เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 21
บทประพันธ์ : พลอยฝน
บทโทรทัศน์ : Once House
ภาพจรรยาถูกผีสร้อยพีหักคออย่างรุนแรงต่อหน้าต่อตา ปลุกให้เจรมัยสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา หอบหายใจอย่างรุนแรง มองไปรอบๆ พบว่าเขาหลับอยู่ในห้องมัลลิกา ที่แท้ทั้งหมดเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนเขาอย่างน่ากลัว
จรรยาอยู่ใกล้ๆ รีบเข้าไปดูลูก เจรมัยเห็นจรรยายังปลอดภัยดีอยู่ ก็โผกอดแม่เอาไว้แน่น
“แม่ ผมฝันร้าย”
“จ้ะเจ ไม่เป็นไรแล้ว ลูกน่าจะพักผ่อนน้อยเกินไป ไม่มีไรแล้วนะ”
“ครับแม่”
เจรมัยหันไปมองดูมัลลิกาที่ยังนอนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว เขาเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นสายจากลุงพัฒน์โทร.เข้ามา ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ
“คุณเจครับ”
“ครับลุง”
ลุงพัฒน์โทร.มาจากบ้าน คุยสายกับเจรมัยที่อยู่ในห้องพักมัลลิกาบนบ้านตาเทียบต่อ
“เมื่อครู่ผมหลับ แล้วผมก็ฝันเห็นสร้อยพีทำร้ายคุณมะลิ และ แม่ของคุณ
“จริงเหรอลุง คือ ผมก็ฝันทำนองนั้นเหมือนกัน”
“แล้วทุกคนที่บ้านคุณปลอดภัยดีมั้ยครับ”
“ครับ ทุกคนปกติดี”
น้ำเสียงลุงพัฒน์เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“ผมเป็นห่วงพวกคุณอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ”
“ขอบคุณมากครับลุง ที่เป็นห่วงพวกเรา”
เจรมัยวางสายลุงพัฒน์ไป หันมามองร่างของมัลลิกาอีกครั้ง
ฝั่งมัลลิกายังหลงอยู่ในอดีตชาติ และพาตัวเองนั่งหมดหวังอยู่หน้าโบสถ์ในวัดละแวกบ้านคหบดีโสภณ รำพึงรำพันกับตัวเอง
“นี่ฉันคงหมดหวังกับทุกๆเรื่องแล้วใช่มั้ย กลับไปที่เดิมก็ไม่ได้ จะแก้ไขอดีตให้ดีขึ้นก็ดูเป็นไปไม่ได้อีก ไม่ๆๆ มะลิ แกไม่ใช่คนแบบนี้ แกต้องไม่หมดหวัง”
มัลลิกาฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง กระแสลมเอื่อยๆ พัดผ่านมาต้องร่าง ทำให้เธอพอรู้สึกดี มีแรงใจขึ้นมา
ในระหว่างนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงชายสองคนคุยกันผ่านมา
ชาย1 ลูกน้องบ่นว่า “พี่ว่ามันไงๆ อยู่มั้ยเนี่ย เรื่องเก่าเราก็ทำก็ทำไม่สำเร็จ นี่ยังจะจ้างให้ทำเรื่องใหม่อีก”
มัลลิกาเร่งฝีเท้าเดินสวนทะลุตัวกับชายฉกรรจ์ สองคนที่มณฑาจ้างมาทำร้ายและพวกมันจะข่มขืนมาลี แต่เวลานี้ปิดหน้าปิดตา พรางตัวด้วยผ้าขาวม้า
“ไม่ต้องถามมาก คุณหนูบอกให้เผา ก็เผา” ชาย2 บอก
“คุณหนูบ้านนี้นี่ยังไง ร้ายกันทั้งบ้านจริงๆ” ชาย1 บ่นไม่เลิก
มัลลิกาได้ยินคำพูดของชายทั้งสองถึงกับชะงัก รีบวิ่งตามไป เเต่ก็ไม่ทัน ชายชั่วทั้งสองคนเดินลับตาหายเข้าไปในตรอกเล็กๆ แถวนั้น
มัลลิกาไม่ได้สังเกตว่าทั้งสองเป็นใคร
“เผา...คุณหนูงั้นเหรอหรือว่า…สร้อยพีตบมาลีขนาดนั้น หรือมาลีจะเป็นคนคิดเรื่องร้ายนั่น”
มัลลิกานึกถึงเหตุการณ์ความบาดหมางถึงขั้นตบตีกันระหว่างมาลีกับสร้อยพี
โดยเฉพาะตอนที่สร้อยพีก็ตามติดเข้าจิกผมมาลีเหวี่ยงมือตบใส่หน้ามาลีไม่ยั้ง เที่ยงเห็นก็รีบเข้ามาขวางแยก
เธอยังคิดถึงตอนบ่าวเอาถังน้ำมันก๊าดมาให้ และเห็นมาลีเดินมาที่โต๊ะทำงาน ก้มมองกระป๋องน้ำมันก๊าดพลางบ่นพึมพำ
“วิธีแก้เรื่องนี้มันต้องมีทางอื่นอีก”
