บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 5
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
หมื่นสุนทรเทวาเดินตัวตรงองอาจมาที่บันไดขึ้นเรือน กำลังจะก้าวขึ้นบ้าน
เกศสุรางค์ไม่ยอมแพ้ เดินตามมาเร็วๆ แล้วเข้าขวาง
หมื่นสุนทรเทวามองนัยน์ตาเข้ม
"คุณพี่..."
"ออเจ้าหลีกไป...อย่าตอแยให้ผิดวิสัยหญิง น่ารังเกียจเหลือทน"
"เฮ้อ..." เกศสุรางค์เสียงหงุดหงิดเต็มที่ "อะไรหนักหนาวะ"
หมื่นสุนทรเทวามองหน้า "หลีก"
เกศสุรางค์หลีกไปโดยดี อ่อนใจเต็มที่
เกศสุรางค์เดินพรวดเข้าห้อง "พี่ผิน...พี่แย้ม"
ผิน/แย้มขานรับ "เจ้าคะ"
"มาเย็บกางเกงในกันดีกว่า"
ผิน/แย้มพร้อมกัน "กางเกง"
"เอ่อ...ใน" ผินว่า งงงง
"ฤาเจ้าคะ" แย้มว่า
"ใช่สิ งงอะไรอยู่ ไปเอาผ้ามา"
"ผ้าหรือเจ้าคะ"
"ใช่...ผ้า"
"ผ้าอย่างไรเจ้าคะ"
"ผ้ามาเย็บกางเกงในไงล่ะ...ถามได้...มาเร็วๆ"
หน้าสองคนเหวอมาก
"ว่าไง...ดีกว่าอยู่เปล่าๆนะพี่ เอ้า หยิบผ้าที่ข้าเลือกไว้วันก่อนน่ะ...สีแดงนะ"
เย็นวันนั้น สามคน พ่อ แม่ ลูก นั่งล้อมสำรับ ออกญาโหราธิบดีคุยกับลูกชาย
คุณหญิงจำปาจัดจาน จัดขันน้ำที่ปริกเอามาส่งให้
"แม่การะเกดยังไม่ออกมา นังปริกเอ็งไปตาม บอกว่าออกญาท่านรอนานแล้ว"
"เจ้าค่ะ" ปริกคลานไป
"ข้ามีเรื่องเรียนคุณพ่อ"
"เรื่องอะไรรึพ่อเดช"
"คอยแม่การะเกดออกมา ข้าจะพูดในคราวเดียว"
ในห้อง ตอนเย็นต่อเนื่อง เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาเย็บกางเกงในสีแดง
“วันนี้ไดเอ็ท ไม่กินข้าว”
เงียบกริบ...
เกศสุรางค์หันไปมอง ทั้งผิน แย้ม ปริก สีหน้างวยงง มองหน้าเกศสุรางค์
“บอกแล้วไงล่ะ ไปสิ รออะไรอยู่”
“คุณหญิงท่านให้ไป” ปริกบอก
“พี่ผิน พี่แย้ม ช่วยร้อยด้ายให้ข้าอีกหน่อยนะ มันสั้นไป”
ปริกกลับมา รายงาน
“แม่หญิงว่าไม่รับทานเจ้าค่ะ”
คุณหญิงจำปาถาม “ทำไม”
“เพราะวันนี้โดนเอ็ดเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ”
“โดนเอ็ดเจ้าค่ะ”
“ใครเอ็ด”
“ก็...คุณหญิงเอ็ดไงเจ้าคะ ท่านหมื่นก็เอ็ดด้วย ข้าได้ยิน ใครๆก็ได้ยิน”
หมื่นสุนทรเทวาหันไป
“เมื่อก่อนโดนเอ็ดอย่างนี้บ่อยๆ นางไม่เคยเป็นอารมณ์”
หมื่นสุนทรเทวาหันไปพูดกับพ่อ
“เพราะนางดื้อด้านเหลือทน”
เกศสุรางค์เดินเข้ามาเร็วๆ คลานสองสามทีแล้วมานั่ง
“นังปริก เอ็งว่าอะไรข้า”
ปริกจ๋อยเหมือนกัน
“ก็ว่า...ความจริง ว่าแม่หญิงไม่รับประทาน”
“เพราะอะไร”
“ออเจ้าจะหาเรื่องบ่าวทำไม มันพูดตามคำของออเจ้า”
เกศสุรางค์สวนทันที “ว่ายังไงคะ”
“ทีหลังอย่าสวนผู้ใหญ่อย่างนี้...เป็นกิริยาเลวมาก” คุณหญิงบอก
เกศสุรางค์นิ่งอึดสักครู่
“ข้าไม่หิว จึงบอกนังปริก...ข้าเห็นแล้วว่ามันน่ะรีบออกมา ข้าก็เลยเดาว่ามันจะต้องมาเพ็ดทูลอะไรแน่นอน...จริงมั้ย นังปริก”
“ข้าเจ้าก็บอกเหมือนที่แม่หญิงบอก”
“ก็บอกว่าอะไรเล่า”
“บอกว่าโดนเอ็ดไงเจ้าคะ” ปริกสวนเสียงดัง
“โดนเอ็ด...เป็นบ้าไปเหรอ โดนเอ็ดไม่เห็นต้องอดข้าว”
“ต้องยังไงถึงจะอดข้าว”
เกศสุรางค์หันมาทางหมื่นสุนทรเทวา จ้องจนสบตากันนิ่ง
“ข้าไม่ได้พูดว่าโดนเอ็ด ข้าพูดว่าไดเอ็ท”
ทุกคนนิ่ง
“นั่นไงเจ้าคะ ไหนว่าไม่ได้พูดไงเจ้าคะ”
เกศสุรางค์ฉุกใจนิดๆในหน้าว่าจริงด้วย แต่ยังปากแข็ง
เกศสุรางค์เสียงอ่อยลง“ก็มันไดเอ็ท”
“นั่นไง เอ็ดอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“ไดเอ็ดของเจ้า มันหมายว่าอย่างใดกันเล่า ถ้าไม่ใช่โดนเอ็ด” คุณหญิงเสียงตวาด
“เอาล่ะแม่จำปา อย่าสาวความยืดเลย...กินข้าวเถอะ” ออกญาโหราธิบดีบอก
“ข้าข้องใจคุณพี่”
“ข้องใจทีหลัง เวลานี้ถึงเวลากิน พูดมากความไป ข้าจะต้องอดฤๅไม่มื้อนี้”
เกศสุรางค์เหลือบตา สบตากับหมื่นสุนทรเทวาแรงๆ
เกศสุรางค์เปิบข้าวใส่ปากอย่างแคล่วคล่องไม่มีหก
“แม่การะเกดขอให้สวดมนต์กฤษณะกาลีอีกขอรับ คุณพ่อ”
มือเกศสุรางค์ชะงักกลางอากาศ
“เพราะเหตุอันใดฤๅพ่อเดช”
หมื่นสุนทรเทวามองมา เกศสุรางค์วางข้าวคำนั้นลง
“แม่การะเกด”
“เพราะว่าทั้งคุณป้า ทั้งคุณพี่ คิดว่าข้าเป็นผีมาสิงแม่การะเกดเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ ยังจะพูดเรื่องนี้ซ้ำซากกันอีกรึ”
“เจ้าค่ะ สวดไล่ข้าเถอะค่ะ ข้าทนไม่ได้ข้าจะไป”
“ออเจ้าพูดจายโสโอหังนัก คุณพี่เจ้าคะ”
“นั่นสิแม่การะเกด ออเจ้าเพลาๆฝีปากลงบ้างนะ”
“เจ้าค่ะ”
“ว่ายังไงพ่อเดช” ออกญาโหราธิบดีถาม
“ข้าสุดแท้แต่คุณพ่อขอรับ”
“มนต์กฤษณะกาลีมิใช่ของเล่น นึกจะสวดก็สวดเพรื่อไป หากไม่มีเหตุบังควร มนต์นี้อาจหวนกลับทำร้ายคนสวดได้”
“โอ...จริงหรือเจ้าคะ”
“เป็นเช่นนั้น”
“งั้นคุณลุงไม่ต้องสวดหรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าไม่ใช่ผี ข้าคือเกศสุ...เอ้อ การะเกด ตัวจริงเสียงจริงเจ้าค่ะ”
คุณหญิงจำปามองเหล่ เสียงเขียว
“จะพูดจะจาฟังชอบกล...อะไรของออเจ้า...ฮึ”
ออกญาโหราธิบดียกมือห้าม
“ออเจ้าไม่เป็นอันใดจากมนต์คราที่ผ่านไป เพราะออเจ้าไม่ได้ฆ่าอีแดง ฉะนั้น...”
