างน่าขำ ขุนศรีวิสารวาจาอ่อนใจ แต่ก็ลุกไป

ขุนศรีวิสารวาจาลองเสื้อที่ยังไม่เสร็จดี เกศสุรางค์จับตรงโน้นตรงนี้ให้พอดี
ขุนศรีวิสารวาจามองหน้าเกศสุรางค์ตลอดเวลา
"เสื้ออะไรของออเจ้า"
"เขาเรียกเสื้อกั๊กค่ะ"
"ข้าจะใส่ที่ใดเล่า"
"ใส่ข้างในให้อุ่นๆสิเจ้าคะ"
"ใส่ข้างนอกมิได้ฤๅ"
"ใส่ข้างในดีกว่าค่ะ จะได้กั๊กคุณพี่ไว้ไงเจ้าคะ"
"กั๊กข้า"
"อ๋อ กั๊กไว้ไม่ให้ไปหาคนอื่นสิเจ้าคะ"
"คนอื่น...ใครกันฤๅเจ้า"
"คนที่อยู่ใกล้ๆคุณพี่ที่เมืองโน้นเจ้าค่ะ" เกศสุรางค์ตอบเรียบร้อยหน้าซื่อยิ่งนัก
"คนที่อยู่ใกล้ฤๅ" ขุนศรีวิสารวาจารู้ความนัย "ข้ามองไม่เห็น ข้าจักเห็นคนที่อยู่ไกล" แล้วมองตรงไปข้างหน้า
เกศสุรางค์ตอบไม่ถูก ได้แต่อึ้ง แต่สายตานั้นซึ้งมาก
สองคนมองไปคนละทาง
มือเกศสุรางค์ยังอยู่ที่กระดุมเสื้อตัวบนสุด ใกล้หัวใจ
ขุนศรีวิสารวาจาเลื่อนมือมากุมมือเกศสุรางค์ ดึงไปที่หัวใจ แม้จะไม่มองหน้ากันเลย
ผิน แย้มก้มลงมองพื้น แต่ลอบสบตากัน

เช้าอีกวันหนึ่ง เกศสุรางค์ถือเสื้อที่เสร็จแล้วชูขึ้นให้ขุนศรีวิสารวาจาดู
คุณหญิงจำปาถึงกับเดินมาดู จับไปจับมาอย่างทึ่ง เรียกปริก ปริกทำเมิน จำปาเรียกซ้ำถึงมาได้
บ่าวทุกคนจ้องมอง นั่งอยู่ไกลๆ
ในที่สุดเกศสุรางค์เอามาให้สวม ติดกระดุมให้เสร็จ
"ออเจ้ารู้หรือไม่ว่าไปเมืองฝรั่งเศสครานี้ท่านอาจารย์ไปด้วย"
"หรือคะ...ดีนะคะ เผื่อมีเรื่องที่ต้องให้อาจารย์ช่วยปัดเป่าภัยที่มองไม่เห็น"
"ออเจ้านี่เป็นผู้ที่รู้คิดยิ่งนัก"
เกศสุรางค์ขยิบตา "อยู่แล้ว"
ขุนศรีวิสารวาจาเมินไม่สน
"ท่านอาจารย์บอกข้าว่าวันพรุ่งให้ออเจ้าไปหา"

วันรุ่งขึ้น เกศสุรางค์นั่งตรงหน้าชีปะขาว จ้องหน้าอาจารย์เขม็ง
"เป็นอะไรฤามานั่งจ้องหน้าข้า"
"ท่านอาจารย์เรียกหาข้า"
"อุวะ เอ็งไม่คิดจักมาปะหน้าข้าบ้างฤๅ"
"อ้าว...แต่คุณพี่บอกว่าให้ข้าจักช่วยออกความคิดได้นี่เจ้าคะ เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ"
"กะเดี๋ยวเอ็งก็รู้ จักร้อนใจไปใย"
"แล้วนี่ต้องรอกระไรเจ้าคะ"
"รอคน ลูกศิษย์ข้ามากมายนัก อีกไม่กี่วันข้าต้องไปฝรั่งเศสกับขุนปานแลอ้ายเดช ไปนานนักจักต้องเตรียมให้พร้อมสั่งความกันให้มั่นเหมาะ ออเจ้าไปนั่งฟากโน้นเถิดหนา เป็นหญิงเพียงผู้เดียวมานั่งประจันหน้าข้ามิงาม"
"มิงาม อะไรๆก็มิงาม เฮ้อ... " เกศสุรางค์บ่นพึมพำแต่ก็คลานไปนั่งตรงที่นั้นโดยดี "คอยอีกนานมั้ยเจ้าคะ"

บริเวณม่านอาคมดูลึกลับ น่ากลัว
คนติดตาม 3-4 คนเป็นคนหนุ่ม องอาจ ทำนองเดียวกับหลวงสรศักดิ์
คนหมู่นี้เดินเข้าถึงหน้าม่านอาคมก็หยุดยืนทั้งหมด
พระเพทราชายืนนิ่ง นัยน์ตาคมกล้า หลวงสรศักดิ์ยืนด้านหลัง และคนอื่นๆด้วย
สักครู่พระเพทราชา ซึ่งตอนนี้เป็นตำแหน่ง “ออกพระ” เจ้ากรมคชบาล คือกรมที่ดูแลช้างทั้งหมด ออกเดินผ่านม่านอาคม ทุกคนเดินตาม

