บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 15
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
ในหอกลาง เวลาต่อมา ขุนศรีวิสารวาจานึกได้ “นั่นไง...ข้าสงสัยอยู่แล้ว” แล้วบอกพ่อ “นางมีกิริยาแปลกประหลาดยิ่งนักขอรับคุณพ่อ
เมื่อสังฆราชปัลลูเอ่ยชื่อตัวของออกหลวงสุรสาครว่า คอนสแตนติน ฟอลคอน นางลุกยืนพูดชื่อคอนสแตนตินซ้ำ พร้อมกับอีกชื่อหนึ่งว่า ... ” ขุนศรีวิสารวาจามองหน้าเกศสุรางค์ พูดเร็วมาก
เกศสุรางค์ก้มหน้าอุบอิบ “ฟ้อง...ยาวเชียว”
ขุนศรีวิสารวาจาพูดต่อทันที “วิชาเยนทร์ ข้าได้ยินออเจ้าอุทาน”
ออกญาโหราธิบดีว่า “วิชาเยนทร์รึ...คือชื่อของใคร”
“ข้าก็ไม่รู้ได้ขอรับ”
“ชื่อตัวของออกหลวงสุรสาครอีกชื่อหนึ่งกระมัง”
“โอ๊ย...ไม่ว่าผู้ใดๆ เขาก็มีชื่อเดียวทั้งสิ้น ใครจะมีชื่อสองชื่อสาม”
“ชื่อเล่นไงคะ”
“ชื่อเล่นเป็นยังไร”
“อ้าว หลวงสรศักดิ์ไงคะ ชื่อเล่นชื่อเดื่อ ไม่ใช่หรือคะ”
“ยังไรนี่...ข้าไม่รู้ความ หลวงสรศักดิ์ก็ชื่อเดื่ออยู่ชื่อเดียว ออเจ้าวิปลาสไปแล้ว”
เกศสุรางค์ขยับจะตอบ ขุนศรีวิสารวาจายกมือห้ามแถมดุเข้าให้
“พูดจาไม่เป็นประสาแล้วยังจะเถียงคำไม่ตกฟาก”
เกศสุรางค์หน้าคว่ำมองขุนศรีวิสารวาจาแบบฝากไว้ก่อนเถิด
“เป็นอันว่าไม่อยากรู้...เรื่องคอนสะแตนตินฟอนคอน”
ขุนศรีวิสารวาจาต่อทันที “กับวิชาเยนทร์...วิชาเยนทร์ชื่อคนฤๅ”
“คนสิคะ ไม่ใช่ชื่อช้างชื่อม้าหรอกค่ะ”
“ออเจ้าหยุดพูดเล่นเสียที” ขุนศรีวิสารวาจาเสียงดุจัด เกศสุรางค์หน้าม่อย
"ขอโทษค่ะคุณพี่ คุณลุงเจ้าขา คอนสแตนตินเป็นใครเจ้าคะ"
"เขาเป็นฝรั่งชาวเมืองกรีก"
เกศสุรางค์คิดถึงคำครูสอนประวัติศาสตร์
ในห้องเรียน
"เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ชื่อเดิมคอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นคนเชื้อชาติกรีก เมื่อหนุ่มๆทำงานเป็นคนรับใช้ในเรือสินค้าที่มาค้าขายกับอยุธยา ฟอลคอนเห็นอยุธยามีช่องทางทำมาหากิน จึงปักหลักอยู่อยุธยาอย่างถาวร รู้จักขุนนางบางคนจึงพาเข้าไปทำงานกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี ขณะนั้นรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง"
ออกญาโหราธิบดีบอก
"เมื่อมาทำงานกับออกญาโกษาธิบดี เพราะเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ พูดภาษาชาวเราได้รวดเร็ว จึงเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ ออกญาโกษาธิบดีพาถวายตัวเป็นข้าราชการในขุนหลวงนารายณ์ ได้ยินว่าออกญาท่านก็เอ็นดูนายคนนี้มิใช่น้อย"
เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว ข้าราชการคนหนึ่งที่พาฟอลคอนมาหาโกษาธิบดี
ตอนนั้นฟอลคอนยังท่าทางเก้กัง ยกมือไหว้ออกญาโกษาธิบดี
"อ้อ...เป็นฝรั่งไหว้ได้เรียบร้อยดีนะ คุณพระ"
"ขอรับ พระคุณใช้สอยเถิดขอรับ เป็นคนฉลาดเฉลียวอยู่"
"จะเรียกเขาว่ายังไรคุณพระ"
"ข้าชื่อก็องสตังซ์ขอรับ เรียกเมอร์ซิเออร์ก็องสตังซ์ได้ขอรับ"
ฟอลคอนนั่งทำบาญชี เป็นสมุดเล่มๆเหมือนที่ซื้อที่ป่าสมุด
โกษาธิบดีเดินมาดู
"เมอ-สิ-เออก็องสตังซ์ เห็นเรื่องราวที่พ่อค้าแขกเทศมาทวงหนี้หรือไม่"
"เห็นขอรับ"
"มันยังไงกันเล่า เหตุใดกรมพระคลังสินค้าจึงเป็นหนี้พวกแขกมากมายดังนั้น"
"ข้ามองบาญชีคร่าวๆไม่เป็นดังนั้นแน่นอนขอรับ"
"นั่นน่ะสิ ขอให้ท่านตรวจสอบแล้วกันเมอร์ซิเออร์ก็องสตังซ์"
เกศสุรางค์ฟังอย่างตั้งใจมาก
"เขาตรวจได้ไหมเจ้าคะคุณลุง"
"เขาเก่งทีเดียว ตรวจสอบทานไปทานมา...ได้เรื่อง"
อาจารย์เล่าประวัติฟอลคอนให้ฟังว่า
"งานที่ทำให้คอนสแตนติน ฟอลคอนเป็นที่ชื่นชมของเจ้าพระยาโกษาธิบดีก็คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งพวกพ่อค้าชาวมุสลิมมาทวงหนี้จากกรมพระคลังสินค้าว่าเป็นหนี้อยู่มากมาย เจ้าพระยาโกษาธิบดีเป็นเจ้ากรมสั่งให้ฟอลคอนที่ทำงานเป็นสมุหบัญชีตรวจสอบ เขาคิดกำไรขาดทุนหักลบกลบหนี้จนกลายเป็นว่า พวกมุสลิมนั่นแหละเป็นหนี้กรมพระคลังสินค้ามากมายหลายสตางค์"
ออกญาโหราธิบดีว่า
"เขาตรวจจนกลับตาลปัตรว่า พวกแขกเทศกลับเป็นหนี้กรมคลังเสียฉิบ ได้เงินเข้า
คลังหลวงอีกมากมาย ขุนหลวงโปรดเขามากให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระยุคลบาทได้ตลอดเวลา"
"กลับตาลปัตร"
"นั่นแหละมันกลับตาลปัตรเสียนี่"
"ค่ะ...เข้าใจค่ะ กลับตาลปัตรนะคะ"
"กลับกันไง"
เกศสุรางค์พึมพำเบาๆ"อ๋อ ประวัติศาสตร์ว่าไว้ไม่ผิดจริงด้วย"
แล้วรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องจับอยู่ เมื่อเงยขึ้นสบตากับขุนศรีวิสารวาจาปังใหญ่
ขุนศรีวิสารวาจา...สงสัยเหลือเกิน
เกศสุรางค์ค้อนนิดๆ เมินหน้าไปทางอื่น...ยังโมโหไม่หาย
"บ่นอะไรหรือออเจ้า"
เกศสุรางค์ไม่สน
"คุณลุงเจ้าขา ขุนหลวงโปรดคนต่างชาติขนาดนี้ พวกขุนนางไทยไม่เหล่เอาหรือเจ้าคะ"
"เหล่ !"
