บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 11
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
วันคืนผ่านไป ... เกศสุรางค์เดินขาถ่างออกมาจากหลังฉาก สีหน้าเบื่อหน่ายสุดๆ ร้อง “เฮ้อ” เสียงดัง
ผินกำลังห่อผ้าที่เปื้อนประจำเดือน
เกศสุรางค์ถาม"พี่ผิน ทำอะไร"
"เอาไปซักเจ้าค่ะ"
"เฮ้ย ไม่ต้อง ซักเอง"
ผินหันมาอ้าปากค้าง "ซักเองฤๅเจ้าคะ"
"ใช่ ข้าซักเอง เอามานี่ ไม่ต้อง"
"แม่นาย...แม่นายเป็นอันใดฤๅเจ้าคะ แม่นายไม่เคยซักผ้าผ่อนท่อนสะไบอะไรเลยตั้งแต่เกิด จะมาซักผ้าระดูได้ใยเจ้าคะ"
"ไม่...พี่ผิน ข้าไม่ยอมให้พี่ซักเป็นอันขาด นี่มันของสกปรกของข้า ข้าทำเอง เอามานี่ ข้าจะเอาไปซักเอง" เกศสุรางค์ดึงแล้วออกจากห้อง
แย้มถือตะลุ่มอาหารเข้ามา หลบแทบไม่ทัน เกศสุรางค์ออกไปแล้ว
"ผิน...แม่นายไปไหน"
ผินส่ายหน้าร้อง "เฮ้อ..." แล้วตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เกศสุรางค์ถือห่อผ้ามาที่ท่าน้ำ ผินเดินตามมาเร็วๆ
"แม่นายเจ้าขาบ่าวซักให้เจ้าค่ะ"
"ซักยังไงล่ะพี่ กะละมังมีมั้ย"
"กะละมังฤๅเจ้าคะ"
"ใส่น้ำนี่ไง"
"ซักไปในคลองสิเจ้าคะ"
"เฮ้ย ได้ไง...น้ำในคลองก็สกปรกตายสิ"
ผินหน้าเหวอ แย้มเดินเร็วตามมา
"พี่แย้ม...ไปเอากะละ...เอ้อ ที่ใส่น้ำมาซิ เรียกอะไรนะ"
"เรียกครุเจ้าค่ะ"
"นั่นแหละ...ไปเอามา"
หมื่นสุนทรเทวามายืนชะเง้อมองไป เห็นเกศสุรางค์กับสองบ่าวที่ท่าน้ำ
"พ่อเดชมองหาใคร"
หมื่นสุนทรเทวาสะดุ้ง หันกลับมา "คุณพ่อจะไปไหนขอรับ"
"จะย้อนถามพ่อเหตุใดฤๅ พ่อเดชตอบที่พ่อถามก่อนจะดีกระมัง"
"กระผมดูแม่การะเกดขอรับ นางทำอันใดมิรู้ได้ที่ท่าน้ำ ดูท่าทางพิกลอยู่"
"ห่วงอะไรนาง"
"อ๋อ...มิได้ขอรับคุณพ่อ" หมื่นสุนทรเทวาหลบตา
"เป็นอันว่าพ่อจะหาฤกษ์หายามหมั้นหมายกันไว้ก่อนนะพ่อเดช"
หมื่นสุนทรเทวารู้สึกอิ่มเอิบใจและระทึกใจขึ้นมาจนเต็มหน้า
ออกญาโหราธิบดีดูแวบเดียวก็รู้ ลูกชายหลงรักแม่การะเกดเข้าเต็มเปาแล้ว
เกศสุรางค์ซักผ้าในครุ ซักอย่างแรงๆ บิดจนแห้งแล้วสะบัดๆแรง หันมาเห็นแย้มจะเอาน้ำเทใส่คลอง
"หยุด! พี่แย้ม"
แย้มตกใจทิ้งครุดังโครม แต่น้ำยังไหลออกไม่หมด
"อย่าทิ้งไปในคลอง น้ำในคลองสกปรกสิ เอามานี่พี่แย้มเทใส่ต้นไม้"
ผินถาม"ทำไมเจ้าคะ ใครๆเขาก็เทลงคลองทั้งนั้น"
"ไม่ได้ ขอบอก ห้ามเทลงคลอง น้ำในคลองเอาไปกิน เอาไปทำกับข้าว พี่จะเอาน้ำ ซักผ้าสกปรกเทไปได้ไงล่ะ"
บ่าวสองคนหน้าเหวอมาก
เรือแม่หญิงจันทร์วาดเทียบท่า จันทร์วาดขึ้นมา
แย้มเรียก "แม่หญิงจันทร์วาด"
เกศสุรางค์หันไป ยิ้มเต็มปาก
"แม่หญิงจันทร์วาดมาหาคุณพี่หมื่นหรือคะ"
จันทร์วาดหน้าขรึมเฉย
"มีผู้บอกเล่ากันไปว่าคุณพี่หมื่นเรือล่ม...สลบไป แล้วก็..."
แม่หญิงจันทร์วาดมองสีหน้าแบบไม่อยากพูด
"อ๋อ...ค่ะ...ใช่แล้ว"
จันทร์วาดก็เลยเอ๋อ...ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ หน้าบึ้งขึ้นนิดหน่อยแล้วหันกลับเดินไป บุญ เหมือนตามเจ้านายไป
ผิน แย้มมองอย่างงุนงง
"จะงงอะไรนักหนาล่ะพี่จ๋า เป็นเรื่องรู้กันทั้งพระนครแล้วมั้ง" เกศสุรางค์มองเหล่ 2 บ่าวที่ยังหน้าเหรอหรา "เฮ้อ...ไป" เดินนำไป
"แม่นาย...ต้องเข้าหอนอนเลยนะเจ้าคะ จะอยู่พูดคุยด้วยแม่หญิงจันทร์วาดหาได้ไม่นะเจ้าคะ"
"แม่หญิงการะเกด" เสียงเรียกจากหมื่นเรืองราชภักดี
เกศสุรางค์หันไป สีหน้าดีใจ "หมื่นเรือง"
เช้าต่อเนื่อง สายตาหมื่นสุนทรเทวาจับจ้องมองอยู่ที่ทางขึ้นเรือน
จันทร์วาดมองเห็นแล้ว หน้าหมองลง
จวงกับจิกกำลังยกน้ำชาและขนมมาวาง
เสียงหัวเราะเบาๆประสานกันของหญิงชายดังแว่วมาก่อน
สายตาหมื่นสุนทรเทวาวาบขึ้น ขุ่นมัว รู้ดีว่าเป็นใคร
จันทร์วาดหันไปทางเสียงนั้น
"หมื่นเรืองราชภักดี ข้านัดให้มา"
"ค่ะ" มองหน้าคอยฟังต่อ
"มีเรื่องราชการบางอย่างจะปรึกษากัน"
"อ๋อ...ค่ะคุณพี่ จะให้ข้ากลับไปก่อนฤๅไม่เจ้าคะ"
"เหตุใดเล่า? แม่จันทร์วาดกรุณามาเยี่ยมข้าถึงเรือนชาน สนทนากันสักครู่ก็ได้"
เกศสุรางค์เดินขึ้น เสียงหัวเราะชอบใจนำมาก่อน
"หนีเหรอคะ หมื่นเรื่องหนีเหรอคะ โห...ลูกผู้ชายป๊ะเนี่ย"
หมื่นเรืองตามมาชิดใกล้
"หมื่นเรืองก็กลัวเป็นเหมือนกันหนาแม่การะเกด นักเลงสุรามาตั้งสี่ห้าคน ถ้าสู้ก็อาจปางตาย"
"วิ่งหนีเหรอคะ"
"ใส่ตีนหมาโกยเลย"
สองคนหัวเราะชอบใจ ครั้นหันมาเห็นหน้าหมื่นสุนทรเทวา ตึ่ง ! ต่างหยุดกึกทั้งคู่
หมื่นสุนทรเทวาหน้าขมวดมุ่น มองจ้องไม่พูดไม่จา สองคนนั่งลง
"ข้ามาช้าไปหน่อย ขออภัยนะพ่อเดช" หมื่นเรืองราชภักดี หันไปทัก "แม่หญิงจันทร์วาด"
จันทร์วาดไหว้นอบน้อม หมื่นเรืองราชภักดีรับไหว้
"สบายดีอยู่ฤๅแม่หญิง"
"สบายค่ะ หมื่นเรืองเล่าคะ"
"พอสบายอยู่แม่หญิง"
"ข้อราชการยุ่งหรือคะ"
"ยังไม่วุ่นวายเท่าหมื่นสุนทรหรอกหนาแม่หญิง"
"ใช่ค่ะ ข้าเห็นคุณพี่หมื่นไปปรึกษาข้อราชการกับคุณพ่อของข้าและคุณอาขุนปานแล้วเหน็ดเหนื่อยแทน เอ๊ะ...หมื่นเรืองก็ไปด้วยนี่คะเมื่อวันก่อน ข้าได้ยินคุณแม่สั่งอาหารจนค่อนดึกยังตั้งสำรับอยู่เลย"
เกศสุรางค์พูดในใจ "โห...ยาว"
"แต่ก็ยังมิเสร็จนะแม่หญิง วันนี้ท่านออกพระวิสูตรจะมาปรึกษากันต่อ
"เดี๋ยวคงได้รายละเอียดจากท่านอาพระวิสูตร พูดกันไปล่วงหน้า คนไม่รู้เรื่องจะจับไปมิได้ศัพท์" หมื่นสุนทรเทวาบอก
เกศสุรางค์สบตาปังใหญ่กับหมื่นสุนทรเทวา รู้ดีว่าเขาหมายถึงตัว ช่างแขวะจัง อีตาหมื่นเนี่ย !
