xs
xsm
sm
md
lg

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 2 : ข้าไม่ใช่ “ผี” ชัวร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 2

บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา

ที่นอกชานในตอนเช้าเกศสุรางค์ยืนตะลึงงัน มองเรื่อยไปจนเห็นภูมิทัศน์ทั้งหมดของเรือน และบริเวณรอบๆ เรือน เธอยังยืนอ้าปากค้าง

เสียงบ่าวซุบซิบกันว่า “ผีเข้า...ผีเข้าแม่หญิงการะเกด”
เสียงซุบซิบดังขึ้นพร้อมๆกับบ่าวไพร่บางคนถอยหนี
ซุบซิบ 1ว่า "ไหนว่าตายแล้ว"
ซุบซิบ 2 บอก "นั่น ถามนังแย้มกับนังผิน"
ฝ่ายแย้มกับผินยังคงซุกตัว สีหน้าหวาดหวั่นอยู่ทางหนึ่ง
บ่าวชายวิ่งจากข้างล่างขึ้นมานั่งเรียงตามขั้นบันได ชะเง้อชะแง้มองขึ้นมา
เกศสุรางค์หันมาดูด้านหลัง
ออกญาโหราธิบดี คุณหญิงจำปา และสุดท้ายหมื่นสุนทรเทา ที่มีพร้อมกับสายตาอันคมกล้า ทุกคนจ้องเป็นตาเดียว มีสีหน้าตกใจแกมประหลาดใจ
เกศสุรางค์หันหน้ากลับมา กวาดสายตาไปทั่วๆ
บ่าวผู้หญิง ...
พวกผู้หญิงบ้างก็ตัดผมเกรียนไว้ปีกกันรอบลงน้ำมันจนเห็นขอบตั้งขึ้นเด่นชัด สองข้างหูมีจอนผมยาวเคลียแก้ม บ้างก็ผมสั้นเพียงต้นคอ บ้างก็ตัดเป็นทรงดอกกระทุ่ม ทุกคนนุ่งโจงกระเบนสีกรักหรือน้ำตาลเข้ม ห่มผ้าสีนวลแบบคาดอกและตะแบงมานผสมกันไป ส่วนผู้ชายที่นั่งโผล่หน้าบันไดตัดเกรียนหมดทั้งศีรษะ บ้างก็ไว้ปีกสองข้างกันริมรอบไว้เหมือนผู้หญิง ล้วนแล้วแต่นุ่งโจงกระเบนรั้งสั้นเหมือนกันหมด และไม่มีใครใส่เสื้อแม้แต่คนเดียว
ฝ่ายบ่าวผู้ชายหยุดยั้งแค่บันได รอเจ้านายเรียก ยกเว้นทนายหน้าหอขึ้นมารับใช้ได้
เกศสุรางค์ช้าๆ สีหน้าทั้งงุนงงสงสัย หวาดหวั่น มองไปทีละคนทั้งคุณหญิงจำปา ออกญาโหราธิบดี ไปถึงหมื่นสุนทรเทวา
เธอมองออกญาโหราธิบดีอีกครั้ง เห็นว่าหน้าตาใจดีกว่าเพื่อน เธอมองด้วยสายตาปลอบโยน
เกศสุรางค์เดินเข้าหาออกญาโหราธิบดี ซึ่งถอยไปครึ่งก้าว พลางถาม
"ฉัน...ฉันอยู่ที่ไหน ที่นี่ที่ไหนคะ"
"ออเจ้าเป็นอันใดรึแม่การะเกด ไม่ใคร่สบายเหตุใดจึงไม่นอนพัก" ออญาโหราธิบดีบอก
"ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ การะเกด" การะเกดในร่างเกศสุรางค์หลุดปากไปแล้วใจหาย ชะงักอย่างแรง
จำปาเสียงดุ "เป็นผีมาสิงแม่การะเกดใช่มั้ย"
"ไม่...ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่ผีมาสิง..." การะเกดหยุดชะงักอีก "ฉัน..."
ออกญาฯว่า "จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงแม่จำปา เรือนนี้ขึงสายสิญจน์รอบบ้าน ภูติผีปีศาจเก่งกาจ
แค่ไหนก็กล้ำกรายไม่ได้หรอก"
เกศสุรางค์ ฟังรู้หมดทุกอย่างแล้ว
หมื่นสุนทรเทวาจ้องหน้าเกศสุรางค์เขม็ง สายตาพินิจพิเคราะห์
เกศสุรางค์สบตาหมื่นสุนทรเทวาแล้วรู้สึกแปลก โหวงเหวงในท้อง
หมื่นสุนทรเทวาก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน เหมือนเห็นการะเกดที่สีหน้าและสายตาแปลกไป นัยน์ตาสบกัน... ต่างฉงนทั้งคู่
"ฉัน...คอแห้งอยากดื่มน้ำ" เกศสุรางค์ว่า
"ออเจ้าว่าอะไร"
"หิวนะ ข้า..." เกศสุรางค์พึมพำเบาๆ "ข้า" เธอชี้ที่ตัวเอง เสียงดังขึ้น "ข้าหิวน้ำ"
คุณหญิงจำปาน้ำเสียงอำนาจบอก
"หากใคร่กินน้ำก็ไปหาน้ำกินสิออเจ้ามายืนทำอะไรอยู่ แล้วอย่าทำท่าทีแตกตื่นให้ผู้คนตกใจอย่างนี้อีก อีผินกับอีแย้มก็เหมือนกันเอะอะดั่งกลองเพล พลอยให้ผู้คนตกอกตกใจไปด้วย อยากให้หวายลงหลังรึไง"
ผินกับแย้มหมอบจนแทบติดพื้นมองหน้ากัน หวาดหวั่นเหลือเกิน
เกศสุรางค์ตั้งใจฟังเสียงพูดนั้น
ออกญาโหราธิบดีแตะแขนหมื่นสุนทรเทวาเป็นเชิงเตือน แล้วหันมาทางเกศสุรางค์
เกศสุรางค์ยิ้มให้อ่อยๆ
"เข้าไปพักเถอะหลาน ออกมายืนกลางแดดเพ-ลาชาย" ออกญาโหราธิบดีบอก เกศสุรางค์สีหน้าสงสัยในความหมาย
"อย่างนี้จักไม่สบายหนักเข้าไปอีก" ออกญาโหราธิบดีพูดต่อ น้ำเสียงไม่ดุ ดูมีความเมตตา
เกศสุรางค์มองอย่างเต็มตื้นในวาจาอ่อนโยนนั้น
หมื่นสุนทรเทวาว่า "คงสบายดีแล้วกระมังขอรับคุณพ่อ กระโจนวิ่งสะบัดจนพวกบ่าวกระเด็นอย่างนี้ ป่วยน่ะอาจจะป่วยไม่จริงเสียก็ไม่รู้ได้"
หมื่นสุนทรเทวาพูดจบมองเกศสุรางค์ สีหน้ารังเกียจ
แต่เกศสุรางค์ไม่พะวงเรื่องอารมณ์ พยายามจับสำเนียงและความหมายของคนพูด
หมื่นสุนทรเทวาเดินเร็วๆหายลับไป
เกศสุรางค์ยืนเคว้งคว้างอยู่สักครู่ ก็เดินจะเข้าห้อง แต่เดินผิดทางเข้าไปด้านใน
"จะไปไหน"
เกศสุรางค์พึมพำ "เอ้า ยังอยู่ ? " เธอหันไปทางหมื่นสุนทรเทวา สีหน้าเหมือนจะบอกว่า ... อะไรของเค้าอีก
"ก็ไป...พักไงคะ อย่างที่คุณพ่อของคุณบอก...ไปห้อง"
หมื่นสุนทรเทวาชี้อย่างแรง "ทางโน้น..."
"ทางโน้นไหน...อ๋อ เออจริง...จำไม่ได้ เอ๊ย ยังไม่ได้จำ"
หมื่นสุนทรเทวาปรายตาอย่างสงสัยมาก หันหลังกลับเดินเข้าไปอย่างเร็ว
เกศสุรางค์ยืนอึ้ง เหลียวมองบ่าว
บ่าวทั้งปวงหลบตาวูบ หันไปทำงานง่วน