ออกญาโหราธิบดีมองจ้องเกศสุรางค์ เธอสบตา รับรู้ รู้สึกในความเมตตา
“ครานี้...ลุงเชื่อเจ้า”
เกศสุรางค์มีน้ำตาคลอนิดๆ กราบลงใกล้เข่าท่านออกญาโหราธิบดี
ออกญาโหราธิบดีวางมือบนหัวนิ่งอยู่อึดใจ
เกศสุรางค์สะอื้นออกมาทันที ป้ายน้ำตา แล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
สามคนนิ่งอึ้ง
“พ่อเดช”
“เป็นอย่างที่คุณพ่อตัดสินขอรับ งามแล้วขอรับ”
เวลาต่อเนื่องมา เกศสุรางค์ร้องไห้เงียบๆ นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปไกลๆ
กางเกงที่ตัดไว้ ยังวางเกลื่อนพื้น
ผิน แย้มนั่งจับเข่า
เกศสุรางค์คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงยาย น้ำตาไหลพรากๆ
บ่าวสองคนเขยิบมาใกล้ จับปลายเท้า
“แม่นายเจ้าขา ร้องไห้ใยกันเจ้าคะ” ผินว่า
“บอกบ่าวเถิดเจ้าค่ะ ปัดเป่าได้จะได้ปัดเป่าให้นะเจ้าคะ” แย้มว่า
เกศสุรางค์ลงจากตั่งนั่งพื้น เข้ากอด
สองคนกอดตอบปลอบโยน
เกศสุรางค์เช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืน
วงสำรับอาหารคุณหญิงจำปากำลังเล่าให้ออกญาโหราธิบดีฟัง
หมื่นสุนทรเทวาเสริมนิดหน่อย
ออกญาโหราธิบดี หน้าตาครุ่นคิด
“ถึงมนต์จะไม่ทำอะไรนาง หรือคุณพี่จะพูดว่ากระไร ข้าแน่ใจว่านางถูกผีเข้า”
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกแม่จำปา นางแค่เพี้ยนไปด้วยมนต์กฤษณะกาลี ค่าที่นางประสงค์ร้ายต่อแม่หญิงจันทร์วาดอยู่แต่ก่อนแล้ว แต่นางมิได้คิดเข่นฆ่า เรือนั้นล่มด้วยเหตุอันสุดวิสัยกระมัง”
“คุณพ่อทราบแน่ชัด หรือกล่าวให้พ้นเรื่องไปขอรับ”
ออกญาโหราธิบดีหันมามองลูกชาย
“นางวิปลาสไปจริงๆขอรับ”
เกศสุรางค์ที่แอบฟังอยู่ หน้าหงิกทันที พึมพำ “เชอะ หาว่าบ้าเรอะ”
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกพ่อเดช นางจะทุเลาขึ้นเรื่อยๆ เชื่อคำพ่อเถอะ”
“คุณพ่อแน่ใจได้อย่างไรขอรับ ฟังคำพูดคำจา นางวิปลาสแน่นอน”
“พ่อดูลูกตาของนาง”
“ดูตานาง”
“ใช่ ลองดูสิพ่อเดช ลูกนัยน์ตาของแม่การะเกดบอกพ่อว่า นางพูดเรื่องจริง”
เกศสุรางค์ มองออกญาโหราธิบดีอย่างประทับใจ
เรือนออกญาโหราธิบดี อีกวันหนึ่ง
ออกญาโหราธิบดีนั่งเขียนหนังสือ ทนายหยิบจับอะไรบางอย่างตรงนั้น เกศสุรางค์ชะโงกมาดู
เห็นไม่มีคน จึงเดินเร็วๆเข้าไปที่ออกญาโหราธิบดี นั่งลง เล่นเอาท่านตกใจเล็กๆ
“แม่การะเกดมีเรื่องร้อนอันใด”
“ไม่มีเรื่องร้อนอันใดเจ้าค่ะ ข้าเพียงอยากคุยกับคุณลุงเจ้าค่ะ”
“อยากคุยกับลุงฤๅ เรื่องอันใด” น้ำเสียงและแววตาของออกญาโหราธิบดีแสดงว่าใจดี
“วันก่อนคุณลุงบอกว่าคุณลุงเชื่อข้า...ทำไมคุณลุงจึงเชื่อข้าล่ะเจ้าคะ”
ออกญาโหราธิบดีมองการะเกดด้วยสายตาเห็นใจและเมตตา
“ข้าเชื่อออเจ้ามิเป็นการดีฤๅ ใยต้องรู้ว่าเพราะเหตุใด”
เกศสุรางค์มองตอบด้วยสายตาซาบซึ้งน้ำตาคลอๆ
“คุณลุงไม่รู้หรอกเจ้าค่ะว่าคุณลุงช่วยข้าไว้ เพราะข้ากำลังจะจมน้ำอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
โหรามองนิ่งๆสักครู่
“แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต่อไปออเจ้าต้องช่วยตัวเอง หวังให้ผู้ใดช่วยตลอดมิได้หรอกหนา”
“เจ้าค่ะคุณลุง”
“ออเจ้ามาจากดินแดนแสนไกล”
เกศสุรางค์ตกใจ “คุณลุง”
“มาอยู่ที่ใหม่มีแต่คนแปลกหน้าที่เขาจ้องจะเกลียดชัง ถ้าทำสิ่งใดที่เขาเกลียดชังเพิ่มขึ้น เช่นนั้นเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนโง่”