เกศสุรางค์อ้าปากจะพูด แต่หมื่นสุนทรเทวาเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน
"ข้าได้ยินเสียงท่านอาพระวิสูตรมาแล้ว"
เกศสุรางค์โดนปรามทางอ้อม ชักขุ่นมัว
เกศสุรางค์ขยับตัว "ข้าไปต้อนรับท่านนะคะ"
"ไม่ต้อง" หมื่นสุนทรเทวาเสียงเบาลงหน่อยพูดต่อไปคล้ายรู้สึกตัว "มิใช่กงการของออเจ้า"
"ไม่เป็นไร...ข้าเต็มใจทำ ไม่ลำบากอะไรเล๊ย...ทำได้สบายมาก"
จันทร์วาดมองหน้าเกศสุรางค์แบบพูดจาไม่รู้เรื่อง
"แม่หญิงจันทร์วาดไม่รู้เรื่องที่ข้าพูดหรือคะ ภาษาเมืองสองแควค่ะเป็นแบบนี้แหละ"
หมื่นสุนทรเทวาบอก "มีบ่าวคอยรับท่านอยู่แล้ว"
ออกพระวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) เดินมา ท่าทางงามสง่า แต่กิริยานุ่มนวล พูดเป็นจังหวะจะโคนน่าฟัง
จ้อยต้อนรับ "เชิญขอรับท่านออกพระ"
"มากันพร้อมหน้าแล้วหรือเจ้า"
"ขอรับ ท่านออกพระรับสุราเลยไหมขอรับ"
"ไฮ้...ไอ้บ่าวเอ๊ย...ดื่มเหล้าแต่หัววันได้ยังไร"
จ้อยหัวเราะชอบใจ
"หมื่นสุนทรกับหมื่นเรือง...เป็นประจำขอรับ"
พระวิสูตรสุนทร รู้ดีในอุบายเรื่องดื่มสุราของสองหมื่นเป็นอย่างดี
ภายในห้อง เกศสุรางค์บ่นฮุบ
"ทำไมข้าอยู่ด้วยไม่ได้...ไม่เข้าใจว่ะ" เกศสุรางค์พูดกับตัวเอง แล้วหันไปถามบ่าว "ทำไม" "ข้อราชการเฉพาะผู้ชายเจ้าค่ะ แม่นายนั่งเถอะ เดินไปเดินมาเดี๋ยวผ้าขี่ม้าหลุดนะเจ้าคะ"
แย้มเข้าไปจับดู"หลุดแล้วมั้งเนี่ย"
"ให้หลุดไปเลย ทำไมแม่จันทร์วาดเขาอยู่ได้ล่ะ"
แย้มบอก "แม่หญิงจันทร์วาดกลับแล้วเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์กำลังขัดเคือง หยุดกึกทันที "จริงดิ"
"จริงเจ้าค่ะ ยังไงๆก็ต้องกลับอยู่เจรจาด้วยมิได้หรอกเจ้าค่ะ"
"เรื่องอะไรหนอ..."
จวงบอก
"นังจิกเอ็งเอาน้ำชาไปให้ท่าน"
"น้าจวงไปเถิด ข้าไม่กล้า ดูท่านเคร่งเครียดกันนัก"
"ข้าสั่งเอ็งนังจิก"
จิกเสียงอ่อย "ข้าก็สั่งน้าจวง"
"กำเริบล่ะมึง"
"โธ่...น้าจวง ข้าไม่กล้าจริงๆ"
"มาข้าเอง"
จวงยกถาดน้ำชาไปให้ แล้วรีบคลานออกมา
ทั้งสามคนมองตากัน พูดกันด้วยเสียงแผ่วเบาเป็นการเป็นงาน
พระวิสูตรสุนทรว่า "แม่นางจันทร์วาดกลับไปก็ดีแล้ว เรื่องนี้มิอาจพูดต่อหน้านางได้ เพราะเกี่ยวข้องกับบิดาของนาง"
"ท่านอาออกญาโกษาเหล็กมิรู้เลยหรือขอรับว่าออกหลวงสุรสาครนี้ช่างน่ากลัวนัก" หมื่นสุนทรเทวาถาม
ออกพระวิสูตรสุนทร หรือที่รู้จักในนาม โกษาปานนั้น รูปงาม ท่วงท่ามีสง่า พูดจาไพเราะนุ่มนวลสมเป็นราชทูต พูดกับใครก็ตั้งใจฟัง นัยน์ตาสนใจจริงจัง
"พี่ชายของข้าไว้ใจออกหลวงผู้นี้มาก หาได้สงสัยเลยว่าไอ้หลวงสุรสาครมันไม่ซื่อ มันเข้ามาทำงานกับพี่ข้าเพราะหวังจะเข้าเฝ้าใกล้ชิดกับขุนหลวง"
หมื่นเรืองราชภักดีถาม"ขุนหลวงมิได้ระแวงสงสัยอะไรมันเลยหรือขอรับ"
"ไม่เลยแม้แต่น้อย พี่ข้าไว้ใจมันทุกอย่าง พาเข้าเฝ้าใกล้ชิดขุนหลวงให้มันถวายงาน"
"ขุนหลวงนารายณ์ของเราท่านโปรดปรานคนเก่ง หลวงสุรสาครมันฉลาด คิดดูมันคือไอ้ฝรั่งที่ร่อนเร่พเนจรมาจากเมืองต่างด้าวท้าวต่างแดน"
หมื่นเรืองบอก"เมืองกรีก"
"ใช่ เมืองกรีก เป็นฝรั่งไม่มีสกุล แต่ประจวบเหมาะได้เข้ารับราชการใกล้ชิดพระยุคลบาท ทำรายรับรายจ่าย ทำบาญชีสินค้า ซึ่งตามปกติเป็นงานยาก ไม่มีใครอยากทำ"
"รู้หรือไม่ออเจ้าทั้งสอง เมื่อแรกที่ออกหลวงผู้นี้เข้ารับราชการใหม่ๆ พ่อค้าแขกเทศมาทวงหนี้ที่กรมพระคลังสินค้า เขาคิดกำไรขาดทุนหักกลบลบหนี้ การปรากฏว่า ไอ้เจ้าแขกเทศกลับเป็นหนี้กรมพระคลังสินค้าเสียฉิบ ขุนหลวงพอพระทัยมาก อวยยศให้มันรวดเร็วเกินผู้ใด"
"นั่นสิขอรับ น่าเป็นห่วงเหลือเกิน"
พระวิสูตรสุนทรลดเสียงลงอีกเกือบเป็นกระซิบ
"สำคัญที่สุดตอนนี้มีคนจับตาว่ามันจะมาชักชวนขุนหลวงให้เข้ารีตเข้าโบสถ์กับมัน"
สองหมื่นอึ้งไป แต่ไม่ใช่ตกตะลึงพึงเพริดเพราะก็เคยรู้มาบ้าง
"กระผมเคยรู้มาบ้าง ท่านอาคิดว่าขุนหลวงจะยอมเข้ารีตหรือไม่ขอรับ"
พระวิสูตรสุนทรส่ายหน้า
"ไม่รู้...ไม่มีใครเดาพระทัยออก ท่านนิยมชมชอบชาวต่างชาติ เห็นว่าเขาเก่ง คนไทยสู้ไม่ได้ ก็อาจจะ..."
หมื่นสุนทรเทวาทวนเบาๆ "อาจจะ..."
