xs
xsm
sm
md
lg

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 18 : หัวอก แม่สื่อ การะเกด !

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 18

บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา

ท่าน้ำเรือนออกญาโหราธิบดี เย็นต่อเนื่อง

เกศสุรางค์ยืนหน้าครุ่นคิด ตามองทอดไปตามสายน้ำ ไม่สบายใจเลยเมื่อคิดถึงการะเกด เสียงการะเกดร้องไห้ยังดังก้องอยู่ในหู
"ข้าจะไม่ทำให้ออเจ้าเสียใจ"
เกศสุรางค์หน้าหมองมากเพราะหมายถึงการต้องตัดใจจากขุนศรีวิสารวาจา
เกศสุรางค์ท่าทางโศกสลดมาก ก้มหน้าต่ำ

ผินกับแย้มเดินมาตามทางจะมาท่าน้ำ มาอย่างรวดเร็ว เดินไปพูดไป
"นังแย้ม แม่นายเป็นอะไรโศกเศร้าปานฉะนั้น" ผินว่า
"ถ้าข้ารู้มีรึเอ็งจะไม่รู้"
"เอ็งไม่รู้งั้นฤๅ"
"ก็ใช่สิวะข้ารู้เท่าๆเอ็งนั่นแหละ"
"รู้ว่ายังไร"
"ว่าแม่นายโศกเศร้า" แย้มชะงักกึก
ขุนศรีวิสารวาจายืนขวางทางอยู่ สองบ่าวตัวลงไปกองกับพื้น
"กลับไป"
ผิน/แย้ม "เจ้าคะ"
"เอ็งได้ยินกันแล้วข้าไม่พูดย้ำ"
ผิน/แย้ม "เจ้าค่ะ"
บ่าวทั้งสองหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว
เกศสุรางค์ ยังคงก้มหน้าต่ำ
"แม่การะเกด"
เกศสุรางค์ได้ยินเสียงขุนศรีวิสารวาจา แต่ไม่เงยหน้า
"ฤๅจะให้เรียกเป็นชื่อใด"
เกศสุรางค์เงยหน้าถอนใจใหญ่ ไม่รู้จะตอบยังไง
"มานั่งตรงนี้คิดถึงผู้ใด"
เกศสุรางค์เงยหน้าขวับ
"ขุนเรืองงั้นฤๅ"
เกศสุรางค์มองจ้องขุนศรีวิสารวาจานิ่งอยู่
"ว่ายังไรฤๅ ออเจ้ามองหน้าข้าทำไม จักพูดไรก็พูดมา"
"คุณพี่ถามอะไรข้านะคะ"
"ถามว่าคิดถึงขุนเรืองใช่หรือไม่...ตอบยากตอบเย็นนักรึ"
"ใช่ค่ะ"
"ตอบยากก็ไม่ต้องตอบ" ขุนศรีวิสารวาจาหันหลังจะไป
"ข้าคิดถึงขุนเรือง"
ขุนศรีวิสารวาจาหยุดกึก ยืนหันหลังให้ สีหน้าอึดสักครู่ก็เดินไป
เกศสุรางค์กลุ้มใจเหลือเกิน "เฮ้อ ไอ้เรืองใช่แกรึเปล่าวะ"

ขุนเรืองอภัยภักดีเดินเข้าบ้านออกญาโกษาธิบดี ชะงัก มองไปชานบ้านแล้วหยุดแอบหลังเสา

ตำรวจวังขนของ ทั้งตู้ ตั่ง หีบต่างๆ คันฉ่อง โต๊ะแต่งตัว
มองไปอีกทาง บ่าวนั่งเรียงรายหน้าหมองๆจ้องดูการขนย้าย
นิ่มเสียงสั่น สะอื้น
"ข้าถูกริบราชบาตรตามธรรมเนียม เขาจะขนของไปหมดบ้าน ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายข้าต้องคืนให้ขุนหลวง"
จันทร์วาดพูดต่อ
"คุณแม่ท่านจึงมิอาจเลี้ยงดูพวกเจ้าต่อไปได้ พวกเจ้าเป็นไทแก่ตัวทุกคนมิต้องมาไถ่
ถอนอันใด เงินก้นถุงที่ให้พวกเจ้าไปเพื่อทำมาหากินตั้งตัวใหม่ ขอให้มีสุขทุกคน"
บ่าวทุกคนก้มลงกราบ
ทั้งนิ่มและจันทร์วาด อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงสวมใส่ซิ่น สไบสีอ่อน นวล เทา มิได้ใช้สีดำอย่างในยุคปัจจุบัน

บุญกับเหมือนนั่งอยู่ไกลๆ เฝ้าจันทร์วาด
จันทร์วาดคุยกับขุนเรืองอภัยภักดี
"แม่หญิง ข้าเห็นแม่หญิงเข้มแข็งยิ่งนัก ข้าชื่นชมแม่หญิงอย่างยิ่งที่ผ่านทุกข์ผ่านโศกครั้งนี้มาได้"
"เป็นพระคุณยิ่งค่ะขุนเรือง"
"ข้าปรารถนาจะช่วยเหลือแม่หญิง ลำบากสิ่งใดบอกข้าเถิด"
จันทร์วาดน้ำตาฉ่ำตาทั้งสอง มองขุนเรืองอภัยภักดีอย่างซาบซึ้ง
ขุนเรืองอภัยภักดีสงสารเหลือเกิน

จันทร์วาดเดินมาส่งขุนเรืองอภัยภักดี
"ข้าจะแวะมาหาแม่หญิงบ้างจะรังเกียจหรือไม่"
จันทร์วาดตื้นตันใจ กลั้นน้ำตา
"ข้ามิอาจทำให้ท่านลำบาก ด้วยข้านั้นเป็นบุตรของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนคดโกง"
"ท่านบิดาของแม่หญิงเป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินนี้ ทั้งในด้านการศึกและในราชการการค้าขาย ข้ามิอาจเชื่อได้ว่าท่านคดโกง หากแต่เป็นเหตุที่ท่านไว้ใจคนผิด"
"หากท่านคิดว่าเป็นเพราะออกพระฤทธิกำแหง ข้าขอบอกว่าไม่ใช่ ออกพระท่านเป็นคนดีมากเจ้าค่ะ ความข้อนี้คุณพ่อท่านเป็นผู้กล่าวกับข้าค่ะ"
ขุนเรืองประหลาดใจมาก "ข้านึกว่าออกพระฤทธิกำแหงเป็นตัวการเพ็ดทูล"

"คุณพ่อท่านย่อมรู้ความดีไม่ดีของคนนะคะออกขุนท่าน ท่านชื่นชมและไว้ใจมิสสะเตอร์คองสตั๊งซ์เป็นอย่างมากค่ะ"

วันหนึ่ง ตองกีมาร์กำลังให้นมลูก

ออกพระฤทธิกำแหงเดินหน้าบึ้งที่สุดเข้ามาในห้อง
"มารี" ฟอลคอนเรียกเสียงดัง
ตองกีมาร์ตกใจสุดตัว ยอร์จ ลูกชาย อายุแค่เดือนเดียวก็เลยร้องไห้จ้า
"ท่านจะโกรธใครก็ได้แต่อย่ามาโกรธที่นี่ ลูกชายยอร์จกำลังหลับ เชิญท่านออกไป"
"ข้าเป็นเจ้าของตึกนี้"
ตองกีมาร์เสียงแข็ง "แต่ข้าเป็นเจ้าของห้องนี้"
ทั้งสองจ้องตากันอย่างดุเดือด ในที่สุดฟอลคอนก็สะบัดหน้าจะไป
"เหตุใดท่านจึงทำจนออกญาท่านถึงตาย"
ฟอลคอนสะดุ้งในใจ
"ถ้าแม้แต่เมียยังกล่าวหาข้าเช่นนี้ ต่อไปคนทั้งแผ่นดินมิตราหน้าข้าฤๅ"
"ท่านเหี้ยมโหดกว่าที่ข้าคิดแม้แต่ผู้มีบุญคุณต่อท่าน ให้งานท่าน ไว้ใจท่าน ส่งเสริมท่านทุกวิถีทาง ท่านยังทำลายจนถึงชีวิตได้ ต่อไปแม้เมียและลูกถ้าขัดขวางผลประโยชน์ ท่านคงฆ่าให้ตายเหมือนกันเพราะว่า..."
ฟอลคอนขัดเสียงดัง "หยุด หยุด...ข้ามิได้ทำอันใดเลยที่ทำให้ออกญาท่านถึงตาย"
"ไม่จริง"
"เชื่อข้า"
"ข้าไม่เชื่อ...ไม่จริง ไม่จริง เพราะข้ารู้ว่าไม่จริง"
ตองกีมาร์พูดขาดคำก็อุ้มยอร์จออกไป
ฟอลคอนตะโกนตามหลัง "ข้าไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำ"