มาลีพูดพลางหยิบน้ำมันก๊าดขึ้นมาดู ใครมาเห็นก็ชวนให้คิดได้ว่า มาลีอาจจะเป็นคนลงมือทำเรื่องร้ายๆ ได้
สร้อยพีแอบหลบมานั่งร้องไห้อยู่ที่ท่าน้ำ ตาบวมช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนัก พยอมเดินตามหาสร้อยพีจากบ้านมาถึงท่าน้ำหลังป่าช้าในวัด ตะโกนร้องเรียกมาเเต่ไกล
“สร้อยพี แกอยู่ไหน สร้อยพี”
สร้อยพีได้ยินเสียงรีบปาดน้ำตาเเล้ววิ่งไปเเอบที่หลังต้นไม้ใหญ่แถวนั้น
พยอมร้องเรียกหาไม่หยุด “สร้อยพี อย่าทำให้คนอื่นเป็นห่วงสิ”
สร้อยพีร้องไห้โฮเดินออกมาจากหลังต้นไม้
“ขอบใจมากนะพยอม ที่แกยังไม่ลืมฉันอีกคน”
พยอมเห็นสร้อยพีก็โผเข้าไปกอดทันที
“ดูพูดจาซิ แกมัวมาทำไรตรงนี้”
“พยอม ฉันไม่อยากกลับบ้าน”
“โธ่ สร้อยพี”
“พยอม พี่เที่ยงด่าชั้น ตะคอกใส่ชั้น พี่เที่ยงไม่เคยทำแบบนี้เลยนะพยอม” พยอมพยักหน้ารับ “ฉันไม่ดีตรงไหนหรอ ทำไมพี่เที่ยงถึงไม่เลือกฉัน”
“เเล้วแกจะเอายังไงต่อ”
สร้อยพีเงียบไป คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้
พยอมวิ่งหน้าตาเหลอหลาเข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ ในบ้านท่านโสภณช้ากว่าทุกคน
“ไปไหนมาล่ะพยอม มาจนป่านนี้” นายโพนถามเชิงดุ
พยอมอึกอักไม่รู้จะตอบยังไง
นายโพนรู้ทัน “ไปหาสร้อยพีมาใช่มั้ย”
“จ้ะ”
นายโพน และ เที่ยง กำลังวัดตัวโดยช่างตัดเสื้อ โดยมีเพ็ญช่วยจับตัวเที่ยงหมุนไปมาให้ช่างวัดตัว และหันมาดุนายโพนที่ยืนยุกยิกไม่นิ่งสักที
“อาโพน ยืนให้มันนิ่งๆ หน่อยสิ ช่างเค้าวัดตัวลำบากเห็นมั้ยเนี่ย”
“ก็ข้าไม่เคยแสดงต่อหน้าเจ้า ต่อหน้าเจ้านายแบบนี้นี่หว่า ก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาสิ”
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกนายโพน พอเสด็จในกรมท่านได้ยินข่าวว่า การแสดงตะลุงของคณะนายเที่ยงนั้นคนพูดถึงเยอะ ท่านเลยอยากมาทอดพระเนตรให้เห็นกับตาน่ะ คุณโสภณก็เลยอยากให้ทุกคนดูดีหน่อยตอนเข้าเฝ้าเสด็จท่านน่ะ”
“อ๋อ ครับๆ”
“คุณมาลี เป็นไงบ้างพี่เพ็ญ” เที่ยงถามเบาๆ
“คุณหนูเเกยังเสียขวัญอยู่ ก็เลยพักอยู่เฉยๆ ข้างบน คุณหนูเเกฝากบอกว่านายเที่ยงไม่ต้องเป็นห่วงแกนะ”
เที่ยงร้อนใจที่ได้ยินเเบบนั้น
“ฉันขอขึ้นไปหาคุณมาลีได้ไหมพี่เพ็ญ”
“ไม่ดีกระมัง ธุระตรงนี้ก็ยังไม่เสร็จนะ”
เที่ยงโดนติติง ได้แต่ก้มหน้าอย่างเป็นกังวล
ทางฝ่ายมาลีอยู่ในห้องนอน นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ที่สร้อยพีมาตบตนถึงบ้าน
“สร้อยพีคงจะรักเที่ยง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้น่าจะไม่ดีแน่”
ช่างวัดตัวเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับ หลังจัดแจงทุกอย่างเสร็จแล้ว
“ผมเสร็จธุระแล้ว ขอตัวเลยนะขอรับ เรื่องชุดแสดง รับรองว่าตรงตามเวลาแน่นอนนะขอรับ”
“แล้วชุดของสร้อยพีที่ผมวานให้ช่างทำเป็นไงบ้างครับ” เที่ยงถาม
“ใกล้เรียบร้อยแล้วนายเที่ยง ไม่ต้องห่วง”
เมื่อช่างไปแล้ว มณฑาก็ปรากฏตัวเดินเข้ามาทำเอานายโพน เที่ยง พยอม ทอง และ สน ที่กำลังจะกลับออกไป ต่างเกิดความขยาด และหวาดหวั่น
“สวัสดีครับคุณมณฑา” นายโพนไหว้นำ
เที่ยง ทอง สน และพยอม “สวัสดีครับ” / “สวัสดีค่ะ” พร้อมกัน
มณฑาถามในท่าอันเย่อหยิ่ง “นี่วัดตัวเสร็จแล้วเหรอ”
“ขอรับ” เที่ยงบอก
“แล้วจะไปไหนกันต่อล่ะ”
