บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 4
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักมาบรรจบกัน และบริเวณนี้ มีลักษณะเป็นน้ำวน เป็นหย่อมๆ ทำให้จ้อยต้องพายเรือหลบหลีก
"อ้ายจ้อย ระวังน้ำวน" หมื่นสุนทรเทวาเตือน
"ขอรับ ท่านหมื่นจะแวะป้อมเพชรก่อนมั้ยครับ"
"ไปตลาดวัดนางชีเลย"
เรือกำลังจะผ่านป้อมเพชร ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือเมื่อเรือแล่นตรงไป
เกศสุรางค์มองจนเหลียวหลัง เสียงอาจารย์ตอนเรียนหนังสือดังก้องเข้ามา ราวกับจะเตือนความจำ
"ป้อมเพชร เป็นป้อมที่สำคัญที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็นประตูเมืองที่ป้องกันข้าศึก แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักไหลมาบรรจบกันที่นี่"
"ป้อมเพชร...โห เป็นบุญตาจริงๆ" เกศสุรางค์ขยับตัวแรงๆ ชะเง้อมอง
หมื่นสุนทรเทวาเสียงดุมาก "อยู่เฉยๆ"
เกศสุรางค์จ๋อยลงทันที ปากบ่นพึมพำตามประสา
"ดุยังกะอะไร" เกศสุรางค์มองไป "สวยจังเลย สง่างามสมเป็นปราการด่านหน้าของอยุธยา เห็นทหารด้วย" เกศสุรางค์โบกมือ "ทหารเฝ้าป้อม"
หมื่นสุนทรเทวาเสียงเข้มยิ่งกว่า !
"ออเจ้าทำอะไร"
เกศสุรางค์จ๋อย ... แหะแหะ "อุ๊ย...เอ่อ...ขอโทษค่ะ ลืมไป"
"ไม่เคยเห็นใครกิริยาน่ารังเกียจอย่างนี้"
เกศสุรางค์จ๋อยลงทันที เมื่อหันไปทางปากน้ำแล้วตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน
หมู่เรือสำเภาที่มาค้าขายกับอยุธยาจอดคลาคล่ำ
"เรือสำเภามาค้าขายกับอยุธยา โอ้โฮ...เป็นร้อยลำมั้ยเนี่ย"
หมื่นสุนทรเทวาเหล่จนหน้าคว่ำ
"สินค้าอยุธยา อะไรมั่งหว่า เฮ้ย ทำไมฉันจำได้แต่ว่ามีขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง มันต้องมีของแพงๆกว่านั้นสิ" เกศสุรางค์คิดหนักหน่วง ประติดประต่อกับครูสอนในชั้นเรียนที่คณะโบราณคดี
"เอ๊า...นึกออกแค่เนี้ย" เกศสุรางค์พึมพำ ก่อนหันขวับมาทางหมื่นสุนทรเทวา
"คุณหมื่นคะ นอกจากเครื่องเทศกับพริกไทย เราขายอะไรให้ฝรั่งอีกมั่งคะ"
"ออเจ้าจะรู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องของออเจ้า"
"ก็...อยากรู้ค่ะ เห็นเรือสินค้าเยอะแยะ"
หมื่นสุนทรเทวานิ่งๆไปอย่างรำคาญ
"อันที่จริงใครๆเขาก็รู้ ออเจ้าทำไมไม่รู้"
"เอ๊า...ก็ฉัน เอ๊ย ข้าลืมไงคะ...สมองเสื่อม"
หมื่นสุนทรเทวางงเป็นไก่ตาแตก คำพูดแปลกๆอีกแล้ว
"สมอง ? สมองอะไร"
"หัวค่ะ...หัวเสื่อม มีอะไรมั่งคะ ที่แพงๆน่ะค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวาบอก
"อยุธยามีไม้กฤษณา กำยาน น้ำมันครั่ง คราม ผ้าฝ้าย เครื่องถ้วยของสุโขทัย"
เกศสุรางค์สนใจ
"อ๋อ" เกศสุรางค์นึกออก "ใช่แล้ว" นางดีดนิ้วดังเป๊ะ ! "ที่ขุดพบในเรือจมที่เกาะคราม"
เกศสุรางค์สีหน้ามุ่น คิดถึงเรื่องที่เรียนมา
หมื่นสุนทรเทวา จ้องหน้าเกศสุรางค์อย่างสงสัยเป็นกำลัง
"ถูกต้องแล้วค่ะ มีเครื่องสังคโลกด้วย" เกศสุรางค์ ทำท่าชี้เหมือนในทีวี คือนิ้วชี้พุ่งตรงไป
ข้างหน้า
หมื่นสุนทรเทวามองเหล่สุดๆ
ในห้องเรียน คณะโบราณคดี นักศึกษานั่งไม่มากนัก ประมาณไม่เกิน 10 คน
เกศสุรางค์นั่งหน้า สนใจฟังพอประมาณ
อาจารย์ว่า
"อาณาจักรอยุธยาต้องถือว่ารวยมาก เพราะค้าขายกับต่างประเทศ ชวา บาหลี ไปถึงเกาะบอร์เนียว แล้วยังส่งสินค้าไปขายฝรั่ง ส่วนฝรั่งโปรตุเกส ฝรั่งเศส ส่งเรือเข้ามาซื้อขายสินค้ากับชาวสยามเป็นประจำ เราขายเครื่องเทศ พริกไทย และสินค้าอื่นๆอีก เช่น........"
ความทรงจำเลือนไปเพราะเกศสุรางค์นึกต่อไม่ออก
"ปีสองพันห้าร้อยสิบเจ็ด เราพบเรือสำเภาจมอยู่ใกล้เกาะคราม ชลบุรี สินค้าที่พบในเรืออย่างเช่น โลหะ งาช้าง เราพบเครื่องถ้วยสังคโลกของสุโขทัยด้วย"
ครูชี้ภาพถ่ายที่ขึ้นโปรเจคเตอร์
เรือจอดที่ท่าเรือวัดนางชี เกศสุรางค์ลุกขึ้น พยายามไม่ทำเก้ๆ กังๆ จะขึ้นจากเรือ แต่หมื่นสุนทรเทวาก้าวขึ้นไปก่อนหน้าตาเฉย เกศสุรางค์เกาหัวยิก
หมื่นสุนทรเทวาไปยืนหันหลังให้
ส่วนเกศสุรางค์ก็ช่วยตัวเอง แต่พอจะก้าวขึ้น เรือก็เหออกตามกระแสน้ำ
จ้อยบอก "ระวังขอรับแม่หญิง"
หมื่นสุนทรเทวาหันมาดู แล้วเดินห่างไป...ไม่ช่วย
เกศสุรางค์มีอาการเหวอเล็กน้อย แล้วก้าวขึ้น ผินกับแย้มรีบมาจากเรือลำโน้น
"ดีๆนะเจ้าคะ"
"จับมือบ่าวไว้เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ขึ้นมายืนบนท่าน้ำ
หมื่นสุนทรเทวาหันมามอง แล้วเดินจากไปรวดเร็ว
เกศสุรางค์พึมพำ "เฮ้อ โคตรฟอร์มเลยเว้ย" ก่อนเสียงดังขึ้น "ไปพวกเรา"
พวกบ่าวเลิ่กลั่ก จะไปไหนวะเนี่ย !?
