xs
xsm
sm
md
lg

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 1 : ล่มเรือจันทร์วาด เพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 1

บทประพันธ์ : รอมแพง บทโทรทัศน์ : ศัลยา

ในมุมต่างๆของเรือนออกญาโหราธิบดี ดูกว้างขวาง ประกอบด้วยห้องหับต่างๆมากมาย ... ห้องนอนของการะเกด เวลาเย็นใกล้ค่ำ

การะเกดนั่งวางท่า แย้มนำน้ำอบน้ำปรุงมาทาตัว ทาหลัง ทาแขนให้นางอย่างเบามือ ทะนุถนอม ผินใช้พัดใบลานพัดเบาๆ แล้วทาอีก พัดอีก จนครบ 3 ครั้ง แย้มหันไปเตรียมผ้านุ่ง
แย้มหันมาถาม "ทาครบสามครั้งแล้วนะนังผิน"
"กูรู้น่าว่าต้องสามครั้ง นังแย้มนี่" ผินบอก
"ประคารมกันอีกนะมึง เดี๋ยวเหอะ..." การะเกดมองตาเขียว สั่ง "ส่งโถแป้งมาสิวะ"
การะเกดหยิบแป้งเม็ด บี้ให้แตกแล้วกรีดนิ้วทาแป้งที่หน้า ผินพัด แล้วทาซ้ำอีกครั้ง
การะเกดนิ้วจุ่มน้ำมัน ลูบคิ้วให้เรียบสวย
แย้มลูบน้ำมันบนผมสองปีก ผินหวีผมจับให้เป็นตามทรง
ผินจับจีบผ้าให้นุ่งผ้าหน้านาง ใส่สไบเรียบร้อยแล้วคาดเข็มขัด
"ใส่สีปากเจ้าค่ะ" ผินบอก
"ไหนล่ะชาด ข้าใส่เอง" นางปัดมือผิน "มึงไม่ต้องยุ่งนังผิน"
มือการะเกดแตะชาดแล้วป้ายที่ปากจนแดงเรื่อ
"งามแล้วเจ้าค่ะ" ผินบอก
"งามขนาดนี้อย่าทำเรื่องไม่ดีเลยนะเจ้าคะ"
การะเกด ยิ้มเห็นฟันขาว จากยิ้มสวย ค่อยเปลี่ยนเป็นยิ้มโหด...ลึก
การะเกดสายตาเข้มจัด มองสองคน แล้วตบแย้มเปรี้ยงแบบระบายอารมณ์
"อีแย้ม บังอาจนะมึง ที่มายั้งกู"

เวลาต่อเนื่องมา ประตูเปิดออกด้วยท่าทีมั่นคง แน่วแน่ การะเกดก้าวออกมาเดินตัวตรง
บ่าวสองคนตาม สั่นสะท้านในกิริยา แต่พยายามควบคุมไว้ แย้มลูบคลำแก้มที่โดนตบ
"ข้าได้ยินว่าอีจันทร์วาดจะเอาสำรับมาให้คุณป้าจำปา" นางพูดเสียงเข้มในคอ "เอ็งสองคนอย่าทำเสียเรื่องให้ผู้ใดจับได้ ข้าไม่เลี้ยงแน่"

บ้านออกญาโกษาธิบดี เวลาใกล้ค่ำ เวลาเดียวกัน
โถกับข้าวห่อด้วยผ้าขาวสะอาด บ่าวยกใส่ตะกร้าสานสวยงาม 3-4 โถ ไปมา
"แกงคั่วสับปะรดกับไข่แมงดา รีบไปเถอะลูก คุณหญิงท่านจะคอย เรียนท่านว่า แม่ปรุงยำใหญ่เองนะลูก" คุณหญิงนิ่มว่า
"ข้าเรียนคุณป้าจำปาว่าจะไปเพลาชายแก่ๆค่ะคุณแม่" แม่หญิงจันทร์วาดบอก

ที่ท่าน้ำ แม่หญิงจันทร์วาดก้าวลงเรือ อีแดงตาม บ่าวหญิงร่างกำยำเป็นคนพายเรืออีกลำ โถอาหารวางเรียงราย บ่าวชายคนหนึ่งเป็นคนพาย มีบ่าวหญิงคุมสำรับไป
นิ่มชะเง้อดูอยู่บนเรือน
"อ้าว... แม่จันทร์วาด ไม่เอาเรือใหญ่ไปหรือลูก"
"ช้าค่ะคุณแม่ จะพลบเสียก่อน"
เรือแล่นตามกันไป

บริเวณริมน้ำ ตอนใกล้ค่ำ ต่อเนื่องมา การะเกดเดินลงจากเรือน ท่วงท่าหยิ่งยโสและมั่นใจ สองคนตามด้วยกิริยาพินอบพิเทาเดิม
บ่าวไพร่ทำงานต่างๆอยู่ทั่วบริเวณ เช่น กวาดลาน หาบน้ำมารดต้นไม้ พรวนดิน
บ่าวผู้หญิง 2 คนถือพานฝังมุกใส่เสื้อผ้าที่อบร่ำเสร็จแล้วจะมาขึ้นเรือน

การะเกดเดินมาถึงที่แห่งหนึ่งบริเวณริมน้ำ บ่าวสองคนหยุดตาม
นางทอดสายตาไปตามลำน้ำ สายตาเข้มจัดมาก
เห็นเรือของแม่หญิงจันทร์วาดแล่นมาแต่ไกล มีอีแดงนั่งมาด้วย บ่าวหญิงเป็นคนพาย เรือบ่าวชายตาม ใส่สำรับอาหาร มีเรืออื่นๆแล่นอยู่ขวักไขว่พอสมควร
"อีผิน"
"เจ้าขา"
"มึงไป"
สีหน้าผินประหวั่นพรั่นพรึงเหลือเกิน
"รั้งรออะไรรึมึง" นางหันมากระซิบตวาดในคอ "รอมือรอตีนกูรึโน่น เรืออีจันทร์วาดมาโน่น" การะเกดพยักหน้านิดเดียว ผินไปทันที
"อีแย้ม จับตามองไว้ อีผินทำสำเร็จกูถึงจะกลับเรือน มึงคอยท่าอยู่ตรงนี้แหละ"
"เจ้าค่ะ"
การะเกดทำเป็นเดินชมนกชมไม้ แต่นัยน์ตาลอบชำเลืองไปทางแม่น้ำ
แย้มลงนั่งยองๆข้างซุ้มไม้มองดู
ผินหย่อนตัวลงข้างๆตลิ่ง แล้วลับหายไปจากสายตา
แย้มใจคอไม่ดี แต่ก็นั่งจ้องอยู่ที่เรือจันทร์วาด
เรือจันทร์วาดลอยมาเรื่อย ฝีพายหญิงพูดคุยกับจันทร์วาด ในขณะที่อีแดงนั่งยึดกราบเรือสองข้างแน่น
แย้มสอดส่ายสายตาหาผิน
พรายน้ำเคลื่อนเข้าไปใกล้เรือทุกที
การะเกดกระซิบ "อีแย้ม"
"เจ้าคะ" แย้มหันไป
"ได้เรื่องรึยัง"
"กะลังเฝ้าดูเจ้า..." ยังไม่ทันจบประโยค แย้มเห็นหน้าการะเกด
การะเกดเห็น ... ตาโตแล้วสีหน้าสมใจ "อีผินทำสำเร็จแล้ว" นางพึมพำในคอ
แย้มหันไปดู
เรือจันทร์วาดพลิกคว่ำ ทุกคนหล่นลงน้ำ เสียงบ่าวหญิงร้องหวีดว้ายได้ยินแว่วๆ
แย้มหันมาทางการะเกด
เห็นแต่การะเกดที่เดินกลับเรือน หลบไปตามสุมทุมพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว
"แม่นายท่าน...รอด้วยเจ้าค่ะ"
แย้มลุกขึ้น แต่หันไปดูอีกครั้ง เห็น 2คน ว่ายน้ำกลับมาที่ตลิ่ง จันทร์วาดว่ายน้ำมา
บ่าวหญิงที่พายเรือว่ายตามมา
ไกลออกไปหน่อย อีแดงทะลึ่งพรวดขึ้นมา ชูมือไหวๆ
จันทร์วาดทำท่าจะไปช่วย แต่บ่าวหญิงดึงกลับมา สองคนว่ายกลับมาที่ตลิ่ง
เรืออีกลำหนึ่งแล่นลิ่วไปหาอีแดง คนพายพายจ้ำ

