บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 3
บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา
เกศสุรางค์นิ่ง และเตรียมพร้อมแล้วว่าต้องเจอคำถามนี้
"ข้าถามใยทำหน้านิ่งอย่างนั้น"
"ไม่ทราบจะตอบยังไงค่ะ"
"ตอบที่ข้าถามสิ"
"ทำไมถามอย่างนั้นล่ะคะ"
"เอ๊ะ...ออเจ้านี้ประหลาดสิ้นดี"
"จริงนี่คะ ก็ข้าไม่เข้าใจที่...เอ้อ...คุณหมื่นถาม จะถามทำไม ก็คุณหมื่นรู้จักดิฉัน เอ๊ย...รู้จักข้าดีนี่คะว่าฉัน เอ๊ยข้าเป็นใคร" เกศสุรางค์พูดเร็วจนสรรพนามสับสน บ่นฮุบกับตัวเอง "เฮ้อ...ยากจริงวุ้ย"
หมื่นสุนทรเทวากวาดตามองเกศสุรางค์ ตั้งแต่ดูหน้า ดูเลื่อนลงมาทั้งตัว สายตาเข้มจัด
"โห...หยั่งกะเครื่องเอ็กซเรย์" เกศสุรางค์พึมพำเบาๆ
หมื่นสุนทรเทวาปราดเข้ามาถึงตัว จับไหล่สองข้างไว้แน่น มองจ้องหน้า
"ออเจ้าพูดอะไร... พูดใหม่อีกที"
"เปล่าค่ะ แค่รำพึงรำพัน"
หมื่นสุนทรเทวาบีบไหล่เข้าไปอีก จนเกศสุรางค์หน้านิ่ว...รู้สึกเจ็บ
"ไม่ใช่ ออเจ้าพูดอะไรที่ฟังประหลาด นั่นคือภาษาอะไร"
"เจ็บนะคะ"
หมื่นสุนทรเทวาไม่ฟังเสียง เขย่าแรงๆ "ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ ออเจ้าเป็นใคร"
เกศสุรางค์หัวสั่นหัวคลอน "เป็น...กา...ระ...เกด สิคะ"
"ไม่จริง" หมื่นสุนทรเทวาสะบัดออกไปจนกระเด็น
เกศสุรางค์ถลาหัวซุกหัวซุน
เกศสุรางค์พึมพำ "โห...ผู้ชายอยุธยาทำไมโหดหยั่งเงี๊ยวะ"
หมื่นสุนทรเทวาเดินเข้ามาหาท่าทางคุกคาม "ว่าอย่างไร"
เกศสุรางค์ถอยหนีอย่างเร็ว "อย่านะคะคุณหมื่น ฉันสู้นะ" นางกำหมัด ตั้งท่า
หมื่นสุนทรเทวาชะงักกึก มองจ้องด้วยประหลาดใจมาก
"ออเจ้าว่าอะไรนะ"
"ฉันสู้" เกศสุรางค์ยกกำหมัดสูงอีก
"ออเจ้าเสียสติ...วิปลาสไปแล้ว เป็นแม่หญิงจะลุกขึ้นมาสู้กับผู้ชาย ข้าไม่เคยเห็น"
"ทำไมคะ ผู้หญิงผู้ชายก็คนเหมือนกันนะคะ" เกศสุรางค์สวนคำทันควัน
หมื่นสุนทรเทวาชะงักกึก มองเกศสุรางค์เหมือนถูกผีเข้า
ฝ่ายเกศสุรางค์รู้สึกตัวว่าพูดมากไป จึงหันหลังกลับ
คุณหญิงจำปาเดินข้ามชานเรือนมา
"เดี๋ยว"
เกศสุรางค์ไม่ฟังเสียงหมื่นสุนทรเทวา
"ข้าบอกว่าเดี๋ยว...หยุดเดี๋ยวนี้ หมื่นสุนทรเทวาเดินตาม
เกศสุรางค์ปิดประตูใส่หน้า
หมื่นสุนทรเทวายกมือจะดันเข้าไป
เกศสุรางค์ลั่นดาล เสียงดังกริ๊ก
หมื่นสุนทรเทวาทุบประตูแรง...แรงขึ้น...แรงขึ้น
"เปิดประตูประเดี๋ยวนี้"
คุณหญิงจำปาเดินมาเร็วๆ "มีอันใดกันพ่อเดช...เสียงดังเอะอะ"
"เปิด...ประตู"
"นางเป็นอะไร"
"นางวิปลาส"
"โอ๊ย พ่อเดชพึ่งจะรู้หรือนี่ ทั้งเรือนรู้ทั่วกันแล้วว่านางวิปลาส"
หมื่นสุนทรเทวาหยุด สีหน้ายังคงงุนงงสงกา
เกศสุรางค์ยืนพิงประตู เงยหน้าสูงเพื่อไม่ให้น้ำตาหยดลง กลั้นสะอื้นสุดความสามารถ สีหน้ากลัดกลุ้ม อัดอั้นตันใจที่สุด
สองบ่าวแหงนหน้าจ้องมอง หน้าเหวอทั้งคู่
เกศสุรางค์ขยับตัว ปาดน้ำตาเร็วๆ
สองคนปราดเข้ามา แต่เกศสุรางค์ยกมือห้ามฉับพลัน
สองบ่าวเบรกเอี๊ยด
"เดี๋ยวค่อยคุยกัน...คิดอะไรก่อน"
สองคนเหวอแล้วเหวออีก
เกศสุรางค์ไปที่เตียง โถมตัวลงนอนคว่ำ
ผินยกมือปิดปาก
"ว๊าย..."
"พี่สองคน...อยู่เงียบๆนะ อย่าส่งเสียงเป็นอันขาด"
สองคนหุบปากนิ่ง
เกศสุรางค์สีหน้าคิดตรึกตรอง คิ้วขมวดแทบจะผูกกัน
สองคนนั่งจับเจ่ามองจ้อง สีหน้าจงรักภักดี
เกศสุรางค์กระเด้งตัวขึ้นนั่ง สองคนผวาอีก
"นี่คืออยุธยาใช่มั้ยพี่"
ผิน/แย้มรับคำ "เจ้า...เจ้า...เจ้าค่ะ"
"คิงชื่ออะไร"
ผิน/แย้มต่างถาม "อะไรนะเจ้าคะ"
"ในหลวงน่ะชื่ออะไร"
"อ๋อ หมายถึงขุนหลวงใช่มั้ยเจ้าคะ"
"อือม์...ใช่มั้ง บอกชื่อมาก่อน"
"ขุนหลวงนารายณ์เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์พ่นควันออกจากปากแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ พึมพำ
"พระนารายณ์...พระนารายณ์ ปีอะไรหว่า" เกศสุรางค์เกาหัว "ปี...เสียกรุงครั้งที่ 1 ปี 2112
รัชกาลพระมหินทร์ พระนารายณ์อยู่ที่หลัง ก่อนพระเพทราชา ก็คงประมาณปี..."
