xs
xsm
sm
md
lg

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 13 : เชียร์ เรือขุนนางสู้ๆ !

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 13

บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา

เช้าวันรุ่งขึ้น ณ หอกลาง ขุนศรีวิสารวาจานั่งอ่านหนังสือ แต่แววตาว้าวุ่นจดจ่อไปทางห้องการะเกดอยู่ร่ำไป
 
ออกญาโหราธิบดีนั่งคัดหนังสืออยู่ใกล้ๆเหมือนไม่สนใจ แต่ลอบชำเลืองมองลูกชาย สีหน้ารู้ทัน
จ้อยคลานเข้ามา "ท่านขุนขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจา นิ่ง ได้ยินแล้ว...ไม่อยากตอบ
"ท่านขุน..."
"ว่าอะไรก็ว่าไป"
"บ่าวเตรียมเรือพร้อมแล้วขอรับ"
"เอ็งจะเร่งข้าไปหาสวรรค์วิมานอันใด ฮะไอ้จ้อย"
จ้อยหน้าเหวอน้อยๆ "ท่านขุนสั่งข้าไว้ว่าวันนี้จะรีบไป"
ขุนศรีวิสารวาจาลุกพรวดไปทันที จำปาออกมา
จ้อยนิ่งงงอยู่ พริบตา ทำอะไรไม่ถูกเลย
ออกญาโหราธิบดีบอก"ไอ้จ้อยตามนายเอ็งไปสิ เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก"
"ขอรับ" จ้อยออกไปอย่างเร็วรี่
ออกญาโหราธิบดียิ้มน้อยๆ เหลือบไปเห็นผินเดินออกมา
"ผิน"
ขุนศรีวิสารวาจาจะลงบันไดอยู่แล้วหันขวับมาอย่างเร็ว จนไอ้จ้อยกระโดดหลบเกือบไม่ทัน
ขุนศรีวิสารวาจามองจ้องไปที่ออกญาโหราธิบดีและผิน
"แม่นายของเอ็งเป็นยังไร"
"เจ็บเจ้าค่ะ"
"เจ็บนั่นข้ารู้แล้ว ทุเลาบ้างหรือยัง"
"เป็นไข้เจ้าค่ะ" ผินบอก
คุณหญิงจำปาสั่ง
"นังผินเอ็งตอบเลี้ยวไปเลี้ยวมา ออกญาท่านถามเอ็งว่าทุเลาหรือยัง"
"เป็นไข้สูงเจ้าค่ะ"
"เฮ้อ...เอ็งจะไปไหนก็ไปเถอะ" ผินเดินออกไป จำปามองหาปริก "นังปริกไปไหน"
ปริกจอมสาระมาอย่างเร็ว "อยู่นี่เจ้าค่ะ"
"เอ็งไปดูแม่หญิงการะเกด ได้ไข้ขึ้นมา คงระบมเพราะพิษหวายนั่นแหละหนา"
"โอ๊ย แม่นายท่านเจ้าขา จะห่วงแม่หญิงใยกันเจ้าคะ เดี๋ยวก็หายเจ้าค่ะ แม่หญิงร้ายกาจโรคภัยไข้เจ็บยังแพ้เจ้าค่ะ"
"นังปริก" ขุนศรีวิสารวาจาเรียกตะคอกเสียงดัง
ปริกสะดุ้งสุดตัว "เจ้าขาท่านขุน"
"เอ็งได้ไข้เมื่อใดไม่ต้องกินยา เพราะโรคร้ายก็แพ้เอ็งพอกัน"
ปริกตัวลีบติดกระดาน
จวง จิก แอบหัวเราะกันเบาๆ
ปริกเห็นกระซิบตวาด "นังจวง นังจิก"
"นังจวง นังจิก เอ็งเป็นพยานด้วยว่าข้าสั่งเช่นนี้"
จวง/จิกรับคำ "เจ้าค่ะ"
ปริกหันมาเข่นเขี้ยว จะพูดอะไรแต่ไม่ทัน
"ผิน" ขุนศรีวิสารวาจาเดินตามผินไป

หน้าห้องการะเกด
"ผิน" ขุนศรีวิสารวาจาเรียก
"เจ้าคะ"
"มียาแก้ไข้ฤๅไม่"
"บ่าวกำลังจะไปหาเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาส่งห่อยาให้ "เอ้า แล้วมองด้วยสายตาอาทร ห่วงใยผ่านประตูเข้าไป "ยาตำละเอียดแล้ว ละลายน้ำให้แม่หญิงกิน"
ผินลอบยิ้ม "เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"

ออกญาโหราธิบดีเอียงตัวหาคุณหญิงจำปา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จำปาเห็นลูกชายเดินกลับมา
"พ่อเดช"
ขุนศรีวิสารวาจาเดินผ่านอย่างเร็ว ลงบันไดไป
"ว่ายังไรเจ้าคะ"
"แม่จำปาฝึกสอนการบ้านงานเรือนให้แม่การะเกดไม่เสียเปล่าแล้วกระมัง"
"โอ๊ย...ข้าล่ะอยากให้เสียเปล่าจริงๆเจ้าค่ะ"
ปริกกระซิบเบาๆ "จริงเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีมองปริก ปริกหงอย
"แม่จำปาเป็นแม่ อยากให้ลูกชายเป็นสุขฤๅไม่"
"ท่านทำไมถามข้าเช่นนั้นเจ้าคะ ข้าฤๅจะไม่อยาก"
"อ้อ...อยากงั้นรึ" ออกญาโหราธิบดีสีหน้ามองยิ้มๆ ...
"อยากเจ้าค่ะ แต่ไม่ใช่กับนางคนนี้ข้าก็จักมีสุขไปด้วย แต่ถ้าใช่..." คุณหญิงทอดเสียง "ข้าก็..."
ออกญาโหราธิบดีเสียงเข้มจริงจัง
"เขาเป็นคู่กัน เขามีบุพเพสันนิวาสร่วมกัน"
คุณหญิงจำปา ปริก ต่างนิ่งเงียบงันไป
"ข้าไม่ต้องดูดวงชะตาของเขาข้าก็รู้ แม้ว่าข้าจะมิค่อยอยู่ในเรือน ใยคนที่อยู่เรือนทั้งวันจึงมิเห็นในข้อนี้"

ทั้งหมดนิ่งเงียบ

จวงก้มหน้าตอบค่อยๆ "ข้าเจ้าเห็นอยู่บ้างเจ้าค่ะ"

