บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 12
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
คืนนั้น พระจันทร์ สดใส กลมโต ท่ามกลางความสงบของบ้านเมืองอยุธยายามกลางคืน และบ้านออกญาโหราธิบดี
ในห้องการะเกด เกศสุรางค์มองดูเงาตัวเองในคันฉ่องบานกระทัดรัด นิ่งนาน พลางคิดถึงตำพูดของขุนศรีวิสารวาจา
“คันฉ่องที่ห้องออเจ้าชัดดีอยู่ฤๅ”
กรวยดินเผา เป็นขาหยั่งเหล็ก วางเด่นอยู่กลางลานบ้าน
จีนตงยืนท่าทางกังวลนิดหน่อย ลูกน้องสองคนยืนห่างออกไป
บ่าวทั้งหลาย จ้องจีนตงเป็นตาเดียว สายตาเบิ่งฉงนน่าขำ เมียงๆมองๆแบบกล้าไม่กล้าเข้าใกล้
เกศสุรางค์วิ่งลงมาหน้าตาเบิกบาน
“มาแล้วเหรอจีนตง”
จีนตงก้มหัวรับคำ “ถูกมั้ยขอรับ”
เกศสุรางค์เดินมองไปรอบๆ จีนฮงกลุ้มใจอีก กลัวไม่ใช่ มองตามหน้าตาน่าขำมาก
เกศสุรางค์ดีดนิ้ว เป๊าะ! “เด็ด”
จีนตงสะดุ้งโหยง “เด็ดอะไรออกหรือขอรับ”
“ไม่เด็ดก็ได้...เจ๋ง”
“อา...” จีนตงหันไปหาลูกน้อง “เจ๋ง ฮ่อะ ฮ่อ”
ลูกน้องยินดีรับคำ แล้วค่อยๆถอยออกไป
“พี่ผิน พี่แย้ม จิกด้วย ไปหานุ่น”
ผิน/แย้ม/จิก ร้องถาม “นุ่น”
“จ้อยไปหาถ่าน”
“ถ่าน...ขอรับ”
“ก้อนกรวดใหญ่ กรวดเล็ก ทรายหยาบ ทรายละเอียดมาอย่างละกระบุง”
สี่คนหน้าเหวอ แบบยังงงๆ
เกศสุรางค์ถาม “จวง...งงมั้ย”
“ไม่งงเจ้าค่ะ”
“จำได้มั้ย”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“จิก”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ฟังอีกทีนะ นุ่น ถ่าน กรวดใหญ่เล็ก ทรายหยาบละเอียด อย่างละกระบุง
เร็ว...แยกย้ายกันไป” เกศสุรางค์บอกบ่าวเด็กๆ “ไปช่วยด้วยพวกเรา”
ทุกคนไปกันหมด
ปริกยืนหน้างอ มองหางตา
“แม่ปริก”
“บ่าวไม่รู้ไม่อยากรู้ไม่เห็นไม่อยากเห็นว่าแม่หญิงจะทำอะไร” ปริกจะเดินไป
“อ๋อ ทำเครื่องกรองน้ำ”
ปริกหันขวับมาทันที “เครื่อง...อะไรนะเจ้าคะ”
“คอยดู รับรองว่ามันเจ๋งสุดๆ”
ขุนศรีวิสารวาจา เดินพาคุณหญิงจำปาลงมาจากข้างบน
“ทำอะไรนะแม่การะเกด”
“ออเจ้าพูดว่า “เจ๋ง” ภาษาจีนนะนั่น”
“เจ้าค่ะ...คอยดูนะเจ้าคะ”
เกศสุรางค์สั่งบ่าว
เกศสุรางค์ทำมือให้วางของลงในกรวย “นุ่น”
บ่าววางนุ่น เกศสุรางค์ทำมือว่าให้เกลี่ยทั่วๆ
“ถ่าน ทรายละเอียด ทรายหยาบ กรวดเล็ก กรวดใหญ่”
บ่าวเทตามทุกคำสั่ง
เกศสุรางค์สั่งคนให้เอาน้ำคลองเทลงไปในกรวย
“น้ำในคลองใช่มั้ย เทลงไปเลย ทุกคนดูนะ น้ำขุ่นใช่มั้ย คอยดูนะเจ้าคะคุณป้า”
“พิเรนทร์แท้ๆเทียว”
คนจะเทน้ำยั้งมือทันที กำลังจะเทอยู่แล้ว
“เจ้าค่ะ อย่าดูเลยเจ้าค่ะ ขึ้นเรือนเถิดแม่นาย” ปริกว่า
“ข้าอยากดู”
“อ้าว !”
“จะเป็นยังไรแม่การะเกด”
“เครื่องกรองน้ำ มีนุ่นอยู่ล่างสุด ต่อมาเป็นถ่านดูดกลิ่นเพราะน้ำคลองมีกลิ่นโคลน กลิ่นหญ้า กรวดกับทรายจะกรองพวกตัวสัตว์เล็กๆหรือเชื้อโรคเจ้าค่ะ”
พวกบ่าวอ้าปากหวอกันทุกคน
ขุนศรีวิสารวาจา คุณหญิงจำปา ปริก ก็ฟังแบบงงงวย
“แกว่งสารส้มตะกอนก็นอนก้นหมด” ขุนศรีวิสารวาจาว่า
“ไม่นอนจริงเจ้าค่ะ เพราะตักน้ำมันก็ลอยขึ้นมา”
“เชื้อโรคเป็นยังไร”
“เป็นตัวเล็กๆมาก มองตาเปล่าไม่เห็น”
“ไม่เห็นทำไมคิดว่ามี”
“เฮ้อ !” เกศสุรางค์เท้าเอวฉับ
“แม่การะเกด กิริยาชั่วจริงออเจ้า”
"ขอโทษเจ้าค่ะ คุณพี่...ทำเลยนะเจ้าคะ ไม่ต้องถามแล้ว"
"ข้าก็คอยอยู่นานแล้ว เหตุใดยังไม่ทำดังปากพูด"
เกศสุรางค์ค้อนขวับ ขุนศรีวิสารวาจาหัวเราะหึๆ ตามองแบบลึกซึ้ง
บ่าวมองเห็นกันทุกคน ต่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นแถว
คุณหญิงจำปามองหน้ากับปริก
เกศสุรางค์บอก"เอ้า...เทเลย"
น้ำคลองถูกเทลงไป ทุกคนจ้องมองที่ทางออกของกรวย
สักครู่น้ำไหลออกมา ใสแจ๋ว
"เห็นมั้ย"
บ่าวฮือฮากันใหญ่ จำปากับปริกสีหน้าพอใจ แล้วชวนกันเดินขึ้นเรือนไป
"น้ำใสจริง"
"ก็แหงสิเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาบอก "ภาษาจีนอีกแล้ว
เกศสุรางค์มองไปแล้วถาม "เจ๋งมั้ยเจ้าคะ ขุนเรือง"
ขุนเรืองเดินเร็วๆมา "พ่อเดช"
"มาแต่วันนี้...นัดแนะกันวันพรุ่งมิใช่ฤๅพ่อเรือง"
ขุนเรืองอภัยภักดีอ้าปากจะตอบ เกศสุรางค์ถามเร็ว
"ไปไหนกันหรือคะ"
สองขุนหันมามอง สีหน้าเกศสุรางค์ซื่อบริสุทธิ์
"ไปตลาดบ้านจีน" ขุนเรืองบอก
"ตลาดบ้านจีนเหรอคะ" เกศสุรางค์เสียงตื่นเต้น ดีดนิ้ว เปาะ "ที่มีโรงละคร"
"ใช่แล้ว มีโรงละคร"
"ไปด้วย"
ขุนศรีวิสารวาจาบอก "ไม่ได้...ไม่ต้องทำตาเป็นประกาย ข้ามิอาจพาออเจ้าไปได้หรอก"
เสียงเกศสุรางค์เริ่มขุ่น"ทำไมเจ้าคะ"
"หญิงผู้ดีไม่ควรไปตลาดแห่งนี้"
"ไปได้ค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเสียงเฉียบ "อย่าร่ำร้องไปใยเลย...ไม่ได้"
"ไม่ใช่หญิงผู้ดีนี่คะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเฉยหันข้างให้ ไม่อยากพูดด้วยแล้ว
"ไม่ใช่...หญิงผู้..." เกศสุรางค์หยุดกึก
ขุนศรีวิสารวาจาส่ายหน้า นัยน์ตาเคร่งแล้วเดินไป
"ฮึ...เก๊กได้ที่" เกศสุรางค์พึมพำเบาๆ แล้วถาม "ขุนเรืองอยากดูเครื่องกรองน้ำมั้ยคะ"
"อยากสิแม่หญิง อยู่ที่ใดฤๅ"
"นี่ไงคะ"
"นี่ฤๅ..." ขุนเรืองอภัยภักดีเพ่งมองจนใกล้ "นี่ฤๅ..."
เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ "นี่แหละเจ้าค่า"
ขุนศรีวิสารวาจาหันมาดู
สองคนอยู่ใกล้ชิดกัน ก้มลงดู หัวเราะหัวใคร่กัน
ขุนศรีวิสารวาจาเพ่งมอง สายตาหม่นมัวลงนิด ไม่รู้ใจนางเลย
มุมหนึ่งข้างล่าง ขุนเรืองอภัยภักดีบอก
"ข้ามองแล้วเห็นแต่ทรายละเอียดเท่านั้นที่จะกรองน้ำได้"
"กรองได้ทุกชั้นค่ะ"
"ถ่าน ?"
"ถ่านดูดกลิ่นเหม็นๆ"
"นุ่น ?"
"นุ่นนั่นแหละค่ะตัวกรองสุดท้ายที่ละเอียดสุดๆ"
"สุดๆฤๅ"
"สุดๆเลยค่ะ"
เกศสุรางค์หัวเราะเสียงดัง
ขุนศรีวิสารวาจายืนดูอยู่บนชานเรือน นัยน์ตาเคร่งขรึมมาก
ขุนศรีวิสารวาจาหันหลังกลับมานั่งหน้าเครียด อึดอัดใจ หยิบหนังสือเปิดอ่าน
แต่อ่านไม่รู้เรื่อง ปิดดัง ฉับ! แล้วนั่งนิ่ง
ที่มุมเรือน ออกญาโหราธิบดียืนมอง สีหน้าครุ่นคิด
คุณหญิงจำปาเดินมาถาม "ดูอะไรอยู่ฤๅเจ้าคะคุณพี่"
"ลูกชายเรา"
"อ๋อ"
ออกญาโหราธิบดีหันมามองเหล่ๆ "อ๋อ...งั้นรึแม่จำปา"
"เจ้าค่ะ"
"เห็นปานนี้ยังไม่ว่ายังไรฤๅ"
"ข้าไม่ชอบนางอย่างที่เคยไม่ชอบเจ้าค่ะคุณพี่"
"อย่างนี้พ่อเดชจะทำฉันใด"
"ไม่ต้องทำฉันใดหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้หน้าที่ของข้าดีว่า ข้าเป็นแม่นะเจ้าคะ ข้าทำแล้วข้ามิได้ขัดคำคุณพี่เลยนะเจ้าคะ"
"นางเปลี่ยนไปแล้วนะแม่จำปา"
"แต่ข้ายังมิไว้ใจนาง...นางมีสันดานไม่ดี"
เกศสุรางค์ขึ้นบันไดได้ยิน ผิน แย้มตามมาได้ยินด้วย
ขุนศรีวิสารวาจาได้ยิน หันมาฟัง
ภายในห้อง เกศสุรางค์นั่งหน้าเฉยๆ
ผิน แย้มนั่งแทบเท้า ลูบไล้ขาเบาๆ
ผินบอก "อย่าโกรธแม่นายจำปาเลยนะเจ้าคะ"
"แม่นายท่านพูดแล้วพูดอีกเป็นสิบๆครั้ง" แย้มว่า
"แม่นายของบ่าวตอบโต้ทุกครั้ง ครั้งนี้เงียบงันเป็นที่ประหลาดใจ ไม่โกรธแล้วฤๅเจ้าคะ"
"ข้าตอบโต้ว่าไงเหรอพี่"
สองคนทำหน้าสยอง
"แรงเหรอพี่"
ผิน/แย้มบอก "แร๊งส...เจ้าค่ะ"
"ยังไง"
บนเรือนวันหนึ่ง ในอดีต
คุณหญิงจำปาบอก
"แม่หญิงอยุธยามิมีผู้ใดเหมือนดังออเจ้า งานในครัวไม่ทำ งานบนบ้านไม่ทำ งานเสื้อผ้าไม่ทำ งานดอกไม้กรองมาลัยไม่ทำ"
การะเกดนิ่งหน้าเข้ม ตาเพ่งมองตรงไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้ยิน ผิน แย้มตัวสั่นงันงก
"เกียจคร้านจนเป็นสันดาน"
การะเกดแผดเสียงร้องขึ้นทันใด กรี๊ด...กรี๊ด...กรี๊ด
คุณหญิงจำปาสะดุ้งสุดตัว ตาค้าง
บ่าวๆก็ตกใจหน้าเหวอเป็นแถวๆ
การะเกดลุกขึ้นโดยแรง เดินผ่านแทบชนคุณหญิงจำปา
ผ่านบ่าวที่นั่งเรียงกัน ก็ตบเรียงตัวตั้งแต่คนแรกถึงคนที่ 2,3,4,5 กราวรูดเพียงครั้งเดียว
แล้วเดินพรวดหายตัวไปทันที
ได้ยินแล้ว เกศสุรางค์ ตกใจด้วยร้อง “ฮ้า”
"เป็นไงล่ะเจ้าคะ" ผินถาม
"จะเป็นไงล่ะ...ก็แร๊งสดั่งว่าสิ"
"มีอีกนะเจ้าคะ" แย้มว่า
"เชื่อเขาเลย"
"ยังไม่ทันฟังเชื่อแล้วหรือเจ้าคะ"
"จัดมาเลยพี่แย้ม"
วันหนึ่งในอดีต บนเรือน การะเกดวางเข็มร้อยมาลัยอย่างแรง มีมาลัยที่ร้อยไว้โย้เย้
"เวียนหัวเจ้าค่ะ"
"ไม่เคยมีผู้ใดเวียนหัวเพราะกรองมาลัย"
การะเกดสู้ตาไม่หวาดหวั่น "มีเจ้าค่ะ ข้าไงเจ้าคะ"
2 บ่าวนั่งปั้นลูกกะปิ ทำข้าวแช่ การะเกดปั้นอยู่ด้วย
"ปั้นให้เท่าๆกันสิพวกเอ็ง"
การะเกดวางมือแรงๆ
คุณหญิงจำปาหันมามอง
"เหม็น"
"เหม็นสิ่งใดแม่การะเกด"
"อะไรอยู่ในมือก็เหม็นสิ่งนั้นแหละเจ้าค่ะ" การะเกดลุกแล้วเดินไปทันที
ผิน แย้มตาม
"นังผิน นังแย้ม อยู่ก่อนยังไปไม่ได้"
การะเกดหันมา "อีผิน อีแผ้ม ใครเป็นนายมึง...ฮะ"
คุณหญิงจำปากดหน้าต่ำ เหลือบตามอง ดูผ้าที่การะเกดเย็บไว้