เกศสุรางค์หยุดกึก
สองคนอ้าปากหวอ มองจ้อง
"เอาล่ะ ข้าจะแปรงฟันแล้วนอนล่ะ...ง่วงแล้ว"
เกศสุรางค์ลุกขึ้น เดินรวดเร็วไปที่ประตู
สองคนยังนั่งอยู่
"อ้าว พี่ไม่ไปเหรอ แปรงสีฟันอยู่ที่ไหน" เธอนึกได้ทันที "เอ้อ...ไม่ใช่...ข่อยน่ะ
กิ่งข่อยน่ะใช้สีฟันใช่มั้ย"
กลางคืนต่อเนื่องมา เกศสุรางค์ใช้กิ่งข่อยสีฟันไปมา สีไปบ่นไป
"เค็ม"
ผินตอบเบาๆ "ก็แม่นางจิ้มเกลือไปตั้งเยอะ"
เกศสุรางค์พูดทั้งปากยังเลอะ
"ใช่น่ะสิ ทำไมเกลือเมืองนี้เค็มปี๋เลย"
"ไม่เคยเห็นใครถูฟันตอนกลางคืนเลยเจ้าค่ะ" ผินบอก
"นี่ไง...เห็นซะสิ"
ผินหัวเราะขำ ฟันดำทั้งปากน่ารัก
"สวยนาพี่ผินเนี่ย"
"วู้ย...กระดากเจ้าค่ะ"
"ยอมรับ"
"เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์หัวเราะดังลั่น
ด้านหนึ่ง หมื่นสุนทรเทวายืนมองเขม็ง แม้จะไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไรกัน แต่เห็นว่าเกศสุรางค์หันมาพูดแล้วหัวเราะกันสองคน
หมื่นสุนทรเทวาขยับออกมาอีกนิดจากเงามืด
เป็นเวลาเดียวกับเกศสุรางค์มองเลยมา สบตากันพอดี
ทั้งคู่นิ่งมองกัน
เกศสุรางค์แปรงฟันเสร็จแล้ว ค่อยๆละสายตาด้วยท่าทีกวนประสาทนิดๆ แล้วเดินกลับห้องไปอย่างเร็ว
เธอเดินผ่านหมื่นสุนทรเทวา เหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นใยบางๆระหว่างกัน
หมื่นสุนทรเทวามองตามเกศสุรางค์จนลับตา
บนเตียงในมุ้ง ตอนกลางคืน ต่อเนื่อง
เกศสุรางค์พนมมือสวดมนต์อย่างคุ้นชิน เพราะประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นประจำ เธอมีสีหน้าแน่วแน่ หลังสวดมนต์บทสุดท้ายเสร็จสิ้นลง จึงกราบหมอนสามครั้งแล้วล้มตัวลงนอน
เกศสุรางค์นอนลืมตามองเพดาน สีหน้าในหลายความรู้สึก ทั้งคิด ไตร่ตรอง งุนงง หวาดหวั่น หลายๆอารมณ์ คิดถึงแม่ คิดถึงคุณยาย ...
สองบ่าวเหน็บมุ้งให้เกศสุรางค์จนเรียบร้อย
เช้าตรู่ ที่บ้าน ...
คุณยายนวลกับแม่สิปางนั่งด้วยท่าทางเศร้าโศกสุดๆ
เกศสุรางค์สะอื้นน้ำตาไหล ทั้งๆยังหลับอยู่
หน้าบ้าน คุณยายและแม่กำลังใส่บาตร ทั้งสองคนอธิษฐานนิ่งนาน
เสียงไก่ขัน ประสานกับเสียงนกกาเหว่า ร้องก้อง
เสียงไก่ขัน เสียงนกกาเหว่า เมื่อตอนเช้ามืด
เกศสุรางค์ลืมตา นิ่งอึ้งอยู่สักครู่ กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ ตรึกตรองอยู่สักครู่ ตัดสินใจ
"เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว"
บริเวณบ้านภายนอก ตอนเช้ามืด ต่อเนื่อง
บ่าวผู้ชายเดินดับใต้ที่จุดตามไว้ที่ต่างๆ เสียงไก่ยังขันอยู่
บ่าวหญิงบางคนเดินเร่งรีบไปทำงาน บางคนถือไข่ที่เพิ่งเก็บมาเต็มสองมือ อีกสองคนถือหลัวที่ใส่พืชผักเต็ม ต่างช่วยกันถือคนละหลัว
บ่าวชายอีกสองคนหิ้วครุ (ภาชนะสานทึบ ยาด้วยน้ำมันยาง สำหรับตักน้ำ) คนละ 2 ใบ เดินเร็วๆมาจากท่าน้ำ และอีก 2 คนหิ้วครุมารดน้ำที่ต้นข่อยที่ตัดแต่งเป็นรูปกลมๆ และต้นไม้ที่ปลูกเป็นพุ่ม เช่น ต้นมะลิ เป็นต้น
เกศสุรางค์สีฟันด้วยกิ่งข่อย จิ้มเกลือ สีเร็วๆ ไปมา ใช้กะลามะพร้าวตักน้ำจากโอ่งใบย่อมๆตรงนั้น มาล้างหน้า จนเสร็จกิจเรียบร้อยหันกลับมา ...
หมื่นสุนทรเทวายืนมองอยู่ ทั้งคู่มองสบตากันปังใหญ่ !
เกศสุรางค์เสียบกิ่งข่อยของตัวเองกับรอยแตกของฝาตรงนั้นแล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว
หมื่นสุนทรเทวายืนนิ่ง สายตาบ่งบอกความรู้สึกประหลาดที่เริ่มจะเกิดขึ้นกับเธอผู้นี้
ภายในห้อง สองบ่าวแต่งตัวอย่างรีบเร่ง รวดเร็ว เพราะเกศสุรางค์เร่งอยู่ บ่าวรีบ มือเป็นระวิง จนเสร็จ
ผิน/แย้มบอก "เสร็จแล้วเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เดินออกอย่างรวดเร็ว พูดกับตัวเอง
"เฮ้อ...ก.ก.น.ไม่ได้ใส่จะเดินยังไง้ อายแผ่นดินตายเลย"
สองบ่าวเหวออีก ... ก.ก.น. ศัพท์แปลกๆ ไม่เคยได้ยิน
เช้าต่อเนื่อง บ่าวหญิงเช็ดถูบ้าน บริเวณชานเรือน แต่กิริยาเนิบนาบจนเห็นได้ชัด
คุณหญิงจำปากับบ่าวคนหนึ่งช่วยกันพับดอกบัว กิริยาเนิบนาบเช่นกัน
จำปาคุยเบาๆถามจวง "เอ็งเตรียมของไว้กี่องค์"
"ห้าเจ้าค่ะคุณหญิง"
"เอ๊ะ วันนี้วันพระใช่ฤๅไม่"
"อู๊ย ถ้าวันพระบ่าวก็เตรียมไว้สิบสิเจ้าคะ คุณหญิงก้อ"
"นังจวง...กำเริบล่ะเอ็ง"
บ่าวหัวเราะคิกคัก
เกศสุรางค์เดินเข้ามาในจังหวะนั้น แล้วถาม
"ใส่บาตรหรือคะ"
สองคนปิดสวิชท์คำสนทนาทั้งหลายสิ้น หันขวับมา
เกศสุรางค์ยืนอยู่ ห่างออกไปพอสมควร
คุณหญิงจำปาดึงหน้าตึงทันที
"แม่การะเกด...ออเจ้าไม่มีจดไม่มีจำเลยฤๅ"
ผินกับแย้มดึงตัวเจ้านายสาวเต็มแรง จนเกศสุรางค์นั่งกระแทกตัวลงกับพื้นอย่างแรง
"เออ...จริงด้วย ขอบคุณนะพี่"
คุณหญิงจำปาปรายตาเหล่มองทันที เมื่อได้ยินเกศสุรางค์เรียกพี่
"แม่การะเกด ออเจ้าเรียกนางผินนางแย้มว่ากระไรนะ"
"เอ่อ..." เกศสุรางค์ชะงัก รีบเปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจทันควัน
"พับดอกบัวหรือคะ ข้าช่วยนะคะ"
เกศสุรางค์จะเอื้อมมือไปหยิบดอกบัว
"เดี๋ยว..." คุณหญิงจำปาเอื้อมมือหยิบดอกบัวจากมือเกศสุรางค์ออกไป แล้วถามย้ำกับเรื่องเดิม
"ออเจ้าเรียกมันว่ากระไร ข้าถามทำไมทำแชเชือนไม่ตอบ"
"ก็เรียกพี่ค่ะ พี่ผิน พี่แย้ม"
คุณหญิงจำปา กดหน้าต่ำ หรี่ตามอง สงสัย แปลกใจเป็นที่สุด
"พี่ผิน พี่แย้มรึ"
แม้เกศสุรางค์จะรู้ว่า เป็นการเรียก แบ่งสถานะที่ไม่ถูกต้องระหว่างคนเป็นนาย - บ่าว แต่อุบอิบ พูดเสียงเบา
"ค่ะ เขารับใช้เกศอย่างดี เกศก็เลยเรียกพี่ให้เขาชื่นใจ"
คุณหญิงจำปาร้องเสียงหลง
"ออเจ้าเรียกตัวเองว่ากระไรนะ"
"โอย...ผิดอีกแล้ว" เกศสุรางค์พึมพำกับตัวเอง "เอ่อ..." เธอมองผินกับแย้มราวกับจะหาตัวช่วย
เกศสุรางค์แก้ปัญหาด้วยการนั่งลงเร็วๆ หยิบดอกบัวมาพับรวดเร็ว
แล้วคำพูดของยายนวลก็เข้ามาในความคิด ....