แย้มจำต้องหันกลับตามการะเกดไปอย่างรวดเร็ว

พุ่มไม้ใกล้บันได

การะเกดวิ่งลัดเลาะมา แล้วหันไปมองหา
แย้มตามมาถึงตัว
การะเกดสูดลมหายใจแรง แล้วเปลี่ยนกิริยาเป็นเดินฝีเท้าปกติ
การะเกดพูดเสียงในคอ กิริยาปกติ
"เอ็งเห็นจนสุดรึเปล่า อีแย้ม"
"เห็นเรือคว่ำเจ้าค่ะ"
"กูเห็นแล้วว่าเรือคว่ำ" นางหันกลับมาสีหน้าโหด "อีจันทร์วาดล่ะ เห็นหรือไม่"
"มีแม่หญิงจมน้ำคนหนึ่ง แต่บ่าวไม่เห็นแจ้งว่าเป็นใคร มันพลบแล้วเจ้าค่ะ"
"ก็มันนั่นแหละ มันว่ายน้ำไม่แข็ง...อีผินล่ะ"
"ยังไม่โผล่เลยเจ้าค่ะ"
การะเกดนิ่งไปอึดใจ "รอมัน"
"เดี๋ยวใครมาเห็นนะเจ้าคะ"
"รอ"
"แต่..."
"กูบอกว่ารอ มึงจะพิรี้พิไรหาสวรรค์วิมานใด"
แย้มหน้าสลด
การะเกดก้มลงเชยชมดอกไม้ แต่นัยน์ตาคมกริบมองไปทางชายน้ำ
แย้มครางฮือๆเบาๆด้วยความกลัว
"อีผิน...อีบรรลัย มันชักช้าอยู่ใย"
ผินวิ่งก้มๆเงยๆมา
"มาแล้วเจ้าค่ะ" แย้มว่า
ผินมาถึง หอบแฮ่กๆ
"ผลัดผ้ารึยัง"
"แล้วเจ้าค่ะ" ผินบอก
"ผ้าเปียกล่ะ"
"ก้อนหินถ่วงก้นคลองแล้วเจ้าค่ะ"
การะเกดสูดลมหายใจสักครู่ ทำใจเข้มแข็ง พยักหน้า
"ไป"

ทั้งสามคนเดินมาถึงบันไดเรือน
แย้มตักน้ำด้วยกระบวยราดเท้าการะเกด
การะเกดกระซิบ
"กูปวดขี้จึงไปเว็จจำไว้"
แย้มกับผินรับคำ “เจ้าค่ะ”
ทั้งหมดเดินขึ้นเรือน เสียงดังตวาดเล็กๆ จากหัวบันได
“นั่นใคร”
สามคนสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขึ้นมอง
ในความมืด หมื่นสุนทรเทวายืนทะมึนอยู่หัวบันได
“น้องเองค่ะคุณพี่ น้องลงไปเว็จมาค่ะ”

การะเกดเดินตามหมื่นสุนทรเทวา
การะเกดทำมือให้บ่าวสองคนกลับห้องไป ผินกับแย้มไปอย่างเร็วรี่
หมื่นสุนทรเทวาลงนั่งบนเบาะนั่ง รินน้ำชาใส่ถ้วยใบเล็ก ดื่มน้ำชา ระหว่างนั้นนัยน์ตาคมกริบจ้องหน้าการะเกดอย่างจับผิด
ระหว่างนั้นการะเกดนั่งเท้าแขนรอคอย ไม่มีกิริยาเบื่อหน่ายรำคาญ ท่าทีสงบเสงี่ยม นัยน์ตาลอบมองด้วยความรัก
“แม่การะเกด ออเจ้าลงไปเว็จทำไม นี่มันจวนพลบแล้ว บ่าวบนเรือนไม่ได้จัดหม้อน้ำมูตรไว้ให้เจ้าถ่ายฤา”
“จัดเจ้าค่ะ”
“จัด ?” หมื่นสุนทรเทวามองจ้อง สายตาเกลียดชัง
การะเกดทำท่าสงบเสงี่ยมมาก“เจ้าค่ะ”
หมื่นสุนทรเทวาเห็นท่าทางแล้วหมั่นไส้ เสียงดังขึ้นนิด
“แล้วยังไงเล่า จัดแล้วทำไมต้องลงไปถ่ายข้างล่าง งูเงี้ยวเขี้ยวขอกัดเข้าจะว่าอย่างไร มิเดือดร้อนกันไปหมดรึ ตั้งแต่ออเจ้าจากหัวเมืองมาอยู่ที่นี่ไม่เว้นเลยที่จะ...” หมื่นสุนทรเทวาหยุด รู้สึกตัวว่าพูดมากไปแล้ว
การะเกดมอง สีหน้าคอยฟังต่อ ยิ้มบริสุทธิ์
หมื่นสุนทรเทวาถอนใจแรงๆ “ทำไมไม่ถ่ายในหม้อ”
“ปวดหนักเจ้าค่ะ ถ่ายในหม้อกลิ่นคลุ้งเจ้าค่ะ อีผินกับอีแย้มมันต้องนอนกับกลิ่นจนเช้า น้องเกรงว่า...”
“จะให้ข้าเชื่อรึ”
“สุดแต่คุณพี่ค่ะ” การะเกดยิ้มแจ่มมองตาหมื่นสุนทรเทวา
หมื่นสุนทรถอนหายใจเฮือก
“ถามอีกครั้งออเจ้าคิดห่วงอีบ่าวสองคน ? จึงอุตส่าห์ถ่อร่างลงไปเว็จ”
“เจ้าค่ะคุณพี่”
“พอ” หมื่นสุนทรเทวาโบกมือ “ไปได้...” น้ำเสียงเหมือนจะอดใจไม่ได้แล้ว
การะเกดไหว้แล้วลุกขึ้นเดินระเหิดระหงจากไป
ท่าเดิน ท่านั่ง ท่ากรีดกรายของการะเกดดูนุ่มนวล อ่อนช้อยแบบหญิงโบราณ

หมื่นสุนทรเทวามองตามการะเกดด้วยสายตาเกลียดชัง
ออกญาโหราธิบดีถามลูกชาย “เกลียดนางนักรึลูก”
หมื่นสุนทรเทวาหันมา “ขอรับคุณพ่อ เกลียด คนอย่างนางมีฤาจะห่วงผู้ใด พูดจามุสา”
ออกญาโหราธิบดีเดินออกกับคุณหญิงจำปา
“การะเกดเป็นคู่หมายของลูก เกลียดอย่างไรก็ต้องร่วมหอลงโรงกับนาง หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก”
“ฮึ...” คุณหญิงจำปาเมินหน้าไปบ้วนน้ำหมาก “หาเรื่อง”
“ลูกจะประวิงเวลาไปเรื่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่บังคับขืนใจลูกก็เป็นพระคุณแล้วขอรับ”
“ไม่...แม่ไม่บังคับขืนใจลูกเลย พ่อเดช หาต้องห่วง...อย่าห่วง”
ออกญาโหราธิบดีเหล่คุณหญิงจำปา
คุณหญิงจำปาพึมพำ “นางน่าเกลียด พ่อเดชเกลียดมิผิดดอก”
“จะประวิงต่อไม่ได้แล้วนะพ่อเดช แม่การะเกดจะเป็นสาวเทื้อคาเรือนอยู่นี่ เพราะลูกประวิงแล้วประวิงอีกอยู่อย่างนี้”
หมื่นสุนทรเทวากัดฟันแน่น ไม่อยากตอบ
“นางอายุเลยยี่สิบปีแล้ว เขาลือกันไปสามบ้านแปดบ้าน เห็นใจนางบ้างหรือไม่”
“ลูกแสนจะเกลียด เกลียดแสนเกลียด”
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังจากท่าน้ำ

สามคนหันขวับไปทางท่าน้ำ

บ่าววิ่งมาเป็นพรวน บ่าวชายสองสามคนตัวเปียกโชก ทุกคนทรุดตัวนั่งพนมมือ

ออกญาโหราธิบดีถาม “เกิดเหตุอันใดรึพวกเอ็ง”
“พ่อเดชเสียงใครมาโหวกเหวกที่ท่าน้ำ” คุณหญิงจำปาลงบันไดตามมา
“กำลังทวนความอยู่ เอ้า...เรียนคุณหญิงไปเกิดอะไรขึ้น”
“เรือแม่หญิงจันทร์วาดล่มขอรับ กำลังจะเกณฑ์กันไปงมหาอีแดงบ่าวของแม่หญิงที่จมน้ำหายไปขอรับ”
“จมน้ำรึ” หมื่นสุนทรเทวาว่า
“นั่นสิ มันว่ายน้ำไม่เป็นรึอย่างไร”
บ่าวชาย 2 “ไม่เป็นขอรับ”
บ่าวชาย 1 “คงจมน้ำตายแล้วขอรับ”
หมื่นสุนทรถาม“แม่หญิงอยู่ไหน”
บ่าวชาย 1 “กลับไปแล้วขอรับ”
ออกญาโหราธิบดีถาม“กลับไปอย่างไร”
บ่าวชาย 2 บอก “มีเรือตามมาอีกลำขอรับ”