บ้านชีปะขาว
ทุกคนนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ดูขรึมขลังและศักดิ์สิทธิ์
เกศสุรางค์นั่งก้มหน้านิดๆ แต่ลอบชำเลืองดูทุกคนตามที่อาจารย์เรียกทีละคน
"ออกพระเพทราชา"
"ขอรับ"
"ออกหลวงสรศักดิ์"
"ขอรับ"
"ออกขุนศรีวิสารวาจา ออกขุนเรืองอภัยภักดี และพวกเจ้าทั้งหลาย"
ทุกคนพนมมือรับคำ
"อีกไม่กี่วันข้าจักต้องขึ้นสำเภาไปเมืองฝรั่ง ไปครั้งนี้เป็นเวลานานมาก ทางนี้พวกเจ้าทั้งหมดจงเกณฑ์คนมาฝึกซ้อมอาวุธให้สันทัดอยู่เสมอ"
ทุกคนรับฟัง
"อีกทั้งต้องยึดมั่นในธรรมคาถาดังเดิมอย่าให้ขาดตกบกพร่อง" เกศสุรางค์กวาดสายตา
มองหน้าทุกคน "เพ-ลานี้แม้บ้านเมืองสงบ หากภายภาคหน้าเป็นอย่างไรก็ยากจักคาดเดา"
"เวลานี้บ้านเมืองเต็มไปด้วยฝรั่งมากมายเข้ามาในพระนคร ข้ากำลังจับตาแลเพราะมันจักมาฮุบเอาเมืองเสียเมื่อใดก็มิรู้ได้"
"คนที่น่าหวั่นใจคือพระปีย์พระโอรสกับเจ้าฟ้าอภัยทศพระอนุชาขอรับท่าน" หลวงสรศักดิ์ว่า
"เพราะทั้งสองคนหวังในราชบัลลังก์ จึงหันเหไปเข้ากับอ้ายฝรั่งออกพระฤทธิกำแหง"
"นั่นคืองานของพวกออเจ้า... " ชีปะขาวหันมาทางเกศสุรางค์ "และของออเจ้าด้วยแม่หญิงการะเกด"
เกศสุรางค์หันมาทางอาจารย์ หน้าตาสงสัย
"นางเป็นลูกศิษย์ที่เป็นแม่หญิงคนเดียวของข้า ข้ารับนางข้าต้องมีเหตุผลเพียงพอ ข้าไม่อยู่ ขุนศรีวิสารไม่อยู่ นางจักมีความกระจ่างบางประการให้แก่พวกออเจ้า"
ทุกคนมองเกศสุรางค์ตามอารมณ์

ส่วนขุนศรีวิสารวาจานั้น สายตารักใคร่ลึกซึ้งยิ่งนัก
 
อ่านต่อตอนที่ 22

#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร

เกร็ดน่ารู้จากละคร



พระปีย์ : (ข้อมูลจาก "ฟอลคอน Phaulkon" , เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , สำนักพิมพ์ศยาม, หน้า ๓๐๔)

"เห็นจะเป็นพระหม่อมปีย์ซึ่งกล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารว่า เป็นบุตรขุนไกรสิทธิศักดิ์ ทรงพระกรุณาเอามาเลี้ยงไว้ ในหนังสือ อังกฤษกับไทย ของหมอแอนเดอสัน (English intercourse with Siam in the seventeenth Century by John Anderson, M.D. ค.ศ. ๑๘๓๓ - ๑๙๐๐ ) กล่าวว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีพระราชบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง เป็นคนนับถือศาสนาคริสตัง เห็นจะเป็นคนเดียวกับคนนี้กระมัง
ออกขุนไกรสิทธิศักดิ์เป็นชาวบ้านแก่ง เมืองละโว้ ส่วนพระปีย์นั้น บ้างว่าเป็นโอรสที่แท้จริง มีลักษณะท่าทางเตี้ยค่อมพิกลพิการ จึงถูกสมเด็จพระนารายณ์ตรัสเรียก "ไอ้เตี้ย" เสมอ เพราะเป็นคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจนถึงขนาดจะให้เข้าพระราชพิธีเสกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดี กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดา แต่ถูกพระราชธิดาทรงปฏิเสธเข้าพระราชพิธีนี้ นอกจากนี้ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงแสดงให้เห็นว่า จะมอบราชสมบัติให้ แต่ติดว่า เกิดในตระกูลต่ำ ไม่เป็นที่ยอมรับของเหล่าขุนนางและราษฎร จึงทำให้ไม่สามารถจะมอบราชสมบัติได้ และถูกสมเด็จพระเพทราชาสั่งประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ ในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ แต่ก่อนจะทุบด้วยท่อนจันทน์ สมเด็จพระนารายณ์ถึงกับหลั่งพระเนตร ไม่ให้ประหารชีวิตพระปีย์ และถึงกับเอ่ยพระโอษฐ์กับพระเพทราชาว่า "อยากได้อะไรก็เอาไป แต่ขอให้ไว้ชีวิตแก่พระปีย์สักครั้ง" แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะถูกหลวงสรศักดิ์สั่งให้ขุนพิพิธ รักษาชาวที่ผลักพระปีย์ตกลงไปจากกำแพงแก้ว พร้อมร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า "ทูลกระหม่อมแก้วช่วยด้วย" อนึ่งพระปีย์ก็ยังรับสนองนโยบายเปิดประเทศสู่ตะวันตก มีความสนิทสนมกับเชอวาลิเยร์ เดอ ฟอร์บังเป็นอันมาก เนื่องจากฟอร์บังเคยทูลพระราชทานอภัยโทษให้ และยังทำงานเสมือนพระหัตถ์ซ้าย-ขวาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับคอนสแตนติน ฟอลคอน ด้วย"


กำลังโหลดความคิดเห็น