บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 16
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
เกศสุรางค์เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมา คิดถึงคำตอบของออกญาโหราธิบดี
ขุนศรีวิสารวาจายืนซุ่มมองอยู่
ออกญาโหราธิบดีบอก
"ออเจ้าถามประหลาด เหตุใดนายก็องสตังซ์ถึงจะไม่ซื่อสัตย์ต่อออกญาโกษาท่าน เขาทำงานกับท่านมานานเป็นสิบปี ท่านออกญาไว้ใจเขา สนับสนุนช่วยเหลือเขาให้เข้าเฝ้าจนเป็นขุนนาง ขุนหลวงก็ทรงเชื่อพระทัยเขาเป็นที่สุด"
หน้าห้องการะเกด เกศสุรางค์ยืนนิ่ง สีหน้าตรึกตรองหนักมาก
"พระนารายณ์เชื่อพระทัยเขาเป็นที่สุด เป็นคนดีหรือไม่ดีเนี่ย"
พอหันหลังขวับ ก็ชะงักตกใจ
ขุนศรีวิสารวาจายืนนัยน์ตาคมกริบ มองจ้องอยู่
"ใคร"
"ใครคะ"
"อย่าไขสือ" ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเรียบ
"ไขสือเหรอคะ เปล่าเลยค่ะ เปล่าทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเข้ามาใกล้
"แม่การะเกด ออเจ้าถามประหลาดจริงดั่งคุณพ่อท่านว่า เหตุใดจึงถามเช่นนั้น"
"อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณพี่"
"ไม่จริง ออเจ้าบอกมาเถิด ออเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับออกหลวงสุรสาคร เขาเป็นคนอย่างใด"
"ข้าไม่รู้อะไรเลยค่ะ"
"ถ้าไม่รู้เหตุใดจึงถามดังนั้น"
"เพราะไม่รู้ไงคะคุณพี่ ข้าจึงคิดว่าเขาอาจจะดีหรือไม่ดีได้ทั้งสองอย่าง"
ขุนศรีวิสารวาจาตรึกตรอง นิ่งไปสักครู่
"เหตุใดออเจ้าจึงสนใจไต่ถามถึงฝรั่งผู้นี้นักหนา"
"เพราะข้าเคยมีเรื่องกับเขา ข้าเห็นเขามีกิริยาไม่ดีกับพ่อของแม่มะลิ เขาข่มขู่ แต่คุณลุงท่านเห็นว่าเขาดี ขุนหลวงนารายณ์ก็ว่าเขาดี แปลว่าด้านดีเขาก็ต้องมี"
"เป็นจริงอย่างออเจ้าว่า คนเรามีทั้งดีและไม่ดีเป็นธรรมดา สำคัญว่าส่วนที่ไม่ดีของ
เขาเป็นอันตรายกับผู้อื่นฤๅไม่"
"เมื่อไหร่ถึงจะรู้กันล่ะคะคุณพี่"
"ความดีความไม่ดีของคนปิดบังกันได้ไม่นานหรอกหนาแม่การะเกด"
เกศสุรางค์มองขุนศรีวิสารวาจาอย่างเห็นด้วยและเลื่อมใส
ขุนศรีวิสารวาจาเคลิ้มไปชั่วอึดใจ เดินเข้าไปใกล้อีกนิดอย่างลืมตัว
เสียงอะไรบางอย่างตกในห้องการะเกด สองคนชะงัก
สองคนถอยออกจากกัน
เกศสุรางค์ได้ยิน
"เสียงใครร้องไห้...ได้ยินมั้ยคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาส่ายหน้า
เกศสุรางค์คิดสักครู่
"คุณลุงบอกว่าออกญาโกษาท่านรักเขาเหมือนลูก"
"ออกญาท่านเคยพูดเช่นนั้น ด้วยว่าเขานั้นได้ดั่งใจทุกอย่าง แม้องค์ขุนหลวง เขาก็สนองพระบรมราชโองการได้ดังพระทัย"
เวลาเดียวกัน ตอนกลางวัน
วิญญาณการะเกดม้วนตัวเป็นสายด้วยท่าทางเศร้าหมอง
ร่างม้วนลงจนฟุบหมอบกับพื้น
เสียงสะอื้นเบาๆเหมือนสายลมพัดแผ่ว
ท้องพระโรงว่าราชการ พระที่นั่งจันทรพิศาล เมืองละโว้ ตอนกลางวัน
เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเข้าเฝ้าหลายคน อาทิ หลวงสรศักดิ์ , หลวงศรียศ , เพทราชา , หลวงสุรสาคร (ฟอลคอน), ออกญาโกษาธิบดี , ออกพระวิสุทธสุนทร , ขุนศรีวิสารวาจา , ขุนเรืองอภัยภักดี และข้าราชการผู้ใหญ่อื่นๆหลายคน
พระที่นั่งจันทรพิศาล เป็นพระที่นั่งชั้นกลาง เป็นสถานที่ว่าราชการงานเมือง
เสียงแตรสังข์ประโคม แสดงว่าพระนารายณ์ออกว่าราชการ ทรงประทับในท้องพระโรงเรียบร้อย
พระนารายณ์ มีไฝเม็ดใหญ่ที่คางซ้าย ไว้ขนยาว 2-3 เส้นที่ไฝ
ขุนนางทั้งหลายสวมลอมพอก ไม่สวมเสื้อ มีรอยสักมากบ้างน้อยบ้าง ต่างถวายบังคมพร้อมเพรียงกัน
พระนารายณ์กวาดพระเนตรมองตั้งแต่ริมสุดไปอีกริมสุดของห้อง เห็นออกญา ออกพระ ออกหลวงทั้งหลาย นั่งลดหลั่นตามลำดับชั้น
"วันนี้ข้าจะว่าด้วยเรื่องสร้างป้อมปราการ หลวงสุรสาครข้าให้เอ็งไปสำรวจดูว่าจะสร้างยังไร ได้ความมาแล้วฤๅ"
ฟอลคอนตอบ"ได้ความแล้วพุทธเจ้าค่ะ"
"สร้างหรือมิสร้าง"
"สมควรสร้างพุทธเจ้าค่ะ" ฟอลคอนยื่นแบบแปลนให้พนักงานเอาไปถวาย "ข้าพุทธเจ้าเขียน
แบบป้อมถวายให้ทอดพระเนตร"
พระนารายณ์รับแบบแปลนมาแล้วมองดูเพ่งพินิจ
เหล่าข้าราชการแม้จะก้มหน้าแต่ชำเลืองมองเป็นตาเดียว
พระนารายณ์ปิดแบบแปลนแรงๆ
"ดียิ่งนักเอ็งไปคุมสร้างตามแผนนี้ ถ้าเอ็งทำได้เรียบร้อยทุกประการข้าจะอวยยศเอ็ง"
ฟอลคอนถวายบังคม
"เป็นพระกรุณาธิคุณพระเจ้าค่ะ แม้ว่าจักใช้แรงงานไพร่หลวงที่มาทำงานเข้าเดือนออกเดือน แต่ก็ต้องซื้ออิฐซื้อปูนแลน้ำอ้อยประสานอิฐพุทธเจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจะเบิกเงินที่ใดพุทธเจ้าค่ะ"
"โน่น...ถามไอ้ขุนเหล็ก"
ออกญาโกษาเหล็กนิ่งๆ แต่ไม่ค่อยพอใจ
"เงินคลังสินค้าของเอ็งเยอะนี่ไอ้เหล็ก ปันมาให้ข้าสร้างป้อมนิดๆหน่อยๆจะเป็นไร"
บริเวณพระราชวัง เวลาต่อมา