ภายในห้องการะเกด เวลากลางคืน
การะเกดบอก
“พวกเอ็งได้ยินมั้ย กูเจ็บใจนัก ทำไมไม่เป็นนางจันทร์วาด นังหญิงสาระแน”
ผิน แย้ม หน้าซีดเซียว
“คิดจะเทียบเคียงกู อยากเป็นแม่หญิงเคียงเรือนของคุณพี่เดชจนตัวซีดตัวสั่น มันต้องเจออย่างนี้ถึงจะสาสม ออกญาพ่อนางก็ช่างกระไรเอาลูกสาวมาเร่ขายหน้าไม่อายทั้งพ่อทั้งลูก”
“อีแดงจะเป็นผีมาหลอกข้าเจ้าหรือไม่เจ้าคะแม่นาย” ผินว่า
“เหลวไหล หุบปากเดี๋ยวนี้อีผิน ถ้าเอ็งไม่อยากถูกหม้อเยี่ยวของกูตบปาก อีแย้มเอ็งด้วยอย่าได้ปริปากไป แล้วทำท่าให้ดีอย่ามีพิรุธ ฟังรู้ความฤาไม่”
การะเกดพูดจบ อาการหอบถี่ขึ้นเพราะเป็นโรคส่วนตัวอยู่ พยายามเงยหน้าเพื่อให้หายใจสะดวก
ผิน แย้ม ตกใจเข้ามาประคอง สีหน้าเป็นห่วงใยจริงจัง
การะเกดมองหน้าสองบ่าวที่แหงนมองตนเอง ความตื้นตันขึ้นมานิดหน่อย พยักหน้าว่าสบายดีแล้ว
ผิน แย้ม โล่งใจ
“อย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ แม่นายเป็นโรคหอบอยู่นะเจ้าคะ”
“เอาเถิด ค่าที่มึงช่วยกูแก้แค้นให้หายขุ่นใจ กูเตรียมผ้าใหม่ไว้ให้มึงคนละสำรับ ทั้งอีแย้มด้วยหนา ขอบใจมึงมากที่ดูแลกูมาตลอด เมื่อใดที่กูสุขสมหวังดังใจ กูจักไม่ลืมพวกมึงเลย”
สองบ่าวทำท่าซาบซึ้ง อย่างน่าสงสารด้วย เพราะผูกพันรักซื่อสัตย์เจ้านายจนแทบจะยอมตายแทนได้
ทั้งสองกราบแทบเท้าแล้วกอดขาไว้ การะเกดตื้นตันใจ
“วันใดหนอที่กูจะได้เข้าหอกะคุณพี่เดชเสียที กูคร้านจะคอยแล้วนะเอ็ง” การะเกดเสียงดัง เริ่มมีอารมณ์
บ่าวทั้งสอง ทำท่าว่าอย่าอึงไป

เสียงนกร้อง ไก่ขับขานยามเช้าตรู่
เรือนทั้งหลังตะคุ่มๆในความมืดสลัว แสงไฟถูกจุดขึ้นตรงโน้นตรงนี้
บ่าวไพร่ถือไต้ส่องเดินออกมาเริ่มทำงาน

เวลาเดียวกัน แย้ม ผิน ลืมตาโพลง หลับไม่ลง สีหน้าเป็นทุกข์เต็มๆเหลือบไปทางการะเกด
ที่นอนหลับสนิท กิริยานอนเปะปะไม่สำรวม
สองบ่าวมองหน้ากันกลุ้มใจเหลือเกิน

เวลาต่อเนื่องมา หมื่นสุนทรเทวา เรียกเสียงดังที่ชานเรือน
“อีผิน อีแย้ม”
สองคนที่กำลังย่องจะลงเรือนสะดุ้งสุดตัว หันกลับมาเจอหน้าหมื่นสุนทรเทวา คุณหญิงจำปายืนอยู่อีกทาง
หมื่นสุนทรยืนตระหง่านบอก “อีแดงตายแล้ว”

สองคนตัวงอลงไป พยายามปรับสีหน้าให้ปกติ
“มึงสองคนร่วมมือกันกับนายมึงทำใช่หรือไม่...บอกมา”
สองคนก้มหน้า ส่ายหน้าไปมา
“ตอบกู”
สองคนเงยหน้า ส่ายหน้า สีหน้าไม่มีพิรุธใดๆ
“อีผิน อีแย้ม” เสียงคุณหญิงจำปาเรียก
ผิน/แย้ม “เจ้าคะ”
“ไปเรียกนายเอ็งมาเดี๋ยวนี้”
“แม่นายยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ” ผินบอก
“บ่าวจะไปปลุก...”
หมื่นสุนทรเทวาบอก “มึงอยู่นี่อีแย้ม อีปริก ... ไป”

การะเกดสีหน้างัวเงีย
“อะไร...ปลุกกูทำไมแต่มืด”
ปริกเขย่าเบาๆ การะเกดขยับขาหนี ปริกเขย่าแรงขึ้นอีก
การะเกดลุกพรวด
“อีบ้า มึงเขย่ากูทำไม กูจะนอน”
หน้าปริกนิ่งเหมือนหิน
“อีปริก...มึงรึ...มึงเข้ามากวนกูทำไม ออกไปจากห้องกูเดี๋ยวนี้ อีผิน อีแย้ม ปล่อยนังยักษ์ขมูขีนี่เข้ามากวนกูทำไม” การะเกดเสียงดังลั่น

เสียงการะเกดดังแว่วๆมา
คุณหญิงจำปาลุกขึ้นทันที
“ชำระความกันไปเถิดหนาพ่อเดช แม่ทนนางไม่ไหวแล้ว สามหาวเหลือเกิน คุณพี่คะอิฉันจะไปวัดไชยนะเจ้าคะ วันนี้มีเทศน์มหาชาติเจ้าค่ะ”

ภายในห้อง คุณหญิงจำปา น้ำเสียงปลงๆ ขณะหยิบผ้านุ่งเดินไปหลังฉาก
“แม่การะเกดเป็นหลานท่านเจ้าคุณที่นั่งเมืองพระพิษณุโลก ท่านออกญามีคำมั่นสัญญาต่อพ่อของนางว่าจะให้ตบแต่งกับท่านหมื่น พ่อแม่นางตายหมดทั้งสองคน ข้าคิดว่าท่านออกญาคงไม่ทำลาย
สัญญาเพราะเป็นสหายรักกับพ่อของนาง” คุณหญิงเปลี่ยนผ้านุ่ง ใส่เสื้อเสร็จพอดี
ปริกนัยน์ตาปริบๆ
คุณหญิงจำปานุ่งผ้าใหม่ ใส่เสื้อ มองหน้าปริก
“เออนังปริก เอ็งรู้หมดแล้ว ข้าจะพูดให้ฟังอีกทำไมวะนี่” คุณหญิงหัวเราะเบาๆ “เอ้า มากรองสไบให้ข้า”
“เจ้าค่ะ ฟังได้เจ้าค่ะ” ปริกลุกขึ้น

ในเรือกัญญา เป็นเรือของสตรีมีสกุลสถานะสูง ยกพื้นกลางลำเรือ มีหลังคาเป็นชั้นๆสองหรือสามชั้นก็ได้ ปูเสื่อลำแพนมีเบาะเป็นที่นั่ง ทาสที่พายเป็นหญิง เรือแล่นในลำน้ำเรื่อยไป ...
“ท่านหมื่นไม่ถูกตาถูกใจนางเลย นางไม่เอาการเอางาน ขี้เกียจตัวเป็นขน วาจาแข็งกระด้าง จิกใช้บ่าวไพร่ เฮ้อ...”

“ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้เป็นคู่ ถ้าไม่ใช่ก็แคล้วคลาด เชื่อบ่าวเถอะเจ้าค่ะแม่นาย” ปริกว่า

เรือแล่นมาจอดหน้าวัดไชยวัฒนาราม คุณหญิงลงขึ้นฝั่ง มองขึ้นไปที่ลานวัด เห็นผู้คนคลาคล่ำในบริเวณนั้น มีเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ มีหนุ่มสาวด้วย มากันเป็นหมู่ๆ มีผัวเมียจูงลูกเล็กๆ

จำปาหันมามองปริก แล้วยิ้มพยักหน้าเห็นด้วย
“บุพเพสันนิวาส จริงสิ...ใครก็ขัดขวางบุพเพสันนิวาสไม่ได้”
บริเวณวัดจากผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปถึงยอด ไปที่พระปรางค์ประธาน ปรางค์บริวาร พระอุโบสถ เห็นความงามทั้งหมดของวัด