ภายในคลังสินค้าอังกฤษ
ฟอลคอนนั่งกับไวท์ เบอร์นาบี ทั้งสามถูกสอบสวน
ผู้แทนบริษัทอินเดียตะวันออกในอังกฤษพูดใส่หน้าทั้ง 3 คน
ไวท์และเบอร์นาบีนั่งนิ่ง สายตากล้าแข็งแต่หลบมองพื้น
ฟอลคอนโต้แย้งว่าไม่จริง ด้วยสายตาที่ซื่อตรงจนทำให้ผู้แทนเชื่อ
"กระผมไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆทั้งสิ้นขอรับ"
ไวท์และเบอร์นาบีมองตกใจที่ฟอลคอนเอาตัวรอด
"กระผมสาบาน"
ผู้แทนตบโต๊ะเปรี้ยง
ทุกคนนิ่งงัน ก้มหน้า
"เรื่องนี้ต้องถึงคิง ผมขอเข้าเฝ้าคิง...มิสเตอร์ฟอลคอนจัดการให้ด้วย"

ห้องพระนารายณ์
ฟอลคอนกราบบังคมทูล
"ผู้แทนจากบริษัทการค้าของอังกฤษจะขอเข้าเฝ้าขุนหลวงพุทธเจ้าค่ะ"
"เรื่องอะไร"
"เรื่องมิเป็นเรื่องพุทธเจ้าค่ะ"
"อะไรบ้างวะ"
"โดยที่เรื่องมิเป็นเรื่องจึงไม่อยู่ในหัวข้าพุทธเจ้าเลยพุทธเจ้าค่ะ"
"เป็นอันว่าไม่ต้องเอามาใส่หัวข้าเหมือนกัน" พระนารายณ์หัวเราะนิดๆ

ต่อมา ผู้แทนอังกฤษโมโห...ฉุนเฉียว พูดไปตบโต๊ะไป
ฟอลคอนนั่งเฉยไม่รู้ไม่ชี้
ฝรั่งสองคนนั่งหน้าขุ่นมัวมองฟอลคอน
"ทำไม ?"
"ไม่ทรงอนุญาต...ไม่รู้ว่าทำไม"
ผู้แทนโกรธจัด เดินพรวดจะออก ก่อนลับตัวไปหันกลับมาชี้หน้า
"ผมจะทำเรื่องยุบบริษัท...คอยดู"
บรรดาคนทำงานที่เป็นคนไทยมุงกันเต็ม มองจ้องไปที่เดียวกัน
สายของขุนเรืองหันหลังกลับเดินออกมา

เรือนออกญาโหราธิบดีเช้าวันใหม่
จ้อยถือของจะขึ้นบันได สายของขุนเรืองที่แอบๆอยู่ข้างบันไดจับตัวจ้อย
จ้อยกระโดดแทบตกบันได "เฮ้ย..."
"พ่อจ้อย"
"โอย...อย่าทำอย่างนี้อีกจะบอกให้รู้ไว้ เพราะตีนข้าอาจจะขยับไปฟาดปากเจ้า"
สายที่ตัวใหญ่มากบอก"และปากเจ้าก็อาจฟาดตีนข้าเหมือนกัน"

จ้อยจ๋อยลงไปทันที "หาขุนเรืองรึ...เชิญ...เชิญ อยู่บนเรือน

บนเรือนออกญาโหราธิบดี จ้อยพาสายของขุนเรืองอภัยภักดีขึ้นมา

"มาแล้วขอรับ"
"ได้ความว่ายังไร" ขุนเรืองอภัยภักดีถาม
"ฝรั่งจากบริษัทโกรธจัดขอรับ เพราะขุนหลวงไม่ให้เข้าเฝ้า"
"เหตุใดมันต้องขอเข้าเฝ้าแค่ไฟไหม้คลังสินค้าของมัน"
"มันก็ต้องสงสัยว่ามิใช่ไหม้เองน่ะสิ จักไปทูลว่าถูกเผากระมัง"
ขุนศรีวิสารวาจาเสียงตรึกตรองว่า
"ขุนหลวงไม่ให้เข้าเฝ้า ผิดสังเกตนักเพราะเรื่องใดเกี่ยวกับการค้า ขุนหลวงใส่พระทัยทุกเรื่อง"
ขุนเรืองอภัยภักดีพูดเสียงปกติ
"เงินทั้งนั้นขุนหลวงจะมิเอาพระทัยใส่ได้อย่างไร"
หลวงสรศักดิ์บอก "จะมีอะไรก็ไอ้ก็องสตังซ์มันทูลห้ามน่ะสิ ทรงเชื่อมันเสียด้วย ชั่วจริง เลยไม่ทรงรู้ว่าไอ้พวกนี้โกงยังไร อย่างนี้พ่อข้าคงขุ่นใจหนัก ออกจากที่นี่ข้าจักไปบอกท่าน"
เกศสุรางค์นั่งแอบฟังอยู่