"แม่การะเกดตะเข็บโย้เย้ดังนี้ ออเจ้าใช้มือหรือใช้..." คุณหญิงจำปาหยุดชะงักมองหน้า ถอนใจแรงๆ ไม่อยากพูด
"ใช้ตีนเย็บกระมังเจ้าคะ" การะเกดน้ำเสียง สีหน้าแสนซื่อ มองคุณหญิงจำปานิ่งๆ
"ออเจ้าจะไปไหนก็ไปเถิด"
"เจ้าค่ะ" การะเกดก้มลงไหว้กระชดกระช้อย เงยหน้าขึ้น
ปริกจ้องอยู่อย่างเกลียดชัง
"มองอะไรกูนังปริก มึงอยากเจ็บตัวฤๅ"
ปริกหันไปทางอื่นไม่อยากตอบ
ผิน แย้มพยายามพาตัวแม่นายออกไป
"อีผินอีแย้ม มึงจะดึงชายผ้ากูทำไม มึงเต็มใจให้อีบ่าวมันดูหมิ่นดูแคลนกูรึ กูมิใช่สิ้นไร้ไม้ตอก วันหนึ่งกูก็จะเป็นสะใภ้ รังเกียจเดียดฉันท์กูปานนี้ กูก็ลูกพระยานาหมื่น มึงจะให้กูเงียบปากรึ ว่าไงอีปริก"
ปริกไม่อยากตอแย ลุกขึ้นเดินหนีไป
การะเกดลุกพรวดผลักปริกอย่างแรง ปริกหน้าคะมำไปเกือบล้ม แต่ยั้งตัวทัน หันหลังกลับท่าทางจะเอาเรื่อง นัยน์ตาลุกวาว
"กูไม่ยอมแล้ว"
การะเกดปราดเข้าตบเปรี้ยง ตวาดเสียงดัง
"ไม่ยอมก็ต้องโดนเช่นนี้ คุณป้าเจ้าคะ ถ้าจะตัดสินอย่าลืมนะเจ้าคะว่ามันเป็นบ่าว บ่าวกำเริบเสิบสานกับนายมิมีผู้ใดในอยุธยาทำนะเจ้าคะ ถ้าคุณป้าเข้าข้างอีกปริก คงได้ลือทั้งพระนครเป็นแน่เจ้าค่ะ"
"ออเจ้ากลับหอนอนของออเจ้าประเดี๋ยวนี้เชียว"
"คุณป้าอย่าลืมที่ข้าบอกก็แล้วกัน อีผิน อีแย้ม" แล้วก้าวพรวดไปอย่างรวดเร็ว
ในห้อง เกศสุรางค์บอกผินกับแย้ม
"แค่ฟังยังเห็นภาพเลยว่าข้าเนี่ย...โคตรน่าเกลียดเลย ทำไมพี่ถึงรักข้าล่ะ"
สองบ่าวคลานมากอดขาคนละข้าง น้ำตาไหลทั้งคู่ ก้มหน้าสะอื้นเงียบๆ
"ขอบใจพี่สองคนมาก พี่ดูแลข้ามาตั้งแต่ข้าร้ายกาจชั่วร้าย จนข้ากลายเป็นข้าเดี๋ยวนี้
ข้าจะไม่ลืมความดีของพี่เลย"
ขุนศรีวิสารวาจานั่งคิด อยู่ข้างนอก
เกศสุรางค์กับขุนเรืองอภัยภักดี ใกล้ชิดกัน หัวเราะให้กัน
ขุนศรีวิสารวาจานิ่ง สีหน้าเครียดจัด
จวงกับจิกต่างซุบซิบกัน ชำเลืองดู
"น้าจวง...ถามท่านขุนสิ" จิกบอกจวง
"ถามว่าไง"
"ว่า..."
"คิดออกแล้วค่อยบอกข้า"
"ว่าหิวรึยัง"
จวงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเข้าไป
"ท่านขุนเจ้าคะ"
แต่ขุนศรีวิสารวาจาลุกพรวด เดินไปทันที
จวง จิกหน้าเหวอ
เสียงเคาะประตูดังมาก ปัง ปัง ปัง ! สามคนตกใจหันไปดู
ผินไปเปิดประตู เห็นขุนศรีวิสารวาจายืนอยู่
"เจ้าคะ"
"ถามนายเจ้าว่าวันพรุ่งข้าจะพาไปตลาดตะพานชีกุน จะไปฤๅไม่"
ผิน แย้มยังแปลกใจไม่หาย
แต่เกศสุรางค์นั้น ด้วยความเป็นหญิงรู้ดีทีเดียวว่าทำไม กำลังจะพูดกับบ่าว
ขุนศรีเปิดประตูอย่างแรง
"ไม่ต้องถามอันใด บอกแม่นายว่าวันพรุ่งข้าจะพาไปตลาดตะพาน"
ขุนศรีวิสารวาจาออกไปทันที
เกศสุรางค์หน้าสมใจ
วันรุ่งขึ้น ณ ตลาดสะพานชีกุนเป็นสะพานปูน
คนเดินสวนไปมา มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
เกศสุรางค์,ขุนศรีวิสารวาจา, บ่าวทั้งหลายได้แก่ แย้ม , ผิน , จ้อย , จวง , จิก เดินขึ้นสะพาน เกศสุรางค์มองซ้ายขวาอย่างตื่นเต้น
"ในกำแพงพระนครศรีอยุธยา"
ในห้องเรียน อาจารย์บรรยายว่า
"มีสะพานข้ามคลองใหญ่ทำด้วยอิฐ 15 สะพาน ทำด้วยไม้ 15 สะพาน รวมเป็นสามสิบสะพาน ถ้าพวกเราย้อนอดีตไปได้คงต้องไปที่สะพานชีกุนก่อน เป็นสะพานอิฐ เชิงสะพานมีแขกนั่งร้านขายปะวะหร่ำกำไล ขายแหวน ลูกแก้ว ลูกปัด ปิ่นปักผม เครื่องประดับของผู้หญิง"
เกศสุรางค์บอก"ใช่แล้ว นั่นไงตลาดสะพานชีกุน"
แผงไม้ที่ร้านยกพื้นของแขก ปูผ้ากำมะหยี่ มีเครื่องประดับเงินฝังพลอย สีขุ่นไม่สวยเท่าไหร่ สร้อย แหวน กำไลหลายขนาด
เกศสุรางค์ก้มลงมองจนใกล้ บ่าวยิ้มแย้มดูกันใหญ่
"ถ้าออเจ้าชอบก็เลือกดูได้"
"คุณพี่จ่ายเงิน ?"