จิกบอก"ข้าเจ้าก็เช่นกันเจ้าค่ะออกญาท่าน"
"แต่เหตุใดคุณหญิงกับบ่าวคนสำคัญจึงมิรู้"
ปริกฟุบหมอบลงไปอยากแทรกแผ่นดินตรงนั้น
"เป็นอันว่ารู้กันทั่วแล้วนะ ไม่ต้องตกใจหรอกนางปริก ระวังตัวเอ็งไว้ให้ดีเถิด"
คุณหญิงจำปารับรู้ แต่ไม่อยากรับทราบ หน้านิ่ง คอแข็ง ปริกสะท้านเกิดหวาดหวั่นขึ้นมา แต่ยังไม่ยอมสิโรราบ
ออกญาโหราธิบดีลุกขึ้นจะเดินไป
"บ่าวโดนแม่หญิงกระทำมามากกว่าใคร บ่าวสมควรแล้วที่จะระวังแม่หญิง"
ออกญาโหราธิบดีเสียงดังขึ้นมา
"เอ็งไม่มีลูกนัยน์ตามองฤๅว่าแม่หญิงไม่เหมือนเดิม"
"บ่าวก็ยังไม่ไว้ใจเจ้าค่ะ" ปริกลูบแก้มรู้สึกเจ็บขึ้นมา
ออกญาโหราธิบดีเสียงดังขึ้นไปอีก
"เออ...เอ็งจะคอยจนนางไล่เอ็งพ้นเรือนรึ"
"ถ้าแม่หญิงไล่บ่าว แม่หญิงก็ไม่เปลี่ยน"
ออกญาโหราธิบดีนิ่งอึ้ง จำปาหันมาพูดตรงๆใส่หน้า
"จริงเจ้าค่ะ ถ้านางไล่ใครแม้แต่คนเดียว นางก็คือการะเกดคนเดิม ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะเกลียดนางตลอดไปถึงแม้ว่านางจะเป็นลูกสะใภ้ของข้า"
คุณหญิงจำปาเข้าห้อง ปริกตามว่องไว
"เฮ้อ" ออกญาโหราธิบดีถอนใจยาว
จวงกับจิกคลานจะออก
"นังจวง...นังจิก เอ็งสองคนเห็นเป็นประการใดวะ"
สองคนมองหน้ากันแบบเกร็งๆ
"เอ็งพูดออกมาเถอะไม่ต้องกลัว"
จิกบอก"ข้าเจ้าเห็นว่าแม่หญิงเปลี่ยนไปโขเจ้าค่ะ"
"ข้าเจ้าก็เช่นกัน แต่ก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดีเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีฟังแล้วโบกมือเล็กๆให้ไปได้
ออกญาสีหน้าหนักใจ ถอนใจ "เฮ้อ พ่อเดชเอ๊ย"

แย้มกอดเข่าเจ่าจุก ในขณะที่ผินเทยาที่ละลายแล้วให้เกศสุรางค์ที่นอนซมเพราะเป็นไข้หนัก
"ตัวร้อนนัก"
"เออ...เดี๋ยวคงคลาย"
"เอายามาจากไหน" แย้มถาม
"ท่านขุน"
"ว่าแล้ว"
"เออ...ข้าก็ว่า"
เกศสุรางค์ได้ยินเต็มสองหู ตาที่หม่นมัวเพราะพิษไข้ มีประกายวาบขึ้น

บ้านออกญาโกษาธิบดีเช้า ต่อเนื่อง
จ้อยนั่งคอยตรงชานเรือนพ้นหัวบันไดมา
บ่าวหญิงทำงานเป็นกลุ่มๆ ร้อยมาลัย ร้อยอุบะ
อุบะในมือแม่หญิงจันทร์วาด ทำเสร็จพอดีส่งให้บ่าว บุญรับไปแล้วเดินไป
จันทร์วาด สายตาลึกซึ้งจ้องจับที่ขุนศรีวิสารวาจา
บุญเอาอุบะคลานเข้าไปแขวนกับหน้าต่างตรงนั้น แล้วคลานออกมา
ขุนศรีวิสารวาจาคุยราชการอยู่กับออกญาโกษาธิบดีและออกพระวิสูตรสุนทร
"พ่อปานข้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษา"
"ขอรับคุณพี่เหล็ก"
"เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับออเจ้าด้วยพ่อเดช" ออกญาโกษาธิบดีว่า
ขุนศรีขอรับ
"ออเจ้าทั้งสองคนรู้เรื่องขุนหลวงจะส่งคณะคนไทยไปเป็นทูตเมืองฝรั่งเศสแล้วฤๅมิใช่"
ทั้งออกพระวิสูตรสุนทร ขุนศรีวิสารวาจา ก้มหัวรับคำอย่างสุภาพ
"ข้ากราบทูลขุนหลวงว่า ขุนปานน้องข้าสามารถพอที่จักเป็นราชทูตได้"
"ข้า... " ออกพระวิสูตรสุนทร หรือ โกษาปาน อุทานเสียงเบาๆ และสีหน้าก็ตรึกตรองไปด้วย "ข้านี้ฤๅ"
"ออเจ้านั่นแหละขุนปาน มีเวลาเตรียมตัวอีก 4 ปีต่อจากนี้"
"ขุนหลวงทรงเห็นดีงามด้วยฤๅคุณพี่เหล็กว่าจะส่งราชทูตไป"
"พูดก็พูดเถอะ ก็ออกหลวงสุรสาครนั่นแหละเขากราบทูลแนะนำ ท่านก็ทรงเห็นด้วย เหตุผลก็คือท่านจะยืมมือฝรั่งเศสมาคานอำนาจทางการค้ากับพวกวิลันดาที่วางใหญ่วางโตขึ้นทุกวัน"
ขุนศรีวิสารวาจาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจมาก
"อีก 4 ปีเป็นเวลาเตรียมตัว เรื่องสำคัญสิ่งแรกคือภาษา พ่อปานต้องหมั่นฝึกฝนเรียนภาษาฝรั่งเศสให้คล่อง เขาพูด เขาถามอะไร จะได้ตอบถูก"
"ต้องมีล่าม"
"พ่อปานต้องไม่ใช้ล่าม ต้องพูดเองทุกคำเข้าใจข้าหรือไม่" ออกญาโกษาธิบดีสายตาแน่วแน่น พูดเด็ดขาด
"ขอรับคุณพี่เหล็ก"
"พ่อเดชฟังนะ เรื่องสำคัญกับชีวิตของออเจ้า"
"ขอรับ"

"ข้าขอให้ออเจ้าไปกับคณะทูตนี้ด้วย"

ทางลงเรือนออกญาโกษาธิบดี

บุญ เหมือน ลงเรือนมาก่อน มายืนคอยรับใช้
ขุนศรีวิสารวาจาเดินลงมา จันทร์วาดมาส่ง
"ขอบใจนะออเจ้าที่มาส่งข้า"
"คุณพี่เดชต้องไปนานเท่าใดหรือเจ้าคะ"
"เบ็ดเสร็จรวมกัน เวลาอาจเป็นถึงสองปี"
จันทร์วาดตกใจ "สองปี... ขออภัยข้าไม่นึกว่าจะนานเพียงนั้น"
"รวมเวลาที่เรือวิ่งด้วย"
"ไกลเหลือเกิน...ใช่ฤๅไม่เจ้าคะ"
"ใช่..."
"มีแต่คนคิดถึงคนไป แต่คนไปจะคิดถึงใครบ้างก็สุดรู้"
จันทร์วาดพูดออกไปด้วยแรงรักในใจ แล้วตกใจถอยหนีพนมมือไหว้
ขุนศรีวิสารวาจาทำหน้าปกติมาก ไม่ให้แม่หญิงจันทร์วาดเก้อ
"ข้าจะคิดถึงคนทุกผู้ทางนี้อย่างแน่นอน"
จันทร์วาดมองด้วยสายตา ส่งความรู้สึกทั้งหมด

