xs
xsm
sm
md
lg

เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 20

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 20

บทประพันธ์ พลอยฝน
บทโทรทัศน์ Once House

เจรมัยลงรถเดินหน้าเศร้าหยุดอยู่หน้ารั้วบ้านลุงพัฒน์ มองเข้าไปแล้วตะโกนเรียก

“ลุงพัฒน์ ผมรู้ว่าลุงอยู่ข้างในนะ ผมอยากขอร้องให้ลุงช่วยผมหน่อยได้มั้ย คืนตะลุงตัวนั้นมาให้ผมเถอะ”
ลุงพัฒน์นิ่งฟังอยู่ข้างในจริงๆ
“ลุงมีนิมิตถึงผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพี ผมรู้ว่าลุงอยากใกล้ชิดเธอ อยากเห็นเธอ แต่ตอนนี้สร้อยพีกำลังทำร้ายมะลิอยู่นะลุง มะลิยังไม่ฟื้นเลยแล้วก็ไม่รู้จะมีโอกาสฟื้นรึเปล่า สงสารชีวิตมะลิเถอะนะครับ ถ้าตะลุงได้กลับไปพวกเราอาจทำให้เรื่องทุกอย่างจบได้ ผมขอร้องเถอะนะลุง”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากในบ้าน เจรมัยยืนนิ่งเศร้าใจสุดๆ เขาเพียงหวังว่าลุงพัฒน์จะได้ยินข้อความนี้แล้วคิดได้ ค่อยๆ เดินคอตกกลับไปเงียบๆ
ลุงพัฒน์นั่งทบทวนตัวเอง ในมือถือตัวตะลุงอยู่ สักครู่หนึ่งจึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหาใครคนหนึ่ง
“หนูแคท ลุงขอปรึกษา...”

เจรมัยเดินกลับเข้ามาในห้องพักฟื้น แล้วลงนั่งข้างเตียงมองร่างมัลลิกาลิที่นอนนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะพื้น เขาจับมือเธอมากุม บีบเบาๆ แล้วร้องไห้ออกอย่างสุดจะกลั้น
จรรยาเดินเข้ามาจับบ่าลูกปลอบ เจรมัยหันมาหาแม่สภาพน้ำตานองหน้า
“แม่ครับ ทางการแพทย์คงรักษามะลิไม่ได้หรอกครับ ผมว่าเราพามะลิกลับบ้านเราเถอะครับ บางทีอาจมีทางอื่นที่จะช่วยให้เธอฟื้นขึ้นมาได้”
“จ้ะเจ ทุกคนที่บ้านรอมะลิอยู่นะ เราจะพาเธอกลับไป”
จรรยาปลอบใจลูกชาย ด้วยทุกอย่างเวลานี้ทำให้สิ้นหวัง และอดคิดไม่ได้ว่ามัลลิกาคงไม่รอด

ที่ชั้นบนบ้านตาเทียบ หนูจ๋าถือผ้าขนหนูวิ่งเลาะเล่นไปตามทางเดินในบ้านไปมา ก่อนจะเดินมาหยุดเกาะประตูห้องน้ำในห้อง ถามมนที่ง่วนอยู่กับการเตรียมน้ำอุ่นเช็ดตัวพี่มะลิ
“ป้ามน น้ำอุ่นได้ยัง
“ได้แล้วจ้า”
หนูจ๋าเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับมน เห็นเจรมัยประคองมัลลิกานอนลงที่เตียง มีจรรยาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ หันมาเห็น
“อ้าว มา กันแล้วจะได้เช็ดตัวให้หนูมะลิ”
“งั้นผมรบกวนแม่ด้วยนะครับ”
หนูจ๋าเดินออกจากห้องมาพร้อมกับพี่เจ ปิดประตูลง สองคนยืนอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง เด็กสาวถามเสียงเศร้า
“พี่เจ เมื่อไหร่ พี่มะลิจะฟื้นเหรอ”
เจรมัยส่ายหน้า “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ระหว่างนี้ จินดาเดินเข้ามาหาเจรมัย
“จ๋า…ขอแม่คุยกับพี่เจ หน่อยนะ”
“ค่ะ” จ๋าเดินห่างออกไป ปล่อยให้แม่กับเจรมัยคุยกัน