เกศสุรางค์อึ้ง ทึ่ง ความตื้นตันขึ้นมาในใจจนรู้สึกจุก น้ำตาเต็มตา กราบลงไปตรงหน้า
ออกญาโหราธิบดีลูบผมเบาๆ
ที่ท่าน้ำ เกศสุรางค์นุ่งกระโจมอก ขมวดผ้าตรงหน้าอกหลายทบจนหนาเตอะ
ผินกับแย้มเตรียมเครื่องอาบน้ำหัวชนกันสองคน
เกศสุรางค์นั่งทอดสายตาไปตามลำน้ำ เห็นความเขียวชอุ่ม น้ำใสไหลเอื่อยๆ ไกลไปหน่อยเด็กกระโดดน้ำ มีเรือ 2-3 ลำพายช้าๆ ผู้คนในเรือที่สวนกันทักทายกันเบาๆ
เกศสุรางค์หน้าพริ้มละมุนละไม
หมื่นสุนทรเทวาจะมาอาบน้ำชะงักกึก หลบหลังพุ่มไม้ แล้วจ้องดู
เห็นเกศสุรางค์หน้าผ่องใส มองไปตามสายน้ำ ขาก็ตีน้ำเล่นเบาๆ สักครู่เห็นเกศสุรางค์หน้าเศร้า...เศร้าขึ้น และเหมือนร้องไห้
หมื่นสุนทรเทวาจ้องมอง...แปลกใจ
เกศสุรางค์...คิดถึงบ้านอีกแล้ว
พระบิณฑบาต ตอนเช้า เกศสุรางค์ร่างอ้วนท้วม ยายนวล และสิปางใส่บาตร
คุณยายนั่งกรวดน้ำอยู่หน้าบ้าน เกศสุรางค์รับโถน้ำไปเท
คุณยายพับดอกบัว แม่สอนเกศสุรางค์เย็บผ้า เกศสุรางค์เย็บได้เรียบร้อย
ทั้งสามคนกินข้าว เกศสุรางค์จะตักข้าวอีก แม่ตีมือเบาๆ เกศสุรางค์หัวเราะแหะๆกับแม่
แม่พูด 2-3 คำ...สอน หันมาดูจานข้าว คุณยายตักให้เรียบร้อยแล้ว แม่ขมวดคิ้วใส่คุณยาย คุณยายหน้าจ๋อยๆ เกศสุรางค์หัวเราะอ้าปากกว้าง...ชอบใจ
ยายนวลกับแม่นั่งเศร้ามาก อยู่คนละทาง จับเจ่าทั้งคู่
คุณยายซับน้ำตา
“คุณแม่คะ”
คุณยายหันมา หน้าบิดเบี้ยว น้ำตาไหลเงียบๆ
“คุณแม่” สิปางเข้าไปใกล้ โอบร่างคุณยายมากอด
ยายนวลสะอื้น “แม่คิดถึงหลานเหลือเกิน”
บ่าวคนอื่นๆอาบน้ำอยู่ท่าโน้น...เห็นไกลๆ
เกศสุรางค์ ก้มหน้าเช็ดน้ำตาอยู่ไปมา
หมื่นสุนทรเทวาเพ่งมอง
ผินถาม “แม่นาย ร้องไห้ใยกันเจ้าคะ”
“เป็นอะไร ไม่สบายฤๅเจ้าคะ” แย้มถาม
“เปล่า” เกศสุรางค์ยื่นแขนให้
สองคนใช้รังบวบอันใหญ่จุ่มมะขามเปียกผสมขมิ้น ไพล และดินสอพอง ถูแขนคนละข้าง
“อะไรมั่งเนี่ย”
ผินบอก“มะขามเปียก”
“ว่าแล้ว...เปรี้ยวปากเลยพี่...ใส่อะไรอีก”
แย้มบอก “ขมิ้น ไพล กับดินสอพองเจ้าค่ะ”
“เอาเลย ขัดกันให้พอใจ หนังไม่หลุดอย่าหยุดแล้วกัน”
สองบ่าวหัวเราะคิกคัก
หมื่นสุนทรเทวาจ้องอยู่ ไม่ได้ยินเสียง เห็นแต่ท่าทาง
เกศสุรางค์มองไป
“พวกบ่าวอาบตรงโน้นเหรอพี่”
“เจ้าค่ะ บ่าวกับนายอาบคนละท่าเจ้าค่ะ”
“แบ่งชนชั้น...เฮ้อ เป็นตั้งแต่ดึกดำบรรพ์”
“อะไรเจ้าคะ” แย้มถาม
“เปล่า...พูดกับตัวเอง”
สองบ่าวชำเลืองดูกันนิดหน่อย แล้วตักน้ำราดตัวให้อยู่ไปมา ขัดสีฉวีวรรณไปด้วย
“เอ๊ะพี่...มีคนมาแอบดูมั้ยเวลาอาบน้ำ”
“มีเจ้าค่ะ พวกผู้ชายห่ามๆ มีเยอะเจ้าค่ะ”
สองคนพูดไป ยิ้มเอียงอายเห็นฟันดำเป็นมันขลับ
เกศสุรางค์ขำจนหัวเราะออกมาดังลั่น
“ตายแล้วแม่นาย” ผินว่า
แย้มบอก “มิบังควรหัวร่อดังปานนี้เจ้าค่ะ”
“คนจักก่นว่าหัวร่อดังม้าล่อ”
เกศสุรางค์หัวเราะดังขึ้น “อ้าว...ซะงั้นเหรอ”
หมื่นสุนทรเทวายืนในพุ่มไม้วับแวม
เกศสุรางค์กระซิบกระซาบ “ต้องเก็บเสียงใช่มั้ย”
สองคนพยักหน้า
“ท่านี้ใครอาบมั่ง”
“นายๆทุกคนเจ้าค่ะ เอาล่ะ นังแย้มเก็บของ...เสร็จแล้วเจ้าค่ะ แม่นายลงน้ำล้างตัวสิเจ้าคะ”
เกศสุรางค์ลงไป ดำหายไป แล้วกลับขึ้นมานั่งพัก
“ผลัดผ้าสิเจ้าคะแม่นาย” แย้มบอก
เกศสุรางค์ผลัดผ้าเสร็จแล้ว ยังแกว่งเท้าไปมา นัยน์ตาเหลือบไปอีกแวบหนึ่ง
สองคนเก็บของเสร็จเรียบร้อย หันมาทางเกศสุรางค์
“พี่ขึ้นไปก่อนนะ ข้าขอนั่งเล่นแป๊บ”
ผิน/แย้มเหวออีก อะไรคือ แป๊บ !?