"ไม่หมั่นไส้หรือเจ้าคะ"
"ขุนหลวงนารายณ์ท่านโปรดคนฉลาด ฉลาดด้วยรู้รอบด้วยท่านยิ่งโปรด นายก็องสตังซ์เขารู้รอบเรื่องการค้า เรื่องเดินเรือเขาก็รู้ การช่างเรื่องอาวุธยุทธภัณฑ์เขาก็รู้ ท่านโปรดฟังเรื่องของกษัตริย์เมืองต่างๆ นายคนนี้ก็เล่าถวาย จริงบ้างไม่จริงบ้าง ใครจะไปรู้...จริงมั้ย"
เกศสุรางค์สีหน้าสนใจฟังไปด้วย นึกไปด้วย
"ท่านโปรดเขาให้เข้าเฝ้าใกล้ชิด ทูลแนะนำเรื่องอะไรท่านก็ทรงเชื่อไปเสียหมด พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่...แน่นอนก็มี...เหล่บ้าง"
เกศสุรางค์หัวเราะกิ๊ก
"ลุงพูดถูกไหมเจ้า"
เกศสุรางค์หัวเราะปากกว้างเลย ชอบใจมาก
ออกญาโหราธิบดีหัวเราะด้วย สีหน้าเอ็นดูจัด
ขุนศรีวิสารวาจาแอบฟังอยู่ ยิ้มไปด้วย มองด้วยสายตารักใคร่เช่นกัน
หลายวันต่อมา ตึกที่พักของฟอลคอน เมืองละโว้ “บ้านของฟอลคอน เมืองละโว้” บรรยากาศพลุกพล่าน ผู้คนนั่งบ้าง เดินบ้าง ต่างรอคอย ชะเง้อไปทางประตู
บ่าวคนหนึ่งอุ้มคุณแซลลี่ วัย 2 ขวบไว้บนตัก เด็กๆในบ้านวิ่งเล่น
ริชาร์ด เบอร์นาบีกับจอร์จ ไวท์ยืนคุยกัน มือไขว้หลังทั้งคู่แบบพวกคนอังกฤษ พูดกันเบาๆไม่มองหน้ากัน สายตามองไปทั่วๆไม่เจาะจงใคร การคุยเป็นมิตรดี
บ่าวไพร่ของฟอลคอน ที่เป็นหญิงชาวอยุธยา ราว 10 คน บ่าวชาย 5 คน บ่าวเมียฟอลคอน อีกประมาณ 5 คน ต่างจัดที่จัดทางที่จะรับเจ้าของบ้าน
ที่ประตู คนบอกกล่าวกันทั่วๆว่า มาแล้ว...มาแล้ว ทุกคนวิ่งเข้านั่งที่ตัวเอง พวกบ่าวกึ่งนั่งกึ่งหมอบ ทุกสายตามองไปที่ทางเข้าบ้าน
ขบวนฟอลคอนเข้ามา ลูกน้องชาวฝรั่งเศส 2-3 คน เดินมาข้างๆเสลี่ยง
เสลี่ยงบรรดาศักดิ์ “ออกพระ” เป็นเสลี่ยงหัวนาคกลีบบัว
บ่าวหญิงผู้ใหญ่ตื่นเต้นชี้ชวนบ่าวสาวๆมองดู
บ่าวหญิงสาวบอก "นั่นดูเมียใหม่นายฝรั่งใช่มั้ยป้าต่วน"
"เอ็งจะต้องถามทำไมก็รู้แล้ว"
ขบวนของฟอลคอนเข้ามา
ฟอลคอนหันไปผายมือให้บ่าวไพร่ดูมารี กีมาร์
มารีเดินเข้าด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมแต่ดูสง่างาม มีบ่าวหญิงตามล้อมมาสองคน ต่อจากนั้นมีทนายหน้าหอของฟอลคอนเดินมา
ลูกน้องฝรั่งเดินมาด้วย
ทนายหน้าหอซึ่งเป็นคนไทย
"กราบท่านออกหลวงสุรสาคร"
บ่าวทุกคนก้มลงกราบ สีหน้ายิ้มแย้มชื่นชมยินดี
พี่เลี้ยงคุณแซลลี่ยกมือให้พนมแล้วกราบด้วย
ฟอลคอนยิ้มแย้มมองไปทั่วๆ
บ่าวยิ้มปากแดงทั้งสาวทั้งแก่ทั้งหนุ่ม น้ำหมากย้อย
ฟอลคอนเดินไปโอบบ่ามารีพามาตรงหน้าทุกคน แนะนำ
"คุณหญิงของพวกเจ้า"
บ่าวทั้งหลายกราบ
"คุณหญิงตองกีมาร์ พวกเจ้าจะเรียกสั้นๆว่ามาดามก็ได้"
บ่าวพึมพำ “มาดาม...มาดาม”
มารียิ้มทักทายทุกคน
"มาดามเป็นใหญ่ที่สุด ทุกคนต้องเชื่อฟังมาดาม สั่งให้ทำอะไรต้องทำ เข้าใจฤๅ"
ฟอลคอนมองจ้องที่พวกบ่าวเมีย
บ่าวเมียก้มหน้า เสียง “เข้าใจเจ้าค่ะ” ดังแว่วๆ
มีบางคนหน้าตาขุ่นมัว...มองฟอลคอนหน้าบึ้ง บางคนมองมารี
"อย่าพูดมากให้มีเรื่อง...บอกให้จำไว้ก็จำด้วย"
มารีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเล็กๆ ฟอลคอนหันมาเห็นสีหน้ามารี
ฟอลคอนเดินมาพูดเบาๆ
"อย่าตกใจที่รัก พวกมันเป็นบ่าว หน้าที่ของพวกมันต้องเชื่อฟังนาย นายสั่งต้องทำ"
"แต่"
"ไม่มีแต่" ฟอลคอนโอบไหล่มารีเดินไป "ไปพบกับเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า เขาชื่อไวท์กับ
เบอร์นาบี ไวท์"
ฟอลคอนจับมือเขย่ากับจอร์จ ไวท์ และริชาร์ด เบอร์นาบี ยิ้มแย้มทักทายกัน
"มาพบกับภรรยาที่รักของฉัน มาดามตองกีมาร์"
มารีส่งมือให้แบบคว่ำๆมือ "ยินดีค่ะมิสเตอร์ไวท์ มิสเตอร์เบอร์นาบี"