"คงมิทำให้ข้าล่มจมหรอก"
เกศสุรางค์ยิ้มแป้นมองหน้าขุนศรีวิสารวาจา
"เจ้าจะว่ายังไร"
"ป๋ามาก"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเหวอ บ่าวก็หน้าตาเลิ่กลั่ก
"เจ้าว่าอันใด"
"ข้าว่าป๋ามาก...โธ่ คุณพี่จะสนทำไมคะ ข้าพูดไปงั้นเอง"
"สน...สนด้ายกับเข็มฤๅ"
"อุ๊ย นั่นจับปิ้ง น่ารักจัง" เกศสุรางค์ชูขึ้น "จะปิดมิดมั้ยเจ้าคะ อันกระจิ๊ดเดียว"
ขุนศรีวิสารวาจาพลอยหัวเราะไปด้วย
"ถาดเงิน ขันเงิน พวกนี้ลายไม่เห็นเหมือนของอยุธยา"
"เป็นของอินเดีย เป็นอย่างแขก ออเจ้ารู้จักอินเดียฤๅไม่"
"รู้เจ้าค่ะ อินเดีย เนปาล ปากีสถาน ศรีลังกา" เกศสุรางค์พูดเร็วปรื๋อ
ขุนศรีวิสารวาจามองแบบสงสัยหนัก
เกศสุรางค์เสียงดังกลบเกลื่อน"หิวแล้ว"
บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ใกล้ตลาด เกศสุรางค์ส่งขนมให้บ่าว
"เอ้า กินกันซะ ขนมชะมด ขนมกง ขนมบ้าบิ่น อร่อยจัง"
บ่าวสั่นหน้า เกศสุรางค์ยัดเยียดใส่มือไป
"ออเจ้าช่างตามใจบ่าวนัก"
"ตามใจยังไงเจ้าคะ"
"ปกติแล้วไม่มีใครใส่ใจกับบ่าวที่ติดตามดอกหนา ยิ่งแบ่งปันกันกินมิมีผู้ใดทำ"
"เอ๊ะ ! ก็เขามาคอยดูแล มาทนเหนื่อยทนเดินไปกับข้า แล้วทำไมข้าจะตอบแทนไม่ได้"
"มิใช่มิได้ หากแต่มิมีผู้ใดทำกัน"
"ถ้าอย่างนั้นข้าก็เป็นผู้บุกเบิก"
ขุนศรีวืสารวาจาหัวเราะหึๆ "คงใช่ กะเดี๋ยวออเจ้าต้องกลับเรือนแล้วหนา"
"อ้าว...แล้วคุณพี่ล่ะเจ้าคะ"
"ข้าจักไปที่ร้านเหล้าตลาดชีกุน"
"ข้าไปด้วย" เกศสุรางค์พูดทันควัน
"มิได้ ข้านัดแนะกับขุนเรืองไว้"
"ข้าจะไปหาขุนเรืองเหมือนกัน"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเฉยขึ้นทันที สายตาเหมือนไฟที่มองสบสายตาเกศสุรางค์
เกศสุรางค์เหมือนชาวาบไปทั้งตัว รู้ในอารมณ์ของอีกฝ่าย
"ไม่ได้ ออเจ้าจักต้องขึ้นเรือกลับกับพวกบ่าว ผู้ชายไปกินเหล้ากัน แม่หญิงมิบังควรไปยุ่งเกี่ยว"
"อะไรกัน จะทิ้งกันอีกแล้ว เมื่อคราวไปตลาดท่าเรือจ้างวัดนางชี ข้ายังไปได้ คราวนี้คุณพี่ก็ให้ข้าเดินเที่ยวอีกสิเจ้าคะ ข้าเดินเที่ยวได้หลายรอบไม่เบื่อเลยสักนิด"
"การนี้นานนักข้าไม่อยากพะวง"
"การอะไรกันแค่กินเหล้าให้คนอื่นเห็นแค่นี้เอง"
"มิใช่แค่กินเหล้าให้ผู้อื่นเห็นอย่างที่ออเจ้าคิดดอกหนา อย่าได้วุ่นวายไป ถ้ามิเชื่อฟัง คราหน้าข้าจักไม่พาออเจ้าเที่ยวอีก" ขุนศรีวิสารวาจาหน้าดุเสียงเข้มยื่นคำขาด
เกศสุรางค์หน้างอง้ำผิดหวัง
บ่าวทั้งหลายได้แต่มองตากัน
เรือยังจอดอยู่ที่ท่า ... เกศสุรางค์นึกออก
"จ้อย"
"ขอรับ"
"ไปจอดเรือที่ท่าตลาดบ้านจีนด้วย"
จ้อยตาโตถาม"กระไรหนา !"
"ตลาดบ้านจีน ได้ยินชัดแล้วหรือยัง"
"แต่ว่า...ท่านขุน"
"ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ถ้าจ้อยไม่จอดข้าจะกระโดดลงจากเรือหน้าท่าตลาดบ้านจีนเลยล่ะ คอยดูสิ"
เรือแล่นมาตามลำน้ำ เรือลำนี้ ประกอบด้วย เกศสุรางค์, แย้ม , ผิน , จ้อย , จวง , จิก , ม่วง , แหวน , ยอด
ต่อมา ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังตลาดบ้านจีนตามคำสั่งของเกศสุรางค์
เกศสุรางค์ยืนบริเวณหน้าตลาด บ่าวยืนออกันเป็นกลุ่ม ไม่อยากเข้า
"แม่นายเจ้าขาขึ้นท่านี้ใยเจ้าคะ" ผินถาม
"ข้าอยากดูโรงงิ้ว"
"แต่ว่าที่นี่ไม่เหมาะกับแม่หญิงนะเจ้าคะ" แย้มบอก
"กลัวอาไร้ ขนบ่าวมาเต็ม ให้มันรู้ไปว่าพวกพี่จะปกป้องข้าไม่ได้"
เกศสุรางค์เดินฉับๆเข้าไปในตัวตลาดทันที
ผินผวาเข้าคว้าแขน กระซิบเบามาก
"ข้างในเป็นโรงชำเรานะเจ้าคะ"
"นั่นแหละ...อยากดู" เกศสุรางค์เดินไป
บ่าวที่เหลือ นอกจากแย้มกับผินอ้าปากเหวอกันเป็นแถว
ตลาดบ้านจีนก็เหมือนตลาดทั่วๆไป แต่หนักไปทางขายของจีนมากกว่าของไทย มีทั้งโคมไฟ รูปปั้น ไม้แกะสลักอย่างจีนและโต๊ะมุก กล่องมุกหลายขนาด มีคนเดินจับจ่ายเยอะพอสมควร
บ้านเรือนก็มีทั้งก่ออิฐอย่างฝรั่ง ทว่ามุงกระเบื้องลอนอย่างจีน และสร้างเป็นบ้านไม้หลายชนิด รวมถึงประดับประดาไม้สลักและแต่งโคมไฟอย่างจีน
เกศสุรางค์พาบ่าวเดินเข้ามาเรื่อยๆ ดูข้าวของไป แล้วรู้สึกแปลกๆ เงยหน้าดู ผู้คนจับจ้องอยู่ที่ตัวเองเป็น ตาเดียว
เกศสุรางค์จำต้องทำเป็นไม่สน เดินพินิจพิจารณาข้าวของไปเรื่อยๆ บ่าวเกาะกลุ่มเดินตาม