เรือนออกญาโหราธิบดี อีกมุม
เกศสุรางค์เสียงอ้อน "คุณลุงเจ้าขา"
จำปาหันมาเหล่ "อะไรอีกฤๅแม่การะเกด" แม้ว่าน้ำเสียงของคุณหญิงจะตวัดเสียงให้รู้ว่า รำคาญๆบ้าง แต่ไม่เกลียดนางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
"ข้าจะถามเป็นความรู้เจ้าค่ะคุณลุง"
"ความรู้ของออเจ้ามันมากมายอยู่แล้ว จะรู้เพิ่มไปถึงไหน"
"แหมคุณป้าเจ้าขา รู้สิ่งใดก็ไม่สู้รู้วิชานะเจ้าคะ"
คุณหญิงจำปาว่า "เจ้าบทเจ้ากลอนเสียด้วย ไปจำใครมารึอย่างเจ้าไม่คิดเองแน่"
"แน่เจ้าค่ะ"
"แน่ยังไร" น้ำเสียงคุณหญิงเอ็นดูแบบหมั่นไส้
"จำเขามาสิเจ้าคะ"
"นั่นปะไร" ปริกสอด
คุณหญิงจำปาเลยหันมาเหล่ปริก "ปริก..."
"ข้าเจ้าไม่พูดผิดนะเจ้าคะ"
"ผิดที่ผสมโรง" ออกญาโหราธิบดีบอก
"เจ้าค่ะ" ปริกจ๋อยตัวหดลง
"เอ้าแม่การะเกด มีอะไรถามลุง"
"ข้าอยากรู้เรื่องการค้าของอยุธยาเจ้าค่ะ"
"อะไรนะ...จะรู้ไปทำไม๊...กงการอะไรของผู้หญิงเรื่องของผู้ชายเขา" จำปาบอก
ออกญาโหราธิบดียกมือห้ามจำปา "อยากรู้อะไร"
"อยากรู้ว่าเราน่ะค้าขายกับหลายเมืองใช่มั้ยเจ้าคะ ขายอะไรมั่งเจ้าคะ"
"อยุธยานี่เป็นศูนย์กลางการค้าทีเดียวนะออเจ้าเห็นหรือไม่ ซื้อขายคึกคักเรือสินค้ามากมายเต็มแม่น้ำ"
"เจ้าค่ะ ขายอะไรมากที่สุดเจ้าคะ"
"หลายอย่างอยู่ หนังสัตว์เป็นที่หนึ่ง"
"หนังสัตว์มีมากหรือ เอามาจากไหนบ้างเจ้าคะ"
"อุ๊ย ถามอะไรยังงั้น ก็เอาจากในป่าน่ะสิ" จำปาว่า
"จริงด้วย ป่าคงมีมากมายไม่เหมือน..."
ทุกคนมองอย่างฉงน
"ไม่เหมือน..." ออกญาโหราธิบดีจ้องมองแบบค้นหาแน่วนิ่ง
เกศสุรางค์จ้องออกญาโหราธิบดี นัยน์ตาตอบรับความสงสัยนั้น ลึกๆแล้วสองพ่อลูกล้วนเชื่อว่า
เกศสุรางค์คงจะมาจากที่ใดที่หนึ่งแน่ !
คุณหญิงจำปาว่า
"ออเจ้าพูดจาแปลกประหลาดไม่หาย ปริก...เตรียมของไปวัดแล้วฤๅ"
"เจ้าค่ะ...แล้วเจ้าค่ะ"
"แม่การะเกดจะไปวัดกับป้าฤๅไม่ วันนี้ป้าจะไปเลี้ยงเพลที่วัดสวนหลวง"
เกศสุรางค์ยังคงมองออกญาโหราธิบดี "ไม่ไปเจ้าค่ะ"
จำปามองแปลกใจแต่ก็ลุกขึ้น ปริกลุกตาม
"ผิดแผกไปมากนะเจ้าคะ ทุกทีต้องร้องแรกแหกกะเฌอขอตามไปด้วย" ปริกว่า
"นั่นน่ะสิ"
เมื่อสองคนลับตัวไป
"ที่ที่เจ้ามาไม่มีป่าเลยยังงั้นฤๅ" ออกญาโหราธิบดีถาม
เกศสุรางค์นัยน์ตาหมองลง
"เคยมีเจ้าค่ะ แต่ถูกพวกคนเห็นแก่ตัวตัดทำลายจนเกือบหมดเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีฉายแววตาค้นหาความหมายที่เกศสุรางค์พูด
เกศสุรางค์ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
ออกญาโหราธิบดีเปลี่ยนเสียงไม่ให้ดูผิดปกติ
"ไม่เคยได้ยินว่าป่าเมืองสองแควถูกตัดทำลาย คนเราจะตัดทำลายป่าเพื่อสิ่งใด ในป่ามีทั้งต้นไม้มีทั้งสัตว์ป่า มีทั้งแม่น้ำลำธาร เหตุใด คนเมืองสองแควจะทำลายป่า"
เกศสุรางค์ก้มหน้านิ่ง รู้สึกใจหายคิดถึงบ้านอย่างมาก
"แม่การะเกด" ออกญาโหราธิบดีเรียกเสียงเบามีเมตตา
"เจ้าคะ"
"คิดถึงบ้านหรือลูก"
เกศสุรางค์น้ำตาหยดทันที ก้มหน้าร้องไห้อยู่ไปมา
"ถ้าคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วทำอะไรไม่ได้จะหมกมุ่นกับการนั้นเพื่อประโยชน์อะไร คิดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นสำคัญกว่านะออเจ้า"
"เจ้าค่ะคุณลุง" เกศสุรางค์กราบที่หัวเข่า
ออกญาโหราธิบดียั้งมือนิดหน่อย ก่อนจะลูบผมเบาๆ
"อยุธยาขายมากที่สุดก็หนังกวาง หนังวัวควาย หนังกระเบน"
เกศสุรางค์ตาโต"หนังปลากระเบนหรือเจ้าคะ"
"หนังปลากระเบนนี่แหละออเจ้า นอกนั้นขายไม้ฝาง ไม้กฤษณา ดีบุก งาช้างและยังขายช้างด้วย"

"ช้าง ! ช้างตัวเป็นๆหรือเจ้าคะ"

บนเรือนออกญาโหราธิบดีที่หนุ่มๆคุยกันอยู่ หันขวับมามองเกศสุรางค์ ต่างมีสายตาฉงนปนขำๆ

"นางตกใจกระไรเรื่องขายช้าง" ขุนเรืองอภัยภักดีว่า
หลวงสรศักดิ์พูดขำๆ
"นั่นน่ะสิ อยุธยาขายทั้งตัวช้างและงาช้าง ยังแต่มูลช้างเท่านั้นไม่ส่งออกไปขาย"
ขุนศรีวิสารวาจาหัวเราะนิดๆเช่นกัน
"ถ้าขายได้ ออกพระเพทราชาพ่อของออกหลวงท่านคงร่ำรวยมาก เพราะเป็นเจ้ากรมช้าง"
ขุนเรืองอภัยภักดีแซว "เว้นไว้แต่ขุนหลวงจะขายเสียเอง"
ทุกคนหัวเราะกันเสียงดังลั่น

ออกญาโหราธิบดีพยักหน้าหัวเราะชอบใจ
"คุณลุงเจ้าคะ ขุนหลวงขายสินค้า...เอาสินค้ามาจากไหนคะ"
"จากราษฎรทั้งปวง"
"ทำไมราษฎรไม่ขายเองล่ะคะคุณลุง"
"ตามกฎหมายราษฎรขายสินค้าให้ใครมิได้ ต้องมาขายให้พระคลังสินค้าของขุนหลวงเท่านั้น"
"อ๋อ แล้วขุนหลวงก็ขายให้พวกต่างชาติอีกที ซื้อถูกขายแพงแน่นอน...ใช่มั้ยเจ้าคะ คุณลุง"
"เป็นเช่นนั้นมิแปลกอันใด เพราะพระคลังสินค้ากำหนดราคาเอง"
"ทั้งราคาซื้อกับราคาขายหรือคะ"
"เป็นเช่นนั้น เพราะซื้อแลขายก็เจ้าเดียวกันคือพระคลังสินค้า"
เกศสุรางค์หลุดปาก "Monopoly...ผูกขาด"
"อะไรหรือออเจ้า"
"ข้าว่าขุนหลวงผูกขาดเจ้าค่ะ ผูกขาดสินค้าทุกอย่าง พระคลังสินค้ารวยคนเดียว"
"ราษฎรที่ขยันก็รวยเช่นกัน ลงแรงมากอุตสาหะมากกว่าคนอื่น ไปหาสินค้าจากป่าออกมาขายได้เงินมิต้องลงทุนอันใด ลงแต่แรง"
"เขาน่าจะขายได้แพงกว่าถ้าขายให้ฝรั่งโดยตรง"
ออกญาโหราธิบดีนิ่งไปสักครู่ นัยน์ตาตรึกตรอง
"ทุกอย่างที่อยู่ในอาณาเขตของแผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน"
เกศสุรางค์นิ่งไปหมดถ้อยคำที่จะเถียง