เกศสุรางค์บอก
"เอ๊า ไปเดินเที่ยวสิ ไม่มีก.ข.ค.แล้วนี่"
เจอเจ้านายดูเพี้ยนๆแบบนี้ ก็น่าสงสารพวกบ่าวเหลือเกิน ทุกคนหน้าตาลนลาน งุนงง สุดๆ
"เอาเถอะ...ไป" เกศสุรางค์นำออกเดิน "อยากเห็นพวกโปรตุเกสว่าหน้าตาเป็นไง จะเหมือน
พวกฝรั่งที่กรุงเทพฯ..." เธอหยุดกึก ถอนใจใหญ่
เสียงฝรั่งดังเข้ามา "เฮ้...เฮ้ หยุดนะ"
ทุกคนหันขวับไปทางเสียง
"อะไรน่ะ"
"ฟะรังคีขอรับแม่หญิง"
"ไหน...ไหน"
ฝรั่งตัวใหญ่ราวยักษ์สองคน เดินอาดๆเข้าหาฟานิกที่หอบม้วนผ้าหลบตัวลีบอยู่ ฝรั่งชนเปรี้ยง ฟานิกถลาจมดิน
ผ้าม้วนในมือ 3-4 ม้วนกระจัดกระจาย ชายผ้าตกเรี่ยพื้น
"โอ ก็อด...โอ ก็อด เปื้อนหมด..ข้าจักขายยังไง" ฟานิกว่า
ฝรั่ง 1บอก "เฮ้ย...เจ้ามาชนข้านะ ของเสียจะมาเอาจากเราไม่ได้ ยืนเกะกะขวางเราเอง"
"ไม่เกะกะ ข้ายืนในร้านของข้า อย่าใส่ความข้า"
ฝรั่งถ่มน้ำลายเต็มแรง เกือบถูกฟานิก
เกศสุรางค์ขยับตัว "เฮ้ย... อะไรวะ"
ผินกับแย้ม ดูท่าทีผิดสังเกต ออกมาขวางเกศสุรางค์ไว้
ฝรั่ง1ว่า "ใครเชื่อเจ้า นี่..." ฝรั่งตบอก "ทหารประจำตัวออกหลวงสุรสาคร รู้จักหรือไม่... นี่คนนี้" เขาชี้ไปที่ฝรั่ง 2
ฟานิกกลัว ถามย้ำ "เช่นนั้นหรือ"
ฝรั่ง 2 บอก "เอาล่ะ...ไม่เอาโทษแล้ว เลิกกันไป"
ฝรั่งร่างยักษ์ 2 คน ทำท่าจะเดินเลยไป
"เดี๋ยว คุณน่ะชนเขา เขานั่นแหละต้องเอาโทษคุณ"
ฝรั่งสองคน หันมาดูเกศสุรางค์ที่ยืนท่าทางองอาจ
ฝรั่งยังงง ตาโต แล้วเปลี่ยนเป็นประกายวิบวับทันที เมื่อเห็นคนสวย
ฝรั่ง 1บอก "แม่หญิงน้อย ไม่รู้ฤาว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด"
พูดจบก็ทำตาหวานใส่ตาเกศสุรางค์อย่างโจ่งแจ้ง
เกศสุรางค์จ้องหน้านิ่งๆ ฝรั่ง 1 เดินเข้ามาใกล้ กรุ้มกริ่มมองทั่วตัว
เกศสุรางค์ยังเฉยอยู่ บ่าวถอยกันกรูดๆเลย
"อยากรู้จักเรามากกว่านี้หรือไม่" ฝรั่ง 1เข้ามาจ้องหน้า
"ไอ้หน้าหม้อ" เกศสุรางค์จ้องตอบ ไม่กลัวหรอกเว้ย !
ฝรั่งผงะออกมา หน้างวยงง หันไปทางออกหลวงที่ยักไหล่ ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
ฝรั่ง 1ถาม "อยากได้หม้อรึแม่หญิง"
"คุณชนเขา ถุยน้ำลายใส่เขา หยาบคายมาก" เกศสุรางค์หันไปหาฝรั่ง 2 "ไม่ใช่คุณไม่เอา
โทษเขา เขานั่นแหละจะเป็นคนเอาโทษคุณ"
"ตายแล้วแม่นายเจ้าขา ฝรั่งผู้นี้เป็นออกหลวงเชียวหนาเจ้าคะ" ผินบอก
"จะออกหลวงออกราษฎร์อะไรก็ไม่สน แต่มาหาเรื่องกันแบบนี้ข้าไม่เห็นด้วย"
"ขอบใจท่านมาก แม่หญิงผู้ประเสริฐ" ฟานิกบอก
"ไม่เป็นไร เรื่องจิ๊บจ๊อย" เกศสุรางค์หันไปจ้องฝรั่งทั้งสอง
ออกหลวงจ้องมอง สายตาประทับใจ
"เป็นข้าแผ่นดิน ทำตัวเกะกะระรานชาวบ้านไม่อายบ้างเหรอ เมืองนี้ต้อนรับคนต่างชาติ ให้อิสระทำมาค้าขาย แต่ไม่ใช่ให้มาทำใหญ่โตข่มเหงคนอื่นได้ง่ายๆ"
พวกบ่าวปิดปาก หน้าตื่นตกใจ
ออกหลวงสุรสาคร (ฟอลคอน) ยกมือห้ามลูกน้องที่ถลันเข้ามา ฝรั่ง 1 หยุดชะงัก
จ้อยและบ่าวผู้ชายควักมีดมาถือเตรียมตัว
"ใจเย็นๆก่อน แม่หญิงเป็นใคร...ห้าวหาญจริง" ฟอลคอนบอก
จ้อยบอก "แม่หญิงการะเกดเป็นหลานออกญาโหราธิบดี พระยาราชครูของพระเจ้าอยู่หัว มิว่าผู้ใดจักก้าวล้ำล่วงเกินแม่หญิงหาได้ไม่"
"อา !" ฟอลคอนหันไปมองฝรั่ง 1
ฝรั่ง 1 ถอยไปอย่างเร็ว
มะลิ วิ่งเข้ามา
"เกิดสิ่งใดขึ้น...พ่อ" มะลิเห็นม้วนผ้า "ตายแล้ว" มะลิหยิบขึ้นมาปัดดินที่เปื้อน
ฟอลคอนจ้องมะลิ นัยน์ตาวาบขึ้นนิดหน่อย "อ้อ แม่หญิงเป็นลูกฤา"
"ใช่ พ่อข้าชื่อฟานิก ตัวข้าชื่อมะลิ พ่อข้าทำอะไรผิด"
หลวงสุรสาครจ้องมองนิ่งๆอีกอึดใจ หันมาทางการะเกด
"ข้าไม่ลืมเจ้าหรอกแม่หญิงปากกล้าวาจาห้าวหาญกว่าผู้ชาย"
"ไม่ลืมก็จำชื่อเกศสุ เอ๊ย การะเกดไว้"
กลัวเสียที่ไหนล่ะ !?
หลวงสุรสาครมองสายตาเหยียดๆขึ้นนิดหน่อย
ฟอลคอนบอก "Alfred, allons y, on me va plus perdre de temps avec ees clochards - อัลเฟรด กลับกันเถอะ อย่ายุ่งกับพวกสถุลพวกนี้เลย"
หลวงสุรสาครพยักหน้า อัลเฟรดเดินตามไป
"เดี๋ยว"
สองคนหันมา เกศสุรางค์เดินอาดๆเข้าไปตรงหน้า
บ่าวทั้งหลายตกใจแทบตาย
เกศสุรางค์เสียงเรียบ แต่เข้มจัด
"Si nous sommes clochards, vous l'etres vous ausee, car nous sommes des etres humains avant tout - ถ้าพวกฉันสถุล พวกคุณก็สถุล เพราะเราเป็นคนเหมือนกัน"
หลวงสุรสาคร อ้าปากค้าง
บรรดาบ่าวก็อ้าปากค้างเหมือนกัน
ทุกคนตรงนั้นนิ่งไปหมด ทุกอย่างเงียบกริบ
หลวงสุรสาครหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว คนรับใช้ตามติด
บรรดาบ่าวเข้ามามุงเกศสุรางค์ ถามว่า “แม่นายพูดอะไรเจ้าคะ” / “แม่นายว่าอะไรมัน”
"อ๋อ...พูดส่งเดชไปงั้นแหละ ไม่เป็นคำหรอก"
บ่าวร้องกันว่า ไม่จริง เพราะเขาหนีไปเลย !
