บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
คืนวันนั้น เกศสุรางค์หลับสนิท ฝันดีมากๆ จนเก็บไปฝัน
สองคนนั่งเรือลอยอยู่กลางน้ำ
"แม่การะเกด ออเจ้าเป็นใคร"
เกศสุรางค์ยิ้มน้อยๆ สีหน้ารื่นรมย์
เกศสุรางค์พึมพำ "วันหนึ่งนะคะ...วันหนึ่งคุณพี่จะรู้ค่ะ"
สองคนจ้องตากันเนิ่นนาน
วันรุ่งขึ้น ณ วัดพุทไธศวรรย์
ขุนศรีวิสารวาจายืนบริกรรมคาถา หลับตานิ่ง ใจรวมศูนย์ที่มนตรา
ม่านดูสั่นไหว เหมือนม่านพยายามกันไม่ให้เข้า
ขุนศรีวิสารวาจารวบรวมมนต์ในกายตัว แล้วเดินพุ่งตรงเข้าไป ก้าวต่อก้าว แววตาต่อแววตา
แล้วผ่านพ้นเข้าไปได้ ต่อจากนั้นทุกอย่างเงียบสงัด ลมไม่สะบัด ใบไม้นิ่งสนิท
ชาวบ้านสองคนเดินมา แบกแหแบกข้องไปตกปลา ถึงตรงนี้หยุดเดิน แล้วนั่งพัก
คนหนึ่งเดินไปฉี่ที่ม่านอาคม แล้วร้องเสียงลั่นเพราะเจ็บจี๊ดขึ้นมา กุมส่วนนั้นแล้วล้มลงดิ้นพราด เพื่อนลุกขึ้นมาประคองถาม “เป็นอะไรๆๆ”
ขุนศรีวิสารวาจาหันมาดูข้างหลัง
ได้ยินเสียงร้องของชาวบ้านยังดังก้อง ขุนศรีวิสารวาจายิ้มนิดๆขำๆ แล้วเดินต่อไป
ที่ลานซ้อมมวย ก็ยังซ้อมอย่างตั้งใจอย่างแข็งแรง
ขุนศรีวิสารวาจานั่งอยู่ตรงหน้าชีปะขาวแล้ว ด้วยกิริยานอบน้อมเคารพ
ชีปะขาวสายตาแจ่มใสเหมือนคนหนุ่มๆ มองสายตาเมตตา
"นางคือใครน่ะฤๅ"
"ขอรับ ข้ารู้ว่านางไม่ใช่แม่การะเกด ด้วยว่านิสัยสันดานของนางมิได้เหมือนแม่การะเกดเลย ที่สำคัญวันหนึ่ง...ข้าเห็นนาง"
ชีปะขาวสีหน้าสงบเพราะรู้อยู่แล้ว
"หน้าตาของนางละม้ายแม่การะเกดแต่ข้ารู้ว่านางมิใช่ นางงามกว่าด้วยหัวใจของนาง ด้วยกิริยาวาจาของนาง ด้วยความคิดของนาง" ขุนศรีวิสารวาจากล่าวด้วยเสียงมั่นคง แต่สีหน้าตรึกตรองไปด้วย "ทุกอย่างผิดแผกแปลกเปลี่ยนจนนอกจากหน้าตาแล้วเป็นคนละคนขอรับ"
"เห็นนางแต่ไม่รู้ว่านางเป็นใครฤๅเจ้า"
"ขอรับ ข้าเห็นนาง ข้ารู้ว่านางมิใช่แม่การะเกด แต่ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน เหตุใดนางถึงอยู่ในร่างของแม่การะเกดได้"
"เพราะบุญกรรมแต่ปางบรรพ์จึงทำให้แม่หญิงผู้แปลกประหลาดมาอยู่ในร่างของแม่การะเกดที่หมดบุญไปแล้ว"
"นางจักอยู่ในร่างนี้นานถึงแค่ไหนขอรับ"
"แล้วแต่บุญกรรมแลวาสนา ออเจ้าอย่าได้คิดสงสัยอะไรเลย นางไม่ใช่ภูติผีปีศาจไม่ใช่ยักษีแลนางแปลง นางเป็นคน" ชีปะขาวย้ำ
"ข้าจะถามนางตรงๆได้ฤๅไม่ขอรับ"
"สุดแต่ออเจ้าจักใคร่ครวญเถิด"
ม่านอาคมสั่นไหวเหมือนคนกำลังว้าวุ่นใจหนัก
ขุนศรีวิสารวาจาก้าวผ่านม่านออกมา สีหน้าไม่เหมือนขาเข้าไป
"สุดแต่ออเจ้าจักใคร่ครวญเถิด"
แล้วสีหน้าก็แปรเปลี่ยน เป็นคนที่พอใจแล้ว ตัดสินใจแล้ว
เย็นวันนั้น บริเวณลานด้านหลังของบ้านออกญาโหราธิบดี
เด็กๆหลายคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ล้วนเป็นลูกบ่าวของออกญาโหราธิบดี ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกัน ตั้งแต่ 5-6 ขวบ ถึง 12 ขวบ
เกศสุรางค์เล่นตั้งเตกับเด็กๆ ผิน แย้ม บ่าวอื่นๆอยู่แถวนั้นด้วย
เริ่มด้วยเด็กคนหนึ่งกระโดด
เกศสุรางค์ก็กระโดด ร่าเริงยิ้มหัวเราะเต็มที่
ขุนศรีวิสารวาจายืนแอบดู มีพุ่มไม้บัง จ้อยถือของเดินผ่านหลังไป
เกศสุรางค์นั่งเล่นหมากเก็บกับเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายเล่นวิ่งวนเวียนอยู่อีกทางหนึ่ง
ขุนศรีวิสารวาจายิ้มน้อยๆ มองเอ็นดู
เกศสุรางค์เหมือนรู้ว่ามีคนมอง หันขวับมา
ไม่เห็นใคร ขุนศรีวิสารวาจาหลบเสียก่อน
ผิน แย้ม ถามเสียงเบาๆว่า “มองหาใครเจ้าคะ”
เกศสุรางค์ยังขมวดคิ้วขณะที่ส่ายหน้า
สามคนเดินกลับเรือน
"เด็กพวกนี้เป็นลูกใครมั่งเหรอพี่"
"ลูกบ่าวในบ้านนี้แหละเจ้าค่ะ"
"แต่บางคนดูไม่ใช่ลูกบ่าวนี่พี่"
"เจ้าค่ะ เด็กที่มีพวงมาลัยรัดจุกเป็นลูกของออกญาท่านเจ้าค่ะ" แย้มว่า
"อ๋อ...งั้นเหรอ แต่ไม่ได้อยู่บนเรือนเหรอพี่"
"มีเรือนอยู่ด้านหลังเจ้าค่ะ"
"เรียนหนังสือมั้ย"
"ท่านให้เรียนเจ้าค่ะ"
"เรียนที่ไหน"
"หลวงพ่อวัดใหญ่ชัยมงคลเจ้าค่ะ"
"ดีจัง ผู้หญิงด้วยเหรอพี่"
"โอ๊ย...ผู้หญิงจะเรียนหนังสือได้ยังไรเจ้าคะ" ผินว่า
"นั่นน่ะสิ"
"อ้าว...แม่หญิงจันทร์วาดยังรู้หนังสือ"
"อ๋อ แม่หญิงเป็นลูกสาวขุนน้ำขุนนางตำแหน่งใหญ่โต"
"มีครูไปสอนถึงบ้านด้วยกระมัง" แย้มว่า
ทั้งหมดเดินผ่านพุ่มไม้ที่ขุนศรีวิสารวาจายืนฟังอยู่
"เออพี่...เด็กเมื่อกี้คนไหนเป็นลูกคุณพี่ขุน"
"แม่น๊าย...ถามอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ" ผินว่า
"อ้าว...ทำไมล่ะ"
ผินมองหน้ากับแย้มส่ายหัวกันไปมา
"แม่นายลืมใหญ่ลืมโตปานฉะนี้เชียวหรือเจ้าคะ"