"มาช่วยยายพับดอกบัว"
"โอย...ไม่อยากค่ะคุณยาย"
"คนเรา...จะทำเฉพาะที่อยากไม่ได้หรอกลูก"
คุณหญิงจำปามองเกศสุรางค์พับดอกบัว ทว่าสายตามองยังไม่ชอบใจเหมือนเดิม น้ำเสียงเหยียด ดูหมิ่น
"ออเจ้าทำได้เหมือนกันฤๅนี่"
เกศสุรางค์ยิ้มหวาน "ค่ะ...ขอไปตักบาตรด้วยได้มั้ยคะ"
ภูมิทัศน์อยุธยา ริมน้ำภายในเขตตัวเมือง เป็นคลองไม่กว้างนัก มีเรือหลายลำพายสวนกันไปมา บางลำบรรทุกมะพร้าวสุ่มลำเรือ บางลำบรรทุกถ่านใส่หลัวใหญ่ๆ บางลำก็มีแต่พ่อแม่ลูกและคนอื่นๆ 4-5 คนนั่งเต็มลำเรือ และเรือบรรทุกอื่นๆ ฯลฯ
บ้านหลังนี้ของออกญาโหราธิบดีอยู่ริมคลองแกลบที่แยกมาจากแม่น้ำ
เกศสุรางค์ใส่บาตร โดยพยายามชำเลืองมองดูคุณหญิงว่าทำอย่างไร ของใส่บาตรทุกอย่างล้วนใส่กระทงใบตอง จึงเป็นของคาวประเภทแห้งๆ เช่น พะแนง ผัดเผ็ด ทอดมัน หรือปลาทอด น้ำพริก
คุณหญิงจำปาคุยกับพระสงฆ์ที่พายเรือมารับบาตร
"วันนี้ได้ปลาดุกเจ้าค่ะ ท่านชอบฉันผัดเผ็ด ข้าสั่งให้ใส่กระชายเยอะๆเจ้าค่ะ"
"พระเลือกฉันไม่ได้นะโยม"
คุณหญิงใส่บาตรไปคุยไป พระโต้ตอบกันเบาๆ
จนสุดท้าย เมื่อเสร็จเรียบร้อย พระสวดให้พรดังก้องคุ้งน้ำ
คุณหญิงเดินนำจากท่าน้ำไปยังชานเรือนด้วยกิริยานุ่มนวล
เกศสุรางค์เดินมาข้างๆ กิริยาสบายๆแบบสาวสมัยใหม่ คือเดินตัวตรงเป็นสง่า และตีคู่ไปกับคุณหญิง
ผิน แย้มมองอย่างวิตก อยากไปดึงตัวออกมา
คุณหญิงจำปามองเห็นเหมือนกัน แต่ทำเฉยไม่เอ่ยปากแต่อย่างใด
"วันนี้ไม่ใช่วันพระ ใส่บาตรแค่ 5 องค์ ต่อถึงวันพระ เราก็จะไปวัดไปฟังเทศน์"
เกศสุรางค์สวนบอกทันที
"ไปด้วยนะคะ ไปทำสังฆทาน"
"เจ้าอยากก็ไปด้วย นังสองคนนี้ไม่ต้องไป อยู่เรือนเก็บกวาดห้องเจ้านายของเจ้า"
ผิน/แย้มรับคำ"เจ้าค่ะ"
"ไม่ไปวันนี้หรือคะ"
"อีกหลายวันถึงจะวันพระ"
"งั้นไปตลาดได้มั้ยเจ้าคะ"
"จะไปก็ย่อมได้" คุณหญิงจำปาหยุดเดิน หยุดสนทนาชั่วครู่ หันมามองร่างการะเกดตรงหน้า นัยน์ตาเคร่ง "กิริยาเช่นนี้เขาเรียกตีเสมอผู้ใหญ่ ใครที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนถึงจะทำ" แววตานั้นมองเหยียด ก่อนจะปิดท้ายด้วย "น่ารังเกียจยิ่งนัก"
เกศสุรางค์หน้ารู้สึกผิด ยกมือไหว้
"เจ้าค่ะ ไม่ทำอีกเจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาเดินขึ้นเรือน เกศสุรางค์เดินตามหลัง หน้าตาม่อยสลด ขณะนั้น ออกญาโหราธิบดีกับหมื่นสุนทรเทวายืนพูดกันเบาๆ
"พ่อเดช"
"ครับคุณแม่"
"แม่การะเกดจักไปตลาดผ้าเหลือง ซื้อไตรจีวรทำบุญ ออเจ้าพาไปด้วย"
"เพ-ลาชายนะขอรับคุณแม่ ข้าถึงว่าง"
หมื่นสุนทรเทวาพูดจบเหลือบมาสบตากับเกศสุรางค์ นัยน์ตาเข้มจัด เกศสุรางค์หน้างงๆ
คุณหญิงจำปาเสียงเรียบเฉย แต่ไม่ดุ
"ได้ยินแล้วนะ เพ-ลาชายออเจ้าเตรียมตัวไปกับพี่เขา"
เก็บความสงสัยเรื่องเวลา ... จนถึงห้องนอน เกศสุรางค์ก็โพล่งถามบ่าวทั้งสอง
"เพ-ลาชาย...มันเวลาใดจ๊ะพี่"
"ไฮ้...ไม่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ" ผินว่า
"ก็บอกแล้วว่าลืม...ลืม มันคือตอนไหนหรือพี่" เกศสุรางค์แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
"ตอนบ่ายเจ้าค่ะ แม่นายท่านเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ"
บนชานเรือน บ่าวหญิงทำหน้าที่ตัวเอง ขัดถูเครื่องเงิน เครื่องทองเหลือง
เกศสุรางค์ชะเง้อคอยตามนัด
"นี่มันบ่ายมากแล้วนะพี่ผินพี่แย้ม ทำไมตาหมื่นยังไม่มา"
สองบ่าวอ้าปากค้าง เกศสุรางค์มองไปทางสายน้ำเบื้องหน้า ยังไม่เห็น แล้วหันมา
"พี่...เป็นอะไร"
สองคนตกใจ
"ทำไมเรียกคุณพี่อย่างนั้น คุณพี่เป็นคู่หมายนะเจ้าคะ" แย้มว่า