“ก็จะกลับไปซ้อมการแสดงที่บ้านต่อน่ะขอรับ” นายโพนตอบ
มารศรีเดินเข้ามาสมทบพอดี และ รอฟังพี่สาวว่าอย่างสนใจ
“งั้นเหรอ ฉันว่าไม่ต้องไปซ้อมที่บ้านหรอกน่ะ ซ้อมตรงนี้เลยซิ”
นายโพนตกใจ แทบไม่เชื่อหู “อะไรนะขอรับ”
มณฑาขึ้นเสียง “ก็บอกให้ซ้อมตรงนี้ไง”
สนงง “หมายถึงในเรือนใหญ่นี่เหรอขอรับ”
“ใช่ ในเรือนนี้เลย” เห็นทุกคนเอาแต่มองหน้ากันเลิ่กลัก มณฑาเสียงดังใส่ “เอ๊า ร้องเลยซิ ฉันรอฟังอยู่”
เที่ยงเอ่ยขึ้น “กระผมว่า มันจะไม่เหมาะนะขอรับ เครื่องดนตรีอะไรๆ เราก็ไม่มี”
“เหมาะไม่เหมาะ เธอไม่มีสิทธิพูด ฉันว่าเหมาะ ก็ต้องเหมาะ ร้องซิ ฉันบอกให้ร้อง ก็ร้อง”
แม้มารศรีไม่รู้ว่ามณฑาคิดอะไรอยู่ แต่ก็พลอยนึกสนุก ขอร่วมวงไปด้วย
“เอ๊ะ พวกเธอนี่ทำไมดื้อด้านกันจัง”
เพ็ญสงสารพวกตะลุง เลยคิดอยากจะช่วยแก้ไขสถานการณ์
“คุณหนูคะ ปล่อยพวกเค้าไปเถอะค่ะ”
มณฑาเหลียวขวับมาหา “เพ็ญ เธอนี่มันชอบแส่จริงๆ นะ หุบปากซะเลย แล้วนี่จะร้องกันยัง ร้อง ฉัน บอกให้ร้อง”
พยอมสะดุ้งตกใจเสียงตวาดในตอนท้ายของมณฑา จนต้องเข้าไปแอบที่หลังอาโพน
นายโพนถูกกดดันจนต้องร้องกลอนตะลุงออกมา เป็นเพลงสะท้อนเรื่องราวชีวิตคนบ้านนอก
มณฑาไม่พอใจ “ร้องอะไร เอาเพลง สนุกๆ ไม่ได้เหรอ”
นายโพนอึกอักเลือกเพลงไม่ถูก เลยถูกมณฑาตวาดอีก
“เอ้า เร็วซิ ร้อง ร้องซิ”
นายโพนร้องเพลงจังหวะสนุกขึ้น แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันอุราสุดจะประมาณ
เที่ยงเห็นสภาพอาโพนแล้ว นึกสงสาร แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พยอม สน และ ทอง ก็เช่นกัน
มณฑาเหยียดยิ้ม ด้วยความสาแกใจอยู่กับมารศรี
“ดีมาก พวกเต้นกินรำกินมันต้องแบบนี้”
“พอเถอะอา ไม่ต้องร้องแล้ว”
นายโพนหยุดร้อง เที่ยงจ้องมองมณฑาสีหน้าเรียบเฉย นั่นยิ่งทำให้มณฑานึกสนุกอยากแกล้งมากขึ้น
“อ้าวนี้ นายเที่ยง เอ๊ย ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าที่ คุณเที่ยง ซินะ เดี๋ยวนี้กล้าขัดคำสั่งแล้วรึ ได้ ไม่ร้องก็ไม่ร้อง แต่อีกไม่นาน คุณเที่ยง จะรู้จักฉันมากกว่านี้แน่ ไปๆๆ อยากไปซ้อมที่อื่นก็ไป ไป๊”
มณฑาโบกมือไล่คณะตะลุงไปให้พ้นตา
พวกนายโพนก้มหน้าเดินหลบออกไป มณฑากับมารศรี มีความสุขที่ได้เย้ยเยาะหยามหยันพวกชาวตะลุง
จังหวะที่กลุ่มนายโพนจะพ้นประตูบ้านไป จู่ๆ มณฑาก็ถามขึ้น
“แล้วนี่ลูกสาวคนสวยของพวกเธอ ไม่มาวัดตัวด้วยรึ”
นายโพนเงียบ
“สงสัยจะทำใจเรื่อง มีคนตกถังข้าวสาร ไม่ได้” มณฑาหัวเราะเยาะ มารศรีหัวเราะผสมโรงไปด้วยกัน
เที่ยงโกรธจัด แต่ทำได้เพียงคุมแค้นอดกลั้นไว้ นายโพนจับบ่าเที่ยงไว้ให้อดทนเอา แล้วพากันเดินไปต่อ
มณฑากับมารศรียิ้มหยัน สะใจ สมใจ ที่เอาชนะพวกเที่ยงได้
สองพี่น้องจิตใจชั่วช้าหัวเราะดังลั่นกันอยู่สองคน
“สะใจจริงๆ ดูหน้าพวกมันเมื่อตะกี้ซิ” มณฑาหัวเราะสะใจ
“ดีนะเนี่ยที่น้องไหวตัวทัน ไม่งั้นเกือบจะเห็นคนต่ำๆ เป็นเทพบุตร” มารศรีเสริม
“แกยังฉลาดทันนะมารศรี แต่คนโง่อย่างนังมาลีนี่ซิ มันก็ควรได้พวกต่ำๆ เหมือนกัน”
“แต่ต่อไปนายเที่ยงก็ต้องมาเป็นคนในครอบครัวเราแล้วนะพี่ พี่จะทำยังไง อีกอย่างนายเที่ยงกับนางมาลีมันจะได้สมบัติคุณพ่อด้วยมั้ย” มารศรีบอก
“ไม่มีทาง ลูกนอกสมรสอย่างมันยิ่งทำเรื่องหน้าละอายแบบนี้ให้กับตระกูลเรา คุณพ่อไม่มีทางยกสมบัติให้มันแน่นอน”
“เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เป็นของเราสองคนแน่นอนใช่มั้ยพี่”
“แน่นอน”
มณฑา กับ มารศรีหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่
เย็นวันนั้น ชาวตะลุงเดินกลับบ้านมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เหมือนโดนมณฑาดูถูกในอาชีพ
“อะไรกันวะ นี่เหมือนโดนดูถูกไงชอบกล” สนโวย
“ไม่ได้เหมือน แต่ข้าว่าใช่เลย” ทองว่า
“หึ้ย ไม่สบอารมณ์อย่างแรง ไปหาเหล้ากินกันดีกว่าเว้ยไอ้ทอง”
“ได้เลยเพื่อน”
สองเกลอเดินไปทางตลาด ไม่ยอมเข้าบ้าน
คนที่เหลือเดินมานั่งเงียบๆ กันอยู่ที่หน้าบ้าน โดยไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ทุกคนรู้รึกแย่ไปตามกัน จนสักพักนายโพนถึงได้เอ่ยปากถามพยอม
“ป่านนี้แล้วสร้อยพีมันยังไม่กลับ พยอมเอ็งรู้ใช่มั้ยว่าสร้อยพีมันไปอยู่ที่ไหน”
พยอมมองหน้าอาโพน และพี่เที่ยง ใจหนึ่งอยากจะบอกว่าสร้อยพีอยู่ที่ไหน แต่อีกใจก็เข้าใจความรู้สึกและสงสารเพื่อนเหมือนกัน
“พยอมบอกข้าเถอะ ข้าเป็นห่วงมัน ตั้งแต่แม่มันจากไปข้าก็ไม่เคยห่างมันเลย เอ็งเข้าใจข้านะ” นายโพนถามเชิงขอร้อง
เที่ยงจ้องหน้าพยอม “พยอม เอ็งบอกมาเถอะ พี่เข้าใจว่าเอ็งรักเพื่อน แต่พวกเราก็รักสร้อยพีเหมือนกัน ในเวลาแบบนี้พวกเราควรอยู่ด้วยกัน พยอมพี่ว่าเอ็งพาพวกพี่ไปหาสร้อยพีเถอะ พี่ก็ไม่อยากให้สร้อยพีอยู่ข้างนอกคนเดียวนานๆ มันอันตราย”
พยอมมีทีท่าลังเล
สร้อยพีนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังวัด ตวัดไม้ไปมาบนพื้น ระบายอารมณ์อึดอัดคับแค้นใจ ก่อนจะเหวี่ยงไม้ในมือทิ้งไป
มัลลิกามองดูอยู่ใกล้ๆ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาสร้อยพี
“สร้อยพีเธอฟังฉันนะ”
สร้อยพีนั่งซึมอยู่อย่างนั้น ขณะมัลลิกาเข้ามานั่งข้างๆ
“ตอนนี้เธอคงจะรู้สึกผิดหวังกับทุกๆ อย่างใช่มั้ย ฉันเองก็รู้สึกผิดหวังกับตัวเอง ว่าทำไมในชาตินี้ ฉันถึงคิดแบบนี้”
สร้อยพีมองเหม่อออกไปเบื้องหน้า เหมือนกำลังตั้งใจฟังมัลลิกาพูดอยู่
“สร้อยพี ไม่ว่าจะยังไง เธออย่าฝังใจกับความเกลียดชังนี้เลยนะ ปล่อยเจรมัยกับครอบครัวเค้าไปเถอะนะ จะผิดจะแค้นอะไร ที่เป็นเพราะฉัน เธอมาลงกับฉันเถอะ”
จู่ๆ สร้อยพีเงยหน้าขึ้น เหมือนได้ยินที่มัลลิกาพูด
“ฉันขอพูดกับเธอตรงนี้เลยนะ ฉันผิดเอง ฉันขอรับผิดเอง”
“ไม่มีวัน ไม่มีวัน ที่อีมาลีจะได้พี่เที่ยง”
คำพูดอันเต็มไปด้วยเคียดแค้นนั้นเอง ที่ทำให้มัลลิการับรู้ว่า สร้อยพีไม่ได้ยินในเรื่องที่เธอพูดเลย
นายโพนเดินมากับเที่ยง โดยมีพยอมนำทางมาชี้ให้นายโพนดูว่าสร้อยพีนั่งซึมเศร้าอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ใหญ่
“นั่นค่ะอา”
“สร้อยพี” นายโพนดีใจร้องเรียกลูกสาวด้วยความห่วงใย
สร้อยพีตกใจ ลุกพรวดขึ้น แต่แรงทิฐิผสมความน้อยใจ จึงร้องห้ามทุกคน
“ไม่ต้องเข้ามา ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“สร้อยพี อย่าทำแบบนี้เลย กลับบ้านกันเถอะลูก”
“ถ้าจะกลับ ฉันจะกลับนครบ้านเราเท่านั้น ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่” สร้อยพียื่นข้อเสนอ
“ก็แสดงครั้งนี้เสร็จเราก็ได้กลับกันแล้วไงลูก”
“แต่พี่เที่ยงต้องกลับกับพวกเราด้วย” สร้อยพี่บอกอีก