"แหม...ก็เด็กหน้าเหมือนๆกัน มีจุกกลางกระหม่อมเหมือนๆกัน ใครจะไปจำได้ล่ะพี่"
"ท่านขุนไม่เคยเกลือกกลั้วด้วยพวกบ่าวหรอกเจ้าค่ะ" แย้มว่า
"นางพวกนี้ผัดหน้านวลรอคอย หากแต่คอยเปล่า หางตาท่านไม่เคยแลด้วยซ้ำ" ผินบอก
"พวกข้าเจ้าก็คอยดูอยู่" แย้มว่า
"แหม...ไม่แปลกหรอกขนาดกับข้ายังเก๊ก เอ๊ย...หางตายังไม่แลเล้ย ฮึ ถือว่าหล่อเลือกได้" เกศสุรางค์หยุดกึก ขุนศรีวิสารวาจาก้าวออกมายืน
เกศสุรางค์พึมพำในคอ"อูย...! ได้ยินป๊ะเนี่ย"
ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเรียบสนิท "ได้ยิน"
"แอบฟังเหรอคะ"
ผิน/แย้มเตือน "แม่นาย"
"เอ้า...อยากรู้นี่ว่ามายืนซุ่มๆแอบฟัง รู้ว่าตัวเองน่านินทาจะตาย" เกศสุรางค์พูดเร็วๆ
สองบ่าวฟังไม่รู้เรื่อง
ขุนศรีวิสารวาจาพยายามฟังให้เข้าใจ แต่สุดวิสัย
"ข้ามิอาจต่อคำเพราะออเจ้าพูดไม่เป็นประสาอยุธยา"
"งั้นก็ขึ้นเรือนสิเจ้าคะ...รออะไรอยู่"
ขุนศรีวิสารวาจายืนเก้อจริงๆ โมโหตัวเองที่ฟังไม่รู้เรื่อง
เกศสุรางค์นัยน์ตาระยิบระยับ มองล้อๆ รู้ใจคุณพี่ดี
ผินกับแย้มยิ้มหัวเราะกันกิ๊กกั๊ก
"เอ็งสองคน...ขึ้นเรือนไปก่อน"
"เจ้าค่ะ" ผิน/แย้มรับคำแล้วไปอย่างรวดเร็ว
เกศสุรางค์ขยับ ขุนศรีวิสารวาจาเข้ายืนขวางแบบไม่จงใจนัก
เกศสุรางค์หน้าล้อๆ ยิ้มๆ เย้าๆ
ขุนศรีวิสารวาจาจ้องหน้านิ่งอยู่
"จะถามอีกเหรอคะ"
"ถามว่า..."
"ว่าข้าเป็นใคร"
สองคนยืนจ้องหน้ากันนิ่ง
ด้านหลังเป็นวัดไชยวัฒนารามที่ยอดปรางค์อาบด้วยแสงอาทิตย์ดังทองทาบทา
ต่อเนื่องมา สองคนเดินมาด้วยกัน...ช้าๆ อิ่มเอิบใจในสีหน้า
"ข้าสิ้นอยากรู้แล้วว่าออเจ้าเป็นใคร"
"ทำไมหรือคะ"
"เมื่อถึงเวลาข้าคงจะรู้เอง"
เกศสุรางค์พนมมือ "ขอบคุณเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเผลอแตะมือเกศสุรางค์ แล้วรีบชักออกแทบไม่ทัน
"เอ้อ...ขอโทษ ข้าจะบอกว่าไหว้ข้าทำไมฤๅ"
"ขอบคุณที่ไม่บังคับให้ข้าตอบเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาพยักหน้า "ขอบคุณนี่คืออะไร"
"ขอบคุณ...ไม่พูดกันหรือคะ เหมือนขอบใจไงคะ"
"เหมือนขอบใจ เหตุใดมิพูดว่าขอบใจ"
"แบบว่าเด็กพูดกับผู้ใหญ่ค่ะ"
"เด็กไม่ต้องขอบใจผู้ใหญ่"
"เด็กทำไงคะ"
"ไหว้...แล้วพูดว่า ข้าไหว้.."
"อ๋อ...อ้าว...เอ๊ะ แล้วทำไมไม่ให้ข้าไหว้คุณพี่เมื่อกี้"
"เพราะข้ามิได้ทำอะไร ออเจ้าไม่ต้องขอบใจข้า"
"ค่ะ..." เกศสุรางค์ขยับตัวจะขึ้นเรือน
"ประเดี๋ยวเถิด" ขุนศรีวิสารวาจายื่นมือเหมือนจะแตะแขน แต่ไม่แตะ
"เจ้าคะ"
"หางตาข้ามิเคยแลใคร เพราะข้ามีไว้สำหรับคนผู้เดียว"
เกศสุรางค์เสียงแผ่วมาก "ใคร"
"ข้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร" เมื่อพูดจบขุนศรีวิสารวาจาก็ขึ้นบันไดไปทันที
เกศสุรางค์ยืนอึ้งอึดใจหนึ่ง
"อีกแล้วนะอีตาขุนนี่ ชอบพูดแบบเนี้ย...เรื่อยเลย ไม่รู้เหรอว่า...ใจมันสั่น"
วันหนึ่ง ตอนกลางวัน ณ โบสถ์เซนต์เปาโล
หลวงสุรสาครยืนนิ่ง แต่เห็นความกระวนกระวายในสีหน้า
ด้านในโบสถ์
มะลิก้มต่ำคุกเข่า มือประสานกันไปทางพระรูป สังฆราชปัลลูยืนมองอยู่ใกล้ๆ
ฟานิกนั่งอยู่มุมหนึ่งไกลออกไป เออร์ซูล่า ซึ่งเป็นแม่ของมะลินั่งอยู่ด้วย
มะลินั่งตรงหน้าสังฆราชปัลลู
ปัลลูถาม "แม่มะลิ ออกหลวงสุรสาครร้อนใจหนัก"
"ข้าได้แสดงกิริยาให้ท่านออกหลวงรู้เป็นเบื้องต้นแล้ว ข้าหวังว่าท่านออกหลวงจะเข้าใจ" มะลิบอก
"ออเจ้าไม่มีหัวใจให้เขาเลย...เช่นนั้นฤๅ"
"เช่นนั้นเจ้าค่ะ"
"ออเจ้ารักผู้อื่นอยู่ฤๅ"
มะลิตอบชัดเจน"เจ้าค่ะ แต่เขามิได้รักข้าตอบ"
สังฆราชปัลลูคิดถึงที่ออกหลวงสุรสาครบอกไว้
วันหนึ่งในอดีต
สังฆราชปัลลูกับออกหลวงสุรสาคร (ฟอลคอน) เดินไปด้วยกัน ปรึกษากันเบาๆ
"ข้ารู้แจ้งว่านางรักผู้อื่น" ฟอลคอนบอก
"อา...มิน่า นางไม่ยอมตอบรับเสียที"
"ข้ารักนางอย่างจริงใจและหมดใจ...แม้นางจะไม่รักข้าแต่ข้าไม่พะวง ข้าสาบานกับตัวเองว่าข้าจะไม่รักใครนอกจากนาง ขอท่านช่วยบอกนางด้วย ข้าจะสมนาคุณอย่างงาม"
ปัลลูพูดช้า...ชัดๆ น้ำเสียงนุ่มนวล
"แม่มะลิ ผู้ชายคนนี้หลวงสุรสาครรักเจ้าอย่างแท้จริง หาไม่แล้วเขาคงไม่เปลี่ยนมาเป็นแคทอลิกเหมือนอย่างเจ้าหรอก"
มะลินิ่ง
"เปลี่ยนศาสนา คือเปลี่ยนชีวิตนะแม่"
มะลิก้มหน้า บิดมือกันไปมา ใจคอหายวาบหวิว "เจ้าค่ะ"
"เขายอมเปลี่ยนชีวิตเขาเพื่อเจ้า ชายที่เจ้ารักใคร่เขาหามีใจให้เจ้าไม่ ตัวเจ้าจะยอมมีทุกข์ไปตลอดชีวิตฤๅ"
มะลิก้าวเดินออกจากโบสถ์เซนต์เปาโลทีละก้าว ทีละก้าว สีหน้าตรึกตรองคิดหนัก
พ่อกับแม่เฝ้ามองอยู่
มะลิเดินมาตรงหน้า สามคนมองหน้ากัน ในที่สุดมะลิเข้าสู่อ้อมกอดแม่ พ่อมองแบบลุ้น
เออร์ซูล่าจับไหล่สองข้าง "มารี..."