หลวงสุรสาคร และ ออกญาโกษาธิบดี ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน
ออกญาโกษาเหล็กยืนตัวตรงเป็นสง่า หลวงสุรสาครยืนค้อมตัวเล็กน้อยเพราะเป็นลูกน้อง...ยังเคารพกันอยู่
"ข้าไม่เห็นด้วยที่จะสร้างป้อมนะหลวงสุรสาคร"
"แต่เป็นพระราชประสงค์นะขอรับ"
"ถูกแล้วข้ารู้ว่ามีพระประสงค์ แต่มันได้ถูกเสนอจากเจ้ามิใช่ฤๅ เมอร์ซิเออร์ก็องสตังซ์ เหตุใดไม่ทูลว่าเมื่อสำรวจดูแล้วมิควรสร้าง"
"ใครจะขัดพระประสงค์ได้ขอรับพระคุณท่าน ขุนหลวงอยากสร้างโน่นสร้างนี่อยู่เสมอ สามสี่ปีมานี่รับสั่งให้สร้างทั้งตำหนักที่ประทับ ถนนหนทางในละโว้นี้ ครานี้ก็ถึงเพลาสร้างป้อมแล้วล่ะขอรับ"
"ชาวเราไม่คุ้นเคยกับการอยู่ในป้อมปราการเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเหมือนเราถูกขัง"
"เหมือนถูกขัง แต่มิได้ขังนี่ขอรับ"
"อีกอย่างหนึ่งตามหัวเมืองที่จะสร้างป้อม ไพร่ที่เกณฑ์มาสร้างมีน้อยคนเพราะมาเข้าเดือนเป็นไพร่หลวงเสียมาก พวกมันก็จักเหน็ดเหนื่อยเกินไป ไหนจะต้องหากินเลี้ยงตัวอีก"
"แต่พวกมันต้องทำนะขอรับ"
"ข้าก็เวทนาพวกมันอยู่"
"ข้าเกรงว่าพระคุณต้องกราบบังคมทูลเองขอรับ"
ออกญาโกษาเหล็กมองหลวงสุรสาครแบบพินิจด้วยนัยน์ตาคมกริบ
หลวงสุรสาครยืนนิ่ง สายตาเยียบเย็นเช่นกัน แต่กิริยายังเคารพอยู่
ออกญาโกษาเหล็กเดินไปขึ้นเสลี่ยงที่รออยู่
คนหามขยับจะยกเสลี่ยงขึ้น
"เดี๋ยว..."
ทุกคนหยุดกึก นั่งลงอย่างเดิม
"ข้าทูลเอง" ออกญาโกษาธิบดีไม่มองหลวงสุรสาคร แต่มองตรงไปข้างหน้า
คนหามก็ไม่ขยับเสียที
ออกญาโกษาธิบดีเสียงดังกัมปนาท
"พวกมึงจะรออะไรอยู่...ไปสิวะ"
หลวงสุรสาครมีแววมาดหมาย ในขณะที่มองตามเสลี่ยงของออกญาโกษาเหล็กไป ฉับพลันเสลี่ยงหยุดกึก
หลวงสุรสาครคลายสีหน้า รีบเดินไปใกล้ กุมมือโค้งต่ำ
"หลวงสุรสาคร...ตักเตือนสหายชาวอังกฤษสองคนของเจ้าเสียเรื่องคดโกงบริษัทของมัน พวกอังกฤษเขาไม่โง่หรอก เรื่องใหญ่โตเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก มีหรือจะปิดบังไว้ได้ เปรียบเสมือนไฟย่อมมีควัน ขึ้นชื่อว่าควันผู้ใดจะควบคุมได้"
หลวงสุรสาครหน้านิ่ง แต่ไม่พอใจเงียบๆ
"มันจะเกี่ยวโยงมาถึงออเจ้า เพราะออเจ้าเป็นผู้ขายสินค้าให้สองคนนั่น ในขณะเดียวกันก็ขายสินค้าเหล่านั้นให้บริษัทคลังสินค้าอังกฤษด้วย รวมกันก็มากโขเกินจำนวนที่เขาควรซื้อได้ เจ้าจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกเขา"
หลวงสุรสาครก้มต่ำมาก นัยน์ตาวาววับ
บ้านฟอลคอน เมืองละโว้
หลวงสุรสาคร , ริชาร์ด เบอร์นาบี , จอร์จ ไวท์โน้มตัวไปจากที่นั่งเก้าอี้ คุยท่าทางซีเรียส เบอร์นาบีกับไวท์สีหน้าวิตก แต่ฟอลคอนวิตกไม่มาก
ไวท์บอก "ไหนบอกว่าเขาจักไม่รู้"
"เขารู้ได้อย่างไร"
"มีคนไปบอกเขา"
ไวท์/เบอร์นาบีถาม "ใคร"
ชื่อหลวงสรศักดิ์ กับพ่อของเขา ชื่อออกพระเพทราชา"
ไวท์ถาม "ออกพระเพทราชา...ข้าได้ยินว่าเขามีอำนาจมาก จริงหรือไม่"
"เขาคุมกรมช้าง เป็นลูกของแม่นมคนหนึ่งในสองคนของขุนหลวง น้องสาวเขาคนหนึ่งเป็นเมียของขุนหลวง ตำแหน่งเป็นถึงพระสนมเอก เขาไม่ชอบฉันอย่างที่สุด"
เรือนพระเพทราชา ตอนกลางวัน
บ่าวชายรูปร่างกำยำแข็งแรงซ้อมมวยกันเป็นหลัก เป็นการซ้อมชุดใหญ่ เตะต่อยกันสวยๆ จริงๆจังๆ
หลวงสรศักดิ์ชกมวยอยู่ด้วย ท่าทางน่าดู
มีบางคนซ้อมดาบบ้าง...สองคู่สี่คน โชว์ฝีมือดาบพอสมควร
บนเรือน บ่าวหญิง 3-4 คนยกเหล้ายกอาหารกับแกล้มมาเสิร์ฟ
พระเพทราชานั่งเอ้เตชันเข่าพิงหมอนขวาน สูบยามวนโต ท่าทางสง่าและฉลาดเฉลียว
หลวงสรศักดิ์กลับจากซ้อมมวย บ่าวเอาขันทองเหลืองใส่ผ้าเช็ดหน้ามาให้
พระเพทราชาบอก "ไอ้ออกหลวงสุรสาครนี้กูไม่รู้จะเกลียดขี้หน้ามันให้มากไปกว่าที่กูเกลียดได้
ยังไร"
"ข้าคิดไม่ออกว่ามันได้เมียทั้งสาวทั้งสวยอย่างนั้นได้ยังไรเหมือนกันท่านพ่อ" หลวงสรศักดิ์ว่าพลางเช็ดหน้าเช็ดตัว
"มันฝรั่งด้วยกันสิวะ"
"มิได้ท่านพ่อ นางมีเลือดแขกกับญี่ปุ่นผสมกัน"
"นางงามมั้ยพ่อเดื่อ"
"งามมาก ไอ้ก็องสตังซ์มันโชคดี"
"ไอ้ฝรั่งคนนี้ไว้ใจมันไม่ได้ กูเกรงว่ามันจักมาทูลยุยงขุนหลวงให้" พระเพทราชาลดเสียงลงเบา
มาก "เข้ารีตกะมัน"
"ขุนหลวงท่านฉลาด ท่านไม่เข้าหรอกรีต...เริต" หลวงสรศักดิ์นั่งขัดสมาธิดื่มเหล้าอึกใหญ่
เสียงช้างร้องดังมาก
เพทราชาตะโกนไป
"เฮ้ย ไอ้ควาญมึงทำอะไรพ่อพลายเขาถึงร้องกัมปนาทอย่างนั้น"
"เป็นแม่พังขวัญที่เจ็บอยู่ท่านพ่อ"
พระเพทราชาขยับตัว
"ข้าจะไปดูซิหยูกยาได้ฤๅไม่ เออ พ่อเดื่อ ความเรื่องไอ้ฝรั่งก็องสตังซ์มันขี้โกงที่ไปบอกลุงขุนเหล็กของเจ้าว่ายังไร"
หลวงสรศักดิ์เรียก “ลุงขุนเหล็ก” ตั้งแต่สมัยออกญาโกษาเหล็กยังเป็นออกขุน
"พอข้าบอก...ลุงขุนเหล็กนิ่งฟังอยู่"
"ไม่พูดอะไรเลย...?"
