บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 10
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
จ้อยพายเรือมาเรื่อยๆในคลอง
ในเรือ หมื่นสุนทรเทวานั่งนิ่ง เงียบ แต่สายตาหวั่นไหวมาก
เกศสุรางค์นั่งเยื้องๆไปด้านหน้า เห็นแต่เสี้ยวหน้าด้านหนึ่ง
หมื่นสุนทรเทวา สีหน้าสับสนกับภาพที่เห็นเมื่อสักครู่
ในความคิดของหมื่นสุนทรเทวา กับเหตุการณ์เรือล่ม
เกศสุรางค์จูบปากช่วยชีวิต
พอเกศสุรางค์ถอนปาก หมื่นสุนทรเทวาลืมตา
ตรงหน้าคือ เกศสุรางค์ในร่างการะเกด และแวบหนึ่งชั่วอึดใจ เห็นร่างของเกศสุรางค์ตัวจริงซ้อนทับลงไปกับร่างแรก
ร่างนั้นเป็นร่างของเกศสุรางค์ซึ่งแต่งตัวแบบปัจจุบัน สวย งดงามด้วยเนื้อนาบุญ หน้าเหมือนการะเกดไม่มีผิดเพี้ยน ภาพนั้นเลือนลางเหมือนนางในฝัน สวมชุดเจ้าสาว สีขาว ยาว พลิ้ว ใส่มงกุฎดอกไม้ สวยสุดๆเกินจะกล่าว
เพียงสัมผัสเห็นชั่วอึดใจนั้น หมื่นสุนทรเทวารับรู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่การะเกด !
ในเรือ หมื่นสุนทรเทวาจ้องเกศสุรางค์ ทั้งคู่หันมาสบตากันอย่างแรง และหวั่นไหวทั้งคู่
จ้อยมองแล้วเผลอรามือ
ผินกระซิบ "จ้อย"
จ้อยยังมองเหม่อ เห็นเกศสุรางค์กับหมื่นสุนทรเทวาจ้องตากัน
แย้มวักน้ำท้องเรือใส่หน้า จ้อยสะดุ้ง
"สาดน้ำข้าทำไมแม่แย้ม"
แย้มบอก "พายสิวะ"
"ก็พายอยู่นี่ไง"
"ชะ...เถียงเรอะ ราพายใครก็เห็นทั่ว"
จ้อยชำเลืองไป "ครู่เดียวเท่านั้น แหม..."
"ไอ้จ้อย" หมื่นสุนทรเทวาเรียกโดยไม่ได้หันมา
จ้อยจ้วงพายไม่ยั้ง
ถึงท่าเรือ ที่บ้าน เรือจอด หมื่นสุนทรเทวานั่งอิงเสาเรือ เริ่มรู้สึกเวียนหัว
"คุณพี่ขึ้นท่าไหวมั้ยคะ"
"ไหว"
"แน่นะคะ"
หมื่นสุนทรเทวาหันมามอง ตาคมกริบ มองทะลุทะลวงถึงหัวใจ
เกศสุรางค์หนาวๆร้อนๆ พูดไม่ออกเลย
หมื่นสุนทรทอดเสียง
"ถ้าไม่ไหว...จะทำอย่างไร"
"อ๋อ...ก็ให้จ้อยประคองไปไงคะ"
หมื่นสุนทรเทวาหันกลับมาหน้าดุอย่างเคย ลุกทันที แรงจนเรือโคลง
"เอ๊ย...เอ๊ย ระวัง" เกศสุรางค์ว่า
หมื่นสุนทรเทวาก้าวขึ้นเรือ เดินลิ่วไป เกศสุรางค์หน้าเหวอ
"พี่ผิน พี่แย้ม ยืนบิดไปบิดมาทำไม...มารับข้าด้วย"
สองบ่าวสีหน้ายังระทึกใจกับฉากเม้าท์ทูเม้าท์ไม่หาย เผลอเอามือแตะที่ปาก
"พี่...มันก็แค่จูบช่วยชีวิต จะเพ้ออะไรนักหนาพี่...พี่ มารับข้า...เร็ว"
ผิน/แย้มพร้อมกัน "เจ้าข้า"
มือสองมือยื่นลงมา เกศสุรางค์เอื้อมไปจะจับ
"ท่านหมื่น...ท่านหมื่นขอรับ" จ้อยเรียกแบบตกใจ
เกศสุรางค์กระโจนพรวด โลดแล่นไปตามเสียงจ้อยทันที
หมื่นสุนทรเทวายืนพิงต้นไม้ หน้าซีดเซียว จ้อยประคองอยู่
เกศสุรางค์พรวดเดียวถึงตัว
"จ้อย ท่านหมื่นเป็นอะไร"
"บอกปวดกบาลขอรับ"
"ปวดกบาล...ตายจริง เส้นเลือดในสมองแตกรึเปล่าเนี่ย ตายแล้วทำไงดี"
เกศสุรางค์เข้ามาประคอง
หมื่นสุนทรเทวาทำให้จ้อยหลุดมือไป และกลายเป็นเกศสุรางค์เข้าไปประคอง หมื่นสุนทรเทวาเพ่งมองเกศสุรางค์ หวังจะเห็นร่างซ้อนอีก
"คุณพี่...คุณพี่รวบรวมสตินะคะ แล้วตอบคำถามของข้าด้วย...คุณพี่เห็นข้ามั้ยคะ"
หมื่นสุนทรเทวาพยายามเพ่งมา อยากเห็นรูปซ้อนอีก
"เห็นมั้ยคะ"
หมื่นสุนทรเทวามองหน้าเกศสุรางค์ทำท่าเหมือนไม่เห็น
"ไม่เห็นหรือคะ...เห็นนี่" เกศสุรางค์ชูมือ "มั้ยคะ"
หมื่นสุนทรเทวาชูมือออกไป แล้วจับมือแน่น
"ตายแล้ว...กระเทือนจนลูกกะตาไม่เห็นหรือเนี่ย"
หมื่นสุนทรเทวาจับมือเกศสุรางค์แน่นมาก
"นี่มือเกศนะคะ" เกศสุรางค์ลืมตัวเรียกตัวเอง "เห็นรึเปล่าคะ"
หมื่นสุนทรเทวาพยักหน้าเบาๆ แต่หน้ากระตุกนิดหน่อยได้ยินเกศสุรางค์เรียกชื่อตัวเอง
"เห็น...แน่นะคะ"
"ปวดหัว"
"เห็นมือแน่นะคะ ตาไม่พร่านะคะ"
"เห็นแน่...ขึ้นเรือนเถอะ"
บรรดาบ่าววิ่งมาทุกทาง มุ่งตรงมาที่บ้าน สีหน้าตกใจ ซุบซิบกันไปมาเรื่องท่านหมื่นสุนทรเทวาโดนเรือชน การะเกดช่วยด้วยวิธีใด ขึ้นบันไดเรือนไป
บ่าวสาวๆขึ้นไปบนเรือน