เกศสุรางค์หันมามองผินกับแย้ม สองคนรีบลุกขึ้นมาพาเข้าห้องทันที

ในห้องพระ ตอนเช้า ต่อเนื่องมา พ่อลูก ... ออกญาโหราธิบดี กับ หมื่นสุนทรเทวา สนทนากันอยู่

"ดูพิกลอยู่" ออกญาโหราธิบดีว่า
"นางวิปลาสแน่ขอรับคุณพ่อ" หมื่นสุนทรเทวาว่า
"ถึงกระนั้นเชียว"
"ลูกแน่ใจ คุณพ่อพิจารณาสิขอรับ"
"พิจารณาอะไรหรือ"
"นางพูดจาประหลาด ฟังไม่เหมือนชาวเราพูด"
"พ่อก็ได้ยินอยู่ ถ้าอย่างนั้น..."
"มนต์กฤษณะกาลีได้ผลขอรับ ใครทำผิดถ้าไม่ถึงชีวิตก็จะสติวิปลาส แม่นางผู้นี้เป็นคนฆ่าอีแดงบ่าวแม่หญิงจันทร์วาดอย่างแน่นอนขอรับคุณพ่อ"

ภายในห้อง เกศสุรางค์แหวกม่านที่กั้นบังเตียงด้านในเข้าไป ลงนั่ง หน้านิ่งสนิท ... ตรึกตรอง
ผินและแย้มเข้ามาแบบกล้าๆกลัวๆ
เกศสุรางค์มองลอดช่องที่ม่านปิดไม่มิดออกไป ...
ผินไปรินน้ำชา มือสั่นจนปากกาชากระทบถ้วยดังกริ๊ก...กริ๊ก แล้วถืออยู่เสียงก็ดังเพราะมือสั่น
แต่ไม่กล้าเข้ามา ได้แต่มองตากันอยู่
เกศสุรางค์มองเพ่งดู
ตั้งแต่ผมปีกตัดเกรียนลงน้ำมันจนเห็นขอบตั้ง สองข้างหูมีจอนผมยาว ข้างหลังผมสั้นแค่ต้นคอ ผิวคล้ำ หน้าตาไทยแท้ๆ ฟันดำเป็นมัน กินหมากจนปากมีสีแดงคล้ำ
สองคนซุบซิบกัน มองเข้ามาในม่าน
เกศสุรางค์เหลียวไปมองหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก
ท้องฟ้าสวย ...
เกศสุรางค์มองขึ้นไปบนท้องฟ้า

อดีต ของช่วงเวลาปัจจุบัน บนท้องฟ้าสวย ละไล่สายตาลงที่ต้นมะม่วงลูกดกต้นหนึ่ง
เกศสุรางค์ อ้วนตุ๊ต๊ะ ชะเง้อชะแหง่งเด็ดมะม่วง
"เย้...ได้แล้วโว้ย" นางตะโกนบอกอย่างดีใจ
ต่อมา ... ภายในครัว มะม่วงหั่นเป็นชิ้นๆพูนจาน
เกศสุรางค์หยิบชิ้นมะม่วงจิ้มกะปิกิน
"โอ๊ย...เปรี้ยว"
ยายนวลบอก "ยายว่าแล้ว เก็บลูกอ่อนๆมาทำมั้ย"
"กลัวไม่เปรี้ยวค่ะแม่" สิปางบอก
"ไม่เปรี้ยวก็ไม่ผอมสิคะ คุณยาย..."
"อยากผอมทำไมล่ะลูก" ยายนวลถาม
"ไม่สวยค่ะ"
"แล้วคิดว่าผอมจะสวยเหรอจ๊ะ"
"สวยชัวร์ ยังไงผอมไว้ก่อน แก้มเนี่ยมันจะได้เรียวเล็กลงมาถึงคาง แบบว่าหน้ารูปไข่ จมูกก็จะโด่งขึ้น ปากก็จะ..."
สิปางหัวเราะขำ"สวยตายล่ะ"
"แต่อย่างนี้ สวยที่สุดของยาย เพราะว่า..."
ยายนวลอ้าแขน เกศสุรางค์เข้าทับเต็มๆตัวยาย
"กอดเต็มไม้เต็มมือดี ชื่นใจ" ยายนวลพูดพลางจูบแก้มฟอดใหญ่
เกศสุรางค์หัวเราะดังลั่น หันมาจูบยายนวลบ้าง ยายร้องวี้ดว้าย
สิปางผลักจานมะม่วงทิ้งไป
"ม่ายทิ้งนะคะแม่ เอามา..." เกศสุรางค์ตะกายไปหยิบมา
แม่เอาออกไป เกศสุรางค์ไปเอากลับมา
เสียงหัวเราะดังก้องกังวาน

เกศสุรางค์น้ำตาไหลริน สะอื้นน้อยๆ นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ซบหน้ากับแขน เบื้องบนเป็นทิวทัศน์ของฟ้ากว้างนั้น
ด้านผินกับแย้มต่างมองหน้ากัน หน้าตื่นตระหนก
เกศสุรางค์คิดถึงที่บ้านอีกครั้ง

อีกวันหนึ่ง เมื่อใกล้ค่ำ
ยายนวลผวาขึ้นมาจากที่นอนเล่นๆ ร้องเสียงดัง “เกศ...อย่าไป”
สิปางวิ่งเข้ามาอย่างเร็วเมื่อได้ยินเสียงแม่เต็มสองหู
ยายนวลชูมือหาสิปาง สีหน้าเหยเก น้ำตายังเต็มหน้า
"แม่คะ เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอคะ"
นวลมองหน้าสิปางแน่วแน่ เสียงสั่นเครือ "แม่ฝัน..."
"ฝันว่าอะไรคะ" สิปางถาม
"ฝันว่ามีคนมาพาเกศไป"
"ไปไหนคะ ใครพาไป"
ยายนิ่ง น้ำตาไหลออกมาอีก
"เรืองฤทธิ์เหรอคะ ก็เขาจะพาเกศไปดูงานต่างจังหวัด ใช่เรืองฤทธิ์มั้ยคะแม่"
"ไม่ใช่เรืองฤทธิ์" ยายนวลบอก
สิปางฟังน้ำเสียงบอกเล่าของยายแล้วนิ่งไป สิปางมองหน้าแม่ "แม่คะ"
"คนที่เขามีหน้าที่เอา...คนที่"
"แม่คะ...ไม่"
"ใช่ คนที่เขามาเอาคนตายไป" ยายนวลพูดพลางสะอื้น
แม่นิ่งไปสักครู่ แล้วกอดยายปลอบโยน
"หมอดูก็เคยดูว่า ยายเกศจะอายุสั้น ถึงฆาตตอนอายุยี่...สิบ...ห้า"
สิปางโอบแม่ โยกตัวไปมา
"ไม่จริง...ไม่จริงค่ะแม่ หนูไม่เคยเชื่อหมอดู และหนูก็ไม่เชื่อความฝัน เกศยี่สิบห้า จะย่างยี่สิบหก ยังอยู่...ยังอยู่ค่ะแม่"
เกศสุรางค์เดินเข้ามา
"เกศจะไปไหนเหรอคะคุณยาย"

เกศสุรางค์คิดถึงแม่ "แม่บอกเกศวันนั้นว่าคุณยายกลัวไปเองจนเก็บไปฝัน แต่วันนี้...แม่คะ...แม่เชื่อ ฝันของคุณยายแล้วใช่มั้ยคะ"

อุบัติเหตุรถชนซึ่งเกิดขึ้นในวันนั้น เสียงดังเปรี้ยง รถลอยละลิ่ว...