"พ่อท่าน แม่ท่าน ข้าตัดสินใจแล้ว"
สามคนยืนมองกัน
พวกบ่าวนั่งทำกิจกรรมในเรือน เช่น ทำแป้งเม็ด ขัดเครื่องทองเหลือง หรือร้อยมาลัย
คุณหญิงจำปาหน้าจริงจัง มองไปที่บรรดาบ่าวไพร่ซึ่งนั่งทำกิจกรรมอยู่
"อย่าทำอืดอาดอยู่พวกเอ็งเร่งมือเข้าหน่อย"
"คุณแม่ครับ"
คุณหญิงหันมา หน้าเฉย พึมพำ
"อ้อ...พ่อเดช ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญเก็บงำไว้ก่อน ต่อเมื่อแม่เสร็จจากงานพวกนี้แล้วค่อยมาเจรจา"
"ข้าจะขออนุญาตคุณแม่พาแม่การะเกดไปงานแต่งงานเพื่อนของนาง แต่งกับหลวงสุรสาครขอรับคุณแม่"
คุณหญิงจำปาหันมามองนิ่งๆ สายตาเย็นเฉียบ ไม่พูดอะไร
เกศสุรางค์หน้าเสียคิดว่าอดไปแน่ๆ
พ่อเดชมองปลอบใจ พยักหน้านิดๆ เกศสุรางค์กราบลงกับพื้น
"ฮึ..."
"ฮึ... " ปริกเอามั่ง
คุณหญิงจำปาหันมาเหล่ปริก ปริกทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เคี้ยวหมากหยับๆ
"นางชอบหาเรื่องหาราวเข้าตัว ไปที่ใดๆก็ตาม นางจักทำให้อับอายขายหน้า ยิ่งเป็นงานที่มีพิธีรีตรอง นางจะไปทำให้งานเขาเสียหาย"
ขุนศรีวิสารวาจาพูดไม่ออก ชำเลืองสบตาเกศสุรางค์ แววตาบอกว่า “ยาก”
เกศสุรางค์หน้าสลดลง กราบอีกทีแล้วถอย คลานออก ผิน แย้มตาม
บ่าวทุกคนมองจ้อง สีหน้าเห็นใจมาก
"แต่เอาเถอะ"
เกศสุรางค์หยุดกึก หันขวับมา แล้วหมุนตัวอย่างเร็วคลานมาหาจำปา
"จะไปกันก็ได้"
เกศสุรางค์ดีใจวูบ คลานตุ้บตั้บไปหาคุณหญิงจำปา จำปาทำท่าไม่อยากพูดด้วย แต่เกศสุรางค์ยังยิ้มแป้น
"ดูแลกันเองนะพ่อเดช คราวนี้ถ้าทำงามหน้าอีก ข้าจะกักไว้แต่ในเรือนไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันทีเดียว" คุณหญิงมองแบบหมั่นไส้เต็มทน "ดูทำหน้าเข้า"
ปริกผสมโรงทันที "หน้าทะเล้นเกินแม่หญิงผู้ดีเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาเหล่ ปริกม่อยลง
"เป็นจริงนี่เจ้าคะ" ปริกยังวอนต่อ
จำปาถอนหายใจไม่อยากต่อความยาว
"แม่นายท่านไม่เห็นฤๅ"
คุณหญิงหยุดชะงัก
"นังปริก"
ปริกก้มหน้า...ทำคอตกแบบน่าขำมาก
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ท่าน้ำ ผินกับแย้มขัดตัวให้เกศสุรางค์
"พี่ผิน พี่แย้ม พอเถอะ ข้าตัวซีดจนเขียวแล้วนะ หนังหลุดพี่รับผิดชอบได้ป๊ะล่ะ"
สองบ่าวขัด...ขัด...ขัด จนไม่รู้จะขัดตรงไหน
"แค่ไปงานแต่งงานเพื่อน...แต่งกับแค่ออกหลวง จะต้องแต่งอะไรนักหนาฮึพี่จ๋า"
ต่อมา ในห้อง เกศสุรางค์แต่งตัวเต็มยศ แต่ยังไม่มีเครื่องประดับ ยืนหน้ากระจก มองหน้าตัวเองแบบตะลึงงัน
"ที่จริงแต่งแล้วก็สวยดีเหมือนกันนะ" เกศสุรางค์ลูบท้อง "ไม่เคยผอมแบบนี้เล๊ย"
ผิน แย้มทำหน้าแปลกใจ
"ผอมกว่าเมื่อวานจิ๊ดนึง"
สองคนอ่อนใจ
"ชุดเพชรนะเจ้าคะ จะได้ข่มเจ้าสาวไปเลย"
"ทับทิมไม่ดีหรือพี่ผิน" แย้มว่า
"อย่าสอด...นังแย้ม...เพชรนะเจ้าคะแม่นาย"
"ทับทิมเจ้าค่ะแม่นาย"
เกศสุรางค์หยิบสร้อยสังวาลที่ขุนศรีวิสารวาจาซื้อให้ออกมาชูว่าจะใส่เส้นนี้ แล้วผลักเครื่องประดับทุกชุดออกไปไม่ใยดี
เกศสุรางค์ยืนตรงหน้าสวยงามล้ำเลิศ ใส่สร้อยสังวาลเส้นเดียว
ผินบอก "ไม่ได้นะเจ้าคะ"
"ใส่แค่นี้ไม่ได้" แย้มว่า
"อายเขาตาย"
"แม่นายจำปาหายอมไม่เจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจายืนตรงหน้า สายตาดื่มด่ำเมื่อเห็นสร้อยเส้นเดียว
"แม่การะเกด"
เกศสุรางค์หันไป คุณหญิงจำปาเดินมาหน้าเครียด
"เหตุใดปล่อยตัวล่อนจ้อน" จำปาเดินพรวดเข้ามาจับสายสังวาลขึ้นดู "อะไรนี่พลอยเล็ก
เท่าขี้ตาแมว ถอดออกเดี๋ยวนี้ นังผิน นังแย้ม ปล่อยแม่นายของเอ็งตัวเปล่าเล่าเปลือยเช่นนี้ได้ยังไร"
ผิน แย้มไปอย่างเร็ว
"ไม่ถอดเจ้าค่ะ"
"ถอด...ถอดเดี๋ยวนี้ สังวาลนี้น่าเกลียดยิ่งนัก คิดถึงหน้าคุณลุงเจ้า...หน้าข้า... หน้าคุณพี่ของเจ้า"
"ก็คุณพี่เจ้าค่ะซื้อให้ข้า"
คุณหญิงจำปาหยุดกึก มือค้างที่สายสร้อย หันมามองลูกชาย ขุนศรีวิสารวาจาทำตาตอบรับ
ผิน แย้ม ถือถาดใส่เครื่องเพชรมา
จำปาถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ใจลูกชายแล้ว
"เอายังไรดีฮะนางปริก"
"อ๋อ ไม่ยากเจ้าค่ะ"
"ถามอยู่นี่ว่ายังไร บอกมาสิวะ"
"โหมประโคมใส่จนผู้คนไม่เห็นสังวาลเส้นนี้สิเจ้าคะ"