บ่าวชายกรูขึ้นบันได แล้วนั่งเป็นระเบียบอยู่ที่หัวบันได
บ่าวสาวที่เพิ่งขึ้นมาบนเรือน แยกย้ายกันไปนั่งแอบๆ
คุณหญิงจำปาโวยวายเสียงดัง
"ถ้าลูกข้าตาย ข้าจักไม่ไว้ชีวิตพวกเอ็งเหมือนกัน อ้ายจ้อย...ออกมากรงนี้"
จ้อยค่อยๆคลานออกมา
"กูไม่ยอมให้มึงทำอะไรตามอำเภอใจจนลูกกูเกือบตาย"
หมื่นสุนทรเทวาท้วง "ไม่...ไม่ใช่"
"หยุดพ่อหมื่นไม่ต้องพูดอันใดทั้งสิ้น อ้ายจ้อยต่อไปมึงไม่ต้องมาทำงานให้ท่านหมื่นอีก มึงกลับไปขนน้ำอย่างเดิมของมึง กูจะหาคนที่ไว้ใจได้มาทำงานกับพ่อหมื่น"
"แม่นายขอรับ" จ้อยกราบลง "ข้าขอประทานโทษ ข้านี้ผิดยิ่งนัก"
"พ่อหมื่น"
หมื่นสุนทรเทวาอ่อนแรงขึ้นทุกที
"ไม่ใช่...ความผิด...จ้อย ขอรับคุณแม่"
ออกญาโหราธิบดีว่า "แม่จำปาฟังความทุกฝ่ายก่อนเถิดแม่ อย่าเพ่อวู่วาม"
"เรือพ่อหมื่นถูกชน...อ้ายจ้อยพายเรือ...ใครผิดเจ้าคะคุณพี่"
"เรือพายไปเฉยๆไม่ถูกชนหรอกนะแม่จำปา"
"ก็เพราะมันไม่พายไงเจ้าคะ เก้ๆกังๆจนเรืออื่นมาชน"
เกศสุรางค์พยายามแย้ง
"คุณป้าคะ ความจริงคือเรืออีกลำ"
คุณหญิงจำปาหันมามองเกศสุรางค์นัยน์ตาเย็นชา
"อีกเหตุหนึ่งเพราะมีออเจ้านั่งไปด้วยนั่นแหละหนา" คุณหญิงหันไปทางอื่นทันที "อ้ายม่วง อ้ายแหวน ช่วยกันพยุงท่านหมื่นไป...เร็วสิพวกมึง ขึ้นมา"
ม่วง แหวนอยู่ที่หัวบันได เข้ามาเร็วๆ
เกศสุรางค์ถอนใจยาว
"พ่อหมื่น...รู้สึกอย่างใดล่ะเนี่ย" ออกญาโหราธิบดีถามก่อนเดินตามไป
คุณหญิงจำปาหันมา มองไอ้จ้อย มองเกศสุรางค์ที่ยืนข้างๆ
"ไอ้จ้อย"
จ้อยสะดุ้ง
"มีสำนึกไหมว่ามึงน่ะผิด"
"เอ่อ...ก็..."
"ไม่มี ?"
"มีขอรับ"
"ใครอยู่กรงนั้น หยิบหวายให้ข้าที"
จ้อยยิ่งลนลาน ก้มลงติดพื้น เกศสุรางค์เข้าไปขวาง
"คุณป้าคะ คุณป้าจะเฆี่ยนจ้อยหรือคะ"
"หาใช่กงการของออเจ้า หลีกไป"
"แต่จ้อยไม่ผิดนี่คะ"
"ได้รึยังหวาย"
จวงถาม "หวายมีสองเส้น แม่นายจะเอาเส้นเล็กหรือเส้นใหญ่เจ้าคะ"
เกศสุรางค์พึมพำ "โห...มีถามงี้ด้วย"
คุณหญิงจำปาหันมามองนัยน์ตาคมกริบ
"จ้อยไม่ผิด" เกศสุรางค์พูดยังไม่ทันขาดคำ
"ไอ้จ้อย...มากรงนี้"
จ้อยคลานมาลุกขึ้นยืน
"เอ้า...เรียกนังปริกมาซิ"
"เรียกทำไมเจ้าคะ" จวงถาม
จิกกระซิบ "โธ่ น้าจวง...เรียกมาลงหวายไอ้จ้อยน่ะสิ"
"ลงหวายไอ้จ้อยหรือเจ้าคะ ข้าเจ้าลงเองก็ได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องถึงมือป้าปริกแกหรอกเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาเพ่งมอง ไม่แน่ใจ "เอ็งรึ"
"เจ้าค่ะ ข้าเจ้าก็ได้เจ้าค่ะ"
"หวายเส้นเล็ก เฆี่ยนมัน 10 ที"
"เจ้าค่ะ" จวงลุกมาอย่างยินดี)
จ้อยยืนตัวสั่น สบตาจวง
จวงยิ้มเย็น เงื้อสุดแขน
จ้อยหลับตา
ผินบอก "แม่นาย กลับห้องเถิดเจ้าค่ะ"
"ไปเจ้าค่ะ" แย้มว่า
"เดี๋ยว ไม่เคยเห็นคนเฆี่ยนกันตรงหน้า เคยเห็นแต่เรื่องนางทาสอีเย็นโดนเฆี่ยน แต่มันละคร นี่ของจริงอยากดู"
สีหน้าทุกคน เหวออีกแล้ว
จวงก็มอง หน้าเหวอ
"อีจวง"
ขาดคำคุณหญิงจำปา ขวับแรกลง
ไอ้จ้อยเจ็บ
ขวับที่สอง อีจวงลงสุดแรง
"น้าจวง...แรงไป" จิกบอก
"อีจิก...มึงอย่าสอด"
ขวับที่สาม จ้อยเผลอร้องโอ๊ย แผลแตกเล็กๆ
เกศสุรางค์เข้าขวางทันที
"ถ้าจะมีการเฆี่ยนกัน เฆี่ยนข้าเถิดเจ้าค่ะคุณป้า"
คุณหญิงจำปาค่อยๆหันมา สีหน้าสมใจ
ผิน แย้มตกใจแทบตาย
"งั้นรึ"
"เจ้าค่ะ"
"ออเจ้าจะรับแทนบ่าวอย่างไอ้จ้อยรึ"
"ไม่ใช่ค่ะ เพราะข้าอยากได้กระทะ ถ้าข้าไม่ชวนคุณพี่ไปซื้อกระทะก็ไม่ต้องไปตรงนั้น เรือก็ไม่ชน ทั้งหมดข้าเป็นคนผิดเจ้าค่ะ เฆี่ยนข้าเถิด"
คุณหญิงจำปายิ้มเล็กๆ แต่สมใจ
"มีเหตุผลสมควรอยู่ อีจวง...เฆี่ยนแม่การะเกดแทน"
ผิน แย้มร้อง
"ไม่ได้...ไม่ได้นะเจ้าคะ แม่นายเข้าห้องเจ้าค่ะ"
"อีผิน อีแย้ม กำเริบนะมึง...ไป๊"
ผิน แย้มลนลาน ผินกระซิบเบาๆกับแย้ม แย้มไปเร็วรี่
"พี่...ไปเถอะ ข้าอยากรู้รสหวายเหมือนกัน จะเท่าไหร่เชียว"
ผินร้อง
"โอย...ไม่...ไม่เจ้าค่ะ"
"มาจวง เฆี่ยนเลย"