หมื่นเรืองถาม"อาจจะทรงยอมหรือขอรับ"
"อาบอกแล้วว่าไม่มีใครเดาพระทัยได้"
"ท่านอาโกษาเหล็กล่ะขอรับ"
"พี่ชายข้าก็ยินดีกับมัน...ถ้าขุนหลวงทรงยอม พี่ชายข้าอาจไม่คัดค้าน ทั้งๆที่ทุกครั้งที่ค้าน ขุนหลวงก็ทรงฟังเสมอมา"
ทั้งสามคนวิตกมาก
เกศสุรางค์ซุ่มมองออกไป เห็นทั้งสามคุยกันหน้าเคร่ง อยากรู้เหลือเกิน
"ท่าทางซีเรียสจัง" เกศสุรางค์พึมพำ
ผินเตือน "แม่นาย...แอบดูอยู่นานแล้วนะเจ้าคะ"
"แล้วเป็นไง แอบดูไม่ได้เหรอ อยากรู้นี่"
"ไม่มีแม่หญิงคนใดอยากรู้เรื่องของผู้ชายหรอกเจ้าค่ะ" แย้มบอก
"ผู้หญิงก็ต้องรู้เรื่องผู้หญิงสิเจ้าคะ ทำกับข้าว งานครัว กรองมาลัย จัดดอกไม้ ปรนนิบัติผู้ชาย" ผินว่า
"ไม่ใช่ผู้หญิงยุคไอที...เข้าไจ๋"
สองบ่าว...เหวอแบบชำนาญแล้ว ว่าจะเหวอหน้าแบบไหน แถมมองหน้ากัน พยักหน้าให้กัน
"ว่าไง...เข้าไจ๋"
ผินตบหน้าผากตัวเอง
"ข้าไปโรงครัวก่อนนะนังแย้ม...หิวข้าวแล้ว"
"ข้าไปด้วย"
ออกไปกันทั้งสองคน
"ไปเลย...เดี๋ยวจะออกไปแอบฟัง"
สองคนเลี้ยวขวับกลับเข้ามา แล้วมานั่งแบบกางกั้น
เกศสุรางค์ทิ้งตัวลงบนที่นอน "เฮ้อ..."
เช้าวันรุ่งขึ้น เวลารุ่งสาง เสียงไก่ขันดัง
เกศสุรางค์นั่งกางขาอยู่บนที่นอน มองหว่างขาตัวเอง
"พี่ผิน พี่แย้ม หมดแล้วนะพี่ไม่ต้องขี่ม้าแล้ววันนี้"
ผินบอก"เจ้าค่ะ จะลุกแล้วหรือเจ้าคะ ยังไม่ย่ำรุ่ง"
"ลุก"
แย้มบอก "ยังมิมีใครลุกเลยทั้งเรือน แม่นายจะรีบลุกทำไมเจ้าคะ"
จ้อยเดินออกจากห้องหมื่นสุนทรเทวา ถือหีบใส่เครื่องแต่งตัว
เกศสุรางค์เรียกเบาๆ "จ้อย"
จ้อยสะดุ้งสุดตัว หันขวับมา
เกศสุรางค์ยืนยิ้มมองมา
จ้อยย่อตัวลง "แม่หญิงการะเกด"
"วันนี้ท่านหมื่นไปไหน"
"เข้าวังขอรับ"
"จริงเหรอ...ข้าไปด้วยได้มั้ย"
จ้อยยืนตาโตอ้าปากค้าง ตอบไม่ถูก
"ข้าอยากเห็นวังหลวง ไปด้วยคนนะ"
"เอ่อ...แม่หญิงขอท่านหมื่นสิขอรับ"
"ก็เนี่ยไง ยืนคอยจะขออยู่เนี่ย"
หมื่นสุนทรออกมา "ไอ้จ้อย มัวยืนเว้าวอนกะใครอยู่นี่"
"อ้าว คุณพี่กะข้าสิคะ จะกะใครไม่เห็นหรือคะ"
"ออเจ้าอย่าทำให้ไอ้จ้อยเสียเวล่ำเวลา ไอ้จ้อยไปประเดี๋ยวนี้ทีเดียว"
จ้อยไปอย่างรวดเร็ว
"คุณพี่คะข้าอยาก..."
หมื่นสุนทรเทวาเสียงเฉียบ "ไม่ได้"
เกศสุรางค์หน้าสลดลง น่าสงสาร
หมื่นสุนทรเทวาชำเลืองมอง ใจหนึ่งก็สงสาร แต่ให้ไปไม่ได้
หมื่นสุนทรเทวาลดเสียงลง "เห็นจะไม่ได้หรอก ด้วยว่าข้ามีราชการสำคัญ"
เกศสุรางค์ตาโต โดนสะกิดต่อมเผือก อยากรู้เหลือเกิน
"ราชการอะไรหรือคะ"
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้าปรามๆ
"ก็...ข้าอยากรู้งานของคุณพี่"
ออกญาโหราธิบดีออกมากับคุณหญิงพอดี
พ่อเดช เตรียมตัวพร้อมแล้วฤๅพ่อ"
"เห็นจัดเครื่องแต่งตัวใหม่ไว้ตั้งแต่เมื่อวานเจ้าค่ะท่าน" คุณหญิงจำปาบอก
เกศสุรางค์สงสัยเหลือเกินจะไปทำอะไร
"มีคนได้อวยโขอยู่วันนี้ น่ายินดีจริงๆ"
"ขุนหลวงกลับมาประทับพระนครค่อยอุ่นใจ"
"แม่จำปา พอท่านเสร็จพิธีวันนี้ก็เสด็จกลับละโว้ตามเดิมนั่นแหละหนา"
"อพิโธ่ น่าจะประทับให้นานหน่อย ละโว้มีอะไรดีถึงโปรดเหลือเกิน" คุณหญิงหันมาเห็นเกศสุรางค์พอดี "แม่การะเกด ยืนอ้าปากฟังไม่กะพริบตา"
"โห...ทั้งปากทั้งตาเลย" เกศสุรางค์อยากบอกแบบนั้น ตื่นเต้นนนน
"เอ้า...จะพูดอะไร" คุณหญิงถาม
"เปล่าค่ะ...ไปก่อนนะคะ" เกศสุรางค์เดินผละไปอย่างรวดเร็ว
"แม่คนนี้ ข้าเหลือจะทนกับนางเสียจริ๊ง ดูทีรึ...นางหูตาว่องไวคอยฟังอยู่"
"คงอยากรู้เต็มประดาตามวิสัยนาง" ออกญาโหราธิบดีพูดขำๆ
ต่อเนื่องมา ม่วงและจ้อยพายเรือ หีบเครื่องแต่งตัววางอยู่
หมื่นสุนทรเทวานั่ง สีหน้าคิดคำนึงถึงภาพเกศสุรางค์ในร่างการะเกด
... เกศสุรางค์รูปร่าง หน้าตาสวยงามซ้อนอยู่ในร่างการะเกด
หมื่นสุนทรพึมพำอยากรู้ "ใคร"
"ขอรับ" จ้อยขานรับ คิดว่าพูดกับตน
หมื่นสุนทรเทวาหันไปเห็นไอ้จ้อยจ้องมอง
"แม่หญิงพูดอะไรกับเอ็งเมื่อเช้า"
"แม่หญิงขอมาด้วยขอรับ"
"ข้าว่าขณะนี้เรื่องออกมาเที่ยวจะไม่สำคัญเท่าอยากรู้เรื่องที่ข้าเข้าวังทำไม" หมื่นสุนทรเทวาหัวเราะเบาๆ "อีผิน อีแย้มตอบคำถามนางเป็นสิงคลีอยู่กระมัง" (สิงคลี แปลว่า วุ่นวายพัลวัน)
ไม่ผิดจากคำพูดของหมื่นสุนทรเทวา เพราะในห้องการะเกด บ่าวสองคนนั่งประจันหน้ากับเกศสุรางค์
"ทำไมพระนารายณ์ต้องไปอยู่เมืองละโว้" เกศสุรางค์ว่า
"ตายแล้วแม่นายพูดจาไม่ถูกไม่ต้องเจ้าค่ะ"
"ผิดตรงไหน"
"ขุนหลวงนารายณ์เจ้าค่ะ" ผินบอก
"เอ๊ะ พระนารายณ์ก็เรียกได้ไม่ใช่เหรอ ใครๆก็เรียกอย่างนั้น"
"ไม่เคยเห็นมีผู้ใดเรียกขานเช่นนั้นเจ้าค่ะ นังแย้ม เคยได้ยินมั้ยวะ" ผินถาม
"นั่นสิเจ้าคะแม่นาย ขุนหลวงเป็นกษัตริย์ แม่นายเรียกพระได้อย่างไรเจ้าคะ"
"อ๋อ เป็นเช่นนั้น"
"เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ" แย้มว่า
"โอเค"
ผิน/แย้มทำมือ OK ยิ้มย่อง "โอเคเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์กลับลำ
"คุณพี่เข้าวังทำไม"
บ่าวสองคนหน้าเหวอ
"บอกมา"
ผิน/แย้มบอก "บ่าวไม่รู้ / บ่าวไม่รู้จริงๆเจ้าค่ะ"
คุณลุงพูดว่า “มีคนได้อวยโขอยู่วันนี้” แปลว่าอะไร
"แปล...แปลอะไรหรือเจ้าคะ" ผินว่า
"แปล...ก็แปล" เกศสุรางค์คิดๆ "คุณลุงออกญาพูดความหมายอะไร"
"อ๋อ...ข้ารู้แล้วอีผิน ท่านออกญาพูดถึงอวยยศไง" แย้มว่า
"อ๋อ มีคนได้อวยยศโขอยู่วันนี้"
เกศสุรางค์มองหน้าผิน"มาก"
"อะไรมากเจ้าคะ อ๋อ โขก็มากเจ้าค่ะ" ผินตบหัวตัวเองบอก "แม่นายลืมมากขึ้นนะเจ้าคะ"
"ใช่ ข้าลืมไปโขเลย ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า"
สองบ่าวหัวเราะหัวใคร่ไปด้วย