เสียงเกศสุรางค์ดังกึกก้องในใจ
"เกศตายแล้วจริงๆใช่มั้ยคะ แต่...วิญญาณของเกศมาอยู่ที่นี่...ที่อยุธยา มันเป็นไปแล้ว" เกศสุรางค์หยิกตัวเอง "เกศไม่ได้ฝัน...นี่ไม่ใช่ความฝัน ทำไมมันไม่ใช่ความฝัน...เรื่องอย่างนี้มีอยู่ในโลกนี้หรือ ถ้าเกศยังไม่ตาย วิญญาณก็คงมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะการะเกดตายแล้ว วิญญาณของเกศมาอยู่ในร่างของการะเกด สิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้มีจริงไม่ใช่เรื่องเพ้อของคนเขียนนิยาย มันคือ “ทวิภพ” หรือคะเนี่ย มันคือ Somewhere in time หรือคะ มันคือ...อะไรอีก มันจริง" เกศสุรางค์หยิกแขนตัวเองอีกทีให้มั่นใจ จนต้องร้องเสียงดัง
"โอ๊ย เจ็บ"
ผินกับแย้มตกใจ แก้วน้ำชาตกดังเพล้ง !
"มันโคตรจริงเลยโว้ย" เสียงนั้นดังกังวานไปทั่วห้อง
สองคนหันหลังกลับ คลานลนลานจะออกจากห้อง
"หยุด"
ผินกับแย้มตกใจ หัวใจแทบจะหลุดออกไปนอกร่าง ตัวแข็ง หันไปดู
เกศสุรางค์แหวกม่านแล้วก้าวออกมา
สองคนส่งเสียงร้องกลัว “ฮือ...ฮือ”
เกศสุรางค์ก้าวออกมายืนทางด้านหลัง ออกคำสั่ง เสียงเด็ดขาด "หันหน้ามา"
บ่าวทั้งสองตัวแข็ง ขยับไม่ได้
"โอเค" เธอก้าวไปยืนตรงหน้า สั่งอีก "เงยหน้า"
ทั้งผินและแย้มต่างก้มลง แทบจะแทรกกายหายไปในพื้นเลย
เกศสุรางค์ก้มลงจับไหล่ของทั้งคู่ ผินกับแย้ม นิ่งงัน
เกศสุรางค์ถาม
"เห็นมั้ยว่า...ว่าข้า โอเค ข้าไม่ใช่ผี เป็นคน...มีเนื้อมีหนัง ไม่บ้า พูดรู้เรื่อง เงยหน้ามาคุยกัน"
สองคนสั่นเทิ้ม
"บอกให้เงยหน้า"
สองคนยังก้มอยู่อย่างนั้น
เกศสุรางค์ลงนอนกับพื้น ซ้อนหน้าเข้าไปจนชิดหน้าสองคน
สองคนลุกพรวด
"จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย พูดให้รู้เรื่องกันบ้างสิ"
ผินกับแย้มพนมมือแต้
"เธอ...ไม่สิ เอ็ง เอ็งสองคนชื่ออะไร"
"ผินเจ้าค่ะ"
"แย้มเจ้าค่ะ"
"เจ้าแม่อย่ามาหลอกหลอนบ่าวเลยนะเจ้าคะ"
"หลอกได้ไงข้ายังไม่ตาย" เกศสุรางค์ว่า
"แม่นายท่านยังไม่ตายได้กระไรเจ้าคะ ยามนั้นตะวันดับกลางแจ้งราวกับเกิดอาเพศ บ่าวดูแล้วแม่นายไม่หายใจตั้งหลายเพลา"
"บ่าวกำลังจักไปแจ้งคุณหญิง แม่นายท่านถึงได้ขยับตัว" แย้มบอก
"ถ้าข้าตายจริง ข้าจะมีเนื้อตัวอุ่นอย่างนี้หรือ ลองจับสิ"
สองคนจับเนื้อตัวเกศสุรางค์ทันที ไม่มีท่ากลัว
"เห็นมั้ย"
"แต่แม่นายดู...ผิดแผกไปนะเจ้าคะ"
"ผิดแผก...อ๋อ แปลกไป อ้าวก็ข้าไม่สบายไง้ก็แปลกนะสิ"
"ใช่แม่นายท่านจริงๆหรือเจ้าคะ ไม่ใช่ผีมาสิงนะเจ้าคะ" ผินถาม
"ไม่ใช่...ชัวร์"
ผินกับแย้มพร้อมกันทำหน้าเหวอมากกับคำว่า "ชัวร์"
"งั้นสิ...ชัวร์"
สองคนเหวอๆ
"ชัวร์แปลว่าจริงแท้แน่นอน มั่นใจ"
สองคนมองแล้วยิ้ม พยักหน้า โล่งใจ
เกศสุรางค์ มองจ้องสองคน ยิ้มในหน้า
"หลอกง่ายวุ้ย" เกศสุรางค์ว่าในใจ แล้วสาดยิ้มเต็มหน้า สายตาอ่อนละมุน มองสองบ่าวคลานเข้ามาจับขา กอดขาเป็นพัลวัน
ผินกับแย้มโอดครวญ ประจบ ประแจง เช็ดน้ำตาป้อยๆ
"แม่นายของบ่าว..."
ผินบอก"อายุมั่นขวัญยืนนะเจ้าคะ"
เกศสุรางค์ตบหลังตบไหล่ แล้วสะดุ้งนิดๆ "ปวดฉี่"

ผินบอก "ไปเว็จ"