มุมคุณหญิงจำปาในเรือนออกญาโหราธิบดี ทุกคนกำลังขนของจะไปวัด หันไปดูเพราะเสียงเกศสุรางค์
"ไม่ไหวนะเจ้าคะแม่นายท่าน เสียงดังไม่สมเป็นแม่หญิงเลยเจ้าค่ะ" ปริกว่า
"แหม...แต่แม่หญิงก็เป็นแม่หญิงนะป้าปริก" จวงว่า
จิกเสียงเบาๆตอบ "จริงด้วย"
"นังจิกผสมโรงล่ะเอ็ง"
บุ้งว่า "จริงนี่ป้า"
"นังบุ้ง...อีกคนรึ" ปริกว่า
คุณหญิงจำปาบอก "เงียบปากกันทุกคน...เหมือนกันทั้งนั้น"
ทุกคนรับคำ "เจ้าค่ะ"
"ข้าเห็นจะต้องรีบตบแต่งกันไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จักได้เป็นแม่เหย้าแม่เรือนให้
เต็มตัวเสียที มิฉะนั้น... วุ่นวายกับเรื่องไม่ใช่เรื่องของแม่หญิงอยู่นั่นแล้ว"

เช้าวันเดียวกัน ที่ห้องพระนารายณ์
เพทราชาถาม
"ขุนหลวงจะแต่งตั้งออกพระฤทธิกำแหงเป็นออกญาโกษาธิบดีเสนาบดีคลังหรือ"
"ข้าจะตั้งเอ็งมิใช่ฤๅ เอ็งไม่รับเอง"
"ข้าพุทธเจ้าไม่ชำนาญเรื่องการค้า อีกอย่างเกลียดไอ้พวกฝรั่งฟะรังคี"
"เรื่องตั้งไอ้ก็องสตั๊งซ์ใครบอกเอ็งเพทราชา"
"ไม่ต้องมีใครบอกหรอกพุทธเจ้าค่ะ เหตุการณ์บอกด้วยตัวของมันเอง ขุนหลวงไม่ทรงอนุญาตผู้แทนบริษัทการค้าอังกฤษเข้าเฝ้า เท่ากับขุนหลวงไม่ยอมรับฟังว่าไอ้ฝรั่งคนนี้มันคดโกงยังไร บัดนี้สิ้นพี่ขุนเหล็กเสียแล้ว มีรึมันจะมิปรารถนาตำแหน่ง ไม่ทรงรู้เลยหรือพระเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์มองสายตาเย็นเฉียบ "ข้าจะตั้งมันเป็นเสนาบดีคลัง"
"นั่นปะไรในที่สุดก็สมใจมัน"
"แต่มันไม่ยอมรับ ข้าต้องตั้งคนอื่น"
เพทราชาชะงักกึก สายตาไม่เชื่อ
พระนารายณ์เดินไปหันหลังให้ มองทอดสายตาไปทางหน้าต่าง
"ทรงตั้งใครพุทธเจ้าค่ะ"
"ออกญาพระเสด็จ"
"ออกญาพระเสด็จเป็นเสนาบดีวัง และยังแก่หงำเหงอะ ไม่รู้เรื่องกิจการงานใดๆ
ด้านการค้าการขาย ทรงตั้งได้อย่างไรพุทธเจ้าค่ะ"
"กูตั้งใครก็เป็นเรื่อง มึงไม่อยากให้ไอ้ฤทธิกำแหงเป็นเสนาบดีกูก็ไม่ให้มันเป็น มึงจะให้กูทำยังไรถึงจะถูกใจมึงเสียที"
"ทรงตั้งออกญาพระเสด็จ ไอ้ฝรั่งมันก็ว่าราชการตามใจมัน จะคดจะโกงแค่ไหน มันก็ทำตามสบายไม่มีใครสำเหนียก ทรงรู้หรือไม่ว่ามันน่ะร่ำรวยแค่ไหน"
พระนารายณ์สวนทันที "มึงไม่รวยหรือไอ้เพทราชา"
พระเพทราชาเสียใจมองจ้องพระนารายณ์
พระนารายณ์หันไปทางอื่น แววตาเสียใจบางๆ
พระเพทราชาเดินออกไปเงียบๆ สวนกับฟอลคอนที่เดินเข้ามา
ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ฟอลคอนโค้งคำนับนิดเดียว แต่นัยน์ตาจ้องไม่เคารพ
"มึงมองกูทำไมไอ้พระฤทธิกำแหง"
ฟอลคอนหันไปทางอื่น แต่กิริยากวนประสาท
"ยศเพิ่งได้อวย รู้จักก่อนรู้จักหลังบ้าง"
ฟอลคอนพูดลอยๆ "ออกพระเป็นยศเท่ากัน"
พระเพทราชาก้าวเข้าไปอย่างแรง เผชิญหน้า เงยหน้าขึ้นมอง
ฟอลคอนก้มหน้ามอง สายตายิ้มเยาะ
"มึงถือว่าเป็นคนโปรดฤๅ เงาหัวจะไม่มีมึงคอยดูตัวเองเถิด" พระเพทราชาเดินปังๆออกไป
ฟอลคอนมองตามกิริยานิ่งๆ แต่นัยน์ตาวาววับ
พระนารายณ์ตรัสถามฟองคอน

"เฮ้ย ไอ้ฤทธิกำแหงมึงมากรงนี้ กูมีความจะถามมึงว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เมืองปารีสน่ะทรงเก่งกาจอะไรมั่ง"

เวลาต่อเนื่องมา เกศสุรางค์เดินไปที่มุมออกขุน - หลวง

จ้อยพูดขึ้น "แม่หญิงเดินมาแล้วขอรับ"
เกศสุรางค์ที่เดินมาอย่างเร็วได้ยิน
"มีอะไรจ้อย ข้าเดินมามันแปลกตรงไหน"
จ้อยหัวหด "ข้าลาก่อนนะขอรับออกขุนท่าน"
"ไปเร็วๆเลย"
จ้อยไปอย่างรวดเร็ว
"หนุ่มๆคะ"
บรรดาออกขุน - หลวง ต่างหน้าเหวอ มองกันไปมา
"ข้าอยากไปทำบุญค่ะ ใครจะพาไปได้คะ" เกศสุรางค์เสียงแจ๋วๆ
ขุนศรีวิสารวาจาบอก "จะไปไหนก็ต้องคนที่เรือนนี้พาไป จะเรียกหาคนอื่นพาไปใยกัน"
หลวงสรศักดิ์และขุนเรืองอภัยภักดีมองหน้ากัน
"คุณพี่จะพาไปหรือคะ ขอบคุณค่ะ" เกศสุรางค์ยกมือไหว้
"จะไปวัดใด"
"อยากไปทำบุญสัก 9 วัดค่ะ แล้วก็สวดมนต์ข้ามปีค่ะ เดือนนี้เดือนธันวาใช่มั้ยคะ"
คราวนี้สามหนุ่มยิ่งงง
"ใช่ อีกหลายเดือนถึงจะสงกรานต์ขึ้นศกใหม่ เจ้าจะเร่งสวดมนต์ข้ามปีใย"
เกศสุรางค์พึมพำกับตัวเอง
"เออจริง ปีใหม่ต้องเมษา ของเขาไม่ใช่ของเรานี่นา" เกศสุรางค์พูดดังๆ "อยากสวดคืนสามสิบเอ็ดธันวาค่ะ"
สรศักดิ์ลุกไปเลย "ป่านนี้พ่อข้าคงคอย"
"ป่านนี้...เอ้อ คงมีคนคอยข้า" ขุนเรืองอภัยภักดีว่า
"ขุนเรืองข้าจะไปส่งที่ท่าน้ำ ไปค่ะ" เกศสุรางค์ขยับตัว
ขุนเรืองอภัยภักดีไปแบบงงๆ เกศสุรางค์เดินไปเร็วๆ
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าบึ้งจัด