"พูดสิท่านพ่อ...พูดว่า"
เมื่อวันที่หลวงสรศักดิ์ไปบอกกับออกญาโกษาธิบดี
"คนผู้นั้นขยัน ตั้งใจมั่น ทำงานสนองพระยุคลขุนหลวง เป็นคนเก่ง...ฉลาดเฉลียว เห็นทีจะไม่ทำผิดกับลุงที่มันเคารพเหมือนพ่อหรอกนะพ่อเดื่อ"
พระเพทราชาตบเข่าฉาด
"นั่นปะไร กูนึกแล้ว น่ากลัวไอ้ก็องสตังซ์ประเคนของกำนัลโขอยู่กระมัง ลุงขุนเหล็กของเอ็งท่านชอบอยู่นี่...นะไอ้เดื่อ"
"เขาเล่าลือเช่นนั้นท่านพ่อ"
"ไอ้ฝรั่งเข้าถูกทางล่ะสิ"
เหล่าข้าราชการนั่งเรือ ฝีพายพายมา มีทั้งลำเล็กพายคนเดียว ลำใหญ่พายสองคนหัวท้าย
เรือแล่นมาตามลำน้ำ 3-4 ลำ มากันหลายคน มาเทียบท่าน้ำบ้านออกญาโกษาธิบดี
คุณหญิงนิ่มเขม้นมอง
"แม่จันทร์วาดออเจ้าดูซิลูก ผู้ใดมากันมากมาย"
"วันนี้พวกกรมการเมืองหลายเมืองมาหาคุณพ่อค่ะ คุณพ่อสั่งลูกให้เตรียมสำรับเลี้ยงหลังจากเจรจาความเสร็จแล้ว"
"อ๋อ มาจากหัวเมืองงั้นฤๅ คงจักมีของกำนัลมาโขอยู่ แม่จันทร์วาดจัดคนไปคอยรับแม่จักดูสำรับให้เอง"
"เจ้าค่ะคุณแม่"
กรมการเมืองเดินเรียงแถวขึ้นเรือน
แม่หญิงจันทร์วาดยืนต้อนรับอยู่ มีบ่าวยืนด้านหลัง 5-6 คน ชายสูงอายุคนหนึ่งทักทาย
"แม่จันทร์วาดใช่ฤๅไม่"
"ใช่เจ้าค่ะ"
ชายผู้นั้นหันไปบอกเหล่ากรมการเมืองคนอื่นๆ
"แม่หญิงจันทร์วาดธิดาท่านออกญาเสนาบดี"
กรมการเมืองยิ้มแย้มทักทาย จันทร์วาดพนมมือไหว้คนที่มีอายุ
"มีข้าวของหรือไม่เจ้าคะ จักให้บ่าวไพร่ขนขึ้นเรือน"
"อ๋อ ไม่มีหรอกแม่หญิง พวกข้ามีกิจธุระจักสนทนาเป็นวาจา"
สีหน้าแม่หญิงจันทร์วาดเปลี่ยนไปนิดเดียว ทุกคนเดินขึ้นไป ไม่ผิดสังเกต
ห้องข้างใน คุณหญิงนิ่มถาม
"ยังไรแม่จันทร์วาด"
"ไม่มีของสิ่งใดเลยเจ้าค่ะคุณแม่"
"เอ๊ะ ได้ฤๅ...ทำผิดธรรมเนียมดังนี้ได้ยังไร มาถึงเรือนชานมิมีข้าวของติดมือมาให้ท่าน"
จันทร์วาดนิ่ง คือไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ไม่เคยขัด
"มาทำไมกันฤๅถ้าเช่นนั้น"
ในห้องกลาง กรมการเมืองนั่งตามที่ต่างๆอยู่แล้ว
ออกญาโกษาธิบดีนั่งชันเข่าพิงหมอนขวาน นั่งฟังอย่างสนใจ
กรมการเมือง 1บอก "ข้าขอออกญาท่านเมตตาด้วยเถิด"
"เมตตาเรื่องอะไรวะ"
"เรื่องการสร้างป้อมปราการขอรับ"
"เป็นยังไร"
กรมการเมือง 2บอก "อันการสร้างป้อมปราการใหญ่โตแข็งแรงตามที่มีพระประสงค์ จักต้องใช้แรงงานไพร่มากมาย และจักต้องกินเวลานานโขอยู่นะขอรับ ออกญาท่าน"
กรมการเมือง 1บอก "แลยังต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือก่อสร้างอันแข็งแรงแลคงทน อีกทั้งต้องเสาะหามาเพิ่มเติมจากที่ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก"
กรมการเมือง 2บอก "ลูกเมียทางบ้านจำต้องขาดหัวหน้าที่จักเลี้ยงดูหาข้าวปลาอาหาร"
ออกญาโกษาธิบดีขัด
"เฮ้ย ข้าไม่เห็นพวกมันเลี้ยงดูหาข้าวหาปลาให้ลูกให้เมียอยู่แล้ว ได้แต่เล่นถั่วเล่นโปกินเหล้าเมายาอยู่เป็นนิตย์ มิใช่รึ"
ทุกคนเงียบ
"ทุกบ้านทุกช่องเห็นแต่อีนางเมียนั่นแหละเหงื่อไหลไคลย้อย ถางหญ้าถางพงตักน้ำตำข้าว อย่างพวกเอ็งน่ะอยู่ในบ่อนตะพึดตะพือ"
ทุกคนก้มหน้าลง
"ก็มิใช่ว่าข้าจะมิฟังพวกเอ็ง ข้าเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับขุนหลวงเท่าใด ด้วยว่าป้อมปราการนั้นมิใช่วิสัยของพวกเราชาวกรุงศรี...ข้าเห็นว่ามันเหมือนว่าเราถูกขังอยู่ในกำแพง"
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตามีความหวัง
"ข้ายังกรึกกรองอยู่ว่าจะทูลขุนหลวงด้วยถ้อยคำอย่างนี้ แต่ข้าไม่รู้จะโปรดว่ากระไร พวกเอ็งก็รู้ว่า ลางทีท่านปักพระทัยใดๆแล้วก็มิเปลี่ยนแปลง"
กรมการเมือง 1 "ก็เป็นไอ้ฝรั่งผู้นั้นเพ็ดทูลมิใช่หรือขอรับ"
ออกญาโกษาธิบดีเอามือแตะปาก
"อย่าอึงไป ฝรั่งผู้นั้นจะมาเรือนข้าเมื่อไหร่ก็ได้"
ฟอลคอนนั่งอยู่หัวบันได แต่เป็นมุมลับตาได้ยินทุกอย่างเพราะนั่งอยู่นานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมา สีหน้านิ่งสนิท
กรมการเมืองทั้งปวงก้มหน้าไม่พูดจา
กรมการเมือง 1พึมพำเบาๆ