จวงยิ้มย่อง มาด้านหลังเกศสุรางค์
"นั่งลงสิ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะคุณป้า เฆี่ยนเลยค่ะ ข้ายืนนี่แหละ"
จวงเงื้อง่าราคาแพง สุดแขน ฟาดขวับ
หมื่นสุนทรเทวาปราดมาคว้าแขนเกศสุรางค์ออกไปอย่างเร็ว
หวายฟาดไปไม่โดนใคร
"พ่อเดช"
"ข้าขอเถิดขอรับ คุณแม่"
"นางเอง ออกรับแทนไอ้จ้อย"
"ข้าเจ็บ...ถ้าคุณแม่อภัยให้ทุกคน ข้าคงจะหายเจ็บในไม่ช้า แต่ถ้ามีคนต้องโทษ
ข้าอาจเจ็บมากขึ้นนะขอรับคุณแม่"
คุณหญิงจำปานิ่งอึ้ง
เกศสุรางค์มองหมื่นสุนทรเทวาอย่างซึ้งใจ สบตากัน
ผิน แย้มมาพาตัวเกศสุรางค์ไป
สามคนเดินเข้ามาในห้อง ผิน แย้มลูบอกแล้วลูบอีก
"ข้าเจ้าอยากเป็นลม เอ็งดูซีแย้ม ขาข้าสั่นริกๆ"
"ขาข้าไม่สั่น"
"ฮะ...เก่งปานนั้น"
"แต่ข้าสั่นทั้งตัว"
"ชะ"
เกศสุรางค์สีหน้าไม่สบายใจ
"อะไรไม่อะไรหรอก คุณพี่นะสิ โดนชนซะขนาดนั้น ข้ากลัวเลือดคั่ง หรือถ้ามีแตกเกิดสโตรก นอนเป็นผักเลยนะนั่น...ทำไงดี"
สองบ่าวหน้าเหวอ
เกศสุรางค์เห็นเข้า...ร้อง “เฮ้อ”
กลางดึก พระจันทร์ดวงโตอยู่กลางฟ้า
เกศสุรางค์เดินย่องๆข้ามลานชานเรือนไป
ตะเกียงให้แสงวับแวม
หมื่นสุนทรเทวา...นอนไม่หลับ คิดทบทวนถึงภาพที่เกศสุรางค์ ซ้อนทับกับร่างของการะเกด
หมื่นสุนทรเทวาสะบัดหน้าอย่างไม่อยากคิดถึง แล้วต้องตกตะลึง เมื่อเกศสุรางค์ยืนอยู่ข้างเตียง
หมื่นสุนทรเทวาทะลึ่งพรวดอย่างแรง ตกใจมาก ถอยไปอยู่ริมเตียง
"ข้ามาดูอาการคุณพี่"
หมื่นสุนทรยกมือป้องปัด "ไม่...ออเจ้ามาทางใด"
"เอ๊า...มาทางประตูสิคะ ไม่ได้ล็อคนี่ เปิดแล้วเดินเข้ามา เห็นคุณพี่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด"
"มาทางประตู...ทำไมข้าไม่ได้ยิน"
"เบลออยู่กระมังคะ" เกศสุรางค์เข้ามาใกล้ "ขอข้าดูตรงที่โดนเรือชน"
หมื่นสุนทรเทวาถอยนิดหน่อย
"คุณพี่...ต้องให้ข้าดูว่าเลือดมันคั่งรึเปล่า ถ้าเลือดคั่งมันจะบวม ต้องประคบค่ะ"
"คุณแม่ประคบให้แล้ว"
"อ๋อ...เหรอคะ เจ๋งนี่คุณป้ารู้ด้วย"
หมื่นสุนทรเทวาเหล่ๆ
"เอ๊ะ...ประคบร้อนหรือเย็นคะ"
"ออเจ้าถามชอบกล ประคบก็ต้องร้อนสิ มีผู้ใดประคบเย็น"
"ไม่ได้ค่ะ ต้องประคบเย็นให้เส้นเลือดตรงที่ถูกชนหดตัวจะได้ไม่ห้อเลือด นี่กี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย...สิบกว่ามั้ง...ยังทัน ขอข้าดูแผลหน่อยนะคะ"
เกศสุรางค์พูดจบเข้ามา
หมื่นสุนทรเทวายังงงงวย คิดไม่ทัน แต่ก็ไม่อยากขัดขวางด้วยล่ะ
เกศสุรางค์แหวกเส้นผมพินิจดูแผล กดเบาๆมือมาก และทั้งตัวทั้งหน้า...อยู่ใกล้เหลือเกิน
หมื่นสุนทรเทวารู้สึกชา ซาบซ่านไปทั้งตัว ใจเต้นแรงมากจนแทบจะออกมานอกหน้าอก
หมื่นสุนทรเทวาต้องกดหัวใจตัวเองไว้ นัยน์ตาจ้องหน้าที่อยู่ใกล้มากจนเห็นนวล
เกศสุรางค์แตะเบาๆมือ ก้มลงมองจนใกล้ พูดพึมพำ
"ไม่บวมมาก เจ็บมั้ยคะ"
เกศสุรางค์หันมาถาม หน้าต่อหน้าใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจ ต่างคนต่างนิ่งงัน
"แม่การะเกด ออเจ้าเป็นใครกันแน่"
เกศสุรางค์ใจหาย เสียงนั้นแน่ใจว่า หมื่นสุนทรเทวาไม่ถามเล่น
"เป็นใคร"
"นี่มือเกศนะคะ...เห็นรึเปล่าคะ...นี่มือเกศนะคะ...นี่มือเกศนะคะ"
"เกศ...เกศไหน เป็นผู้ใด มิใช่แม่การะเกด แม่การะเกดตายแล้ว"
เกศสุรางค์ประคองหมื่นสุนทรเทวาให้นอนลงอย่างนุ่มนวล
"ยังมีเวลาอีกมากที่คุณพี่จะหาความจริงว่าข้าเป็นใคร แต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ คุณพี่ต้องนอน เดี๋ยวข้าจะเอาผ้าเย็นมาประคบให้"
เกศสุรางค์เหลียวมองหาผ้า ถาม “ในตู้มีผ้าไหมคะ”
เกศสุรางค์ชุบผ้าในน้ำเย็น บิดผ้า
นัยน์ตาครุ่นคิดหนักในใจ
"คุณป้าออกฤทธิ์หนักอยู่วันนี้ นี่แค่รู้ว่าเรือชนนะยังจะเฆี่ยนจ้อยตั้ง 10 ที ถ้าไอ้เรื่องเม้าท์ทูเม้าท์มาถึงหูจะขนาดไหนเนี่ย สงสัยข้าพเจ้าโดนฆ่า"
เกศสุรางค์ประคบผ้าเย็นที่แผลข้างกกหูให้หมื่นสุนทรเทวา กดนิ่งอยู่อย่างนั้น