ท้องพระโรงอยุธยา พระนารายณ์นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว ข้าราชการทั้งปวงได้แก่ โกษาเหล็ก , โกษาปาน , หลวงสุรสาคร , หมื่นสุนทรเทวา , หมื่นเรืองราชภักดี และข้าราชการมากมายทั้งไทย ต่างหมอบเฝ้าอยู่บนพรมเจียมเล็กๆ นอกจากนี้ ยังมี ข้าราชการต่างชาติ ได้แก่ แขก จีน ฝรั่งที่แต่งตัวตามธรรมเนียมชาติตัวเอง
มีชุดเครื่องหมากวางอยู่ใกล้ เสียงแตรสังข์ดัง ทุกคนกราบบังคม
ผ่านเวลา จนถึงเย็นวันนั้น หมื่นสุนทรเทวาก้าวขึ้นจากเรือ
"คุณพี่เจ้าขา"
เสียงหวานๆของเกศศุรางค์ทำให้หมื่นสุนทรเทวาชะงักกึก เมื่อหันไป เห็นเกศสุรางค์ยืนยิ้มหวาน สายตาอยากรู้อยากเห็น
"คุณพี่ได้อวยยศเป็นอะไรคะ"
หมื่นสุนทรเทวาหน้าแปลกใจ แต่ก็หน้าตึงขึ้นทันที เมื่อนางถามในประโยคต่อไป
"หมื่นเรืองได้อวยยศมั้ยคะคุณพี่"
หมื่นสุนทรเทวาจ้องหน้าการะเกดนิ่ง แต่สายตาพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เกศสุรางค์ร้อนตัวประมาณว่า มาคอยถามถึงหมื่นเรืองเชียวนะ ! หล่อน
"ได้มั้ยเจ้าคะ"
"อยากรู้มากนักฤๅ"
"ที่สุดค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวามองเหล่หางตานิดหน่อย
เกศสุรางค์ยิ้มหวานประจบ
"ออเจ้ารอถามเขาเอง" หมื่นสุนทรเสียงสะบัด เดินไปทันที
"ถามเอง...ถามเมื่อไรล่ะคะ" เกศสุรางค์เดินตาม "จะพบหมื่นเรืองที่ไหนล่ะเจ้าคะ คุณพี่...คุณพี่" เกศสุรางค์หยุดเดิน ทิ้งแขนทั้งสองข้าง บ่นฮุบ "เฮ้อ...เล่นตัวจริ๊ง ไม่อยากรู้ก็ได้"
หมื่นสุนทรเทวาหันกลับมา "อีกสักครู่เขาจะมาที่นี่" แล้วหันกลับเดินจากไป
เกศสุรางค์บอก"โห...เก๊กได้ที่"
หมื่นสุนทรเทวาหยุดเดิน หันกลับมา เกศสุรางค์จ้องตาไม่หวาดหวั่น
"ออกพระวิสูตรสุนทรก็จะมาด้วย มีข้ออันใดอยากถามท่าน ออเจ้าก็เตรียมตัวไว้แล้วกัน"
"ค่ะ ขอบคุณค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวาเหล่ๆนิดๆ แล้วหันหลังเดินจากไปจริงๆคราวนี้
"ออกพระวิสูตรสุนทร...โกษาปาน" เกศสุรางค์สมใจ ดีดนิ้ว
ในห้องคุณหญิงปริกเพ็ดทูล
"นั่งหน้าขาวรอคอยนะเจ้าคะแม่นายท่าน พอท่านออกพระมาก็รีบเสนอหน้า อุ๊ย แม่นายท่านต้องเห็นลูกกะตาเอง น่าเกลียดเหลือทนเจ้าค่ะ"
"เอ็งได้ยินพูดกันเรื่องอวยยศรึเปล่านังปริก"
ปริกตบเข่าเบาๆทีหนึ่ง
"บ่าวได้ยินแม่หญิงถามท่านหมื่นทันทีที่เหยียบท่าน้ำเลยเจ้าค่ะ ว่าอวยยศเป็นอะไร แม่หญิงผู้นี้วิปลาสแท้เชียวนะเจ้าคะแม่นายท่าน เดิมทีดุร้ายหมายหัวคน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปไม่ดุไม่ร้ายเหมือนเดิม แต่ก็สอดส่ายสายตามองโน่นมองนี่อยากรู้ไปเสียทุกอย่าง หามีพอดีๆไม่เจ้าค่ะแม่นายท่าน"
"เอ็งว่าอย่างไหนนางดีกว่ากันฤๅ นังปริก"
"ข้าเจ้าไม่ชอบแม่หญิง ข้าเจ้าก็ว่าไม่ดีทั้งสองอย่างเจ้าค่ะ อีกอย่างนะเจ้าคะ ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เว้น"
"ไม่เว้นยังไรรึ"
"เข้าไปนั่งใกล้ๆ ทั้งซักทั้งถามไม่ขาดปากเจ้าค่ะ"
"ผู้ใดรึ"
"ท่านออกพระวิสูตรเจ้าค่ะ"
ที่ชานเรือน พระวิสูตรสุนทรบอก
"อย่าลืมนะแม่การะเกด ออเจ้าเคยรับอาสาจะเป็นล่ามให้พวกข้าที่จะไปเรียน เขียนอ่านภาษาฝรั่งเศสที่โบสถ์เซ็นต์เปาโล"
"ไปเจ้าค่ะ...ไปแน่นอน" เกศสุรางค์นัยน์ตาวิบวับถูกใจจะได้ไปเที่ยว
หมื่นเรืองราชภักดีก้าวเข้ามา ทุกคนหันไปดู
หมื่นเรืองลงนั่งไหว้ออกพระวิสูตรสุนทร
"ขออภัยขอรับข้ามาช้า ที่หน้าวัดไชยมีงานอะไรไม่รู้ขอรับ เรือแจวเรือพายแน่นขนัดท้องน้ำไปหมด กว่าข้าจะหลบหลีกมาได้เป็นนานขอรับ"
"ข้าเคยเจอเสมอๆ เรือติดกันทั้งคุ้งน้ำหน้าวัดไชยนี่แหละ เพ-ลาใดที่มีงานบุญ น่าจะมีคนมาจัดระเบียบให้เรือเข้าออกท่าน้ำ มิฉะนั้นใครที่ผ่านไปเสียเวลาโขอยู่"
หมื่นเรืองราชภักดีหันมาทางหมื่นสุนทรเทวา
"ต้องให้ท่านขุนศรีวิสารวาจาใช้อำนาจท่านออกญาโหราธิบดีสั่งการไปทางวัดแล้วกระมัง แม่การะเกดรู้หรือยังว่า เพลานี้คู่หมายของออเจ้ามิได้เป็นเพียงหมื่นแล้วหนา หากเป็นถึงท่านขุน หากได้ไปต่างบ้านต่างเมืองกลับมามีผลงานก็อาจจักได้เป็นถึงหลวง ออเจ้าดีใจฤๅไม่"
“หมื่นสุนทรเทวา” ได้รับการอวยยศเป็น “ขุนศรีวิสารวาจา”
"ขุนเรืองอภัยภักดี ออเจ้านี่ช่างไม่รู้จักจำ ติดแต่ปากยั่วเล่น"
"หมื่นเรืองราชภักดี" ได้รับการอวยยศเป็น "ขุนเรืองอภัยภักดี"
"ข้ารู้แล้วค่ะว่าทั้งสองท่านได้อวยยศสูงขึ้น"
ทุกคนมองหน้ากัน
"ท่านออกพระเจ้าคะ ขุนนางในกรุงศรีอยุธยามีมากไหมเจ้าคะ"
"มีมากสิออเจ้า เห็นฤๅไม่ว่า มีกิจการหลายอย่างที่ต้องมีคนทำ ทั้งในกิจการของราษฎร ทั้งกิจการของขุนหลวง ทั้งยังเรื่องการค้าขายกับพวกฝรั่ง พวกแขก คนจีนก็ค้าขายกับเรา"
"ขุนนางได้เงินเดือนมั้ยเจ้าคะ"
"ออเจ้าหมายถึงค่าจ้างงั้นฤๅ"
"เจ้าค่ะ ได้ตอนสิ้นเดือนเจ้าค่ะ"
"ไม่มี ขุนนางจะได้แต่เบี้ยหวัดเงินปีที่ขุนหลวงพระราชทานเท่านั้น"
"ถ้าไม่พอทำยังไงเจ้าคะ"
"ขุนนางได้จากงานที่ทำด้วยนะออเจ้า อย่างกรมกองไหนเก็บส่วยเก็บค่าฤๅชา หรือเก็บค่าธรรมเนียมจากราษฎร ขุนนางกรมนั้นก็หักไว้ใช้จ่ายได้ ที่เหลือถึงจะส่งเข้าท้องพระคลังหลวง"
"อย่างนี้มีคอรัปชั่นไหมเจ้าคะ"
ทุกคนหันขวับมามองเกศสุรางค์เป็นตาเดียว
ขุนศรีวิสารวาจาถาม "เจ้าว่าอะไรนะแม่การะเกด"
"ข้าถามว่ามีโกงมั้ยเจ้าคะ"
"ไม่จริง ออเจ้าพูดออกมาคำหนึ่ง คำประหลาด ภาษาอะไร"
"แหม...คุณพี่ เรากำลังคุยเรื่องใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กๆเลยเจ้าค่ะ"
ขุนศรีวิสารวาจาจะอ้าปากพูด เกศสุรางค์รีบเสียงดัง "มีโกงมั้ยเจ้าคะท่านออกพระ"
"ออเจ้าว่ามีฤๅไม่แม่การะเกด"
เกศสุรางค์คิดหนัก
"ข้าว่า...ที่ไหนมีผลประโยชน์ ที่นั่นมีโกงเจ้าค่ะ"
พระวิสูตรสุนทรหัวเราะดังลั่น จริงดังนั้น
"จับได้บ้างมั้ยเจ้าคะ แล้วลงโทษยังไงเจ้าคะ"
"มีตั้งแต่โทษเบาๆเรียกว่า “กดอุเบกขา” จนถึง..."