จากภาพวัดที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ณ วันนี้ กลายสภาพเป็นซากปรักหักพังของวัดไชยวัฒนาราม ในปัจจุบัน เมื่อเวลาใกล้ค่ำ ... อาจจะมีเจดีย์ เช่น เจดีย์ของเจ้าฟ้ากุ้ง ที่สร้างในยุคหลัง ก็ยังมีสภาพที่พังๆเอียงๆ
จากวัดไชยวัฒนารามถึงบริเวณถนน
เกศสุรางค์ สาวรูปร่างอวบอ้วน อารมณ์ดี และเรืองฤทธิ์เดินกันมาสองคน
“โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว เดินขาจะหลุดอยู่แล้ว มาจนถึง โน่น...จวนถึงวัดไชยวัฒนารามแล้วนะ”
เรืองฤทธิ์บอก“ทำไมต้องเรียกซะยาว วัดไชยคำเดียวก็พอ”
“เออ...ไม่รู้เหมือนกัน”
“แค่นี้ทำเป็นบ่น...เป็นไง ไม่ไหวเหรอ” เรืองฤทธิ์หันมามองยิ้ม
เกศสุรางค์ อวบอ้วนไปทั้งตัว เหงื่อเต็มหน้า แก้มแดงเป็นลูกตำลึง หน้าตาท่าทางเหนื่อย
ลิ้นห้อยน้อยๆแต่พองาม
“มันจะค่ำแล้วนะ จะไปถึงวัดเหรอ น่ากลัวนา”
“เรียนโบราณคดี ขุดค้นของโบราณไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แกยังกลัวผีอยู่อีกเหรอ ไอ้เกศ”
“ผีนะโว๊ย ไม่ใช่เพื่อนเล่นจะไม่ให้กลัวได้ไง นี่ถามจริงแกคิดจะทำมิดีมิร้ายกะฉันรึเปล่า แอบชวนฉันไม่บอกคนอื่นมาไกลซะขนาดนี้”
“ทะลึ่ง...หวังสูงไปหน่อยนะแก หนอยหวังจะให้ฉันทำมิดีมิร้ายแกเหรอ... ฝันไปเถอะว่ะ”
เกศสุรางค์ มองด้านข้างของเรืองฤทธิ์ เสียใจขึ้นมาเต็มหน้า
เรืองฤทธิ์หันมา เกศสุรางค์ปรับสีหน้าเป็นปกติ ร่าเริงตามเดิม
“อ้าว ทำไมไม่คิดล่ะว่าแกก็ฝันสูงเหมือนกัน ไปขุนตัวเองให้อ้วนเท่าฉันก่อนเถอะว้า”
เรืองฤทธิ์หัวเราะก๊าก คล้องคอเกศสุรางค์เข้าไปใกล้ แล้วพาเดินไป
เกศสุรางค์ เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองเล็กๆ

สองคนเข้ามาในบริเวณวัด กวาดตามอง
เรืองฤทธิ์เปรยๆ “ทำไมวันนี้ไม่มีคนเลย”
“แกพาฉันมาทำแป๊ะอะไรที่นี่ เหนื่อยโคตรเลยกู”
“วันนี้พระจันทร์เต็มดวง เดี๋ยวคอยดู สวยตะลึงเลยแกเอ๋ย พระจันทร์สว่างกระจ่างอยู่บนฟ้า มีโครงสร้างที่สวยเพอร์เฟคท์ของวัดไชยเป็นฉาก”
เกศสุรางค์นัยน์ตาอ่อนโยนลง
“ใช่ ฝีมือคนโบราณหลายร้อยปีมาแล้วนะ ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ฉันนับถืออัจฉริยะของมนุษย์จริงๆว่ะ”

สภาพวัดไชยวัฒนารามในอดีต สวยงามอร่ามตา
คุณหญิงจำปาบอก “กลับเถอะนังปริก ป่านนี้ไต่สวนทวนความกันเสร็จแล้วกระมัง”
ขบวนทั้งหมดเดินกลับ

คุณหญิงจำปาเดินขึ้นเรือน ปริกตามมา ทุกคนยังอยู่ คอยการะเกด
ทุกคนสีหน้าเบื่อหน่าย
“อะไรกันนี่ นี่แม่การะเกดยังไม่ออกมารึ” คุณหญิงจำปาเสียงขุ่นมัวมาก “จะต้องให้ข้าไปลาก
ตัวออกมารึไง คุณพี่คะ ทนนิ่งอยู่ได้ฤๅคะ”
การะเกดเดินออกมา “มาแล้วเจ้าค่ะคุณป้า”
“แม่การะเกด” คุณหญิงจำปาลูบอก “ข้าไปวัดเป็นนานสองนาน ออเจ้าเพิ่งออกมา”
“วัดไชยอยู่ปากคลองบ้านเรานี่เอง ไปกลับยังไม่ชั่วยามนี่เจ้าคะ”
“ถึงกระนั้นก็เหอะ เรียกหาทำไมไม่ออกมา ทำอะไรอยู่”
“หลานแต่งตัวสิเจ้าคะ”
“จะให้ข้าพูดอย่างไรดีถึงความน่าชังของออเจ้า...ยังไม่รู้ตัวอีก”
การะเกดตาใสซื่อมองตรงๆ คุณหญิงจำปาเรอเอิ๊ก...เดินเข้าห้องไป
“มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ปลุกหลานตั้งแต่ยังไม่ย่ำรุ่ง” การะเกดพูดกับออกญาโหราธิบดี
หมื่นสุนทรบอก
“ยังไม่ย่ำรุ่งรึ ไก่ขันออกสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน”
การะเกดยังนัยน์ตาใส
“คุณแม่พูดปานนั้นรู้สึกฤๅไม่”
การะเกดสีหน้ากวนประสาทมองจ้องหมื่นสุนทรเทวา
“ออเจ้ารู้ฤๅไม่ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไร” ออกญาโหราธิบดีว่า
การะเกดน้ำเสียงซื่อ “เรื่องอะไรฤๅเจ้าคะคุณลุง”
“บ่าวของแม่หญิงจันทร์วาดจมน้ำตาย”
“คุณพระคุณเจ้าช่วย เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ โถ อีแดง ใครหนาใจคอโหดร้ายล่มเรือแม่หญิงจันทร์วาด แล้วแม่หญิงเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ว่ายน้ำไม่แข็งเสียด้วย”

หมื่นสุนทรเทวาขมวดคิ้ว จ้องหน้าการะเกดนิ่ง การะเกดใจแข็งยิ่งนัก สบตาไม่มีเกรงกลัว

บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 1 (จบตอน)
 
หมื่นสุนทรเทวาเดินพรวดๆเข้าห้องใน ออกญาโหราธิบดีเดินตาม

“นางผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมเลือดเย็นมาก ลูกเห็นจะยอมตายถ้าต้องร่วมหอกับนาง”
“นางอาจได้ยินคนพูดกันออกขรมไป อย่าเพิ่งกล่าวโทษนางพ่อเดช” ออกญาโหราธิบดีว่า
“คุณพ่อขอรับข้าไม่ผิด แม่การะเกดนางโหดร้ายมาก...ข้าเกลียดนาง”
ออกญาโหราธิบดีนิ่งอึ้ง คุณหญิงจำปาเดินออกมา
หมื่นสุนทรเทวาของขึ้น รู้สึกมาก เสียงดังขึ้น
“นางรู้ได้ยังไงขอรับว่าเรือแม่จันทร์วาดถูกล่ม ยังไม่มีใครเอ่ยคำใดสักคำ อีแดงอีก นางรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในเรือด้วย”
“นางว่างั้นรึพ่อเดช” คุณหญิงจำปาว่า
“ขอรับคุณแม่”
ออกญาโหราธิบดียังพูดไม่ออก มองหน้าจำปา ส่ายหน้าไม่ให้พูด
“นางเป็นคนทำ นางแก้ต่างว่าไปเว็จ อ้างว่าอีผินอีแย้มจะทนกลิ่นไม่ได้ ถ้านางถ่ายหนักในหม้อ ลูกไม่ขอเชื่อคนใจดำอย่างนาง ไม่มีวันจะคิดเห็นใจบ่าว ทั้งๆที่อีบ่าวสองคนนั่นแทบจะถวายชีวิตให้นาง รองมือรองตีนเป็นทาสนางอยู่ทุกวี่ทุกวัน”
“เป็นจริงดังว่า”
ออกญาโหราธิบดีเสียงเอ็ดเล็กๆ “แม่จำปา...”
จำปาอึ้ง
“ลูกเกลียดนาง ชังน้ำหน้ายิ่งกว่าอะไร มูลสัตว์แปดเปื้อนลูกยังไม่รังเกียจเท่ากับเนื้อตัวนางคนนี้ ลูกมิอาจตบแต่งกับนางเป็นอันขาด”

การะเกดสีหน้าอิ่มเอมขึ้น...มากขึ้น จนหัวเราะเบาๆแล้วดังขึ้น
บ่าวสองคนทั้งเสียใจ ทั้งรู้สึกผิด แต่ก็ต้องจงรักภักดี
การะเกดหัวเราะดังขึ้นอีก
บ่าวเข้ามา มือปิดปากให้ค่อยๆ
การะเกดตวาด“ทำไม”
“โธ่ถังเอ๋ย ไม่เกรงหูคนเลยหรือเจ้าคะ” ผินว่า
“คุณพี่ไม่เชื่อ...เธอไม่เชื่อ น่ากลัวเหลือเกินสายตาเธอ” แย้มว่า
“มึงจับตามองคุณพี่ไว้...อยากรู้ว่าไม่เชื่อแล้วจักทำอย่างไร”