เจรมัยรับรู้ได้ว่าน้าจินดาอยากจะคุยกับเขาเป็นการเฉพาะ
“มีอะไรคุยกับผมเหรอครับน้าจิน”
“คือเจ ยังอยากตามหาตัวตะลุงเพื่อเอามาไว้ที่บ้านแบบเดิมอีกมั้ย คือน้าไม่ค่อยสบายใจน่ะ”
“ไม่สบายใจเรื่องอะไรครับ”
เสียงมนเรียกดังขึ้น
“คุณจินดาคะ คุณเจรมัยคะ”
จินดาถามโดยไม่ทันหันไป “มีอะไรเหรอ”
“คุณลุงพัฒน์มาขอพบค่ะ”
เมื่อสองคนหันไป จึงเห็นว่ามนกำลังพาลุงพัฒน์เดินเข้ามาหา พร้อมกับห่อผ้าที่มีตัวตะลุงอยู่ในมือ จินดาตกใจ
“คุณเจรมัยครับ ผมเอาตัวตะลุงมาส่งคืนครับ”
เจรมัยปรี่ไปหาลุงพัฒน์ ยิ้มดีใจและซึ้งใจ
“ขอบคุณนะครับลุงพัฒน์ ขอบคุณจริงๆ”
“ผมขอโทษคุณกับครอบครัวคุณด้วย ที่ผมเห็นแก่ตัวกับพวกคุณ ผมเพิ่งรู้เรื่องจากหนูแคท ผมจึงคิดได้ว่าการที่ตะลุงอยู่กับผม มันไม่ใช่ วิธีแก้ปัญหาทั้งหมดแน่ๆ”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของลุงครับ ผมสัญญาว่าเรื่องทุกอย่างต้องจบ ลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ครับคุณเจ”
เจรมัยมองตะลุงด้วยความดีใจ


หลังจากนั้น เจรมัยรีบเอาตัวตะลุงไปเสียบคืนวางไว้บนตู้เหนือหัวเตียงที่เดิม ขณะที่พยายามเสียบหนังตะลุง มือของเขาก็ไปโดนลิ้นชักเล็กๆ บนตู้
เจรมัยประหลาดใจ ดึงลิ้นชักนั้นออกก็เจอตลับไม้เล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ในนั้น เมื่อรื้อค้นดูในลิ้นชัก ยังเจอกล่องรวมข้าวของเครื่องใช้ของผู้หญิงสมัยรัชกาลที่ 7
โดยไม่รู้ว่าเวลานี้ ปรากฎร่างของผีสร้อยพีขึ้นตรงกลางห้อง และยืนมองจ้องตะลุงตัวนั้นอยู่โดยไม่วางตา