"กดอุเบกขาเป็นยังไงหรือเจ้าคะ" ขุนศรีวิสารวาจามองตำหนิ "ขออภัยที่ขัดเจ้าค่ะ"
"เรียกประกันทัณฑ์บนขุนนางผู้นั้น ถ้าทำอีกก็โดนริบเงินประกัน"
"ถ้าผิดเยอะๆฆ่ามั้ยเจ้าคะ"
"ฟันคอริบเรือน"
"มันต้องงั้น ขี้โกงนี่เลวมาก" เกศสุรางค์ดีดนิ้ว เป๊าะ ! เล่นใหญ่ "ฟันคอยังน้อยไป ต้องฟันทั้งตัวหั่นเป็นชิ้นๆ"
เกศสุรางค์มองทุกคน ทุกคนเงียบกริบ หน้าเหวอไปตามๆกัน
"เรื่องผิดของขุนนางมีอีกมากมาย เราจะเล่าสู่ออเจ้าในโอกาสต่อไป"
เกศสุรางค์ไหว้ต่ำ สวยงาม
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ความจริงอยากฟังเรื่องไพร่ๆน่ะค่ะท่านออกหลวง ไพร่สม...ไพร่หลวง"
"ข้ายินดีทุกเมื่อแม่หญิงการะเกด"
ขุนเรืองอภัยภักดียิ้มทะเล้น "ข้าก็รู้เรื่องหลายเรื่องเหมือนกัน ข้าเล่าก็ได้"
ขุนศรีวิสารวาจา เสียงแข็ง บอก"ชักจะไปกันใหญ่ แม่การะเกดกลับเถอะ"
"กลับไปไหนขุนศรี ที่นี่บ้านออเจ้านะ"
ขุนศรีวิสารวาจาหน้าเก้อๆ "แม่การะเกดเจ้ากลับไปหอนอนของเจ้าได้แล้ว"
เกศสุรางค์ลุกรวดเร็ว "ข้าลานะเจ้าคะท่านออกพระ"
เกศสุรางค์คลานถอยออกไป
ขุนเรืองอภัยภักดีถาม
"ออเจ้าหงุดหงิดใส่นางได้อย่างไร นางเป็นคนใฝ่รู้ เป็นสิ่งดีแก่ออเจ้าต่อไปเมื่อ..." ขุนเรืองยังพูดไม่ทันจบ
"พูดธุระของเราเถิด ท่านอาขุนปานขอรับ"
พระวิสูตรสุนทรหัวเราะเบาๆ
"รังเกียจอะไรนางรึพ่อเดช เจ้าเป็นคู่หมายนะ อย่างนี้จะเข้าหอได้อย่างไร"
ขุนศรีวิสารวาจาเมินไปทางอื่น แต่นัยน์ตาระทึกใจ
คืนนั้น เกศสุรางค์สีฟัน ฮัมเพลงเบาๆในคอ แล้วโยกย้ายร่างตามคำร้อง
ก่อนจะหยุดสักครู่ รู้สึกด้วยสัมผัสที่หกว่ามีคนจ้องมองอยู่ ... ล้าง...บ้วนปากต่อ
เกศสุรางค์ไม่ได้หันไปดูด้วยซ้ำ"คุณพี่คะ"
ขุนศรีวิสารวาจาสะดุ้ง แต่วางฟอร์ม ทำหน้าเฉยเมยเดินไปอีกทาง
เกศสุรางค์เดินข้ามชานเรือนมาถึงตัว
"คุณพี้... แอบดูข้าแล้วจะไปเฉยๆ ข้าไม่ยอม"
"ออเจ้าจะทำยังไรฤๅ"
"ทำอย่างไรนะรึ" เกศสุรางค์หัวเราะอย่างมีแผน "ข้าจะไปไหนคุณพี่ต้องพาไปเจ้าค่ะ"
รุ่งขึ้น ที่แหล่งตีเหล็กของอยุธยา
เกศสุรางค์มองขุนศรีวิสารวาจายิ้มๆเย้าๆ
"ให้พามาดูกระทะ...ก็ดูสิ"
"เจ้าค่ะ"
กระทะที่เกศสุรางค์สั่งทำไว้เสร็จแล้ว เกศสุรางค์พิศดูไปมา พลิกหน้า พลิกหลัง
จีตฮงมองแบบใจไม่ดี กลัวไม่ดีแล้วต้องเปลี่ยน เหลือบมองขุนศรีวิสารวาจาหน้าจ๋อย
ขุนศรีวิสารวาจาพยักหน้าให้กำลังใจ
"เอาล่ะ ใช้ได้ ขอบใจนะจ๊ะจีนตง"
จีนตงพยักหน้า ร้อง “ฮ้อ...ฮ้อ”
"จีนตง ข้ามีสินค้าใหม่จะสั่งให้ทำ"
จีนตงหน้าหวาดหวั่น เสียงอ่อย หมดหวังมาก "สินค้าใหม่"
ขุนศรีวิสารวาจาว่า
"จีนฮงเอาเถอะ ฟังแม่หญิงบอก...ง่ายๆไม่ยากหรอก ถ้าไม่รู้ข้าจะสำทับให้"
เกศสุรางค์หันมายิ้มหวานกับขุนศรีวิสารวาจาที่ช่วยงาน "ขอบคุณค่ะ"
"ข้ามิได้ทำอะไร"
เกศสุรางค์ยิ้มเย้าๆ แล้วหันมาทางจีนตง
"เอานะ...จีนฮงฟังนะ ข้าจะสั่งให้ทำ เครื่องกรองน้ำ"
จีนตงสนเท่ห์ อ้าปากค้าง
"เอ้าดูนี่" เกศสุรางค์รับกระดาษจากมือผินส่งให้ขุนศรีวิสารวาจา "นี่เจ้าค่ะ ข้าวาดเป็นรูป"
ขุนศรีวิสารวาจาคลี่กระดาษแล้วเพ่งมอง จีนตงก็มองแบบลูกกะตาแทบจะหลุด หน้าติดกระดาษ
เกศสุรางค์ดึงกระดาษมากลับให้หัวหางถูกต้อง "ทำได้มั้ยจีนฮง อย่างนี้นะ...ดูนี่ นี่เป็นกรวยปากกว้างนะ แล้วแคบลงมาให้น้ำไหลออกได้"
"ออเจ้าเอาไปทำอะไร"
"เสร็จแล้วข้าจะทำให้ดูค่ะ อย่างนี้แหละจีนตง แล้วทำขาหยั่งเหล็กสำหรับวางกรวยนี้ลงไปนะ เอ้าอีกรูปหนึ่ง ทำหม้อเหล็กรูปร่างแบบนี้นะ ใบใหญ่ๆขนาดนี้เลยนะ" เกศสุรางค์กางมือถาม "เอ้า จีนฮง รู้เรื่องมั้ยเนี่ย"
จีนตงพยักหน้าแบบไม่แน่ใจ
ฟานิกกำลังตัดผ้าให้ลูกค้า มะลิช่วยอยู่ด้วยในร้านด้วย
หลวงสุรสาครนั่งเป็นสง่า นัยน์ตาคมกริบจ้องที่มะลิ ลูกน้องฝรั่งอยู่นอกร้าน
ลูกค้ารับของแล้วเดินออกไป
ฟอลคอนบอก
"แม่มะลิ...มาทางนี้หน่อยเถิด ข้ามีความจะบอกเจ้า"
"ออกหลวงท่านบอกเล่าแก่พ่อข้าเถิด ข้าขอเก็บข้าวของ"
มะลิไม่สนใจ
"ไม่ได้" ฟอลคอนเสียงเฉียบ ก่อนจะลดเสียงลง พูดต่อไป "ความนี้สำคัญนักต้องบอกแก่ออเจ้าแต่ผู้เดียว"
ฟานิกหน้าเสีย และจำต้องพยักหน้าให้มะลิเข้าไปหา
"ชื่อมะลิไม่เหมาะเลย ข้าจะเปลี่ยนให้ใหม่"
"คะ"
"ในวันที่เจ้าแต่งงานกับข้า"
มะลิหน้าอึดอัด วางเฉย
"ออกหลวงท่านเจ้าคะ ข้ายังอยากอยู่รับใช้พ่อข้าที่แก่แล้ว มิฉะนั้นพ่อข้าจะเหนื่อยล้ามาก"
ฟอลคอนขัดอีก
"ไม่เป็นไรข้าจะช่วยในเรื่องนั้น สำหรับตัวเจ้าข้าจะจัดงานแต่งงานให้ใหญ่โต เจ้ามิต้องอายใคร ข้าจะยกย่องเจ้าเป็นเมียเอก"
"ท่านมีเมียพระราชทานที่เป็นข้าหลวงของพระธิดาขุนหลวง"