หมื่นสุนทรเทวาขึ้นบันไดเรือนมาพอดี หยุดชะงักได้ยินเสียงแย้ม
เกศสุรางค์เสียงดังมาก"หา...ว่าอะไรนะ"
"ตายแล้วแม่นาย...ค่อยๆสิเจ้าคะ"
"อย่าเพิ่งพูดมากความ คุณหญิงอยู่ด้านใน" ผินดึงมือแย้มไป
"อ้าว...อะไรวะ พี่ผินพี่แย้ม เดี๋ยวสิมาพูดกันก่อน"
เกศสุรางค์ดึงแขน จนผินกับแย้มหันมา แล้วยอบตัวลงนั่ง
เกศสุรางค์เดินเข้าไปหา
"พี่บอกว่าข้ากับอีตาหมื่นขี้เก๊กนั่น เป็น...เป็นคู่หมายกัน จริงหรือพี่...ตาย...ตายแน่ๆ ไม่แช่แป้งเลย จริงเหรอเนี่ย"
"จริงเจ้าค่ะ อะไรเจ้าคะ แม่นายลืมสิ้นจริงๆหรือเจ้าคะ" ผินว่า
"ก็ไม่ลืมหรอก...จริงเหรอเนี่ย"
"อ้าว ไหนบอกไม่ลืมไงเจ้าคะ" แย้มว่า
"ไม่ลืมจริงๆ ถามให้แน่ใจเท่านั้น"
ผินยืนยัน "เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์นิ่งงันไป สีหน้าว้าวุ่น
แย้มบอก "อีกไม่นานต้องตบแต่งแล้วเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ถอนใจยาว ถามกระซิบว่า
"พี่ทั้งสอง ข้ากับท่านหมื่นรักกันไหม"
หมื่นสุนทรเทวาขึ้นบันไดปังๆมาทันที
เกศสุรางค์ยืดตัวตรง พึมพำเบาๆ
"เฮ้อ เห็นหน้าก็รู้ ไม่ต้องถามก็ได้"
"นังผินนังแย้ม พร้อมหรือยัง"
ผิน/แย้มบอก "เจ้าค่ะ"
หมื่นสุนทรหันไปเรียกบ่าว "อ้ายจ้อย ไปไหน"
จ้อย คนรับใช้คนสนิทของหมื่นสุนทรเทวา ขึ้นบันไดมา
"ไปเรียกบ่าวมาสามคน จัดเรือสามลำ อ้ายจ้อยเอ็งพายเรือให้ข้ากับแม่หญิง อ้ายแหวนอ้ายม่วงไปเรืออีกลำคอยแลแม่หญิง อ้ายยอดเอ็งพายเรือให้นังบ่าวสองคน"
พูดขาดคำหมื่นสุนทรเทวาเหลือบนัยน์ตาคมกริบมองเกศสุรางค์
เกศสุรางค์มองตอบ... เชอะ ! ไม่กลัวหรอก
หมื่นสุนทรเทวาเลยหันกลับ ลงบันไดไป
"ไปพี่ผินพี่แย้ม...เร็ว"
ผิน/แย้มรับคำ "เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์เดินแกมวิ่งไปถึงบันได
ผินบอก "แม่นายเจ้าขา วิ่งอย่างนั้นมิงามเลยเจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์หันมาหน้ายิ้มแฉ่ง แต่เท้าไม่ยักจะหยุด
"จะได้ไปเที่ยว...ดีใจ"
เกศสุรางค์หันกลับไป เป็นเวลาเดียวกับที่หมื่นสุนทรเทวาก้าวกลับขึ้นมา
เหมือนเจอไฟล์บังคับจากบุพเพฯที่เริ่มจะอาละวาด ทั้งคู่ชนกัน เปรี้ยง ! เซกันไปทั้งคู่
หมื่นสุนทรเทวากอดอ้อมอย่างเต็มมือ เพื่อไม่ให้ล้ม
เกศสุรางค์เงยหน้าขึ้นไป เจอะหน้าผู้ชายที่ดุที่สุดในโลก
ทุกอย่างนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจ
บ่าวสองคนตกใจ มือปิดปากไม่ให้ตัวเองร้อง
หมื่นสุนทรเทวาปล่อยจนเกศสุรางค์แทบล้ม
"โอย..."
"วิ่งใยกัน กิริยามิสมเป็นลูกหลานพระยา"
"กลัวไม่ทันค่ะ เห็นคุณหมื่นวิ่งลงบันไดไป"
"ใครจะปล่อยให้ไม่ทัน"
"ค่ะ...ขอบคุณ"
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้าฉงนสนเท่ห์เหลือเกินกับสำนวนวาจาประหลาดๆ
"คะ ? มีอะไรอีกคะ"
"อ้ายจ้อย...อยู่ไหน"
ผินถาม"ท่านหมื่นจะให้จ้อยหยิบอะไรเจ้าคะ บ่าวไปหยิบให้เจ้าค่ะ"
หมื่นสุนทรนิ่งสักครู่
"ห่อเงินข้าวางไว้บนโต๊ะในห้องข้า"
หมื่นสุนทรเทวาหันหลังไปทันที
เกศสุรางค์หันมาหลิ่วตาให้สองบ่าว แล้วโลดแล่นตามไป ผินหันกลับไป
พวกบ่าวที่ทำงานถึงกับหยุดงาน มองกันเหวอๆ น่าขำทุกคน
บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 3 (จบตอน)
หมื่นสุนทรเทวาก้าวลงเรือที่จ้อยจอดคอยอยู่อย่างสบายๆเหมือนเดินบนพื้น ไปนั่ง
เกศสุรางค์จะตาม แต่เผอิญหัวเรือเหออกไป เกศสุรางค์ชะงัก หมื่นสุนทรเทวามองสายตาเข้มว่าทำไมไม่ลง
เกศสุรางค์จดๆจ้องๆ แล้วก้าวลงไป สีหน้าตั้งใจอย่างมาก พอก้าวลงเรือได้ก็ยืดตัว ยิ้มแฉ่งกับแย้มที่อยู่ในเรืออีกลำ แถมยกหัวแม่มือว่าตัวเองเก่ง !