“เอ่อ...สักครู่”
“เจ้าค่ะ”
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้าขุ่นมัว หลบไม่ให้เห็นเมื่อสองบ่าวเดินผ่านมา
เกศสุรางค์ หัวเราะฮิฮะอยู่คนเดียวอย่างสะใจ
ผู้ชายพายเรือผ่านมาใกล้ฝั่ง ส่วนเรือลำอื่นๆอยู่ไกลออกไป
ชายสองคนจ้องเกศสุรางค์ที่โบกมือให้ด้วยกิริยาสาวสมัยนี้
คนในเรือยกพายค้างกลางอากาศ หน้าเหรอหรา เหลียวมองจนเสียหลักตกน้ำดังตูมใหญ่
เกศสุรางค์หัวเราะขำมาก
พระอาทิตย์ใกล้ตกเต็มที ณ บริเวณบันไดขึ้นเรือน
เกศสุรางค์เดินหน้าตาครึ้มอกครึ้มใจ ฮัมเพลงปัจจุบันในคอ ตักน้ำล้างเท้า แล้วขึ้นบันได แล้วชะงัก กึก
หมื่นสุนทรเทวายืนมอง หน้าขรึมนิ่ง
“ขอโทษค่ะ...ขอทางหน่อย”
หมื่นสุนทรไม่เข้าใจความหมาย ขมวดคิ้ว “ว่ากระไร”
“ข้าจะขึ้นเรือนค่ะ หลีกทางให้ข้าหน่อยค่ะ”
หมื่นสุนทรเทวาเสียงเข้ม “ออเจ้ายิ้มในหน้า คิดสิ่งใดฤา”
“ทำไมต้องบอกล่ะคะ”
หมื่นสุนทรเทวาเหวอเป็นครั้งที่ร้อย แต่รีบเก็บอาการโดยเร็ว
“กิริยาเมื่อครู่น่าเกลียดเหลือทน ออเจ้าไม่รู้ฤาว่าเป็นสตรีไม่พึงบังควรโบกมือโบกไม้ให้ผู้ใด”
เกศสุรางค์อ้าปากจะพูด “ก็...”
“วันก่อนออเจ้าโบกมืออย่างนี้กับทหารที่ป้อมเพชร อีกหน่อยคงโบกให้คนทั้งพระนคร”
เกศสุรางค์โกรธจนขำ หัวเราะอย่างอ่อนใจ
“กิริยาเช่นนี้อีก ออเจ้าว่า มิใช่วิญญาณพเนจรมาสิงสู่ร่างแม่การะเกด ออเจ้าก็ต้องไม่มีกิริยาวาจาแปลกประหลาดราวกับมาจากป่าหิมพานต์”
“ป่าหิมพานต์เหรอคะ คุณหมื่น เอ๊ย คุณพี่รู้จักป่าหิมพานต์ด้วยหรือคะ”
หมื่นสุนทรเทวาหน้าเครียดๆ แล้วเดินไปทางท่าน้ำทันที
เกศสุรางค์ทำท่าหลอกๆตามหลัง
หมื่นสุนทรเทวาหันขวับมา เกศสุรางค์หยุดกึก
หมื่นสุนทรเทวาหันกลับไป
“เอาไฟมั้ยคะ มืดแล้วน้า”
หมื่นสุนทรเทวาเดินหายไป
“ระวังตกน้ำนะคะ” เกศสุรางค์หัวเราะเล่นๆในคอ
สีหน้าหมื่นสุนทรเทวาหงุดหงิด ยืนนิ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นระทึกใจเล็กๆ มีเสียงหัวเราะของเกศสุรางค์ยังดังแผ่วๆอยู่
ในห้อง ตอนค่ำต่อเนื่อง
เปลวเทียน สาดแสงลงที่เกศสุรางค์นั่งเย็บกางเกงในตัวหลวมๆ สีแดงก่ำ เธอยกกางเกงที่เย็บเสร็จ ชูให้สองบ่าวดู
สองบ่าวยิ้มแบบแหยๆ งงๆ
เกศสุรางค์นอน สองบ่าวนวดขาคนละข้าง เกศสุรางค์ครางงึมงำ “สบายจัง...”
เกศสุรางค์นอนคว่ำ สองบ่าวยังนวดอยู่ เกศสุรางค์คราง “โคตรสบายเลย...”
สองบ่าวเหน็บมุ้ง ผินไปที่ตะเกียง
“วันพรุ่งแต่งตัวแต่ย่ำรุ่งนะเจ้าคะ”
“อือม์... ไปหนายเหรอ”
“งานบุญบ้านออกญาโกษาธิบดีเจ้าค่ะ ท่านพ่อของแม่หญิงจันทร์วาด” ผินบอก
เกศสุรางค์ลืมตาพลัน...คิดสักครู่ กระโดดลุกนั่ง
“ออกญาโกษาธิบดีที่ชื่อเหล็ก ใช่มั้ยพี่ หรือชื่อปาน ที่เป็นน้องน่ะ”
ผินบอก “เหล็กเจ้าค่ะ ขุนปานที่เป็นน้อง อีกคนเจ้าค่ะ”
“ดีจัง...ได้เห็นตัวจริงแล้ว โกษาเหล็ก โกษาปาน”
ผินหรี่ตะเกียง แสงไฟหรี่ลง
“ย่ำรุ่งพรุ่งนี้เหรอพี่”
ไฟดับจนสนิท
บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 5 (จบตอน)
เช้าตรู่ พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นยอดไม้
เกศสุรางค์ยืนสีฟันริมระเบียง เสร็จเรียบร้อย
หมื่นสุนทรเทวายืนอยู่หลังเสา แอบมองอยู่ แล้วตาโตอ้าปากค้าง
เกศสุรางค์ยืนกางขา แล้วออกกำลังกายเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา
หมื่นสุนทรเทวาตะลึงตะไล
เกศสุรางค์ออกกำลังกายท่าต่างๆ หมื่นสุนทรเทวาทำหน้าน่าขำมาก คืองงจนเหวอ
เกศสุรางค์เสร็จเรียบร้อย หันหลังกลับ เจอะนัยน์ตาหมื่นสุนทรเทวา
เกศสุรางค์ยืนนิ่งสักครู่ แล้วเดินผ่านไปเข้าห้องตัวเองแบบไม่สน ไม่แคร์
หมื่นสุนทรเทวามองตาม ยังงงงวยไม่หาย
ในห้อง เช้าต่อเนื่องเกศสุรางค์แต่งตัวเรียบร้อย ชูกางเกงในแล้วใส่ สองบ่าวแม้จะงุนงง แต่ก็พยักหน้าเข้าใจ
เกศสุรางค์กระซิบ “ไม่งั้นมันโหวงเหวง”
ผิน/แย้มรับคำ “เจ้าค่ะ”
“อายแผ่นดิน”
“อายแผ่นดินหรือเจ้าคะ” ผิน/แย้มหน้าเหวอมาก
เกศสุรางค์หัวเราะชอบใจ
“ใส่ทำไมเจ้าคะ เสื้อเครื่องอย่างนี้เขาใส่กันเวลาไปวัดนะเจ้าคะ ไปงานอย่างนี้ ห่มสไบก็พอเจ้าค่ะ” ผินว่า
“กลัวสไบหลุด”
“กรึงแน่นๆไม่หลุดหรอกเจ้าค่ะ” แย้มว่า
“นุ่งโจงกระเบนอย่างพวกพี่ก็ดีหรอก แล้วก็ห่มตะเบงมาน”
ผินบอก“อุ๊ย...แม่นายท่านเป็นถึงลูกหลานพระน้ำพระยา ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“ดีที่มีกางเกงในนะเนี่ย...เสียงเขาออกมากันแล้ว เร็วๆพี่...เดี๋ยวโดนดุอีก”
คุณหญิงจำปา , หมื่นสุนทรเทวา , ออกญาโหราธิบดี , กำลังจะลงบันได เกศสุรางค์เดินเร็วๆออกมา
คุณหญิงจำปาหันมาเอ็ด
“นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแม่การะเกด เดินเหมือนม้ากระทืบโรง ออเจ้าจะไปไหน แต่งองค์ทรงเครื่องเสียเต็มยศ”
“ไปบ้านออกญาโกษาธิบดีไงเจ้าคะ”
“ไปทำไม”
“อ้าว...” เกศสุรางค์เหลียวดูผิน แย้ม “ก็ไป” ก่อนจะหยุดกึกฉุกใจ
“ทำไมหรือแม่จำปา”
“พ่อเดช” คุณหญิงเรียก
หมื่นสุนทรเทวาบอก “ออเจ้าไม่ต้องไปหรอก”
“ไม่ต้องไปหรือคะ”
“ออเจ้าอ่านหนังสือออกใช่ฤๅ...จะพาไปห้องหนังสือ”
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ” เกศสุรางค์ถอยมา 2-3 ก้าว “ขอโทษค่ะที่นึกว่า...”