เกศสุรางค์ และบ่าวทั้งสองออกมาจากห้อง
 
"เรียกว่าอะไรนะที่จะไปฉี่เนี่ย"
"อ๋อ เว็จเจ้าค่ะ" ผินบอก
"ที่เยี่ยวที่ขี้เจ้าค่ะ" แย้มว่า
"ขี้เยี่ยวตรงๆโต้งๆเลยเหรอ เออดีเหมือนกัน มันส์ดี" เกศสุรางค์คิดในใจ แต่ก็เผลอหลุดปาก " มันส์" ตามออกมา เสียง “ส” ชัดเจนมาก
สองคนหันมามอง สีหน้าเหวอๆ
เกศสุรางค์ทำไม้ทำมือว่าไม่มีอะไร
เสียงย่ำเดิน เคลื่อนไหวอยู่ที่นอกชาน สามคนมองออกไป
เห็นบ่าวเอาพรมเจียม (พรมผืนเล็กๆนั่งเฉพาะคน) ปู ยกน้ำ ยกเชี่ยนหมาก มาวาง
ผินบอก"น่ากลัวท่านหมื่นมีแขก"
แย้มรับ"อ๋อ ได้ยินว่าหมื่นเรืองจะมาเยือน"
เกศสุรางค์มีสีหน้าสงสัย ย้ำชื่อ
"หมื่นเรือง"
"งั้นเราไปลงกะไดหลังดีกว่าเจ้าค่ะ" ผินบอก
"เดี๋ยว ข้าอยากดู...หมื่นเรืองเป็นใครเหรอ" เกศสุรางค์ว่า
"โอ๊ยไม่ได้เจ้าค่ะ หมื่นเรืองเป็นผู้ชายพายเรือ จะดูได้ยังไงเจ้าคะ" ผินว่า
"ทางนี้เจ้าค่ะ" แย้มบอก
เกศสุรางค์กำลังจะไปตามมือของแย้ม
เป็นจังหวะที่หมื่นเรืองขึ้นบันไดมาพอดี เห็นสีหน้าหมื่นเรืองชัดเจน ยิ้มแย้มทักทาย
เกศสุรางค์หันไปดู
ให้บังเอิญว่าหมื่นสุนทรเทวาเดินมาบังพอดี ทั้งคู่ยืนคุยกัน
เกศสุรางค์ดึงตัวเองจากมือแย้ม "ขอดูหน่อย"
"จะดูทำไมเจ้าคะ หมื่นเรืองแม่นายก็เคยรู้จักแล้ว" แย้มว่า
"ก็อยากดูมนุษย์ผู้ชายคนอื่นมั่ง เผื่อไอ้เรืองจะตายมาสิงคนเหมือนกัน" เกศสุรางค์คิดในใจ
"ข้ารู้จักเหรอ"
"รู้จักเจ้าค่ะ หมื่นเรือง" ผินยืนยัน
"ชื่อเหมือน..." เกศสุรางค์พลางคิดไปถึง ... เรืองฤทธิ์
แย้มถาม "อะไรเจ้าคะ"
"ไม่มีอะไร เอ้าไป ปวดท้องเยี่ยวเต็มทนแล้ว"
เกศสุรางค์สีหน้าหน้ายิ้มแฉ่ง ขณะเดียวกันก็ปวดท้องขี้ด้วย
เกศสุรางค์พลางนึกในใจว่า "เออ...พูดแบบคนโบราณนี่มันก็มันดีเว้ย คุณยายได้ยินโดนตีตาย"
ทั้งสามคนเดินไปทันที

แย้มกับผินพาเกศสุรางค์เข้ามา เธอเดินมองโน่นมองนี่ ... สบายใจกับต้นไม้สีเขียว
"เดินดีๆหนาเจ้าคะ"
"ต้นไม้เคี้ยว...เขียว สวยดี ต้นก็ใหญ่บะลึ่มฮึ่ม"
สองคนหันขวับกับศัพท์แสงแปลกๆ ไม่เคยได้ยิน หน้าตาเหวอมาก
"หือ...อะไรเหรอ"
"แม่นายทำไมพูดจาผิดแผกไปหมด...ฮะ อีแย้ม" ผินบอก
"นั่นน่ะสิ ข้าฟังแล้วหารู้ความไม่"
เกศสุรางค์รีบกลบเกลื่อน "ไหนล่ะเว็จ...ปวดจะแย่อยู่แล้ว ทำไมไกลจัง"
"ถึงแล้วเจ้าค่ะ" ผินว่า
เกศสุรางค์เดินพรวด...ดีใจ แต่มองลงไป ... อ้าปากค้าง

เว็จตรงหน้าตั้งอยู่ในที่ลับตา เป็นหลุมขุด มีไม้พาดปากหลุมสำหรับนั่งยองๆ ไม่มีฝากั้น แต่มีพุ่มไม้บัง
เกศสุรางค์ตบหัวพลางว่า "ว่าแล้ว"
"ว่าอะไรหรือเจ้าคะ" ผินถาม
"ว่าเหมือนที่เรียนมาเปี๊ยบเลย ตื่นเต้นจุงเบยได้เห็นของจริง"
ผินกับแย้มออกอาการเหวออีกแล้ว
"ทางนี้เจ้าค่ะ" แย้มว่า
"มันก็ต้องน่ะสิ ปวดจะราดอยู่แล้ว"

มุมหนึ่งใกล้ๆ เวจ ผิน แย้ม ยืนอยู่อีกทาง ... คอยเจ้านายสาว
"เสร็จแล้ว" เสียงเกศสุรางค์ดังบอก
ผินกับแย้ม รับคำ "เจ้าค่ะ"
เกศสุรางค์ถามว่า "มีกระดาษมั้ย"
สองบ่าวเหวออีกแล้ว "กระดาษ"
"เอาไปทำไมเจ้าคะ"
เกศสุรางค์ นึกได้ นิ่งไปอึดใจหนึ่ง "เฮ้อ...เอาไงดีวะ"
บ่าวทั้งสองสีหน้าวุ่นวายใจ
"เข้าไปดูสินังแย้ม"
"เอ็งนั่นแหละ" แย้มเกี่ยง
"ไม่ต้อง นี่ พี่ผิน พี่แย้ม"
ว้าย ... สองคนอ้าปากค้าง ยิ่งกว่าเห็นผี
"เป็นอะไรพี่"
ผินกับแย้มต่างชี้ไปที่ตัวเอง ราวกับต้องการย้ำ "เรียกพี่"
"ใช่น่ะสิ จะให้เรียกอะไร"
ผินเรียกบอกตัวเอง "อีผิน"
แย้มก็เช่นกัน "อีแย้ม"
เกศสุรางค์รู้เลยว่า การะเกดจิกเรียกบ่าวทั้งสองอย่างนั้น
"อ๋อ ข้าเคยเรียกงั้นเหรอ แต่ข้าลืม เรามาเรียกกันใหม่นะ อย่างว่านั่นแหละ พี่ผิน พี่แย้ม"
สองคนฟังไม่เข้าใจ เพราะเกศสุรางค์พูดเร็วปรื๋อ
"เอาล่ะวะอีแย้ม เอ็งไม่ต้องรู้ความไปทุกอย่างที่แม่นายเจรจาหรอก" ผินบอก
"ก็แม่นายลืม...ลืมว่าเราพูดกันอย่างไร...ลืมได้ไงเนี่ย"

เกศสุรางค์ เดินจับผ้าถุงห่างๆตัว เพราะว่า ใช้ผ้าถุงแทนกระดาษ
สามคนเดินมุ่งหน้ามาที่เรือน
"นี่มันเย็นแล้วใช่มั้ยพี่"
"เจ้าค่ะ" ผินรับคำ
"อีปริกมันคงตั้งสำรับแล้ว เร่งไปเถิดหนาแม่นาย" แย้มว่า
"ข้าอยากอาบน้ำ"
"ค่ำๆค่อยอาบเจ้าค่ะ"

"ไม่...จะอาบเดี๋ยวนี้" เกศสุรางค์ทำท่าเหม็นผ้าถุงตัวเอง

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 2 (จบตอน)
 