เจรมัยถือกล่องนั้นมาดูที่โถงชั้นล่าง มนทำความสะอาดอยู่หันมามองอย่างแปลกใจ
“กล่องอะไรคะคุณเจ”
“น่าจะเป็นกล่องของใช้เก่าๆ ของคุณทวดมาลีน่ะครับ ป้าอยู่ที่นี่มาตั้งนานไม่เคยเห็นเหรอครับ”
“โอย ไม่หรอกค่ะ แค่มองขึ้นไปบนหลังตู้ที่ตัวตะลุงตัวนั้นวางอยู่ยังไม่กล้าเลยค่ะ ว่าแต่ในนั้นมีอะไรบ้างคะ”
เจรมัยหยิบของหลายๆ อย่างออกมาดู และก็มาสะดุดตากับของที่อยู่ในห่อสักหลาดสวยงาม เจรมัยเอาของข้างในออกมาดูนั้นคือตัวตอกหนัง เขาจำได้แม่นว่าเหมือนกับตัวตอกที่เที่ยงเคยมอบให้มาลี
“ของชิ้นนี้ ทวดมาลียังเก็บไว้อยู่เลย”
จรรยาเดินเข้ามาใกล้ๆ พอดูแล้วก็เกิดความสงสัย
“เครื่องมืออะไรเหรอเจ”
“ตัวตอกตะลุงครับแม่...เป็นของทวดเที่ยง ที่ให้ทวดมาลีไว้ แทนความรัก”
“งั้นเหรอ นี่เจรู้ก็เพราะ…เจไปเห็นอดีตมาใช่มั้ยลูก”
“ครับ ผมกับมะลิ เห็นภาพนี้พร้อมกันก่อน”
จรรยาหยิบขึ้นมาดูอย่างสนใจ ตัวตอกในห่อผ้าส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา แตะจมูกจรรยาและเจรมัย
“ทวดมาลีเก็บมันไว้อย่างดีเลย ถ้าทวดเที่ยงได้รู้คงดีใจมากแน่ๆ”
“ครับและผมว่า เรื่องนี้ทวดเที่ยงเค้ารู้แน่นอนครับ”
เจรมัยรับตัวตอกมาจากแม่แล้วมองมันด้วยแววตารำลึกจดจำ

ที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนมาลี มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ เหมือนเพิ่งถูกเปิดอ่านเสร็จ มาลีหยิบตัวตอกขึ้นมาถือดู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพ็ญเดินเข้ามาพอดี
“คุณหนู น้ำส้มค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
เพ็ญเห็นจดหมายก็มองเหล่นายสาว “เอ๊ะ แล้วนั่นจดหมายอะไรคะ ดูทำหน้าเข้าสิยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”
มาลีมองตามสายตาเพ็ญ แล้วเลื่อนจดหมายเข้าไปในกองหนังสือ
“ไม่มีอะไรซะหน่อย”
เพ็ญยิ้มขำ ดูออก “นั่นแน่ะ มีพิรุธซะด้วย ใครเขียนจดหมายให้คุณหนูหรือเจ้าคะ”
“บ้าน่ะเพ็ญ”
“ถ้าไม่ใช่แล้วหน้าแดงทำไมล่ะเจ้าคะ”
“จริงเหรอเพ็ญ”
มาลีหลงกล มองกระจกด้วยความเขิน เพ็ญหัวเราะขำชอบใจ
“เพ็ญนี่ แกล้งชั้นเหรอ”
มาลียิ้มชื่นสุขใจ


เย็นวันเดียวกันนั้น มีเด็กชายลูกชาวบ้านวิ่งลัดเลาะมาตามทางเดินในมือถือซองจดหมาย ที่ปลายทางมีเที่ยงยืนอยู่
“พี่เที่ยงๆ”
เที่ยงหันมา ยิ้มขำ แปลกใจนิดๆ “เฮ้ย รู้จักชื่อพี่ด้วย มีไร”
“คือ มีผู้หญิงสวยๆ จากบ้านคหบดี ให้เอาจดหมายมาให้พี่น่ะครับ”
“ไหน...แล้วเค้าไปไหนแล้ว”
เด็กส่ายหน้า เมื่อมองไปก็ไม่เห็นคนสวยที่ว่าแล้ว เที่ยงรับจดหมายจากเด็ก เปิดออกอ่านด้วยสีหน้าแปลกใจ
“คุณมาลีนัดเรารึเนี่ย มีอะไรหรือเปล่านะ”