เมื่อเดินลึกเข้าไปอีก จึงเห็นเป็นโรงน้ำชาและตัวตึกที่เป็นลักษณะซอกแคบ
มีผู้หญิงท่าทางเหนื่อยหน่าย 2-3 คนนั่งอยู่ใกล้ประตูทางเข้าล้วน แล้วแต่ไม่ห่มสไบหรือคาดผ้าแถบ
ปล่อยให้ยานโตงเตงท้าทายสายตาผู้คน ใบหน้าที่ผัดแป้งไม่สามารถบดบังสายตาที่แห้งผากของบางคนได้ แต่บางคนก็มีแววตาที่หลุกหลิกกลอกกลิ้งยั่วยวนอยู่บ้างเช่นกัน เมื่อมองเห็นพวกบ่าวร่างกำยำที่เดินตามหลังเกศสุรางค์มา
ท้ายตลาด มีศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงอย่างว่านัก เมื่อเดินดูจนพอใจแล้ว เกศสุรางค์จึงหันหลังจะกลับ ทว่าสายตากลับปะทะกับร่างทะมึนของคนจีนไว้เปียยาว 2-3 คนที่มายืนดักทางเดินไว้
จีน 1 ถาม "ออเจ้าเป็นผู้ใดกันงามยิ่งนัก มาเดินชมสิ่งใดในตลาดนี้ฤๅ"
จีนผู้นั้นถามพลางมองทั่วร่างของเกศสุรางค์ด้วยท่าทีโลมเลีย
"แม่นายข้าจักเป็นผู้ใดเกี่ยวข้องกระไรด้วยเจ้า ถอยไปเดี๋ยวนี้" ผินบอก
ทั้งผินทั้งแย้มมาบังเกศสุรางค์ไว้
สองบ่าวชายก็ชักกริชออกมาเตรียมพร้อม
"มีอะไรพูดกันดีๆก็ได้ ทำไมจะต้องมาทำท่าทีคุกคามอย่างนี้"
เสียงของแม่หญิงที่ถูกปกป้องให้อยู่ตรงกลางระหว่างบ่าวไพร่ทำให้เกิดเสียงหัวเราะจากคนที่ยืนรายล้อม
จีน 2 บอก "พูดดีๆ ก็มาให้พี่จูบสักทีสองทีเป็นไรน้องสาว"
ผินโมโห "อ้ายพวกไพร่สถุล ! ปากของพวกมึงจักไม่มีฟันเอาไว้กินขี้แล้วหนา"
จีน 1 ฟาดมือใหญ่ใส่ผินจนเลือกกบปาก ผลักผินกระเด็นไป ขนาดตัวบึ้กขนาดนั้น
เกศสุรางค์ร้องตกใจ "พี่ผิน"
เกศสุรางค์เข้าไปประคองผินที่เซล้มอยู่ตรงหน้า และเมื่อเห็นเลือดของผินก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
เกศสุรางค์ด่าเสียงแหลมดังลั่น
"ไอ้หน้าตัวเมีย รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้ นึกว่าเก่งนักหรือไอ้นักเลงใส่ผ้าซิ่น"
ตอนนี้คนมามุงกันในบริเวณเกิดเหตุเต็มไปหมดแล้ว ทุกคนรวมทั้งนักเลงผ้าซิ่น เงียบกริบแบบงงงัน
จีน 1 เดินย่างสามขุมเข้ามา จ้อยขวาง
จ้อยเงื้อกริช "อย่านะเว้ย"
"ไอ้หนู...หลีกไป"
"ไม่หลีกเว้ย...มึงนั่นแหละหลีก"
จีน 1 หัวเราะเสียงกังวาน
พวกบ่าวพยายามเรียกจ้อยกลับ
"ไม่กลับเว้ย มึงเข้ามาสิไอ้นักเลงโต"
จีน 2 ตรงเข้ามาจับจ้อยชู แล้วทุ่มเต็มแรง
จ้อยร้องโอ๊ย เป็นเวลาเดียวกับที่จีน 2 พุ่งพรวดเข้ามา
เกศสุรางค์ถลาออกมาเผชิญหน้า แล้วเตะที่หว่างขาเต็มแรง
ผู้คนฮือ จีน 2 ตัวงอก่องอขิง
เกศสุรางค์เข้าประชิดตัว จับแขนใหญ่นั้นไว้
"ครู...ช่วยด้วย"
สมัยที่เกศสุรางค์ยังอวบอ้วน สมัยปัจจุบัน เคยเรียนยูยิตสู
ในห้องเรียนยูยิตสู
ครูสอนยูยิตสูท่าพื้นฐาน ครูพูดบอกวิธีการด้วย เรืองฤทธิ์ยืนเชียร์อยู่ ตบมือ ผู้คนฮือฮา
เกศสุรางค์จับแขนใหญ่ บิดข้อกระดูกเหวี่ยงทันที
จีน 2 โวย "โอ๊ย...อะไรกันวะ"
จีน 1 พอฟื้น แต่อยู่ในอาการเจ็บ ลุกพรวดหาเกศสุรางค์ทันที
เกศสุรางค์หันหลังกลับ วิ่งสุดแรงเกิดเข้าไปอยู่ในวงล้อมของบ่าว ตั้งท่าไว้ก่อน เกศสุรางค์ นึกถึงตอนเรียน
ครูสอนยูยิตสูอีกท่าหนึ่ง เป็นท่าเดียวกับท่าที่เกศสุรางค์ปราบไอ้จีน 1
จีน 1ร้องเจ็บปวด "โอ๊ย"
จีนหางเปียยาวอีก 2-3 คนพรวดมา
"มาเลยไอ้หน้าตัวเมีย หมาหมู่เหรอโว้ย"
เกศสุรางค์จัดการล้มคว่ำไปตามๆกัน
ผู้คนฮือฮากันเป็นแถว
เกศสุรางค์ยืนมองไปรอบๆอย่างท้าทาย
คนซูฮกกันเป็นแถว เกศสุรางค์ท้าทาย
"มีอีกมั้ย...มีก็ออกมา"
มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมาทันเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ซุ่มยืนแอบอยู่ริมกำแพง
สายตาของคนผู้หนึ่งในกลุ่มใหม่นั้นถึงกับมองเกศสุรางค์อย่างฉงนใจ
เหตุการณ์ที่เธอจัดการคนตัวใหญ่กว่าอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ ท่าทีซึ่งสง่างามนั้นทำให้พอรู้ว่าน่าจะเป็นขุนนางของอยุธยาคนหนึ่ง เพราะบริวารที่มาด้วยนั้นแต่งกายเหมือนทหารในละครจักรๆวงศ์ๆ นั่นคือชุดมัสลินสีแดงเสื้อผ่าอก และกางเกงสีแดงมีเชิงชายแวดล้อมอยู่ด้วย
ขุนนางผู้นั้นถาม"มีกระไรกัน"
จีน 1บอก "ท่านออกหลวงศรียศ เอ่อ...ไม่มีอันใดดอกขอรับ"
หลวงศรียศขมวดคิ้วเข้ม มองจีน 1 สายตาสงสัย "แน่ ?"