มุมหนึ่งในบ้าน แม่หญิงจันทร์วาดก้มหน้าต่ำ น้ำตาหยดเผาะ
คุณหญิงนิ่มแตะไหล่ลูกสาว จันทร์วาดสะดุ้งน้อยๆเงยหน้าดู
"เขาเอ่ยคำใดลูกแม่ถึงน้ำตาตกฉะนี้"
จันทร์วาดกล้ำกลืนก้อนสะอื้น ส่ายหน้าไปมาไม่อยากตอบ "เปล่าค่ะคุณแม่"
นิ่มหน้านิ่งสักครู่ มองออกไปข้างนอก แล้วหน้าค่อยๆเข้มขึ้น
"แม่หญิงวิปลาสคนนั้นเป็นคนไร้สกุล ลูกสาวขุนนางบ้านนอก อุปนิสัยชั่วร้ายถึงลือ แม่มองหา
เหตุอันใดก็ไม่มีที่ท่านโหรายินดีประสงค์ให้เป็นสะใภ้มากกว่าธิดาเจ้าพระยาโกษาธิบดีเสนาบดีกรมพระคลัง ยังรั้งตำแหน่งสมุหนายก" คุณหญิงนิ่มบอก
จันทร์วาดฟังแล้วเสียดแทงใจยิ่งนัก อุดหูแล้วหันไปทางอื่น
"แม่จันทร์วาดใยปฏิบัติตนอย่างนี้ผิดวิสัยของลูกนะ"
จันทร์วาดหันมา น้ำตาเต็มตา พูดเสียงสะท้านสะเทือนใจ
"คุณแม่ได้โปรดอย่าซ้ำเติมข้าอีกเลยเจ้าค่ะ"
"ซ้ำเติมยังไร" คุณหญิงนิ่มตวัดเสียงแว้ด
"หาต้องพูดย้ำแล้วแล้วย้ำอีกว่าข้าคือลูกสาวคุณพ่อ แล้วจะได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพราะมันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ข้าไม่มีอะไรสู้กับแม่การะเกดได้เลย... ไม่มี...ไม่มีเลย คุณแม่ได้โปรดรับรู้ด้วย" จันทร์วาดสะอื้นแรง

ภายในห้อง เกศสุรางค์นอนคว่ำหน้า แผลที่หลังเป็นรอยยาว น้ำตาไหลเงียบๆ
แย้มทาไพลอย่างเบามือ ถึงกระนั้นเกศสุรางค์ก็สะดุ้งสุดตัว
"แสบหรือเจ้าคะ"
เกศสุรางค์ส่ายหน้าไม่ตอบ
แย้มบอก
"แผลเฉียดๆแห้งแล้วนะเจ้าคะ ทนหน่อยอีกสองหรือสามวันก็ออกไปข้างนอกได้แล้วเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ก้มหน้าพึมพำ
"ไม่อยากไปไหน"
"อะไรนะเจ้าคะ"
"พี่แย้มตั้งแต่เรามาอยู่ที่เรือนนี้ถึงเดี๋ยวนี้นานแค่ไหน"
"ปีกว่าๆ เหยียบสองปีแล้วเจ้าค่ะ"
"ข้าไปไหนบ้างมั้ยพี่"
"ไปไหนหรือเจ้าคะ"
"ก็ไปเที่ยว...ไปงานอะไรอย่างเนี้ย"
"แม่นายไม่เคยไปที่ใดเลยเจ้าค่ะ เพราะแม่นายไม่ยอมไปเจ้าค่ะ"
"ทำไมล่ะ ไปเที่ยวข้าไม่ชอบหรือ"
"แม่นายว่าร้อนแดดแรง ฝนตกแม่นายไม่ชอบเปียกปอน ไม่อยากจับหวัด ไม่ชอบไอไม่ชอบจามเจ้าค่ะ"
"หา ข้าเนี่ยนะ ไม่ชอบไอไม่ชอบจาม คนอะไรอย่างเนี้ยเนี่ย"
"เจ้าค่ะ แม่นายว่าเจ็บคอเจ็บอกเจ้าค่ะ"
"เชื่อเขาเลย"
"เชื่อได้เจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้มุสาพูดเลยเจ้าค่ะ หน้าหนาวแม่นายไม่อยากไปไหน ว่ามันเย็นนักอยากผิงไฟอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ"
"ฮ้า หนาวขนาดต้องผิงไฟเลยรึ"
"เจ้าค่ะ พวกทาสพวกบ่าวต้องผิงทั้งคืนจนไฟไหม้เรือนก็มีเจ้าค่ะ"
"ไม่มีผ้าห่มใช้เหรอ"
"ผ้าห่ม...อ๋อ ผ้าผวยหรือเจ้าคะ ไม่มีเจ้าค่ะ ผ้าผ่อนมันขัดสนนักด้วยว่ามันแพงเจ้าค่ะ พวกเบี้ยน้อยหอยน้อยไม่มีปัญญาซื้อหาหรอกเจ้าค่ะ"
"ข้าอ่านพบว่าอยุธยารุ่งเรืองดั่งเมืองสวรรค์"
"อุ๊ย" แย้มหัวเราะคิก "ใครนะเจ้าคะช่างว่า หาจริงไม่เจ้าค่ะ พวกเทวดานางฟ้าที่อยู่เมืองสวรรค์ก็เห็นแต่พวกขุนน้ำขุนนางเจ้าขุนมูลนายหรอกเจ้าค่ะ พวกไพร่พวกทาสยากจนข้นแค้นนักเจ้าค่ะ เรือนนี้ค่อยยังชั่วเจ้าค่ะ มูลนายท่านใจดีมีเมตตา หาไม่แล้วก็กินแต่ข้าวจิ้มพริกจิ้มเกลือกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ"
"จริงหรือนี่ไม่อยากจะเชื่อเลย"
"บ่าวพูดจริงนะเจ้าคะ แม่นายลืมสิ้นหรือเจ้าคะ"
"ลืมสิ้นเลย จำไม่ได้ซักกะอย่าง"
แย้มทายาเสร็จพอดี
"เสร็จแล้วเจ้าค่ะ...ไม่นานก็หาย"
"แต่ข้าไม่ไปไหนแล้ว เข็ด ไม่คุ้มเลยโดน"
ผินเคาะประตูแล้วเข้ามาเร็วๆ "นังแย้ม...นังแย้ม"
เกศสุรางค์กระโดดขึ้น "อะไรพี่ผิน...มีอะไรเหรอ"
"มิได้เจ้าค่ะ นังแย้ม"
"อะไรพี่"
"ไอ้ยิ้มหลานเอ็งมาจากเมืองสองแคว"
"ไอ้ยิ้ม...มันมากับขบวนแข่งเรือยาว" แย้มลุกรวดเร็ว "ไอ้ยิ้มหลานข้ามันใฝ่ฝันเหลือเกินจะแข่งเรือ...อยู่ไหนพี่ผิน"
"ในครัว"
แย้มไปทันที
เกศสุรางค์ตาโตตั้งแต่แรก "แข่งเรือยาวเหรอพี่ผิน"
"เจ้าค่ะ...มีแข่งทุกปีตอนน้ำหลาก สนุกเหลือเกินเจ้าค่ะ ตอนกลางคืนมีงานก่อพระเจดีย์ทรายที่วัดพระรามเจ้าค่ะ"
"เมื่อไหร่"
"วันปะรืนเจ้าค่ะ"
แย้มกลับเข้ามา
"พี่ผินจะไปดูแข่งเรือหรือเปล่า ข้าจักขออนุญาตแม่นายท่านประเดี๋ยวนี้"
"ไปสิเอ็ง"
แย้มหันหลังกลับจะออกจากห้อง
"ไปด้วย"
แย้มชะงักกึก ค่อยๆหันมาทางเกศสุรางค์
เกศสุรางค์หน้าเขินๆ แต่ยิ้มสู้
"เข็ดมิใช่หรือเจ้าคะ"