"ก็เขาฟังไม่รู้เรื่องไง เขาเลยไป"
บ่าวส่งเสียงไม่จริง รวมทั้งชาวบ้านตรงนั้นด้วย
หมื่นสุนทรเทวาเข้ามาพอดี"มีอะไรกันรึ"
วงแตก ! ...บ่าวถอยกรูด
หมื่นสุนทรเทวาเดินเข้ามา
"ออเจ้าทำเรื่องอะไรอีก"
"เปล่าค่ะ...ไม่ได้ทำอะไรเล้ย ยังไม่ได้พูดอะไรกับใครซักคำ จริงมั้ยพี่ๆทุกคน"
เกศสุรางค์นัยน์ตาบอกเชิงบังคับไม่ให้บอกความจริง
หมื่นสุนทรเทวาจ้องแบบไม่เชื่อ ความสงสัยเพิ่มมากขึ้นทุกที
เกศสุรางค์สงสัย
"เอ๊ะ คุณหมื่นไปดื่มเหล้ามาหรือคะ กลิ่น...โห...ฉุยเลย"
"กลับกันได้แล้ว" หมื่นสุนทรเทวาเดินเซๆนิดๆไปลงเรือ
"เมาเหรอพี่ผิน"
"ก็เมาสิเจ้าคะ" เกศสุรางค์เดินไปลงเรือตามแย้ม "เมาทุกวันเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์แปลกใจ มองจ้อง
บนเรือนออกญาโหราธิบดี
แม่หญิงจันทร์วาดชำเลืองไปทางบันได คอยหมื่นสุนทรเทวา
แต่คุณหญิงไม่เห็นพฤติกรรมนี้ เพราะมัวแต่สั่งบ่าวว่าให้ตามแม่หญิงไป เป็นบ่าวผู้หญิงท่าทางเรียบร้อย 2 คน
เสียงคุณหญิงจำปาว่า
"มีลูกไม้อะไรสลักได้ฤดูนี้ อ้อ มีมะละกอกระมังเจ้า"
จันทร์วาดหน้าผิดหวัง คอยตั้งนานแล้ว
มีเสียงคนเดินมา จันทร์วาดสีหน้าวูบ ดีใจ
"ท่าจะมากันพอดี แม่หนูจันทร์วาดบอกเชิญพี่เขาเองเถิดนะเจ้า"
"เจ้าค่ะ คุณป้า"
หมื่นสุนทรเทวาเดินนำขึ้นมา จันทร์วาดขยับตัว
"พ่อเดช มากรงนี้เถิดลูก แม่จันทร์วาดคอยอยู่นาน"
"ขอรับ"
จันทร์วาดขยับนิดหน่อยให้พ่อเดชนั่ง พอจะพูดหยุดชะงัก
เกศสุรางค์เดินขึ้นบันไดมา ท่าทางปราดเปรียวหัวเราะเบาๆกับผินแย้ม
แม่หญิงจันทร์วาดชะงัก เกศสุรางค์ก็ชะงักเห็นจันทร์วาด ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
"แม่การะเกด"
"คะ...คุณป้า" เกศสุรางค์เข้ามาใกล้แล้วจึงนั่งลง แต่ท่าทางสบายๆ แล้วมองหมื่นสุนทรเทวา เห็นสายตาตำหนิก็นึกออก "วะลืมเรื่อย" ก่อนขยับนั่งให้เรียบร้อย มองหมื่นสุนทรเทวาคล้ายจะพูดว่า “โอเคนะ”
หมื่นสุนทรเทวาหน้าตึงเมินสายตาไปทางอื่นทันที
"ใยจึงไม่ทักทายแม่จันทร์วาด แม่การะเกดเราเป็นเจ้าของเรือนนะ เขามาเยือนถึงที่ ตามธรรมเนียมต้องต้อนรับขับสู้ ไม่มีกิริยาเลย" คุณหญิงจำปาค้อน หน้าเครียด
เกศสุรางค์สีหน้าถึงบางอ้อว่า คนนี้คือแม่หญิงจันทร์วาด แต่ไม่รู้ว่าจะทักทายอย่างไร
"สวัสดีค่ะคุณจันทร์วาด"
หน้าทุกคนเอ๋อมาก จันทร์วาดหน้าตึงขึ้นมาทันที
หมื่นสุนทรเทวาถาม "ออเจ้าพูดอะไร"
"นั่นสิ ออเจ้าพูดภาษาอะไร ข้าฟังไม่รู้ความ" คุณหญิงว่า
"แม่การะเกดไม่ค่อยชอบหน้าข้าเจ้าค่ะคุณป้า ไม่ทราบว่าทำอะไรให้หรือแม่การะเกด"
"ไม่ใช่...ไม่ใช่ค่ะ ฉัน เอ๊ย ข้าชอบแม่จันทร์วาดนะ เธอสวยจริงๆ"
แม่หญิงจันทร์วาดสีหน้ายังเย็นชาเหมือนเดิม
"สวยแบบไทยๆ"
"ข้าหาเชื่อไม่ คุณป้าเจ้าขาข้าขอลาก่อนเจ้าค่ะ คุณพี่เดชคะ กรุณาเดินไปส่งข้าได้มั้ยคะ ข้ามีเรื่องจะเรียนคุณพี่ค่ะ"
"ได้สิแม่จันทร์วาด ตามข้ามาเถิด" หมื่นสุนทรเทวายิ้มอ่อนโยน
"ขอบพระคุณค่ะ" แม่หญิงจันทร์วาดลุกตามไป
บ่าวหญิงของจันทร์วาดคลานเข่าตามไป
เกศสุรางค์มองตาม คุณหญิงจำปามองชำเลืองดูเกศสุรางค์อย่างจับผิด
แต่เกศสุรางค์ยิ้มแย้มชื่นชม
"แม่การะเกด"
"ซ้ม...สมกันนะเจ้าคะคุณป้า"
คุณหญิงจำปาแปลกใจสุดขีด "ออเจ้าว่ากระไรนะ"
"ว่าสมกัน" อีกแล้วนะเกศสุรางค์ นึกออก "เอ๊ย"
ต่อมา เกศสุรางค์กระแทกตัวลงนั่งบนเตียงในห้อง ตบหน้าผากตัวเองราวกับจะเตือนความจำ
"เฮ้อ...จำไว้นะเกศสุรางค์ เจ้าต้องเกลียดแม่นางจันทร์วาด เพราะเขาจะมาแย่งคุณหมื่นไป โอ๊ย... จะเอาก็เอาไปสิ ไม่ได้รู้สึกอะไรเล๊ย พับผ่าสิ"
เกศสุรางค์พูดจนรู้สึกว่ามีคนฟังอยู่ เมื่อหันมา ผินกับแย้มมองตะลึง
เกศสุรางค์ลุกขึ้นมาที่หน้าต่าง สีหน้าวุ่นวายใจ
"จะเป็นการะเกดหรือจะเป็นเกศสุรางค์...โห๊ เป็นงง" เกศสุรางค์ถอนหายใจอย่างใหญ่มาก
เกศสุรางค์มองทอดสายตาไปข้างหน้า เห็นหมื่นสุนทรเทวาคุยกับแม่หญิงจันทร์วาด
บริเวณหน้าเรือน บ่าว 2 คนยืนอยู่ห่างๆเฝ้าแม่หญิงจันทร์วาดที่สนทนากับหมื่นสุนทรเทวา
"เรียนคุณอาว่า พี่จะไปงานด้วย"
"คุณพี่คะ น้องมีเรื่องจะเรียนค่ะ ไม่ทราบว่าจะเหมาะสมหรือไม่"
"มีเรื่องอันใดหรือแม่จันทร์วาด"
"งานทำบุญที่บ้าน คุณพ่อท่านไม่ปรารถนาจะให้...เอ้อ"
"แม่การะเกด"
"ค่ะ...ท่านไม่ให้เชิญ"
หมื่นสุนทรเทวาหน้านิ่งไปสักครู่ เสียงเรียบเฉย "เป็นเพราะเหตุใดหรือ"
"คุณพี่กับคุณลุงสวดมนต์กฤษณะกาลี คุณพ่อท่านคิดว่า ต้องมีเหตุผลสำคัญ"