หมื่นสุนทรเทวาจิตใจไม่ปกติ มองไปทางอื่น
"เจ็บมั้ยคะ"
หมื่นสุนทรเทวาสั่นหน้า
"ไม่จริง...ต้องเจ็บ"
"ไม่มาก"
"เห็นม้า" เกศสุรางค์ทำเสียงล้อๆ
หมื่นสุนทรเทวาแย่แล้ว ใจคอหวั่นไหวไปหมด
เกศสุรางค์ยิ้มปลอบใจ
"เจ็บนิดหน่อยคงแค่บวมช้ำไม่มีอะไรแตก...อีกซัก 10 ชั่วโมงค่อยประคบร้อนนะคะ ให้เส้นเลือดขยายตัวเลือดจะได้ไหลสะดวกๆ"
หมื่นสุนทรเทวาจ้องหน้า "ออเจ้าเป็นใคร"
เกศสุรางค์เอานิ้วนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากหมื่นสุนทรเทวาไม่ให้พูด ส่ายหน้า
หมื่นสุนทรเทวาจ้องหน้านิ่ง อ่อนหวาน ซาบซึ้ง
เกศสุรางค์ในร่างการะเกดแวบเข้ามาในความคิดอีก
หมื่นสุนทรเทวาพึมพำอีก "ออเจ้าเป็นใคร"
เกศสุรางค์รู้สึกตัว ถอยออกมา
หมื่นสุนทรเทวาจับแขนไว้มั่น
"คุณพี่...อย่าลืมสิคะว่าคุณพี่เกลียดข้า เกลียดถึงไส้ถึงพุง อย่าลืมเสียนะคะ"
หมื่นสุนทรเทวาปล่อยแขนแรงๆ ถอยห่างแล้วนอนลง หันหลังให้ทันที
เกศสุรางค์ลุกขึ้นยืน ยื่นหน้าเข้าใกล้
"ข้าได้ยินว่าแม่หญิงจันทร์วาดจะมาเยี่ยมคุณพี่นะคะ พรุ่งนี้ เห็นทีจะหายรวดเร็วก็คราวนี้แหละ... ใช่มั้ยคะ"
พูดจบเกศสุรางค์เดินออกนอกห้องไป ทิ้งประโยคสุดท้าย “รู้กันเร็วจริ๊ง ทั่วพระนครแล้วมั้ง”
แล้วปล่อยให้หมื่นสุนทรเทวานอนว้าวุ่นใจ
วันรุ่งขึ้น ในตลาด หลวงสุรสาครเดินอาดๆ คนสนิทเดินตาม ผู้คนแหวกเป็นช่อง เกรงกลัว หลบตา มีของบางอย่าง เป็นของขายตรงนั้น วางขวางทางเดิน
แม่ค้าสวยเจ้าของรีบตะกุยมาหยิบ แต่หลวงสุรสาครเหยียบเสียแล้ว
แม่ค้าค้างมือที่ของ มองหลวงสุรสาคร หลวงสุรสาครจ้องมองเห็นสวยก็ก้มลงแตะคางหยอกเอิน
คู่รักแม่ค้าเข้ามาปัดมือหลวงสุรสาครอย่างแรง
หลวงสุรสาครถอย และคนสนิทปราดเข้ามาตบคู่รักแม่ค้าจนคว่ำไป
ผู้คนฮือเข้ามา หลวงสุรสาครขยับตัว หน้าดุจัด
ผู้คนหดตัว ถอยออกไปทันที
หลวงสุรสาครเดินอาดๆต่อไป มองไปที่หน้าร้านขายผ้าของฟานิก มะลิยืนหน้าตาขุ่นมัวมองมา ฟานิกอยู่ด้วย แล้วแม่มะลิก็สะบัดหน้าเข้าร้านไป
หลวงสุรสาครเดินเข้ามาในร้าน ฟานิกยืนค้อมตัวนอบน้อมต้อนรับ
หลวงสุรสาครเดินพรวดไปหลังร้าน สักครู่ก็จูงตัวมะลิออกมา
ฟอลคอนถาม "เดินหนีข้า...ทำไม"
"หามิได้นะท่าน ข้าใช้แม่มะลิไป" ฟานิกบอก
ฟอลคอนยกมือห้าม
"พอ...ไม่จริง ข้าเป็นเด็กรึ"
"จริงขอรับ ข้าไม่สบายให้แม่มะลิไปหยิบยา"
หลวงสุรสาครมองแบบทะลุถึงหัวใจ
สังฆราชเดินเข้ามา หลวงสุรสาครหันไปทันที เห็นด้วยว่าฟานิกก็ลนลาน หันไปโค้งสังฆราชปัลลู
"ขอบพระคุณท่านมากท่านสังฆราชปัลลู"
"ไหนล่ะแม่มะลิ อ้อ... " ปัลลูยกมือรับไหว้ข้างเดียวคล้ายๆยกมืออวยพรของพระฝรั่ง "อา..."
"อย่างที่กระผมเรียนไว้"
"ใช่...งามจริงๆด้วย นางตกลงแล้วใช่หรือไม่"
"กระผมยังไม่ได้พูดกับนางหรือพ่อของนาง"
"เอา...ไม่เป็นไร มาอีกก็ได้"
"เป็นพระคุณ" ฟอลคอนโค้ง
"เรียบร้อยเมื่อไหร่จะมาอีก"สังฆราชปัลลูบอก
ฟานิกโค้ง และมะลิไหว้สวยงาม
สังฆราชเดินจากไป
"ฟานิก...ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า เรื่องสำคัญ" ฟอลคอนบอก
ฟานิกอึกอัก "เรื่องอะไรหรือท่านออกหลวง"
หลวงสุรสาครยิ้มกริ่ม มองไปที่แม่มะลิ
หลวงสุรสาคร,ฟานิกนั่งประกันหน้ากันในร้าน ทั้งคู่พูดกัน ท่าทางเป็นการเป็นงาน
หลวงสุรสาครพยายามพูด อธิบายช้าๆ ตั้งใจพูด ฟานิกฟังอย่างตั้งใจเช่นเดียวกัน
ต่อมา อีกมุมหนึ่งในร้าน
ฟานิกบอกลูกสาว
"ออกหลวงสุรสาครบอกพ่อว่าเขารักเจ้า จะให้สังฆราชปัลลูมาสู่ขอ"
มะลินั้นสตั้นท์ไปแล้วเพราะตกใจ
"เจ้าจะว่าอย่างไรฤๅแม่มะลิ"
มะลิเสียงดัง
"ข้าไม่ยินยอมเป็นเด็ดขาด"
"ยังไม่ทันคิดไตร่ตรอง ลั่นวาจาเช่นนั้นมิเป็นคนฉลาดเลย"
มะลิทำหน้านิ่ง สักครู่
"ข้าไตร่ตรองแล้ว ตอบเหมือนเดิมพ่อท่าน"
"มีเหตุผลฤๅไม่"
"มีแน่นอนพ่อท่าน"
"คือเหตุผลใด"
"เกลียด !" มะลิเสียงเข้ม
ฟานิกอึ้งทันที
บุ้งพายเรือมาจอดท่าน้ำ ในเรือมีกับข้าวกับปลาผักหญ้าเต็มลำเรือ