สองคนจับมือมารีเบาๆอย่างสุภาพ แตะริมฝีปากที่หลังมือนิดเดียว
"มิสเตอร์ไวท์เคยทำงานเป็นขุนนาง มียศเป็นออกหลวงเชียวนะมารี"
"เช่นนั้นหรือคะ"
"ยศของท่านคืออะไรนะจอร์จ"
"หลวงวิชิตราชสาคร ตำแหน่งผู้นำร่อง"
"เคย...เป็นหรือคะ"
"เคยเป็น...Yes แต่ออกแล้ว เวลานี้ทำงานกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ"
"และนี่...สหายสนิทของข้า มิสเตอร์ริชาร์ด เบอร์นาบี เป็นตัวแทนของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเหมือนกัน"
"ยินดีที่ได้รู้จักทั้งสองท่านค่ะ"
"สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของข้า เราทำการค้าด้วยกัน" ฟอลคอนหลุดปาก
"เอ๊ะ การค้าอะไรหรือเจ้าคะ ก็ท่านทำงานกับพวกฝรั่งเศสไม่ใช่หรือคะ ทำไมร่วมมือกับบริษัทอังกฤษล่ะคะ"
สองคนหน้าผิดปกติแต่พยายามเก็บอาการ
"เราติดต่อแลกเปลี่ยนหลักฐานกัน" ฟอลคอนตะโกนเรียกบ่าวกลบเกลื่อน...เสียงดัง
"เฮ้ย...ใครอยู่แถวนี้ จัดหาของกิน...เปิดห้องโถง"
ฟอลคอนหันมาทางสองคน "เราจะคุยกันที่นั่น"
ทั้งสามคนนั่งเจรจากัน ลักษณะพูดเรื่องความลับ
เบอร์นาบีบอก"นางฉลาดนักจะพูดอะไรต้องระวัง"
ไวท์ถาม "นางไม่รู้อะไรใช่ไหมก็องสตังซ์"
"ไม่รู้"
"นางจะเริ่มสงสัยแล้วจากคำถามของนาง"
"เป็นคำถามที่ฉลาดมาก เหตุใดบริษัทอังกฤษกับคนทำงานให้ฝรั่งเศสจึงจะทำการค้าร่วมกัน"
ฟอลคอนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
"นางไม่สงสัยหรอกเพราะวันนี้นางมีเรื่องอื่นน่าสนใจมากกว่า"
ในห้องนอนที่มีเตียงสวยงามแบบยุโรป มีหมอน มีผ้าคลุมเตียง จัดแบบฝรั่ง และห้องเล็กๆติดกันเป็นห้องน้ำ มีถังไม้คาดทองเหลืองใบใหญ่สำหรับอาบน้ำ
มารีมองไปที่ห้องเล็ก
ฟอลคอนแช่ในอ่าง บ่าวหญิง 2 คนกำลังถูหลังคนหนึ่ง และถูแขนอีกคนหนึ่ง
มารีหันกลับมา สีหน้ายังไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ แล้วยืนตรึกตรองอะไรบางอย่าง
ฟอลคอนขึ้นจากอาบน้ำ นุ่งผ้าโสร่งผืนเดียว ยืนกางแขนให้บ่าวใช้ผ้าซับน้ำไปทั่วตัว
เห็นคนหนึ่งคุกเข่าเช็ดขาเช็ดเท้าให้ด้วย
มารีเดินไปนั่งที่เตียง สักครู่ฟอลคอนมานั่ง...กอดจากด้านหลัง เอาคางเกยที่ไหล่ จูบแผ่วๆที่ข้างหู
"มารี...คิดอะไรฤๅ"
"ท่านคะ...มีผู้หญิงหลายคนมองข้าอย่างไม่ชอบ...เขาเป็นใครคะ"
"อ๋อ...คนไหนมองมารีไม่ชอบพรุ่งนี้จักไล่ไปเลย"
"โธ่ท่านคะ ข้าไม่ได้หมายอย่างนั้น ที่ถามเพราะจะได้ทำตัวถูกต้องกับเขาเท่านั้นเอง"
"สงสัยอะไรพวกนางเหล่านั้น"
"ข้าควรสงสัยอะไรล่ะคะ"
ฟอลคอนปล่อยมือ
"ข้าเป็นผู้ชาย ดอกไม้รายทางขึ้นอยู่ที่ใดก็เก็บได้"
มารีนิ่ง
"เก็บได้ทั้งๆที่มันก็ไม่สวยไม่หอมหรอก"
มารีนิ่งอีก แต่สีหน้าไม่พอใจเล็กๆ
"แต่เวลานี้ข้ามีดอกไม้ทั้งสวยทั้งหอมที่ข้าตั้งใจเด็ดมาไว้สูงที่สุดในเรือนข้า ให้ใหญ่เหนือใครๆหมด ดอกไม้อื่นจักขยี้ทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้"
มารีหันมามองหน้านิ่งๆ
"สงสัยอะไรอีกฤๅ"
"ท่านพูดเก่งไม่น่าเชื่อว่าท่านไม่ใช่คนไทย"
ฟอลคอนเสียงสบายๆขึ้น เอนตัวลงนอน ดึงมารีไปนอนบนอก
"ข้าพยายามหนักมาก มันยากมาก"
"ท่านเก่งมากค่ะ"
"ข้าทำให้ขุนหลวงนารายณ์มั่นใจในตัวข้า เพราะข้าพูดภาษาไทยได้"
มารียิ้มให้ ฟอลคอนพลิกตัวให้มารีนอน โน้มตัวลงไป
"มารียอดรัก ขอลูกชายให้ข้านะ"
ตะคันไฟ ส่องไปที่สมุดที่เกศสุรางค์กำลังเขียน
ผินกับแย้มกำลังพับผ้ากองโต
เกศสุรางค์หันไปมอง
"พี่ผินพี่แย้ม พับเรียงไว้เดี๋ยวข้าเอาใส่หีบเอง"
ผินงง "หีบ ?"