"อีกงานเดียว" เกศสุรางค์ชูนิ้วชี้บอก "แล้วเข็ดชัวร์"

ณ ห้องกลาง เสียงคุณหญิงจำปาบอก

"ไม่ให้ไป"
เกศสุรางค์สีหน้าผิดหวัง อ้าปากค้าง
"นังปริก"
ปริกรับคำ "เจ้าคะ"
"เอ็งจะแกงอะไรเย็นนี้"
ปริกอ้าปากจะตอบ แต่เกศสุรางค์พูดตัดหน้า
"คุณป้าเจ้าคะ มีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้ข้าไป"
"ไม่มี"
"อ้าว !"
"ข้าสั่งเป็นวาจาแน่นอน ออเจ้าอย่าเซ้าซี้"
เกศสุรางค์หน้าคว่ำ
บ่าวทั้งหลายมองด้วยสายตาต่างๆกันไป บ้างก็สงสาร บ้างก็เห็นด้วย บ้างก็เห็นใจ
เกศสุรางค์ถอยออกมา หันไปสบตาขุนศรีวิสารวาจาที่เดินขึ้นมา มีจ้อยตามหลัง
เกศสุรางค์หน้าหมอง
"พ่อเดช...ดูทีรึมีคู่หมายแล้วยังจะออกไปตะลอนดูแข่งเรือพวกผู้ชาย"
เกศสุรางค์สาวเท้าเร็วๆไปหอนอนตัวเอง
"คุณแม่ขอรับ"

ในห้อง เกศสุรางค์บอก
"ข้าไม่เข้าใจทำไมคุณป้าไม่ให้ข้าไป ก็ข้าสัญญาแล้วว่าข้าจะสงบเสงี่ยมเจียมบอดี้อย่างสุดๆ จะไม่สร้างปัญหาเหมือนเคย ทำไมไม่เชื่อข้า"
สองบ่าวนั่งหน้าจ๋อยไปด้วย
"คุณป้านะไม่เชื่อถือพัฒนาการของคนเลยว่าคนเราเคยทำไม่ดีไว้แต่พัฒนาได้ คนเรามีการปรับตัวอยู่แล้ว"
สองบ่าวนั่งหน้าเหวอมาก มองแบบน่าขำ
"ใช่มั้ยพี่"
ผิน/แย้มรับคำ"ใช่เจ้าค่ะ"
"เห็นมั้ยพี่สองคนก็ปรับตัวเข้ากับข้าได้แล้ว ข้าพูดอะไรที่พี่เคยไม่เข้าใจพี่ก็พยายาม"
สองคนยังพูดไม่ออก
"คอยดูนะข้าจะหนีไ" เกศสุรางค์หยุดกึก
ประตูเปิดออกทันที ขุนศรีวิสารวาจายืนหน้าเฉย
"คุณพี่...ได้ยินหรือเปล่าคะ"
"ได้ยินชัดเจน ออเจ้าไม่ต้องหนีหรอก เพราะคุณแม่ท่านอนุญาตให้ไปแล้ว"
"จริงดิ"
ขุนศรีวิสารวาจาทำหน้าปราม แบบมองนิ่งๆ แต่นัยน์ตาลึกซึ้ง
"คุณพี่พูดให้ข้า...ขอบพระคุณนะเจ้าคะ" เกดสุรางค์ไหว้สวย ยิ้มหวาน
คุณพี่ของเกศสุรางค์เคลิ้มไปสองวิ
สองบ่าวมองแบบรู้ทัน มองหน้ากันยิ้มๆก้มหน้า
"คุณพี่เจ้าขา คุณพี่พูดกับคุณป้าว่ายังไงเหรอเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจารู้สึกตัวนิดๆ
"อ๋อ...มิมีอะไรมาก ข้าพูดแต่เพียงว่า ถ้ามิยอมให้ออเจ้าไปแล้วไซร้..."
"คะ"
"ออเจ้าจะหนีไป"
เกศสุรางค์เหวอมาก อ้าปากนิดๆ จ้องหน้าขุนศรีวิสารวาจา
"ข้ามิได้พูดผิด...ใช่หรือไม่"
เกศสุรางค์เสียงหนักแน่น "ใช่เจ้าค่ะ ไม่ผิดเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจายืนอยู่สักครู่ ทำหน้าอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่แสดงอารมณ์ชื่นบานและระทึกใจ
สักครู่ก็หันกลับ กำลังจะเดินจะออกประตูแล้วเชียว !
"พี่ว่าขุนเรืองจะไปด้วยมั้ยพี่"
ขุนศรีวิสารวาจาหันขวับมาทันที สีหน้ามองจ้องที่เกศสุรางค์ บึ้งตึงขึ้นทันที

"ไปมั้ยคะคุณพี่"

วันแข่งขันเรือยาว บริเวณท่ากลาโหม ซึ่งเป็นสถานที่แข่งเรือยาว จะเห็นบรรยากาศผู้คนของอยุธยา ที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจำนวนมากมาย ...

ขุนศรีวิสารวาจา , เกศสุรางค์ , ผิน , แย้ม , จวง , จิก , ปริก , บุ้ง , จันทร์วาด , บุญ , เหมือน , บ่าวสาวๆบ้านโกษาธิบดี , บ่าวสาวๆเรือนโหราธิบดี , ขุนนางหนุ่มๆหลายคนซึ่งมาร่วมเข้าแข่งเรือ อาทิ ขุนเรืองอภัยภักดี , หลวงสรศักดิ์ , หลวงศรียศ , ชาวบ้านหนุ่มๆที่แข่งเรือ, กลุ่มชาวบ้านมากมาย ที่มาชมประกอบด้วย คนหลายวัย ทั้ง ชาย หญิง เด็ก มีทั้งชาวบ้านทั่วไป และชาวบ้านที่มีฐานะร่ำรวย รวมถึงคนต่างชาติ ได้แก่ฝรั่งชาติโปรตุเกส ฝรั่งเศส อังกฤษ เนเธอร์แลนด์, คนจีน คนมุสลิม คนญี่ปุ่น ต่างชาติเหล่านี้แต่งตัวตามเชื้อชาตินั้นๆ ดูแข่งเรือ