"อ๋อ เมียผู้นั้นข้าส่งกลับไปในวังอย่างเดิม เจ้าจะเป็นใหญ่ในเรือนข้าแต่ผู้เดียว เมียเล็กเมียน้อยของข้าเจ้ามิต้องพะวงถึงเลย เอาล่ะ ข้าต้องการผ้าแพรผืนนี้...นี่...และนี่ ตัดให้ข้าสิพ่อฟานิก"
เรือเข้าเทียบท่า เป็นท่าที่เกศสุรางค์เคยมีเรื่องกับฟอลคอนที่ร้านของฟานิก
"ขอบพระคุณค่ะคุณพี่ที่พาข้ามาเยี่ยมแม่มะลิ" เกศสุรางค์ขึ้นจากเรือ
ขุนศรีวิสารวาจาถาม "ออเจ้ารู้จักแม่มะลิได้อย่างไร"
"ก็พ่อของนางถูกทหารของออกหลวงสุรสาคร เอ๊ย ออกพระฤทธิ์กำแหงแกล้ง ข้าก็เลยช่วยทะเลาะกับหลวง" เกศสุรางค์เงยหน้า หยุดกึก ทันที
คอนสแตนติน ฟอลคอนออกมากับลูกร้องซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส 2 คน
“หลวงสุรสาคร” ได้รับการอวยยศเป็น “ออกพระฤทธิกำแหง”
ออกพระฤทธิ์กำแหงเดินมาถึงท่าเรือพอดี สบตากับเกศศุรางค์อย่างแรง
อีกฝ่าย ไม่ยินดี ยินร้าย หน้าเฉยเมยใส่ ออกพระฤทธิ์กำแหงเดินกรายลงมาหยุดยืนหน้าเกศสุรางค์ มองเขม็ง
เกศสุรางค์สีหน้าเฉย สู้ตาไม่หวาดหวั่น
ฟอลคอนสาวเท้าเข้าประชิดตัว "แม่สาวคนเก่ง"
ขุนศรีวิสารวาจาจับแขนเกศสุรางค์แน่น แล้วพาเดินไปทันที
ออกพระฤทธิ์กำแหงขวางไว้ทันที พร้อมเผชิญหน้ากับขุนศรีวิสารวาจา
หลังจากมองนิ่งสักครู่ ออกพระฤทธิ์กำแหงก็เดินจากไป
"นึกว่าจะแค่ไหน"
เกศสุรางค์ยิ้มมองกิริยานั้นอย่างเอ็นดู
ขุนศรีวิสารวาจารู้ตัวหน้าเก้อ
"จะไปเยี่ยมแม่มะลิก็รีบไปสิ...รออะไรอยู่"
"อุ๊ย อินเทรนด์ด้วย ไปสิคะ จะรออะไรล่ะคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาเหล่มาก พูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว
เกศสุรางค์มาที่ร้านฟานิก
"เซอร์ไพรส์! มาเยี่ยมตามสัญญาแล้วนะ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างสบายดีหรือไม่"
"แม่หญิงการะเกด เอ่อ...ท่านหมื่นสุนทรเทวา" มะลิท่าทีเอียงอายหลบตา
เกศสุรางค์กะพริบตาปริบๆอย่างนึกไม่ถึง พลางคิด
"แม่เจ้า ตาขุนหมาดๆนี่เสน่ห์แรงจริง"
"ตอนนี้คุณพี่ไม่ได้เป็นแค่หมื่น แต่เป็นท่านขุนแล้ว ตะกี้ข้าเจอหลวงสุรสาคร
มาที่ร้านเจ้าหรือเปล่า มาหาเรื่องอีกใช่มั้ย"
มะลิถอนใจใหญ่
"มาเยือนทุกวัน มาซื้อข้าวของเป็นส่วนใหญ่"
มะลิเหลือบมองขุนศรีวิสารวาจาที่ยืนด้วยท่วงท่าสง่างามอยู่ตลอดเวลา
เกศสุรางค์เริ่มเหล่ทั้งสองคน
"มาทุกวัน! ทุกวันเหรอ ซื้อของทุกวันด้วย มาเกี้ยวเจ้าเหรอถามจริง"
"วาจาเอะอะมะเทิ่ง ดูทีฤๅแม่มะลิยังเรียบร้อยกว่า" ขุนศรีวิสารวาจาบอก
"เจ้าทำยังไง ไล่เปิดไปเลยใช่มั้ย"
"ข้าเป็นแม่ค้า จักไล่ลูกค้าได้อย่างไรแม่การะเกด"
"ทำไมจะไม่ได้ ถ้ามาทำเบ่งทำอวดเก่ง หรือพูดจาทุเรศๆ ก็ไล่ไปเลย"
มะลิหน้าเหวอ ฟังไม่รู้เรื่อง
"ไล่ลูกเดียวข้าจะบอกให้"
มะลิส่ายหน้า
"ลูกเดียวเป็นยังไร"
"เฮ้อ...ไม่เป็นไร แม่มะลิไล่แล้วกัน"
ขุนศรีวิสารวาจาบอกด้วยเสียงอ่อนโยน
"ท่านออกหลวงสุรสาครมาสร้างความรำคาญให้แก่ออเจ้า ก็อย่าได้เกรงกลัวไปหนา พระยาวิสูตรสาครผู้ดูแลความเรียบร้อยของร้านเรือนแพ เป็นบิดาของขุนเรืองอภัยภักดีสหายของข้าจักช่วยว่ากล่าวตักเตือนได้"
มะลิสบตาแล้วเอียงอายหลบตา "เป็นพระคุณเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ลอบสังเกตเห็นทันที แอบมอง สบตาขุนศรีวิสารวาจาปังใหญ่ เกศสุรางค์มองทะเล้น แต่คุณพี่หน้าบึ้งจัด
สองสาวคุยกันท่าทางยินดีมีความสุข หัวเราะอ้าปากกว้าง
ขุนศรีวิสารวาจามองเกศสุรางค์ เห็นท่าทีแจ่มใส พูดคุยเปิดเผย หัวเราะเต็มที่
ขุนศรีวิสารวาจาเผลอไผลมอง
บริเวณท่าน้ำ ผู้คนพลุกพล่าน ขุนศรีวิสารวาจายืนมองไปเรื่อยๆ
ชมวิวทิวทัศน์ของอยุธยายามเย็น
เกศสุรางค์และมะลิ คุยกันสนุกสนาน
เกศสุรางค์ท่าทางเปิดเผย หัวเราะเต็มแรง
แต่แม่มะลิยังเป็นหญิงชาวอยุธยาอยู่ คือยังนั่งเรียบร้อย เก็บแขนเก็บขา หันหลังเดินเข้าไปหา
ขุนศรีวิสารวาจาน้ำเสียงกึ่งสัพยอก เตือน
"แม่การะเกดเย็นชายบ่ายคล้อยแล้วหนา กลับบ้านได้แล้ว กล่าววาจามากมายนักมิคอแห้งบ้างฤๅ"
สีหน้าของมะลิยิ่งเผือดสีลง ดวงตาเรียวเหลือบมองหน้าหวานละมุนของการะเกด เห็นเขามองกัน ถึงแม้ไม่มีนัยยะอะไร แต่ก็เห็นว่าการะเกดนั้นร่าเริงแจ่มใสไม่มีจริต แลสายตาขุนศรีวิสารวาจาก็ลึกซึ้งจนสังเกตได้
เวลาต่อเนื่องมา ขุนศรีวิสารวาจาบอก
"แม่มะลิ...เรากลับกันล่ะเจ้า แล้วจะมาใหม่"
มะลิไหว้สวย "เป็นพระคุณนักเจ้าค่ะที่ท่านออกขุนกรุณาพาแม่การะเกดมาหาข้า"
"ข้าเต็มใจ และจะพามาอีก" ขุนศรีวิสารวาจาเดินไป
ขุนศรีวิสารวาจาหันไปเห็นเกศสุรางค์ยังโบกมือยิ้มแย้มกับแม่มะลิ ก็ฉวยแขน บีบแรงๆแล้วพาตัวไปทันที เกศสุรางค์ยังหัวร่อร่า หันมาโบกมือ
มะลิยืนหน้าหมอง ฟานิกเข้ามาใกล้
"นางเก่ง...ช่างสมกันกับ..."