เที่ยงเตรียมตัวจะออกจากบ้านไปตามนัด สร้อยพีเดินมาตามไปกินข้าวเห็นก็แปลกใจ
“อ้าวพี่เที่ยง จะออกไปไหนน่ะพี่ จะได้เวลาข้าวเย็นแล้วนะพี่”
“กินกันไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอพี่”
“แล้วทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วยล่ะพี่ กินข้าวก่อนแล้วออกไปก็ได้นี่”
“พอดีพี่มีนัดนิดหน่อยน่ะ”
สร้อยพียิ้มกริ่ม “งั้นชั้นไม่กินแล้ว ชั้นออกไปเป็นเพื่อนพี่เที่ยงด้วยเลยดีกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอก สร้อยพีอยู่นี่ล่ะ”
พยอมเดินมาเห็น “สร้อยพี่ แกก็อย่าไปเซ้าซี้พี่เที่ยงนักเลยน่า”
“ก็ชั้น อยากไปกับพี่เที่ยงนี่นา”
สร้อยพีหันมาจะอ้อนขอไปด้วย แต่พี่เที่ยงก็หายไปแล้ว
“อ้าวพี่เที่ยง นัดกับใครนะ”

เด็กชายจอมแก่น คนที่ส่งจดหมายให้เที่ยง วิ่งกลับมาหาใครบางคนในบริเวณมุมลับตา
“พี่คนสวย ผมส่งจดหมายให้แล้วขอรับ ขอเงินค่าจ้างด้วย”
มารศรีแสดงตัวออกมา ยื่นเงินให้ “อ่ะ นี่ เงิน แล้วอย่าปากโป้งไปบอกใครเรื่องนี้เชียว”
“แหม รู้หรอกน้า” เด็กวางท่าแก่นกะโหลกรู้เท่าทัน
“ถ้าฉันรู้ละก็”
มณฑาก็อยู่ด้วยข้างๆ ขึงตาขู่ เล่นเอาเด็กอกสั่นขวัญแขวน จนท่าทีเปลี่ยนไปทันควัน
“ขอ...ขอรับ ผมจะไม่พูดเป็นอันขาดขอรับ”
เด็กรับเงินแล้ววิ่งแจ้นหนีไป ปล่อยให้มณฑากับมารศรีคุยแผนชั่วกันลำพัง
“ฉันอยากให้มันถึงคืนนี้ใจจะขาดแล้ว” มารศรีเอ่ยขึ้นอย่างสะใจ
“ดูซิ ว่าคราวนี้ คุณพ่อจะเข้าข้างมันอีกมั้ย” มณฑายิ้มชั่วออกมาเต็มใบหน้าสวยๆ

ท่านโสภณเดินอยู่ในบ้าน เหมือนหาใครอยู่ พอดีเพ็ญเดินผ่านมาพอดี
“เพ็ญ ไปตามมาลีให้ชั้นหน่อย บอกว่าชั้นมีเรื่องจะคุยด้วย”
“คุณหนูไม่อยู่ค่ะคุณท่าน”
“อะไร ไปไหนค่ำๆ มืดๆ”
“เอ่อ...”
ท่านโสภณคาดคั้น “เพ็ญ”
“เห็นว่าคุณหนูนัดนายเที่ยงเอาไว้น่ะค่ะ”
“มีธรุระอะไรด่วนขนาดต้องนัดกันตอนกลางคืน”
ท่านโสภณพูดเหมือนไม่ค่อยพอใจหน่อยๆ ที่ลูกสาวออกนอกบ้านเวลากลางค่ำกลางคืน
“แล้วนี่ มณฑา มารศรีอยู่ไหน เห็นมั้ยเมื่อกี้เดินผ่านห้องเห็นไฟห้องก็ไม่เปิดทั้งคู่”
“คุณหนูทั้ง 2 ก็ไม่อยู่หรือเจ้าคะ อันนี้เพ็ญไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะ”
ท่านโสภณมีสีหน้าคลางแคลงใจ


ขณะที่มาลียืนรอเที่ยงอยู่ที่ชายป่านั้น มีชายแปลกหน้าสองคนยืนเฝ้ามองมาทางเธอท่าทีแปลกๆ จนมาลีเริ่มไม่ไว้วางใจ