เกศสุรางค์อยู่ในน้ำ ซักผ้านุ่งอยู่ไปมา

แย้มเดินถือผ้าถุงผ้าห่มมาจากตัวบ้าน รวมทั้งมะขามเปียก ขมิ้น ไพล
เกศสุรางค์ถามอยากรู้
"เวลาอึ...เอ๊ย ขี้เสร็จ ใช้อะไรเช็ดก้นฮึพี่แย้ม"
แย้มวางของทั้งหมดลงแล้วบอก"ใบไม้เจ้าค่ะ"
"เหมือนที่เรียนมาเปี๊ยบ ใช้ใบไม้...ไม้ไผ่ แต่ผ้าถุงเช็ดสะอาดกว่านะพี่จ๋า แล้วก็ซักซะหน่อย" เกศสุรางค์มือซักผ้าถุงแรงๆ "ไม่หน่อยหรอก ซักแรง...อย่างเงี้ย"
ผินรับของจากแย้ม แล้วบอก "มา บ่าวอาบให้นะเจ้าคะ"
"เฮ้ย ไม่ต้อง อาบเองได้"
"ไม่ได้เจ้าค่ะ บ่าวต้องอาบให้"

ต่อมา ... ผินกับแย้มช่วยกันขัดตัว
ผินบอก "มะขามเปียก ไพล กับขมิ้นใช้ขัดตัวเจ้าค่ะ"
บ่าวทั้งสองขัดตัวเกศสุรางค์อย่างตั้งใจ พลางคิด
"เหมือนที่เรียนอีกแล้ว มะขามเปียกขัดขี้ไคล ขมิ้นขัดตัวให้เหลืองอร่าม มะกรูดไว้สระผม"
แย้มชูมะกรูดผ่าซีกตรงหน้าทันที "มะกรูดใช้สระผมเจ้าค่ะ"

ชานเรือนข้างบน บ่าวลำเลียงอาหารมาตั้ง
ออกญาโหราธิบดีเปลือยอก ปะแป้งขาว หมื่นสุนทรเทวา คุณหญิงจำปานั่งรออยู่แล้ว ต่างคุยกันเบาๆ

ภายในห้องการะเกด
บ่าวทั้งสองพรมน้ำอบน้ำปรุงให้เกศสุรางค์ แย้มพัดด้วยพัดใบตาลให้ตัวแห้ง เกศสุรางค์หน้าตาดูไร้อารมณ์
เกศสุรางค์พยายามนุ่งผ้าเอง แต่ไม่ได้ เพราะเป็นผ้านุ่งที่ต้องมาจับจีบจึงกว้างมาก
ในขณะที่แย้มจับจีบผ้าให้
เกศสุรางค์บ่นพึมพำ
"เวรเอ๊ย เสื้อผ้าสมัยนี้ใส่ยากใส่เย็นจริงๆ" แล้วก็ถามเสียงดังขึ้น "พี่แย้ม กางเกงในล่ะ"
แย้มเงยหน้ามอง ออกอาการเหวอมาก แล้วถาม
"กางเกงในคือสิ่งใดเจ้าคะ"

ชานเรือนข้างบน ยามเย็น คุณหญิงจำปาโพล่ง
"นี่แม่การะเกดจะนอนกินบ้านกินเมืองรึไง คุณพี่ หลานสาวคุณพี่ขอข้าพูดหน่อยเถิด อัดอั้นตันใจเหลือเกินแล้ว อายุอานามก็มิใช่น้อย ยังทำตัวไม่มีแก่นสาร คุณพี่จะรับนางเป็นลูกสะใภ้ ข้าจะคัดค้านอย่างไรคุณพี่ก็หาเชื่อไม่"
ออกญาโหราธิบดีบอกเสียงเด็ดขาด
"พ่อของแม่การะเกดเป็นเพื่อนตายของพี่ เราสัญญากันว่าจะให้ลูกสาวกับลูกชายออกเรือนด้วยกัน พี่จะไม่หักล้างสัญญาที่ทำกับเพื่อนที่ตายไปแล้วเป็นอันขาด"

เกศสุรางค์เดินหนีบๆเพราะไม่มีกางเกงใน สองบ่าวตาม
"ข้าก็จะประวิงเวลาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จักคอยก็คอยไป จริงมั้ยพ่อเดช"
เกศสุรางค์หยุดฟัง พลางคิดในใจ
"ชื่อพ่อเดช หน้าตาก็โบราณยังกะขุนเดช"
"ขอรับคุณแม่" หน้าตาหมื่นสุนทรเทวาขมวดมุ่น
"โห เชื่อฟังแม่ดีจัง"
ผินกับแย้มรุนหลังนายสาว "เข้าไปค่ะแม่นาย อย่าให้ท่านคอยนาน"
เกศสุรางค์เดินเร็วๆเข้าไป
คุณหญิงจำปาชักสีหน้า ว่าแดก"เอ้า...เดินเป็นม้าดีดกะโหลก"
เกศสุรางค์หน้างุนงงนิดหน่อย เหลือบมองไปแวบหนึ่ง
เห็นบ่าวหญิงคลานเข่าเข้าไป
เกศสุรางค์รีบลงคลานเข่าบ้าง เข้าไปอย่างพอใช้ได้ พลางคิดถึงยายนวล
"คุณยายขา ขอบคุณนะคะที่สอนหนูมา"
"อ้อ วันนี้ออกมารับข้าวได้รึ ไม่อย่างนั้นบ่าวไพร่ต้องยกสำรับเข้าไปประเคนถึงในห้อง"
"เอาเถอะ กินกันได้แล้ว" ออกญาโหราธิบดีพูดเหมือนตัดบท
"อีจวง ไปเอาชามล้างมือให้แม่หญิงการะเกดซิเอ็ง มัวแต่เบิ่งมองอะไร"
อีจวงชะงัก บ่าวทุกคนที่อ้าปากมองเกศสุรางค์ก็ชะงักเช่นกัน
อีจวงคลานกลับไปรวดเร็ว
"นางปริก เอ้าตักข้าวให้แม่หญิงด้วย"
ปริกมาตักข้าว
"ไม่รู้ว่าออเจ้าจักออกมารับข้าวด้วย จึงไม่ได้เตรียมไว้"
เกศสุรางค์ยิ้มรับ
"สบายดีแล้วหรือหลาน" ออกญาโหราธิบดีลอบเพ่งมองความวิปลาสในตัวเกศสุรางค์
"เจ้าค่ะ เอ่อ..." เกศสุรางค์ไปไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเรียกออกญาโหราธิบดีว่ากระไร
ออกญาโหราธิบดีมองหน้าเกศสุรางค์อย่างจับผิด ฝ่ายเกศสุรางค์ก็มองจ้องเป๋ง นัยน์ตาใสแวววาวเป็นประกาย
ออกญาโหราธิบดีเก้อๆนิดหน่อย แล้วหัวเราะโล่งใจ
"ดี...ดีจริงๆ กินข้าวกันเถิดหนา"

เกศสุรางค์เล็งกับข้าว

ถ้วยชามทั้งหมดที่วางอยู่บนพานไม้นั้นเป็นจานและถ้วยกระเบื้องเนื้อละเอียดซึ่งน่าจะมาจากเมืองจีน ล้วนบรรจุอาหารอยู่เต็มเปี่ยม
 
ถ้วยหนึ่งนั้นน่าจะเป็นน้ำพริก เพราะมีจานผักจิ้มเป็นผักสดและผักลวกผสมกันวางอยู่ข้างๆ อีกจานเป็นปลาลักษณะเป็นปลาแดดเดียวปิ้ง อีกสองชามเป็นอาหารประเภทยำ มีน้ำพริกและยำเท่านั้นที่มีช้อนกระเบื้องเข้าชุดกับจานชามวางไว้ให้ตักใส่ชามข้าวของตัวเองได้และแน่นอนว่าทุกคนต่างเปิบข้าวกันด้วยมือ