เรือโยนนิดหน่อย
เกศสุรางค์เสียหลัก เซไปนั่งบนตักของหมื่นสุนทรเทวาอีก ชนิดเต็มๆเลย
ทุกคนตรงนั้นที่เห็นเหตุการณ์ตกใจไปตามๆกัน
เกศสุรางค์หันไปดูหน้า แล้วพบว่า ... หน้าต่อหน้าใกล้กันเหลือเกิน
หมื่นสุนทรเทวาปล่อยแขนที่รวบตัวไว้เต็มๆ จงใจปล่อยแรงๆอีกครั้งหนึ่ง
เกศสุรางค์รีบพาตัวลุกขึ้นมานั่งห่างกลางลำเรือ
"ขอโทษค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวาสั่ง
"ไปสิอ้ายจ้อย มัวช้าอยู่ใย"
ผินวิ่งมาลงเรือรวดเร็ว ส่งห่อเงินให้หมื่นสุนทรเทวาแล้วไปเรืออีกลำ
อ้ายจ้อยค่อยๆพายเรือออก พลางถามว่า
"ตัดเข้าประตูนี้ถึงป่าผ้าเหลืองเลยขอรับท่านหมื่น"
"ไม่ต้อง...ออกแม่น้ำไปเลย"
เรืออีกสองลำตามกันไป
เรือแล่นไปตามลำน้ำในคลองเล็กภายในเกาะอยุธยา สองข้างเป็นเรือนแพ ผู้คนทำงานกันตามเรือนต่างๆ เช่น อาบน้ำ ซักผ้า ตั้งครัว ทำกับข้าว เลี้ยงลูก ฯลฯ
เกศสุรางค์มองตื่นตาตื่นใจมาก แต่ก็ระงับกิริยา
"อยุธยา...อยุธยา สมัยพระนารายณ์จริงๆ เห็นกะตาเหมือนที่ลาลูแบร์เขียนไว้ เหมือนคำให้การของชาวกรุงเก่าที่เคยอ่าน"
เกศสุรางค์เหลียวไปอีกทาง คิดถึงใครบางคนในใจ
"เรือง...ไอ้เรือง คิดถึงแกจัง แกบ่นว่าอยากเห็นอยุธยาตามที่เราอ่านกันมา นี่ไง...ฉันเห็นแล้ว ของจริงเลยแกเอ๋ย"
แล้วเกศสุรางค์ก็ตาโต ! กับภาพตรงหน้า
ผู้หญิงชาวบ้านสองคนคุยกัน คนหนึ่งยืน คนหนึ่งนั่งยองๆ เจียนหมาก กัดหมาก คนนั่งยองไม่ใส่เสื้อ มีผ้าพาดไว้พอวับแวม
"เฮ้ย ไอ้เรือง ฉันเห็นจริงๆ ประวัติศาสตร์ไม่ผิดเว้ย ผู้หญิงสมัยนี้พอแก่ลงก็ปล่อยตัว ผ้าผ่อนท่อนสไบบางทีก็ไม่ใส่ ไม่มีใครเห็นแปลกด้วย"
เรือผ่าน แต่เกศสุรางค์หันมองจนเหลียวหลัง
หมื่นสุนทรเทวาสังเกตมาตลอดทาง ถาม "มองอะไร"
เกศสุรางค์หลังจากเพลิดเพลินมานานก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอีตาหมื่น "เปล่าค่ะ"
เรือยังคงแล่นไปเรื่อยๆ ที่ลำน้ำ มีเรือหลายลำ คนนั่งเรือมีทั้งชาวบ้าน ขุนนาง เรือบางลำมีประทุน มีหญิงผู้ดีแต่งตัวสวยนั่งอยู่ บางลำหญิงชายแต่งตัวสวยงามกางร่มนั่งอยู่ และมีบางลำ มีฝรั่งชาติโปรตุเกสนั่งอยู่
"พวกโปรตุเกสใช่มั้ยคะ" เกศสุรางค์ถาม
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้ายังระแวง ไม่ไว้ใจ ตอบสั้นๆ "ใช่"
"เก๊าะไม่แน่ อาจเป็นพวกฮอลันดา"
"ถ้าข้าไม่รู้แน่ จะตอบออเจ้าได้อย่างไร"
"อ้าว...ฟะรังคีเหมือนกัน"
หมื่นสุนทรเทวาตอบทันควัน
"แต่แต่งตัวไม่เหมือนกัน"
"จริง...เจ้าค่ะ"
เรือแล่นใกล้ประตูช่องกุดเข้าไปทุกที
"ประตูช่องกุดใช่มั้ยคะ เราอยู่แม่น้ำอะไรคะเนี่ย"
"ด้านนี้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยา"
"อ๋อ งั้นแม่น้ำลพบุรีอยู่ทางโน้น"
"ออเจ้าไม่เคยไปรู้ได้อย่างไร"
"ก็เรียนมาไงคะ"
เกศสุรางค์เอ่ยประโยคนี้แบบลืมตัว นัยน์ตาก็ยังมองทางโน้นทางนี้ไปเรื่อย แล้วอึดใจหนึ่งก็รู้ตัว หันไปดูหน้าหมื่นสุนทรเทวา ที่มองจ้องเขม็ง มีแววสงสัยเต็มที่
เกศสุรางค์ไม่แสดงพิรุธใดให้เห็น พูดอย่างชิลล์ๆว่า
"เจ้าคุณพ่อสอนค่ะ ฉันเรียนจากเจ้าคุณพ่อ"
"ออเจ้าพูดแต่ละอย่าง มีความจริงอยู่กี่มากน้อย"
"เต็มร้อยค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวางง ฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่อยากสาวความยาวกับนาง
เกศสุรางค์มองไปด้านหลังของหมื่นสุนทรเทวาแล้วตาโต อ้าปากค้าง
"เห็นอะไร"
"วัดไชย...วัดไชยวัฒนาราม..." เกศสุรางค์ชี้มือไป ... "โน่น ใช่มั้ยคะ"
วัดไชยวัฒนาราม สวยงามอร่ามเรือง ตั้งตระหง่าน
"ใช่...วัดไชย"
"บ้านเราอยู่ใกล้ๆกับวัดไชยหรือคะเนี่ย"
เกศสุรางค์ดูตื่นเต้นไปหมดกับวิว ทิวทัศน์ และประวัติศาสตร์แต่หนหลัง
หมื่นสุนทรเทวาพยักหน้าแทนคำตอบว่า ใช่ !