ชายแปลกหน้าสองคน ที่แท้เป็นคนร้ายที่มารศรีกับมณฑาส่งมา มันสองคนหารือกัน
“อีคุณหนูที่ว่ามาแล้วพี่” คนร้าย1 เอ่ยขึ้น
คนร้าย2 ยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอาไง จะแค่โปะยา ตามที่เค้าจ้างหรือว่า…”
คนร้าย1 ยิ้มชั่วเห็นด้วย
“เอาซี่ ปล้ำมันเป็นของแถม จะได้เอาไปคุยได้”
“ไป ลุยกัน เดี๋ยวไอ้คนเล่นตะลุงมา จะได้โปะยามัน โยนความผิดให้แม่งทั้งหมด”
“ใช่ ทุกอย่าง ก็ยังเป็นตามที่เค้าจ้างเราอยู่ดี”
สองชายชั่วขยับตัวหมายจะมุ่งไปจัดการมาลี แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่ามาลีก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว พวกมันพากันเจ็บใจ

มาลีหลบอยู่หลังพุ่มไม้หนา คนร้ายเหมือนจะเดินผ่านไปคนหนึ่ง แต่ที่ไหนได้คนร้ายอีกคนก็เข้ามาประชิดตัวมาลีแล้ว มาลีผลักมันออกแล้ววิ่งหนีไปโดยไม่คิดชีวิต ปากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยๆ”

เที่ยงเดินมาตามทางจวนจะถึงที่นัด ก็ได้ยินเสียงมาลีร้องขอความช่วยเหลือ
“เสียงคุณมาลี”
เที่ยงรีบวิ่งออกไปตามเสียง
ภาพที่เห็นคือ … มาลีหกล้มลง สองคนร้ายพุ่งเข้าทำร้ายมาลี คนร้ายโปะยาใส่มาลีเค้าเต็มรัก / มาลีจวนเจียนจะหมดสติ คนร้ายกระชากเสื้อมาลี!!!
“ช่วยด้วยๆ”
คนร้าย1กับลูกพี่หัวเราะเยาะ “เงียบๆ เถอะน่า ร้องไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก”
“อย่าทำอะไรชั้นเลยนะ ชั้นขอร้อง”
“ขอร้องๆ ขอร้องอะไรดีล่ะ ขอร้องให้ชั้นเป็นผัวคุณหนูเลยละกันนะ” ชายชั่วหัวเราะหื่นๆ
“ช่วยด้วยๆๆๆ”
ในช่วงเวลาคับขัน จู่ๆ คนร้ายที่อยู่ใกล้มาลีที่สุด ก็ถูกฟาดด้วยไม้จนร่างล้มลงไม่เป็นท่า
คนที่ฟาดคือเที่ยง มาลีที่ใกล้หมดสติเห็นภาพลางๆ ว่าเที่ยงเข้ามาช่วยตน ควานหาเสื้อมาคลุมตัวไว้ คนร้ายที่เหลือเร่งเข้าทำร้ายเที่ยง จนเกิดเป็นสถานการณ์คนร้ายสองคนจู่โจมเที่ยงคนเดียว แต่ด้วยความสามารถของเที่ยงทำให้เอาชนะคนร้ายได้จนพวกมันกระเจิงไป เที่ยงรีบเข้ามาดูมาลี
“คุณหนูๆ คุณมาลี ได้ยินผมมั้ยครับ”
มาลีหมดสติในอ้อมกอดเที่ยง
โดยที่เที่ยงไม่ทันระวังตัว เขาถูกท่อนไม้ฟาดเค้าที่ด้านหลัง จนล้มทั้งยืน
ทั้งเที่ยงและมาลีไม่มีโอกาสได้เห็นว่า คนที่ฟาดหัวเที่ยงจนสลบนั้น ก็คือสองสาวใจชั่ว มณฑา ที่ตามมากับ มารศรี นั่นเอง
“ดีนะที่ฉันตามมาดู ไม่งั้นแผนพังหมดแน่”
“เดี๋ยวฉัน จัดการต่อเองพี่”