"เหตุไฉนจึงทรงเชื่อฝรั่งตาน้ำข้าวเสียยิ่งกว่าข้าไทยด้วยกัน"
"ท่านทรงมีเหตุผลอยู่ เขาเก่งหลายอย่าง แต่ละอย่างท่านไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้ท่านทรงสนุกแลตื่นเต้นได้ คนเรามีหลายแง่หลายมุม อย่าปักใจในเรื่องที่เราไม่รู้แจ้งเห็นจริง"
ทุกคนพึมพำเบาๆ “ขอรับ”
"ความทั้งหมดในวันนี้ถ้าล่วงรู้ถึงหูผู้ใด พวกออเจ้าจะมีความผิดนัก ส่วนข้ามิเป็นไร เพราะข้านั้นเป็นคนโปรดของขุนหลวง เข้าใจที่ข้าพูดฤๅไม่"
ทุกคนว่า "เข้าใจขอรับ"
กรมการเมือง 1บอก "มันจักเป็นความลับตลอดไป"
"เอาล่ะ หมดธุระแล้วกลับกันได้"
กรมการเมือง 1 วางห่อเงิน
"อะไรล่ะ"
"เงินห้าสิบชั่งขอรับ รวบรวมกันมาให้พระคุณเพื่อจักได้มีกำลังใจกราบทูลขุนหลวงท่าน"
ออกญาโกษาธิบดีมีแววยิ้มนิดเดียว
กรมการเมืองไหว้บ้างกราบบ้างตามอาวุโส แล้วคลานถอยไปจนหมด
กรมการเมืองนั่งเรือพากันแล่นออกจากท่าไป
ออกญาโกษาธิบดียืนมอง สีหน้าตรึกตรอง มือถือห่อเงิน
"คุณพ่อเจ้าคะ ถ้าความรู้ถึงพระกรรณขุนหลวงจะมิเป็นความผิดว่าคุณพ่อรับส่วยหรือเจ้าคะ"
"อ๋อ...เงินนี่น่ะหรือ รับก็เหมือนไม่รับได้อยู่ เพราะพ่อตั้งใจจะทูลทัดทานเรื่องสร้างป้อมอยู่แล้ว แม้มิมีเงินนี้"
"แม่จันทร์วาดอย่าพะวงเลยลูก เงินมิใช่มากมาย รู้หรือไม่ว่านายเงินคนอื่นน่ะรับส่วยจากพวกไพร่กี่มากน้อย"
แม่หญิงจันทร์วาดหน้าสลดลงไม่กล้าเถียง
"ทุกผู้เขาก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดานะลูก แม่จันทร์วาดจะวิตกไปใย"
"ข้าได้ยิน...บางคนพูดถึงบ้านเราว่า..." จันทร์วาดอึกอัก "อย่างเช่น ตะลุ่มใส่ลูกไม้ที่มีคนมารับ
ซื้อไป"
"โอ๊ย...แม่จันทร์วาด ตะลุ่มพวกนั้นใส่ลูกไม้มาเป็นของกำนัลคุณพ่อ จะให้แม่เก็บตะลุ่มให้ท่วมเรือนอย่างนั้นฤๅ"
"บางทีเป็นตะลุ่มทองหรือตะลุ่มเงิน"
"นั่นก็เพราะเขานับถือคุณพ่อ อย่าเอ่ยเป็นเรื่องมาก" คุณหญิงนิ่มเดินเข้าไปเลย
จันทร์วาดพูดไม่ออก
"ไม่มีอะไรที่ต้องวิตกแม่จันทร์วาด"
"เจ้าค่ะ"
ฟอลคอนยืนแอบๆอยู่ด้านหลัง สีหน้าหมายมาด
วันหนึ่ง เสียงดังแว่วๆมาจากด้านล่าง
ออกญาโหราธิบดีกำลังนั่งเขียนหนังสือกับทนายหน้าหอเงยหน้าดู
คุณหญิงจำปาเดินออกมาเร็วๆ ไปดูนอกชาน
ปริก จวง จิก บุ้ง กำลังพูดจาโต้ตอบกับพวกไพร่ที่กำลังมาเสนอขายตัวเอง
"ออกญาท่านไม่ซื้อแล้ว"
ไพร่ทั้งหลายยังส่งเสียง “ซื้อข้าเจ้าอีกคน” , “ข้าเจ้าขยันทำงานเก่ง” , “ข้าเจ้าแข็งแรง” ฯลฯ
ปริกโวย "โว๊ย ท่านซื้อหลายคนแล้ว ท่านไม่ซื้อแล้ว พูดไม่รู้ความรึไง อ้ายอีพวกนี้"
จวงบอก "กลับไปก่อน...กลับไปก่อน วันหน้าค่อยมา วันนี้ไม่ซื้อ"
จิกกับบุ้งแยกย้ายกันคนที่จะบุกเข้ามาใกล้อีก เรียกหา “ออกญาท่านเจ้าขา” , “คุณหญิงเจ้าขา”
คนหนึ่งเสียงแหวกอากาศ “แม่หญิงการะเกด”
เกศสุรางค์พรวดออกมาเร็วๆ ทำท่าจะวิ่งลงบันได "ข้าอยู่นี่"
"แม่การะเกด"
เกศสุรางค์เบรกพรืด หันมาทางจำปา จำปามองปรามๆ เกศสุรางค์หงายจ๋อย ถอยไป
"นังปริก พวกมันมาทำไม"
"มาขายตัวเป็นทาสเจ้าค่ะ"
"สามสี่วันนี้ซื้อแล้วร่วม 10 คน ไม่ซื้ออีกแล้ว"
ออกญาโหราธิบดีถาม
"พวกเจ้าทั้งหลายเหตุใดเจ้าจึงอยากมาขายตัวที่เรือนนี้นักหนา"
ไพร่ทั้งหลายตอบเสียงระเบ็ง “อยากได้มุ้งเจ้าค่ะ...ขอรับ”
"เป็นเพราะเรื่องมุ้งหรือนี่ช่างน่าประหลาดใจจริง"ออกญาโหราธิบดีว่า
"เห็นหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป" คุณหญิงถาม
"ทำอะไรหรือเจ้าคะ"
"ฮึ" คุณหญิงหันไปเห็นปริกเดินขึ้นมา "ไปหมดแล้วฤๅปริก"
"เจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าเจ้าจะไปรอคอยที่ท่าน้ำ คอยไล่คน"
"คอยไล่ใคร"
"อ๋อ จะมีใครล่ะเจ้าคะ ก็พวกที่จะมาขายตัวเป็นทาสไงเจ้าคะ คงจะมากันอีกหลายล่ะเจ้าค่ะ เล่าลือกันไปทั่วทุกคุ้งน้ำว่าเรือนออกญาโหราธิบดีแจกมุ้งบ่าวทุกคน คนละหลัง...ละหลัง...ฮึ"
ปริกพูดจบก็ค้อนเกศสุรางค์ที่นั่งหน้าเหวอ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินลับตาไป
"เอ๋อ"
ทุกคนหันมามอง
"จะว่ายังไร" คุณหญิงถาม