แย้มถาม "หีบไหนเจ้าคะ"
"ก้อ...เอ้อไม่ใช่หีบ เขาเรียก..."
"เตียบเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์พูดพร้อมกัน
"เตียบ...ใช่ ไม่ใช่หีบ ลืมทุกที เดี๋ยวข้าเอาใส่เตียบเอง พี่ไปกินข้าวเถิด หิวตายแล้วสินั่น"
สองคนขยับจะไป
"เดี๋ยวอีแย้ม ช่วยกันเลื่อนเตียบให้แม่นายด้วย"
เกศสุรางค์หันมาเขียนต่อ สองคนเลื่อนเตียบแล้วออกไป
เกศสุรางค์พึมพำ
"ตอนเรามา จศ. 1044 (หนึ่งศูนย์สี่สี่) เอา 1181 บวกเข้าไปเป็น พ.ศ. 2225 (สองสองสองห้า)" เกศสุรางค์สีหน้าหนักใจ "เจ้าพระยาโกษาเหล็ก...ต้องโทษโดนโบยจนตาย"
ในห้องเรียนประวัติศาสตร์
"พระนารายณ์กริ้วมากที่เจ้าพระยาโกษาเหล็กไม่ยอมรับว่าตนเองทำผิด รับสั่งให้จับตัวเจ้าพระยาโกษาเหล็กโบยด้วยหวาย วิธีโบยทำยังไงรู้ไหม...มันโหดมากเลยล่ะ อย่างนี้นะ มันมือโยงทั้งสองข้าง เฆี่ยนหลัง...ที่ถอดเสื้อแล้วนะ เฆี่ยนกับผิวหนังสดๆ หวายที่เฆี่ยนไม่ใช่หวายเฉยๆ แต่มีเชือกที่แข็งมากพันหวายอีกที เพราะฉะนั้นเฆี่ยนทีก็ถลกหนังออกมาทีจะหน่อยเลยล่ะ นึกภาพออกไหม
โกษาเหล็กโดนโบยกี่ทีไม่รู้ แต่มากกว่านั้นคือ ท่านก็ต้องอายสิ ท่านเป็นลูกชายแม่นมของพระนารายณ์ ดื่มนมร่วมเต้ากันมา เป็นเพื่อนเล่นกันมา เป็นขุนศึกคู่พระทัยพระนารายณ์ เป็นเสนาบดีกรมคลังหนึ่งในสี่ของจตุสดมภ์ เรืองฤทธิ์ จตุสดมภ์คืออะไร" อาจารย์ชี้ไปที่เรืองฤทธิ์ซึ่งสะดุ้งสุดตัว
เพื่อนๆหัวเราะกันเบาๆ
เรืองฤทธิ์ที่นั่งจะหลับ "เอ่อ..." ก่อนจะขยับตัวนั่งตัวตรง
"คือระบบการปกครองสมัยอยุธยาแบ่งเป็นส่วนๆ 4 ส่วน คือเวียง วัง คลัง นา ค่ะอาจารย์"
อาจารย์ลากเสียงยาว "เรืองฤทธิ์... บอกซิว่าเกศสุรางค์ตอบถูกหรือผิด"
เรืองฤทธิ์เกาหัวยิก
เกศสุรางค์กระซิบ "ไอ้เรือง ไอ้บ้า ชั้นตอบไม่ผิดหรอก"
ต่อมา ในห้องเรียน
"แกนะแกไอ้เรืองมันถูกอยู่แล้ว จตุสดมภ์แกไม่รู้ได้ไง้" เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาบ่นพึมพำ
"ท่านขุนเหล็กโดนโบย...ได้ยังไงเนี่ย"
อาจารย์บรรยาย
"เป็นเสนาบดีแต่โดนโบยเพราะความผิดว่าคอรัปชั่น ท่านถึงกับล้มเจ็บ"
เกศสุรางค์จดลงสมุด...เหมือนทบทวนความจำ "โดนโบยเพราะคอรัปชั่น จะเป็นความจริงแค่ไหน ท่านตายปี 2226...ปีนี้สินะ"
ในภาพคิดของเกศสุรางค์ ออกญาโกษาธิบดี (เหล็ก) เป็นคนมีเมตตา
"คอรัปชั่น...ขี้โกงหรือ คนอย่างออกญาโกษาเหล็กจะขี้โกงจริงเหรอ อาจ๊าน...อาจารย์ มันเป็นประวัติศาสตร์นะคะ อาจจะถูกเขียนสมัยหลังก็ได้ ความจริงคืออะไร"
อาจารย์บรรยายว่า
"สาเหตุที่ท่านต้องพระราชอาญาโบยจนตายคือมีผู้ไปทูลพระนารายณ์ว่าท่านรับสินบนพวกไพร่ที่ไม่อยากสร้างป้อมปราการตามที่พระนารายณ์รับสั่งให้สร้าง แต่ใครเป็นคนไปทูลนั้นไม่ปรากฏข้อมูลในประวัติศาสตร์"
วันใหม่ ที่หอกลาง
ออกญาโหราธิบดีเขียนหนังสืออยู่ที่ของตนเอง
ขุนศรีวิสารวาจาสั่งงานแบบหัวชนกับจ้อยปรึกษาหารือ
เกศสุรางค์ถือสมุดจดเดินมาจากหอนอนตัวเองอย่างรวดเร็วมานั่งตรงข้ามออกญาโหราธิบดี
ออกญาโหราธิบดีมองแบบตกใจ ทำไมมาพรวดพราดอย่างนี้ ขุนศรีวิสารวาจากับจ้อยหันไปมอง
"คุณลุงเจ้าคะ"
ออกญาโหราธิบดีลูบอก
"ลุงแก่แล้วหนาออเจ้า กะพรวดกะพราดเข้ามาอย่างนี้ลุงจะตกใจแค่ไหน ออเจ้านึกฤๅไม่"
"คุณลุงไม่ตกใจหรอกค่ะคุณลุงเก่ง"