ขุนเรืองอภัยภักดีกับเกศสุรางค์นั่งพูดกันที่ท่าเรือ ท่าทางเอาจริงเอาจัง
"ขุนเรืองคะข้าถามหน่อยว่าขุนเรืองน่ะเคยเห็นข้ามาก่อนมั้ย"
ขุนเรืองอภัยภักดีเกาหัวยิกหน้ายู่ยี่ "เคยเห็นสิ"
"เมื่อไหร่คะนานมากแล้วใช่มั้ย"
"เมื่อปีกลายที่แม่หญิงมาจากเมืองสองแคว"
"ไม่ใช่สิคะ...เคยเห็นข้านานมากแล้ว แบบว่านานมากๆน่ะค่ะ"
"นานขนาดนั้นข้าคงลืม"
"ไม่ลืมสิคะขุนเรืองความจำดี นึกสิคะนึก รู้สึกมั้ยคะว่าเคยเห็นข้ามาก่อน...เราเคยรู้จักกันมาก่อน" ขุนเรืองอภัยภักดียังนิ่ง สีหน้างงงวย "เพราะข้าน่ะ...เคยรู้จักขุนเรืองมาก่อนอย่างแน่ๆเลยค่ะ"
"เมื่อไร"
"ชาติก่อน" เกศศุรางค์ตอบเร็ว แต่เห็นขุนเรืองอภัยภักดีอ้าปากค้างก็เปลี่ยนคำพูด "เอ๊ย ไม่ใช่ค่ะ... เมื่อก่อน" เธอถอนใจแรงๆแบบไม่รู้จะพูดยังไง "อย่างงค่ะ เอาล่ะ ขุนเรืองลืมที่ข้าพูดเสียก็ได้"
เกศสุรางค์ส่ายหน้ากับตัวเอง

ขุนศรีวิสารวาจาเดินพรวดๆขึ้นมาจากข้างล่าง ตะโกน
"ไอ้จ้อย...ไอ้จ้อยโว๊ย"
จ้อยอยู่แถวนั้น"ขอรับ"
"ไอ้จ้อยทำไมไม่ขานรับตั้งตะแรกที่ข้าเรียก"
"ขานแล้วขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาเตะก้นจนคะมำ
"ข้าไม่ได้ยินเอ็งก็ยังไม่ได้ขาน"
"ข้าขานแล้วจริงๆ" จ้อยเสียงสั่นราวจะร้องไห้
"มึงเถียงกูรึ"
"แต่..."
ขุนศรีวิสารวาจาเดินพรวดเข้าหาจ้อย จ้อยนั่งตัวสั่น ปริกกดหัวให้กราบลงกับพื้น ขุนศรีวิสารวาจาถึงตัวจ้อย แต่ยั้งมือยั้งเท้าไว้ทัน ยืนหน้าเครียดสักครู่ก็เดินกลับไป
ปริก จวง จิก จ้อยโล่งอก ค่อยๆทะยอยลงจากเรือน

บริเวณครัว จ้อยนั่งเศร้าจริงจัง
"ไอ้จ้อยเอ๊ยถือสาอะไรท่านวะ ออกขุนท่านอาจจะกำลังผีเข้าก็เป็นได้" ปริกว่า
"หา...พี่ปริกโทษเป็นความผิดผีไปเลยฤๅนั่น" จวงว่า
"ข้าว่าไม่เห็นเกี่ยวกะผีตัวไหน"
"ข้าก็ว่าเหมือนเอ็งนังจิก" จวงว่า
ปริกบอก "ท่านเคยเป็นอย่างนี้ที่ไหนกันเล่าพวกเอ็ง"
"เป็นวันนี้แหละพี่ปริก แต่ไม่ใช่ผี" จวงบอก
"ข้าว่าใช่"
"ข้าว่าไม่ใช่"
ปริกถาม "ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะใคร"
"ไม่รู้"
"อุวะ" ปริกหันไปทางจ้อย " ไอ้จ้อย...ไอ้จ้อยพอได้แล้วเอ็ง อย่าพิรี้พิไรรีบขึ้นไปหาท่าน
เสีย ไอ้ที่ขุ่นมัวก็อาจจักใสขึ้นได้นะเว้ยไอ้จ้อย"
จ้อยหันมาสบตาปริก ปริกมองแบบเห็นใจ พยักหน้าให้กำลังใจ
จ้อยยิ้มทั้งน้ำตา ลุกขึ้นไป
"ป้า...ข้าว่าข้ารู้ว่าออกขุนท่านหงุดหงิดเรื่องอะไร...นังบุ้งก็รู้นะป้าปริก"
ทั้งปริกทั้งจวงหันไปทางบุ้ง
"ข้าเห็นออกขุนเรืองคุยกับแม่หญิงการะเกดที่ท่าน้ำ" บุ้งเล่า
"มีอะไรเกี่ยวข้องกับออกขุนท่าน" ปริกนึกออก ตาโต "หรือว่า"
"ใช่...พี่ปริกอย่างที่พี่ปริกคิดเพราะมีขุนเรือง...ข้าคิดเหมือนกัน
ทั้งหมดหน้าตารู้ในสิ่งเดียวกัน ว่าท่านขุนของบ่าวทั้งหลายน่ะตกหลุมรักแม่การะเกดเข้าแล้ว

"เฮ้อ...กระโดกกระเดกปานนี้จักมีเรือนได้ยังไรว้า"

บนเรือนออกญาโหราธิบดี มุมคุณหญิงจำปา

ขุนศรีวิสารวาจาเดินเข้ามาบอก
"คุณแม่ขอรับ"
"มีอะไรรึพ่อเดช"
"คุณแม่จัดงานให้ข้าเถิดขอรับ"
ขุนสรีวิสารวาจาสีหน้าตั้งใจแล้วว่าวันนี้ต้องพูดให้ได้
"เอาสิลูก พ่อเดชอยากจัดงานอะไร จะไปวัดไหน หรือว่าอยากทอดกฐินหรือไม่ล่ะลูก...ทำบุญใหญ่เสียที"
"งานแต่งงานของลูกขอรับ"
คุณหญิงจำปาอ้าปากค้าง
"คุณแม่"
คุณหญิงจำปาหุบปากแรงๆ ยังพูดไม่ออก
"แต่งให้เสร็จๆไปขอรับคุณแม่" ขุนศรีวิสารวาจาเดินออกไป
คุณหญิงจำปานิ่งอึ้ง

ขุนศรีวิสารวาจาเดินออกมา หน้าตาโล่งใจแล้ว
จ้อยนั่งเกร็งๆแหยงๆอยู่ ขุนศรีวิสารวาจาเดินผ่าน จ้อยก็หมอบลง
ขุนศรีวิสารวาจาหันขวับมา จ้อยผวาเหมือนจะหนีไป
"จะไปไหนไอ้จ้อย"
"ไปตรงนี้ขอรับ"
"ตรงไหน"
จ้อยเขยิบพ้นบาทา "นี้ขอรับ"
ขุนศรีวาสารวาจามองแบบรู้ เดินเข้าไปตบหัวเบาๆ
"อย่าเอาผิดข้าเลย ข้าเผลอไปชั่ววูบ"
จ้อยจับมือที่อยู่บนหัว หัวเราะกว้าง
"ขอรับออกขุนท่าน"
"กลับหรือยัง"
"อ๋อ...ใครขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาไม่โกรธ เสียงเรียบธรรมดา "คนที่ท่าน้ำ"
"ยังขอรับออกขุนเรืองยังอยู่ขอรับ"
"เออ..." ขุนวิสารวาจาจะไปนั่งเขียนหนังสือ "เอ็งดูซิไอ้จ้อย หมึกข้าหมดแล้วกระมัง"
จ้อยเดินไปหยิบกระปุกหมึก ขุนศรีวิสารวาจาเปิดหนังสือ
เกศสุรางค์เดินขึ้นมาสบตากันปังใหญ่ เกศสุรางค์ผิดหวังมาจากขุนเรืองอภัยภักดี ยิ้มให้ขุนศรีนิดหน่อย
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเขินๆทำอะไรไม่ถูก
เกศสุรางค์เดินกลับไปห้องตัวเอง ผินกับแย้มตามขึ้นมา
"แม่การะเกด" ขุนศรีวิสารวาจาเรียกไว้
"คะ ?"
"บ้านเราจะมีงานใหญ่ ออเจ้าเตรียมตัวไว้"
"เหรอคะ ดีใจจังงานอะไรหรือคะ ใหญ่แค่ไหนคะ"
"ก็ใหญ่อยู่ งานสำคัญของข้า"
"ข้าช่วยเต็มที่เลยค่ะคุณพี่"
"สำคัญของเจ้าด้วย"
"ยิ่งช่วยใหญ่เลยค่ะ"
"เตรียมตัวไว้" ขุนศรีวิสารวาจาเขินนิดหน่อยก่อนพูด เลียนแบบ "ให้สุดๆ"
"รับรองเจ้าค่ะ...สุดๆไปเลย" เกศศุรางค์ยิ้มกว้าง
เกศสุรางค์เดินไป ผินและแย้มเดินตามไปด้วย สองคนรู้แล้วงานอะไร