เกศสุรางค์มองแต่ละคน ดูวิธีกิน
ชามดินเผาที่มีประจำตัวแต่ละคนเอาไว้จุ่มเพียงข้อนิ้วเพื่อไม่ให้ข้าวติดมือเท่านั้น นิ้วสี่นิ้วที่ใช้ปั้นข้าวเป็นก้อนพร้อมใช้นิ้วโป้งดันข้าวเข้าปาก

เกศสุรางค์เห็นแล้วว่า "ไม่ยาก..." เธอเปิบข้าวกินตามวิธีนั้น แม้ว่าจะเก้กังนิดหน่อย ข้าวร่วงลงพื้น 3-4 เม็ด

ทุกคนเปิบข้าวกินกัน โดยมีบ่าวไพร่คอยเฝ้าปรนนิบัติ
จนแต่ละคน ... ข้าวจวนจะหมดแล้ว
เกศสุรางค์เปิบข้าวเข้าปากอีกคำ ตอนนี้หน้าแดงนิดหน่อย สูดปาก อุทานเบาๆ "เผ็ด"
ออกญาโหราธิบดีจับสงสัย "ออเจ้าเคยกินเผ็ดได้มากกว่านี้นี่นา"
"เจ้าค่ะ ทานได้แต่เผ็ดจัง"
ทุกคนมอง เพราะประหลาดใจคำพูด
"กินข้าวได้ เห็นทีออเจ้าหายแล้วจริงๆ"
หมื่นสุนทรเทวาพูดขัดลอยลมขึ้นทันที
"ทำผิดคิดชั่ว แต่ยังกินข้าวได้คล่องปากคล่องท้อง เหี้ยมโหดเกินใคร"
เกศสุรางค์เงยหน้าขวับ มองพ่อเดชของคุณหญิงอย่างฉงน ทำไมจึงพูดอย่างนั้น
"มนต์กฤษณะกาลีก็ร่ายจนจบบทแล้ว พิสูจน์ได้ว่าแม่การะเกดไม่ได้ทำการสิ่งใดผิด
แล้วออเจ้าจักพูดเพรื่อไปอีกด้วยเหตุอันใด" (น่าจะมาจากคำว่า “พร่ำเพรื่อ”)
"เหมาะเพียงใด ที่จะลงเว็จเวลานั้น จักไม่ให้ลูกคิดได้อย่างไรขอรับ เป็นคนอิจฉาริษยาทุกคน ต่างก็เห็นกันทั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็ยากจักปัดทิ้งได้ว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวจนคนตาย"
เกศสุรางค์ตั้งใจฟังทุกคำ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ จับต้นชนปลายไม่ถูก
ออกญาโหราธิบดีที่เปิบข้าวอยู่ในมือแล้ว ปล่อยข้าวลงจาน จุ่มมือล้าง ขยับตัว
คุณหญิงจำปาบอก "คุณพี่ขา รับลูกไม้ก่อนนะเจ้าคะ" พลางเลื่อนชามใส่ผลไม้ที่ปอกและจัดเรียงรายวางเป็นลายสวยงาม
ออกญาโหราธิบดีลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องไปไม่พูดสักคำ
คุณหญิงจำปาหันขวับมามองเกศสุรางค์ตาขุ่นมัว เกศสุรางค์ได้แต่งงกับเหตุการณ์
จำปาพึมพำเบาๆ แต่พอจับความได้ "เสนียดเรือน"
หมื่นสุนทรเทวา จ้องมองเกศสุรางค์นัยน์ตาเกรี้ยว
"คงสาแก่ใจแล้วสิ"
"พูดกับฉั...เอ๊ย ข้าเหรอ"
"ไม่เคยพบไม่เคยเห็นใครจะหน้าด้านหน้าทนอย่างนี้ บางสิ่งบางอย่างไม่ต้องยอมรับหรอก คนเขาก็พอคิดได้ว่าทำสิ่งใดไว้"
เกศสุรางค์อ้าปากค้าง พึมพำเบาๆในคอ "อะไรกันวะเนี่ย"
บ่าวไพร่หน้าตื่นกันไปตามๆกัน
"เป็นดั่งพ่อเดชว่า แม่การะเกดอย่าคิดว่าจะรอดพ้นมนต์กฤษณะกาลีไปได้ คอยดูไปเถิดว่าชะตากรรมของออเจ้าจะเป็นเช่นไร"
เกศสุรางค์ปรายตาไปยังผินกับแย้ม ที่ทำสัญญาณมือให้รีบออกมา
เกศสุรางค์ลุกขึ้นจะยืน
"แม่การะเกด กำเริบหนักไปแล้วนะ"
สองบ่าวอ้าปากค้างตกใจ ทำมือให้นั่งลง
เกศสุรางค์ลงนั่งแล้วคลานเข่าออกมา
"น่าเกลียดน่าชังเหลือทน"
หมื่นสุนทรเทวาหยิบจอกน้ำดื่มแล้วกระแทกลงอย่างแรง
คุรหญิงจำปาแตะแขนลูกชายพลางปลอบ
"ลูกชังนางเหลือทน คุณแม่อย่าคิดเลยนะขอรับ ว่าลูกจะยอมเข้าหอกับนาง นางมาอยู่เรือนนี้ร่วมปี แต่ไม่มีแม้สักวันที่นางจะไม่ทำตัวน่าชัง ตั้งแต่วันแรกที่นางมาจากเมืองพระพิษณุโลก"

บนเรือนนี้ เมื่อ 1 ปีล่วงมาแล้ว
การะเกดยืนบนชานเรือน สวยงามดั่งภาพวาด
ด้านหลังเป็นผินและแย้มยืนขนาบข้างทั้งซ้ายขวา
บ่าวชายเอาหีบใหญ่ๆหลายหีบ ที่อยู่ในห้องการะเกดขนผ่านไป
ออกญาโหราธิบดีพูดแนะนำการะเกดกับคุณหญิงจำปาและหมื่นสุนทรเทวา
สองแม่ลูกต้อนรับขับสู้พอประมาณแบบผู้ใหญ่
"คุณหญิงป้าแก่กว่าที่ข้าคิดเจ้าค่ะ" การะเกดเสียงหวานเรียบร้อย
สีหน้าคุณหญิงจำปาเหวอมาก เมื่อมองการะเกดแล้ว ยิ่งเหวอมากขึ้น เพราะการะเกดกำลังแย้มยิ้มชม้อยตาให้หมื่นสุนทรเทวา
"คุณพี่หมื่น" การะเกดหันไปพูดเสียงเบา "รูปงามนะอีผินอีแย้ม"

ผิน แย้มหน้าตกใจ แต่หมื่นสุนทรเทวาหน้าบึ้งฉับพลัน

เวลาผ่านไปไม่กี่วัน หมื่นสุนทรเทวาเดินมาได้ยินการะเกดคุยกับสองบ่าว
 
"คุณพี่หมื่นรูปงามเป็นคู่หมายของข้า เอ็งจำไว้นะอีผินอีแย้ม แม่หญิงคนใดแย่งคุณพี่ไป ข้าไม่ปล่อยไว้แน่นอน"

อีกวันหนึ่ง
แม่หญิงจันทร์วาดพนมมือไหว้คุณหญิงจำปา บ่าวของจันทร์วาด ชื่อ บุญกับเหมือน เอาของกำนัลมาวาง เป็นพวงมาลัยมะลิล้วนสวยงามอยู่ในพาน กับขนมใส่โถลายครามมีฝาปิด
"คุณแม่ท่านฝากให้คุณป้าเจ้าค่ะ" จันทร์วาดบอก
"ใครกรองมาลัยพวงนี้ฤาแม่หนูจันทร์วาด...งามแท้"
จันทร์วาดเหลือบชำเลืองมองหมื่นสุนทรเทวาแล้วหลบตา
หมื่นสุนทรเทวามองไป เห็นการะเกดหน้าบึ้งมองจันทร์วาดเขม็ง