"ศักดิ์ตระกูลและเชื้อชาติเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เขาไม่ก้าวข้ามมาหาเราหรอก" ฟานิกบอก
"มิใช่เลยพ่อข้า เขามิได้พึงใจข้าต่างหาก ถ้าเขาพึงใจศักดิ์ตระกูลฤๅจะเป็นอุปสรรค"
ฟานิกโอบรอบไหล่ลูกสาวอย่างปลอบโยน
"ตัดสินใจได้แล้วนะลูกพ่อ ท่านสังฆราชปัลลูรอฟังคำตอบอยู่ทุกเมื่อ"
"ข้าไม่ได้รักเขา...ออกหลวงผู้นี้"
"หากอยู่กินกันไปก็จักรักได้ไม่ยาก อีกทั้งเขายืนยันว่าจักให้ลูกเป็นเมียเอก อย่าได้คิดเหลวไหลวุ่นวายเรื่องอื่น ขุนนางชาวสยามมิมีวันยกลูกเป็นเมียเอก ยิ่งแม่การะเกดงามพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา ปัญญาแลศักดิ์ตระกูลอย่างนั้น ลูกจักช้ำใจเสียเปล่าเพราะเป็นเมียรองลูกพ่อ"
มะลิหน้าหมองจัด พึมพำ "ข้ารู้...ข้ารู้แล้วพ่อ พ่อหาต้องย้ำบอกข้าไม่"
ม่วง แหวนเดินจากท่าน้ำ จ้อยเดินถือกระทะเดินเร็วๆขึ้นเรือนไป
ขุนศรีวิสารวาจากับเกศสุรางค์เดินมาด้วยกัน
ผิน แย้มตามหลัง
เกศสุรางค์เบี่ยงตัวให้ ทำให้ต้องมาชิดใกล้กับขุนศรีวิสารวาจา "ไปเลยพี่" เธอทำมือโบกๆ "
เลย...เลย...เลย"
สองบ่าวมองหน้าเกศสุรางค์แบบปรามๆ ว่าทำตัวดีๆนะ แล้วเดินเลยไป
เกศสุรางค์แหงนมองพระจันทร์
"เอ...ทำไมพระจันทร์ที่นี่ดวงโต๊...โต"
ขุนศรีวิสารวาจามองเผลอนิดหน่อย "คนละดวงกระมัง"
"อุ๊ย...พระจันทร์ของโลกมีดวงเดียวค่ะ"
"ออเจ้าว่าอะไรนะ"
"เปล่าค่ะ...เอ๊ะ วันนี้คุณพี่ไม่นัดกับขุนเรืองหรือคะ"
"เหตุใดต้องนัดขุนเรือง หรือว่าออเจ้าอยาก...เอ้อ พบเขา"
"นัดไปดื่มสุรากันไงคะ"
"ไม่จำเป็นต้องเมาสุราทุกวันหรอก"
เกศสุรางค์ยิ้มเย้า
“ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน”
"ออเจ้ากล่าวกลอนนี้ด้วยเหตุใด"
"กล่าวให้ใครก็ไม่รู้ ที่มีทั้งแม่หญิงจันทร์วาด ทั้งแม่มะลิ"
ขุนศรีวิสารวาจาเคร่งขรึม "กระนั้นฤๅ ข้าว่าออเจ้าลืมอีกผู้หนึ่ง"
"ผู้ใดเจ้าคะ คุณพี่มีสาวๆที่ไหนอีกหรือเจ้าคะ" เกศสุรางค์ตาโต เสียงตื่นเต้น
"ไปส่องคันฉ่องดูทีฤา" ขุนศรีวิสารวาจาหัวเราะหึๆลงคอจากคนเอามือไพล่หลังเดินไป
ทิ้งให้คนยืนอึ้งขมวดคิ้วคิดตามอยู่อึดใจ
เกศสุรางค์นึกได้
"คันฉ่อง ?... กระจก...ต๊าย เห็นเงียบๆไม่เบานะยะ" เกศสุรางค์พึมพำ แต่สีหน้าระทึกใจน้อยๆ
ขุนศรีวิสารวาจาหันกลับมามอง สายตาครึ้มๆขำๆ
เกศสุรางค์ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม
ขุนศรีวิสารวาจายิ้มลึกในหน้าอีกนิดๆ แล้วหันหลังเดินเข้าหอนอนไป
เกศสุรางค์นอน แต่ไม่หลับ ใจว้าวุ่น
เช่นเดียวกับขุนศรีวิสารวาจานอนไม่หลับเหมือนกัน เห็นแต่ภาพเกศสุรางค์ที่ซ้อนภาพกับการะเกดในวันเรือล่ม
เกศสุรางค์พลิกไปมา แล้วลุกมานั่งแรงๆ
"โอ๊ย...บ้าหรือเปล่านี่ มาพูดจาบ้าๆทำไม" เกศสุรางค์นอนลงไปอีก หลับตา "หลับซี้...พรุ่งนี้ใส่บาตรเช้านะ หลับ...หลับเดี๋ยวนี้"
ยามเช้า จวงกับจิกเดินมาจากทางหนึ่ง เหมือนเดินมาจากเรือนของตน
"น้าจวง"
จวงเร่งฝีเท้า "เออ...พูดอะไรก็พูดมา"
"เดินช้าๆก็ได้"
"อยากโดนหวายลงหลังรึนังตัวดี"
"เออ พูดถึงหวายลงหลัง น้าจวงบอกข้าหน่อยเถิด...ข้าสงสัยนัก"
"จะถามอะไรก็ถามมา แล้วฝีตีนเอ็งมีแค่เนี้ยฤๅนังจิก เร่งอีกหน่อย"
"บนเรือนยังไม่มีใครตื่นหรอก"
"ว่าได้รึ...วันนี้วันพระ แม่นายท่านใส่บาตรนะ"
"ทำไมน้าจวงต้องลงหวายพ่อจ้อยเขาสุดแรงเกิดขนาดนั้น"
จวงหยุดกึก
"ยังไม่ถึงครึ่งของแรงข้า ไอ้จ้อยมันรู้ว่าถ้าถึงมือแม่ปริก มันน่ะหลัง"
จวงหยุดกึกเห็นปริก
"ปากดีนะมึง หลังเป็นไงนังจวง" ปริกถาม
"หลังขาดน่ะสิจะมีอะไรไม่น่าถาม"
"อ๋อ มันทั้งแน่ทั้งนอนอยู่แล้ว ลงหวายมันก็ต้องหลังขาด ไม่งั้นจะลงทำไมให้เหนื่อยแรง เอ็งก็เบาซะเมื่อไหร่อย่าพูดแต่กะข้า"
จิกบอก
"ข้าเห็นว่าเฆี่ยนกันเองไม่น่าจะเฆี่ยนจนสุดแรง ถ้าข้าโดนเฆี่ยน น้าจวงจะลงสุดแรงขนาดนั้นฤๅเล่า"
"ข้าก็ออมมือสิวะ ลองถามพี่ปริกว่าถ้าเฆี่ยนนังบุ้งล่ะ"
ปริกมองหน้าบุ้ง "อ๋อ ข้าก็ออมมือเหมือนกัน"
"ค่อยยังชั่ว"
ปริกบอก
"แต่ถ้าเกิดวันใด แม่นายให้ข้าลงหลังแม่หญิงการะเกดล่ะก็...มึงเอ๊ย มีแรงเท่าไหร่ แม่จะฟาดให้หมดเลย คอยดูใจอีกปริกสินะ"
บ่าวไพร่ยกกับข้าวกับปลามาทางด้านบันไดหลัง
ทั้งหมดเดินกันมา
"นังบุ้งขึ้นไปจัดสำหรับถวายพระ"
"คุณหญิงยังไม่ตื่น" บุ้งมองขึ้นไปบนเรือนแล้วเดินขึ้นบันไดไป
"ป้าปริก แม่หญิงน่ะไม่เหมือนก่อนแล้วนะ" จิกบอก
ปริกนิ่งอยู่ สีหน้าครุ่นคิดตาม "เออ"
"นั่นสิ ข้าก็เห็นอยู่ รึว่าไงพี่ปริก"
"เห็น...แต่ข้าก็ยังไม่ไว้ใจ แม่หญิงร้ายกาจผู้นี้อาจจะซ่อนเร้นใจที่ดำอำมหิตอยู่ในยิ้มหวานๆของแม่หญิง คนเราไม่เปลี่ยนสันดานง่ายๆหรอกเว้ยนังจวง" ปริกบอก
"ข้าก็ว่างั้นแหละพี่ปริก...ก็เห็นๆอยู่"
ปริกเหล่จวง จวงไม่รู้ไม่ชี้เหลือบมองบน
"คอยดูกันต่อไป ผิว่าแม่หญิงเปลี่ยนจริง ก็ไม่ยากหรอกที่ข้าจะรับแม่หญิงเป็นเจ้านาย เราเป็นบ่าวในเรือน เราก็หวังเจ้านายเมตตาปราณี" ปริกบอก
"ใช่ เราก็จะรับใช้จนตายคาเรือน" จวงว่า
"ตอนแม่หญิงดุดันร้ายกาจ พี่ผินพี่แย้มเขาก็รับใช้ตายคาเรือนเหมือนกัน" จิกบอก
"จริงอยู่...เพราะพวกบ่าวอย่างเราก็ถูกสั่งถูกสอนมาแบบนั้น เป็นบ่าวใครก็ต้องซื่อสัตย์ ไม่มีล่ะที่จะเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย ใครเป็นเข้าก็มีแต่คนก่นด่า"
"ใครซื่อสัตย์เจ้านายก็เลี้ยงจนตายเหมือนกัน"
ทั้งหมดเดินขึ้นเรือน
มุมหนึ่งในเรือน คุณหญิงจำปาบอก
"ข้าไม่เต็มใจ ลูกชายข้า ข้ารักข้าหวง ไม่อยากให้ตกในเรือนเดียวกับแม่หญิงใจพาลผู้นี้"
ออกญาโหราธิบดียิ้มน้อยๆ "ข้าว่า... แม่จำปาถามลูกชายก่อนดีฤๅไม่"
จำปาเสียงแข็งขึ้นหลังจากนิ่ง สีหน้าไม่พอใจอยู่อึดใจ "ข้าไม่ถาม...ข้ารู้แล้ว"
ต่อมาที่โถงกลาง จำปาเรียก
"ปริก...มานี่"
"เจ้าค่ะ" ปริกแยกจากขบวนที่เดินกันขึ้นมา
มุมหนึ่งพูดกันสองคน
จำปาถอนใจ
"สุดปัญญาข้าแล้ว ท่านขุนจะหมั้นกับแม่การะเกด อีกไม่ช้าไม่นานก็ต้องตบต้องแต่งกัน"
"หวั่นใจจริงเจ้าค่ะ"
"ใครหวั่นใจวะนังปริก"
"ข้าเจ้าเจ้าค่ะ"
"เอ็งจะหวั่นใจเรื่องอันใด"
"เรื่องเดียวกับแม่นายท่านเจ้าค่ะ"
"เออ...นั่นสินะ ข้าเห็นจะไม่มีหนทางอื่น"
"เจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่มีหนทางอื่นเหมือนกันนะเจ้าคะ"
จำปาเหล่เล็กๆ "งั้นฤๅ" แล้วถอนใจอีก "เออ...นังปริก เอ็งว่า..." คุณหญิงทอดเสียงนัยน์ตาตรึกตรอง
"ว่าเจ้าค่ะ"
"เอ็งนี่มันรู้ดีเสียจริงเชียวว่าว่าไงวะ"
"บ่าวแอบดูอยู่ทุกเมื่อเจ้าค่ะ ว่าท่านขุนหมาดๆของแม่นายชักจะหวั่นไหวแล้วเจ้าค่ะ เคยชังน้ำหน้านักหนาก็..."