“เจ้าของบ้านเขาไม่ได้เชิญออเจ้า มิรู้ว่าเข้าใจไขว้เขวไปได้อย่างไร”
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ คุณป้า”
ออกญาโหราธิบดีบอก
“แต่งตัวแล้ว จะไปคงมิเป็นไรกระมัง งานบุญอย่างนี้คนมากหน้าหลายตาอยู่”
“นังผินนังแย้ม มึงสาระแนนักนะ ใครบอกมึงว่านายมึงต้องไปด้วย”
สองคนตัวลีบก้มหน้านิ่ง
“เอาเถอะไปกันได้แล้ว แม่การะเกดไปด้วยกัน ลุงอนุญาต”
คุณหญิงจำปาบอกก่อนก้าวลงบันได “เร็วๆเข้าสิ มัวแต่ยืนเป็นเบื้อเป็นใบ้อยู่นั่นแหละ”
หมื่นสุนทรเทวามองนัยน์ตาคมกริบ เกศสุรางค์สบตาแล้วถอยอีกก้าวหนึ่ง
“หลานอยากอ่านหนังสือในห้องหนังสือของคุณลุงเจ้าค่ะ”
คุณหญิงจำปาหันมามองก่อนเดินลับตัวไป
หมื่นสุนทรเทวาตาเข้ม เสียงในคอ “เรื่องมาก”
เกศสุรางค์พูดใส่หน้า“ว่าเรื่องมากเดี๋ยวไปเสียเลย”
สองคนจ้องหน้ากัน
ออกญาโหราธิบดีหันมาถาม “ว่าอะไรกัน”
“แม่การะเกดจะอยู่เรือนขอรับคุณพ่อ”
“งั้นเรอะ...ตามใจหลาน”
เกศสุรางค์พูดเบาๆกับหมื่นสุนทรเทวาที่เดินรั้งท้าย “สมใจนะเจ้าคะ”
หมื่นสุนทรเทวาหยุดกึก หันขวับมา “เจ้าว่ากระไร”
เกศสุรางค์เดินไปแล้ว
ขณะเรือลำใหญ่ มีประทุนกลางแล่นไปตามลำน้ำ บนเรือลำนั้น นอกจากมีพ่อ แม่ ลูก กับบ่าวคือ ปริกกับจ้อย และคนแจวเรือ คุณหญิงจำปาว่า
“แม่ออกจะรำคาญแม่การะเกดเพิ่มขึ้นทุกวัน เมื่อก่อนนางนิสัยร้ายกาจ วาจาสามหาว จิกหัวบ่าวไพร่ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ มารยาห้าร้อยเล่มเกวียน”
พ่อลูกฟังแบบจ้องเขม็งว่าจะพูดไปถึงอะไร
“แต่แม่ยังเห็นว่า นางปากกับใจตรงกัน ความมิดีอย่างไรก็ออกมาจนหมด แต่ว่าบัดนี้...” คุณหญิงถอนใจ
สองพ่อลูกเพิ่มความตั้งใจฟัง
“แม่มิรู้แล้วว่านางคิดอย่างไร ขณะที่ปากนางพูด แค่นี้แหละค่ะคุณพี่”
“ข้าเห็นต่างกันนะแม่จำปา นางเปลี่ยนเป็นดีขึ้น นางคิดดีและพูดจาดีขึ้นกว่าเดิม ข้ามองดูนาง...ข้าเห็นว่านางซื่อตรงกว่าเมื่อก่อน”
“ฮึ”
“แม่จำปา ถ้ามีจิตเมตตาต่อนาง...จะเห็นเหมือนที่ข้าเห็น”
“ข้าเมตตาไม่ลงค่ะคุณพี่”
“ไม่พยายามฤๅจะรู้”
“ฮึ...พ่อเดชล่ะว่าไง”
“ข้าไม่อยากพูดถึงนางขอรับ” หมื่นสุนทรเทวาเมินไปอีกทาง ขุ่นมัวต่อเนื่อง
เกศสุรางค์ยืนที่ท่าน้ำแล้งบอก
“พี่ผิน พี่แย้ม ไปหาคนพายเรือมาคนหนึ่ง”
ผินบอก “ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่มีใครพายได้หรอกเจ้าค่ะ” แย้มบอก
“ได้โดนหวายลงหลังลายปะไรเจ้าคะ” ผินว่า
“งั้นพี่สองคนนั่นแหละพายไป”
ผิน/แย้มร้องเสียงหลง “ไม่เจ้าค่ะ ไม่พาย”
“งั้นข้าพายเอง” เกศสุรางค์ลงเรือทันทีรวดเร็ว
เรือก็โคลงไปโคลงมาน่าหวาดเสียว เกศสุรางค์ชูพายร้อง “เอานะ”
ผิน/แย้มร้องบอก “แม่นาย...แม่นายเจ้าขา อย่าไปนะเจ้าคะ”
พายที่ชูจะจ้วงน้ำ หยุดกลางอากาศ นัยน์ตาคว่ำจ้องสองบ่าว
สองบ่าวหันมามองหน้ากัน ถอนใจ “เฮ้อ” พร้อมกัน
ต่อมาเป็นอันว่าผินกับแย้มเป็นคนพายเรือ เรือแล่นไปตามลำน้ำ เกศสุรางค์ถาม
“บ้านเราเท่ากับอยู่ในคลองนะพี่ เขาเรียกคลองอะไร”
"คลองแกลบเจ้าค่ะ" แย้มบอก
"โอเค ที่ออกมานี่ก็แม่น้ำอะไรเจ้าพระยา มีหัวรอมั้ยพี่ อยู่ทางไหน"
"ทำนบหัวรอหรือเจ้าคะ โอ๊ย...อยู่โพ้น ต้องผ่านวังหลวงไปทางโน้นเจ้าค่ะ" ผินพูดพลางชี้ไปทางซ้าย
เกศสุรางค์สีหน้าตรึกตรอง พยายามคิดถึงภูมิทัศน์อยุธยา
"ใช่สิ วัดไชยอยู่ทางนี้" เธอชี้ไปทางขวา พลางบอก "วันก่อนเราผ่านแล้ว"
แย้มบอก "นั่นไงเจ้าคะ เห็นยอดปรางค์อยู่โน่น"
"ใช่ วัดไชยสร้างแบบเขมร ไม่มีโบสถ์มีแต่ปรางค์ประธาน"
วัดไชยวัฒนารามปัจจุบัน คงเหลือแต่สภาพปรักหักพัง เมื่อราว 5 ปีก่อน อาจารย์ยืนบรรยาย ให้นักศึกษาโบราณคดี 10 คนฟัง...จด บางคนมีเทปบันทึกเสียง
"วัดไชยวัฒนารามเป็นพระอารามหลวงสมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดให้สร้างขึ้น สันนิษฐานว่าสร้างเป็นอนุสรณ์ของชัยชนะเมืองละแวก... คือเมืองอะไร"
เกศสุรางค์บอก"เมืองพนมเปญปัจจุบันค่ะ"
"ถูกต้อง มีพระปรางค์เป็นองค์ประธาน คือขนบสมัยอยุธยาตอนต้นที่นิยมสร้างพระปรางค์เป็นประธาน แต่ศิลปะที่สร้างนี้คือ ศิลปะของ..."