เกศสุรางค์มองไปแล้วใจรอนๆ คิดถึงวันที่ตัวเองเดินอยู่กับเรืองฤทธิ์
"ฉันอยู่ที่นั่นในวันสุดท้าย" เกศสุรางค์พึมพำเบาๆ
"ออเจ้าว่ากระไรนะ"
เกศสุรางค์ส่ายหน้านิดๆ มองไปไกลๆ ข่มความรู้สึกโหวงเหวงในอก คิดถึงทุกคนที่บ้านเหลือเกิน น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
หมื่นสุนทรเทวาฉงนเหลือเกิน แต่หัวใจก็อ่อนลง
เกศสุรางค์หันหลังให้หมื่นสุนทรเทวา มองไปด้านหน้า
หมื่นสุนทรเทวาสั่ง
"อ้ายจ้อย เอ็งพายเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆหนา แล้วเข้าพระนครทางปากตูคลองฉะไกรน้อย"
"ไปป่าผ้าเหลืองมิใช่หรือขอรับ"
"ฮื่อ"
"อ้อม"
หมื่นสุนทรเทวานิ่งไปนิด "ก็อ้อมไป"
"ขอรับ"
เกศสุรางค์หันมาดู รับรู้ว่าเขาจะพาไปเที่ยว เลยยิ้มแจ่มใส
หมื่นสุนทรเทวาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ หน้านิ่งเหมือนเดิม
"ฟอร์ม"
หมื่นสุนทรเทวาเหลียวขวับตามเสียง
เกศสุรางค์ยกมือไหว้ "ขอบคุณค่ะ"
เกศสุรางค์เห็นหน้าคุณหมื่นที่เก๊กจัด แล้วหันมา...ยิ้มขำ
รือแล่นตามกันมายังบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาอีกมุมหนึ่ง
"ซ้ายมือนี้ป้อมอะไรคะ"
"ป้อมปากคลองขุนละครไชย"
"คลองขุนละครไชย คลองสายที่เข้าไปในพระนคร"
"ใช่ ผ่านประตูช่องกุดนั้น คลองนี้ยาวไปออกทางแม่น้ำด้านโน้น"
"ทำไมชื่อขุนละครไชยคะ หรือมีละครให้ดู"
"ใช่ ตรงปากคลองมีตลาดบ้านจีน มีโรงเหล้าและโรงละคร โรงงิ้วและโรงน้ำชา"
เกศสุรางค์มองตามไป ... เห็นหมู่ชุมชนตรงปากคลองขุนละครไชย แล่นมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา
"ตรงนี้นี่เอง" แล้วเกศสุรางค์ก็คิดในใจ
"ไอ้เรือง ตรงนี้ไง ซ่องโสเภณีของอยุธยา แกยังบอกว่า อยากมาเที่ยวไง้ นี่ฉันเห็นกะลูกกะตาฉันเชียวนะเว้ย"
เกศสุรางค์มองไปทางแม่น้ำ เลยออกไปหน่อย
"ทางโน้น...เรืออะไรคะ เยอะแยะเลย"
เรือสำเภา เรือลำใหญ่มีหลังคาเป็นกระเบื้องลูกฟูก เป็นเรือขนสินค้า อยู่เป็นกลุ่มหลายลำ
"เรือสินค้า ทั้งของหลวง ทั้งของพ่อค้า ตรงนั้นเป็นบ้านของพระยาราชบังสันคอยดูแลระวางเรือให้ขุนหลวง ทางโน้นถัดไป..."
เห็นยอดโบสถ์วิหารวัดโผล่รำไรๆ
"วัดพุทไธสวรรค์ บ้านของพระยาวิสูตรสาคร ท่านเป็นเจ้าท่าดูแลแพทั้งพระนคร"
"จริงด้วย แพเยอะจริงๆ คนอยู่ในแพเยอะนะคะ"
"เรือนแพทั้งอยุธยามีเป็นพัน"
เกศสุรางค์เผลอร้องเพลงเบาๆ "เรือนแพ...สุขจริงอิงกระแสธารา..."
พอนึกได้ก็หัวเราะแหะๆ เหลียวมองหมื่นสุนทรเทวา
หมื่นสุนทรเทวาหน้าเอือมระอา มองเมิน
เกศสุรางค์หัวเราะเบาๆ
เรือเลี้ยวเข้าประตูช่องกุด ชื่อประตูคลองฉะไกรน้อย เข้าไปในเขตเมืองชั้นใน
"ประตูช่องกุด"
หมื่นสุนทรเทวามองหน้าขรึม
เกศสุรางค์มองขวามือ "อุ๊ย นี่ก็ตลาด...อะไรคะ"
"ป่าบ้านดินสอ"
"อุ๊ย..."
หมื่นสุนทรเทวามองรำคาญอีกแล้ว
"อยากขึ้นไปค่ะ"
หมื่นสุนทรเสียงดังกว่าปกติ "ถึงแล้ว ป่าผ้าเหลือง"
ป่าผ้าเหลืองอยู่ซ้ายมือ
"เก๊าะคือตลาด คนอยุธยาเรียกตลาดว่าป่า แปลกนะคะ"
เรือจอดที่ท่าเรือขึ้นตลาดผ้าเหลือง ทุกคนขึ้นจากเรือ หมื่นสุนทรเทวาขึ้นก่อน เกศสุรางค์จะขึ้นแต่เรือโยนไปมา ทำให้ต้องรั้งตัวเองก่อน
หมื่นสุนทรเทวายื่นมือมาให้
เป็นเวลาเดียวกับเกศสุรางค์กระโดดขึ้นไปได้พอดี หัวเราะเสียงกังวาน
หมื่นสุนทรเทวาหดมือไป หน้าเก้อๆ
ถนนดินเล็กๆ สองข้างทางมีร้านขายผ้าไตรจีวรละลานตา แล้วยังมีเพิงขายขนม ขายของสดแห้งประปราย ด้านหลังร้านเป็นโรงพักอาศัยทำด้วยไม้ไผ่มุงจาก แม้แต่พื้นเรือนก็ทำด้วยไม้ไผ่
ทั้งหมดเดินกันไป ชาวบ้านที่เดินสวนมามองเกศสุรางค์บ้าง
"แปลกยังไง"
"เอ๊า...ตลาดก็ตลาด เรียกป่าได้ยังไงคะ"
"เพราะว่า ป่าก็คือที่ๆมีต้นไม้มากๆอยู่รวมกัน"
"อ๋อ...เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจ จริงด้วย โห...เจ๋งสุดๆ"
หมื่นสุนทรเทวาหยุดเดิน มองหน้า สงสัยอีกแล้ว
เกศสุรางค์กลบเกลื่อน"อุ๊ย นั่นไง ผ้าไตร...จีวร"
"ที่ผ่านมาก็มีแต่ผ้าไตรกับจีวร มิใช่เพิ่งเห็น"
"ก็ใช่สิคะ มาอยู่รวมๆกัน ก็เลยเรียกป่าผ้าเหลือง" เกศสุรางค์มองหน้า "ซื้อสิคะจะรออะไรอยู่"
เกศสุรางค์เดินไปเลย
หมื่นสุนทรเทวามองตาม สายตาเคร่งเครียด ความสงสัยรุมเร้าอยู่ในใจ