หมื่นสุนทรเทวาหน้านิ่งสนิท จนจับความรู้สึกไม่ได้
"ท่านทราบเหตุผลนั้น ท่านจะขอเจรจาความนี้กับคุณพี่ในวันงานทำบุญเรือน วันปะรืนเจ้าค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวาหน้าเป็นกังวล แต่ซ่อนความรู้สึกไว้ลึกมาก เขาเดินขึ้นบันไดช้าๆ
"พ่อเดช แวะที่นี่สักประเดี๋ยวเถิด"
"ขอรับคุณแม่" หมื่นสุนทรเทวาเดินเข้ามานั่ง
จำปาชะโงกหน้าเข้ามากระซิบ
"แม่เห็นแปลกเหลือเกินนะพ่อเดช...มันแปลกจริงๆ"
"ขอรับ"
"อะไร้ พ่อเดช จะพูดคำเดียวเท่านั้น"
"อย่างไรหรือขอรับที่คุณแม่ว่าแปลก"
หมื่นสุนทรเทวานิ่งไป นัยน์ตาครุ่นคิด
"พ่อเดชไม่เห็นดังแม่ว่าฤๅ"
"เห็นอยู่บ้างขอรับคุณแม่ แต่มิสู้สำคัญอันใดขอรับ ข้าคิดว่าเหตุเป็นเพราะมนต์กฤษณะกาลีที่ทำให้นางปางตายขอรับ"
"เออ แต่ไม่ตายก็แปลว่านางไม่ได้ทำ"
คุณหญิงเหลือบตาไปทางห้องการะเกด
หมื่นสุนทรเทวา หน้าดุจัด มองไปเห็นด้วยว่าเกศสุรางค์แอบดู
เกศสุรางค์ยืนที่หน้าต่าง มองออกไปที่คุณหญิงจำปาและหมื่นสุนทรเทวา
เกศสุรางค์ชะโงกหน้า หูผึ่ง อยากได้ยินว่าเขาพูดอะไรกัน
เกศสุรางค์หลบวูบเข้าไปในห้องทันที
เกศสุรางค์ถอยกรูด จนเหยียบผินกับแย้มที่นั่งพับผ้าอยู่มุมห้อง
สองคนร้อง “ว้าย” / “ว้าย ตาเถรหก”
หมื่นสุนทรเทวา , คุณหญิงจำปา หันขวับไปได้ยินเสียง
"เสียงนังผิน นังแย้ม อีบ่าวสองคนนี่จะถามไถ่อะไรมันก็หาบอกไม่หรอก มันถือหางเจ้านายมัน"
หมื่นสุนทรเทวาครุ่นคิด จ้องไปทางห้องการะเกด
"อีกอย่าง...นิสัยใจคอดูผิดแผกไป นางเคยร้ายกาจไม่เบา แต่หมู่นี้...ดีผิดสังเกต"
"คุณแม่คิดว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือขอรับ" หมื่นสุนทรเทวายังมองเกศสุรางค์อยู่
"แม่คิดว่านางถูกผีเข้า"
คุณหญิงจำปาพูดจบก็สะดุ้งสุดตัว เพราะเสียงดังมากของหมื่นสุนทรเทวา
"ออเจ้า...มานี่เดี๋ยวนี้"
เกศสุรางค์ยื่นหน้าออกมาจากที่แอบฟังอยู่
"ข้าเรียก...ทำเฉยอยู่ทำไม"
"พ่อเดช ใยถึงเสียงดังปานฉะนี้ ทำแม่ตกใจนะลูก"
หมื่นสุนทรเทวาลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเกศสุรางค์
"ออเจ้า...มานี่ มาทางนี้"
มุมเรือนด้านหนึ่ง
หมื่นสุนทรเทวาสั่ง "นั่งลง"
"ค่ะ" เกศสุรางค์นั่งทันที
หมื่นสุนทรเทวามองเหล่เล็กน้อย เรียกเสียงดัง "นังผิน นังแย้ม"
"เรียกเค้าทำไมคะ"
"ออเจ้าไม่ต้องถาม หาใช่เรื่องของออเจ้า"
"อ้าว...ถ้างั้นข้าไปนะคะ"
"หาได้ไม่"
"ก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน...เอ๊ย ของข้าไม่ใช่เหรอคะ"
"อีผิน อีแย้ม มึงไม่ได้ยินฤๅ ท่านหมื่นเรียกมึงทั้งสองคน...เฉยอยู่ใยกัน"
ผิน แย้มลนลานออกมาจากห้อง
"วอนนักอีสองคนนี่"
หมื่นสุนทรเทวาบอก "เอ็งสองคนมานี่" หมื่นสุนทรเทวาเห็นทั้งคู่อึกอักอยู่ ตวาดซ้ำ "ยังอีก"
สองคนพรวดมาทันที หมอบตัวสั่น
เกศสุรางค์นั่งตัวตรง พร้อมสู้ นัยน์ตามองแบบคอยฟัง
หมื่นสุนทรเทวามองเหล่ๆ นัยน์ตาดุ
เกศสุรางค์จึงรู้ตัว จ๋อยลงนิดหน่อย
คุณหญิงจำปาทำมือให้บ่าวออกไปจากตรงนั้น ตัวเองเดินหายไป
"เอ็งสองคนเล่าความมาซิ"
สองคนเงยหน้ามอง หน้าตื่นๆ
"นายหญิงของเอ็งพูดอะไรกับใครวันนี้"
โอ้ย ! ผิน แย้มอยากตาย ...
"ว่าไง"
สองคนก้มหน้าแทบจะติดดิน หมื่นสุนทรเทวาขยับปาก
"คุณหมื่นคะ...ข้าเล่าเองค่ะ"
ร้านขายของฟานิก มะลิกำลังตรวจดูว่าผ้าพับที่ตกดินว่าเสียหายตรงไหนบ้าง
ฟานิกนั่งนวดแขนหลังไหล่ตัวเอง
"ยังเจ็บเหรอพ่อ"
ฟานิกพยักหน้า
มะลิเข้ามา หยิบอับยาขึ้นมาด้วย แล้วทาให้พ่ออย่างนุ่มนวล
ฟานิกหลับตา
"ออกหลวงคนนี้ได้ข่าวว่าเกเรนัก เพราะเป็นคนโปรดของขุนหลวง"
ไม่ทันขาดคำ พ่อลูกก็ตกตะลึง
หลวงสุรสาครเดินผ่านหน้าร้านช้าๆ มองตรงไปข้างหน้า ไม่เหลือบซ้ายแลขวา
แล้วหยุดฉับพลัน หันมาช้าๆ จ้องมองที่มะลิเขม็ง
มะลิตัวอ่อนลง สบตาได้สักครู่ก็ก้มหน้าลง
หลวงสุรสงครยิ้มนิดๆ แล้วเดินผ่านไปช้าๆ
สองพ่อลูกนิ่งอึ้ง ได้แต่มองตากัน
เกศสุรางค์ เล่าวีรกรรมที่ผ่านมา
"เมื่อได้ทำวีรกรรมขนาดนั้น เหตุใดจึงพูดจาโป้ปดว่าไม่ได้ทำ"
เกศสุรางค์ก้มหน้าเสียงอ่อย "ก็กลัวถูกดุค่ะ"
"ตอนที่ทำไม่กลัว"
"หาไม่กลัวค่ะ"
"หากลัวไม่" หมื่นสุนทรเทวาเสียงเข้ม แก้ให้
"ค่ะ หากลัวไม่" (แก้อย่างเร็ว)
"ออเจ้าเป็นใครจากไหน มาอยู่ในร่างของแม่การะเกด"
เกศสุรางค์อ้าปากค้าง ตกใจ ทำไมรู้
"ทำ...ทำไมคิดอย่างนั้นคะ"
"ใช่ล่ะสิ...เจ้าตายมานานกี่มากน้อยแล้ว ทำไมไม่ไปผุดไปเกิด"
"หา..."