"ขอมค่ะ"
อาจารย์ถาม"เกศสุรางค์จะตอบถูกอยู่คนเดียวรึ...ใช่ คือศิลปะขอม เพราะจำลองมาจากปราสาทนครวัดของเขมร"
เกศสุรางค์เอียงตัวไปกระซิบกับเรืองฤทธิ์
"ฉันเก่งอยู่คนเดียวสิวะ อาจารย์ไม่เห็นน่าแปลกใจเลย"
"โธ่เอ๊ย...ไอ้ขี้คุย"
"สร้างปีอะไรใครรู้"
"พ.ศ. 2173 ค่ะ"
ทุกคนหันมามองเหล่เกศสุรางค์
เกศสุรางค์เดินพาสองบ่าวเดินเข้า แหงนมองพระปรางค์ประธานที่งดงาม
"สวยเหลือเกิน ไอ้เรือง แกต้องตายถ้าแกรู้ว่าฉันกำลังมองอะไรที่อยู่ตรงหน้า" เกศสุรางค์พึมพึมพำเบาๆคนเดียว
พระปรางค์ประธานและพระปรางค์ที่รายรอบดูงดงาม
"แกต้องตาย...ใครจะนึกว่าฉันจะได้เห็น...เห็นพระปรางค์วัดไชย เห็นชัดๆกับตาเลยว่าสีทองอร่ามทั้งองค์ ไอ้เรืองเอ๊ย..."
สองบ่าวอยู่ห่างออกไป
เกศสุรางค์หน้าสลดลงมาก
"เรือง...เรืองฤทธิ์ ชาตินี้จะได้พบกันอีกมั้ยเนี่ย"
เกศสุรางค์เดินไปเรื่อยๆตามมุมต่างๆ ในบริเวณวัดไชยวัฒนาราม
"น่าเสียดายจริงๆเรืองเอ๊ย แกน่าจะตายมาพร้อมฉันแล้วมายืนดูด้วยกัน"
เกศสุรางค์พยักหน้ากับสองบ่าวที่เดินห่างออกมา
"รีบกลับเถอะเจ้าค่ะ"
"โอเค...ไป"
พอทั้ง 3 คนเดินลับตา สภาพวัดสวยงามของวัดไชยวัฒนารามและสรรพสิ่งเปลี่ยนมิติ ความงดงามค่อยๆเลือนกลายเป็นภาพปรักหักพังอย่างปัจจุบัน
เวลาปัจจุบัน พระเรืองฤทธิ์เดินเข้า สีหน้าสงบนิ่ง แต่รอยความหมองเศร้ายังแฝงในแววตา มายืนนิ่ง มองที่ตัวเองกับเกศสุรางค์เคยมายืนคุยกัน ... จนภาพนั้น เห็นพระเรืองฤทธิ์เป็นจุดเล็กๆ และหายไป
วัน เวลาเดียวกัน ณ บ้านออกญาโกษาธิบดี
เรือนทั้งหลัง บ่าวไพร่เดินพลุกพล่านอยู่ด้านล่าง ต่างถือตะลุ่มใส่อาหารคาว-หวาน บ่าวพายเรือของแขก ทนายหน้าหอของแขกเหรื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
เสียงพระสวดดังแว่วๆจากบนเรือน เป็นบทสวดงานทำบุญบ้าน
บนเรือน พระสวดเสร็จ
ออกญาวิสูตรสุนทร (โกษาปาน) หรือเรียก ออกญาโกษาธิบดี และคุณหญิงนิ่มนั่งข้างหน้าสุด ก้มลงกราบ
แขกคนอื่นๆอยู่ด้านหลังกราบทุกคน
3 คนได้แก่ ออกญาโกษาธิบดี, คุณหญิงนิ่ม และแม่หญิงจันทร์วาด ถวายภัตตาหารให้พระภิกษุ เป็นตะลุ่มวางถ้วยเล็กถ้วยน้อย
ออกญาโกษาธิบดีถวายพระชั้นผู้ใหญ่องค์หนึ่ง
คุณหญิงนิ่มถวายอีกองค์
พระฉันอาหาร
ออกญาโหราธิบดีถาม
"แม่จันทร์วาด หายตกอกตกใจแล้วหรือฤๅ"
จันทร์วาดไหว้ต่ำ "เจ้าค่ะ ขอบพระคุณที่กรุณาเจ้าค่ะ"
"เมื่อข้ารู้เข้าใจหาย" คุณหญิงนิ่มกระซิบกับจำปา
"เป็นเช่นนั้นหรือคะ เป็นข้าๆก็เป็นเช่นกันค่ะคุณหญิงนิ่ม ลูกสาวทั้งคน...กำลังสะสวยเป็นสาวเต็มที่"
ออกญาโกษาปานพูดเบาๆถามออกญาโหราธิบดี
"มนต์กฤษณะกาลีของท่าน ได้ผลเป็นอันใด"
"มิใช่คนในเรือนหรอกขอรับ"
"อ้าว !" ออกญาโกษาปานมองคุณหญิงนิ่ม
"เอ๊ะ ได้ยินว่า..." คุณหญิงนิ่มหยุดพูดทันที
พระฉันอาหารเสร็จพอดี ทุกคนหันไปตั้งท่ารับยถาสัพพี
พระสวดยถาสัพพี คนกรวดน้ำเป็นกลุ่มๆ
พระเดินแถวกลับ คนกราบเป็นแถวๆ
ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) เล่นหมากรุกกับหมื่นสุนทรเทวา คนอื่นๆให้เห็นว่าจับกลุ่มคุยกัน
"ขอโทษทีเถิดหลานชาย...ข่าวลือมันมากความ" ออกญาโกษาปานว่า
"ไม่เป็นไรมิได้ขอรับ เป็นธรรมดาของผู้คนในกรุงศรีนี้"
"แต่ขอลุงพูดกรงๆ...ข่าวลือมิมีมูลก็ลือกันมิได้นะ"
ด้านคุณหญิงนิ่ม คุณหญิงจำปา และแม่หญิงจันทร์วาดนั่งอยู่รวมๆกับแขกผู้หญิง
"ได้ยินว่า...ถึงกับวิปลาสเหรอคะคุณหญิง เพราะมนต์กฤษณะกาลีใช่มั้ยคะ"
"ใครคะ...อ๋อ แม่การะเกด"
ข้างล่าง ผู้คนกำลังร่ำลากันจะกลับ
หมื่นเรืองบอก"เขาเชื่อกันทั้งบางแล้วว่า เป็นฝีมือคู่หมายของออเจ้า"
หมื่นสุนทรเทวาตวัดเสียงนิดๆ "นางไม่ตายเพราะมนต์กาลี"
"ห้ามคนคิดยากล่ะเจ้า"
"สุดแล้วแต่..."