เกศสุรางค์สวนทันที
"ไม่ได้ ข้าไม่ใส่อะไรเลย ข้าจะใส่สังวาลนี้เส้นเดียว"
เกศสุรางค์เดินเคียงข้างขุนศรีวิสารวาจา จ้อย ผิน แย้มเดินตามหลัง
สองคนชำเลืองมองตากัน หน้าต่างหัวใจสบกันอย่างรู้ความนัย
จำปานั่งเอนหลัง เป็นลมเรอเอิ๊กๆ
ปริกพัดถี่ๆ ถัดไปจวง จิก และบ่าวคนอื่นได้แต่ยิ้มๆขำ
แขกที่มาร่วมงานเดินเข้าโบสถ์เซนต์เปาโล ฟานิกและเออร์ซูล่าแม่ของมะลิ ซึ่งเป็นลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่นยืนต้อนรับ คนไทยจะใช้ธรรมเนียมไหว้ ถ้าเป็นต่างชาติจะจับมือ
แขก เดินเข้านั่งในพิธี พูดคุยทักทายกัน
แขกชาวต่างประเทศเข้าไปใช้จอกทองเหลือง ตักน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากหม้อทองเหลืองดื่ม และแตะหน้าผากเบาๆ
ฟานิกและเออร์ซูล่ายังคงรับแขก
ขุนศรีวิสารวาจาและเกศสุรางค์เดินเคียงคู่กันมา ทักทายคู่บ่าวสาว
ขุนเรืองอภัยภักดีเรียก “พ่อเดช” เบาๆ ขุนศรีวิสารวาจาหันไปทักทาย
"หลวงศรียศ" ขุนศรีวิสารวาจายกมือไหว้ "ข้าไหว้"
หลวงศรียศรับไหว้ ทักเกศสุรางค์ "แม่การะเกด"
เกศสุรางค์ไหว้ "เจ้าค่ะท่านออกหลวง"
"วันนี้งามจริงเจียว"
"ข้ากำลังจะพูดท่านออกหลวงตัดหน้าข้าเสียแล้ว" ขุนเรืองอภัยภักดีว่า
ทั้งหมดหัวเราะกัน สองหนุ่มมองเกศสุรางค์เป็นตาเดียว นัยน์ตาพราวทั้งคู่
ขุนศรีวิสารวาจาบึ้งตึงขึ้นพอสังเกตได้
ฟานิกสะกิดเออร์ซูล่า ให้ต้อนรับออกญาโกษาธิบดี ทั้งหมดหันไป
ออกญาโกษาธิบดีลงจากเสลี่ยงแปดคนหาม มาถึงพอดี ท่วงท่าสง่างาม ภูมิฐาน
มีทนายหน้าหอถือหีบหมากทองเดินเคียงมา ทั้งหมดหันไปไหว้นอบน้อม
ออกพระวิสุทธสุนทรนั่งเสลี่ยงสี่คนหาม ทนายหน้าหอประจำตัวมาด้วย
คุณหญิงนิ่ม แม่หญิงจันทร์วาด แม่เลื่อน ภรรยาออกพระวิสุทธสุนทร ขุนสุวรรณ ลูกชายออกพระวิสุทธสุนทร วัยดียวกับขุนศรีวิสารวาจา เดินมาเป็นกลุ่ม ผู้ชายนำหน้า ผู้หญิงตามหลัง
เมื่อฟานิกสะกิดเออร์ซูล่าทักทายเชื้อเชิญให้เข้าโบสถ์
ออกญาโกษาธิบดีและคนอื่นๆเดินเข้าโบสถ์ ผู้คนไหว้ทักทายอย่างเคารพสูงสุด
แขกเหรื่อที่มาในงาน มีทั้งข้าราชการไทยชั้นผู้ใหญ่ มากับคุณหญิงคุณนาย , มิชชันนารี
, คนโปรตุเกส , คนฝรั่งเศส , คนแขก , ญี่ปุ่น ทั้งหญิงและชาย
ผู้คนลุกขึ้นไหว้ ฝรั่งคำนับ อยู่ใกล้ทางเดินก็โค้งแล้วจับมือ
ออกญาโกษาธิบดียกมือรับไหว้ ถ้าเป็นคนอายุน้อยยกมือขวาข้างเดียวรับไหว้ มีคนพาไปนั่ง
เกศสุรางค์เดินเลี้ยวไปทางหนึ่ง ขุนศรีวิสารวาจามองตามไม่วางตา
เกศสุรางค์เดินเข้าไปพูดกับมิชชันนารีผู้ชายคนหนึ่ง คนนั้นพยักหน้า แล้วพาเกศสุรางค์เดินไปด้านหลังโบสถ์
ในห้องเล็กๆหลังโบสถ์ เป็นห้องคอยหรือเตรียมตัว
ช่างแต่งผมกำลังติดดอกกุหลาบบนผมของมะลิ บนโต๊ะมีช่อบูเค่ต์เป็นดอกพุดซ้อนสีขาว
มะลิยังคงเศร้าลึกๆในใจ
เกศสุรางค์เรียก "แม่มะลิ"
มะลิหันขวับมามองผู้เรียกด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
"แม่หญิงการะเกด ข้านึกว่าเจ้าจักมาไม่ได้เสียแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าถูกกักไว้ มิให้ออกนอกเรือน"
"ไม่มาได้อย่างไร งานแต่งของออเจ้าทั้งที"
"ออกไปก่อนอย่าเข้ามาจนกว่าข้าจักเรียกหา" มะลิหันไปบอกหญิงลูกครึ่งโปรตุเกส - สยามที่มาแต่งผม "ออเจ้ามิได้โกรธข้าใช่ฤๅที่แต่งงานกับออกหลวงสุรสาคร"
เกศสุรางค์เสียงเข้ม "โกรธ" มะลิหน้าตกใจ "เสียเมื่อไหร่ เฮ้อ...แต่ข้าก็ไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะ เพียงแต่คิดว่าออเจ้าคงคิดดีแล้ว"
"ใช่ข้าคิดดีแล้ว"
"ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอให้แม่มะลิมีความสุข"
"ขอบใจเจ้ามาก ต่อไปไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจักแปรเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ความรู้สึกนับถือยินดีต่อออเจ้านั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้ข้าจักแต่งแก่ผู้ที่อยู่ในความคุ้มครองของฝรั่งเศส แต่ข้าก็เกิดในแผ่นดินอยุธยา โตในแผ่นดินอยุธยา ข้าจักไม่มีวันลืมตนทรยศต่อแผ่นดินอยุธยาแน่"
"พูดอะไรอย่างนั้น เจ้าคิดอะไรอยู่"