วันเดียวกัน ตอนกลางวัน คุณหญิงจำปากัดหมาก เคี้ยวแล้วบ้วนลงกระโถน เอาผ้าเช็ดปากมาซับปากด้วยท่าทางกรีดกรายนิดๆ
แม่หญิงจันทร์วาด ผู้ได้ชื่อว่า ไฮโซฯเมืองอยุธยา นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า
"มีงานวันไหนรึแม่หนูจันทร์วาด" คุณหญิงจำปาถาม
แม่หญิงผู้นี้เป็นคนโปรดของคุณหญิง
"วันปะรืนเจ้าค่ะคุณป้า เจ้าคุณพ่อให้เรียนว่า ขอบ่าวที่แกะสลักลูกไม้ได้ไปช่วยงานสักสองคน"
"จะเป็นไรไปล่ะลูก เดี๋ยวป้าให้ตามออเจ้าไปเลยตั้งแต่วันนี้ มีงานวันปะรืนคงต้องสลักกันตั้งแต่พรุ่งนี้"
จันทร์วาดพนมมือไหว้นุ่มนวล
"ขอบพระคุณค่ะคุณป้า คุณพ่อท่านให้ชวนคุณพี่เดชด้วยค่ะ ท่านว่าอยากขอเปรียบมือโขกหมากรุกกันอีกซักครั้ง"
"อ๋อ...พี่เขาคงจะไปถ้าเขาว่าง"
"เมื่อไหร่คุณพี่เดชจะกลับหรือเจ้าคะ เพราะหลานอยากเชิญคุณพี่ด้วยตัวเอง"
"อ๋อ เขาพาแม่การะเกดไปเที่ยวตลาด ไปกันนานโขแล้ว อีกไม่ช้าคงกลับแล้วล่ะเจ้า"
สีหน้าแม่หญิงจันทร์วาดหมองลงนิดๆ ครางเบาๆ
"พาไปเที่ยวหรือเจ้าคะ"
ที่ร้านขายไตรจีวร บริเวณตลาดผ้าเหลือง เกศสุรางค์หยิบเลือกดู
แม่ค้ามองเกศสุรางค์อย่างชื่นชม
หมื่นสุนทรเทวายืนมองนิ่งๆ ครั้นเห็นสายตาแม่ค้าก็ทำหน้าเบื่อๆแบบน่าขำ หันมามองเกศสุรางค์ซึ่งหันมาสบตาพอดี
เกศสุรางค์เหลือบมองเห็นสายตาหมื่นสุนทรเทวา "มองอะไรคะ"
หมื่นสุนทรเทวาเมินไปทางอื่นทันที แถมครางเสียง "ฮึ" ในลำคอเบาๆ
เกศสุรางค์หัวเราะเบาๆพองาม ส่งเสียงหวาน
"แม่ค้าจ๋า เอาอย่างละ 3 ชุดนะจ๊ะ"
แม่ค้าอ้าปากค้าง ไม่เคยได้ยินคนพูดเพราะอย่างนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิดมา
ผินถาม"เอ้า...อ้าปากค้างเชียว ทำไม จะขายรึไม่ขายฮึ แม่คู๊น"
แย้มบอก "ใช่ ไม่ขายจะได้ไปร้านอื่น"
"เอ้า นังบ่าว วาจาสามหาวนะมึง ทำไมกูจะไม่ขายวะ" แม่ค้าโวยลั่น
"เห็นมึงทำตาค้าง กูก็นึกว่ามึงจะไม่ขายสิ" ผินบอก
แม่ค้ายิ้มกับเกศสุรางค์บอก
"แม่หญิงเจ้าขา งามเหลือเกินเจ้าค่ะ รูปก็งาม พูดก็งาม... เป็นเมียเหรอเจ้าคะ"
แป่ว ! แม่ค้าถามหมื่นสุนทรเทวา
หมื่นสุนทรเทวาสีหน้าเครียดขึ้นทันที
เกศสุรางค์ชิงตอบ "ไม่ใช่หรอกจ้ะ เป็นคนอาศัยในบ้านจ้ะ"
แย้มรีบเร่ง "แม่นายสั่งแล้ว หยิบให้สิวะ"
"เออ...เออหยิบเดี๋ยวนี้ อุ๊ย เร่งเสียจริงอีนังบ่าว" แม่ค้าหยิบห่อกระดาษส่งให้ "แม่ค้าน่ะเร้อจะไม่อยากขาย ไม่เคยเป็นอย่าเสือกพูด"
เสียงเรียบๆบ่งบอกว่า เป็นการพูดกันธรรมดาแบบปกติ ไม่ใช่ทะเลาะกัน
แต่เกศสุรางค์นั้นเหวอแล้ว ทำไมพูดกู-มึง แต่สุ้มเสียงออกขำๆ แถมผินและแย้มยังหัวเราะ ตอนแม่ค้าพูดจบ
"เออ...วันนึงกูจะมาขายของแข่งกะมึง อีนังแม่ค้าปากตลาด" ผินบอก
แม่ค้าหัวเราะชอบใจ บอก “มาเลย...มาเลย”
หมื่นสุนทรเทวาจ้องเกศสุรางค์ เห็นแล้วว่า งวยงง
เกศสุรางค์หันมามองหมื่นสุนทรเทวา แล้วปรับสีหน้าให้ปกติ
"มองอะไรหรือคะคุณหมื่น"
"ทำไมออเจ้าทำหน้าอย่างนั้น เหมือนไม่เคยได้ยิน"
เกศสุรางค์พึมพำ "นึกว่าเค้าทะเลาะกัน"
"ว่ากระไรนะ"
เกศสุรางค์หลุดอีกแล้ว หาทางเอาตัวรอดดีกว่า
"เอ๊ะ นั่นวัดอะไรคะ" เกศสุรางค์ชะเง้อมอง
หมื่นสุนทรเทวาเหลียวมองตาม พลางถอนใจยาว มองหน้าอย่างรู้ทัน
"คะ...วัดอะไร"
"วัดมงคลบพิตร"
"อ๋อ นี่เราอยู่ใกล้วังหลวงแล้วใช่มั้ยคะ"
"ใช่" หมื่นสุนทรเทวาหยิบเงินจ่ายให้แก่แม่ค้า
"จากตรงนั้นไปนิดเดียวถึงวังหลวง" เกศสุรางค์หันขวับมาทางหมื่นสุนทรเทวา "ไปนะคะ ฉันอยากเห็นวังหลวง"
บริเวณท่าเรือ บ่าวถือของห่อไตรจีวร และยังมีข้าวของอื่นอีกบ้างพอสมควร
เกศสุรางค์เดินว่องไวตามหมื่นสุนทรเทวา แบบไหล่เคียงไหล่
ผินทำท่าบุ้ยใบ้ให้บอก"นังแย้ม แม่นายเดินตีเสมอท่านหมื่น"
"เอ็งบอกสิ" แย้มบอก
ผินทำท่าไม่กล้า
"งั้นก็ปล่อยให้เป็นไป"
เกศสุรางค์เดินท่าทางองอาจ สบายๆ ไปเคียงๆกับหมื่นสุนทรเทวา ใครๆเดินสวนมาล้วนมองทุกคน
"นะคะ...ไปวังหลวงนะคะ"
"วันหน้า"
"แหม..."
อ้ายจ้อยกำลังคุยโม้โอ้อวดกับคนแถวนั้น ได้ยินแว่วๆว่า
"แม่หญิงการะเกดงามจริง ใครไม่ตะลึงเป็นไม่มี เดี๋ยวเอ็งคอยดูให้ดีๆ เพราะแม่หญิงไม่ออกมาให้คนเห็นง่ายๆ" จ้อยว่า
หมื่นสุนทรมอง นัยน์ตาคม เสียงดุ "อ้ายจ้อย..."