"นังบุ้ง...เร็วสิเอ็ง จอดให้กรงๆท่าหน่อย" ปริกบอก
"ใยต้องรีบขนาดนี้"
"นังบุ้ง... เอ็งหน้าไม่โง่หรอก แต่หัวเอ็งน่ะมันโง่"
"ป้าปริกฉลาดจริงด้วย"
"จริงยังไง"
บุ้งยิ้มหวาน "ที่รู้ว่าข้าโง่"
ปริกร้อง “เฮ้อ” อ่อนใจ แล้วขึ้นจากเรืออย่างรวดเร็ว เดินเหมือนวิ่งจากไป
"เอ้า" ปริกหายไปแล้ว "กูขนคนเดียวอีกล่ะสิ เฮ้อ...รีบเข้า...รีบเข้า" บุ้งตะโกนไล่ตามหลัง "เดี๋ยวผู้อื่นจะชิงเล่าตัดหน้า"
ปริกหันไปตวาดแรง"อีบุ้ง"
ปริกทำท่าจะหันกลับไปลุย แต่เสียงคุณหญิงจำปา เรียกเสียก่อน
"ปริก"
ปริกชะงักตัว
คุณหญิงจำปายืนอยู่แถวนั้น
"มีอะไรกันฤๅ ปริก...มานี่"
ทางด้านหมื่นสุนทรเทวาเคาะประตูครู่หนึ่ง ประตูเปิด
หมื่นสุนทรเรียกเสียงเบา
"อีผินอีแย้ม นายมึงอยู่ในห้องฤๅ"
เกศสุรางค์เดินออกมาจากข้างๆประตู...สบตากับหมื่นสุนทรเทวา ต่างนิ่งกันไปอึดใจ เขินขัดทั้งคู่
เกศสุรางค์เป็นฝ่ายรู้ตัวก่อน "คุณพี่...ต้องการอะไรหรือคะ"
หมื่นสุนทรเทวายังงวยงงจ้องหน้า
"คุณพี่"
"ตามข้ามาสักประเดี๋ยว"
หมื่นสุนทรเทวาหันหลังกลับ เดินไป
"ไปไหนคะ"
บนแคร่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ปริกกระซิบกระซาบ ป้องปากเล่าให้คุณหญิงจำปาที่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
ที่ชานเรือน ออกญาโหราธิบดีจ้องหน้าลูกชายและเกศสุรางค์ คอยฟังอยู่ หมื่นสุนทรเทวาหน้าตาอึกอักนิดหน่อย
"วันก่อน"
เกศสุรางค์ใจหายวูบ ออกญาโหราธิบดียังคงจ้อง
"ข้าพาแม่การะเกดไปตีกระทะแบบใหม่ แลได้แวะที่ตลาดท่าเรือจ้างวัดนางชีครู่หนึ่ง"
ออกญาโหราธิบดีตั้งใจฟังอย่างยิ่ง
"เมื่อเลี้ยวหัวโค้งตรงตลาดน้ำ...เรือชนกันขอรับคุณพ่อ ข้าถูกเรือชนหัวจนจมน้ำสิ้นสติไป"
"อ้อ..." ออกญาโหราธิบดีทำหน้าให้พูดต่อ
"อ้ายจ้อยลากตัวขึ้นมาได้ แลแม่การะเกดก็ช่วยให้ข้าฟื้น เพราะเพ-ลานั้นข้าเหมือนตายแล้ว"
"ว่ากระไรนะ"
"แหมคุณพี่ ไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรข้าก็ได้ค่ะ เรื่องแค่นี้เอง" เกศสุรางค์ขยับตัว "หมดเรื่องแล้วใช่มั้ยคะ ข้าว่าจะชวนคุณพี่ไป"
"ให้คุณพ่อรู้จากปากข้า...ดีกว่าไปได้ยินจากผู้อื่น"
"อาจจะไม่มีใคร...พูด"
"คุณพ่อขอรับ...แม่การะเกดใช้ความรู้จากมิชชันนารีช่วยให้ข้าฟื้น"
ออกญาโหราธิบดียิ้มแย้ม "อ้อ...แม่การะเกดความรู้อักโขนะออเจ้า"
"แม่การะเกดเอาลมจากปากนางมาใส่ปากข้าขอรับ"
ตึ่ง ! ออกญาโหราธิบดีหน้าเหวอ ฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
"เจ้าค่ะ...คุณพี่หมื่นก็ฟื้นแล้ว จบเรื่องนะเจ้าคะ" เกศสุรางค์พยายามตัดบท
"ลมจากปากนางขอรับ" หมื่นสุนทรเทวาสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ออกญาดหราธิบดีคิดตามช้าๆ "ลม...จากปากแม่การะเกด...ใส่ปากพ่อเดช"
หมื่นสุนทรเทวาพยายามอธิบายแบบตั้งใจ "ขอรับ...นางเป่าเข้าไปในปากข้าขอรับ"
"พ่อยังมิเข้าใจ ไม่เคยเห็นใครทำฉะนั้น"
"ขอรับ...เป็นวิธีแบบมิชชันนารีขอรับ"
ออกญาโหราธิบดีทำหน้านึกภาพอย่างน่าขัน
"มันเป็นอย่างใดฤๅ"
ฝ่ายคุณหญิงจำปาได้ฟังความจากปริกก็ตกใจ เอามือทาบอก
"จริงรึนังปริก"
"เขาเล่าสู่กันหัวคุ้งท้ายคุ้งเจ้าค่ะ โอ๊ย บัดสีบัดเถลิงเจ้าค่ะแม่นาย ข้าเจ้าน่ะ ฟังแทบจะมิได้...มันอายแก่ใจเจ้าค่ะ"
ออกญาโหราธิบดีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเล็กๆ เหล่ๆ หน่อยๆ
"คุณพ่อ...เข้าใจแล้วนะขอรับ"
"เข้าใจอยู่...แม้ว่า...เอ้อจะยังมิชัดเจนนัก"
หมื่นสุนทรเทวาถอนหายใจ มองหน้าพ่อ กลุ้มใจ
ออกญาโหราธิบดีบอก "ความนี้คงลือกันทั้งพระนคร พ่อเดชคิดจักทำประการใด"
"ข้าคิดจักออกเรือนขอรับ"
เกศสุรางค์หันขวับไปมองหมื่นสุนทรเทวา...อ้าปากค้างตกใจ
"อ้อ...คิดเช่นนั้น ?"
"ขอรับ"
"คิดถี่ถ้วนแล้ว ?"
"ขอรับ"
"เดี๋ยว...เดี๋ยวเจ้าค่ะ" เกศสุรางค์จะค้าน
"กรองอยู่ทั้งคืน ?"