ในลำน้ำ เรือชาวบ้านหลายลำ พายระเกะระกะอยู่ในน้ำ หลายลำจอดริมตลิ่งให้คนขึ้นไปดูบนตลิ่ง
ชาวบ้านนั่งบนเสื่อกก หน้าสลอน เรียงราย ไปตามตลิ่งริมน้ำ
บริเวณใต้ต้นหว้า บ้านโหราธิบดีนั่งกันอยู่เต็ม
เรือของบ้านโกษาธิบดีแล่นมาจอด ขุนศรีวิสารวาจายืนอยู่แถวนั้นไปต้อนรับ
เกศสุรางค์มองไปพอดี
ขุนศรีวิสารวาจาส่งมือให้จันทร์วาดจับ รับขึ้นจากเรือ
เกศสุรางค์ยิ้มแป้น "พี่ผิน พี่แย้ม"
ผิน/แย้ม "เจ้าคะ"
"น่ารักเนอะ"
"ฮึ" ผิน/แย้มเมินไปไม่อยากมอง
"อ้าว...ทำไม"
สองบ่าวยังไม่ทันตอบ ขุนศรีวิสารวาจาพาจันทร์วาดมาถึง เหมือน บุญ และบ่าวสาวๆตามมา
ขุนศรีวิสารวาจาบอก "นั่งตรงนี้เถิดหนาแม่จันทร์วาด"
"เป็นพระคุณค่ะ" แม่หญิงจันทร์วาดไหว้สวย ลงนั่ง
"คุณพี่คะ" เกศสุรางค์กระเถิบออกไป ตบที่นั่งให้ขุนศรีวิสารวาจานั่งตรงกลาง แถมยังยิ้ม
กว้างขวางให้จันทร์วาดอีกต่างหาก "แม่หญิงจันทร์วาด" แล้วทักทาย
จันทร์วาดมองแบบทำหน้าไม่ถูกสักครู่ ก็หันไปยิ้มกับขุนศรีวิสารวาจา
"คุณพี่เดชมานานแล้วหรือเจ้าคะ"
เกศสุรางค์เหวอน้อยๆ แล้วจึงหันกลับไปทางอื่น
ขุนศรีวิสารวาจาเห็นด้วย มองอาทร เกศสุรางค์แก้เก้อหันไปพูดกับบ่าวสองคนเบาๆ
ขุนศรีวิสารวาจาเจตนาพูดกลบความรู้สึก
"เขาจะปล่อยเรือแล้ว แม่การะเกด...โน่น เห็นหรือไม่"
ผู้คนเฮๆลั่น

เรือแข่งมาที่จุดสตาร์ทพร้อมกัน
"ไหนเจ้าคะเรือขุนนาง" เกศสุรางค์ถาม
"นั่นไง เห็นใครอยู่ในเรือหรือไม่ แม่การะเกด"
"ลำที่ผูกผ้าสีแดงหัวเรือใช่มั้ยคะ อ๋อ เห็นแล้วเจ้าค่ะ ขุนเรือง" เกศสุรางค์โบกมือ "ขุนเรือง ขุนเรือง"
คุณพี่เริ่มบึ้งแล้ว
"มีใครอีกคะที่แข่ง เอ๊ะ นั่น..." เกศสุรางค์ขมวดคิ้ว คุ้นหน้าจัง
"มีหลวงสรศักดิ์เป็นคนคุมเรือ กับหลวงศรียศ"
เกศสุรางค์นึกได้ "อ๋อ...หลวงศรียศนั่นเอง เดี๋ยว คุณพี่บอกหลวงสรศักดิ์หรือคะที่ชื่อ เดื่อ ใช่มั้ยคะ" นางตื่นเต้นกับบุคคลในประวัติศาสตร์
"ใช่...อย่าบอกนะว่าออเจ้ารู้จัก"
"ไม่...ไม่รู้จักเจ้าค่ะ"
"อยู่ไกลปานนี้เจ้าจำขุนเรืองได้ฤๅ"
"จำได้เจ้าค่ะ ไกลกว่านี้ก็จำได้"
หน้าขุนศรีวิสารวาจาเริ่มออกขุ่นมัวนิดๆ นิ่งไป หันหลังให้เกศสุรางค์
"คุณพี่เดชเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหันไปรับฟังแม่หญิงจันทร์วาด
"เรือขุนนางแข่งกี่ลำเจ้าคะ"
"ลำเดียวเท่านั้น"
"ดีจังเจ้าค่ะ จะได้ส่งเสียงให้กำลังใจลำเดียวให้ดังไปเลย"
จันทร์วาดหัวเราะเต็มปาก)
ขุนศรีวิสารวาจามองอย่างเอ็นดูเหมือนพี่ชายมองน้องสาว
เกศสุรางค์มองและเริ่มรู้สึกนิดๆ ถอนใจเบาๆ แล้วหันมาหาบ่าวของตัว
"พวกเรา...จะเชียร์แบบไหน"
ทุกคนหน้าพิศวง "เชียร์"
"อ๋อ...เออ...ใช่แล้ว โอเคเอางี้ ตอนเรือมานะ เราจะบอกเขายังไงให้พายเร็วๆ จะได้ชนะไง"
ผินบอก"อ๋อ...ก็บอกว่า เร็ว...เร็ว...เร็ว"
แย้มส่งเสียงตาม “เร็ว...เร็ว” บ่าวคนอื่นก็ส่งเสียงขึ้นมาด้วย
"เจ๋งมาก แต่ข้ามีความคิดนะ" เกศสุรางค์ชี้ที่ขมับหลายๆที "ว่าแค่นั้นไม่พอ ต้อง...อย่างนี้
มาข้าจะสอนให้"
ขุนศรีวิสารวาจาหันไปมอง เห็นเกศสุรางค์ทำท่าสอนเชียร์ให้บ่าว
"คุณพี่เดชเจ้าคะ"