จีน 1 ประสานมือ ก้มหัวประหลกๆ แต่สีหน้าน่ะพิรุธเต็มที่
หลวงศรียศเดินมาหาเกศสุรางค์
"มีสิ่งใดให้ข้าช่วยฤๅไม่แม่หญิง"
เกศสุรางค์ตอบเต็มเสียง "ไม่มีค่ะ แค่ให้พวกนี้หลีกทางให้ข้าก็พอ"
"เช่นนั้นก็ย่อมได้ หากแต่บอกกล่าวต่อข้าได้ฤๅไม่ว่าแม่หญิงเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ด้วยข้าไม่คุ้นหน้าออเจ้าเลย"
"ข้าชื่อการะเกด เป็นหลานของออกญาโหราธิบดี"
ขาดคำเกศสุรางค์ เสียงฮือจากหมู่เจ๊กมุง ไทยมุงอีกจำนวนหนึ่งก็ร้อง “ฮือ”
คนเหล่านั้นเพ่งมองเกศสุรางค์เหมือนเป็นตัวประหลาด ผู้หญิงบางคนซุบซิบกัน มองหน้ากัน
สีหน้าออกกลัวๆ
หญิง 1บอก "ชื่อการะเกดมิผิดนะแม่หญิง"
"มิผิดแน่นอน ข้าชื่อการะเกด"
แล้วผู้คนก็อื้ออึงด้วยคำพูดถึงนาง
"การะเกด นางที่ต่อปากกับขุนนางฝรั่ง"
"ใช่ ขุนนางนั่นแพ้ปากนาง"
"นางเป็นหลานขุนนางใหญ่"
"คนสนิทขุนหลวง"
ทั้งหลายทั้งปวงหันหลังกลับ วิ่งตึ้กๆหนีหายไปหมด
"อ้าว !" นางเหลียวดูบ่าวทั้งปวง ถาม "ทำไมล่ะพี่"
บ่าวส่ายหน้าเป็นแถวๆ
"แม่หญิงการะเกด โชคดีที่ข้ามาราชการทเวนแถบนี้พอดี มิเช่นนั้นแล้วพวกของออเจ้าคงเหนื่อยมากกว่านี้" หลวงศรียศบอก
เกศสุรางค์ไหว้ ทอดเสียงนุ่มนวล
"เป็นพระคุณค่ะ ข้าต้องกลับแล้ว"
"กะเดี๋ยวเถิด ขอให้ข้าไปส่งออเจ้าถึงเรือเถิดหนา จะได้ช่วยคุ้มครองด้วยอีกแรง"
เกศสุรางค์คิดอึดใจ "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เดินสบายๆ ตีคู่มากับหลวงศรียศ
กลุ่มบ่าวชาย หญิงเดินตาม บ่าวของหลวงศรียศเดินแบบเมียงมองสาวๆ ในบริเวณทางเดินในตลาดบ้านจีน
ผู้คนยืนเรียงรายตามทาง บ้างก็มองซุบซิบกัน บ้างก็แอบๆมอง กลัวๆ บ้างก็หลบเลยเมื่อเกศสุรางค์เดินมาถึง ทุกคนมีทีท่าหวาดกลัว
หลวงศรียศเดินสบายๆ มองเกศสุรางค์อย่างทึ่ง ชื่นชม
มาถึงหน้าตลาด เกศสุรางค์หันไปไหว้อีกที
"ข้าลาก่อนนะเจ้าคะ"
บ่าวทั้งหลายไหว้ลากันเป็นแถว บ่าวหญิงยิ้มแย้มกับบ่าวชายของหลวงศรียศ
"ข้าชื่อหลวงศรียศ ถามออกขุนศรีวิสารวาจาเถิด รู้จักกันดี"
เกศสุรางค์เดินนำเข้าเรือน บ่าวเดินตามตัวลีบ
เกศสุรางค์หันมาเห็น
"เป็นอะไร ทำท่าทำหน้าอย่างนี้ตั้งแต่ในเรือ"
จ้อยบอก "แม่หญิงขอรับ อย่าถามท่านขุนนะขอรับ"
เกศสุรางค์อำ "จะถาม"
"โอย"
บ่าวๆทำท่าหวั่นกลัว มองตากัน
" ไม่ให้ถามเรื่องอะไรยังไม่รู้เลย ฮะ...ฮะ" เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ
ในห้องคุณหญิงจำปา ปริกส่งเสียง
"แม่นาย...แม่นายเจ้าขา...อยู่หนใดเจ้าคะ"
"หันหลังมา...ข้าอยู่นี่"
"โอ๊ย แม่นาย ยืนซุ่มยืนซ่อนได้ได้ยินเสียง"
จำปาเหล่ปริก "นังปริก"
ปริกตัวลีบลง
"มีอะไรส่งเสียงอึงมี่"
"มีเรื่องสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวนี้เองเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ขึ้นบันไดเรือน
จ้อยก็ยังพูดย้ำ
"อย่าลืมนะขอรับแม่หญิง อย่าถามแม่นายท่าน หรือท่านออกญาถึงออกหลวงศรียศนะขอรับ"
ปริกรายงาน
"เล่าลือเป็นเสียงเดียวเจ้าค่ะว่าแม่หญิงการะเกดหลานออกญาโหราธิบดีตบตีพวกจีนเฝ้าซ่องด้วย" แล้วปริกก็หยุดกึก
คุณหญิงจำปาเสียงหลง "จีนเฝ้าซ่อง"
"เจ้าค่ะ จีนเฝ้าซ่องที่ตลาดบ้านจีน"
"ตลาดบ้านจีน" คุณหญิงร้องเสียงหลงขึ้นไปอีกเท่าตัว
ต่อมาที่ชานเรือน
เกศสุรางค์ได้ยินเต็มสองหู บ่าวก็ตัวลีบแทบติดกระดาน
ปริกร่ายแจกแจง
"แม่หญิงต่อยเตะพวกจีนเฝ้าซ่องด้วยมือเปล่า จนไอ้จีนหางเปียยาวนอนระเนระนาดเชียวเจ้าค่ะ...ตั้งยี่สิบคนนะเจ้าคะ" ปริกเพิ่มอัตราจำนวนจีนเฝ้าซ่องอีกหลายเท่าตัว
เกศสุรางค์คอย่น...พวกบ่าวอยากตาย
"แค่สองคนเองนะ ลือขนาดนี้ สงสัยอีกไม่นานข้าคงเป็นตำนานฆ่าควายด้วยมือเปล่า"
เสียงคุณหญิงจำปานำ แล้วเดินมา
"แม่การะเกด ต่อไปห้ามมิให้ออเจ้าออกไปเที่ยวตลาดอีกจนกว่าเสียงเล่าลือจักซาไป"
เกศสุรางค์หน้าจ๋อย ปริกเดินตามมาสาแก่ใจ
"อ้ายอีทั้งหลายที่ไปกับแม่การะเกดนับว่ามีความผิดหนักต้องถูกโบย อีจวงไปนำหวายมา"
ปริกบอก "อีจวงไปด้วยเจ้าค่ะ"
"พี่ปริก" จวงโพล่ง
"อีจวง นังจิกตามก้นนังแย้ม นังผินไปเจ้าค่ะ"
"ปากสว่าง"
"อีจวง ไปเอาหวายมา"
เกศสุรางค์หน้าเหวอรีบพูดละล่ำละลัก