เที่ยงอึดอัดเหลือเกิน “สร้อยพี สร้อยพีก็รู้ว่า...พี่ต้องรับผิดชอบเรื่องคุณมาลี”
สร้อยพีของขึ้นอีก “ งั้นก็ไปเลย ออกไป อย่ามายุ่งกับฉัน ไป”
“ทำไมเดี๋ยวนี้สร้อยพี เอาแต่ใจแบบนี้ หะ” เที่ยงชักโกรธ
“ใช่ ฉันเอาแต่ใจ สร้างแต่เรื่อง แถมยังขี้อิจฉา ไม่ดีสักอย่าง” สร้อยพีประชดส่ง
“สร้อยพี”
“คนรวยๆ เเบบนั้นน่ะเหรอ จะรักพี่เที่ยงจริง พี่เที่ยงตาบอดมองอะไรไม่ออกไปหมดแล้ว” สร้อยพีไม่รู้ว่าคำพูดนี้ควรจะใช้กับตัวเธอเองมากกว่า
“สร้อยพี เอ็งอย่าทำให้ไอ้เที่ยงมันลำบากใจนักเลยน่า เรื่องมันก็เยอะอยู่แล้ว เอ็งยังจะสร้างเรื่องให้เที่ยงมันอีก” นายโพนบอก
“ที่ฉันพูดเพราะฉันเป็นห่วง ฉันพูดความจริง”
นายโพนเหนื่อยใจหันมาทางเที่ยง “ถ้ามันไม่อยากกลับก็ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ”
“แต่ อาเป็นห่วงมันไม่ใช่รึ”
“ในเมื่อมันไม่ห่วงตัวเอง ก็คงต้องปล่อยไปก่อน ข้าว่ามันทนได้ไม่นานหรอก ไป”
เที่ยงรับเอาคำ เดินตามนายโพนกับพยอมออกไป
สร้อยพีเห็นว่าด้านหลังเงียบๆ จึงปรายตาไปดู พอเห็นว่าทุกคนกลับไปแล้วก็ยิ่งเสียใจ
“ไม่มีใครสนใจฉันเลย”
สร้อยพีร้องไห้โฮออกมา โดยมีมัลลิกามองดูด้วยความสงสาร
ไม่นานต่อมา สร้อยพีกลับเข้าบ้านมาวิ่งตึงตังผ่านหน้าทุกคนเข้าห้องไป เที่ยงจะลุกตามไปคุยด้วย แต่นายโพนดึงไว้
“ปล่อยมันไปก่อน สร้อยพีมันกลับมาก็ดีแล้ว ข้าว่าต้องใช้เวลาสักพักเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“จ้ะ อา”
เที่ยงรับคำ มองเข้าไปในห้องสร้อยพีด้วยความเป็นห่วง
เจรมัยหยิบกระดาษที่พับไว้ในตลับของทวดมาลี ออกมาเปิดดูเนื้อความในกระดาษเขียนไว้ว่า
“จะทำการใดให้สบโชค สบสุข ก็ควรบอกกล่าวครูบาอาจารย์ จะทำการใดให้สมปรารถนา ก็ควร ‘แก้เหมย’ เป็นสัญญา”
เจรมัยอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคำว่า “แก้เหมย” ปรายตามองไปยังมัลลิกาที่ยังหลับไหลไม่รู้ตัว
“กระดาษข้อความนี้มีความหมายอะไรเหรอมะลิ คุณตื่นมาบอกผมหน่อยซิ มะลิ”
จรรยาเดินเข้ามาในห้อง “เจแม่คุยอะไรด้วยหน่อยซิ”
เจรมัยพับกระดาษแผ่นนั้นเก็บไว้ในตลับอย่างเดิม ก่อนที่จะลุกตามแม่ไป
สองแม่ลูกยืนคุยเป็นการส่วนตัวอยู่ตรงริมระเบียงทางเดินชั้นบน
“แม่คิดว่า เราควรจะทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับตัวหนัง เผื่อว่า…มะลิจะดีขึ้น”
“แล้วแม่จะทำยังไงครับ”
“ก็ว่า จะขอแบบที่เราเคยขอ ตอนนำศพคุณตาออกจากห้อง ลูกจำได้ใช่มั้ย”
เสียงจินดาดังขึ้น “ไม่ได้นะ พี่ ไม่ได้นะ เจ”
เจรมัยกับจรรยาตกใจรีบหันกลับไปมอง เห็นจินดาปรี่เข้ามาประชิดตัว เหมือนว่ากลัวการสนทนานี้ได้ยินไปถึงผีสร้อยพี
“อะไรของเธอ”
“ก็...ก็ การไปต่อรองกับผีตะลุง มันน่ากลัวน่ะซิพี่”
จรรยาไม่เข้าใจ “น่ากลัวยังไง ตอนที่นำศพคุณพ่อออกจากห้องก็ไม่เห็นมีอะไร”
“มีพี่ เห็นมั้ย ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตพวกเราก็ไม่เหมือนเดิมแบบนี้ไง อย่างเจ ทุกวันนี้ก็ไปไหนไม่ได้ ต้องติดอยู่กับที่นี่”
เจรมัยจับสังเกตท่าทีของจินดา เกือบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว
“จินดา เราต้องทำนะ เราจะอยู่เฉยแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เธออย่ามาขวางเลย”