ขุนศรีวิสารวาจานิ่งมองอยู่

ขุนศรีวิสารวาจานิ่งมองอยู่

"คุณพี่" จันทร์วาดพูดเบาๆ แล้วสีหน้าก็สลดลง เพ่งมองด้วยใจรอนๆ เห็นเขาจ้องไปที่
เกศสุรางค์ไม่วางตา
จันทร์วาดเหลียวกลับมา น้ำตาคลอๆนิดๆเม้มปากแน่น สีหน้าพยายามข่มอารมณ์โกรธแค้นปนเสียใจที่ประดังขึ้นมา
เกศสุรางค์ทำท่ากับบ่าวว่าเรียบร้อยว่าจำได้นะ บ่าวพยักหน้า
เกศสุรางค์ทำมือโอเค ผินกับแย้มทำมือและตอบว่าโอเค
"โอ๊ย...แม่หญิง...ให้ร้องอะไรก็ไม่รู้ได้ ทั้งพระนครไม่มีใครร้องอะไรประหลาดๆ
แบบนี้นะเจ้าคะ" ปริกว่า
"แม่ปริก ร้องเถอะ ข้ารับรองชนะชัวร์ๆ"
ปริกเสียงดัง
"ชนะชั่วๆก็ขี้โกงสิเจ้าคะ ชอบขี้โกงไม่หายเลยนะเจ้าคะ"
"ไม่ใช่ชั่ว ชัวร์...ชัวร์" ผินบอก
"ได้ยินอยู่กับหูเดี๋ยวนี้ว่าชนะชั่วๆ เอ๊ะนังผินเอ็งจะว่าข้าหูตึงงั้นฤๅวะ"
เกศสุรางค์ส่ายหัวปลงอนิจจัง แล้วเดินกลับไป
แล้วสบตากับขุนศรีวิสารวาจาปังใหญ่ ยิ้มเต็มหน้าไปนั่งใกล้ที่เดิม
"แม่หญิงจันทร์วาด"
จันทร์วาดมอง แต่ไม่ตอบ
"เดี๋ยวช่วยกันเชียร์นะคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเหลียวขวับมามองเกศสุรางค์ สายตาขรึมๆ แปลกใจนิดๆ
จันทร์วาดย้ำ "เชียร์ ?"
"เชียร์...ก้อคือ...เอ่อ ให้กำลังใจค่ะ" แล้วรีบพูดต่อกลบเกลื่อน "ทำไมคุณพี่ไม่ไปแข่งล่ะคะ"
"คนละกรมกัน พวกแข่งเรือเป็นขุนนางกรมเมือง ข้าสังกัดกรมคลัง ทำได้แค่เชียร์อยู่นี่"
"อ๋อ...ค่ะ เก็ทแล้วค่ะ" เกศสุรางค์หัวเราะเสียงหวาน "ว่าเชียร์อย่างเดียว"
ขุนศรีวิสารวาจาเคลิ้มอีกนิดหน่อย
แม่หญิงจันทร์วาดหน้าหมองลง หันไปทางอื่นเศร้ากับตัวเอง
เกศสุรางค์นึกได้
"เอ้อ...คุณพี่คะ ตรงนี้คือท่ากลาโหมใช่มั้ยคะ"
"ใช่"
"ป้อมท่าคั่นอยู่ตรงไหนคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาชี้ไป "นั่นไง ที่ปะรำพิธีตรงนั้น"
"เห็นแล้วค่ะ ในปะรำนั่นขุนหลวงนารายณ์ใช่มั้ยคะ"
"ขุนหลวงไม่เสด็จ มีแต่สมุหนายกกับสมุหพระกลาโหม กับขุนนางจตุสดมภ์"
เกศสุรางค์ตาโต
"จริงหรือคะอยากเห็นจัง"
ขุนศรีวิสารวาจามองปรามๆ
"เอ้า...ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่ามีเวียง วัง คลัง นา เป็นจตุสดมภ์ไงคะ"
"มีขุนเมืองตำแหน่งพระนครบาลเมือง ขุนวังตำแหน่งพระธรรมาธิกรณ์ ขุนนาตำแหน่งเกษตร ขุนคลังตำแหน่งโกษาธิบดี สี่คนเป็นจตุสดมภ์ นอกจากนั้นมีเจ้าจอมหม่อมห้ามจากในวังมาดูแข่งเรือด้วย"

บริเวณปะรำพิธี
บรรดาข้าราชการชั้นสูง อาทิ สมุหนายก , สมุหพระกลาโหม , ขุนเมือง , ขุนวัง , ขุนนาง , ขุนคลัง , โกษาธิบดี แต่ละคนนั่งตั่ง มีเชี่ยนหมากประจำตัว ข้าราชการเหล่านี้ คุยกันบ้าง กินหมาก บ้วนน้ำหมาก ฝ่ายทนายหน้าหอของแต่ละคนนั่งที่พื้น

ยกพื้นสูงขึ้นไปหน่อย สำหรับเจ้าจอมและเจ้านายฝ่ายใน สองข้างรวมด้านหลังด้วยมีผ้าขาวกั้นเป็นฉาก ไม่ให้ราษฎรเห็น

มีเจ้าจอม เจ้านาย รวมทั้งเจ้านายเด็กๆ นั่งอิงแอบอยู่กับแม่ แต่ละคนมีเบาะวางให้นั่ง มีเชี่ยนหมาก มีหมอนขวานให้เท้าแขนพิงอยู่ สำหรับบางคนไม่ต้องทุกคน คนไม่มีนั่งพับเพียงเท้าแขนแบบชาววัง ฝ่ายเจ้านาย ท่าพูด ท่ากินหมากจะกรีดกรายแขนแบบชาววัง

เรือที่เข้าแข่งขันประมาณ 4-5 ลำ เรือขุนนางผูกหัวด้วยผ้าแดง
"เตรียมตัว" พิธีกรวัยกลางคนบอกเสียงดังก้อง
ทุกคนบนเรือเตรียมพร้อม
ในเรือทุกลำ แต่ละคนร่างกายแข็งแรงเตรียมพร้อม สีหน้าตั้งใจ ดวงตามุ่งมั่น
พิธีกรตั้งท่าประกาศ มือถือผ้าแดงผืนย่อมๆผืนหนึ่ง
ผู้คนที่มาดูตามตลิ่ง ต่างชะเง้อมองมา
คนบ้านโหราธิบดี โดยเฉพาะเกศสุรางค์ท่าทีตื่นเต้น ชะเง้อสุดตัว สบตาขุนศรีวิสารวาจาที่มองปรามๆ มา เกศสุรางค์จ๋อย
ขุนศรีวิสารวาจาหันไปพูดกับจันทร์วาดเบาๆ จันทร์วาดพยักหน้า
ขุนนางและชาววัง ชะเง้อมองตื่นเต้น
"ออกเรือ" พิธีกรลดผ้าลง
เรือทุกลำพุ่งออกทันที
พร้อมเสียงโห่ร้องของชาวบ้านที่เชียร์เรือของบ้านตัวเอง บรรดาหนุ่มๆบนเรือ ทุกคนถอดเสื้อเห็นรอยสักมากบ้างน้อยบ้าง
การแข่งเรือเห็นความพร้อมเพรียง ความแข็งแรงของคนพายเรือทั้งหมด
เห็นการเชียร์เรือของผู้คนบนตลิ่ง
เห็นการดูเรือแข่งของขุนนาง ที่วางท่าวางฟอร์ม

เห็นท่าทีของชาววังที่มีต่างๆกัน บางคนเก๊กนั่งสวยท่ากรีดกราย บางคนก็ส่งเสียงเชียร์ เด็กๆกระโดดโลดเต้น

กองเชียร์บ้านออกญาโหราธิบดีเชียร์สุดเสียง เรือแล่นลิ่วมาตามลำน้ำ

พวกบ่าวร้อง "ขุนเรืองสู้ๆ หลวงศรียศสู้ตาย หลวงสรศักดิ์ไว้ลาย เรือขุนนางสู้ๆ"
ร้องซ้ำๆกัน
ขุนศรีวิสารวาจาชำเลืองมองขำๆ
แม่หญิงจันทร์วาดก็มองมา
เกศสุรางค์นำทีมร้องเชียร์ แถมให้จวงไปบอกปริกให้ร้องด้วย
จวงบอก "พี่ปริก...ร้องสิ ใครๆเขาก็ร้องกัน"
"ไม่...ข้าไม่เล่นด้วย"
ทุกคนร้อง
เรือก็พุ่งตรงมาสูสีๆ
จนถึงคุ้งตรงหน้า เรือขุนนางกำลังพุ่งแซง
ขุนศรีวิสารวาจาตื่นเต้น จันทร์วาดก็ป้องปากร้อง “เร็ว...เร็ว”
ปริกเริ่มตื่นเต้น ร้องไปด้วย
"ขุนเรืองสู้ๆ หลวงศรียศสู้ตาย หลวงสรศักดิ์ไว้ลาย เรือขุนนางสู้ๆ"
สรุป บ่าวทุกคนเชียร์พร้อมยกมือขวาเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกันตามที่เกศสุรางค์สอน
จนในที่สุด เรือขุนนางก็ชนะ ถึงป้ายปักผูกผ้าแดงอยู่กลางน้ำแบบฉิวเฉียด
บรรดาบ่าวทั้งหลายร้องเฮอย่างลืมตัว
เกศสุรางค์ทำท่านักฟุตบอลตอนยิงลูกเข้าประตู พร้อมทั้ง “เย้ เยส” ขณะเดียวกันก้าวพลาด เซเกือบล้ม
ขุนศรีวิสารวาจาปราดเดียว ถลันไปคว้าเอวเกศสุรางค์ไว้ได้
"อุ๊ย"
"หากรู้ว่าออเจ้าตื่นเต้นอย่างนี้ข้าคงลงไปแข่งด้วยแล้วหนา" ขุนศรีวิสารวาจากระซิบเบาๆใกล้เหลือเกิน
เกศสุรางค์สบตา อ่านความนัยจากแววตา แล้วก็รู้ว่านั่นคืออารมณ์หึงหวง
เกศสุรางค์ร้อนไปทั้งตัว หลบตาแล้วผละออกห่าง
"ออเจ้าแน่ใจนะว่ายืนได้"
เกศสุรางค์พยักหน้าแบบไม่มอง แล้วไปหาบ่าวทันที
จันทร์วาดเห็นเต็มๆตา