ในห้อง เกศสุรางค์นั่งลง เปิดสมุดบันทึก
ผินและแย้มยิ้มแย้มดีใจกัน เสียงหัวเราะคิกคัก
"พี่เตรียมเสื้อผ้าให้ข้านะ...ข้าจะเขียนหนังสือ"
ผิน/แย้มบอก "เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์นั่งลงมือเขียน "งานอะไรพี่รู้มั้ย...ใหญ่แค่ไหน"
"รู้เจ้าค่ะ" ผินบอก
"ต้องใหญ่มากเจ้าค่ะ" แย้มว่า
"แต่ไม่แต่งตัวเยอะนะ จะใส่สังวาลเส้นนั้นเส้นเดียวพอ ไม่งั้นหนักมาก"
ผินว่า"ไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องแต่งกันให้สุดๆไปเลยเจ้าค่ะ"
"งั้นเชียว" เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาเขียนบันทึก
"การค้าอยุธยาเป็นระบบผูกขาดสมบูรณ์แบบ ราษฎรถูก...ขูดรีดกดขี่...ได้มั้ยเนี่ย มันใช่นี่นา ขายของก็ต้องขายให้เจ้าเดียว ราคาก็ต่อรองกันไม่ได้"
"งานแต่งทั้งทีนะเจ้าคะ" แย้มว่า แต่เกศศุรางค์ไม่ได้ยิน
เกศสุรางค์ไม่ได้ยิน
"แถมเขาเอาไปขายต่อแพงๆ พระคลังสินค้านี่เป็นคนกลางเต็มรูปแบบ มีแต่ได้กับได้" เกศสุรางค์เอะใจ ได้ยินแว่วๆ นึกได้
"อะไรนะพี่ งานแต่ง...แต่งใคร"
ผิน/แย้มบอก "ออกขุนท่านกับแม่นายไงเจ้าคะ"
เกศสุรางค์กุมขมับ
"จนได้...ถึงเวลาจนได้" เกศศุรางค์คิดทบทวน จะเอาไงดี เหลือบมองไปรอบๆมองหาการะเกด "พี่สองคนออกไปหาขนมให้ข้ากินหน่อย ข้าหิวขนม"
สองคนกระวีกระวาดออกไป

"การะเกด"

เสียงลมพัดหวิวๆคล้ายเสียงสะอื้น

"ข้ารู้...ข้าจะรักษาสัญญา เจ้าไม่ต้องกลัวนะการะเกด"

กลางชานเรือน ตอนกลางคืน
พระจันทร์เต็มดวงอยู่กลางฟ้า เกศสุรางค์มองพระจันทร์ คิดหนัก
เสียงดังก๊อกแก๊ก เกศสุรางค์หันไป ขุนศรีวิสารวาจายืนจ้องมา
"คุณพี่"
ขุนศรีวิสารวาจาเดินเข้ามาใกล้ "ข้าเอง นอนไม่หลับหรือแม่การะเกด"
"จะไปนอนเดี๋ยวนี้ค่ะ" เกศศุรางค์เดินหลีกไป
ขุนศรีวิสารวาจาจับแขน มองตากัน เกศสุรางค์ถอยออกหน่อย
ขุนศรีวิสารวาจาดึงเข้าไปชิดตัว สายตาบอกหัวใจทั้งหมด
เกศสุรางค์ใจสั่น แต่จำใจต้องถอยออกมา หันหลังกลับเดินจากไป
ขุนศรีวิสารวาจายืนอึ้งในท่าทีที่แปลกไปของเกศสุรางค์

ในห้อง เวลาต่อมา เกศสุรางค์นอน แต่ไม่หลับ จิตใจว้าวุ่นมา
เกศสุรางค์พึมพำเสียงแผ่วเบา"การะเกด ข้าจะรักษาสัญญา"

รุ่งเช้าที่ท่าน้ำ เกศสุรางค์ใส่บาตร

มุมหนึ่ง เกศสุรางค์เทน้ำลงโคนต้นไม้ ผิน แย้มช่วยอยู่ด้วย
"การะเกด กุศลที่ทำในวันนี้ฉันยกให้เธอทั้งหมด"

อีกวัน ในสถานที่เดียวกัน บริเวณโคนต้นไม้
เกศสุรางค์เทน้ำ "กุศลที่ทำในวันนี้ฉันยกให้เธอทั้งหมด"
อีกวัน
"กุศลที่ทำในวันนี้ฉันยกให้เธอทั้งหมด"

ต่อมา ในห้อง ร่างของการะเกดหมอบซบอยู่กับพื้น ค่อยๆปรากฏขึ้นลางๆจนเป็นคล้ายเงา น้ำตาเต็มตา มองสูงขึ้นไป
เกศสุรางค์นั่งซึมเหม่อ มือถือดินสอค้างอยู่
การะเกดเศร้า แต่สายตาเหมือนจะตัดสินใจ

ผิน แย้มถือเครื่องมือกรวดน้ำเดินกลับมา สวนกับปริก
ปริกย้ำ"กรวดน้ำ"
สองคนพยักหน้า
"มีเหตุอันใดแม่นายของเอ็งลุกขึ้นใส่บาตรสามวันเจ็ดวันไม่เลิกฮะ นังผิน นังแย้ม"
สองคนส่ายหน้า
"เห็นตั้งหน้าตั้งตากรวดน้ำเป็นนานสองนาน จะกรวดยังไง้ก็หาถึงใครไม่หรอกโว๊ย คนบาปอย่างแม่นายของเอ็ง"
สองคนเดินพรวดเข้าหาปริก
ปริกหลบฉาก หน้าตั้งหนีไป
สองคนมองหน้ากัน
แย้มถามเสียงแผ่วเบามีความหมายลึก "เอ็งว่ากรวดน้ำให้ใคร"
"หรือจะเป็น...แม่นาย" เสียงผินเบาลงอีก "กา-ระ-เกด" เสียงผินสะท้านน้ำตาคลอ
สองคนมองตากัน ต่างคนต่างมีน้ำตาเอ่อ ทอดถอนใจ