“อย่าพี่ ฉันเคยทำมาแล้ว ตอนที่จ๋าเข้าโรงพยาบาล มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แต่ที่จ๋าหายเพราะวันนั้นฉันรับปากกับผีตะลุงว่าฉันจะพาหนูมะลิมาจับตัวตะลุง และนั่นฉันคิดว่ามันคือการปลดปล่อยวิญญาณออกมา”
จรรยาได้ยินก็โกรธ “ทำไมเธอ เห็นแก่ตัวแบบนี้”
“ก็ฉันต้องปกป้องลูกฉัน”
“แต่สิ่งที่ทำมันทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมดเลยนะ”
“แล้วพี่จะให้ชั้นทำยังไงล่ะ ลูกนะพี่ ชั้นก็อยากให้ลูกชั้นหายเหมือนกัน แล้วถ้าพี่เป็นชั้น พี่จะไม่ทำอย่างชั้นเหรอ”
จรรยานิ่งงันไป เจรมัยรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุ จึงตัดบท
“น้าครับ แม่ครับ พอเถอะครับ ถ้าการไหว้ตะลุงไม่สามารถช่วยมะลิให้ฟื้นได้ เราก็ต้องหาวิธีอื่น”
“แล้ววิธีอะไรล่ะเจ”
เจรมัยยังคงกุมมือมัลลิกาอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน น้ำตาไหลรินออกมา พลางลูบหัวคนรักด้วยความเป็นห่วง ก้มลงพูดที่ข้างๆ หูเธอว่า
“มะลิ เป็นยังไงบ้าง ตอนคุณอยู่ที่ไหน ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ ผมจะทำทุกอย่างให้คุณกลับมา ผมรักคุณนะมะลิ”
เจรมัยเป็นห่วงมัลลิกาสุดหัวใจ
คำพูดอันเต็มไปด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจของเจรมัย ทำให้มัลลิการับรู้ได้ เธอได้ยินเสียงของเขาแว่วดังขึ้นมาในหัวหู
“มะลิ คุณอยู่ที่ไหน”
มัลลิกาเหลียวมองไปรอบห้องๆ
“เจๆ เจอยู่ที่ไหน ช่วยชั้นด้วย เจๆ”
เสียงของเจรมัยยังคงดังก้องในหัวของมัลลิกา
เจรมัยล้างหน้าล้างตาที่หน้ากระจกห้องน้ำกลุ้มใจหนักเรื่องอาการมัลลิกาซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมา
เงาของผีสร้อยพี ลอยวูบผ่านหลังเจรมัยไป เจรมัยอาบน้ำไป โดยไม่เอะใจอะไร
ผีสร้อยพีปรากฏตัวที่ข้างเตียงนอน จ้องเขม็งไปที่ร่างมัลลิกา
“อีมาลี พี่เที่ยงรักแกนักใช่มั้ย ชั้นอยากจะรู้ว่าถ้าแกเป็นแค่ศพ พี่เที่ยงยังจะรักแกอยู่มั้ย”
เกิดคลื่นสีเงาดำหมุนรอบๆ กายผีสร้อยพี เงาดำนั้นค่อยๆ เคลื่อนมวลมาที่เหนือร่างมัลลิกา ก่อนจะรวมตัวเป็นร่างผีสร้อยพียืนเหยียบอยู่บนร่างไร้สติของมัลลิกาอย่างอาฆาตมาดร้าย
ในอดีตกาล มัลลิกายืนเค้วงคว้างมองหาเจรมัยไปรอบๆ
“เจ”
จู่ๆ มัลลิกาก็เกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าวที่อก เพราะถูกผีสร้อยพีเหยียบ จนเดินต่อไม่ไหว ทรุดฮวบลงกับพี่
“โอ๊ย ช่วยด้วย เจ ช่วยด้วย”
ด้านเจรมัยอาบน้ำเสร็จ รู้สึกสังหารณ์ใจอย่างรุนแรง
“ทำไมรู้สึกแปลกๆ มะลิ”
มัลลิกามีอาการเจ็บที่หน้าอกมากขึ้น ยกมือจับหน้าอกเเละเริ่มหายใจไม่ออก
แววตาสร้อยพีมองจ้องมัลลิกาอย่างเคียดเเค้นชิงชังสุดจะประมาณ
เจรมัยผลักประตูเข้ามา ถลันเข้าไปหามัลลิกาบนเตียง พบว่ามีอาการเกร็งๆ อยู่ ผีสร้อยพีเห็น จึงเคลื่อนตัวออกจากร่างมัลลิกา
เจรมัยเขย่าตัวเรียกมัลลิกา หวังให้เธออาการดีขึ้น
“มะลิๆ คุณเป็นยังไงบ้าง”
อาการของมัลลิกาทุเลาลง ร่างไม่เกร็งแล้ว เจรมัยเบาใจขึ้น
ผีสร้อยพีขยับมาอยู่ที่ด้านหลังเจรมัยอย่างโกรธแค้น
“คนผิดสัญญา ยังมีหน้ามาปกป้องอีมาลีมันอีกรึ”
เจรมัยได้ยินหันมาหา ผีสร้อยพีใช้พลังเหวี่ยงร่างเจรมัยลอยกระเด็นไปกระแทกผนังห้อง
“หลบไป รักมันนักใช่มั้ยพี่เที่ยง ได้ งั้นชั้นจะให้พี่กับมัน ไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันอีกเลย”