ทางด้านสร้อยพียืนกระวนกระวายร้อนใจที่ดึกแล้วเที่ยงก็ยังไม่กลับสักที
“พี่เที่ยงไปไหนนะ ป่านนี้แล้วยังไม่กลับอีก”
พยอมเดินมาเห็น “อ้าวสร้อยพี นี่แกยังเดินไปเดินมาอยู่อีกรึ ชั้นเห็นเดินตั้งแต่ค่ำแล้วนะ”
“ก็ชั้นเป็นห่วงพี่เที่ยง”
“แล้วนี่แกก็ยังไม่ได้กินข้าวอีกรึ”
พยอมมองดูบนโต๊ะข้างๆ เห็นสำรับที่ยังไม่ได้กิน
“ชั้นว่าจะรอกินพร้อมพี่เที่ยงน่ะ”
“เออๆ ตามใจแกละกัน ชั้นไปนอนก่อนละ”
พยอมเดินเข้าบ้านไป สร้อยพีมองตามพยอมไป แล้วเห็นบางอย่างตรงมุมที่นอนของเที่ยง จึงเดินเข้าไปดู เห็นกระดาษจดหมายเขียนนัดว่า
“พบกันที่ชายป่า มาลี”
สร้อยพีโกรธจัด เดินหุนหันออกประตูไป


จู่ๆ ประตูห้องตาเทียบก็เปิดออกอย่างแรง ผีสร้อยพีปรากฏตัวขึ้นดูออกว่าบาดเจ็บสาหัส มือมีคราบเลือดสีดำไหลเป็นทาง ผีสร้อยพี แทบจะยืนทรงตัวไม่ไหว ต้องเอามือเท้าประตูห้องเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ประตูที่เปิดออกจินดาบังเอิญมาเห็นพอดี ถึงจะมองไม่เห็นร่างสร้อยพี แต่ก็ไม่วางใจที่จะอยู่ตรงนั้น
ผีสร้อยพียืนคุมแค้นอยู่ตรงนั้น
“อีมาลี มึง”

ตำรวจนายหนึ่ง เดินเข้าไปในบ้านท่านโสภณ เรียกหาด้วยท่าทีร้อนใจ
“ท่านโสภณ ขอรับ ท่านโสภณ”
“ว่าไง หมวด”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ”
ตำรวจนายนั้นมองซ้ายมองขวาไม่กล้าที่จะพูดเสียงดัง เพราะตรงนั้นมีคนอยู่หลายคน ทั้งมณฑา มารศรี และบ่าวๆ ทั้งหลาย
“มีอะไรรึ เรื่องใหญ่แล้วทำไมไม่รีบพูด”
“เอ่อ คุณหนูมาลี...”
ตำรวจคนนั้นตัดสินใจเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหู เมื่อได้ฟังท่านโสภณตกใจสุดขีด
มณฑา กับ มารศรีพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ลอบมองหน้ากัน ยิ้มให้กันอย่างสาแก่ใจ

พยอมวิ่งเข้าบ้านมาหน้าตาแตกตื่น
“อาโพน...อาโพน...”
นายโพนนั่งอยู่กับสร้อยพี ตกใจจนทำขันน้ำที่กำลังจะกินกระฉอกเลอะเสื้อ
“อะไร นังพยอม ร้องซะข้าตกอกตกใจหมดเลยเนี่ย”
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วน่ะสิอา”
พยอมยังอึกๆ อักๆ ไม่กล้าพูด เพราะเห็นสร้อยพีนั่งอยู่ด้วย
“เกิดอะไรขึ้น เอ็งก็พูดซะทีสิ อึกๆ อักๆ อยู่ได้”
สร้อยพีมองพยอมด้วยความสงสัย
“เอ่อ...”
นายโพนชักเริ่มโมโห “เอ้า รีบพูดมาสินังพยอม”
“เกิดเรื่องกับพี่เที่ยงกับคุณมาลีน่ะจ้ะ”
ทั้งนายโพนและสร้อยพีตกใจ