หมื่นสุนทรบอกต่อไป “เจ็บใจเหลือเกิน เอาโทษกับนางไม่ได้ทั้งๆที่รู้เต็มอกว่านางผิด”
“คุณพี่เร่งเอาผิดนางสิเจ้าคะ ข้าสุดแสนจะแค้นใจกับนาง นางหน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน”
“มีหนทางไหมขอรับคุณพ่อ”
“มีสิคะเจ้าคะคุณพี่” คุณหญิงหน้าเข้ม มองนิ่งสายตาคาดคั้น “มนต์กฤษณะกาลีค่ะ”
ออกญาโหราธิบดีหน้าตายุ่งยาก
“ข้ารู้ว่าคุณพี่เห็นแก่วิญญาณเพื่อนจึงไม่ลงโทษนาง”
ออกญาโหราธิบดีเสียงรำคาญ
“ข้ากำลังกรึกกรอง แม่จำปาพูดมากความจริง”
“หาไม่คุณพี่จะไม่สบายใจจนตาย คุณพี่ต้องใช้มนต์นี้แล้วนะเจ้าคะ”

ใกล้ค่ำ อีกคืนหนึ่ง หมื่นสุนทรเทวายืนสั่งบ่าวชาย ชื่อ จ้อย
หมื่นสุนทรเทวาสั่งนายจ้อยเสียงเบาพอได้ยิน
"ไปเรือนออกญาโกษาธิบดี ขอเศษผ้านุ่งของอีแดงที่ตายมา"
อีแย้มแอบได้ยินเข้าพอดี ตกใจแทบตาย

ในห้อง การะเกดเห็นบ่าวทั้งสองพูดคุยซุบซิบกัน
"มึงซุบซิบอะไรกัน"
แย้ม ผิน ตัวสั่นปากสั่น การะเกดเดินเข้า เอานิ้วจิ้มหน้าทั้งสองคนจนหน้าหงาย
"ถ้าไม่แจ้งกู เกิดอะไรขึ้นกูจะเอามึงให้ตาย"
แย้มเปิดปาก "บ่าวได้ยินว่า..."

ในห้องพระ ตอนค่ำ ต่อเนื่องมา
เศษผ้านางแดงถูกส่งให้ หมื่นสุนทรเทวารับมาวางไว้บนพาน
สองคนพ่อลูก สวมชุดสีขาว นั่งเตรียมพร้อม
"พ่อเดช พ่อมิผิดที่เห็นแก่พ่อของนาง สหายสนิทของพ่อ พ่อหวังว่าลูกต้องเข้าใจ"
"ข้าเข้าใจเหมือนคุณแม่ขอรับ"
ออกญาโหราธิบดีอึ้งมาก สบตาลูก หมื่นสุนทรเทวาหน้าตายืนยันสิ่งที่ตัวเองพูด
"เอาล่ะ หากแม่การะเกดมิได้เป็นผู้สั่งการ มนต์กฤษณะกาลีก็ไม่อาจทำลายนาง แต่ถ้านางผิดจริง มนต์นี้จะทำหน้าที่ของมัน"

ในห้องการะเกด แย้มอธิบาย
"มนต์กฤษณะกาลีเป็นมนต์ตกทอดมาในเรือนท่านออกญาหลายชั่วคน สาปแช่งคนทำผิดนะเจ้าคะ ท่านให้เอาเศษผ้าคนตายนำวิญญาณมาทำร้ายคนที่ฆ่านางเจ้าค่ะ ถ้าใครทำ เขาว่าบางทีก็เป็นบ้าตายตกไปตามกันเลยเจ้าค่ะ"
การะเกดหวั่นลึกๆในใจ แต่คุมไว้ได้
"กูไม่กลัว"
สองคนเหลียวขวับไปมองหน้า
"กูบอกว่าไม่กลัว มึงได้ยินฤๅไม่ กูไม่ได้เป็นคนทำ...มึงสิอีผิน...มึงเป็นคนทำ"
นางผิน ตกใจแทบสิ้นสติ เสียงสั่น ปากคอสั่น
"แม...แม่...นาย เหตุใดพูดอย่างนั้นเจ้าคะ"
"ใยกูจะพูดไม่ได้ มิใช่มึงทำรึ"
"ต...แต...แต่แม่นาย สั่งข้าให้...ให้..." ผินร้องไห้ออกมาเต็มเสียง "ข้าทำ..."
แย้มตบหลัง
"ผิน...นังผินอย่าร้อง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก"
ผินหันมาตวาดแย้ม
"มึงบอกเองตะกี้อีแย้ม ฮือ ฮือ กูไม่อยากเป็นบ้าตายตกตะ...ตา...ตามอีแดงไป"
ผินสะดุ้ง
เสียงสวดมนตรากฤษณะกาลี ดังเข้ามา
"สวดแล้ว" ผินฟุบลงไปกับพื้น ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
"อีผิน...อีไพร่ อย่าเสียงดัง...เงียบ หยุดร้องแล้วฟังข้า" เสียงการะเกดดังขึ้นอีก "มองหน้าข้าสิวะ"
ผินตาเหลือกมองการะเกด

"มิมีอะไรเกิดขึ้น...มิมี...จำไว้ว่ามิมีอะไรมาทำข้าได้ เอ็งด้วยอีผิน"

ค่ำคืนนี้ บ้านทั้งหลัง มีไฟวับแวมตามห้อง

เสียงสวดมนต์ดังแผ่ว แล้วกังวาน แล้วแผ่วลง เป็นเสียงรัวๆเหมือนสวดมนต์ของแขก
"กูไม่กลัว สวดได้สวดไป มนต์หลอกคนทำอะไรกูไม่ได้ โอ๊ย..."

ทางด้านคุณหญิงจำปาเดินมองไปทางปีกที่เรือนการะเกด
"เอ็งคอยเงี่ยหูฟังอีปริก"
"ข้าฟังจนหูจะยานแล้วเจ้าค่ะ"
"เดี๋ยวกูตบหน้าหัน มึงพูดเล่นหัวกะกูรึอีปริก"
ปริกก้มหน้าตัวสั่น "หามิได้เจ้าค่ะ"
คุณหญิงจำปาตวาดเสียงแหว
" ได้ยินอยู่เดี๋ยวนี้อีเวร"
"ข้าเจ้า...เอ่อ"
"ไป๊...ไปฟังที่หน้าห้องนาง ฟังดูว่านางเป็นอะไรฤๅไม่"
"ยังเงียบอยู่เจ้าค่ะ"
"มึงฟังแล้วยัง ฮะอีปริก นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กรงนี้แล้วมึงบอกว่าเงียบงั้นรึ" คุณหญิงเหลียวหาของจะปา "กูจะทำประการใดกะมึงดี" คุณหญิงหยิบหมากลูก
ปริกพรวดไปอย่างเร็ว
คุณหญิงจำปาปาหมากตามไปเต็มแรง
"โอ๊ย"
"อีจวงเอ็งเงี่ยหูฟังซิ ข้าว่ามันมีเสียงประหลาดๆอยู่"

การะเกดเหงื่อโทรมกาย อึดอัด รุ่มร้อน ดิ้นไปมา นัยน์ตาช้อนมองสูง หายใจไม่ค่อยออก
ผิน แย้มพยายามจับตัวนายไว้ การะเกดดิ้น
"มันมา...มันมาแล้ว"
"ผู้ใดมาเจ้าคะ มิมีนะเจ้าคะ" แย้มว่า
"อีแดง...มันหมายมาเอาชีวิตกู กูไม่ได้ทำ...อีผิน ใยมึงไม่เป็นอะไร"
ผินตกใจ ตัวสั่นเทิ้ม ลนลานไม่มีทางไป
แย้มจับมือการะเกดพนม "ไหว้พระเจ้าค่ะ...ไหว้พระ"
"แม่นาย...แม่นายเจ้าขา"
"พระ...อยู่ไหน"
"ทางนี้เจ้าค่ะ...มองไปนอกหน้าต่างเจ้าค่ะ"
การะเกดพยายามเบิกตามอง "ไหน"
"โน่นเจ้าค่ะ" แย้มบอก
"ให้ข้าเจ้าเป็นก็ได้นะ เจ้าประคุณเอ๋ย ข้าเจ้าเป็นแทนได้นะเจ้าคะ"
ยอดปรางค์วัดไชยวัฒนารามโผล่ในแนวไม้รำไรๆ ท่ามกลางความมืด
"วัดไชยไงเจ้าคะ...ไหว้สิเจ้าคะ" แย้มว่า
การะเกดตัวโยนขึ้นโยนลง หอบหายใจแรงพนมมือ