"ตกใจที่ข้ารู้ใช่หรือไม่ เอาล่ะ เจ้าจะยอมออกไปดีๆ หรือจะให้หมอผีมาขับไล่"
"โอ๊ย..."
"ไปเสียดีๆเถิดอย่ามีทรมาน แล้วไปเกิดเสีย ถ้าช้าไปกว่านี้ วิญญาณของเจ้าจะเร่ร่อน หาทางเกิดไม่พบไม่เจอ"
"ไม่ใช่ค่ะ คือว่า..." เกศสุรางค์ถอนหายใจ เฮือก
"ข้าไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก ออกจะเห็นใจด้วยซ้ำที่เจ้าเป็นสัมภเวสีไร้ญาติขาดมิตร จึงต้องหาที่พักพิง"
"คุณหมื่นคิดว่าข้าเป็นผีหรือคะ"
"ก็มิใช่หรือ"
"ข้าเป็นผีใครล่ะคะ"
หมื่นสุนทรเทวานิ่งอึ้ง
"คนตายคนไหนมาสิงข้าล่ะคะ ทำไมข้ายังเป็นตัวข้าอยู่ ไม่เป็นคนที่ตายคนนั้น"
เจอปากคอเชือดเฉือนขนาดนี้ หมื่นสุนทรเทวาอึ้งรอบสอง
"คุณหมื่นคะ ข้าไม่ใช่ผี ข้าคือการะเกด แต่เหตุเพราะมนต์กฤษณะกาลี ทำให้ข้าเหมือนคนวิปลาส พูดไม่รู้เรื่อง จำอะไรก็ไม่ได้ เรื่องนี้คุณหมื่นต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นคนสวดมนต์สาปแช่งข้า หาว่าข้าไปฆ่าคน ข้าไม่เกี่ยวเสียหน่อย กล่าวหาแล้วก็มาสาปแช่งกัน แถมจะให้ข้าเป็นผีอีก"
แหม ! พูดเรื่องนี้แล้วของขึ้น
"ข้าไม่ฟ้องหมิ่นประมาทดีเท่าไหร่แล้ว"
หมื่นสุนทรเทวามองจ้องการะเกดนัยน์ตาขุ่นมัว สวนคำเสียงดัง
"หยุดกล่าววาจาน่าเกลียดน่าชัง..."
เกศสุรางค์สวนเร็วทันควัน ไม่ยอมแพ้ "น่าเกลียดยังไง ข้าพูดความจริง คุณหมื่น..."
"ข้าบอกให้หยุด" หมื่นสุนทรเทวาชี้หน้าแรงๆ "เจ้าเป็นคนกำเริบไม่รู้จักกาละเทศะ วาจาพิกลพิการฟังไม่รู้ความ จิตใจหยาบกระด้าง ไม่มีเมตตาข้าทาสบริวาร ไม่เอาการเอางาน ขี้คร้านจนตัวเป็นขน ดีแต่แต่งตัวนั่งชม้อยชายตาหน้าขาว...น่ารำคาญ"
หมื่นสุนทรเทวายิงเป็นชุด กระแทกเสียงใส่หน้าออเจ้า
เกศสุรางค์อ้าปากค้าง ตกตะลึง ผู้ชายไรหว่า ปากคอขนาดนี้
บ่าวไพร่แถวนั้นอึ้งตะลึงตะไล ก้มหน้าหลบตาเป็นแถว
เกศสุรางค์เปลี่ยนสายตาเป็นนิ่ง มองจ้องหมื่นสุนทรเทวา ทั้งโกรธและเสียใจ ทั้งงุนงง
แล้วนางก็หันหลังกลับ เดินข้ามนอกชานไปเรือนตัวเอง
หมื่นสุนทรเทวายืนนิ่งสนิท ใจยังขุ่นมัว
ในห้องหมื่นสุนทรเทวาเปิดประตูเข้ามา คุณหญิงจำปาปราดเข้ามาเผชิญหน้า ถามความ
"ว่าไงพ่อเดช เป็นดังแม่ว่าใช่หรือไม่"
"นางบอกว่าไม่ใช่"
"อาไร้...พ่อเดชถามนางเลยรึ"
"ครับ ก็ถามกรงๆเลยครับ"
"พุทโธ่...พุทถังเอ๊ย ใครเขาจะยอมบอก"
"นั่นสิครับ"
"เอ๊า...รู้แล้วเหตุใดจึงถามล่ะ"
"คุณแม่มีวิธีใดที่จะจับความจริงของนางหรือครับ"
"หมอผี"
"มนต์กฤษณะกาลีแรงยิ่งกว่าหมอผีนะขอรับคุณแม่ นางยังไม่เป็นอะไร"
คุณหญิงจำปาหน้านิ่วคิ้วขมวด
"นางเป็นใคร จะปิดบังไม่ได้นานหรอกขอรับคุณแม่"
"แม่ห่วง...เพราะนางเป็นคู่หมายของลูกนะ พ่อเดช"
"คุณแม่ คุณแม่ก็ทราบว่าข้าเกลียดนาง ทั้งรังเกียจ ทั้งชังน้ำหน้า ข้ายอมตายเสียดีกว่าเข้าหอกับนาง"
คุณหญิงแม่พูดไม่ออก ถอนใจไปมา
"คุณพ่อยังไม่บังคับ ข้ายังมีเวลา"
"เวลาทำอะไรหรือลูก"
หมื่นสุนทรเทวาไม่ตอบ แต่แม่ก็ดูแล้วเข้าใจ
เกศสุรางค์นั่งบนเตียง นัยน์ตาครุ่นคิดหนักมองไปข้างหน้า
ผินและแย้มแอบอยู่มุมห้อง มองดูอยู่ สีหน้าสงสารเห็นใจ
เกศสุรางค์หันขวับมา "พี่"
สองคนปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ผินบอก"คุณพี่ก็พูดอย่างนี้มาเรื่อยๆนะเจ้าคะ ไฉนแม่นายจะสะเทือนเอาครั้งนี้"
"พี่...ทำไมข้าจึงต้องมาอยู่บ้านนี้ ยังไม่ได้แต่งงานมาอยู่ทำไม"
"ก็แม่นายเป็นกำพร้า"
"และยังเป็นลูกสาวเพื่อนรักของท่านออกญา"
"อือม์ เท่าที่พี่เล่าให้ข้าฟังว่าข้าทำอะไรไว้มั่ง คุณหมื่นด่าข้าแบบนั้นก็สมควร"
ผินกับแย้มมองหน้ากัน
"เขาคงเห็นข้าเป็นตัวแสบเลยล่ะ"
สองคนหน้างงงวยอีกครั้ง มองหน้ากัน ย้ำพึมพำ “ตัวแสบ”
" จิตใจหยาบกระด้างไม่เมตตา...ไม่เอาการเอางาน ขี้คร้านตัวเป็นอะไรนะพี่"
"เป็นขนเจ้าค่ะ"
"อือม์ใช่ เป็นไงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่" เกศสุรางค์ยกมือห้ามเมื่อผินจะบอก "ไม่เป็นไร ไม่อยากรู้ ดีแต่แต่งตัวกับ...กับชม้อยชม้ายตา" นางทำท่าชม้อยชายตาแบบโอเวอร์ "อย่างงี้เหรอ"
สองคนขำกลิ้งเลย
"เคยทำซะที่ไหนล่ะ แล้วอะไรนะ วาจาพิกลพิการ...เออ อันนี้น่ากลัวใช่แฮะ... มันคือข้าพเจ้าเอง"
สรุป เกศสุรางค์ยอมรับแค่ ข้อหาเดียว จากสารพันข้อหาที่กล่าวมา
พูดขาดคำ เกศสุรางค์กระโดดลุกขึ้นยืน พรวด !