"สุดแล้วแต่อะไรฤา"
"สุดแล้วแต่ใครจะมองนาง"
"ชังนางเหลือเกินนะออเจ้า...เห็นทีจะเห็นว่านางขี้ริ้วจนเหลือกำลัง สายตาของออเจ้ามิเหมือนชายใด"
หมื่นสุนทรเทวา พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
เรือใหญ่ลำหนึ่งมีเก๋งอยู่กลางลำ ม่านกั้นทั้ง 4 ด้าน ฝีพายแจวด้วยพายด้วย 1-4 คน เจ้านายองค์หนึ่งแต่งสวยเต็มยศ บ่าวรับใช้แต่งสวยแบบนางกำนัล 2-3 นางนั่งกางร่มอยู่นอกเก๋ง
ลำน้ำตอนขากลับ ผินกับแย้มจ้ำพาย
"พี่ไม่ต้องรีบ บ้านอยู่แค่นี้เอง ไม่กี่จ้วงก็ถึงแล้ว" เกศสุรางค์ชะงักกึก
เรือเจ้านายผ่านมา
"โห เรือสวยจัง มีเก๋งเรือด้วย"
ม่านเปิด เจ้านายชะโงกออกมาดู
"ผู้หญิง...สวยเชียว สไบซ๊วย...สวย พี่ดูสิ"
"อย่านะเจ้าคะ อย่ามอง ก้มหน้าเจ้าค่ะ"
"ทำไมพี่"
"เขาห้ามมองเจ้าค่ะ ก้มหน้าเจ้าค่ะ...ก้ม" ผินเสียงเขียว ดึงตัวเกศสุรางค์แทบจะคว่ำลงมา
"เฮ้ย อะไรกันพี่ อะไรกันนี่"
แย้มบอก "เจ้านายเจ้าค่ะ"
"แล้วทำไม...ทำไมมองไม่ได้"
"ก็เขาห้าม แม่นาย...แม่นายท่านก็รู้นี่เจ้าคะ"
เกศสุรางค์สีหน้าค่อยๆรับรู้ พอนึกได้ลางๆว่าเคยรู้ พยักหน้าน้อยๆ
"อ้อ จริงด้วย...จริงๆสมัยก่อน ห้ามมองในหลวง แต่ห้ามมองเจ้านายด้วยเหรอ"
ผิน/แย้ม "เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ค่อยๆเหลือบมองไป
เจ้านายค่อยๆทิ้งม่านปิดเก๋งเรือ
"เฮ้อ...ไปแล้ว ไม่เข้าใจเลยนะพี่ สวยๆซะขนาดเนี้ย ทำไม๊...ทำไม ไม่ยอมให้คนเห็น มีแต่เขาจะพยายามออกสื่อให้คนเห็นเยอะๆ"
เกศสุรางค์หยุดมองหน้า สองคนหน้าเหวอ อ้าปากค้าง
"เป็นอะไรพี่...อ๋อ ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่แปลกหรอก ข้าเองยังฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย โอเคนะพี่" เกศสุรางค์ทำมือ OK ด้วย ! ... เอากับนางซิ !!
"อะ...โอเค เจ้าค่ะ" ผิน/แย้ม พยายามทำมือเลียนแบบเกศสุรางค์อย่างเงอะงะ
เรือใหญ่แล่นมาเอื่อยๆในแม่น้ำ ออกญาโหราธิบดี คุณหญิงจำปา นางปริก และบ่าวติดตามนั่งอยู่เต็มเรือ
ออกญาโหราธิบดีนั่งเอ้เตในประทุนกลางเรือ คุณหญิงจำปากัดหมากเคี้ยว ปริกอยู่ใกล้ส่งกระโถน
"เอ้า นั่นพ่อเดชกับพ่อเรืองไปไหน ไม่กลับบ้านรึนั่น"
คุณหญิงจำปาหันไปดู
"อาจจะไปที่วัดพนัญเชิงกันเจ้าค่ะ"
"หนุ่มๆจะไปวัดทำไม คงไป... สำมะเลกินสุรากันอย่างเคย"
ทุกคนมอง
ทางแยกเข้าคลองเล็ก เห็นวัดพนัญเชิงเป็นฉากหลัง
ร้านสุราริมฝั่งแม่น้ำ ในตลาดแห่งหนึ่ง หมื่นสุนทรเทวาดื่มสุรากับหมื่นเรือง ทั้งคู่ต่างคนต่างเมาแล้ว จ้อยนั่งเฝ้าอยู่
สักครู่ลุกขึ้น เดินเซกันออกมา พูดเสียงอ้อแอ้
ต่างมาหยุดยืนเคียงกัน สบตากันแบบมีเลศนัย อย่างซ่อนเร้น พยักหน้าให้กันแล้วเดินออกมาด้วยกัน
"เฮ้ย ไอ้จ้อย...อยู่ไหน"
ทั้งสองคนเดินเซๆมาด้วยกัน จ้อยเดินตาม
ชาวบ้านที่เดินอยู่หันมามอง พลางทำท่าเหม็นเหล้า หลบเป็นแถวๆ สองคนยิ้มๆให้กัน
จนมาถึงร้านแขกฟานิก ฟานิกกำลังนับกองผ้า
มะลิเดินมา
"พ่อข้า...กลับเถอะ ข้าจะเฝ้าร้านต่อเอง"
ยังไม่ทันขาดคำ มะลิก็สะดุดพื้นถลาแทบจะล้ม
หมื่นสุนทรเทวารับไว้พอดี มะลิเข้าไปในอ้อมอก เงยหน้าสบตาเต็มแรง
หมื่นสุนทรเทวามองจ้องหน้า มะลิใจเต้นแรง
หมื่นเรืองบอก"หมื่นสุนทรเทวาท่านช่างว่องไวแท้ๆ"
มะลิรู้สึกตัว ค่อยๆถอยออกไป ไหว้นอบน้อม
"ข้าขอบใจท่านจริงๆค่ะ ท่านหมื่น"
"ควรจะขอบใจหมื่นเรืองราชภักดี บุตรพระยาวิสูตรสาครที่ชวนข้ามาเที่ยวตลาดนี้"
ฟานิกกับมะลิไหว้หมื่นเรืองอย่างนอบน้อม
สองคนยิ้มให้แล้วเดินออก
มะลิมองตาม สายตาเผลอไผล
"หมื่นสุนทรเทวาฤๅ"
"มารี...ใยมีกิริยาเช่นนี้ ถ้ายายของเจ้าเห็น ไม่แคล้วถูกดุเป็นแน่"
มะลิก้มหน้าค่อยๆเดินเลี่ยงไป แต่สายตายังมองตาม
ผิน แย้มเดินเข้ามาในห้องการะเกดเร็วๆ เรียก “แม่นายท่าน...แม่นายเจ้าคะ”
"โวยวายอะไรพี่จ๋า...อยากได้กระดาษกับปากกาจัง มีมั้ยพี่"
"มิมีหรอกเจ้าค่ะ ไม่มีใครใช้"
แย้มบอก "ออกไปเร็วๆเจ้าค่ะ"
"ไปไหน"
แย้ม ผินถือถาดใส่ขนมกวน และป้านชา ถ้วยชาเล็กๆคล้ายถ้วยชาจีน อีกถาดเป็นผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำในชามดินเผา พูดกับเกศสุรางค์
คุณหญิงจำปาเดินออกมากับปริก ชะงัก มอง
"นังปริก...ดูสิ มันน่า..."