แม่หญิงจันทร์วาดลากลับ ลงบันไดมา หมื่นสุนทรเทวามาส่ง บ่าวตามมา
หมากลูกหนึ่งปลิวมาโดนหัวแม่หญิงจันทร์วาดอย่างแม่นยำ
ทั้งหมดตกใจเหลียวมองหา

บนเรือนอีกมุม
"ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ" การะเกดยืนยัน
"ไม่มีผู้ใดอื่น เป็นออเจ้าเท่านั้น" หมื่นสุนทรยืนยัน
การะเกดน้ำตาร่วงเผาะ ส่ายหน้า หน้าตาน่าสงสาร พึมพำ “ไม่ได้ทำเจ้าค่ะ” แต่ยังส่งประกายความรักมาที่หมื่นสุนทรเทวา หมื่นสุนทรเทวามองเมิน

สำรับกับข้าวเย็นวันหนึ่ง หมื่นสุนทรเทวา ออกญาโหราธิบดี คุณหญิงจำปา การะเกดนั่งกินอยู่ด้วยกัน
การะเกดหยิบชิ้นปลาใส่จานข้าวหมื่นสุนทรเทวา พลางยิ้มหวาน
คุณหญิงจำปาชะงัก เสียงดุ
"แม่การะเกด ทำกระไรหรือนั่น ใครสั่งสอนให้วอแวผู้ชายเช่นนั้น"
"มิเป็นไรนี่เจ้าคะ" แล้วการะเกดก็หยิบให้อีกชิ้นหนึ่งให้คุณหญิง "ข้าไม่กิน"
การะเกดดื้อตาใส "ให้คุณพี่หมื่นกินจะเป็นไรไปเจ้าคะ"
ยังไม่ทันจะวางลงในชามข้าว หมื่นสุนทรเทวายกหนี และคุณหญิงจำปาก็ฟาดไปที่ปลาเต็มแรงจนกระเด็น
การะเกดมองคุณหญิงอย่างเคียดแค้น

การะเกดตบผินเต็มแรงจนหน้าหัน ผินน้ำตาร่วง

การะเกดถีบแย้มที่หน้าบันไดแทบจะตกบันได ดีว่าคว้าราวบันไดไว้ได้ หน้าเหยเกมองการะเกด
"กำเริบมาสั่งสอนกู" การะเกดชี้หน้า "ยังน้อยไป"

หน้าห้องการะเกด ประตูเปิดเต็มแรง ผินกับแย้มถลาออกมาล้มคว่ำ เสื้อผ้าถูกปาลงมาบนตัว
การะเกดก้าวออกมา ปาหวีใส่ผิน และปากระปุกดินสอพองใส่แย้ม โดนหัวเต็มแรง เลือดไหลทันที
ดินสอพองเม็ดกระจาย
คุณหญิงจำปาเดินเข้ามาถาม
"กระไรกั๊น...กระไรกันแม่การะเกด ทำร้ายมันสองคนเรื่องอันใด"
"มันทั้งสองเป็นบ่าวของข้าหาใช่ของใคร"
ก่าระเกดเข้าห้องไปทันที ปิดประตูปัง

คุณหญิงจำปาพูดกับออกญาโหราธิบดีและหมื่นสุนทรเทวา
"เหลือทน...ข้าเหลือทนแล้วนะเจ้าคะคุณพี่ แม่การะเกดเห็นทีจะตกฟากตอนผีร้ายเข้าเรือนเป็นแน่แท้พ่อเดช ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้นางเป็นสะใภ้ของแม่"
สองคนอึ้ง
"ตั้งแต่นางเหยียบเรือน คุณพี่ฟังนะเจ้าคะ เรือนนี้เหมือนมีไฟลุกท่วมตลอดเวลา ข้าจะไม่ทนอีกต่อไป ถ้านางอยู่ข้าก็ไม่อยู่ ขอลาไปอยู่ที่อื่น"
"จะยังไงก็ตาม นางก็ต้องเป็นสะใภ้ของเราแม่จำปา ข้ายอมตายดีกว่าที่จะเสียสัตย์กับคนที่ตายไปแล้ว"
"ยังมีเวลาขอรับคุณแม่"
"ไม่มี...แม่ไม่ให้เวลาอีกต่อไป แม่จะหาทางส่งนางกลับไปเมืองสองแคว"

ในห้องการะเกด เกศสุรางค์ในร่างการะเกดบอกว่า
"ฟังข้า พี่ผิน พี่แย้ม"
"เจ้าค่ะ"
"ถึงข้าจะจำอะไรไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่โง่นะ"
"เจ้าค่ะ"
"เขาเกลียดข้ากันทั้งนั้น ยกเว้นท่านออกญา...ทำไม"
"โถ แม่นายท่าน"
"ถ้าไม่บอกจะออกไปถามเองนะ"
แย้มบอก "อย่าเชียวหนา"
"จักเป็นความใหญ่โตได้เจ้าค่ะ" ผินบอก
"ใหญ่เป็นใหญ่สิ"
"แม่นายเจ้าขาอย่าคิดเลื่อนเปื้อนไปเลยเจ้าค่ะ"
"ก็แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ทำไมทุกคนมองข้าแบบนั้น ข้าเป็นนางมารร้ายในละครโทรทัศน์เรอะ"
บ่าวสองคนฟังแบบไม่รู้เรื่อง งงจริง แบบหน้าตาน่าขำมาก
"เฮ้อ...ข้านิสัยไม่ดีเลยเหรอพี่"
สองคนพยักหน้าแบบเกรงๆ
"ไม่ดียังไง"
สองคนเล่าถึงความไม่ดีของการะเกดแต่หนหลัง

การะเกดขว้างปาข้าวของในห้องเกลื่อนกระจาย สองคนลนลาน

"ไป๊ มึงไม่ทำตามกูสั่ง อย่ามาเสนอหน้า" นางปาข้าวของโครม ถูกหัวนางผินเต็มแรง

การะเกดเดินออกมาที่ชานเรือน ได้ยินบ่าว 2 คนคุยกัน

"แม่นางการะเกดนี่เหมือนผีมาสิง"
"สงสารพี่ผิน พี่แย้ม รองมือรองตีน"
การะเกดตรงเข้าผลัก 2 คนเต็มแรง
"มึงอีบ่าวทั้งสองคน บังอาจนินทากูรึ"
คนหนึ่งลงไปนอน การะเกดถีบเข้าที่ชายโครงสุดแรง

การะเกดแอบดู เห็นออกญาโกษาธิบดีคุยกับออกญาโหราธิบดี มีหมื่นสุนทรเทวานั่งสนทนาอยู่ด้วย
ห่างออกมาพอสมควร แม่นางจันทร์วาดร้อยมาลัยอยู่กับคุณหญิงจำปา อีแดงนั่งอยู่ใกล้ๆ เห็นถนัดว่า จันทร์วาดลอบมองหมื่นสุนทรเทวา และหมื่นสุนทรเทวาก็เหลือบชำเลืองไปสบตา แต่สายตาแค่เอ็นดูเหมือนน้อง