ออกญาโหราธิบดีหน้าเหวอน้อยๆ ไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน
"คืออย่างนี้นะคะคุณลุง...ข้าอยากเรียนถามคุณลุงว่า...นายคอนสแตนตินกับออกญาโกษาเหล็กเนี่ย... " เกศสุรางค์หยุดชะงัก มอง
ปริกขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว เดินไปห้องจำปา
ปริกส่งเสียงอย่างตื่นเต้น "แม่นายเจ้าขา"
ออกญาโหราธิบดี, ขุนศรีวิสารวาจา และเกศสุรางค์หันไปมอง
คุณหญิงจำปาเดินเร็วๆออกมา ลงเรือนไป
ปริกกระซิบเอ็ด"นังจวง นังจิก ตามมาสิวะ"
ทั้งหมดลงเรือนไป
เกศสุรางค์อ้าปากค้างมองดู ออกญาโหราธิบดีกับขุนศรีวิสารวาจาก็แปลกใจเช่นกัน
"แม่การะเกด"
เกศสุรางค์หันมามองขุนศรีวิสารวาจาเป็นเชิงถาม
"ถ้าออเจ้าไม่ตามลงไป ข้าจะแปลกใจเป็นอันมาก"
เกศสุรางค์ลุกทันที ไปอย่างรวดเร็ว
ที่เหลือหัวเราะกันเบาๆ
ปริกนำคุณหญิงมาที่ลานด้านล่าง บ่าวทุกคนตามมา
ปริกรายงาน "มันหนาวสั่น หายใจหอบตัวโยนเลยเจ้าค่ะ ทั้งไอ้รุ่งทั้งนังใบเมียมัน กับนังบวบ
ลูกสาวสุดท้องเพิ่ง 2 ขวบ เหลือแต่นังบุญลูกสาวหัวปี" ปริกอ้าปากค้าง
บ่าวชายแบกศพไอ้รุ่งกับเมีย กับบวบ (อายุ 2 ขวบ) ห่อเสื่อมิดชิดผ่านไป นังบุญเดินตาม
"มันตายแล้วเร้อ"
"หอบจนขาดใจ" บ่าวชายบอก
ทุกคนนิ่งอึ้ง เสียงบุญ วัย 10 ขวบร้องไห้ดังจนทุกคนสะท้านใจ เรียก “พ่อจ๋า...แม่จ๋า”
"นังจวง"
"เจ้าค่ะ"
"เอ็งกับนังจิกช่วยกันเลี้ยงนังบุญต่อไป มีเจ็บอีกกี่มากน้อย" คุณหญิงสั่งและถาม
"หลายเจ้าค่ะแม่นาย มันติดกันไปเจ้าค่ะ" จวงว่า
"มาเลเรีย"
ทุกคนหันมามองเกศสุรางค์
"ก็ไข้ป่านั่นแหละ วิธีแก้ต้องไม่ให้มียุงเจ้าค่ะ"
บ่าวๆหน้าแปลกใจหันไปมองหน้ากัน
"ฟังพูดมันง่ายเหลือเกินนะเจ้าคะแม่หญิง จะทำได้ยังไรเจ้าคะ" ปริกว่า
บ่าวหันไปซุบซิบกันอีกเห็นด้วยกับปริก
"อ้าว...ทำได้จริงๆนะแม่ปริก เดี๋ยวจะหาว่าคุย"
ปริกมองเหล่มาก เกศสุรางค์พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว
"โอ๊ย ข้าเจ้าไม่ลุยกะแม่หญิงหรอก"
เกศสุรางค์ถอนใจเฮือกใหญ่
"อาไร้ จะลุยกะยุง"
เกศสุรางค์สั่งบ่าวทันที
"พวกเราตามมา จะบอกให้ว่าทำไง...เร๊ว...มา...มา...มา"
บ่าวไพร่ตามไป ปริกมองหน้าคุณหญิงจำปา
"ไปสิเอ็ง...ไม่เชื่อไม่ใช่ฤๅ"
ทุกคนไป จำปาขึ้นเรือน
เกศสุรางค์เดินนำฉับๆไปตามทาง ผิน แย้ม จวง จิกตาม
ปริกนั้นเดินแอบๆตามมา สีหน้าเหล่ๆตลอดเวลา
เกศสุรางค์หันมา
"แม่ปริกเดินเร็วๆหน่อย เดี๋ยวพลาดแล้วจะหาว่าไม่เตือน"
ปริกเดินมาถึง
"นังผิน นังแย้ม แม่นายเอ็งนี่พูดจาชอบกล เอ็งสองคนก็ฟังอยู่ได้"
ผิน แย้มหันขวับมาตั้งท่าทันที
ผินบอก "ชอบกลยังไง พี่ปริกพูดให้ดีๆนะ"
"นั่นสิพูดยังงี้ไม่สวยนะเพ่" แย้มว่า
เกศสุรางค์ส่งเสียงดังจงใจไม่ให้ทะเลาะกัน "เจอแล้ว"
ทุกคนหันขวับไปทันที เสียง “ไหน...ไหนเจ้าคะ”
"นี่ไง"
ทุกคนเหวอจ้องมอง
ตรงนั้นมีบางแห่งลุ่มกว่าตรงอื่น มีน้ำขังเป็นหย่อมๆ
ทุกคนเงยหน้ามองเกศสุรางค์ งุนงง
"เอ้า...นี่ไง ที่น้ำขังนี่แหละยุงมาวางไข่ กลบให้หมดทุกแห่ง มีกี่แห่ง...กลบ"
เกศสุรางค์เสียงเด็ดขาด
เมื่อเดินต่อไป
"นี่อีก"
ทุกคนมองจ้อง
มีกะลาแตกๆ น้ำขัง หม้อดินแตกใช้ไม่ได้แต่มีน้ำขัง
"กระเบื้องถ้วยกะลาแตกพวกนี้ คว่ำลง เอาน้ำออกให้หมด"
เกศสุรางค์เดินต่อไป จนถึงโอ่งหลายใบเรียงแต่ไม่ปิดฝา