บริเวณวัดไชยวัฒนาราม
"วัดไชย" เกศสุรางค์ยักไหล่ "เฮอะ มาเป็นล้านครั้งแล้ว"
"ค่ำๆอย่างนี้เคยมารึเปล่า" เรืองฤทธิ์ถาม
เกศสุรางค์มองไปรอบๆ แสงสปอตไลท์ที่ทางการอยุธยาจัดไว้ส่องแสงตรงจุดโน้นจุดนี้ เป็นแสงเงาที่สวยงามแปลกตา ดูขลังขรึมปนน่ากลัว
เกศสุรางค์ก้มดูแขนตัวเอง เพ่งมองจนชิดแขน
"เป็นอะไรวะเกศ"
"ขนลุก"
"เป็นอะไรล่ะ"
"หนาวน่ะแก"
"เฮ้ย ได้ไง อ้วนซะไขมันหุ้มขนาดนี้ไม่หนาวแล้ว" เรืองฤทธิ์หัวเราะขำ
เกศสุรางค์เหลียวขวับไป เตรียมโต้ตอบ เห็นหน้าเรืองฤทธิ์ที่ตกตะลึงมองไปด้านหลังของเกศสุรางค์ จึงเหลียวมองตามแล้วอ้าปากค้าง เห็นการะเกด แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แต่เพียง ...
ร่างระเหิดระหงของผู้หญิงคนหนึ่ง วงหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ ผมที่ยาวประบ่ามีจะงอยสองข้าง ปีกตกลงมาเคลียหน้าผาก แต่งกายจีบหน้านางพร้อมสไบบางที่ปลิวตามลม กิริยาย่างเยื้อง แหงนหน้ามององค์พระปรางค์ สายตาพุ่งตรงไป แล้วสองมือยกพนม
"แกเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย" เกศสุรางค์เสียงสั่นสะท้าน
เรืองฤทธิ์มองจ้อง "หะ...เห...เห็น"
การะเกดก้าวไป...ก้าวไป มือก็พนมก้มลง
เกศสุรางค์มองต่ำลง
การะเกดไม่มีขา ไม่มีเท้า ร่างนั้นลอยๆไป
เกศสุรางค์หันมา อ้าปากค้าง เสียงดัง "เรือง ไอ้เรือง"
เรืองฤทธิ์ไปแล้ว เห็นแต่ด้านหลัง จ้ำๆแล้ววิ่ง
"ไอ้เรือง..." เกศสุรางค์หันไปมอง ตัวแข็งทื่อ "ฉันก้าวขาไม่ออก..." เธอมอง ตาเบิกโพลง
ร่างของการะเกดเดินมาใกล้...ใกล้ขึ้นทุกที จนกระทั่งมายืนประจันหน้ากัน
เกศสุรางค์มองการะเกด และการะเกดก็มองเกศสุรางค์ สายตาของการะเกดเศร้าหมองและอ้อนวอน
เกศสุรางค์อ่านสายตานั้น แต่กลัวจนอ้าปากค้าง เหมือนแข็งไปทั้งตัว
แล้วการะเกดก็หันกลับ เดินผ่านและหายลับเข้าไปในเจดีย์
เกศสุรางค์พยายามระงับอาการสั่น ขาเริ่มขยับได้ ค่อยๆดึงตัวเอง พอหลุด ก็กระโจนพรวดๆไปหาเรืองฤทธิ์ทันที
"ไอ้เรือง...ไอ้บ้า แกทิ้งฉัน"
เกศสุรางค์วิ่งไปถึงเรืองฤทธิ์ กระโจนเข้าไปอย่างโกรธสุดขีดด้วยท่าทางน่าขำ เงื้อมือฟาดซ้ายฟาดขวา
เรืองฤทธิ์ปัดป้องหลบซ้ายหลบขวาเหมือนกัน

ในรถตู้ของนักขุดค้นทางโบราณคดีของกรมศิลปากร ค่ำต่อเนื่องมา ภายในรถ มีเพื่อนอีก 4 คน และคนขับรถ
รถแล่นไปตามทาง
เกศสุรางค์ยังตัดพ้อ "แกมันเพื่อนไม่มีน้ำใจ เพื่อนบ้า เพื่อนเวร"
"น่า แกก็...ขามันวิ่งมาเอง ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งแกซักกะหน่อย มันเหนือการควบคุมว่ะ น่า...ดีกันนะ"
"ไม่ดีเว้ย จำไว้เลยแก"
"จำอะไร ฉันจะลืมเดี๋ยวนี้แหละ"
เพื่อน 1 บอก "ถึงอยุธยาจะใกล้ แต่กลางคืนอย่างนี้ก็เป็นชั่วโมงถึงจะถึง มันจะฟัดกันจนถึง
กรุงเทพฯมั้ย"
เพื่อน 2 บอก "ฉันเห็นใจไอ้เกศ"
"แต่ฉันเป็นไอ้เรือง ฉันก็วิ่งก่อน ผีนะแก"
"ช่วยบอกมันว่าพอเหอะ มันด่าชั้นตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว"
"โอเค...ฉันจะหลับล่ะ พอฉันตื่นถึงจะเลิกโกรธแก โอมั้ย"
"โอเลยเพื่อน"
เรืองฤทธิ์ขยี้หัวเกศสุรางค์ โยกหัวไปมา หัวเราะร่าเริง
เกศสุรางค์มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนหนุ่ม สายตาหมองลง ความรักฉายฉานเต็มนัยน์ตา
"ไม่รู้เหรอว่าฉันไม่เคยโกรธแก เหมือนที่ฉันไม่เคยเลิกรักแก"

ขาดเสียงคิด รถก็ชน

เสียงรถเบรกกะทันหันจนผู้โดยสารเสียหลักหัวทิ่มไปด้านหน้า ก่อนจะพลิกหงายหลังด้วยแรงสะท้อนมหาศาล คนขับหมุนพวงมาลัยจนรถหมุนคว้างก่อนจะสงบนิ่งไปชั่วอึดใจ
 
เกศสุรางค์ลืมตาโพลงด้วยความตกใจ พลางเหลือบมองเห็นท้ายรถบรรทุกที่จอดอยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากรถที่เธอนั่งเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด เสียงกรีดร้องที่ดังระงมขึ้นเมื่อครู่นั้น หากคาดมิผิดหนึ่งในนั้นต้องเป็นเธอด้วยแน่ ทุกคนหายใจหอบด้วยความตื่นตกใจ หากมิทันจะหายใจหายคอได้ทั่วท้อง ท้องฟ้าที่กำลังสว่างโร่ก็มืดครึ้มขึ้นมากะทันหัน และมาพร้อมกับเสียงเบรกดังลั่นแสบแก้วหูจากอีกด้านของรถตู้ที่จอดขวางถนนอยู่ ทำให้ทุกสายตาต้องหันขวับไปมองตามเสียงนั้นอีกครั้ง เพียงพริบตาเดียวรถสิบล้อคันใหญ่อีกคันก็พุ่งชนรถตู้อย่างแรง เสียงเหล็กที่ครูดไปกับพื้นถนนทำให้เสียงกรีดร้องที่เงียบไปเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับการพลิกตะแคงของรถตู้ที่สุดท้ายก็ถูกบีบอัดด้วยรถบรรทุกคันใหญ่สองคัน พร้อมสติของเกศสุรางค์ที่หลุดลอยไป

เกศสุรางค์ ขณะที่โดนรถชน
การะเกดอึดอัด ดิ้นไปมา ทุรนทุราย
ออกญาโหราธิบดี หมื่นสุนทรเทวา สวดมนต์
เกศสุรางค์ร่างกระเด็นกระดอนจากการชนอยู่ในรถ สีหน้าเจ็บปวด
การะเกดใกล้ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ปริกแอบฟัง
ปริกคลานเร็วๆบอกคุณหญิงจำปา
ออกญาโหราธิบดี หมื่นสุนทรเทวาสวดมนต์
เกศสุรางค์ผวาสุดตัว
การะเกดผวาสุดตัว แล้วฟุบลง แน่นิ่ง ผิน แย้มจะร้องแล้ว อุดปากตัวเอง
เกศสุรางค์ฟุบ คอตก แขนตก ... ตาย

ที่บ้านเกศสุรางค์
ยายนวลนั่งหน้าสงบนิ่ง สายตาเศร้าลึกๆ แต่ทำใจได้แล้ว
รูปเกศสุรางค์แขวนที่ข้างฝา อดคิดถึงที่หลานสาวมาลาไปดูงาน
"คุณยายขา หนูไปดูงานที่อยุธยาค่ะ"
"ไปกี่วันลูก"
"3 วันค่ะ"
คุณยายใช้ผ้าเช็ดหน้าแตะหัวตา แต่ยังเห็นน้ำตา
ใบหน้าแม่สิปาง นัยน์ตาแดงช้ำ หน้าตาพยายามกลั้นน้ำตาแต่ก็ยังคลอๆ ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าซับตลอดเวลา
"แม่ขา จะให้ซื้ออะไรบ้างคะที่อยุธยา"
"ไม่ต้องซื้ออะไรนะลูก รีบกลับมาหาแม่
สิปางส่งเสียงสะอื้นลึกๆออกมาแผ่วๆ
ยายนวลหันมามองสิปาง เอื้อมจับมือ บีบเบาๆ ตัวยายนวลก็น้ำตาซึม

บริเวณกว้างแห่งหนึ่ง เป็นทุ่งนาเขียวชอุ่ม รวงข้าวปลิวไสว เห็นกระท่อม เห็นสายน้ำ สรุปคือภูมิประเทศอยุธยาตอนนั้นนั่นเอง
ภาพมัวๆ ทุกอย่างเป็นสีเทา มีเมฆลอยเคว้งคว้าง ยอดข้าวปลิวไสวอยู่ไปมา จนภาพชัดเจนขึ้น
เกศสุรางค์ลุกขึ้นเดินไป
เสียงดังมาด้านหลัง
"ออเจ้าช่วยข้าด้วย ช่วยด้วย"
เกศสุรางค์ หันหน้าไปดู
การะเกดกระเจิดกระเจิงมา แต่ด้วยการลอยมา แต่เกศสุรางค์ยังไม่เห็นว่าการะเกดลอย พอเห็นคืออยู่ตรงหน้าแล้ว
"เฮ้ย"
การะเกดชนเกศสุรางค์เต็มแรง