"ขอรับ"
ออกญาโหราธิบดีขยับปากจะพูดต่อ
"คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะคุณลุงเจ้าขา คนลือก็ปล่อยให้ลือไป เราไม่สนใจเสียอย่างจะกลัวอะไรเจ้าคะ อีกอย่างข้าก็ประกาศลั่นตลาดว่าช่วยชีวิต...ช่วยชีวิต ไม่ใช่เรื่อง...เอ่อ...น่าเกลียด เป็นเรื่องเล็กเจ้าค่ะ...เรื่องเล็กจิ๊ดเดียว ไม่ต้องออกเรือนหรอกเจ้าค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวาดุอย่างแรง "เงียบปากแม่การะเกด"
เกศสุรางค์หุบปากแทบไม่ทัน หน้าม่อย
"เรื่องนี้เป็นเรื่องผู้ใหญ่ควรหารือนะแม่การะเกด มิใช่เรื่องที่ออเจ้าจักเอ่ยสอดขึ้นมา ... พ่อเดช" ออกญาโหราธิบดีว่า
"ขอรับ"
"พ่อเดชอยากจะให้เป็นเพียงหมั้นหมายกันก่อนดีฤๅไม่"
เกศสุรางค์หน้าดีใจ ยิ้มออก ทำท่าจะพูด
แต่เสียงสูงของคุณหญิงจำปาก็ดังเข้ามา
"แม่การะเกด...แม่ตัวดี"
ทุกคนหันไป
คุณหญิงจำปาเดินเข้ามา นางปริกตามหลัง
"บัดสี...บัดสีเหลือทน ข้าเห็นจะทนไม่ได้แล้ว"
หมื่นสุนทรเทวาก้มหน้านิ่ง เกศสุรางค์ทำท่าจะพูด
"จักทำอย่างไรกับเจ้าดี กักขังในเรือนมิให้ออกไปสร้างเรื่องบัดสีบัดเถลิงน่าอับอายอย่างนี้อีก อะไรกันไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่ ทำอะไรหาใช้ความคิดไม่ ตั้งแต่มาอยู่เรือนนี้ทำแต่เรื่องน่าเกลียดน่าชัง เพลานี้ทำเรื่องน่าอับอายอีก ผู้หญิงทั้งพระนครมิเห็นมีว่าใครจะหน้าไม่อายอย่างเจ้า"
ตลอดเวลาหมื่นสุนทรเทวานิ่ง ออกญาโหราธิบดีนิ่ง แต่เกศสุรางค์นั้นทนฟังไม่ได้แล้ว
เกศสุรางค์เสียงแข็ง "คุณป้า ถ้าข้าไม่ช่วยคุณพี่ต้อง..."
"ข้ามิได้ให้ออเจ้าเอ่ยปาก จักกล่าวออกไปใยให้มากมาย กิริยาอย่างนี้เพราะมิมีใครอบรมสั่งสอน"
"คุณป้า"
"หยุด...อย่าเอ่ยคำใดอีก มิมีใครเขาทำกัน โต้เถียงผู้ใหญ่คำไม่ตกฟาก ดูพี่เจ้ารึนั่งเงียบเห็นฤๅไม่"
"เจ้าค่ะ" เสียงงึมงำ พลางเหลือบมองหมื่นสุนทรเทวาตาคว่ำ
หมื่นสุนทรเทวาทำหน้าปรามให้เงียบไว้ เกศสุรางค์สะบัดหน้าค้อนขวับ
ออกญาโหราธิบดีทอดเสียงนุ่มนวล "แม่การะเกด"
คุณหญิงจำปากดหน้าต่ำ มองสำรวจ อารมณ์ขุ่นมัว
"ลุงขอบใจเจ้ามากหนาที่ช่วยพ่อเดชให้ฟื้น ออเจ้ามิต้องกังวลไป หากแม้ชื่อเสียงของออเจ้าจักต้องเสียหาย ลุงจักให้พ่อเดชแก้ไขตบแต่งแก่ออเจ้า เพราะมิว่าแม่หญิงใดมีเรื่องเสียหายถึงเพียงนี้ย่อมถึงแก่ขายไม่ออก มิมีชายใดอยากได้เป็นเมียหรอกหนา"
เกศสุรางค์ทำหน้าปั้นยาก มองออกญาโหราธิบดีแบบจนปัญญา
"แม่จำปา...ให้หมั้นหมายไว้ก่อนดีฤๅไม่"
"ฮึ..."
หมื่นสุนทรเทวารับคำ"เช่นนั้นก็ดีนักขอรับ"
"ส่งกลับเมืองสองแควไปก่อนมิดีหรือคะคุณพี่"
หมื่นสุนทรเทวาที่กำลังก้มอยู่ เงยขวับนัยน์ตาวูบ
เกศสุรางค์หลุดปาก "ไม่ไปเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปามองนัยน์ตาคมกริบ
"พ่อเดช นางคนนี้ไม่มีกาละเทศะแท้ๆ คุณพี่ยังจะยอมรับเป็นสะใภ้หรือคะ"
"ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว มิเห็นความจำเป็นต้องเจรจาเรื่องเหล่านี้กันอีก"
ออกญาโหราธิบดีลุกขึ้นแล้วเดินไป
คุณหญิงจำปาหันมามองเกศสุรางค์แบบขุ่นมัวมาก
"ข้าขอรับประทานโทษขอรับคุณแม่"
"มิใช่ความผิดพ่อเดช"
คุณหญิงเดินจากไปเช่นกัน
เหลือเพียงสองคนที่นั่งนิ่งอั้น ในที่สุดเกศสุรางค์อดรนทนไม่ได้ พูดเสียงสั่น
"ข้าอยากจะกลับไปที่ที่ข้ามา"
หมื่นสุนทรเทวาหันมามองแบบจ้องอย่างลึกซึ้งมาก
ภาพร่างซ้อนของเกศสุรางค์แวบๆเข้ามาในสายตา
เกศสุรางค์ทั้งเสียใจทั้งแค้นใจ จ้องตอบ พูดเสียงเครือเต็มที่ น้ำตาเป็นเงาวับๆ
"ข้าอยากกลับบ้าน"
"ข้าไม่ให้กลับ" หมื่นสุนทรเทวาลุกแล้วเดินไปอีกคน
เกศสุรางค์นั่งงุนงง คิดอะไรไม่ถูก แต่ก็ซาบซึ้งในคำนั้น
คืนนั้น เกศสุรางค์ยืนที่หน้าต่าง มองพระจันทร์
“ข้าไม่ให้กลับ” เสียงของหมื่นสุนทรเทวาเข้ามาในความคิด
เกศสุรางค์พึมพำ
“จะไหวเร้อ...สู้กับแม่ตัวเองได้ป่ะล่ะ เฮ้อ เดี๋ยวแม่ลุกขึ้นมาเป็นสะใภ้ปฏิวัติซะเลย อ้อไม่ได้ เพราะเรามันคือสะใภ้ไร้ศักดินา... เอ มันมีสะใภ้อะไรอีกหว่า สะใภ้ลูกทุ่ง...ไม่ใช่ ละครสะใภ้มีตั้งเยอะ...อะไรอีกวะ”
เกศสุรางค์นอนคิด
“สะใภ้ปฏิวัติ...ได้ลือกันไปทั้งบาง เอ๊ะ แต่ว่า...” เกศสุรางค์ลุกว่องไว เดินผ่านผิน แย้มที่นอนหลับอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
เปิดประตูออกไป
บริเวณระเบียง เกศสุรางค์ออกมาจากห้อง มองไป
“นึกแล้วไม่ผิด”
หมื่นสุนทรเทวายืนมือไขว้หลังมองพระจันทร์ หน้าที่ลึกซึ้ง คิดถึงแม่ตัวแสบ
“ข้าอยากกลับไปที่ที่ข้ามา”
“ข้าไม่ให้กลับ”
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้าหวั่นไหว หลุดปากออกมา
“ไม่ให้กลับ”
เกศสุรางค์เอื้อมมือแตะที่แขนเบาๆ หมื่นสุนทรเทวาสะดุ้งสุดตัว หันขวับไป
เกศสุรางค์ถอยแล้วสะดุด เซไปสองก้าว หมื่นสุนทรเทวาขยับตัว