"ออเจ้ารู้ฤๅไม่ การที่พ่อข้าเป็นลูกครึ่งแขกผิวดำทำให้ครอบครัวของเรามีความเป็นอยู่ไม่ผิดกับทาสที่โดนหยามหมิ่น ฝรั่งกันเองยังดูถูกคนไทยยังดูแคลน ถึงจักพอมีเชื้อมีสายอยู่บ้างก็เป็นคนพลัดถิ่นที่ถูกเขาเนรเทศมา"
"ถูกเนรเทศมาจากไหนเหรอแม่มะลิ"
"ญี่ปุ่น"
"ทำไมล่ะ"
"ตาของข้าเป็นเจ้าชายญี่ปุ่นคนแรกที่รับศีลล้างบาป จึงโดนรังเกียจจากพวกพระญาติ"
"จริงเหรอเนี่ย"
"คนญี่ปุ่นที่ศรัทธาพระเจ้าถูกเนรเทศให้ลงเรือออกจากญี่ปุ่น ตากับยายของข้าพบกันในเรือ รักกันพากันมาอยู่อยุธยานี่แหละ"
"โรแมนติกมาก"
"คำฝรั่งใช่หรือไม่"
"ใช่...เออแม่มะลิ ข้าว่าออเจ้าอย่าได้คิดมากไปเลย อดีตเป็นยังไงก็เรื่องอดีต ขณะนี้เจ้ากำลังจะมีอนาคตที่ดี วันนี้เป็นวันดีถึงข้าจะไม่ค่อยชอบใจออกหลวงสุรสาครอยู่บ้าง แต่ที่ได้ยินมาเขาก็จะยกเจ้าให้เป็นเมียเอก ก็พอเดาได้ว่าเขาคงรักเจ้าจริงจังถึงได้ยกย่องขนาดนี้"
ขุนศรีวิสารวาจาชะเง้อมอง ขุนเรืองอภัยภักดีดึงแขนให้หดคอลง แต่คนอื่นๆก็ยังพูดยังคุยกันเสียงแซ่เพราะพิธียังไม่เริ่ม
"กลัวเหลือเกินพ่อเรือง" ขุนศรีวิสารวาจากระซิบกระซาบหัวชนกัน "ไปไหนก็ไม่รู้"
"เอาเหอะน่านางคงรู้กาลเทศะอยู่บ้าง"
"นางไม่รู้หรอก...ตามใจตัวเองเป็นที่สุด"
เกศสุรางค์มานั่งข้างๆอยู่แล้ว รับฟังอย่างตั้งใจ แต่สองขุนไม่เห็น
"นางงามนัก ใครๆก็มิเอาโทษนางหรอก" ขุนเรืองอภัยภักดีว่า
"งามจะเกี่ยวยังไร เขาเห็นว่านางวิปลาสน่ะสิ"
"แต่ข้าไม่บ้านะ" เกศสุรางค์กระซิบเบาๆ
สองขุนสะดุ้งสุดตัว หันขวับมา
"หายไปที่ใดมา พิธีจะเริ่มแล้ว" ขุนศรีวิสารวาจา ทำเสียงเข้มกลบเกลื่อนที่นินทา
"ทำเสียงเขียวกลบเกลื่อน คิดว่าจะพ้นเรื่องนินทาข้าเหรอเจ้าคะคุณพี่"
"ไม่นินทาพูดความจริง"
"ความจริงได้ยังไร นางมิได้เป็นบ้า" ขุนเรืองอภัยภักดีว่า
"ข้าร่วมยืนยันกับพ่อเรือง ถ้านางเป็นบ้า นางจะเป็นคนบ้าที่งามที่สุดในพระนคร" หลวงศรียศว่า
"ถูกต้องนะคร๊าบ..." เกศสุรางค์ว่า
สองหนุ่มหน้าเหวอ ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ขุนศรีวิสารวาจาหันมาทำตาเขียว
เกศสุรางค์เอียงตัวเข้าไป ไหล่ชนไหล่จงใจ...เบาๆ ตายั่วๆ "เรื่องจริง"
ขุนศรีวิสารวาจาใจเต้นแรง ไม่กล้ามอง นั่งตัวตรง มองไปข้างหน้า
สักครู่ก็ค่อยๆเหลือบสายตาไปทางเกศสุรางค์
"ฮะแอ้ม"
ขุนศรีวิสารวาจารีบถอนสายตาไปมองตรงอย่างเดิม
เกศสุรางค์หัวเราะเบาๆ
มีเสียงเคลื่อนไหวที่หน้าประตูโบสถ์ ทุกคนหันไปดู
ฟานิกเดินพามะลิเข้ามา มะลิถือช่อดอกพุดซ้อนสีขาวช่อใหญ่ เพื่อนเจ้าสาว 2 คน แต่งตัวฝรั่ง กระโปรงสุ่มสีขาว เดินตามมาด้วย
มะลิสีหน้าพยายามพรางความหมอง ฝืนยิ้มไปทั่วๆ สบตาเกศสุรางค์ เกศสุรางค์พึมพำปลอบใจ แม่มะลิยิ้มให้แกมเศร้าๆ
ขบวนเจ้าสาวเดินไปจนถึงข้างหน้า สังฆราชปัลลูคอยอยู่
เกศสุรางค์มองไป
นิกส่งมือมะลิให้หลวงสุรสาคร ทั้งสองคนไปยืนหน้าสังฆราชปัลลูที่ยืนคอยทำพิธีอยู่
"ตื่นเต้นค่ะ"
ขุนศรีเหลือบมองตาดุๆ "เหตุใดกัน"
"เอ๊า...เพื่อนแต่งงาน"
"มิใช่ตัวเอง"
"ฮึ" พิธีจะเริ่มแล้ว เกศสุรางค์ชะเง้อมอง
บ่าวสาวคุกเข่าตรงหน้าสังฆราช
เกศสุรางค์ชำเลืองมองขุนศรีวิสารวาจาที่หน้าคว่ำ
"ก็ตื่นเต้นได้...จะทำไม"
"มารี กีมาร์ เด ปินา" เสียงสังฆราชปัลลูดังก้องโบสถ์
"ไม่เข้าเรื่อง"
เกศสุรางค์ชำเลืองค้อน
"เจ้าจะรับนายคอนสแตนติน ฟอลคอน"
เกศสุรางค์ลุกยืนพรวด ครางเบาๆในคอ “ฟอลคอน...วิชาเยนทร์”
ขุนศรีวิสารวาจาดึงแขนเต็มแรงให้นั่งลง
เกศสุรางค์หันขวับมา ตื่นเต้น "คุณพี่"
ขุนศรีวิสารวาจาเอามือจุ๊ปาก พยักหน้าให้ดูพิธีต่อ
"เจ้าจะรับนายคอนสแตนติน ฟอลคอน เป็นสามี ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย จนกว่าจะตายจากกันหรือไม่"
เกศสุรางค์ ตกใจตื่นเต้น
เสียงสังฆราชปัลลูอยู่ไกลๆ
"นายคอนสแตนติน ฟอลคอน ท่านจะรับนางมารี กีมาร์ เด ปินา เป็นภรรยา ไม่ว่าจะยามสุขหรือทุกข์ มั่งมีหรือยากจน สบายดีหรือเจ็บป่วย จนกว่าจะตายจากกันหรือไม่"
"ข้ารับ" เสียงเบามากๆ
เกศสุรางค์จับหัวใจ รู้สึกว่าเต้นแรงมาก
เกศสุรางค์คิดในใจ
"ฟอลคอน...เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ มารี กีมาร์...ท้าวทองกีบม้า โอย...ตาย...ตาย...ตายแน่ ไอ้เรือง ชั้นคิดถึงแกจัง"