สร้อยพีเคลื่อนเงาดำมายกตัวมัลลิกาลอยขึ้น ใช้มือบีบคอมัลลิกาไว้ ร่างของมะลิกาถูกลากให้ไปชิดกับกำแพง และลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ
เจรมัยใจจะขาด ขอร้องดีๆ “อย่าทำอะไรมะลิ เลยนะ สร้อยพี”
ในอดีตกาลมัลลิกาทรุดตัวลงเพราะเจ็บหน้าอก ตอนนี้มีอาการเหมือนถูกบีบคออย่างแรง ทั้งเจ็บปวดทั่วสรรพางค์ และหายใจไม่ออก ล้มตัวลงไปนอนกับพื้นอย่างทรมาน
แจ่มอยู่หน้าเรือนใหญ่มองไปที่ประตูหน้าบ้าน จิตรามองตามไป
“เหมือนมีคนอยู่ที่หน้าประตูค่ะคุณ”
“เดี๋ยวฉันไปดูเอง”
จิตราลุกเดินตรงไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน แจ่มตามไปอย่างเป็นห่วง สองคนเห็นชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่
“คุณมาธุระอะไรกับบ้านนี้คะ”
ชายคนนั้นหันตัวกลับมาหาจิตรา เผยให้เห็นว่าเป็นหมอพีท
“สวัสดีครับคุณป้า เจอกันอีกแล้ว คราวนี้ผมมีมารยาทก็เป็นเห็นมั้ย ไม่บุ่มบ่ามเข้า ไปเหมือนครั้งก่อนด้วย”
จิตราจำได้ “คุณนี่เอง คุณนัดกับตาเจเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมมาเอง ผมรับรู้ได้ว่าในบ้านนี้มีคนกำลังเดือดร้อนอยู่ตอนนี้” หมอพีททำท่าเหมือนรับรู้เรื่องร้ายที่กำลังเกิดขึ้น “คนในบ้านคุณกำลังโดนผีอาละวาด รีบพาผมเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย”
มีเสียงคนในบ้านร้องกรี๊ดขึ้น จิตรา กับแจ่มตกใจ
“ว้าย ท่าจะจริง ไปเถอะค่ะ เร็วๆ ค่ะ พาเขาเข้าไปเร็วเถอะค่ะ”
แจ่มกับจิตรารีบวิ่งนำพาพีทขึ้นไปบนเรือนใหญ่ไวราวกับพายุ
ร่างมัลลิกาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ส่วนเจรมัยกองอยู่ที่พื้นใกล้ประตู หมอพีทเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมีจิตราตามมาติดๆ พร้อมกับจรรยา จิรา และ จินดา ทุกคนเห็นผีสร้อยพีคาตา กรีดร้องสุดเสียง
“แอร๊ย....”
ผีสร้อยพีหันขวับมา มองไปยังพีทเป็นการเฉพาะ
“เจอกันซักทีนะครับ คุณผีเงา”
“มึง ต้องการอะไรจากกู”
“ก็ว่าจะเอาไปสะสม ไว้ดูเล่นก็เท่านั้น” หมอพีทกวนตีนใส่ผี
เจรมัยไม่เข้าใจที่พีทว่า จรรยารีบเข้ามาประคองลูกชายไว้
“สะสมคุณหมายถึงอะไร”
หมอพีทไม่ตอบ หยิบหินสีดำออกมาบริกรรมคาถา ก่อนที่จะซัดหินนั้นใส่ร่างผีสร้อยพีเต็มแรง
หินอาคมสีดำพุ่งตรงเข้าใส่ร่างสร้อยพีที่บีบคอมัลลิดาตรึงติดกับผนังห้อง หินดำกลายเป็นแสงสว่างเหมือนถ่านติดไปก่อนที่จะจมเข้าไปในร่างผีร้าย
ผีสร้อยพีคว้าหินไว้ได้ก้อนหนึ่ง หินก้อนนั้นติดเป็นไฟ และสลายหายไปในมือของผีร้ายในพริบตา
วิญญาณแค้นออกอาการเจ็บปวด วูบๆ วาบๆ ไปมา จนผีร้ายละทิ้งร่างมัลลิกาหล่นฮวบลงกับพื้น พุ่งพรวดเข้ามาเผชิญหน้ากับหมอพีทระยะประชิด หมอผีจอมกวนตีนเองก็หวาดหวั่นไม่น้อย แต่แอบซ่อนอาการไว้ พร้อมกับรีบควานหาของในตัวอีก แต่ไม่มีแล้ว
“เฮ้ย ของเอามันไม่อยู่เว้ย”
ผีสร้อยพีเคลื่อนร่างมาประชิดร่างหมอพีท แล้วจางหายไปกลายเป็นลมกรรโชกใส่หน้าหมอพีท
“ไอ้ชั่ว มึง”
หมอพีทยืนปาดเหงื่อ โล่งอกที่รอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด เจรมัยยืนขึ้นข้างๆ จรรยา ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ทุกคนรีบเข้าไปดูมัลลิกาด้วยความเป็นห่วง