เกศสุรางค์เลยเซจนล้มก้นกระแทก ขากาง เงยหน้ามองหมื่นสุนทรเทวา
หมื่นสุนทรเทวาตอนนี้รู้ตัวแล้วว่า เคลิบเคลิ้มไปหน่อย ยืนมองเฉยๆ
“โห...เต๊ะได้ใจ”
“ลุกไหวฤๅไม่แม่การะเกด”
เกศสุรางค์แกล้งยื่นมือจะให้ช่วย พอหมื่นสุนทรเทวายื่นมือจะจับอยู่แล้ว เกศสุรางค์ก็หดมือ ลุกอย่างว่องไว
“ลุกไหวค่ะ”
หมื่นสุนทรเทวาหน้าเหรอหรานิดหน่อย
“คุณพี่...ข้าจะบอกอะไรอย่างหนึ่งค่ะ”
“อันใดฤๅ”
“คุณพี่ต้องบอกให้คุณป้ารู้นะคะว่า ถ้าข้าไม่ช่วยคุณพี่ด้วยวิธีนี้ คุณพี่ตาย”
หมื่นสุนทรเทวาอ้าปากค้าง
“คุณป้าว่าข้าสาดเสียเทเสีย...ข้าไม่ยอม”
หมื่นสุนทรเทวายังเหวอ
เกศสุรางค์ยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้าแบบออกคำสั่ง “อย่าลืม”
เกศสุรางค์เดินไปเลย หมื่นสุนทรเทวางงจนขำ
เช้าวันหนึ่ง เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้ว
เกศสุรางค์พลิกตัวตื่น
แล้วสะดุ้งสุดตัว กระเด้งตัวลุกอย่างเร็ว หน้าเหวอมาก
แล้วค่อยๆก้มดูบนเตียง
“ตายละวา...ลืมไปเลยว่า...ว่าต้องมีน่ะสิ พี่ผิน...พี่แย้ม ไม่อยู่ไปไหนเนี่ย”
ข้างนอกห้อง จ้อยถือหีบยศและหนังสือ 2-3 เล่มที่พับเหมือนใบลาน เดินจะออก
หมื่นสุนทรเทวาเดินมาจากห้องข้างใน เรียก “จ้อย”
“ขอรับ”
เกศสุรางค์วิ่งรวดเร็วผ่านไป ลงบันได
หมื่นสุนทรเทวามองตามงงงวย
“ท่านหมื่นขอรับ วันนี้จะไปดูลาดเลา”
“อ้อ...ใช่” หมื่นสุนทรเทวาพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ต้องอ้าปากค้าง
เกศสุรางค์วิ่งกลับมา ผิน แย้มวิ่งตามมาด้วย
“มีเรื่องใดเจ้าคะ” ผินว่า
“ใครว่าเจ้าคะ” แย้มว่า
เกศสุรางค์ทำมือให้รีบตามไปเร็วๆ
สามคนหายไปในห้องการะเกด
สองบ่าวจ้องหน้าเกศสุรางค์ รอคอยฟัง
“เมนส์มา”
สองบ่าวหน้าเหวอยิ่งกว่าเดิม
“ประจำเดือน”
“อะไรเจ้าคะ” ผินถาม
“เก๊าะ...ประจำเดือน...อ๋อ โอเค ข้ามี...เนี่ย” เกศสุรางค์ชี้ไปที่ที่นอน “ที่ผู้หญิงเขามีทุกๆเดือน
น่ะพี่”
“อ๋อออออ...นังแย้ม” ผินชี้ปั๊บ
แย้มลุกปุ๊บ “อานม้า” แย้มออกไป
“อะไรนะ”
“เอ๊า แม่นายลืมอีกฤๅเจ้าคะ มีระดูก็ต้องขี่ม้าสิเจ้าคะ”
“หา...ขี่ม้าเหรอ”
“เจ้าค่ะ...โอย นังแย้ม เร็วๆ แม่นายลืมสิ้นแล้วมึงเอ๊ย”
ผ้าเก่าแต่สะอาดผืนใหญ่ ประมาณ 50x50 ซม.
ผินพับทบเป็นทางยาว ส่งให้เกศสุรางค์ที่นุ่งผ้าคอยทีอยู่ แย้มถือผ้าที่ฉีกเป็นเส้นยาวๆไว้ผูก
“ทำไงเหรอพี่”
“ฮื้อ...แม่นาย ขี่ม้าสิเจ้าคะ”
เกศสุรางค์เสียงดังขึ้น “ขี่ไงเล่า”
สองคนยืนจับปลายผ้าคนละข้าง
แย้มเสียงเข้ม“ถอดผ้านุ่งออก ก้าวคร่อมผ้านี่”
เกศสุรางค์เข้าใจ “ฮ้า ต้องถอดเหรอ ไม่...ข้าไม่”
เกศสุรางค์หยุดกึก
เสียงเคาะประตูดังๆ
“อีผิน อีแย้ม”
“เจ้าขา”
“แม่นายมึงเป็นอะไร”
“อ๋อออ...แม่นายมี...”
เกศสุรางค์มือปิดปากผินทันที ส่ายหน้าไม่ให้บอก
“มิเป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ”
“ถ้าไม่เป็นอันใด มึงจงเปิดประตูเดี๋ยวนี้” หมื่นสุนทรเทวาเสียงเฉียบขาด
ผินขยับลุกขึ้นทันที เกศสุรางค์ยื่นขาไปขัดจนผินถลาคว่ำหน้า
“ว้าย...” ผินร้องเสียงดัง
แย้มร้องด้วย “ว้าย...ว้าย”
ประตูเปิดผางทันที หมื่นสุนทรเทวายืนหน้าเป็นห่วง
“แม่การะเกดเป็นอะไร”
“ไม่เป็นค่ะ สบายดี”
“นังผินนังแย้มออกมาข้างนอก กูจะโบยมึงฐานส่งเสียงหวีดว้ายหนวกหู”
สองบ่าวหน้าเหวอมาก...น่าขำ
“คุณพี่”
“ออกมา...ยังอีกฤๅ อีบ่าวสองคนนี้วอนนะมึง”
เกศสุรางค์ลุกขึ้นเดินปราดเปรียวไปที่ตัวหมื่นสุนทรเทวา
“คุณพี่นั่นแหละค่ะออกไป นี่ห้องส่วนตัวนะคะ ข้ามีเรื่องทำกับพี่สองคน คุณพี่ไม่เกี่ยว” เกศสุรางค์ยันอกให้ออกไปและปิดประตูทันที “เฮ้อ... คนกำลังจะขี่ม้าอยู่เชียว มาพี่...ไหนล่ะม้า...จูงมาเลย”
หมื่นสุนทรเทวา จ้องมองที่หอนอนของการะเกดตาไม่กระพริบ สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
เกศสุรางค์เปิดประตูห้องออกมา เดินตรงมาที่หมื่นสุนทรเทวา
หมื่นสุนทรเทวามองแบบพิศวงอึดใจหนึ่ง
เกศสุรางค์ฉุกใจ “คุณพี่... เป็นอะไรคะ”
“ออเจ้าสิแม่การะเกด เป็นอะไรฤๅ”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ”
“แล้วเหตุใด...ออเจ้าถึงเดินเหินอย่างนั้น”
“อย่างไหนคะ”
หมื่นสุนทรเทวาเหลือบมองขาเกศสุรางค์ เกศสุรางค์ก้มลงมองด้วย
เกศสุรางค์ยืนขาถ่างแยกไปจากกัน หน้าตาน่าขำมาก
“เจ็บตรงไหนฤๅ จึงเดินเหินไม่ถนัด”
เกศสุรางค์นึกออกแล้วใจหายจะตอบอย่างไรดี “เอ่อ... “ เหลียวมองหาผู้ช่วย หน้าตาเหยเก
หมื่นสุนทรเทวาเข้ามารวดเร็ว“เจ็บจริงหรือ”
“อย่าค่ะ...หยุดตรงนั้น” เกศสุรางค์ยกมือห้าม “ข้าไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ข้าจะกลับห้องแล้วนะคะ”
“เดินไหวฤๅมิไหว”
“ไหวค่ะ...โอ๊ย พี่ผินพี่แย้ม” เกศสุรางค์พึมพำ
“แม่นาย อยู่ไหน ตายแล้วนังแย้ม แม่นายออกไปข้างนอก”
สองบ่าวเปิดประตูออกมา ผินยังพูดอยู่
“พี่..”.