"ถ้าคุณป้าซื้อไพร่พวกนั้น ข้าจะซื้อมุ้งให้อีกก็ได้เจ้าค่ะ" เกศศุรางค์บอกด้วยน้ำเสียงซื่อ เต็มใจยิ่ง
"รู้แล้วล่ะว่าออเจ้าเป็นเศรษฐีมีเงินเป็นยุ้งเป็นฉาง" คุณหญิงจำปามองเหล่ เดินไปอีกคน
เกศสุรางค์หันมาทำหน้าอ่อยๆกับออกญาโหราธิบดีและขุนศรีวิสารวาจา
"มันก็เป็นเรื่องพวกไพร่ที่หลบไม่อยากสักเลขกระมังพ่อเดช"
"เห็นจะเป็นเช่นนั้น"
"หรือหลบไม่อยากเสียส่วยด้วยกระมัง มีหลายอยู่ พวกขี้เกียจไม่อยากเข้างานไม่ยอม
เสียส่วย มาอยู่เป็นทาสตามบ้านสบายกว่า"
"เป็นทาสหรือเจ้าคะสบาย"
"เป็นเช่นนั้น มีข้าวกินทุกมื้อไม่ต้องกลัวอด"
เกศสุรางค์คิดตาม "อ๋อ"
"แม่การะเกดข้ายังข้องใจเรื่องออกหลวงสุรสาคร ออเจ้ามีสิ่งใดจักเล่าสู่คุณพ่อท่าน
อีกหรือไม่" ขุนศรีวิสารวาจาว่า
"พ่อเดชรู้ใจพ่อ ข้าก็สงสัยใจอยู่เรื่องนี้"
"ไม่มีเจ้าค่ะ แต่..." เกศสุรางค์สายตาลังเลและเป็นกังวล จะพูดยังไงดี
"เป็นห่วงว่าออกหลวงสุรสาครจะเป็นอันตรายต่อออกญาท่านฤๅ"
"อย่างนั้นเชียวรึแม่การะเกด"
ออกญาโหราธิบดีมองด้วยสายตาลึกซึ้งพินิจพิเคราะห์
เกศสุรางค์มองสบตาเต็มๆด้วยสายตาเดียวกัน
"เขาอาจจะเป็นอันตรายหรืออาจไม่เป็นอันตรายเจ้าค่ะ"
"ออเจ้ารู้เช่นไรล่ะ"
"เพราะเขาเป็นทั้งคนดีและไม่ดี ข้าจึงพูดไม่ได้เจ้าค่ะ แต่คุณลุงเจ้าคะ คุณพี่ด้วยค่ะ เราคิดในทางร้ายไว้ก่อนดีไหมเจ้าคะ"
"ทางร้ายว่า..."
"ว่าเขาเป็นคนไม่ดีเจ้าค่ะ"
ในเรือนออกญาโกษาธิบดี
ฟอลคอนผิดหวังลึกๆ
"ข้าไม่ยอมขายสินค้างวดนี้ให้บริษัทการค้าอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ฝรั่งสองคนเป็นคนขี้โกง...โกงแม้แต่บริษัทของตัวเอง"
บ้านฟอลคอน เมืองละโว้
ทั้งสามคนนั่งปรึกษาเคร่งเครียด
ไวท์บอก "ในที่สุดมีคนขวางทางจนได้"
เบอร์นาบีบอก"คนที่เราคิดไว้นั่นเอง"
"มิสเตอร์ฟอลคอนมีความเป็นไปได้อย่างเดียว"
เบอร์นาบีบอก "คือทำให้ออกญาคลังไม่มีอำนาจ"
ไวท์แนะ "คิงตั้ง...ให้คิงปลด"
ฟอลคอนมองตาสองคนแน่วแน่
"ออกญาคลังผู้นี้เป็นลูกของแม่นมของคิง กินนมจากแม่นมคนนี้ร่วมกับคิง เป็นเพื่อนสนิทของคิง กับเป็นขุนศึกไปออกรบกับคิง แล้วยังมาเป็นออกญาคลังขายสินค้าให้คิงได้กำไรมากมาย"
"ใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือท่าน" ไวท์
"ท่านทำกำไรให้คลังสินค้ามากมายคิงก็รู้"
"คิงรักท่านมากนะมิสเตอร์ฟอลคอน"
"หาทางให้ออกญาคลังพ้นตำแหน่งเป็นวิธีที่งานของเราจะก้าวหน้าต่อไป"
ตองกีมาร์ซึ่งในขณะนี้ ท้อง 5 เดือนยืนแอบฟังอยู่ สีหน้าวิตกกังวล
ตองกีมาร์เป็นกังวล คิดหนัก
เด็กๆคนไทยทั้งชาย หญิงวิ่งเล่นกันเกรียวกราว
คลอเดีย วัย 14 ปีเลี้ยงแซลลี่ วัย 2 ขวบ ท และคุยซุบซิบกับคลาร่า
ทั้ง 3 คนคือ ลูกเลี้ยงของฟอลคอน
ฟอลคอนขี่ม้ากลับจากทำงาน มีลูกน้องคนหนึ่ง ขี่ม้าตามมา
เด็กที่วิ่งเล่นหยุดวิ่ง ทุกคนหันไปดู ตองกีมาร์เดินไปหา ฟอลคอนจูบกอดเต็มที่
คลาร่าที่หลงรักฟอลคอนมองดูเขม็ง สีหน้าขุ่นมัว
ในห้องนอนฟอลคอน ในคืนนั้น
ตองกีมาร์บอก
"ข้าท้องได้ห้าเดือนแล้วยังมิได้เจอหน้าแม่หน้าพ่อเลยตั้งแต่ออกเรือนมา เพ-ลานี้ข้าคิดถึงพวกท่านนัก จึงอยากขอร้องต่อท่านส่งคนพาข้าไปยังพระนครเถิด"
ออกหลวงสุรสาครกอดภรรยาเพียงแผ่วเบา จูบแก้มอย่างรักใคร่
"เจ้าไปเสียแล้วข้าจักกอดผู้ใด"
"ข้ารู้สึกมิใคร่สบายตัวมิใคร่สบายใจนัก หากได้พบพ่อแม่คงดีขึ้น"
ฟอลคอนเสียงเรียบเฉย "เจ้าไม่สบายใจเรื่องอันใด"
"เรื่อง...ท้องนี่ไงเจ้าคะ ข้าจะไปขอให้แม่แนะนำว่างดเว้นอะไรบ้าง"
"ถ้าข้าไม่ติดงานสร้างป้อมปราการข้าจักไปด้วย"
"ข้ารับรองว่าไปไม่นานก็จักคืนกลับ"
"ดูแลตัวเจ้าเองกับลูกด้วยตองกีมาร์"
"เจ้าค่ะ" ตองกีมาร์ไหว้สวยๆที่อก
สายตาของฟอลคอนเปลี่ยนเป็นมองอย่างระแวงแคลงใจ
ห้องทรงสำราญพระนารายณ์
ออกญาโกษาธิบดี , หลวงสุรสาคร และขุนนางทั้งหลายเข้าเฝ้า
พระนารายณ์เสียงดัง "เอ็งว่ายังไรนะไอ้ขุนเหล็ก"
"ข้าพุทธเจ้าเห็นว่า อันป้อมปราการมิใช่ประเพณีในราชอาณาจักรของเรา คนของ