ส่วนในอดีตกาลมัลลิกาซึ่งเจ็บปวดทุรนทุรายอยู่กับพื้น ก็คลายความเจ็บลง ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ
“นี่เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
เวลาผ่านไปเมื่อทุกอย่างเป็นปกติ ร่างมัลลิกาถูกวางบนลงบนที่นอน เจรมัยเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
“หนูมะลิเป็นอะไรบ้างมั้ย” จิตราถาม
“ยังปลอดภัยอยู่ค่ะ แต่เรื่องมันชักจะมากขึ้นๆ น้องกลัวว่าเราจะเอากันไม่อยู่”
หมอพีทเดินมามองดูมัลลิกาใกล้ๆ พลางเหลียวมองไปรอบๆ ห้อง
“แน่นอน พวกคุณเอาไม่อยู่แน่ วันนี้ที่ผีมันหายไปไม่ใช่ว่า มันจะไม่กลับมาอีกนะ ผมบอกเลยว่าพอมันมีแรงฟื้นคืนกำลังได้ มันกลับมาอีกแน่”
“แล้วพวกผมต้องทำยังไง”
“ยาก ของที่ผมซัดใส่มันเมื่อกี้ยังเอามันไม่อยู่เลย ผีประเภทนี้ ต้องหาของที่เกี่ยวพันกับมันมาจัดการ ถึงจะเอาอยู่”
“เกี่ยวพัน เช่นอะไรคะ” จินดาถาม
“ก็ผีตะลุง มันก็ต้องเป็นอะไรเกี่ยวพันด้วยกัน บ้านคุณมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตะลุงมั้ยล่ะ”
“มี” จรรยาคิดออกทันทีว่าของสิ่งนั้นคืออะไร
เจรมัยสงสัย “อะไรเหรอแม่”
ไม่นานต่อมา จรรยาส่งตัวตอกหนังให้หมอพีทรับไป เจรมัยมองด้วยความลังเลใจว่า การคล้อยตามหมอพีทแบบนี้มันถูกต้องหรือไม่
หมอพีททวนคำอย่างสนใจ “ตัวตอกหนัง”
“ใช่ ตัวตอกหนังตะลุง นี่เป็นตัวตอกตั้งแต่สมัยทวดเที่ยงของผม เป็นของรักของท่าน นี่คือของชิ้นเดียวที่ตกทอดมาที่น่าจะเกี่ยวพันกับผีตะลุงได้ คุณต้องเก็บไว้อย่างดีเลยนะ”
“อืมได้ ไอ้นี่แหละ นี่ผมคิดว่าผมจะเอามันอยู่”
“ฝากด้วยนะคะ พวกเราไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ตอนนี้ก็คงมีแต่คุณที่ช่วยได้”
หมอผีหัวเราะร่า “แน่นอน ผมไปละ เดี๋ยวจะกลับมาเล่นงานมันใหม่ เร็วๆ นี้”
หมอพีทเดินกวนตีนออกไป เจรมัยกับจรรยากุมมือกันมองตามไป
“แม่ครับ ลึกๆ ผมก็รู้สึกเป็นห่วงสร้อยพียังไงไม่รู้”
ภวัตมาเยี่ยมมัลลิกาที่บ้านเจรมัย ถามอย่างเป็นห่วงระคนแปลกใจ
“นี่มะลิยังไม่ฟื้นอีกเหรอครับ”
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องรบกวนคุณภวัตมาที่นี่”
เจรมัยยื่นตลับของทวดมาลีให้ภวัตดู
“ผมมีบางอย่างอยากให้คุณช่วย”
ภวัตหยิบตลับเปิดออกแล้วเอากระดาษออกมาอ่าน
“แก้เหมย”
“คำบอกเล่าของทวดผมที่เขียนไว้”
“โอเค คือคุณว่าการแก้เหมยนี้น่าจะเป็นทางออกที่จะช่วยมะลิได้”
“ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเกี่ยวกับมะลิมั้ย หรือบางทีมันอาจเป็นวิธีที่ช่วยผีสร้อยพีให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้ก็ได้”
“ได้ครับ ผมจะช่วยคุณอีกทาง”
กลับถึงบ้าน ภวัตรีบเปิดคอมพ์โน้ตบุ๊ค เข้ากูเกิ้ลทำการเซิร์ชหาข้อมูล จนได้รู้ว่า ‘การแก้เหมย’ ก็คือ ‘การแก้บน’ นั่นเอง เขาอ่านทวนอย่างสนใจ
“เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธ์ ที่เล่นเพื่อบวงสรวงครูหมอหนัง หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ ตามพันธะที่บนบานไว้”
ภวัตค้นหาข้อมูลต่อ
ทางด้านหมอพีทเริ่มพิธีกรรมเพื่อจัดการกับผีสร้อยพี ใช้สายสิญจน์พันที่ปลายของตัวตอกหนังตะลุง
ทำปากขมุบขมิบท่องคาถาลงอาคมกำกับไปด้วย
อ่านต่อ ตอนที่ 22
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่21 #thaich8 #ละครออนไลน์