เกศสุรางค์มองกวาด
"ใครเป็นคนดูแลโอ่งน้ำนี้ แม่ปริกใช่มั้ยเพราะใส่น้ำใช้ในครัว ทำไมไม่ดูแลปิดฝาให้เรียบร้อย" "ปิดทำไมเจ้าคะ ตักน้ำใช้จะได้ไม่ต้องเปิด"
"ต่อไปนี้ต้องเปิดเวลาจะใช้"
"เหตุใดต้องเปิด"
"เพราะข้าสั่งให้ปิดน่ะสิ เวลาจะใช้น้ำถึงต้องเปิดไง...เข้าใจ๋"
ปริกหน้างอแต่เถียงไม่ออก
บ่าวเอาทรายถมบริเวณที่น้ำขัง
บ่าวจับถ้วย กะลา หม้อแตกคว่ำลง บางคนทุบหม้อแตกๆให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
บ่าวเอาฝาไม้ปิดโอ่งทุกใบ
ขบวนยกกลับมาขึ้นเรือน ปริกพุ่งตรงไปหาคุณนายจำปา กระแทกตัวนั่ง
"เป็นอะไรนังปริก หน้างอเป็นตวักเชียวเอ็ง ได้ความว่ายังไรล่ะ"
"ว่าต้องปิดฝาโอ่งเจ้าค่ะ"
"เอ้า...เอ็งไม่ปิดฤๅทุกวันๆ"
"เปล่าเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาเสียงสูง
"ทำไมล่ะ ขี้ฝุ่น ขี้ผง มิลงไปลอยฟ่องฤๅ แล้วเอ็งก็ตักมาต้มแกงให้ข้ากิน"
ปริกหน้าม่อย ก้มหน้าดูพื้น
บ่าวทั้งหลายหัวเราะเบาๆ
ปริกตวาดเบาๆในคอ "หัวเราะอะไร"
"มันก็หัวเราะเอ็งนั่นแหละ หนอยเดินหน้าตั้งขึ้นมาหมายจะฟ้องข้า ต่อไปจะปิดฝาโอ่งไหม"
"ปิดเจ้าค่ะ...ปิดแล้วเจ้าค่ะ"
"คุณป้าเจ้าคะ ไม่สบายเพราะกลางคืนนอนไม่กางมุ้ง ยุงกัดเจ้าค่ะถึงเป็นไข้ป่ากันทั่ว"
"ก็มันไม่มีมุ้ง มันจะเอามุ้งที่ใดมากาง"
"มุ้งที่ข้าจะซื้อให้เจ้าค่ะ"
ทุกคนหันขวับมองเกศสุรางค์
ออกญาโหราธิบดีและขุนศรีวิสารวาจาก็หันมาดูเหมือนกัน
"เอากับนางสิพ่อเดช"
"ข้ามิแปลกใจเลยขอรับคุณพ่อ"
"จะซื้อมุ้งให้บ่าว ออเจ้าวิปลาสไปจริงๆ ไม่มีผู้ใดทำกันหรอกหนา แม่การะเกด ออเจ้าอย่าให้มากเกินไปนักเลย"
เกศสุรางค์หน้าจ๋อย
คืนนั้น เกศสุรางค์ย่องออกมาจากหอนอนตัวเอง แล้วโหย่งเท้าเหลียวซ้ายแลขวาวิ่งข้ามชานเรือนไปห้องขุนศรี
ห้องสลัวๆตามตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง
ประตูค่อยๆเปิด เกศสุรางค์ชะโงกเข้ามากวาดสายตามอง
"เอ๊ะ ไปไหน"
เสียงขุนศรีวิสารวาจาตอบจากหลังประตู "อยู่นี่"
เกศสุรางค์สะดุ้งสุดตัว หันขวับมาเผชิญหน้าใกล้ๆ จ้องกัน
เกศสุรางค์เตือนตัวเอง"เกศสุรางค์อย่าเพิ่งเล่นบทคู่จิ้น"
เกศสุรางค์คว้าข้อมือ
"คุณพี่ มาตรงสว่างๆค่ะ เอ้า" แล้วจับแบมืออ เอาห่อเงินวางลง
"คุณพี่ซื้อมุ้งให้บ่าวนะเจ้าคะ นี่ค่ะเงิน"
ขุนศรีวิสารวาจาจ้องหน้าเกศสุรางค์นิ่ง
"คุณพี่...ไม่ได้ยินเหรอเจ้าคะ"
"ได้ยิน...ไม่แปลกใจอันใด คิดอยู่แล้วว่าออเจ้าต้องหาทางจนได้ ก็มีข้าคนเดียวนี่แหละที่ออเจ้าจะมาบังคับขู่เข็ญให้ทำตามที่ออเจ้าอยากทำ"
เกศสุรางค์ตบมือเบาๆ "คุณพี่เก๊ง...เก่ง น่ารักที่สุดเลย"
ขุนศรีวิสารวาจาเหล่ๆเขินๆ
"งั้นข้ากลับห้องนะเจ้าคะ อยู่นานไม่ดีเดี๋ยวใครเห็นเป็นเรื่องอีก"
"รู้ว่าไม่ดีแต่ยังทำ"
"อ๋อ แป๊บเดียวไม่เป็นไรหรอกค่ะ"
"ฟังออเจ้าไม่ค่อยรู้ความเสียที"
"ฟังไปเรื่อยๆก็รู้เองค่ะ" เกศสุรางค์หันหลังกลับอย่างเร็ว
ขุนศรีวิสารวาจาคว้าข้อมือเกศสุรางค์ไว้ทันที
"อุ๊ย..." เกศสุรางค์มองหน้าขุนศรี นัยน์ตาแจ่มแจ๋ว มีแววยั่วเย้านิดๆพอสนุกๆ
ขุนศรีวิสารวาจาจับมือเกศสุรางค์แบ วางห่อเงินแล้วจับไหล่รุนให้ออกจากห้อง
"คุณพี่"
"ข้าเป็นคนซื้อ...ข้าจักใช้เงินของข้าเอง"
ประตูเปิด เกศสุรางค์ถูกรุนหลังออกมา ประตูปิดลงทันที