เราไม่คุ้นเคยกับป้อม...มันเหมือนถูกปิดล้อม ข้าศึกก็จะเข้ามายึดโดยง่าย ขับไล่ใหออกไปยิ่งยากกว่า"
"อุวะ ไอ้ขุนเหล็กกูสั่งไปแล้ว"
"มิใช่เรื่องสำคัญที่จักเปลี่ยนพระบัณฑูรไม่ได้ อย่าเสียพระราชทรัพย์โดยใช่เหตุเลยพุทธเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์อึ้งไปนิด "เอ็งไม่อยากให้เงินข้าฤๅไอ้เหล็ก"
"หามิได้พุทธเจ้าค่ะ เงินเป็นของขุนหลวงอยู่แล้ว ทรงใช้ได้เมื่อมีพระประสงค์ แต่เอาเงินไปทุ่มเทให้ป้อมปราการที่อาจจะกลายเป็นป้อมร้าง"
พระนารายณ์ตบบนตักเต็มแรง
"มึงพูดจาดูหมิ่นกูฤๅไอ้เหล็ก"
โกษาเหล็กทูลอย่างใจเย็น ไม่เกรงอาญา เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร
"เมื่อป้อมโดนรุกหรือโดนยึด ก็จักทำให้ข้าศึกมีแหล่งที่พักแข็งแรงเสียอีก"
พระนารายณ์นิ่งไป ในพระเนตรทรงครุ่นคิดบางอย่าง
แล้วพระองค์ก็เหลือบพระเนตรไปสบตากับฟอลคอนอย่างรู้กัน
ฟอลคอนนัยน์ตาลอบมอง พยักหน้านิดๆ แล้วหมอบต่ำลง
"ไอ้เหล็ก มึงบอกเหตุผลมาตามความจริง มึงทัดทานไม่ให้กูสร้างป้อมเพราะเหตุใดฤๅ"
"ข้าพุทธเจ้ายืนยันตามเหตุผลที่กราบบังคมทูลพุทธเจ้าค่ะ"
"มึงเสียดายเงิน"
"ข้าพุทธเจ้ามิบังควรรู้สึกอันใดกับพระราชทรัพย์เพราะเป็นของขุนหลวง"
"มิใช่มึงรับเงินสินบนจากไอ้พวกไม่อยากสร้างป้อมนะไอ้เหล็ก"
"มิใช่พุทธเจ้าค่ะ ข้าพุทธเจ้าหาได้รับสินบนจากผู้ใดไม่"
พระนารายณ์นิ่งขึงไปสักครู่เพราะผิดหวังมาก สายตาจ้องมองไปข้างหน้า ทุกคนนิ่งไปหมด บรรยากาศตึงเครียดมาก
"กูถามมึงอีกที มึงรับเงินจากไอ้พวกไม่อยากสร้างป้อมฤๅไม่"
"มิได้รับพุทธเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์เสียงดังมาก
"อีกที ไอ้เหล็กมึงตอบกูมาอีกที"
สายตาออกญาโกษาธิบดีมองสบตาพระนารายณ์อย่างฉงนเล็กน้อย แต่เชื่อใจพวกกรมการเมืองจึงปฏิเสธอีก
"ข้าพุทธเจ้ายืนคำเดิมพุทธเจ้าค่ะ"
"พวกมึงทั้งหมดออกไปก่อน"
ขุนนางทั้งหมดถวายบังคม ถอยออก รวมทั้งฟอลคอน
ออกญาโกษาธิบดีก็ถอยด้วย
"ไอ้เหล็ก มึงอยู่"
ออกญาโกษาธิบดีเหมือนสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
ชานเรือนออกญาโหราธิบดี เวลาเดียวกัน
เกศสุรางค์ลงบันไดเร็วๆ ผิน แย้มตามเร็วๆเหมือนกัน
ผินบอก"ระวังเจ้าค่ะแม่นาย อย่าวิ่งจะหกขะเมนเจ้าค่ะ"
แย้มอยู่ตรงบันไดเหนือผิน "ลงเร็วๆสิวะ เดี๋ยวก็ตามไม่ทันหรอก"
"วะอีแย้มมึงอยากตกกะไดรึ"
"อยากให้มึงตก"
"อีเวร...เร็วตามแม่นายไป อุ๊ย...ลืมผ้าเช็ด"
"แม่นางให้ตักน้ำไว้ที่เว็จ เอ็งตักรึเปล่าวะผิน"
จวงมาถึงพอดี เกศสุรางค์ถึงบันไดขั้นล่างสุด
"หญิงการะเกด"
"หลีกไปจวง" เกศสุรางค์บอก
"มีผู้หญิงฝรั่งมาขอพบ รออยู่ที่ศาลาท่าน้ำ"
"อีจวง พูดกะแม่นายมะนาวไม่มีน้ำนะมึง" ผินว่า
"อยากโดนตบปากมั้ย" แย้มว่า
"มือข้าไม่มีรึไง"
"มีก็เงื้อขึ้นมา...มา...เข้ามา"
"แม่หญิง บ่าวแม่หญิงวางโตเหลือเกินเจ้าค่ะ"
"ถ้าไม่วางจะโตกว่านะจ๊ะจวง"
จวงหน้าเหรอหรา ฟังไม่รู้เรื่อง
ผิน แย้มหัวเราะคิก
"ไปล่ะนะ" เกศสุรางค์ออกวิ่ง ปวดท้องเต็มทนแล้ว
"แล้วผู้หญิงฝรั่งคนนั้นล่ะคะ" จวงถาม
เกศสุรางค์เบรกพรืด
"เออ...จริงด้วยลืมไปเลย พี่ผินพี่แย้มเสียงดังเอะอะเสียเรื่องหมด"
บรรดาบ่าวทั้งหลายแอบมองฝรั่ง บางคนหยุดงานจ้องตาค้าง
ตองกีมาร์ คลาร่า คลอเดีย ขึ้นเรือนมากับเกศสุรางค์
"แม่นายเจ้าคะ มีนางฝรั่งมาหาเจ้าค่ะ" ปริกบอก
คุณหญิงจำปากำลังคุมบ่าวให้เช็ดตู้เช็ดตั่ง หันมา "ใคร"
เกศสุรางค์มาถึง
"นางตองกีมาร์เจ้าค่ะคุณป้า ภรรยาของออกหลวงสุรสาคร"
ตองกีมาร์ไหว้นอบน้อม
"ไหว้พระเถิด" คุณหญิงรับด้วยมือข้างเดียว
คลาร่า คลอเดีย บ่าวของตองกีมาร์ไหว้บ้าง กราบบ้าง
"มีธุระร้อนกับแม่การะเกดฤๅ...แหม่มตองกีมา"
ชานเรือนมุมหนึ่ง มีตั่ง มีน้ำ มีขนม นั่งล้อมตั่ง
"ข้าท้องได้ห้าเดือนแล้วหนาแม่การะเกด"
"จริงหรือเนี่ย" เกศสุรางค์มองดู "ไม่เห็นเหมือนเลย"
ตองกีมาร์ลูบท้องให้ดู "เห็นนิดหน่อย"
"ท้องสาว" เกศศุรางค์แตะเบาๆที่ท้อง ยิ้มกว้างขวาง " ดีใจด้วย...เจ้ามาบอกข้าเรื่องนี้หรือ"