"พวกบ่าวที่ตามไปไม่ผิดนะเจ้าคะ คนที่ผิดคือข้า ข้าเองเป็นคนบังคับขู่เข็ญที่จะไปท่าตลาดบ้านจีนให้ได้ หากพวกบ่าวไม่ไปตามคำสั่งข้าก็ต้องถูกลงโทษ ทำตามคำสั่งข้าจะถูกโบยได้ยังไงเจ้าคะคุณป้า"
ออกญาโหราธิบดีที่กำลังนั่งเขียนหนังสือห่างออกไปกับขุนศรีวิสารวาจาหันมามอง
ขุนศรีวิสารวาจาลุกมาทันที "แม่การะเกด...เงียบปากเถิด"
"เงียบไม่ได้ค่ะ อยากจะโบยก็ต้องโบยข้า"
จ้อย ม่วง แหวน ยอดออกันอยู่ที่หัวกระได หน้าตกใจกันทั้งหมด บรรดาบ่าวชายแต่โบราณจะขึ้นเรือนได้ก็ต่อเมื่อนายเรียก แต่จ้อยทำหน้าที่คนสนิทประหนึ่งทนายหน้าหอของพ่อเดช จึงเป็นบ่าวคนเดียวที่อาจจะพ้นบันไดขึ้นมาหน่อย แล้วนั่งแอบๆ
"แม่นายเจ้าขาเงียบปากเจ้าค่ะ เงียบปาก" แย้มบอก น้ำตาไหลพราก "จะเจ็บตัวนะเจ้าคะ"
"ทั้งพี่ผิน พี่แย้ม จ้อย ยอด ม่วง แหวน ต่างก็ทัดทานข้า ไม่มีใครอยากขึ้นท่านั้นสักคนเดียว มีแต่ข้าที่ดื้อดึง แล้วอย่างนี้จะให้ข้าทนดูพวกพี่ๆต้องถูกลงโทษเพราะข้าได้อย่างไร"
"ในเมื่ออยากรับโทษนักก็ย่อมได้ บ่าวมีหกคน ออเจ้าก็รับโทษแทนพวกมันไปหกทีเป็นไร"
"เจ้าค่ะ"
"จองหอง อวดดี อีจวงโบยแม่หญิงการะเกดประเดี๋ยวนี้"
จวงหน้าถอดสี ตัวสั่นงันงก
"บ่าว...บ่าวก็ไปด้วยเจ้าค่ะ บ่าวรับโทษเองเจ้าค่ะ"
"อีจวง มึงไม่ต้องกลัว ถ้ามึงอยากได้โทษนัก กูจะให้นังปริกโบยมึงเป็นไร"
จวงอ้าปากจะพูด จิกดึงชายโจงกระเบนไว้
"คุณแม่ขอรับ"
"เงียบปากพ่อเดช หากมิลงโทษให้หลาบจำ ก็รังแต่จักทำเรื่องทำราวมิรู้จักจบสิ้น ต่อไปจักได้คิดมากกว่านี้ นี่อะไร...ทำตามแก่ใจตนเพียงถ่ายเดียว"
ขุนศรีวิสารวาจากลับไปที่ออกญาโหราธิบดีอย่างเดิม ไปซุบซิบกัน
บ่าวแต่ละคนหมอบตัวสั่น นัยน์ตาแดงก่ำกันทุกคนอย่างกลัวลนลาน
เกศสุรางค์หมอบนิ่ง สายตาตกรู้สึกผิดมาก
"นังจวง...มึงกล้าขัดคำกูรึ"
จวงลุกขึ้นแทบไม่ไหว ยกมือแล้วฟาดไปเบาๆ แต่เกศสุรางค์สะดุ้งสุดตัว
จ้อยบอก
"โบยบ่าวเถิดขอรับแม่นายจำปา บ่าวเป็นคนพายเรือไปที่ท่านั้นเอง ไม่ได้เอ่ยปากทัดทานสักน้อยขอรับ" จ้อยคลานเข้ามา
ผินบอก "โบยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวเป็นบ่าวแม่หญิง กลับปล่อยให้แม่หญิงขึ้นท่านั้นช่างผิดนักหนา อย่าโบยแม่หญิงของบ่าวเลยหนาเจ้าคะ แม่หญิงตัวน้อยแค่นี้คงเจ็บเจียนขาดใจ"
ผินสะอื้นไห้ตัวสั่นเทา ดวงตาภักดีจับจ้องมองแม่นายด้วยน้ำตากบตา
แย้มเอาบ้าง "บ่าวด้วยเจ้าค่ะ...บ่าวผิดด้วย อย่าให้แม่หญิงรับหวายแทนเลยเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาถอนใจใหญ่
"อีปริก มึงได้ลงมือแน่"
"เจ้าค่ะ บ่าวคันมือแล้วเจ้าค่ะ"
จวงพรวดเดียว หวายฟาดอีกที
ยังไม่ลงหลังเกศสุรางค์ ผินปราดเข้าไปกอดเกศสุรางค์พร้อมๆแย้ม แต่หวายลงหลังผิน จนผินหลังแอ่น ปวดร้อนถึงหัวใจ แย้มแค่โดนปลายหวาย
"พี่ผิน พี่แย้ม เข้ามาทำไม เข้ามาทำไม"
เกศสุรางค์กอดสองบ่าวน้ำตาไหลพราก
ผิน แย้มกอดตอบ
เกศสุรางค์ลูบแผลที่หลังบ่าวทั้งสอง สะอื้นฮักๆ บ่าวทั้งหลายน้ำตาซึมกันทุกคน
สองพ่อลูกมองตากัน
"มิเข้าทีแล้วพ่อเดช เกรงว่าจะยืดเยื้อจนเจ็บทั้งเรือนเป็นแน่แท้"
"ขอรับคุณพ่อ" ขุนศรีวิสารวาจาขยับตัว แต่ก็มองหน้าเป็นเชิงถาม
"ไปเถิด...แม่เจ้าเขาคงนึกเหมือนกันว่าเมื่อไหร่เจ้าจะไปเสียที"
"คุณแม่ขอรับ เรื่องนี้หากไล่ความแล้ว ผู้ที่ผิดมากที่สุดน่าจักเป็นข้า เพราะข้ามิได้กลับมาส่งแม่การะเกดถึงเรือนจึงเกิดเรื่อง เป็นข้ามิดีนักที่ไม่ดูแลน้องให้ดี โทษที่เหลือข้าขอรับแทนน้องเถิดขอรับ"
"พอกันทั้งนายทั้งบ่าว อยากทำกระไรก็ทำเถิด มิต้องเห็นหัวข้าดอกหนา"
"ข้าขอรับประทานโทษขอรับ คุณแม่โบยข้าเถิด"
คุณหญิงจำปาเดินหายเข้าไป ปริกตาม
ออกญาโหราธิบดีลุกเดินมามองบ่าวทุกคน
เกศสุรางค์สะอื้นเบาๆ
"แม่การะเกดฟังลุงเถิดหนา"
เกศสุรางค์สะอื้น "เจ้า...ค่ะ"
"มิมีผู้ใดทำอย่างที่เจ้าทำครั้งนี้ ห้าวหาญเกินหญิงใดในพระนคร ที่ลือลั่นไปเร็วกว่าไฟลามทุ่งจึงมิน่าฉงนใจนัก"
"เจ้า...ค่ะ" เสียงสะอื้นมากขึ้น
"ความผิดนี้ใหญ่หลวงก็จริง แต่มิใช่ว่าต้องโบยกันนักหนา...ว่ากล่าวตักเตือนให้มั่นไว้ก็คงจะได้"
ทุกคนหมอบ เงยหน้าฟัง เช็ดน้ำตาบ้าง สะอื้นบ้าง