ผ่านเวลาเป็นกลางคืน คืนพระจันทร์เต็มดวง 15 ค่ำ ที่วัดพระราม
แม่หญิงจันทร์วาดมองไปที่เกศสุรางค์ สีหน้าขุ่นมัวไม่ชอบใจเอาซะเลย
เกศสุรางค์มองต่ำ สีหน้าขมวดมุ่นกับความรู้สึกเมื่อบ่ายนี้
ขุนศรีวิสารวาจามองตอนที่โอบร่างไว้แนบอก
เกศสุรางค์ถอนหายใจดังๆ ส่ายหน้าไม่อยากคิด เงยหน้าขึ้นมองไปสบตาจันทร์วาดพอดี
สองคนจ้องกันสักครู่ เกศสุรางค์ก็ยิ้มกว้างทำท่าจะพูด แต่จันทร์วาดเหลียวไปทางอื่นทันที
"อีกแระ...เป็นอะไร"

ลานวัดพระราม มีกองทรายกองใหญ่ มีคนเอาทรายมาเทอยู่เรื่อยๆ
บ่าวบ้านโหราธิบดีกำลังตักทรายใส่กาบหมากใหญ่ๆบ้าง ใส่กะลามะพร้าวบ้าง ใส่ภาชนะดินเผาเป็นรูปอ่าง หรือโถใหญ่บ้างๆ เอามาเทให้เกศสุรางค์
บ่าวบ้านโกษาธิบดีตักเอาไปตรงหน้าจันทร์วาด
ลานวัดขวักไขว่ด้วยผู้คน เอาทรายไปเทในกอง ตักออกจากกองมาปั้นเป็นรูปต่างๆ เรียงรายไปตามลานวัด
น้ำถูกราดลงไปบนกองทรายตรงหน้าเกศสุรางค์ ปริกนั่งอยู่ด้วย
"แม่ปริก จะปั้นรูปอะไร"
"ไม่ปั้นเจ้าค่ะ"
"อ้าว...แล้วมานั่งตรงนี้ทำไมล่ะ"
"นั่งดู"
"ดูอะไร"
"ดูแม่หญิงปั้น"
เกศสุรางค์ลงมือปั้นโดยตักทรายมาพูนเป็นกองสูงตรงหน้า "ไม่เคยเห็นเหรอ"
"เคยเจ้าค่ะ"
"เป็นไงล่ะ"
"ยิ่งกว่าเด็กห้าขวบปั้น"
"อ้าว ก็ต้องยิ่งกว่าสิ เพราะข้าอายุตั้ง..."
"เลวกว่าเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์หันไปจ้องปริก เหมือนจะถามว่า “อยากมีเรื่องเหรอ” ปริกตอบแบบ “ได้เลย”
เกศสุรางค์ปั้นต่อกัดฟันพูด "คอยดูแล้วกัน...คอยดู"
ขุนศรีวิสารวาจาเข้ามา "ออเจ้าจะปั้นเป็นรูปใดฤๅแม่การะเกด"

ขุนเรืองอภัยภักดีกับหลวงศรียศเดินมาด้วยกัน หยุดจ้องมองไปที่เป้าหมายเดียวกัน
"นั่นไง...ใช่แล้วนางเดียวกันกับนางที่ข้าพบที่ตลาดบ้านจีน" หลวงศรียศว่า
"เรื่องที่ท่านออกหลวงเล่าถึงนางมิได้ทำให้ข้าแปลกใจเลย...ถ้าเป็นนางผู้นี้" ขุนเรืองอภัยภักดีว่า
"เหตุใดฤๅ"

"ข้ามิพักต้องบอกท่านหรอก ต่อไปท่านจะรู้เอง"

การะเกดปั้นกองทรายเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

"ข้าขอร่วมก่อกองทรายด้วยหนาแม่การะเกด" ขุนศรีวิสารวาจาว่า
เกศสุรางค์เงยหน้ายิ้มแบบเต็มหน้า"ไอ้เรื...อุ๊บส์" แล้วรีบเอามือปิดปาก
ขุนศรีวิสารวาจามอง สายตาเริ่มขุ่นมัว
"ขุนเรือง ท่านสุดยอดจริงๆ" เกศสุรางค์ว่า
"ข้าก็ได้ยินเสียงออเจ้าเรียกชื่อข้าด้วย ไม่อย่างนั้นเรือขุนนางคงไม่ชนะหรอกหนา"
"ดีจัง...ต้องพวกพี่ๆพวกนี้ด้วยเจ้าค่ะ"
ขุนเรืองอภัยภักดีหันไปทางบ่าวที่นั่งเรียงรายอยู่ด้านหลัง
ขุนเรืองถาม
"ไหน...ร้องว่ายังไรนะ"
บ่าวร้องกันถ้วนหน้า
"ขุนเรืองสู้ๆ หลวงศรียศสู้ตาย หลวงสรศักดิ์ไว้ลาย เรือขุนนางสู้ๆ"
ขุนเรืองอภัยภักดีหัวเราะลั่นวัด หันไปมองเกศสุรางค์อย่างทึ่งจัด สายตาต้องใจมาก
เกศสุรางค์หัวเราะและทำท่าสุดยอด ยกนิ้วโป้ง
ขุนศรีวิสารวาจาเสียงดังจงใจ "เอ้า เสร็จแล้ว" แล้วเอาธงปักบนยอดเจดีย์
เกศสุรางค์ยังไม่รู้อารมณ์ของขุนศรีวิสารวาจา "ขุนเรืองดูสิคะ...ข้าปั้นเองนะคะ"
"เป็นสถานที่ไหนฤๅนี่"
"ต้องดูห่างๆค่ะ" เกศสุรางค์ถอยหลังไป
แม่หญิงจันทร์วาดเดินมาพอดีจากกองทรายของตัวเอง เกศสุรางค์ชนจันทร์วาดอย่างจัง
จันทร์วาดไม่ทันตั้งตัวจึงเซไปชนขุนเรืองอภัยภักดี
ขุนเรืองอภัยภักดีรับร่างจันทร์วาดไว้เต็มอ้อมแขน
จันทร์วาดตกใจเงยหน้ามองหน้าขุนเรืองที่อยู่ใกล้มาก สบตากันแรงๆ
"แม่หญิง"
"ขออภัยเจ้าค่ะ"
"มิเป็นอันใดใช่หรือไม่"
"ไม่เจ้าค่ะ...ไม่"
"เช่นนั้นก็ดีแล้ว"
"เอ่อ...ข้าจะไปตักทรายเพิ่ม" จันทร์วาดบอก
"เหตุใดมิใช้บ่าว" ขุนศรีวิสารวาจาถาม
"อยากขนไปเองเจ้าค่ะ"
"ขุนเรือง...มีแก่ใจช่วยหน่อย" ขุนศรีวิสารวาจาบอก
"ได้สิแม่หญิง ข้าจะช่วยขน...ทางนี้เลย"
จันทร์วาดตามขุนเรืองอภัยภักดีไป
เกศสุรางค์มองตามนัยน์ตาซุกซน แล้วรู้สึกมีคนมองอยู่ หันมาสบตาขุนศรีวิสารวาจา
"ไปเที่ยวทางโน้นกัน"
เกศสุรางค์เสียงคึกคัก "ไป"
ขุนศรีวิสารวาจาหัวเราะขำ "ไม่ต้องชวนผู้ใดอีก"
"พี่ผิน...พี่แย้ม"
"นั่นแหละหนา...ทั้งคู่เลย"
"ไม่ชวน ?"
"ไม่ต้อง" ขุนศรีวิสารวาจาดึงข้อมือเกศสุรางค์ไปทันที
แม่หญิงจันทร์วาดมองตาม นัยน์ตาหมอง หน้าเสียอย่างเก็บไม่อยู่
ขุนเรืองอภัยภักดีชำเลืองมอง ใจอ่อนสงสาร
จันทร์วาดหันมามองสบตา ฝืนยิ้มนิดๆ
"แม่หญิง...ข้าจะช่วยปั้นต่อ...เชิญแม่หญิงลงมือเถิด"
จันทร์วาดสีหน้าดีขึ้น ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นนั้น ยิ้มให้น้อยๆ
"ออกขุนท่านมีน้ำใจ ข้าขอบใจ"