ตองกีมาร์สีหน้าเคร่งขรึมลง "มีเรื่องอื่น"
เกศสุรางค์รู้ว่าเรื่องสำคัญ เหลือบมองว่ามีใคร เขยิบเข้าไปนิด "ว่าไปเลย"
"ข้ามีเรื่องเตือน...ไม่กี่วันมานี้ผัวข้าคุยกับเพื่อนฝรั่งที่ทำการค้า ข้าได้ยินว่าเขาพูดเรื่องออกญาโกษาธิบดี แต่ได้ยินมิถนัด คาดว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เจ้าจะเตือนท่านออกญาได้ฤๅไม่"
เกศสุรางค์ตกใจ หลุดปาก "ตายจริง...นี่ใกล้แล้วหรือ"
"สิ่งใดใกล้ฤๅแม่การะเกด"
"ไม่มีอะไรข้าแค่ตกใจ...เล่าต่อสิ"
"ข้าเกรงว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แลเป็นอันตราย"
"อันตรายมากทีเดียว" เกศสุรางค์รำพึง
ตองกีมาร์มองอย่างพิศวง
"ออเจ้ารู้อะไร"
"ข้าฟังออเจ้าไงแม่ตองกีมาร์ เจ้ารู้มากกว่านี้มิใช่ฤๅ เจ้าจึงมาหาข้าถึงนี่"
"ข้ารู้แค่นี้ยังมิพอหรือแม่การะเกด ออเจ้าเป็นคนฉลาด ออเจ้าย่อมคาดเดาได้ถูก"
เกศสุรางค์หน้าตาเป็นกังวลมาก
"ข้าเห็นทีต้องไปแล้วหนาเพราะนานนักจักผิดสังเกต ด้วยมีบ่าวไพร่มาด้วย"
ตองกีมาร์ลุกขึ้น เกศสุรางค์ก็ลุกขึ้นจะไปส่ง
"ข้าไปล่ะนะ"
เกศสุรางค์พยักหน้าเข้ากอด กอดกันสักครู่
ตองกีมาร์หน้าหมองลง มองไปรอบๆเพราะหาขุนศรีวิสารวาจา
สองคนผละออกจากกัน ตองกีมาร์เดินจากไป
"กู๊ดลักนะแม่มะลิ"
ตองกีมาร์หยุดชะงัก สีหน้าเศร้ามาก
"แม่มะลิ"
"จริงสินะแม่การะเกด ข้าคือแม่มะลิ...แค่นั้น"
ตองกีมาร์โบกมือเล็กๆ แล้วไป
"แค่นั้น" เกศสุรางค์สีหน้าฉงนมาก
ณ ท่าน้ำเรือนออกญาโหราธิบดีเย็นวันนั้น
เกศสุรางค์กระวนกระวายใจ คอยขุนศรีวิสารวาจา ชะเง้อมอง สีหน้ากังวลหลายเรื่อง
ผินเดินเร็วๆมา
"แม่นาย...คอยออกขุนท่านหรือเจ้าคะ"
"ฮื่อ...ทำไมยังไม่กลับนะพี่รู้มั้ย"
"ข้าจะมาบอกว่าท่านขุนมาทางหน้าเรือนเจ้าค่ะ"
บริเวณหน้าเรือนออกญาโหราธิบดี
ขุนศรีวิสารวาจาตบคอม้าเบาๆ ม้าร้อง
"เออ...ขอบใจเจ้า" เมื่อลงจากหลังม้า แย้มเข้ามา "แย้ม...มีอะไรรึ"
"แม่นายคอยตลอดเพ-ลาชายเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาไปอย่างรวดเร็ว
"มีเรื่องใดฤๅพี่แย้ม" จ้อยถาม
"ข้าก็ไม่รู้ เห็นแม่นายเดินไปมา แล้วไปเขียนหนังสือ กลับมาเดินไปเดินมา แล้วไปชะเง้อที่ท่าน้ำ กลับขึ้นมาดูหนังสือ แล้วเดินไปเดินมา"
จ้อยพูดพร้อมกัน "เดินไปเดินมา"
"เอ็งรู้ได้ยังไร"
"เฮ้อ..." จ้อยโคลงหัวเดินไป
ผินเดินออกมา
"ปะกันรึยังวะ"
ต่อมา เกศสุรางค์และขุนศรีวิสารวาจานั่งประจันหน้ากัน เกศสุรางค์เคร่งขรึมวิตกกังวลมาก
ขุนศรีวิสารวาจามองด้วยสายตาห่วงใย
จ้อยเอาถาดน้ำชาและขนมกวนมาให้ "ท่านขุนขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจาโบกมือให้ไป...ไม่ต้องพูด
จ้อยก้มหน้า คลานเข่าออกไป
"แม่การะเกด ออเจ้าว่าไปเถิด"
"วันนี้แม่มะลิมาหาข้าบอกเรื่องสำคัญค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาและเกศสุรางค์พูดกันด้วยท่าทางจริงจัง
คุณหญิงและออกญาโหราธิบดีแอบดู แบบขำๆ ปริกอยู่ข้างหลังถัดไป แต่อยากรู้มากจนล้ำเส้นจำปาไปอยู่ข้างหน้า คอยาวออกไปแทบจะถึงผู้เป็นนายทั้งสองคน
จำปาดึงแขนปริกดันให้ถอยไปด้านหลังหน้าตาเฉย
"มีเรื่องอะไรกันหนา"
เกศสุรางค์บอก
"ข้าเป็นห่วงคุณลุงขุนเหล็กเหลือเกินคุณพี่"
"แม่การะเกด เจ้าหยั่งรู้เหตุการณ์ใดฤๅต่อจากนี้...บอกข้าเถิด"
ย้อนกลับไป ... ณ ห้องทรงสำราญพระนารายณ์
เหล่าข้าราชการออกไป คงเหลือแต่พระนารายณ์กับออกญาโกษาธิบดีเท่านั้น
พระนารายณ์นั่งนิ่ง เหม่อไปนอกหน้าต่าง
ออกญาโกษาธิบดีหมอบต่ำๆอยู่มุมห้อง สีหน้านิ่งๆ แววตาครุ่นคิด
ตะเกียง สว่างยามกลางคืน
พระนารายณ์ทรงหนังสือ
ออกญาโกษาธิบดีหมอบอยู่ที่เดิม แต่คอตก หมดอาลัยตายอยาก
ทันใดพระนารายณ์ก็ปิดหนังสือดังๆ ออกญาโกษาธิบดีสะดุ้งสุดตัว
พระนารายณ์ลุกขึ้นยืน ออกญาโกษาธิบดีก็ทรงตัวขึ้นนั่งพนมมือ
"ไอ้เหล็ก ข้าถามเอ็งอีกครั้งหนึ่ง เอ็งยังยืนกรานคำตอบเดิมฤๅ"
ออกญาโกษาธิบดี มีสายตาที่สับสนลังเล
"ว่ายังไร"