หลวงสุรสาครยืนอยู่หน้าโบสถ์ มะลิยืนข้างๆ ผู้คนอยู่ข้างหน้าตบมือเสียงดังกราว
ฟอลคอนยกมือว่าจะพูดอะไรบางอย่าง
"ข้าขอขอบใจทุกท่านที่มางานข้าในครานี้ ขอขอบพระคุณเจ้าพระยาโกษาธิบดีที่เมตตาต่อข้าเสมอมา ต่อไปนี้ข้าขอประกาศให้ทุกผู้ทุกคนจงอย่าได้เรียกเมียข้าว่าแม่มะลิอีกต่อไป เพราะข้าไม่ชอบใจชื่อนี้เป็นที่ยิ่ง เมียของข้าไม่ได้เป็นแม่ค้าเรือนแพเฉกเช่นเดิม จึงไม่จำเป็นต้องมีชื่อเพื่อให้เรียกได้ง่ายอีกแล้ว จงเรียกนางว่า ตองกีมาร์ เช่นผู้หญิงฝรั่งเศส" น้ำเสียงของฟอลคอนแสดงความอหังการ
หลวงสุรสาครพาเมียไหว้พระยาโกษาธิบดี (โกษาเหล็ก) , พระวิสุทธสุนทร (โกษาปาน) และ คุณหญิงทั้งสองคน ทักทายปราศรัยกับลูกๆ
มารี กีมาร์พูดกับจันทร์วาด แขกเหรื่อมาแสดงความยินดี
หลวงสุรสาครไหว้...พูดคุยกับข้าราชการไทย
เกศสุรางค์ยืนกับขุนศรีวิสารวาจา , ขุนเรืองอภัยภักดี และหลวงศรียศ
ออกขุนเรืองอภัยภักดีนั้นจ้องแม่หญิงจันทร์วาดไม่วางตา สายตาเหมือนมีแรงดึงดูด
จันทร์วาดหันมามองสบตากันอย่างแรง อึดใจหนึ่งจันทร์วาดก็ถอนสายตาหันกลับไป
จันทร์วาดระทึกใจ แต่สงวนกิริยา ขุนเรืองอภัยภักดีชอบเข้าไปแล้วอย่างมากๆเสียด้วย
เกศสุรางค์เอื้อมจับมือมารี กีมาร์บีบแน่น
"ข้ากลับนะแม่มะลิ เอ๊ย มารี"
"ข้าอยากให้เรียกข้าอย่างเดิม"
"ไม่ได้แล้ว...เป็นชื่อต้องห้าม ห้ามเรียก" เกศสุรางค์ยิ้มขำ
"ออเจ้าจะมาหาข้าอีกฤๅไม่"
"มาชัวร์อยู่แล้ว ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าอีกมากมาย เขาจะกลับกันแล้ว"
มารีเข้ากอดเกศสุรางค์เต็มอ้อมแขน น้ำตาซึมๆ หันไปลาออกขุนและหลวง
สุดท้ายประนมมือไหว้ขุนศรีวิสารวาจา นัยน์ตาเศร้ามองหน้า ขุนศรีวิสารวาจาทำหน้าปกติ
เกศสุรางค์หันไปเห็นพอดีว่า หลวงสุรสาครเพ่งมอง สายตากร้าว
หลังร่ำลาเสร็จจะออกเดินกลับ มารีก้าวมาก้าวหนึ่งเหมือนจะเดินตาม
หลวงสุรสาครจับแขนมารีบีบแน่น และดึงกลับไป...เบาๆ
มารีหยุด ยืนนิ่ง แล้วหันไปตามมือของคนได้ชื่อว่าเป็น “สามี”
จำต้องเดินห่างออกไปจากชายที่มีใจให้เสมอมา
ขบวนของออกญาโกษาธิบดีมาที่เสลี่ยงซึ่งจอดคอย พวกออกขุน ออกหลวงตามมาส่ง
ออกญาโกษาธิบดีขึ้นเสลี่ยง คุณหญิงนิ่ม แม่หญิงจันทร์วาด และคนติดตามเดินตาม
ปิ่นประดับผมจันทร์วาดตก ขุนเรืองอภัยภักดีเห็นพอดี เก็บแล้วไปที่จันทร์วาด
“แม่หญิง ออเจ้าทำตก”
จันทร์วาดประนมมือไหว้ รับไป “ขอบใจค่ะ”
ขุนเรืองอภัยภักดีแตะปลายนิ้วนิดหนึ่งก่อนปล่อยปิ่นไป จันทร์วาดหน้าระทึกใจเพิ่มขึ้น
ออกพระวิสุทธสุนทรขึ้นเสลี่ยงเหมือนกันสี่คนหาม
ขบวนออกญาโกษาธิบดีไปเป็นแถวยาว
ขบวนขุนศรีวิสารวาจา มีคนมาไหว้ลาทักทาย
“ขุนเรืองคะ” เกศสุรางค์เรียกขึ้น
“มีอะไร”
“ตอนสังฆราชเรียกชื่อคอนสแตนติน ฟอลคอน ขุนเรืองรู้สึกยังไงคะ”
“รู้สึก...ข้าควรรู้สึกยังไร” ขุนเรืองอภัยภักดีงง
“ก็...รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เรารู้จัก”
“อ๋อ...”
“คะ” เกศสุรางค์หน้าตื่นเต้น
“ข้าจะรู้สึกทำไม ก็ข้ารู้จักทั้งตัวเขา ทั้งเมียเขา”
“เฮ้อ...ไม่ได้เรื่อง”
หลวงศรียศบอก“ขุนเรือง...ไปเถิดหนา”
“ข้าลาล่ะแม่การะเกด”
“ข้าก็ลา” หลวงศรียศบอก
สองหนุ่มลาไป เกศสุรางค์โบกมือบ๊ายบายแบบสมัยใหม่ สองหนุ่มชอบใจมาก
จ้อยเข้ามาชี้มือให้ไปทางโน้นที่เรือจอดอยู่
ขุนศรีวิสารวาจาเดินคอแข็งไป เกศสุรางค์เดินตามมองหน้าตลอด
“ดูกระไรฤๅ” ขุนศรีวิสารวาจาไม่หันมามองด้วยซ้ำ
“ออกหลวงสุรสาครโกรธอะไรคุณพี่ ทำท่าเหมือนหึงหวง ไม่เห็นหรือคะ”
“เห็น...”
เกศสุรางค์เสียงสูง “เห็น ?”
“ข้าไม่สนใจ เพราะข้าไม่เคยคิดอะไรกับเมียเขา” ขุนศรีวิสารวาจาสาวเท้าไปอย่างเร็ว
เกศสุรางค์นิ่งอึ้งไป เดินตาม ฉับพลันขุนศรีวิสารวาจาหันขวับมาจนเกศสุรางค์ต้องเบรกเอี๊ยด หน้าเกือบคว่ำ
“หากพ่อเรืองกับออกหลวงศรียศพาออเจ้ากลับเรือนตนได้คงกระทำไปแล้วหนา”
“หือ...”
“น่าเสียดายแทนยิ่งนัก ที่ออเจ้ามามีเรื่องเล่าลือกับข้าเสียก่อน มิเช่นนั้นหัวกระไดเรือนคงมิแห้ง ข้าก็คงมิต้องเสียสละตัวเอง”
เหมือนโยนไฟเข้าไปในกองฟาง เมื่อได้ยินเกศสุรางค์ก็โกรธจนควันแทบออกหู...อีตาขุนเวร !