"ข้ารู้ดีว่าแม่นายจำปาก็มิอยากลงโทษออเจ้าหรอก แต่แม่นายจำต้องนึกถึงกาลข้างหน้า หากออเจ้าไปทำเรื่องใหญ่ยิ่งเสี่ยงอันตรายกว่านี้...แม้แต่ชีวิตก็จักรักษาไว้ไม่ได้"
เกศสุรางค์ ซาบซึ้งรู้ดี
บ่าวทั้งหลายรู้แจ้งแก่ใจ น้ำตาที่ซึมอยู่แล้วไหลมากขึ้น
ขุนศรีวิสารวาจามองพ่อ สายตาซาบซึ้ง
"แม่การะเกด"
"เจ้าคะ"
"ออเจ้าเป็นคนกล้าหาญ เป็นคนซื่อตรง ทำผิดกล้ารับผิด ไม่กล่าวโทษบ่าวไพร่" ออกญาโหราธิบดีจ้องเขม็ง "เหมือนที่ออเจ้าเคยทำ"
เป็นเรื่องเลย...เกศสุรางค์สะดุ้งในใจ หน้าม่อยลงเหลือบมองขุนศรีวิสารวาจา
ขุนศรีวิสารวาจาสยกนิ้วหัวแม่มือให้
เกศสุรางค์ค้อนขวับ แล้วก้มลงกราบอีกที
"อีผิน อีแย้ม พาแม่นายของเอ็งเข้าหอนอนไป ผู้ใดก็ได้ไปฝนไพลให้อีผินอีแย้มรักษานายมัน...รักษาตัวมันด้วย"
บ่าวลงเรือน จ้อยคนสุดท้าย
"ไอ้จ้อย"
"ขอรับ"
ขุนศรีวิสารวาจานิ่งไปอึดใจ "ไปเอาไพลมาให้ข้า"
จ้อยรู้ทัน พรายยิ้มนิดหน่อย
"ถ้าเอ็งยิ้มมากกว่านี้หวายจะลงหลัง"
จ้อยรีบวิ่งไปอย่างเร็วรี่
ภายในห้อง ผิน แย้มน้ำตายังเต็มตา แตะแผลเบามือ
"พี่ก็เจ็บ พี่ผิน"
"บ่าวหนังหนา มิเป็นไรเจ้าค่ะ"
"พี่แย้ม"
"บ่าวโดนแค่ปลายหวาย...แสบใช่มั้ยเจ้าคะแม่นาย"
"โคตรแสบเลยพี่"
ผินบอก"คอยไพลนะเจ้าคะ เดี๋ยวไพลฝนทาจะเย็นลงเจ้าค่ะ คลายแสบ"
แย้มบอก "ต้องบดละเอียดเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาฝนไพล ตั้งอกตั้งใจที่ชานเรือน
ทั้งสามคนอยู่ในห้องท่าเดิม เสียงเคาะประตูเบาๆ
"ใคร"
ขุนศรีวิสารวาจาว่า "อีผิน...เปิดประตู"
"ท่านขุน"
ผินพรวดไปเปิดประตู ขุนศรีวิสารวาจายืนมองเข้ามา สบตาอย่างแรง
"แม่การะเกดหากทุเลาแล้วเข้าไปกราบขออภัยคุณแม่ด้วยหนา ท่านเองก็คงเสียใจไม่น้อย หากท่านทำไปก็เพราะหวังดีในตัวออเจ้า ของในถุงแดงนี่ข้าซื้อมาฝากออเจ้า เห็นหยิบวางๆอยู่หลายครา"
เกศสุรางค์สายตาอ่อนละมุน
ขุนศรีวิสารห่วงใยนักหนา "หายเจ็บเถิดนะออเจ้า"
พูดจบก็ออกไป
เกศสุรางค์น้ำตาซึม
ผินวางฝาหม้อมีลูกประคบลูกเล็ก มีไพลที่ฝนละเอียดวางอยู่กลางฝา ถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงส่งให้เกศสุรางค์
เกศสุรางค์เปิดหยิบของออกมา
เป็นสายสังวาลพลอยสีแดงเรียงเม็ดสวยงาม
เกศสุรางค์จับสังวาล ความอุ่นวาบบางอย่างจากสังวาลก่อเยื่อใยบางเบาผูกพันหัวใจตัวเองกับคนให้เข้าแล้ว
อ่านต่อตอนที่ 13
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
ในนวนิยาย "บุพเพสันนิวาส" - แม่หญิงจันทร์วาดแต่งงานกับหลวงศรียศ ที่คุณหญิงจำปา เรียก "ออกพระจุฬา" แต่ในละครได้บิดเรื่องให้ แม่หญิงจันทร์วาดคู่กับหมื่นเรืองราชภักดี ! ในนวนิยายได้กล่าวถึงหลวงศรียศ (หน้า 361) ว่า
"ออกหลวงศรียศนั้น แรกเริ่มที่รับราชการได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระนารายณ์ควบคุมดูแลกลุ่มทหารสยาม หากเทียบชั้นของยุคที่เธอจากมาก็เข้าถึงขั้นนายพลคนหนึ่งเลยทีเดียว หากเมื่อออกเรือนกับแม่หญิงจันทร์วาดแล้ว การที่จะเดินทางไปตามหัวเมืองต่างๆ จึงลดน้อยลง อีกทั้งตำแหน่งเจ้ากรมท่าขวายังว่างเว้นอยู่ สมเด็จพระนารายณ์จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นออกพระจุฬาราชมนตรี และดูแลควบคุมการค้าขายของมุสลิมตามอย่างบรรพบุรุษ"
ในละคร วิศววิท วงษ์วรรณลภย์ รับบท "หลวงศรียศ" , ปรมะ อิ่มอโนทัย รับบท "หมื่นเรืองราชภักดี/ขุนเรืองอภัยภักดี" และ กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล รับบท "แม่หญิงจันทร์วาด"
ประวัติสั้นๆ ในฐานะ "บุคคลในประวัติศาสตร์" หลวงศรียศ หรือ พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เกิดและเสียชีวิตปีใดไม่ปรากฏ บิดาคือ พระยาศรีเนาวรัตน์ (อากามะหะหมัด) มารดาชื่อ ท่านชี เป็นน้องชายของเจ้าพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) มีศักดิ์เป็นหลานตาของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สังกัด กรมท่าขวา ดูแลชาวมุสลิมที่เข้ามาทำการค้าในสมัยนั้นแล้วยังเป็นที่ปรึกษาในด้านศาสนาอิสลามของราชสำนักอีกด้วย ท่านเป็นผู้ไปที่เมืองปัตตาเวียเจรจาความขัดแย้งของชาวคริสต์และมุสลิมที่เกิดขึ้นในมะละกาสมัยนั้น