วันรุ่งขึ้น
ผิน แย้มถือถาดของใส่บาตรเดินกลับเข้าเรือน ที่ท่าน้ำ เกศสุรางค์ขยับตัว
"แม่หญิงการะเกด"
ขุนเรืองอภัยภักดีอยู่ในเรือ พายมาเอง
"ขุนเรืองไปไหนมาคะ ทำไมพายเรือเอง"
"วันนี้ไม่มีข้อราชการ ข้าจะไปหาคนผู้หนึ่ง"
เกศสุรางค์ขยิบตาให้นิดหนึ่ง
"อ๋อ รู้แล้วว่าใคร...ใช่ม้า?"
อีกฝ่ายพยักหน้า
"ข้ามุ่งหน้าจะมาบอกออเจ้าว่า ข้ากลับไปนึก...นึก...นึกว่าเคยพบออเจ้าที่ใด แต่..."
"นึกไม่ออก ก็ไม่เคยพบน่ะสิคะ"
"เห็นจะเป็นเช่นนั้น"
เกศสุรางค์ทำมือ OK ด้วย "โอเค จบ"
"จบ ??"
"จบค่ะ"
"โอ..."
"โอเคค่ะ
"โอเค"
สองคนหัวเราะกันลั่นท้องน้ำ ขุนเรืองอภัยภักดีพายเรือจากไป เกศสุรางค์โบกมือหยอยๆ
ขณะเดียวกัน เป็นจังหวะที่จ้อยขนของขุนศรีวิสารวาจามาจะไปทำงาน
"ไอ้ยอดยังไม่เอาเรือมา"
เกศสุรางค์หันกลับมา สบตาขุนศรีวิสารวาจาหน้าเคร่งจัด
"นัดให้ขุนเรืองมาปะออเจ้าฤๅ"
"เจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาจ้องหน้า สายตาต่อว่า เสียใจลึกๆ แล้วเดินผ่านไปหน้าตาเฉย
เกศสุรางค์สีหน้าเปลี่ยนเป็นหมองจัด

เวลาต่อเนื่องมา ที่บ้านออกญาโกษาธิบดี บริเวณริมน้ำ ขุนเรืองอภัยภักดีนั่งคุยกับจันทร์วาด ในกิริยาที่อ่อนโยนบนที่นั่งที่จัดไว้อย่างสวยงาม บุญ เหมือนนั่งอยู่ห่างไปนิดหน่อย
จันทร์วาดเก้อเขินเล็กๆ แต่หน้ายังเศร้าอยู่มาก
"แม่หญิง ข้ายินดีทำให้แม่หญิงคลายเศร้าลงบ้าง ขอแม่หญิงบอกข้าเถิดว่าให้ทำฉันใด"
จันทร์วาดประนมมือ "เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
ขุนเรืองอภัยภักดีแววตาอาทร

คุณหญิงนิ่มยืนจ้องมา สายตาไม่ค่อยพอใจ

ต่อมา อีกมุมในบ้านออกญาโกษาธิบดี
คุณหญิงนิ่มถามลูกสาว
"แม่ไม่พึงใจออกขุนเรืองผู้นี้ แม่จันทร์วาดเป็นธิดาของอัครมหาเสนาบดีคู่ควรกับลูกชายขุนนางชั้นออกญามากกว่าแค่ลูกชายออกพระผู้ดูแลเรือแพ"
"คุณพี่มิได้ใส่ใจลูกนะเจ้าคะคุณแม่ แลคู่หมายก็อยู่คาเรือน"
"เป็นเพราะเราสิ้นร่มโพธิ์ร่มไทรไร้คนปกปักคุ้มครอง ผู้คนถึงหมางเมิน"
"งานศพคุณพ่อคนไปมากมาย"
"นั่นเป็นเพราะขุนหลวงพระราชทานพระราชานุเคราะห์เป็นเจ้าภาพ หาไม่แล้วคงไม่มีผู้ใดมางานศพของผู้ต้องโทษจนตาย"
"คุณแม่เจ้าขา...อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ กรรมของเราทำมาอย่างนี้"
"แม่ห่วงเจ้ายิ่งนักแม่จันทร์วาด"

จันทร์วาดน้ำตาตกทันที

กลางเรือนออกญาโหราธิบดี ในวันหนึ่ง

พระวิสุทธสุนทร, ออกญาโหราธิบดี , คุณหญิงจำปา , ขุนศรีวิสารวาจา ทั้งหมดนั่งคอยเกศสุรางค์ คุยกัน กินหมาก
ออกญาโหราธิบดีเรียก "แม่จำปา"
คุณหญิงจำปา รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด "ไปตามแล้วเจ้าค่ะ"
"ปล่อยผู้ใหญ่คอย" ออกญาโหราธิบดีหยุดมอง
เกศสุรางค์เดินมากิริยาสวยงามแบบกุลสตรี ผิน แย้มตามแล้วแยกไปอีกทาง
"นั่งลง แม่การะเกด"
ผิน แย้มปลื้มใจนักหนา
เกศสุรางค์นั่งลง ไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนที่จำเป็น
พระวิสุทธสุนทรว่า "แม่การะเกด ผู้ใหญ่เห็นตรงกันว่าสมควรจักมีงานมงคล ออเจ้าควรเป็นฝั่งเป็นฝาได้แล้วหนา"
เกศสุรางค์ถามทันที "กับใครเจ้าคะ"
ทุกคนหยุดกึก เหลียวขวับ แปลกใจ หน้าเหรอหรากันทุกคน
ขุนศรีวิสารวาจายิ้มนิดๆในหน้าอย่างเป็นต่อ
เกศสุรางค์หันขวับมาทางขุนศรีวิสารวาจา "กับคุณพี่หรือเจ้าคะ"
"ก็จักกับผู้ใดเล่า ออเจ้าไปทำเรื่องทำราวกับผู้ใดอีกฤๅ" คุณหญิงจำปาทำขำ ทั้งฉุนต่อท่าที ทำตาโต "ข้ามิเคยพบเคยเห็นหาความเอียงอายมิได้เลย หากเป็นหญิงอื่นคงม้วนแล้วม้วนอีก มีเพียงออเจ้านี่ล่ะถามตาใส หากมิเห็นว่าการบ้านการเรือนที่ข้าสอนสั่งดีขึ้นแล้ว ข้ามิตกลงแก่ออกพระวิสุทธสุนทรหรอกหนา" คุณหญิงพูดกึ่งหยอกเย้า กึ่งหมั่นไส้
"ออกพระวิสุทธสุนทรมาเกี่ยวอะไรด้วยเจ้าคะ"
ทุกคนถอนใจอีก
พระวิสุทธสุนทรว่า
"ออเจ้าไร้ญาติขาดมิตร หากนับล่วงไปแล้วพระยารามณรงค์บิดาของออเจ้าก็เป็นญาติห่างๆของข้า บัดนี้ออเจ้าจักมีพิธีมงคลกับขุนศรีวิสารวาจา ข้าจึงนับตัวเองเป็นญาติข้างผู้หญิง ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ของออเจ้า ครานี้เจ้าเข้าใจแล้วฤๅ"
เกศสุรางค์มอง ขุนศรีวิสารวาจายิ้มในลูกกะตาวิบวับทั้งๆที่หน้าเฉย
เกศสุรางค์หันกลับมา สีหน้าหนักใจคิดถึงการะเกด
ออกญาโหราธิบดีบอก "เครื่องหมั้นคงเป็นทองสักสิบหีบ เครื่องประดับทองแลฝังเพชรพลอยอีกสองหีบ ผ้าแพรต่วนอีกสักสี่ม้วน ผ้าขาวผ้าพื้นผ้าลายอย่างละสิบพับ ออกพระวิสุทธสุนทรคิดว่าเหมาะสมแล้วฤๅไม่"
เรื่องนั้นไม่ได้เข้าหูเกศสุรางค์เลย
"อะไรที่จักทำให้เจ้าเสียใจข้าจะไม่ทำ"
"ว่ายังไรแม่หญิงการะเกด" พระวิสุทธสุนทรถาม
"เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์รับคำหน้านิ่งเฉย
ขุนศรีวิสารวาจาเริ่มผิดสังเกต เพ่งเล็งเกศสุรางค์

เกศสุรางค์เปิดประตูเข้ามา
การะเกดพรวดเข้ามาจ่อตรงหน้า เกือบหน้าชนหน้า การะเกดหน้าหมองดำ ชอกช้ำใจ เสียงแหบต่ำด้วยความโกรธ
"ออเจ้าผิดสัญญา"
เกศสุรางค์หันไปดันอกผินกับแย้มที่ตามมา ให้ถอยไป
"แม่หญิง"
เกศสุรางค์เสียงเข้ม "ถอยออกไปก่อน" แล้วปิดประตูทันที