“ต่อให้ข้าต้องเป็นสาวเทื้อไม่มีใครต้องการ ก็ไม่กราบกรานขอให้ใครมาออกเรือนด้วย ไม่ต้องการให้ใครต้องมาเสียสละตัวเองทั้งๆที่ไม่เต็มใจ หากคุณพี่ไม่พอใจ ข้าจะบอกคุณป้ากับคุณลุงเองว่าเรื่องหมั้นหมายนั้น...ไม่จำเป็น” เกศสุรางค์พูดใส่หน้า
จ้อยกระโจนเข้ามาในครัว ทุกคนตกใจทิ้งของในมือโครมๆ ร้องเอ็ดเสียงดัง
“มาอยู่นี่กันหมดทุกคนด้วยเหตุใด”
ปริกถาม “ทำไมอ้ายจ้อย ถามหยั่งก๊ะเป็นเจ้าเป็นนาย”
“ถามแทนเจ้านายสิป้าปริก ไม่มีใครอยู่บนเรือนเผื่อท่านเรียกหาล่ะ”
จวงถาม “ท่านไหน”
“เอ๊ะพี่จวง ใยถามหาเรื่องอย่างนั้น”
“เอ้า...อยากรู้จริงๆว่าท่านไหน”
“มีอยู่สองท่านเท่านั้น ถามทำไมพี่จวง”
จิกบอก“ท่านไม่อยู่ทั้งสองคน อย่าเอ็ดอึงไปพ่อจ้อย”
“ไม่อย่างนั้นจะลงมาอยู่พร้อมหน้าตรงนี้ได้ไง” ปริกบอก
บุ้งขยับตัว “หรือว่าท่านมาแล้ว”
“ไม่ใช่ ข้าจะบอกความพี่ผินกับพี่แย้ม”
ผิน/แย้มขยับตัว “มีอะไร”
“แย่แล้วพี่”
ทุกคนอยากรู้ “หา...ทำไม มีอะไร ใครเป็นอะไร”
“หยุด...จะบอกให้ก่อนหูจะแตก ท่านขุนกับแม่หญิงการะเกด”
ทุกคนถามอีกตามเคย
“นั่งเรือกลับมาจากงานแต่ง ไม่พูดกันซักคำ”
ทุกคนร้อง “โธ่เอ๊ย”
“ไม่สนใจฤๅนี่ พี่ผินพี่แย้ม”
ผินบอก “อีกประเดี๋ยวก็พูดกันเอง”
จ้อยบอก “พูดกันเองแล้ว”
แย้มถาม “เห็นฤๅไม่”
“ตีกันอยู่ที่ท่าน้ำ”
สองคน “หา” แล้วกระโจนไปทันที
สองคนยืนจ้องตากัน ประจันหน้ากัน
“เรื่องหมั้นไม่จำเป็นเพราะออเจ้าไม่อยากให้หมั้นเสียกระมัง”
“ข้าไม่อยากให้หมั้นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว”
“เห็นฤๅไม่ ในที่สุดก็ไม่พ้นต้องสารภาพ”
“ใครล่ะที่บอกว่าต้องเสียสละตัวเอง คุณพี่ใช่มั้ย ไม่อยากแต่งใครเขาบังคับ ตัวเองเป็นคนเสนอแท้ๆ ข้าบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ต้องๆๆๆ” เกศสุรางค์รัวเสียงถี่ยิบ “เพราะข้าไม่สนเข้าใจมั้ย ไม่สนว่าจะมีใครว่าอะไร เพราะช่วยคนจมน้ำมันเป็นเรื่องทางเทคนิค ไม่มีใครเข้าใจก็อย่าเข้าใจ”
ขุนศรีวิสารวาจายืนงงงวย “เฮ้อ” ถอนหายใจเบาๆ “ฟังไม่รู้ความ” แล้วหันหลังกลับเดินไป
เกศสุรางค์พรวดเข้าคว้าแขนอย่างแรง จนขุนศรีวิสารวาจาเสียหลักถอยหลังเกือบล้ม เซแซ่ดๆ
เกศสุรางค์เข้าประคองทันที อย่างหนักด้วยเพราะอยู่ในท่าที่ไม่ถนัดทั้งคู่ เกศสุรางค์ก็จะล้มไปด้วย
ผิน แย้มโผล่มาเห็นพอดี จ้อยตามมา
“ไม่ต้อง...ปล่อยข้า”
เกศสุรางค์ก็ปล่อยจริงเหมือนกัน ขุนศรีวิสารวาจาก้นกระแทกและป่ายมือมาคว้าแขนเกศสุรางค์อีก
เกศสุรางค์เลยนั่งแป้กลงไปเบียดกันอยู่ ขากางทั้งคู่
ตอนล้มสายสังวาลขาด พลอยกระจาย
ผิน แย้ม จ้อยตาโต แล้วรีบหลบกันไป
สองคนยังนั่งอยู่
“เจ็บที่ใดบ้าง”
“ไม่เจ็บซักที่”
ขุนศรีวิสารวาจาขยับตัวแล้วนิ่วหน้า ต้องนั่งลงไปอีก
เกศสุรางค์ชำเลืองมอง ห่วงเหมือนกัน
“ออเจ้าพูดราวมิมีผู้ใดมาเมียงมอง พ่อเรืองกับออกหลวงศรียศคงจักเสียใจยิ่งแล้ว หากได้ยินว่าออเจ้าจักเป็นสาวเทื้อ มิต้องห่วงกังวลไปดอกหนา เพียงออเจ้าเดินทิ้งชายสไบ ผู้ชายทั่วพระนครก็จักมารับขวัญออเจ้ากันถ้วนทั่ว” ขุนศรีวิสารวาจาเขยิบตัวลุก
“พูดอีกก็ถูกอีก แต่อย่าพูดอีกดีกว่า อารมณ์เสีย !”