"แมนจริงๆ"
ขุนศรีวิสารวาจาอ่อนใจ ฟังไม่รู้เรื่องตามเคย
วันรุ่งขึ้น
เกศสุรางค์หัวชนกันกับผินและแย้ม นับเงินเบี้ย
"มุ้งหลังละกี่เบี้ยพี่"
"สองร้อยเบี้ยเจ้าค่ะ" ผินบอก
"งั้นพี่นับใส่ห่อๆละสองร้อยนะ แล้วเอาให้บ่าวไปซื้อมุ้งเอง"
"ให้ทุกคนฤๅเจ้าคะ" แย้มถาม
"ทุกคน"
"แม่นายมีเบี้ยไม่พอเจ้าค่ะ" ผินบอก
"งั้นเอานี่ไง" เกศศุรางค์ชูเหรียญ "บาทหนึ่งเอาไปแลกเบี้ยได้มั้ย"
"ได้เจ้าค่ะ บาทหนึ่งมี 8 เฟื้องเจ้าค่ะ" แย้มบอก
"เฟื้องหนึ่งมี 800 เบี้ย ซื้อมุ้งได้ 4 หลังเจ้าค่ะ" ผินบอก
"เฟื้องหนึ่งได้มุ้ง 4 หลังใช่มั้ย บาทหนึ่งก็ได้มุ้งตั้ง 32 หลัง โห ซื้อมาถมที่เลยนะเนี่ย...บาทเดียว เดี๋ยวนี้น้ำแข็งเปล่ายัง 2 บาท"
สองคนเหวออีกนิดหน่อยพองาม
"พี่แลกเบี้ยแจกทุกคนไปซื้อมุ้งนะจ๊ะ"
ที่ลานบ้าน เวลาต่อมา ผิน แย้มแจกเบี้ย บ่าวทั้งหลายรับ ไหว้ท่วมหัว
ผินบอก"แม่หญิงการะเกดให้นะ หาใช่ข้าไม่"
"โน่น...ไหว้ไปบนเรือนโน่น" แย้มบอก
บ่าวเปลี่ยนทิศไหว้
บริเวณชานเรือนลับตาคนบนเรือน
เกศสุรางค์ยืนมอง
ผินก็ก้มหน้าก้มตาวิ่งมา
"พี่ผิน"
"เบี้ยไม่พอเจ้าค่ะ ขาดอีกสิบกว่าหลัง"
"เดี๋ยวไปเอาให้" เกศสุรางค์หันหลังวิ่ง ชนโครม "ว้าย ... คุณพี่ มายืนขวางทำไมเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเสียงดุ แต่นัยน์ตาเอ็นดู "วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ"
"ไหนม้า...ไหนเรือ"
"ประเดี๋ยวเหอะ"
ผินก้มหน้าหัวเราะ เกศสุรางค์ยิ้มกว้าง...แบบไม่กลัว
"ข้ารู้ออเจ้ามีเงินมากโขอยู่ แต่เรื่องซื้อของให้บ่าวในบ้านเป็นหน้าที่ของเจ้าของบ้าน"
"ไม่เป็นไรค่ะ ข้า..." เกศศุรางค์ยังพูดไม่จบ
"คุณแม่ท่านเรียกหา"
"เรียกข้า ?"
"บอกเจ้า...จะให้เรียกใคร"
"เอ๊า คุณพี่ บอกเรียกคนชื่อ “หา” ไงคะ"
ขุนศรีวิสารวาจามองจ้อง นัยน์ตาอ่อนใจ
เกศสุรางค์หัวเราะ "ไปสิคะ รออะไรอยู่ ไปโลด"
เกศสุรางค์วิ่งไปเร็วๆ
ขุนศรีวิสารวาจาสีหน้าน่าสงสารมาก ฟังไม่รู้เรื่องเลย
ที่หอกลางคุณหญิงจำปายื่นห่อเงินให้เกศสุรางค์
"เจ้าคะ ?"
"เงินค่ามุ้งให้บ่าว...สองบาท"
เกศสุรางค์นิ่งไปสักครู่ ก้มลงกราบรับเงินมา
"ข้ากราบขอโทษคุณป้าที่ทำอะไรผิดกับคุณป้าเจ้าค่ะ แท้ที่จริง...ข้ารักคุณป้านะเจ้าคะ"
คุณหญิงจำปาทำหน้าปึ่งๆ ถอนใจเล็กๆแบบตอบไม่ถูก สักครู่โบกมือให้ไปได้ แต่ยังพึมพำเบาๆ "รู้แล้ว"
เกศสุรางค์หันไปมองขุนศรีวิสารวาจา
ขุนศรีวิสารวาจามองด้วยสายตาลึกซึ้งมาก
เกศสุรางค์รู้สึกร้อนๆที่หน้า คุณหญิงจำปาชำเลืองมอง
"ภายหน้าอย่าทำเช่นนี้ บ่าวของข้า ของคุณพ่อ ของคุณแม่ เราจักเป็นคนดูแล"
เกศสุรางค์ยิ้มเต็มหน้า "แป๊บนะคะเอาตังค์ให้พี่ผินก่อน" เกศสุรางค์เดินยาวๆก้าวออกไปเร็วๆ
ทั้งหมดได้แต่มองตามแบบอ่อนใจ
"กระโดกกระเดกเหลือทน ถึงวันแต่งจะกำราบปราบปรามให้สงบลงได้ฤๅพ่อเดช"
"คุณแม่ไม่ต้องเร่งนางนะขอรับ ข้ารู้สึกว่านางยังไม่อยากแต่งกับข้า"
"แล้วตัวพ่อเดชล่ะลูก"
"ข้ามิพะวงถึงตัวเอง ข้าพะวงก็แต่นางขอรับ"
คุณหญิงจำปาทำหน้า นึกแล้วเชียว ! รู้ใจลูกชาย
ที่บันได เกศสุรางค์ยืนฟังได้ยินหมด ทำหน้าระทึกใจ
ณ เรือนออกญาโกษาธิบดี
หลวงสุรสาครค้อมตัวไหว้คุณหญิงนิ่มนอบน้อม
คุณหญิงนิ่มถาม "มีราชการด่วนฤๅ"