สองคนตกใจ
"แม่นายจะทำอะไรเจ้าคะ"
"มันก็ต้องทำอะไรซักอย่างสิน่า..."
เกศสุรางค์พูดพลางเดินปราดเปรียวออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
"แม่นาย...เดินดีๆเจ้าค่ะ" ผินบอก
"เดี๋ยวก็โดนอีกเป็นแน่แท้" แย้มว่า
เกศสุรางค์เดินรวดเร็ว ไม่แคร์ใคร
เสียงคุณหญิงจำปาดังแว่วเข้ามา
"แม่ม้าดีดกระโหลก"
เกศสุรางค์ชะงักกึก
"ข้าว่าออเจ้านั่นแหละ แม่การะเกด"
เกศสุรางค์หันไป "คุณป้าเจ้าคะ หมื่นสุนทรเทวาอยู่ที่ไหนเจ้าคะ"
"นี่...ออเจ้าชักจะกำเริบใหญ่กำเริบโต"
"คะ..."
"พูดกับผู้ใหญ่ ใยไม่นั่งให้เรียบร้อย"
"อ๋อ...ค่ะ ขอโทษค่ะ" เกศสุรางค์นั่งลง "หมื่นสุนทร"
"ออเจ้าเป็นน้อง ใยต้องเรียกเต็มยศอย่างนั้น"
เกศสุรางค์พึมพำ "ผิดอีก เฮ้อ...อยู่ไหนคะคุณป้า"
"ออเจ้าผิดแผกไปมาก...บอกมานะว่าออเจ้าเป็นใคร"
เกศสุรางค์นั่งนิ่ง ระบายลมออกมาจากปาก ใจคิดว่า อีกแล้วเรา
"ออเจ้าไม่ใช่แม่การะเกดคนเดิม มาจากไหน เหตุใดต้องมาสิงร่างหลานของข้า บอกมา หาไม่แล้วข้าจะให้หมอเวทหมอมนต์มาขับไล่"
"คุณป้าเจ้าขา ข้าไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหนหรอกเจ้าค่ะ เชื่อข้าเถิดนะเจ้าคะ"
คุณหญิงจำปาจ้องหน้าแบบพินิจพิจารณา สายตาเข้มจัด ราวกับเครื่องสแกนก็ปาน
เกศสุรางค์พนมมือ "ข้าสาบานเจ้าค่ะว่าข้าไม่ใช่ผี"
"ข้าไม่เชื่อคำสาบาน เพราะออเจ้าเป็นคนพูดพล่อยหาจริงไม่มี"
เกศสุรางค์ชักของขึ้น เสียงเพิ่มวอลุ่มประมาณนึง "คุณป้าจะให้ข้าทำยังไงล่ะเจ้าคะถึงจะเชื่อ"
"กำเริบเสิบสาน"
"หา" เกศสุรางค์แปลกใจ
"บังอาจเสียงดังต่อข้าฤๅ ข้าเห็นจะทนออเจ้ามิได้อีกแล้ว"
"คุณป้าจะทำไงเจ้าคะ"
"วาจาของออเจ้าช่างหยาบคาย พูดจาก็ผิดแผกแปลกไปไม่เหมือนชาวเราพูดกัน ข้าสงสัยนักว่าออเจ้าเป็นคนเมืองใดกันแน่ จงบอกมาเสียดีๆนะแม่การะเกด"
เกศสุรางค์อ่อนใจ
"ถ้าข้าเป็นผี วันหนึ่งคุณลุงต้องจับได้ค่ะคุณป้า คุณลุงเก่งจะตาย"
คุณหญิงจำปาเพ่งมองแบบพูดต่อไม่ได้ ไปไม่ถูก
"คุณป้า..."
"ข้าฟังเจ้ามิรู้ความ ไปให้พ้นหน้าข้าประเดี๋ยวนี้เลย"
เกศสุรางค์ไหว้แล้วลุกเร็วๆ เดินลงเรือนไป
คุณหญิงจำปามองตามอย่างขุ่นมัว
ผิน แย้มตามเกศสุรางค์ไป
"อีผิน อีแย้ม"
สองคนชะงักกึก
"มึงไปแจ้งแก่นายมึงว่าอย่ากำเริบ หาไม่กูจะส่งกลับเมืองสองแคว มึงทั้งสองก็ด้วย"
ที่หน้าเรือน ผินรายงาน
"คุณหญิงยังบอกอีกนะเจ้าคะว่าจะส่งบ่าว..."
ไม่ทันจบประโยค ...
"เอาเถอะข้ารู้แล้ว เออพี่ คุณหมื่นเค้าจะกลับบ้านกี่โมงตามปกติ"
สองคนหน้าเหรอมาก ฟังไม่รู้เรื่อง
เกศสุรางค์มองแล้วถอนใจยาว
"ไม่รู้เรื่อง ? เฮ้อ เอางี้ หมื่นสุนทรเทวาน่ะ"
"อีกแล้ว เมื่อครู่ก็โดนเอ็ดไปที เรียกขานให้ถูกเจ้าค่ะ...คุณพี่" ผินบอก
"โอ เค คุณพี่จะกลับกี่โมง"
"แม่นายจะทำไมหรือเจ้าคะ"
"ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย"
ผิน/แย้มพร้อมกัน "เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ"
เกศสุรางค์มอง นัยน์ตาพูดว่าอย่าเพิ่งรู้เลย
สองคนม่อย
"เรื่องสำคัญ รู้แค่นี้นะพี่"
เกศสุรางค์นั่งชะเง้อมองไปตามลำน้ำ
เรือนางปริกแล่นมาจอด บ่าวสองคนหอบหิ้วหลัวใส่กับข้าวเต็ม
นางปริกขึ้นเรือมา สบตาเกศสุรางค์ที่นั่งคอยหมื่นสุนทรเทวา ก็ค้อนแล้วเมินไป
"อ้าว..." เกศสุรางค์หุบยิ้มโดยพลัน แล้วจ้องหน้าปริก
"มองอะไรฤๅ" ปริกถามเสียงห้วน
"เอ๊า"
"คนอะไรใจร้าย" ปริกบ่นเบาๆแล้วเดินไป
เกศสุรางค์บอกตัวเอง
"เอ๋อ...โอเค้ นี่เป็นอีกคนที่เกลียดเธอนะการะเกด"
ผิน แย้มมาถึง
"บ่นอะไรเจ้าคะแม่นาย"
"บ่าวคนนั้นชื่อปริกใช่มั้ยจ๊ะพี่ เป็นอีกคนที่เกลียดข้า"
ปริกขึ้นเรือน รายงานทันที
"นั่งหน้าขาวอยู่ที่ท่าน้ำเจ้าค่ะ คุณหญิง"
"กูเกลียดนางเสียจริง...เกลียดเข้าถึงไส้ถึงพุง นางไปนั่งท่าน้ำทำสิ่งใด"
เกศสุรางค์นั่งสีหน้าตรึกตรอง ลุกเดินไป-มา
ผิน แย้มเหลียวมองตามอยู่ไปมา
บนเรือน ปริกว่า
"ควรแล้วเจ้าค่ะที่คุณหญิงท่านเกลียด เป็นแม่หญิงที่น่าเกลียดน่าชังที่สุด บ่าวที่ชอบแม่หญิงหามีสักคนเจ้าค่ะ จะมีก็แต่อีบ่าวสองคนที่ติดตามแม่หญิงมาจากเมืองสองแควนั่นแหละเจ้าค่ะ"