เกศสุรางค์ลุกพรวดไปอย่างเร็วปานพายุ แถมกระแทกสีข้างขุนศรีวิสารวาจาจนต้องนั่งแปะไปอย่างเดิม
ขุนศรีวิสารวาจานั่งหมดแรง
ในห้อง เกศสุรางค์ถอดเสื้อผ้าอย่างเร็ว บ่นพึมพำ
“ดีนะคุณป้าให้ฝึกงานแม่เรือนก่อนหมั้น ไม่ต้องม่งไม่ต้องหมั้นกันหรอก” เกดสุรางค์หยุดกึก มือจับสังวาล ร้องเสียงหลง “พี่ สังวาลหายไปไหน”
บริเวณท่าน้ำ ขุนศรีวิสารวาจาเก็บเม็ดทับทิม แล้วหา แล้วเก็บ
เกศสุรางค์บ่นพึมพำ
“สงสัยจะขาดตอน...อีตาขุนเวร”
ผิน/แย้มขยับตัวจะไป“ข้าจักไปหา”
“ไม่ต้อง นี่ค่ำแล้วหาก็ไม่เจอหรอกพี่”
ที่หอกลาง ขุนศรีวิสารวาจาวางทับทิมเท่าที่หาได้ใส่จาน
ออกญาโหราธิบดีเงยหน้ามอง
“อะไรหรือพ่อเดช”
“แม่การะเกดทำสังวาลขาดขอรับ”
“นั่นไง มิอะไรก็ต้องอะไรซักอย่างสิน่า” คุณหญิงว่า
“ร้อยไว้ไม่แน่นหนาขอรับ จึงขาดง่าย”
“เดินกะผลุบกะผลับเป็นอันแน่นอน จึงขาด”
เกศสุรางค์ออกมา เดินตรงไปที่ออกญาโหราธิบดี ทุกคนมองว่าจะทำอะไร
“คุณลุงเจ้าขา ข้ามีเรื่องคุยกับคุณลุงเจ้าค่ะ”
ขุนศรีวิสารวาจาทำท่าปวดหัว จำปาเหล่
“ทำยังไรสังวงสังวาลขาดสิ้น” คุณหญิงถาม
เกศสุรางค์บอกเสียงเรียบร้อย “อ๋อ...คุณพี่ขุนดึงเจ้าค่ะ”
คุณพี่ขุนตกใจตาค้าง
“พ่อเดช เกิดเหตุดึงทึ้งอะไรกันฤๅ”
“ข้าเก็บมาให้หมดแล้ว อยู่นั่น เอาไปเสีย”
“คุณพี่ต้องร้อยให้ข้าด้วย”
ขุนศรีวิสารวาจาอยากเป็นลม ตอบไม่ถูก
คุณหญิงจำปาเสียงแข็ง“แม่การะเกด เอาไปร้อยเอง”
“คุณพี่ทำขาด คุณพี่ต้องเป็นคนร้อยเจ้าค่ะ”
“ออเจ้าช่างเป็นคนที่น่ารำคาญยิ่งนัก”
ออกญาโหราธิบดีบอก“แม่จำปา เอาเถอะ...นังปริก”
“เจ้าขา”
“เอ็งเอาทับทิมนี่ไปร้อยให้เหมือนเดิม”
“ของผู้ใดให้ผู้นั้นร้อยสิเจ้าคะ ข้าเจ้าไม่ร้อยเจ้าค่ะ”
ออกญาโหราธิบดีอ่อนใจ มองหน้าขุนศรีวิสารวาจาที่อ่อนใจพอกัน
ออกญาโหราธิบดีหัวเราะเบาๆ
“พ่อเดช ในเรือนเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนไป ออเจ้าเห็นฤๅไม่ลูก”
“เห็นชัดเจนขอรับคุณพ่อ”
ออกญาโหราธิบดีหัวเราะชอบใจ ขุนศรีวิสารวาจาโคลงหัวแบบไม่รู้จะพูดยังไงต่อ
“ด้วยเหตุใดกันฤๅพ่อเดช”
ขุนศรีวิสารวาจาชำเลืองมองเกศสุรางค์ที่นั่งฟังตาแป๋ว ไม่รู้ไม่ชี้
“เอาล่ะไม่อยากรู้แล้ว...แม่การะเกด มีอะไรจะถามลุงว่ามาเถิด”
“คุณลุงเจ้าขา ข้าอยากรู้เรื่องของคอนสแตนติน ฟอลคอนเจ้าค่ะ”
ออกญาโหราธิบดีหันขวับมองเกศสุรางค์
ขุนศรีวิสารวาจาหันขวับมอง
หน้าฉงนทั้งสองคน
หมายเหตุ เนื่องจาก โกษาปาน ในบทโทรทัศน์เมื่อแรก ใช้คำว่า "พระวิสูตรสุนทร" และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคำถูกต้องคือ "พระวิสุทธสุนทร" ดังนั้น นับจากบทนี้เป็นต้นไป จะใช้ตามคำที่ถูกต้อง จึงเรียนมาเพื่อทราบ
อ่านต่อตอนที่ 15
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
ท้าวทองกีบม้า (อีกครั้ง)
มอนิกะ (Monica) ชื่อเดิมคือ มารี กีมาร์ เดอ ปีนา (Marie Guimar de Pinha)หรือ ดอญญ่า กูโยมาร์ เดอ ปินา (Dona Guyomar de Pinha) หรือ มารี ปิยา เดอ กีมา (Marie Pinha de Guimar) หรือ แคทเทอริน เดอ ทอร์ควิมา (Catherine de Torquema) หรือ มารี กีมาร์ (Marie Guimar)เป็นคริสตัง เชื้อสายโปรตุเกส - เบงกอล - ญี่ปุ่น อพยพมาจากอาณานิคมโปรตุเกสในเมืองกัว (Goa) มารดาชื่อ อูร์ซูล ยามาตะ (Ursula Yamada) ลูกครึ่งโปรตุเกส - ญี่ปุ่น ได้สมรสกับคอนสแตนติน ฟอลคอน ในขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็น ออกพระฤทธิกำแหงภักดีศรีสุเรนทเสนา (Pra Rete Comheng Pac Si Surenta Sena) ในปี พ.ศ. ๒๒๒๕ จนมีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ จอร์จ (George) ต่อมาแต่งงานกับลุยซา ปัสชัญญา (Louisa Passagna) และ อวน ฟอลคอน (Jaun Phaukon) เสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ หลังจากฟอลคอนถูกประหารชีวิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๓๑ ออกหลวงสรศักดิ์ (สมเด็จพระสรรเพชญที่ ๘ หรือ พระเจ้าเสือ) ต้องการนางไปเป็นภรรยา แต่นางปฏิเสธ นางจึงถูกถอดยศเป็นทาส และจำคุก ๒ ปี (โรงม้า) ซึ่งเธอคิดหาทางหนีอยู่ตลอดเวลา โดยหวังจะให้นายพลเดส์ฟาร์จช่วย แต่ถูกปฏิเสธ โดยอ้างความปลอดภัยของชาวคริสต์และคลังสินค้าของฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุธยาอาจถูกทำลาย จึงทำให้เธอและบุตร (จอร์จ ... George Phaukon) ต้องเที่ยวขอทานเขากิน หาใครเกี่ยวข้องด้วยไม่ เธอจึงตัดสินใจทำจดหมายลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ค.ศ. ๑๗๐๖ ถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ให้ช่วยเหลือแบ่งรายได้ของบริษัทฝรั่งเศสที่คอนสแตนติน ฟอลคอนมีหุ้นส่วนอยู่ด้วย แต่ถูกปฏิเสธในการแบ่งรายได้ในตอนแรก จนในปี ค.ศ. ๑๗๑๗ รัฐบาลฝรั่งเศสได้อนุมัติให้ส่งเงินมายังเธอ ขณะเดียวกัน เธอก็ยังถูกนายพลเดส์ฟาร์จคดโกงทรัพย์สมบัติของฟอลคอนที่เธอเคยฝากไว้ เพื่อที่เธอหวังจะนำไปใช้ในประเทศฝรั่งเศส และแล้วในที่สุดก็ตกเป็นสนมของออกหลวงสรศักดิ์ ต่อมาได้มาทำงานที่ฝ่ายวิเสทจนได้รับบรรดาศักดิ์เป็น "ท้าวทองกีบม้า" นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ดูแลเครื่องเสวย เครื่องเงิน เครื่องทอง เป็นหัวหน้าภูษามาลา และเป็นพระพี่เลี้ยงพระโอรสธิดาของพระเจ้าแผ่นดินอีกด้วย และในบั้นปลายชีวิตของเธอ ได้พำนักอยู่กับ ปัสชัญญา (Louisa Passagna ภรรยาจอร์จ) สะใภ้ของเธอ ท้าวทองกีบม้าถึงแก่มรณกรรมในปี ค.ศ. ๑๗๒๒ อายุ ๖๔ ปี (ข้อมูลจาก "ฟอลคอน Phaulkon" , เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , สำนักพิมพ์ศยาม, หน้า ๑๓๘ และ ๓๕๖)