ทั้งสองคนกระเด็นไปแอ้งแม้งกับพื้น
เกศสุรางค์สะบัดหัวเร่าๆ มึนไปหมด แล้วเงยหน้าขึ้นดูการะเกดที่อยู่ข้างหน้า
"หา...ตามมาหลอนในฝันเชียวเหรอเนี่ย ยังไม่ไปผุดไปเกิดเหรอ"
"ช่วยข้าด้วย"
"ช่วยอะไร"
การะเกดเศร้าสร้อยลงฉับพลัน เหมือนดอกไม้โดนแดด เหี่ยวเฉาลงเห็นๆ
"เดี๋ยวเขาจะเอาตัวข้าไป หนีกันเถิด"
มือการะเกดจับหมับที่ข้อมือเกศสุรางค์ กระชากไป เกศสุรางค์สะบัดแล้วหันหลังกลับ
"ยัง...ยังไม่ไป โอ๊ย ฝันบ้านี่สมจริงเกินไปแล้ว ทั้งเหนื่อยทั้งหิวได้ไงเนี่ย ฝันนะเว้ย"
ฉับพลัน ตั่งสีทองขวาง พร้อมข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนย เกศสุรางค์เบรกดังเอี๊ยด
"โอว เลิศ ของกิน โอยน่ากินมาก กินนะ บุฟเฟต์ใช่มั้ยเนี่ย"
เกศสุรางค์เอื้อมหยิบขาไก่ย่างสีสวยน่ากิน แต่ยังไม่ต้องกิน

คุณยายนวล และสิปาง ยังอยู่อิริยาบถเดิม มีเสียงกุกกักดังเข้ามา สองคนหันไป
เพื่อนคนหนึ่งเข็นรถพระเรืองฤทธิ์เข้ามา มีร่องรอยว่าเจ็บอยู่บ้าง เช่น แขนยังมีผ้าคล้อง และมีพลาสเตอร์ใหญ่ปิดที่หัวไหล่

คุณยายและแม่กราบ พระเรืองฤทธิ์สีหน้าสงบนิ่ง เศร้าลึกๆ แม่ขณะที่กราบลงไป เสียงร้องไห้ดังแผ่วๆ น่าใจหาย พระเรืองฤทธิ์กัดกรามแน่น

อาหารหมดไปเยอะแยะ การะเกดจ้องมอง

"ขอฉันกินอีกนิด เป็นฝันที่เลิศมาก ถูกใจจอร์จจริงๆ"
เกศสุรางค์หยิบของกินอีกชิ้นหนึ่งส่งให้การะเกด
"กินสิ อร่อยนะ"
การะเกดรับไป ลังเลนิดหน่อย เกศสุรางค์เชียร์ให้กิน
"ข้าคงกินไม่ได้ ข้ารู้ว่าข้ากินไม่ได้"
"รู้ก่อนกินได้ไง...เอาเลย...กิน"
การะเกดกิน แล้วต้องถ่มทุกอย่างออกมา สิ่งที่ออกมานั้นเป็นเถ้าธุลีสีดำ
เกศสุรางค์อ้าปากค้าง มองจ้องอย่างตกใจ
การะเกดจับมือเกศสุรางค์ จูงมา
"มาทางนี้เถอะ เจ้าชื่ออะไร"
"ชื่อเกศสุรางค์ เธอล่ะ"
"ข้าชื่อการะเกด เป็นลูกสาวของพระยารามณรงค์แห่งเมืองสองแคว"
"เมืองสองแคว พิษณุโลกน่ะเหรอ"
"ใช่ สองแคว เมืองพระพิษณุโลก"
"อ๋อ...ตอนนี้เธอเป็นผีใช่มั้ย ฉันเห็นเธอลอยอยู่ที่วัดไชย ลอยเหมือนวันนี้แหละ ให้ฉันช่วยมั้ย ฉันจะทำบุญไปให้"
การะเกดอ้าปากจะตอบ แต่เสียงคำรามน่ากลัวของผู้ชายสองคน ผิวกายแดง นุ่งโจงกระเบนแดง เดินมาแต่ไกล เสียงฝีเท้าดังก้องกังวาน แล้วฉับพลัน บริเวณนั้นก็แปรเปลี่ยนจากความเขียวชอุ่ม เป็นทุ่งหญ้าร้อนแรง แห้งไปหมดทุกหย่อมหญ้า
"มันมาแล้ว ออเจ้าช่วยข้าด้วย ร่างของข้าข้ายกให้ออเจ้า"
"ร่างไหน"
"ใช้ร่างของข้าทำความดีแบ่งเบากรรมชั่วของข้า ทำบุญให้ข้า แสดงให้คนประจักษ์ว่าแม่หญิงการะเกดก็มีความดีเหมือนกัน"
สองยมบาลเดินแผ่นดินสะเทือนใกล้เข้ามาทุกที
การะเกดหวาดกลัว โผผวาเข้ามาหาเกศสุรางค์
แต่เกศสุรางค์เหมือนถูกแรงมหาศาล ดึงตัวเองหลุดจากการะเกด ลอยละลิ่วไปในความเวิ้งว้างเบื้องบน
เกศสุรางค์กรีดร้อง มองลงไปเบื้องล่าง เห็นการะเกดกำลังถูกยมบาลฉุดกระชาก การะเกดกรีดร้องดิ้นรน
และในที่สุด ก็โดนลากลงหลุมที่เดือดพล่าน
เกศสุรางค์กรีดร้องจนหมดเสียง หน้าตกใจจนตื่นกลัวขณะที่ลอยห่างไป
"โอ๊ย...ฝันบ้าอะไรอย่างนี้...พอแล้ว...เลิกฝันได้แล้ว...ตื่น...ตื่นเร็วสิวะ"

การะเกดตาเหลือกลาน ลมหายใจกำลังจะหยุดเต้น ภาพความร้ายกาจของตัวเองเข้ามาในความคิดมากมายหลายเรื่อง จนการะเกดแน่นิ่ง คอตกน้อยๆ ตายสมบูรณ์แล้ว
ผินหายใจหอบถี่ พยายามยื่นมืออังจมูกของนาย หน้าตาร้อนรุ่มน่าสงสาร หายใจเฮือกๆ นางแย้มก็ปานกัน
เสียงร่ายมนต์กฤษณะกาลียังคงดังก้องอยู่
ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เสียงดังกังวานก้อง
บรรยากาศน่ากลัวแผ่กว้างทั่วไปทั้งเรือน
"อีแย้ม มนต์กฤษณะกาลีทำแม่นายแล้ว" ผินบอก
"ทำยังไงดี...อีผิน จะทำยังไง" แย้มว่า
"นั่นสิอีแย้ม ข้าคิดไม่ออกเหมือนกัน"
"แจ้งแม่นายจำปา"
"ไม่ อย่าเพิ่ง รออีกนิดเถิดหนา" ผินบอก
"รออะไรเล่าอีผิน"
"รอ...รอว่า" ผินสะอื้นเฮือกๆ "แม่นายอาจไม่ตายจริง"
แย้มเสียงดัง "รอทำไม แม่นายตายแล้ว ไม่เห็นหรือ"
แย้มร้องไห้โฮ...โฮ ผินร้องด้วย

ปริกวิ่งจากหอนอนการะเกดมาป้องปากฟ้องคุณนายจำปา จำปาตบเข่าฉาดใหญ่ หน้าตาสมใจ

จากท้องฟ้าที่มืดดำ เป็นสว่างไสวเหมือนฟ้าเปิด
หมื่นสุนทรเทวาหยุดร่ายมนต์ เงี่ยหูฟัง
เสียงร้องไห้ของผินกับแย้มดังมา
"คุณพ่อครับ"
ออกญาโหราธิบดีพยักหน้า "มนต์กฤษณะกาลีจบสิ้นแล้ว"
หมื่นสุนทรเทวามั่นใจ เสียงเคียดแค้น
"เป็นนางจริงๆ การะเกด ขอให้นางไปนรกเถิด"