"อีบ่าวสองคนหน้าเซ่อซ่าไม่มีใครจะเปรียบปาน"
ผินเริ่มตาหูลายจากการเหลียวไปมา แย้มโบกลมให้
"ให้มันรู้ไปสิวะ" เกศสุรางค์พูดลอยลมขึ้นมา
บ่าวสองคนเหลียวขวับ
"ว่าจะอยู่ไม่ได้"
สองคนอ้าปากค้าง
"ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาถึงขนาดนี้จะกลับก็กลับไม่ได้ ก็ต้องสู้กันซักตั้ง เป็นคนนะเว้ยเกศสุรางค์ มาไกลขนาดนี้หนทางกลับไปก็ไม่มี คนก็เกลียดชังซะขนาดนี้"
ความสะเทือนใจจุกอกขึ้นมา เพราะคิดถึงแม่ คิดถึงยาย
ความรักความผูกพัน แม่-ลูก ยาย-หลาน กอดกัน นอนตักร้องเพลง สอนร้อยมาลัย สอนทำกับข้าวกัน ลาไปโรงเรียน ใส่บาตรด้วยกัน ภาพทั้งหลายให้เห็นว่ารักกัน
ภาพต่างๆแล่นเข้ามาในความคิดเหมือนสายน้ำ เกศสุรางค์กัดปากแน่น กลั้นน้ำตาไม่ไหว คลอเต็มตา
เกศสุรางค์เสียงดัง แต่สั่นสะท้าน "ก็จะสู้ไม่ยอมแพ้หรอก"
เกศสุรางค์น้ำตาพรู แต่กัดฟันแน่น
"แม่...คุณยาย จะรู้มั้ยว่าเกศอยู่ที่ไหน" เสียงแผ่วเครือ แล้วเสียงสะอื้นออกมาเต็มแรง
สองบ่าวน้ำตาตกเหมือนกัน
เกศสุรางค์หันกลับมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ
"แม่นายบุปผา มารดาของแม่นายของบ่าว คุ้มครองแม่นายอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้านั่นแหละเจ้าค่ะ" ผินบอก
แย้มบอก "แม่นายคุณยายของแม่นายก็เช่นกันนะเจ้าคะ"
"ท่านเจ้าคุณบิดาด้วยนะเจ้าคะ"
เกศสุรางค์จ้องมองบ่าวสองคนที่ทั้งสีหน้า และ สายตาภักดี น้ำตาไหลพรากๆ ก้มลงกอดทั้งสองคนไว้ ก่อนซบหน้ากับไหล่แย้ม
ร้านสุราบริเวณฝั่งตรงข้ามกับป้อมเพชร เป็นตลาดน้ำบางกะจะ
ร้านขายสุรายาดองเป็นโหลๆ โต๊ะเตี้ยและเก้าอี้เตี้ยเท่าๆกัน
ที่พื้นปูเสื่อกกสำหรับพวกบ่าวไพร่นั่ง ส่วนเจ้านายนั่งเก้าอี้ มีโต๊ะอื่นอยู่ด้วย รินเหล้ากันเฮฮา
จ้อยอยู่ในหมู่บ่าว
หมื่นเรืองราชภักดี กินสุรากับหมื่นสุนทรเทวา
"เออข้าอยากเห็นหน้าแม่หญิงการะเกดตอนนั้นซะจริง"
หมื่นสุนทรเทวาเสียงเขียว "ทำไม"
"เขาลือกันหัวคุ้งท้ายคุ้งว่า แม่หญิงการะเกด หลานสาวออกญาโหราธิบดี ต่อความต่อคำกับออกหลวงสุระสงครามจนออกหลวงผู้นั้นจนมุมไปเลย"
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้านิ่ง
"ท่าทีอย่างนี้ของออเจ้า คาดว่าคงไม่พึงใจนาง นางก็งามปานหยาดฟ้า ทำไม..."
" ไม่งาม น่าชัง"
"มิน่า นางถึงริษยาแม่หญิงจันทร์วาดหนักหนาจนล่มเรือเลยรึ"
"ลางทีอาจเป็นได้ ลางทีอาจไม่ใช่ เพราะนางรอดพ้นมนต์กฤษณะกาลี"
"อ๋อ...เช่นนั้นคงลือไปเอง มนต์กฤษณะกาลีศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ผู้ใดก็รู้กันทั่ว"
เกศสุรางค์ยังนั่งที่ท่าน้ำ
"มนต์บ้าเนี่ยศักดิ์สิทธิ์มากนักเหรอพี่"
ผิน/แย้มบอก "ตายแล้ว อกแตก"
"ใยพูดอย่างนั้นเจ้าคะ" ผินถาม
"เรียกหาว่ามนต์บ้าได้อย่างไรเจ้าคะ โอย...ตาย ตายแน่" แย้มว่า
"เอาล่ะ ตอบเถอะ อย่ามัวเอ็ดข้าอยู่เลย"
จ้อยพายเรือมาตามลำน้ำ
หมื่นสุนทรเทวาท่องกลอนลั่นคุ้งน้ำ เสียงเมามาย ตัวเอนไปเอนมา
"ท่านหมื่นขอรับ"
"เออ"
"ถึงแล้วขอรับ"
หมื่นสุนทรเทวาหยุดส่งเสียงทันที กิริยาหายเมาเป็นปลิดทิ้ง หันหน้ามาทางจ้อย ยิ้มนิดเดียวแต่มีเลศนัย
เรือจ้อยเข้ามาจอด
หมื่นสุนทรเทวาก้าวขึ้นท่าน้ำอย่างองอาจ ไม่มีอาการเมา
จ้อยเย้า "ระวังเซนะขอรับ"
หมื่นสุนทรเทวาหันมาชี้หน้าจ้อย สายตาดุๆ ปรามๆ
จ้อยหัวเราะขำ
หมื่นสุนทรเทวาดีดก้อนหินตรงนั้นด้วยเท้าขวา ก้อนหินกระเด็นขึ้นโดนตัวจ้อยเต็มแรง
จ้อยร้องโอ๊ย
หมื่นสุนทรเทวาหันหลังกลับเข้าบ้าน แล้วชะงักกึก
เกศสุรางค์ยื่นหน้าเรียบเฉยจ้องหมื่นสุนทรเทวานิ่ง
หมื่นสุนทรเทวาก็จ้องเหมือนกัน ใจเต้นแรง นางจะมาไม้ไหน
ผิน แย้มพยักหน้า ชวนจ้อยให้เลี่ยงหายไป
"มีเรื่องจะพูดด้วยค่ะ"
"ข้าไม่มีความใดจะเจรจากับเจ้า"
"แต่ฉันมี"
หมื่นสุนทรเทวาจ้อง ขมวดคิ้ว
"เอ๊ย แต่ข้ามี"
"เป็นอย่างนี้จะให้เชื่อถืออย่างไร"
"ก็ไม่ต้องเชื่อ ฉันไม่แคร์ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ"
หมื่นสุนทรเทวางงงวยฟังไม่เข้าใจ แต่สะดุดคำๆหนึ่ง
"เจ้าพูดคำว่าแคร์รึ"
"ใช่...ฉันไม่แคร์ ถ้าอยากให้แน่ใจก็สวดสิ"
"สวด ?"