การะเกดเดินเข้าห้องทันที ผิน แย้มตาม
"อีนางจันทร์วาดดัดจริตสะดีดสะดิ้ง มึงจำไว้นะอีผินอีแย้ม"
"เจ้าค่ะ"
"วันหนึ่งกูจะฆ่ามันให้ตาย จะได้หมดเสี้ยนหนามหัวใจกู"

เกศสุรางค์ได้ยินเสียงราวของการะเกดจากปากของผินและแย้ม จะบอก
"โห...แร๊งส์"
ผินกับแย้มเงยหน้าขวับ ร้องเสียงหลง
"อะไรนะเจ้าคะ"
"ร้ายมาก" แล้วนึกได้ "อ๋อ แม่นางจันทร์วาดนี่ชื่ออีแดงเหรอพี่"
ผินบอก"มิได้เจ้าค่ะ อีแดงเป็นบ่าวของแม่นางเจ้าค่ะ"
"ตายแล้วเหรอ"
"เจ้าค่ะ"
"ข้าลงไปเว็จ แล้วไปฆ่าอีแดงตายเหรอ"
สองคนก้มหน้านิ่ง
"ข้าเนี่ยนะ...ไปฆ่าคน"
-
นางแย้มเล่า
"แม่นายท่านให้บ่าวไปล่มเรือแม่หญิงจันทร์วาด อีแดงมันเป็นบ่าวแม่หญิง ว่ายน้ำไม่แข็ง มันเลยจมน้ำตายเจ้าค่ะ"
"ล่มเรือ...คนตาย โห...เล่นหนักเว้ย"
"หนักจริงเจ้าค่ะ"
"เออเนอะ มีแต่เขาข้ามภพมาเป็นนางเอก ตูดันข้ามมาเป็นนางร้ายซะงั้น"
"เฮ้อ...เครียดได้โล่" เกศสุรางค์ชะงักมองสองคน
สองคนหน้าเหวอเอ๋อมาก "หลายหนแล้วฟังไม่รู้เรื่อง"
"ไม่รู้เรื่อง ?...ไม่ต้องรู้หรอก ข้ารู้เรื่องคนเดียวก็พอ"
สองคนหัวเราะน่ารัก น้ำหมากย้อย
"แต่ข้าเนี่ยฆ่าคนเลยเหรอ...คนเป็นๆเนี่ยนะ" เกศสุรางค์ย้ำ ราวกับไม่เชื่อ
ผินก้มหน้าลง นิ่งอั้นไปสักครู่แล้วน้ำตาไหล แย้มตบแขนผินปลอบ
"พี่แย้ม"
ผินเสียงเบาลง เครือสั่น
"บ่าวเจ้าค่ะ บ่าวเป็นคนลงมือ"
เกศสุรางค์มองเห็นใจ ผินก้มจนติดพื้น ร้องไห้โฮ สำนึกในบาป และความผิด
"พี่ผินอย่าร้องไห้ ไม่ใช่พี่คนเดียว ข้าเป็นคนสั่งก็บาปด้วย ข้าจะพาไปทำบุญให้อีแดงแล้วกันนะ"
"เจ้าค่ะ"

เกศสุรางค์นอนอยู่บนเตียงการะเกด ในคืนนั้น
ภาพการะเกดลอยมา
ร้องต่างๆกันไป “ช่วยข้าด้วย” / “เดี๋ยวเขาจะเอาตัวข้าไป”
ยมบาลฉุดกระชากการะเกดลากลงหลุม

เกศสุรางค์ร้องจนหมดเสียงสะดุ้งตื่นจากฝัน ลุกนั่ง มองไป

บ่าวสองคนที่นอนอยู่ดิ้นไปคนละทาง ไม่ตื่น

เกศสุรางค์ยืนมองไปนอกชาน มองฟ้า สีหน้าหมอง คิดถึงคำพูดของการะเกด
" ใช้ร่างของข้าทำความดีแบ่งเบากรรมชั่วของข้า ทำบุญให้ข้า แสดงให้คนประจักษ์ว่าแม่การะเกดก็มีความดีเหมือนกัน"
เกศสุรางค์พูดเบามากๆกับตัวเอง
"ฉันจะทำบุญไปให้เธอการะเกด"

หมื่นสุนทรเทวาออกมาจากห้องอีกทางหนึ่ง เพ่งมอง
เห็นเกศสุรางค์ยืนสงบเงยหน้าพูด ได้ยินคำพูดประโยคนั้นพอดี
หมื่นสุนทรเทวาเพ่งมอง
ทันใดเกศสุรางค์ก็หันขวับมา ปะหน้ากันจังๆ
ต่างคนต่างจ้องกัน แต่ก็อึดใจเดียว หมื่นสุนทรเทวากลับมาสู่โหมดเดิม ... ยืนมองหน้าเกศสุรางค์หน้าหงิก เธอไม่อยากเผชิญหน้า เดินเลี่ยงจะกลับห้อง
"เดี๋ยว"
เกศสุรางค์หยุด หันไปมองตรงๆ กิริยาเปิดเผยสบายๆ
หมื่นสุนทรเทวาจ้องแล้วชังน้ำหน้า หนอย ... ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
"มีอะไรคะ"
"จักทำบุญให้ใคร"
"อ๋อ ให้การะ เอ๊ย ให้อีแดงค่ะ"
"เพราะเหตุใด"
"อ๋อ ก็เพราะเขาตายไงคะ"
"ออเจ้าพูดแปลก เขาไหน"
"อ้าว เขาก็อีแดง แปลกตรงไหน" คำสุดท้ายราวบ่นกับตัวเอง
หมื่นสุนทรเทวาเพ่งมอง สายตาพยายามอ่านให้ทะลุ
"ไปได้หรือยังคะ"
"เดี๋ยว"
"สองเดี๋ยวแล้วนะคะ"
"ออเจ้าพูดจาประหลาดจริง" หมื่นสุนทรเทวาเสียงดังขึ้น
"เมื่อกี้แปลก ตอนนี้ประหลาด ตอนหน้าวิปลาสชัวร์" เกศสุรางค์พึมพำ
"ออเจ้าพูดไม่เหมือนชาวเราที่นี่พูดกัน"
เกศสุรางค์มองหน้าเฉยๆยิ้มๆ

"ออเจ้าเป็นใคร"

อ่านต่อตอนที่ 3

#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร

เกร็ดน่ารู้จากละคร



ออเจ้า : ในเฟซบุ๊กของ KornkitDisthan อธิบาย และสรุปได้ว่า
ในหนังสือว่าด้วยเรื่องพรรณนาอาณาจักรสยาม (Description du royaume de Siam) ของ ซิมง เดอ ลาลูแบร์ ทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อธิบายว่า "Otchaou à unepersonnebassequ'on ne connait pas" แปลว่า ออเจ้า ใช้กับคน (ผู้หญิง?) ต่ำกว่าที่ไม่รู้จัก แสดงว่าใช้กับคนที่ไม่สนิท
 
ในวรรณคดีโบราณ เราพบว่าออเจ้ามักใช้กับผู้หญิงและผู้ชาย เช่น ในมหาชาติร่ายยาว ชูกชกใช้ออเจ้ากับนางอมิตดา (ส่วนนางอมิตดาก็เรียกชูชกว่า ออตา) แม้แต่หนังสือแปลรุ่นเก่าอย่างในคัมภีร์พระคฤษวงษ์โดยมัดฑัย (พระวรสารมัทธิว) ฉบับภาษาสยามปี 2383 พระเยซูก็เรียกปุโรหิตทั้งหลายว่า ออเจ้า


กำลังโหลดความคิดเห็น