ผินและแย้มร้องไห้เสียงค่อยลงแล้ว การะเกดนอนเงียบ
"อีแย้ม คลุมหน้าแม่นายไว้" ผินบอก
แย้มเอาผ้าคลุม
"เอามุ้งลงให้แม่นาย"
"ทำไมล่ะอีผิน"
"แม่นายตายแล้ว กำบังไว้ก่อน เกลือกว่าจะมีตัวแมลงมาตอมศพ" (เกลือก-ว่า แปลว่า อาจจะ)
แย้มเอามุ้งลง
เกศสุรางค์ในร่างการะเกดร้อง "เฮ้ย" แล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง
บ่าวสองคนร้องสุดเสียง ก้นกระแทกพื้นโครมใหญ่
เกศสุรางค์นั่งจ้อง
ผิน แย้ม ผวาเข้ากอดกัน ร้องสุดเสียงดังมาก
เกศสุรางค์ในร่างการะเกดกระเด้งตัวเองแล้วกระโจนไปอีกทาง ผินและแย้มยังร้องอยู่
สีหน้าของผินและแย้มเอ๋อแบบน่าขำมาก
"ไปที่ชอบๆเถิดเจ้าค่ะ แม่นายการะเกด"
"การะเกดเหรอ ฉันชื่อเกศสุรางค์นะ"
เกศสุรางค์ก้มลงมองดูเท้าตัวเอง สีหน้าแปลกใจ จับเนื้อตัว จับสะโพกสองข้าง ยื่นแขนดูเห็นความเรียวงามของแขน
"เฮ้ย...ใครเนี่ย" แล้วจับหน้าจับตา ตรงคาง รู้ว่าไม่มีเนื้อห้อยย้อย จับพุง แล้วกระเด้งตัวเองไปอีกทาง "โอย ตื่นจากฝันเสียทีสิวะ" เกศสุรางค์ตบหน้าตัวเอง
"แม่นายท่าน อย่ามาหลอกหลอนบ่าวเลยเจ้าค่ะ" ผินว่า
แย้มบอก "บ่าวจักทำบุญไปให้นะเจ้าคะ"
"ไม่เอา...ไม่ต้อง" เกศสุรางค์เสียงดัง
ผินกับแย้มก็เลยร้องกันอีกรอบ
เกศสุรางค์ก็ลนลานหนีอีกรอบเช่นกัน
ผินกับแย้มก็หนีไปอีกทาง เลยกลายเป็นเอาเถิดเข้าล่อ
"เฮ้ย...อีผิน อีแย้ม เป็นอะไร" เสียงหมื่นสุนทรดังเข้ามา
สองคนพุ่งตัวเองไปที่ประตู เปิดออก
หมื่นสุนทรเทวากับออกญาโหราธิบดียืนอยู่ คุณหญิงจำปายืนอยู่ด้านหลังถัดไป
ผินกับแย้มก้มตัว ลนลานคลานออกไป
หมื่นสุนทรเทวาและออกญาโหราธิบดีเดินเข้ามา
เกศสุรางค์ตาโตมองจ้อง อ้าปากค้าง
เกศสุรางค์ถอยร่นไปจนติดข้างฝา
สองคนก็ยังเดินมา
"อย่าเข้ามานะ ฉันสู้จริงๆด้วย"
คุณหญิงจำปาว่า "วิปลาสไปแล้วแม่การะเกด"
"เฮ้ย ไม่บ้า...แต่อยากตื่น" เกศสุรางค์ตบหน้าตัวเอง "ตื่นเสียที ฝันบ้าฝันบออะไรขนาดนี้"
สองคนยังเดินเข้ามา
"อย่าเข้ามา พวกคุณเป็นใคร..." เกศสุรางค์ขยับตัวไปอีกที "ฉันจะกลับบ้าน อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย
เกศสุรางค์ถลกผ้าจีบหน้านางขึ้นสูง
หมื่นสุนทรเทวามองจ้องจับว่ามีอะไรผิดปกติ
แต่พอเกศสุรางค์เห็นผ้าที่นุ่ง ก็ก้มลงมองประหลาดใจ แบบน่าขำมาก แต่ไม่มีเวลากังขา ตั้งท่าอย่างดีแล้ว ทำท่าพุ่งออก
"แม่การะเกด...ฟังลุงหน่อยเถิดหนา"
"ไม่ฟัง...ไม่อยากฟัง อยากกลับบ้าน"
"อีผิน อีแย้ม มาจับแม่นายของเอ็งไว้...เร็ว"
ผินและแย้มเข้ามา ท่าทางกลัวๆ
"มึงจะขัดคำกูเรอะ เร็ว จับนางไว้"
"จับนางไว้สิวะ อีบ่าวสองคนนี่ มึงอยากโดนหวายลงหลังงั้นฤๅ" คุณหญิงจำปาบอก
ผินแย้มเข้าจับ เกศสุรางค์ดิ้น ผ้าแถบที่พันอกจะหลุด เกศสุรางค์ตะปบ
"เวรเอ๊ย ผ้าจะหลุด เฮ้ยฉันจะโป๊เว้ย ปล่อย"
"แม่นายอย่าดิ้นสิเจ้าคะ"
"แม่นายบ้าบออะไร เอาวะเป็นไงเป็นกัน"
เกศสุรางค์ฉวยผ้าผวยบนเตียงคลุมตัว สะบัดตัวหลุดจากผินแย้ม สองคนกระเด็นไป
แล้วพุ่งตัวผ่านหมื่นสุนทรเทวา ผ่านออกญาโหราธิบดี ผ่านคุณหญิงจำปา หลุดออกประตูไป
"หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้แม่การะเกด" คุณหญิงจำปาเสียงแหลมดัง
"แม่จำปานั่นแหละหยุด เห็นหรือไม่ว่าเอาผิดนางไม่ได้...นาง...ไม่...ตาย"
ออกญาโหราธิบดีเสียงเข้มมาก

เกศสุรางค์ในร่างการะเกดพุ่งตัวออกมายืน
เกศสุรางค์มีบุคลิกเป็นนักสู้ ร่าเริง ที่ไม่ใช่ดูเรียบร้อยแต่ร้ายลึกอย่างการะเกด

แสงอาทิตย์จ้าเข้าตาจนพร่าพราย แล้วเกศสุรางค์ก็ตะลึงงันมองไปเบื้องหน้า ...

อ่านต่อตอนที่ 2

#บุพเพสันนิวาส #ออเจ้า #Ch3Thailand #lakornonlinefan #ลมหายใจคือละคร

เกร็ดน่ารู้จากละคร



บุพเพสันนิวาส : ในเพจ ศาสนาวิทยา ของ ดร. ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ อธิบายว่า
พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ระบุว่าคำว่า "บุพเพสันนิวาส" แปลว่า การเคยเป็นเนื้อคู่กัน, การเคยอยู่ร่วมกันในชาติก่อน

ที่จริงคำว่า บุพเพสันนิวาสนี้เป็นคำพุทธ (ดู ชาดกที่ ๖๘ และ ๒๓๗ เป็นต้น) พจนานุกรมพระพุทธศาสนา บอกว่า บุพเพสันนิวาส แปลว่า การเคยอยู่ร่วมกันในกาลก่อน เช่น เคยเป็นพ่อแม่, ลูก, พี่น้อง, เพื่อน, ผัวเมียกันในภพอดีต ฉะนั้น บุพเพสันนิวาส ความหมายเดิมนั้นจึงไม่ได้หมายถึงแต่เรื่องการเป็นผัวเมียเท่านั้น



กฤษณะกาลี : รอมแพง ผู้ประพันธ์นวนิยาย "บุพเพสันนิวาส" ได้กล่าวถึงมนตร์นี้ไว้ว่า
“มนต์บทนี้ตกทอดมาทางตระกูลของเขามาเนิ่นนาน เปรียบดั่งคำสาปแช่งต่อผู้กระทำผิด เศษผ้าของนางแดงในวันที่ตายจะเป็นสื่อวิญญาณที่ชักนำให้ผู้ที่ทำร้ายนางต้องเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง ยิ่งมุ่งร้ายมากเพียงใดก็จะยิ่งพบเจอสิ่งที่ยิ่งกว่าความตาย หลายครั้งหลายคราที่ใช้มนต์บทนี้แล้วผู้ที่กระทำความผิดถึงกับวิกลจริตวิปลาส บ้างก็ตายตกตามกันไปเลยทีเดียว” (บุพเพสันนิวาส หน้า 26)

ในนวนิยายเป็น "มนตรา" ที่กล่าวอ้างถึงนั้นเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน เพื่อสาปแช่งให้ผู้กระทำความผิดได้ถึงแก่กาลเท่านั้น ! แต่ในโลก ... ชาวเบงกอล มักจะพร่ำบ่นสวดมนตร์อ้อนวอนพระเป็นเจ้า ด้วยมนตร์บทนี้ "โอม กลิม กฤษณะ ฮรีม กาลี" และมีการรวมลักษณะพิเศษของเทพ - เทวี ทั้ง 2 พระองค์นี้ เข้าด้วยกัน กล่าวคือ เทวีพร้อมอาวุธ และหิ้วศีรษะอสูร พร้อมมาลัยดอกชบา ที่เจ้าแม่กาลี ซึ่งเป็นเทวีประจำท้องถิ่นของศาสนาผีที่มีมาแต่ดั้งเดิม ก่อนที่จะรวมเข้าเป็นปางหนึ่งในภาคดุร้ายของพระศรีมหาอุมาในเวลาต่อมา ส่วนขลุ่ยเป็นสัญลักษณ์ของพระกฤษณะ ซึ่งตามปกติที่เป็นเจ้าแม่กาลีโดดๆ จะไม่มีขลุ่ยเลานี้


กำลังโหลดความคิดเห็น