ไต้จำนวนมากปักเรียงรายบนกำแพงวัดพระรามและในบริเวณจนสว่างไสว
ผู้คนเดินกันขวักไขว่
มีของขายด้วย เช่น อาหารที่ใส่หม้อดิน มีคนนั่งกินด้วย กินไปคุยกันไปปากแดงด้วยน้ำหมาก บ้วนกันปรี๊ดๆลงทางเดิน
มีโรงละครนอกที่ผู้ชายเล่นด้วย
ขุนศรีวิสารวาจาพาเดินมา เกศสุรางค์อารมณ์ชื่นใจ
ขุนศรีวิสารวาจาประคับประคองเวลาเดินเบียดผู้คน กางแขนปกป้อง บางครั้งไปอยู่ในอกขุนศรีก็มี
"ดูละครหรือไม่...อยากดู ?"
"ค่ะ อยากดู"

ละครกำลังร่ายรำ
คนดูเต็ม เกศสุรางค์ยืนดู มีขุนศรีวิสารวาจายืนปกป้องอยู่ด้านหลัง
ขุนศรีพูดเบาๆข้างหู
"ละครนอกวังผู้ชายเล่นทั้งหมด ถ้าละครในผู้หญิงเล่นทั้งหมดห้ามเล่นบางเรื่องด้วย อย่างรามเกียรติ์ อิเหนา อุณรุท...ห้ามเล่นอย่างเด็ดขาด"
"อ้าว...เล่นเรื่องอะไรกันเล่าคะงั้นก็"
"เรื่องพื้นบ้าน สังข์ทอง มโนห์รา คาวี..."

กลางคืนต่อเนื่อง บนเรือ ทุกคนกำลังเดินทางกลับ
ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางฟ้า จันทร์เต็มดวง
สองคนนั่งเรือที่จ้อยพาย
เรืออีกลำบ่าวชาย มีผิน แย้ม จิก จวง ยอด ม่วง แหวนพาย
เรือแล่นมา 3 ลำ สองลำหลังลอยอยู่ไกลไปด้านหลัง
จนเรือลอยมาตรงที่พระจันทร์ดวงโตเป็นฉากหลัง
เกศสุรางค์เงยหน้ามองพระจันทร์ ละมุนละไมอยู่ในแสงนวลตา
ขุนศรีวิสารวาจาตะลึงงัน
นางสวยจนพี่ขุนแทบลืมหายใจ

พายกระทบน้ำเสียงดังเป็นระยะ
ทำไมเกศสุรางค์จะไม่รู้ว่าเขามองตัวอยู่
เกศสุรางค์หันมาทางขุนศรีวิสารวาจา ถามเบาๆว่า
"อยากฟังเพลงมั้ยคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาตอบรับด้วยสายตา
"ชื่อเพลง คิดถึง"
เรือลอยในลำน้ำ ดวงจันทร์สว่าง

“จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว
โลกสวยราว เนรมิตประมวลเมืองแมน
ลมโชยกลิ่น มาลากระจายดินแดน
เรียมนี่แสน คะนึงถึงน้องนวลจันทร์”

เกศสุรางค์เอื้อนท่อนสุดท้าย ... ขุนศรีวิสารวาจาพึมพำแผ่ว

"แม่การะเกด ออเจ้าเป็นใคร"
 
อ่านต่อตอนที่ 14

#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร

เกร็ดน่ารู้จากละคร

"ละครนอก ชายจริงหญิงแท้ สวมเล็บปลอม" : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2555 ความตอนหนึ่งว่า
"สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอ้างถึงจดหมายเหตุลาบูแลร์ ว่า “เมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มองสิเออ เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสเข้ามาเมืองไทยก็ว่าได้ดูทั้งโขนทั้งละครแลระบำ กล่าวว่าโขนแลละครนั้นผู้ชายเล่น” (ตำนานเรื่องละครอิเหนา, 2464) จึงเชื่อถือกันมาแต่ก่อนว่าละครนอกเป็นละครผู้ชายล้วน
แต่แท้จริงแล้วลาลูแบร์ระบุว่าละคร (นอก) มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีภาพจิตรกรรมบนสมุดข่อยชุดหนึ่ง (อายุประมาณ พ.ศ. 2273 ราว 42 ปีหลังรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์) ยืนยันแบบแผนระบำและละครมีผู้เล่นเป็นชายจริงหญิงแท้ (ไม่ใช่หญิงล้วนๆ และไม่ใช่ชายล้วนๆ)"

บทละครนอกที่ใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยา มีหลักฐานเหลืออยู่ 14 เรื่อง คือ 1. การะเกด , 2. คาวี, 3. ไชยทัต, 4. พิกุลทอง, 5. พิมพ์สวรรค์, 6.พิณสุริวงศ์, 7.มโนราห์, 8. โม่งป่า, 9. มณีพิไชย, 10. สังข์ทอง, 11. สังข์ศิลป์ชัย, 12. สุวรรณศิลป์, 13 สุวรรณหงส์, 14. โสวัต


กำลังโหลดความคิดเห็น