จำปาตรึกตรอง
"นั่นสินะ เคยชังน้ำหน้านางหนักหนาก็นิ่งเฉย ไม่หาเรื่องว่ากล่าวเหมือนเคย มันผิดแผกแปลกไปเสียจริง"
ปริกสีหน้าเห็นด้วย
"เอาล่ะ...มันจำเป็นถึงขนาดนี้ข้าจะทำตัวเป็นแม่ล่ะ เอ็งช่วยข้าด้วยแล้วกันนะปริก ให้นังจวงช่วยดูแล"
จวงวางถาดขิงปอกแล้ว จำปาหยิบขิงส่งตรงหน้าเกศสุรางค์
เกศสุรางค์กลืนน้ำลาย ส่ายหน้า
จำปาหยิบมีด จักให้ดูอย่างว่องไว
เกศสุรางค์จักขิง เบี้ยวๆบูดๆ จวงส่ายหน้าไม่ไหว
เกศสุรางค์เสียงดุ แกล้ง "จวง... ตอนจวงทำครั้งแรกน่ะ...สวยมากมั้ยถามจริง"
"สวยกว่านี้เจ้าค่ะ"
จิกกระซิบ
"ไม่จริงเจ้าค่ะแม่หญิง เบี้ยวบูดกว่านี้อีก"
เกศสุรางค์หัวเราะคิก จวงค้อนขวับ
ปริกสอนทำอาหาร ที่ชานเรือน ตั้งเตาอั้งโล่และหม้อดิน
เกศสุรางค์พยายามตั้งใจทำ สีหน้ามุ่งมั่น
"แกงคั่วนะเจ้าคะแม่หญิง" ปริกหน้างอๆ
เกศสุรางค์พึมพำกับตัวเอง "โอเค"
"แกงคั่วเจ้าค่ะ ไม่ใช่แกงแค" ปริกเสียงหลง
เกศสุรางค์เหล่ปริก
"ใครว่าแกงแคล่ะ"
"แม่หญิงว่าอยู่เดี๋ยวเนี้ย"
"เฮ้อ เอ้า แกงคั่วไม่ใช่แกงแค"
จำปาพับดอกบัว อีกวัน
เกศสุรางค์หยิบดอกบัวมาจะพับ"หมูๆ"
"จะพับดอกบัวเป็นหมูเหรอเจ้าคะ"
"มีปัญหาเรื่องหูนะแม่ปริก"
ปริกค้อนขวับ
คุณหญิงจำปาร้อยมาลัยให้ดู
"สบาย"
หยิบมะลิ...วัดความยาวของก้าน แล้วร้อยอย่างเร็วจนได้พวงมาลัยยาวสวย
"เอ...ปริกเอ๊ย ข้าตาฝาดไปฤๅเนี่ย"
"ข้าเจ้าก็เหมือนกันเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เหลือบเห็นขุนศรีวิสารวาจายืนลุ้นอยู่มุมเรือน
แอบยกนิ้วโป้งให้ หลิ่วตาด้วย
ขุนศรีวิสารวาจาทำหน้าดุปรามๆ
แต่หันหลังให้ ยิ้มพอใจ
เกศสุรางค์นั่งหมดแรง
ขุนศรีวิสารวาจาเดินกรายๆมาดู แบบทำท่าไม่อยากเท่าไหร่
"หมดแรง พี่ผิน พี่แย้ม ผู้หญิงทุกคนต้องเรียนแบบนี้เหรอ"
"ถ้ามิต้องเรียน จะให้ออเจ้าเรียนทำไมกัน"
"ก็...เอาไว้ประดับบารมีผู้ชายไงคะ ธรรมเนียมคนที่นี่ไม่ใช่เหรอเจ้าคะ"
ขุนศรีวิสารวาจาประชด "ออเจ้าไม่ใช่คนที่นี่...ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ"
"ก็ทำไปแล้ว"
"เป็นเช่นนั้นจะบ่นไปทำไม... ถามจริง"
เกศสุรางค์หัวเราะเต็มเสียง ปากกว้าง มองนัยน์ตาตรงๆ
"ถามจริงก็ตอบจริง บ่นชิลๆไปงั้นเองค่ะ"
ทั้งคู่ยืนสบตากันนิ่งๆสักครู่
"คันฉ่องที่ห้องออเจ้าชัดดีอยู่ฤๅ"
เกศสุรางค์หน้าเอ๋อ...อึดใจหนึ่ง
สายตาเปลี่ยนไป รับรู้แล้ว
ขุนศรีวิสารวาจาสายตาลึกซึ้งมาก
อ่านต่อตอนที่ 12
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
อวยยศ : เช่น หมื่นสุนทรเทวา อวยยศเป็น ขุนวิสารวาจา , หมื่นเรืองราชภักดี อวยยศเป็น ขุนเรืองราชภักดี ... ฯลฯ
หนังสือ "ขุนนางอยุธยา" โดย มานพ ถาวรวัฒน์สกุล (คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร) พิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2536 โดย สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ หน้า 107 กล่าวว่า
"ขุนนาง คือ ผู้ที่กำเนิดจากสามัญชน อาจมาจากครอบครัวชั้นสูงหรือชั้นต่ำในสังคมก็ได้ ฐานะของความเป็นขุนนางนั้นเกิดจากการที่กษัตริย์ทรงยกบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นเป็นขุนนางด้วยการพระราชทานบรรดาศักดิ์ ราชทินนาม ตำแหน่ง และศักดินา ทั้งสี่อย่างนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามแต่กษัตริย์จะโปรดให้เปลี่ยน ฉะนั้นตามหลักการแล้ว ขุนนางเกิดจากการใช้พระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ สามัญชนที่มีโอกาสถวายตัวรับราชการกับพระมหากษัตริย์ และได้รับศักดินา ตั้งแต่ 400 ขึ้นไป ก็จะได้รับการยกย่องว่า มีฐานะเป็นขุนนาง ถ้าศักดินาต่ำกว่า 400 ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนาง ที่เป็นเช่นนี้เพราะส่วนใหญ่ของขุนนางในกรมมหาดเล็กจะได้รับการเลือกสรรโดยตรงจากพระมหากษัตริย์ โดยทรงเลือกลูกหลานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่วางพระทัย มหาดเล็กจึงเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด (เวลส์, ควอริช. การปกครองและการบริหารของไทยในสมัยโบราณ. แปลโดย กาญจนี สมเกียรติกุล และยุพา ชุมจันทร์. กรุงเทพฯ โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2519. หน้า 64 - 65 )