อ้ายจ้อยสะดุ้งสุดตัว ลนลาน รีบมา หมื่นสุนทรเทวาจ้องตาดุ อ้ายจ้อยตัวลู่ลง
"ระวังตัวนะเอ็ง"
"ขอรับ"
"ไปตลาดท่าเรือจ้างวัดนางชี"
เกศสุรางค์ยิ้มแป้น ดีใจจะได้ไปเที่ยว
"ส่งข้า แล้วกลับมาพาแม่หญิงกลับไปเรือน พวกเอ็ง" หมื่นสุนทรเทวาบอกบ่าว 2 คน
"รอท่าอยู่กรงนี้"
เกศสุรางค์หุบยิ้มทันที ไม่เป็นดังที่คิดไว้ "ได้ไงคะ"
หมื่นสุนทรหันมา งงๆ ฟังไม่เข้าใจ "ได้อะไร"
"จะทิ้งกันได้ไงล่ะคะ ตลาดวัดนางชีน่ะอยู่ที่ไหนคะ"
สองบ่าวดึงผ้านุ่ง เตือนไม่ให้ต่อคำ
"อยู่หน้าชุมชนโปรตุเกส"
เกศสุรางค์ไม่สนใจสองบ่าว
"จริงหรือคะ ให้ข้าไปด้วยนะคะคุณหมื่น ฉัน เอ๊ย ข้าอยากเห็นชุมชนโปรตุเกสค่ะ"
ผิน/แย้มร้องห้าม "ว๊าย...ไม่เอาเจ้าค่ะ"
"พวกฟะรังคีเยอะแยะ น่ากลัวตัวยังกะยักษ์เจ้าค่ะ" แย้มว่า
เกศสุรางค์คิด ...
"ฟะรังคี อ๋อฝรั่ง...เออใช่ คนอยุธยาเรียกฟะรังคี"
"อย่าไปเลยเจ้าค่ะแม่นาย ฉวยโดนพวกมันชนกระเด็นเลยนะเจ้าคะ" ผินบอก
"ไม่ ข้าจะไป"
"ข้ามีกิจต้องทำ ไม่ใช่เรื่องที่ออเจ้าจะไปด้วย" หมื่นสุนทรเทวาบอก
"ข้าสัญญาจะไม่ยุ่งเลย จะคอยที่ท่าเรือ จะนั่งเฉยๆไม่กระดุกกระดิกเลยค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวาจ้องมองนัยน์ตาดุ ไม่ตอบ
เกศสุรางค์เผลอตัวเขย่าแขน ทำท่าออดอ้อน
หมื่นสุนทรเทวาก้มลงดูมือที่จับแขนอย่างงวยงง
"นะคะ"
บ่าวทั้งหลายก็จ้องมองอย่างตกตะลึงทุกคน
"นะ"
หมื่นสุนทรเทวาถลึงตาใส่ แต่ท่าทางนั้นน่าขำมากกว่า
เกศสุรางค์รู้ รีบปล่อยมือ "อ๋อ ขอโทษค่ะ นะคะคุณหมื่น ฉันสัญญาจริงๆ"
"เช่นนั้นก็ย่อมได้ หากข้ามิเสร็จกิจธุระ ออเจ้าจักต้องรอที่ท่า ห้ามไปไหนจนข้ากลับมา เช่นนี้ออเจ้าทำได้ฤๅไม่"
"โอ๊ย ได้เลยค่ะ จะรอไม่บ่นซักคำ จะไม่เพ่นพ่าน จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวสุดๆ ไปเลยค่ะ"
หมื่นสุนทรเทวากะพริบตาปริบๆ
บ่าวไพร่ อ้าปากหวอฟังอย่างน่าขำที่สุด
"เช่นนั้นข้าทำได้เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์รู้ว่าคนงงคำพูดตัวเอง
ทุกคนอยู่ในเรือ 3 ลำ แล่นตามกันในลำน้ำ
ในเรือลำแรก หมื่นสุนทรเทวานิ่ง มองตรงไปข้างหน้า เก๊กฟอร์มอยู่ ร่างกายก็เหมือนหุ่นยนต์ตัวตรงเป๊ะ
เกศสุรางค์นั่งใกล้ๆ มองขำๆ
หมื่นสุนทรเทวา จ้องมองตรงไปข้างหน้า แล้วค่อยๆชำเลืองหางตาไปทางเกศสุรางค์
แล้วสบตากับเกศสุรางค์ที่มองจ้องอยู่พอดี
หมื่นสุนทรเทวารีบดึงสายตากลับแบบทันควัน
เกศสุรางค์หัวเราะเบาๆ
หมื่นสุนทรเทวาหน้าตึงขึ้นทันที ตัวก็เกร็งขึ้น
เกศสุรางค์ยังหัวเราะอยู่ แต่ลดเสียงลง หันไปทางอื่น
หมื่นสุนทรเทวาขมวดคิ้ว นิ่วหน้า บึ้งตึง
อ่านต่อตอนที่ 4
#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร
เกร็ดน่ารู้จากละคร
ขุนหลวง : จากคอลัมน์เวียงวัง เรื่องขุนหลวงในพระบรมโกศ โดย จุลลดา ภักดีภูมินทร์ นิตยสารสกุลไทย กล่าวว่า
พระเจ้าแผ่นดินในสมัยปลายอยุธยานั้น คำราษฎรมักเรียกพระองค์ท่านกันว่า ‘ขุนหลวง’ แต่คำเป็นทางการ ใช้ว่า ‘สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว’ ซึ่งหากเอ่ยถึงพระองค์ท่านในปัจจุบัน (ของขณะนั้น) ก็ว่า ‘สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว’ เฉย ๆ ทุกพระองค์ไม่ต้องออกพระนาม ซึ่งเป็นพระนามจารึกในพระราชสุพรรณบัฏอันยาวยืด และมีศัพท์แสงจำยาก
พินิจ หุตะจินดา กล่าวในเฟซบุ๊กว่า
"มีหลายคนเข้าใจว่า คำว่า "ในหลวง" ซึ่งหมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน เป็นคำที่ใช้ในสมัยปัจจุบัน จริงๆแล้ว "ไม่ใช่"คำนี้มีมาแต่ในสมัยอยุธยาแล้ว ซึ่งมาจากคำว่า “ในวังขุนหลวง” หรือ “ในกิจการของขุนหลวง” แล้วตัดคำเหลือ "ในหลวง" คำนี้ได้ปรากฏในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๑๙ เรื่องตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยแต่งขึ้นเมื่อครั้งกรุงธนบุรี ซึ่งได้พบคำว่า “ในหลวง” อยู่ทุกแห่ง เช่น "ในหลวงวัดประดู่" เป็นต้น ต่อมา รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงใช้เป็นคำเรียกแทนพระองค์ว่า "ในหลวง" ดังปรากฏในหนังสือประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ หนังสือชุมนุมพระบรมราชาธิบายในรัชกาลที่ ๔ เป็นต้น ฉะนั้น นอกเหนือจากคำว่า "ขุนหลวง" ซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์แล้ว คำว่า "ในหลวง" ก็มีปรากฏใช้เช่นกัน แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะนำมาใช้เป็นภาษาปากแล้วก็ตาม"
คลองขุนละครไชย : สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวไว้ใน www. matichon.co.th (7 ก.พ. 2559) ความตอนหนึ่งว่า
ตลาดบ้านจีน อยู่ปากคลองขุนละคอนไชย (คลองตะเคียน) ที่นี่มีหญิงละครโสเภณีตั้งอยู่ท้ายตลาด 4 โรง รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ตลาดนี้เป็นตลาดใหญ่ ใกล้ทางเรือและทางบก มีตึกกว้านร้านจีนมาก ขายของจีนมากกว่าของไทย มีศาลเจ้าจีนศาลหนึ่งอยู่ท้ายตลาด
ศัพท์อยุธยา
เพลาชาย : เวลาบ่าย
ฟะรังคี : ฝรั่ง ชาวต่างชาติ