"พุทธเจ้าค่ะ"
พระนารายณ์พยักหน้าช้าๆ สีหน้าเจ็บปวดลึกๆ
"เอ็งเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ข้าดื่มนมร่วมถันของแม่ของเอ็ง เราเรียนหนังสือมาด้วยกัน กินด้วยกัน เที่ยวเล่นด้วยกัน รบศึกมาด้วยกัน ทำงานมาด้วยกัน ข้ารักเอ็งประหนึ่งพี่ชายร่วมอุทร ประหนึ่งน้องชายร่วมสายโลหิต"
ออกญาโกษาธิบดีฟังอย่างตะลึงน้อยๆ
"เอ็งรู้ใช่ฤๅไม่"
"ทราบด้วยเกล้าพุทธเจ้าค่ะ"
"ดีแล้ว...รู้ไว้ด้วยว่ามันจะเป็นดั่งนั้นตลอดไป"
ออกญาโกษาธิบดีกราบลงแทบเท้า
"ไปได้" พระนารายณ์เสียงเบาๆเหมือนมีเมตตา
ออกญาโกษาธิบดีกราบอีกที
"กลับอยุธยาไปเสียคืนนี้เลย"
ออกญาโกษาธิบดีเงยหน้ามองอย่างฉงน
พระนารายณ์เดินห่างไป
ออกญาโกษาธิบดีคลานถอยออกมา
ขุนศรีวิสารวาจาและออกญาโหราธิบดีนั่งจ้องหน้าเกศสุรางค์ เกศสุรางค์เสียงชัดเจนหนักแน่น
"ข้าสังหรณ์ใจว่าคุณลุงขุนเหล็กจะเป็นอันตราย ไม่รู้ว่าอันตรายอย่างใด แต่สังหรณ์ใจว่ามีความเกี่ยวข้องกับออกหลวงสุรสาครเจ้าค่ะ"
ทั้งสองคนตกใจ
"นั่นปะไร"
"เกี่ยวข้องอย่างใดฤๅแม่การะเกด"
"อาจจะเป็น...เรื่องเกี่ยวกับการค้าเจ้าค่ะ"
"ไม่น่าจริง คุณลุงขุนเหล็กนิยมไอ้ฝรั่งนักหนา ว่ามันค้าขายเก่งกาจนัก"
รุ่งสาง ออกญาโกษาธิบดีนั่งหลังคุ้ม ดูแก่ลง หน้าตาเหนื่อยอ่อน
แสงของอาทิตย์แรกขึ้นสาดเข้ามาทางหน้าต่าง เห็นร่างออกญาโกษาธิบดีเป็นเงาดำ
"คุณพี่เหล็ก"
ออกญาโกษาธิบดีหันมา
คุณหญิงนิ่มยืน หน้าตาแปลกใจ
"คุณพ่อ มาจากละโว้ตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ" จันทร์วาดถาม
เวลาเดียวกัน ที่เรือนออกญาโหราธิบดี ขุนศรีวิสารวาจาบอก
"ข้าจะไปบ้านคุณลุงขุนเหล็กประเดี๋ยวนี้"
"ระหว่างทางแวะหาออกพระวิสุทธ แจ้งท่านให้รู้ด้วย"
"อ้ายจ้อยเอ็งไปรับท่านออกพระไปบ้านท่านออกญาเหล็ก ข้าจะแวะรับขุนเรือง
เกศสุรางค์ถาม"ข้าเล่าเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาตอบรวดเร็ว "อยู่เรือน" แป่ว !
"ทุกที" เกศสุรางค์บ่นฮุบ
เวลาต่อมา ออกญาโกษาธิบดี , คุณหญิงนิ่ม , แม่หญิงจันทร์วาดกินข้าวกันอยู่บนเรือน
บ่าวไพร่หญิง 3-4 คนเลื่อนสำรับคาว ส่งสำรับหวาน
ออกญาโกษาธิบดีล้างมือ...จันทร์วาดส่งผ้าเช็ดมือสีแดงให้
"ฟักทองแกงบวดเจ้าค่ะ" คุณหญิงนิ่มพูดเสียงเบาๆ เลื่อนถ้วยขนม
"รับสั่งถามเรื่องรับเงินหรือไม่ถึงสามครั้ง พ่อมิยอมรับ ท่านคงทรงซ้อมค้างพ่อ พวกกรมการเมืองไม่ทรยศหรอก เพราะพวกนั้นก็จะมีความผิดไปด้วย"
ทนายหน้าหอเข้ามา "ออกญาท่านขอรับ"
ออกญาโกษาธิบดีหันมา
ทหารจากในวัง หัวหน้าระดับสูง ทหาร 4 คนยืนอยู่
"มีรับสั่งให้มาคุมตัวออกญาท่านประเดี๋ยวนี้ขอรับ"
ออกญาโกษาธิบดีตกใจ แต่เข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง
อ่านต่อตอนที่ 17
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
หลวงสรศักดิ์
"สุริเยนทร" คือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ ๘ หรือ พระเจ้าเสือ (พระนามเดิม เดื่อ) เป็นโอรสลับของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกับเจ้าจอมสมบุญ (นางกุสาวดี พระธิดาพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานทั้งสนมและโอรสลับให้พระเพทราชา) เมื่อครั้งพระองค์รับราชการในตำแหน่ง "ออกหลวงสรศักดิ์" หรือ "พระสุรศักดิ์" (Peja Surusak) พระองค์ และพระเพทราชามิได้ถูกกับคอนสแตนติน ฟอลคอน เคยต่อยคอนสแตนติน ฟอลคอนจนฟันหัก ๒ ซี่ หน้าพระราชวัง ด้วยเหตุผลคือ คอนสแตนติน ฟอลคอนกระทำการลบหลู่พุทธศาสนา และยังสึกเอาพระภิกษุจากวัดมาใช้งานโยธา กรรมกรขุดดิน นอกจากนี้ยังห้ามคนไทยที่เข้ารีตเป็นคริสตัง มิให้ทำงานอันเกี่ยวข้องกับศาสนาและประเพณีโบราณของกรุงสยาม และหลังจากพระเพทราชาสวรรคต พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติในปี พ.ศ. ๒๒๔๖ (ข้อมูลจาก "ฟอลคอน Phaulkon" , เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , สำนักพิมพ์ศยาม, หน้า ๑๔๐)