สองคนวิ่งพรวดมา หน้าตาตกใจ
“อย่าตกใจ แค่พาข้ากลับไปห้อง”
ผิน/แย้มตกใจถาม “เป็นอะไรเจ้าคะ”
เกศสุรางค์เสียงดัง “บอกให้พากลับห้อง”
ในห้อง เกศสุรางค์นั่งขาถ่าง
“เวรกรรมของคนสวยจริง...จริ๊ง”
ผินเสียงดุ
“ออกไปทำไมเจ้าคะแม่นาย คนมีระดูเขาไม่ออกไปข้างนอก ต้องอยู่แต่ในหอนอน”
“ทำไมล่ะ”
แย้มบอก “แม่น๊าย...เดินขาถ่างอย่างนี้จะให้ใครเห็นเจ้าคะ”
“อีกทั้งหากเลือดระดูไปเปื้อนตอนอยู่ข้างนอกจักพากันอับอายไปเสียอีก”
“อ้าว เวลามีระดูก็ทำอะไรไม่ได้เลยสิ”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ...แล้วคนก็ไม่เห็นหน้าเราสิตั้งสามวันแน่ะ”
“บอกเขาว่าเราขี่ม้าอยู่ เขาก็รู้แล้วเจ้าค่ะ แต่อย่าบอกว่ามีระดูหนาเจ้าคะ”
เกศสุรางค์หัวเราะกิ๊ก
“ขี่ม้าเท่ากับมีระดู แล้วถ้าขี่ม้าจริงให้พูดว่าไงพี่”
ผินตีขาเกศสุรางค์แรงๆทีหนึ่ง หัวเราะจนน้ำหมากหยด
“อู๊ย...แม่นายก็..”
สามคนหัวเราะกันดังลั่น
หมื่นสุนทรเทวาได้ยินเสียงหัวเราะ หันไปดู แล้วยิ้มบางๆอย่างนึกเอ็นดู
อ่านต่อตอนที่ 11
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
(ภาพจาก อินเตอร์เน็ต)
ขี่ม้าซับระดู : (APRIL 29, 2015 นางญาณภา สมนึก - การจัดการความรู้ภายใน หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
"คนโบราณเรียกผ้าอนามัยว่า “ผ้าขี่ม้า” ตามการใช้งานที่ต้องใส่เหมือนกับการขี่ม้า และเรียกช่วงเป็นประจำเดือนนี้ว่า “ถึงผ้า” บ้างก็ใช้ กาบมะพร้าวทุบ หรือนุ่น หรือแกลบมาสอดใส้ในเนื้อผ้าและเย็บให้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะมีเชือกกล้วยผูกระหว่างหัวท้ายก่อนนำมาผูกติดเอว เมื่อจะใช้งานก็จะวางสอดใต้ขาก่อนนุ่งโจงกระเบน หรือใช้เศษผ้ายาวๆ ผูกกับเอวเอาไว้ เหมือนเป็นการนุ่งผ้าเตี่ยวที่ซูโม่เค้านุ่งกัน เมื่อมีเวลาว่างคราวใด สาวๆก็ต้องเตรียมผ้าขี่ม้าไว้ใช้ในแต่ละเดือน ถ้าสาวคนไหนทำผ้าขี่ม้าไม่เรียบร้อย ก็จะทำให้โจงกระเบนหย่อนลงมาดูแล้วไม่สวย ยิ่งเป็นสาวๆชาววังด้วยแล้วจะยิ่งเน้นความประณีตเรียบร้อยในการทำผ้าขี่ม้าเป็นพิเศษ โดยนำผ้ามาซ้อนทับกันแล้วเย็บเก็บไว้ใช้งาน
สาวๆเริ่มจะสบายตัวมากขึ้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 6 เมื่อเริ่มมีผ้าอนามัยแบบสำเร็จรูป เรียกว่า “ผ้าซับระดู” ซึ่งมีราคาขายเพียงสามบาทต่อหนึ่งโหล ซึ่งมีหลักฐานเก่าแก่สุดที่พบ เป็นโฆษณาขายผ้าซับระตู หรือ ผ้าซับระดูในหนังสือ “ข่ายเพ็ชร์” ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2468 จึงคาดว่าผ้าอนามัย น่าจะเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 หรือกว่า 100 ปีมาแล้ว
พอมาถึงปี พ.ศ. 2485 หญิงไทยก็เริ่มสัมผัสกับ “ผ้าอนามัย” แบบห่วงยี่ห้อโกเต๊กซ์ ที่มีสายตะขอและสายคาดเอวเกี่ยวกับห่วงสองข้าง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดที่ไม่กระชับกับลำตัว แต่ยังใช้ในหมู่ของหญิงที่มีฐานะเท่านั้น มาใช้กันอย่างแพร่หลายจริงๆ ก็เมื่อประมาณ 70 ปีก่อน
ต่อมาไม่ถึง 50 ปี สาวไทยเริ่มสัมผัสกับความสบายมากขึ้น เมื่อเริ่มมีผ้าอนามัยแบบใหม่ที่มีแถบกาวและมีปีก สร้างความสะดวกให้สาวไทยยิ่งนัก นับเป็นความโชคดีของสาวไทยยุคใหม่ที่ไม่ต้องนั่งทุบกาบมะพร้าวเหมือนสาวสมัยก่อน
ที่มา
ศิริญญา สุจินตวงษ์. ๑๐๐ เรื่องล้ำสมัยในสยาม. กรุงเทพฯ : อมรินทร์, 2554
หญิงสยามกับวันนั้นของเดือน. สืบค้นเมื่อ วันที่ 25 เมษายน 2558
จาก http://nongza.exteen.com/20100114/entry-1
ชายน์ ทิปส์.ย้อนยุคผ้าอนามัย ตั้งแต่สมัยคุณยาย คุณย่า. สืบค้นเมื่อ วันที่ 25 เมษายน 2558
จาก http://www.sofyclub.com/th/th/library/basic/010.html