"มิได้ขอรับ ออกญาท่านเรียกหาข้าขอรับ แม่หญิงจันทร์วาดรู้ฤๅไม่ว่าเรื่องราว
อะไร" ฟอลคอนบอก
"ไม่รู้ค่ะ แต่คาดว่าจะมิใช่เรื่องใหญ่เรื่องโต"
"เมื่อวานข้าปะท่านที่คลังสินค้าเป็นเพลาชายมากแล้ว (บ่ายแก่ๆ) ท่านมิได้กล่าว
อันใด"
"เชิญออกหลวงไปพบท่านเถิดค่ะ...จะได้รู้ว่าเรื่องใด"
ฟอลคอนโค้งตัวให้คุณหญิงแล้วไป
จันทร์วาดมองตามสีหน้าสะใจนิดๆ
คุณหญิงนิ่มถามลูกสาว"แม่จันทร์วาดรู้อะไรมาฤๅ"
"เมื่อคืนหลวงสรศักดิ์มาพบคุณพ่อท่าน...ลูกแอบฟังอยู่"
"ตายจริง...เสียเด็กจริง"
"ออกหลวงสุรสาครสมคบกับฝรั่งอังกฤษ...โกงเจ้าค่ะ"
"โกง...ตายแล้ว โกงใครหรือลูก"
"โกงบริษัทที่ค้าขายของพวกมันเองเจ้าค่ะ"
"โกงยังไรหรือแม่จันทร์วาด"
"ฝรั่งสองคนทำงานให้บริษัทค้าขายอังกฤษ มาซื้อสินค้าจากพระคลังสินค้า บอกว่า
จะซื้อให้บริษัท นายก็องสตังซ์ก็ขายให้ แต่ฝรั่งสองคนเอาไปขายส่วนตัวเจ้าค่ะ"
ออกญาโกษาธิบดีถาม
"จริงหรือไม่เมอร์ซิเออร์ก็องส์ตังซ์"
"ท่านรู้จากใครหรือขอรับ" ฟอลคอนถาม
ออกญาโกษาธิบดีตอบทันที "ออกหลวงสรศักดิ์"
"เขาว่าอย่างไรฤๅขอรับ"
"ตรงๆเลยนะ เขาว่าสหายชาวอังกฤษของท่าน มิสสะเตอร์ไว้ กับมิสสะเตอร์
เบอนาบีร่วมกันซื้อสินค้าจากพระคลัง โดยท่านเป็นคนยินยอมขายให้ เขาจึงได้สินค้าหลายอย่าง โดยเฉพาะทองและพลอยที่คนแย่งกันมาก"
"เป็นความจริงขอรับ เขาได้ทำตามระเบียบทุกอย่างขอรับ"
"ท่านรู้หรือไม่ว่าเขามิได้ซื้อให้บริษัทการค้าอังกฤษ แต่ซื้อไปขายเป็นการส่วนตัว"
ฟอลคอนตกใจเล็กๆ "จริงหรือขอรับ"
"การนี้เสียหายมากถึงอังกฤษ เพราะนับว่าเสียผลประโยชน์มากอยู่ ข้าเกรงจะเกิดฟ้องร้องถึงพระเนตรพระกรรณ"
"โอ...พระเจ้า"
"แต่ข้าบอกหลวงสรศักดิ์ว่าท่านไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยอย่างแน่นอน ท่านเป็นคนซื่อสัตย์อย่างยิ่ง ข้ามั่นใจ ต้องเป็นฝรั่งอังกฤษสองคนนั้นที่คดโกงบริษัทของพวกมันเอง"
ฟอลคอนโน้มตัวลงไหว้ สีหน้ากระหยิ่มเล็กๆ
"ข้าเกรงว่าข่าวนี้จะแพร่สะพัดไป ท่านจงหาทางป้องกันไว้ให้จงดี"
ฟอลคอนไหว้"ขอรับ...เป็นพระคุณอย่างยิ่งขอรับ"
บริเวณทางลงเรือนออกญาโกษาธิบดี
ออกหลวงสุรสาครไหว้คุณหญิงนิ่ม "ข้าลาขอรับคุณหญิงท่าน"
"จ้ะ เชิญเถิด"
"เป็นเรื่องสำคัญฤๅไม่ท่านออกหลวง" แม่หญิงจันทร์วาดมองสายตาคมกริบมอง
"เป็นเรื่องคดโกงของผู้อื่น ข้ามิได้เกี่ยวข้อง"
"เช่นนั้นข้าก็ยินดีด้วย"
ฟอลคอนก้มหัว"ข้าลา"
จันทร์วาดก้มหัวตอบ
ออกหลวงสุรสาครออกไป สวนกับชาวบ้านมากันหลายคน แต่ละคนมีของมากำนัลออกญาโกษาธิบดี มีทั้งตะลุ่มใส่ผลไม้เพียบ มีทั้งเครื่องทองเหลือง ผ้าแพรพรรณ ล้วนเป็นผ้าฝรั่งใส่พานมากันเป็นขบวน
คุณหญิงนิ่มบอก "ขึ้นมาได้เลย ออกญาท่านอยู่ที่หอกลาง"
ฟอลคอนยิ้มในหน้า
กลางวัน วันต่อมา ออกญาโหราธิบดีนั่งบอกหนังสือให้อาลักษณ์จด
เกศสุรางค์คลานเข้ามารวดเร็ว
"เอ้าว่ายังไรแม่การะเกด ยังพูดค้างไว้เมื่อวันก่อนมัวแต่ยุ่งเรื่องมุ้งเรื่องม่าน"
"เจ้าค่ะ วันนั้นข้าจะเรียนถามคุณลุงว่าเมอร์ซิเออร์ก็องสตังซ์เขาซื่อสัตย์ต่อท่านออกญาโกษาธิบดีหรือไม่เจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเหลียวขวับมามองเพ่งดู
อ่านต่อตอนที่ 16
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
ระบบเงินตราในอยุธยา