"สวดมนต์กฤษณะกาลีอะไรของคุณนั่นแหละ"
หมื่นสุนทรนิ่งไปอึดใจ
"ออเจ้า หมายจะพูดว่ากระไร"
"ชัดแล้วไม่พูดซ้ำ"
"แต่ข้ายังฟังไม่รู้ความ ออเจ้าต้องพูดให้หมด เพราะมนต์กฤษณะกาลีไม่ใช่ของเล่นที่จะมาพูดพล่อย"
"ไม่พล่อย พูดจริงๆ สวดเลย...สวดให้สุดๆไปเลย แล้วคอยดูว่า..."
หมื่นสุนทรเทวาขมวดคิ้วจ้องอย่างงุนงงสงกาเป็นที่สุด
เกศสุรางค์ทิ้งแขนสองข้างแบบอ่อนใจ "ค่ะ คุณหมื่นคะ"
"ออเจ้าเรียกข้าว่าคุณพี่อย่างที่สมควรได้แล้ว ข้ารำคาญหูเต็มทนแล้ว"
เกศสุรางค์ถอนหายใจอย่างแรงมากๆ "ก็ได้...คุณพี่หมื่น"
"คุณพี่เท่านั้น ไม่ต้องต่อด้วยหมื่น"
"เฮ้อ"
"วิญญาณอย่างเจ้าไม่รู้หรือว่าควรเรียกขานให้ถูกต้อง"
เกศสุรางค์เดินไปที่นั่งท่าน้ำ
หมื่นสุนทรเทวาตามมายืนตัวตรง มือไขว้หลังมองตรงไปข้างหน้า
"คุณพี่คะ ข้ารู้ค่ะว่ามันยากที่จะให้คุณพี่เชื่อว่าข้าไม่ใช่ผีสางที่มาสิงสู่ในร่างแม่การะเกด ข้าจึงจะขอเวลาคุณพี่"
หมื่นสุนทรเทวาหันมาดู
"คุณพี่คอยดูข้าไปอีกพักหนึ่ง ถ้าข้าเป็นผี ข้าคงจะทนมนต์กฤษณะกาลีของคุณพี่ไม่ได้"
หมื่นสุนทรเทวาหันขับมามองเกศสุรางค์
"ข้าขอให้คุณพี่สวดมนต์กฤษณะกาลีเจ้าค่ะ พิสูจน์ให้เห็นดีกันไปเลย"
อ่านต่อตอนที่ 5
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
คอลสแตนติน ฟอลคอน : ชื่อสะกดทั้งภาษาต่างชาติ และภาษาไทย หลากหลายมาก
ในหนังสือ "ฟอลคอน Phaulkon" เสฐียรโกเศศ แปลและเรียบเรียง , พินิจ หุตะจินดา บรรณาธิการเล่ม กล่าวในหน้า 11 ... เชิงอรรถว่า
"คอลสแตนติน ฟอลคอน (Constantin Falcon, Constantine Faulcon, Constantin Phaulcon, Constantin Phaukon, Constant Phaulkon) มีชื่อเดิมเป็นภาษากรีกว่า คอนสแตนติโย เยรากี (Costantin Gerachi , Constantin Hie'rachy) คำนี้มีการสะกดที่แตกต่างกันอยู่หลายฉบับคือ วิชเยนทร์, วิชชเยนทร, วิชาเยนทร์, วิไชยเยนทร์, วิชาเยน, วิชาเยนทร, วิชาเยนทราธิบดี"
คำนำสำนักพิมพ์ศยาม กล่าวไว้ในย่อหน้าหนึ่งว่า " ... ความเป็นจริงที่ได้ปรากฏทั้งในเอกสารต่างประเทศและไทยว่า ฟอลคอนมีความทะเยอทะยานมากจนสามารถเนรคุณต่อผู้มีพระคุณ คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยได้ร่วมมือกับนายพลเดส์ฟาร์จ (Ge'ne'ral Desfarges) ที่นำกองกำลังทหารฝรั่งเศสเข้าบุกยึด พร้อมกับการตั้งตนเป็น "พระมหากษัตริย์" มากกว่าการได้เป็นเพียง เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ และนอกจากนี้ ฟอลคอนยังมีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น
หนังสือ "จดหมายเหตุ อยุธยาล่มสลาย : ออกพระเพทราชา หรือ ฟอลคอน ใคร วางแผนชิงบัลลังก์สมเด็จพระนารายณ์" กีรติ เกียรติยากร บรรณาธิการ , สำนักพิมพ์ จดหมายเหตุ หน้า 581กล่าวว่า
"จากการพิจารณาพฤติกรรมของฟอลคอนทั้งหลายทั้งปวง นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ชื่อ ม. ลันเย (Lannier) สรุปความเห็นว่า "ฟอลคอน เป็นผู้ทรยศต่อสมเด็จพระนารายณ์ และประเทศสยาม และยังไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อีกด้วย" นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ Hatchinson กล่าวตามประสาคนอังกฤษที่ไม่ชอบใช้วาจารุนแรงว่า "ฟอลคอนเป็นเพียงนักแสวงหาโชคคนหนึ่งเท่านั้นเอง" ส่วนผู้แต่งพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน) บันทึกไว้ว่า ฟอลคอน "คิดอ่านกระทำการทั้งปวงต่างๆ ปรารถนาจะคิดเอาราชสมบัติ" ดูๆจะเป็นมติ แสดงออกด้วยคำต่างกัน แต่ก็มีความหมายอย่างเดียวกันเป็นเอกฉันท์"
ฟอลคอน มิปรากฏแค่เอกสารประวัติศาสตร์ , การหยิบชีวประวัติมาเขียนในรูปนวนิยาย ดังเช่น ฟอลคอน หรือ การเผชิญภัยของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ซึ่ง เสฐียรโกเศศ แปลจากเรื่อง "Phaulcon the adventurer' or, The European in the East ของ วิลเลียม ดาลตัน (William Dalton) และ บ้างก็เรียก "นิยายปลอมประวัติศาสตร์"
นอกจากนี้ ยังมีโปรเจ็กต์ "SIAM" ของ ทอม วอลเลอร์ ผู้กำกับลูกครึ่งไอริช-ไทย เคยระบุและถ่ายภาพเพื่อประกอบการประชาสัมพันธ์
โดยหนังเรื่องนี้จะเล่าเรื่องราวในช่วงที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ส่งบาทหลวงคณะเยสุอิตกลุ่มหนึ่งเข้ามายังอยุธยาเมื่อ ค.ศ.1685 เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรแห่งนี้ให้กลายเป็นดินแดนคาทอลิก กลุ่มบาทหลวงได้ดำเนินกโลบายดังกล่าวโดยร่วมมือกับ “คอนสแตนติน ฟอลคอน” หรือ ออกญาวิชเยนทร์ ขุนนางต่างชาติซึ่งเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระนารายณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงประชวรหนัก แผนการยึดครองอยุธยาของฝรั่งเศสกลับประสบกับความยากลำบาก เพราะเกิดเหตุรัฐประหารอันนองเลือดและการปฏิวัติขึ้นในสยาม
ตัวละครหลัก “คอนสแตนติน ฟอลคอน” รับบทโดยเดวิด อัศวนนท์, พระเพทราชา รับบทโดยวิทยา ปานศรีงาม , ท้าวทองกีบม้า รับบทโดย มิญช์ภัส งามเกิดธีรสีห์ และหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) รับบทโดย ปริญญา อินทชัย (เวย์ ไทเทเนียม)
ได้แต่หวังว่า โปรเจ็กต์จะไม่เงียบหายไปกับสายลม