เกศสุรางค์ทรุดตัวลงนั่ง การะเกดเริ่มเป็นวิญญาณที่โยกเยกไปมา
"การะเกดขอเจ้าไว้ใจข้า" เกศสุรางค์มองจ้องการะเกด พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
การะเกดเริ่มเปลี่ยนเป็นน่ากลัว "ข้าไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น"
"แต่ออเจ้าต้องไว้ใจข้า"
"ทำไมล่ะ...ทำไม" การะเกดเสียงแหลมดังวี๊ดขึ้นมา "จะตบจะแต่งกันอยู่แล้ว"
วิญญาณการะเกดโยกเยกเลือนหายแล้วกลับมาเห็นอีก เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นตามลำดับ
"การะเกด กุศลที่กรวดน้ำไปให้ไม่ถึงเจ้าเลยหรือ"
"ข้าได้"
"แล้วไงล่ะ แล้วไง...ยังไม่เชื่อกันอีกหรือไงว่าฉันพยายามทำตามคำพูดทุกอย่าง" เกศสุรางค์ระงับใจไม่ได้เหมือนกัน
วิญญาณการะเกดนิ่งอึ้ง แล้วค่อยๆสลายทีละน้อยจนเหลือแต่เงารางๆ
เกศสุรางค์ปวดหัวเหลือเกิน กุมขมับหลับตา

หน้าห้องการะเกด
ผินบอกพลางกางกั้น
"เข้าไม่ได้นะเจ้าคะออกขุนท่าน"
"ยังเข้าไม่ได้ค่ะ ออกขุนท่านเจ้าขา" แย้มว่า
"มึงสองคนหลีกไป" ขุนศรีวิสารวาจาว่า
"แม่นายไม่ให้เข้าไปเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาผลักทั้งคู่กระเด็น "ไม่ให้เอ็งเข้าน่ะสิ"

เกศสุรางค์หันไปดู ได้ยินเสียงด้านนอก สีหน้าตื่น
"คุณพี่มา"
ประตูเปิดอย่างแรง
การะเกดวูบหายอย่างเร็ว ขุนศรีวิสารวาจาพรวดเข้ามายืน
"คุณพี่...เข้ามาทำไมคะ"
"แม่การะเกดออเจ้ามีอะไรสงสัยในตัวข้าฤๅเจ้า"
"คุณพี่ออกไปก่อนค่ะ"
"ตอบข้าก่อน"
"ออกไปก่อนค่ะ ได้โปรดนะคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาจับไหล่สองข้างอย่างมั่นคง...แรงๆ "แม่การะเกด"
เกศสุรางค์เบี่ยงตัวให้ปล่อย "แม่การะเกด...ฟังพี่ก่อน"
เกศสุรางค์เหลือบตาดูรอบๆ เกรงว่าการะเกดยังอยู่
"ปล่อยข้าก่อนแล้วออกไปก่อนนะคะ คุณพี่เชื่อข้า"
"ไม่ว่าออเจ้าจะคิดยังไร ออเจ้าก็หลีกหนีข้าไม่พ้น แลข้า...ก็ไม่ปล่อยให้เจ้าหลีกหนีด้วย"
แล้วมองตาเกศสุรางค์นิ่งนาน
เสียงร้องไห้เล็กๆดังแว่วๆเข้ามา
ทางด้านหลัง การะเกดยืนแอบอยู่ในมุมมืด มองไปยังคนทั้งคู่ ชอกช้ำ เสียใจมาก
การะเกดเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นมืดดำ ความเป็นปีศาจเริ่มปรากฏมากขึ้น...มากขึ้น
"ข้าไม่มีวันผิดคำ" ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเบา แต่หนักแน่น
ขุนศรีวิสารวาจาปล่อยแล้วออกไปจากห้อง ปิดประตู
เกศสุรางค์หันมาอย่างรวดเร็ว มองไปทั่ว
"การะเกด...การะเกด"
การะเกดร้องไห้มากขึ้นๆ ร่างซวนเซล้มลงกองอยู่กับพื้น
เกศสุรางค์ปราดเข้ามาโอบกอดการะเกดไว้ในอ้อมแขน ตัวเองก็น้ำตาไหลพรากเหมือนกัน
การะเกดสะอื้น แล้วร่างก็เริ่มบิดเบี้ยว
"การะเกดอย่าเพิ่งไป...ฟังข้าก่อนนะ"
เกศสุรางค์ยังร้องไห้
"ข้าไม่มีวันผิดสัญญากับเจ้า ข้า..." เกศสุรางค์สะอึกขึ้นมาพูดไม่ออก "อย่ากลัวเลยการะเกด
ข้าจะทำทุกอย่างให้วิญญาณของเจ้าเป็นสุข ข้าจะทำบุญให้ ข้าจะสวดมนต์ให้ ข้าจะภาวนาให้เจ้า แต่ข้าจะไม่แต่งงานกับคุณพี่ คุณพี่ยังเป็นของออเจ้านะ การะเกด"
วิญญาณการะเกดเริ่มเลือนลาง
"การะเกดอยู่ก่อน...อย่าเพิ่งไป"
การะเกดเลือนลางไปอีก
"พูดกับข้าก่อน...บอกข้าว่าเจ้าเชื่อข้า"
การะเกดหายไป

เกศสุรางค์ฟุบลง ร้องไห้เสียงดัง
 
อ่านต่อตอนที่ 19

#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร

เกร็ดน่ารู้จากละคร



พระเพทราชา: (ข้อมูลจาก "ฟอลคอน Phaulkon" , เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , สำนักพิมพ์ศยาม, หน้า ๑๔๕)

สมเด็จพระเพทราชา แต่เดิมเป็นสามัญชน ชื่อว่า "ทองคำ" (บางฉบับว่า ท่านเปรม และเป็นบุตรของพระนมอีกคนหนึ่งของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง - หลานตา) เป็นชาวบ้านพลูหลวง ตำบลท่าพี่เลี้ยง แขวงเมืองสุพรรณบุรี เข้ารับราชการในตำแหน่งจางวางกรมพระคชบาล (ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ว่าเป็น เจ้าพระยาสุรสีห์) ในปี พศ. ๒๒๓๑ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการ ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประทับที่ลพบุรี และทรงพระประชวรและสวรรคต หลังจากออกหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ)คิดการกบฏ ยึดอำนาจได้สำเร็จ พระเพทราชาได้ทรงประหารเจ้าฟ้าอภัยทศ เจ้าฟ้าน้อย พระปีย์ (พระอนุชาและโอรสบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) และคอนสแตนติน ฟอลคอนสำเร็จ และได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดม และทรงสถาปนาราชวงศ์ใหม่คือ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงมีพระโอรสกับกรมหลวงโยธาทิพพระอัครมเหสีฝ่ายขวา คือเจ้าพระขวัญ (ต่อมาถูกพระเจ้าเสือลอบปลงพระชนม์) และกรมหลวงโยธาเทพ พระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย คือ เจ้าฟ้าตรัสน้อย (ต่อมาหนีไปทรงผนวช) ส่วนพระเจ้าเสือ (ต่อมาได้ปราบดาภิเษกชึ้นครองราชสมบัติ หลังจากเจ้าพระยาพิไชยสุรินทร์ พระนัดดาของสมเด็จพระเพทราชาทรงปฏิเสธการสืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระเพทราชา เพราะทรงเกรงกลัวพระเจ้าเสือประหารชีวิต) คือ พระโอรสบุญธรรมที่เกิดแก่พระนางกุสาวดี พระสนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์สวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๔๖ ครองราชย์นาน ๑๕ ปี


กำลังโหลดความคิดเห็น