"เจ้าค่ะ น่าหมั่นไส้เจ้าค่ะ"
"สู่รู้"
ทั้ง 3 สามคนเดินไปที่ท่าน้ำ
แย้มบอก "พอท่านมา เอาขนม เอาผ้าเช็ดหน้าให้"
"โห...งั้นเชียว"
"อะไรนะเจ้าคะ" แย้มว่า
"ทำไมเนี่ย...ข้าเคยทำเหรอ"
"เจ้าค่ะ"
"ทำทุกวันเจ้าค่ะ ไปเจ้าค่ะ ไปคอยที่ท่าน้ำ"
สองบ่าวพาไป
เกศสุรางค์นั่งพิงเสา...รอ
ผินกับแย้มนั่งนิ่งอดทน
"โอ๊ย..."
สองคนตกใจสะดุ้งโหยง
"คอยอีกนานแค่ไหน"
"อย่าส่งเสียงดังอีกนะเจ้าคะ"
"ใครผ่านไปได้ยินจะเก็บไปนินทานะเจ้าคะ"
เกศสุรางค์พึมพำ "ไม่สน"
สองคนพยักหน้าให้กันแล้วลุกไป
เกศสุรางค์ มองไปไกลๆ อย่างหงุดหงิด ทำไม ! ต้องมารอคอย "ผู้ชาย" ด้วย (วะ) ไม่เข้าใจ
เวลาต่อมา เกศสุรางค์นั่งพิงเสาจนหลับปุ๋ย
หมื่นสุนทรเทวายืนย่อเข่า แล้วจ้องหน้า...นิ่ง
เกศสุรางค์หน้าละมุนละไม ริมฝีปากแย้มยิ้มนิดๆตึงเต็ม แก้มแดงระเรื่อ
หมื่นสุนทรเทวา นัยน์ตาอ่อนโยนขึ้น
เกศสุรางค์ลืมตาอย่างเร็ว หมื่นสุนทรเทวาถอยไปก้าวหนึ่ง
เกศสุรางค์ลุกรวดเร็ว หมื่นสุนทรเทวาถอยไปอีก 2-3 ก้าว
เกศสุรางค์พูดเบาๆ "โห...กว่าจะมา" ส่งผ้าอยู่ในชามดินเผา "ผ้าเช็ดหน้าค่ะ...จะได้หายเหนื่อย"
"ข้าล้างหน้าแล้ว ไม่เหนื่อยแต่อย่างใด" แล้วเดินห่างไป
เกศสุรางค์รีบหยิบตะลุ่มขนมกวนและป้านชา "ขนมน้ำชาค่ะ...หิวใช่มั้ยคะ"
"ข้ากินทั้งเหล้าทั้งกับแกล้มมาแล้ว...ไม่หิว"
พูดเสร็จ เดินไปทันที
เกศสุรางค์ยืนตาปริบๆ มองตาม
"โห...ผู้ชายอะไร ขี้เก๊กชิบเป๋ง...หล่อเลือกได้นะยะ" เกศสุรางค์เสียงดังขึ้น เดินตามหลังไป
หมื่นสุนทรเทวาชะงักกึก เกศสุรางค์คอหด
เขาหันหลังกลับ เดินตรงมาช้าๆ เกศสุรางค์สีหน้าใจดีสู้เสือ
หมื่นสุนทรเทวามาจนถึงตัว นัยน์ตาดุจัด
"ออเจ้าพูดว่ากระไร"
อ่านต่อตอนที่ 6
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
แม่มะลิ : มารี กีมาร์ (Marie Guimar) มีชื่อเต็มๆว่า มารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา (Maria Guyomar de Pinha) เป็นลูกสาวคนโตของฟานิก กูโยมาร์ (Fanik Guyomar) บิดามีเชื้อสายโปรตุเกส, ญี่ปุ่น และเบงกอล ที่อพยพมาจากอาณานิคมโปรตุเกสในเมืองกัว กับมารดาชื่อ อูร์ซูลา ยะมะดะ (Ursula Yamada) เธอมีชื่อเสียงจากการปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าห้องเครื่องต้นวิเสทในราชสำนัก ตำแหน่ง "ท้าวทองกีบม้า" ว่ากันว่านางได้ประดิษฐ์ขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารโปรตุเกส อาทิ ทองม้วน, ทองหยิบ, ทองหยอด, ทองพลุ, ทองโปร่ง, ฝอยทอง, กะหรี่ปั๊บ, ขนมหม้อแกง, สังขยา, ขนมผิง, สัมปันนี, ขนมขิง, ขนมไข่เต่า, ลูกชุบ จนได้สมญาว่าเป็น "ราชินีแห่งขนมไทย"
แต่งงานกับคอนแสตนติน ฟอลคอน ชาวกรีกที่มารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ชีวิตการแต่งงานของเธอไม่ราบรื่นนัก เพราะฝ่ายชายเป็นคนเจ้าชู้ มักนอกใจนางเสมอ มีบุตรชาย 2 คนคือ ยอร์ช ฟอลคอน (George Phaulkon) และ ฮวน ฟอลคอน (Juan Phaulkon)
มีเรื่องเล่าว่า วันที่ฟอลคอนต้องโทษโดนประหารชีวิตนั้น เพชฌฆาตพาฟอลคอนไปบอกลาเมียกับลูกเป็นครั้งสุดท้าย ขณะนั้น นางมารีก็ถูกจองจำในคอกม้า ไม่ได้แสดงความเสียใจแม้แต่น้อย กลับถ่มน้ำลายรดหน้าฟอลคอน และไม่ยอมให้พบหน้าลูกด้วย