พอท่านโสภณนำแถวคณะมาถึงกระท่อมที่เกิดเหตุ ชาวบ้านก็แหวกทางให้ นายโพนพาคณะมาเห็นสภาพเที่ยงกับมาลี ที่ดูเหมือนทั้งสองเพิ่งหลับนอนกันมา เสื้อผ้ามาลีหลุดลุ่ย
“พี่เที่ยง”
สร้อยพีถลาเข้าไปประคองปลุกเที่ยง ส่วนเพ็ญกับโสภณเข้าไปประคองมาลี
“คุณมาลีๆ เป็นอะไรไปคะ”
มณฑาเยาะเย้ยขึ้นทันที “เป็นไงล่ะคะคุณพ่อ งามหน้ามั้ยลูกสาวของคุณพ่อ ถึงกับแอบออกมายังนี้ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วบ้านเรา”
“ไว้รอให้มาลีเล่าให้ฟังก่อนละกัน มาลี ลูก ตื่นสิลูก”
มาลีค่อยๆ ได้สติ สร้อยพีขยับตัวจะเล่นงานมาลี แต่รู้ถึงแรงบีบที่แขน เที่ยงฟื้นขึ้นมาเช่นกัน ปรามด้วยการบีบแขนเธอไว้แน่น ไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าท่านโสภณ สร้อยพีเห็นเที่ยงฟื้นขึ้น ก็ลืมเรื่องอื่นหมดสิ้น
“พี่เที่ยง เกิดอะไรขึ้น พี่เที่ยง”
มาลีมองไปรอบๆ ตัว ประเมินสถานการณ์ออก ยินเสียงซุบซิบนินทาจากชาวบ้านดังไปทั่ว ด้วยความสนุกปาก เข้าใจว่าเที่ยงกับมาลีแอบมาหลับนอนกันที่กระท่อมร้างนี้ มาลีจะอธิบายให้ทุกคนฟัง แต่ท่านโสภณรีบขัดขึ้นก่อน
“คุณตำรวจครับ เรื่องนี้ผมขอไต่สวนกันเอง ผมขอเอาตัวนายเที่ยงไปที่บ้านก่อนนะครับ”
“ครับท่าน แต่ถ้าท่านอยากให้ทางการจัดการต่อ ท่านติดต่อผมมาได้เลยนะครับ”
ท่านโสภณพยักหน้ารับ เที่ยงลำบากใจ แต่จำต้องเดินตามไป สร้อยพีประคองเที่ยงออกไปอย่างเป็นห่วง นายโพนมารับตัวเที่ยงประคองไป บอกให้สร้อยพีกลับไปรอฟังข่าวที่บ้านกับพยอม


ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในโถงบ้าน คหบดีโสภณถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ดูออกว่าท่านโกรธจัด
“ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้”
“เรื่องนี้ทำให้ตระกูลคุณมาลีเสียหาย ผมยอมล้างมลทินให้ ส่งตัวผมให้ทางการเถอะครับ”
เที่ยงกลับบอกอย่างนี้ ไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ มาลีต้องช่วยออกตัว
“เที่ยง ทำไมไม่บอกความจริงไป”
โสภณชะงัก เมื่อได้ยินที่ลูกสาวบอก ท่าทีเปลี่ยนไป
“ความจริง เหรอ เรื่องมันเป็นยังไงบอกมา”
นายโพนเห็นเที่ยงเอาแต่เงียบจึงบอกให้พูด
“เที่ยง มีอะไรก็บอกท่านไปซิ ข้ารู้ว่าเอ็งไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ถึงพูดความจริง ก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ คุณมาลีก็ยังเสียหายในสายตาคนอื่นอยู่ดี แต่ถ้ามีผมในฐานะคนร้าย ถูกทางการลงทัณฑ์ ผมว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
ท่านโสภณบอก “เที่ยงลุกขึ้นมา”
เที่ยงยืนก้มหน้า ยังไม่กล้าสบตาท่านโสภณอยู่ดี
“เธอดูถูกฉันมากเกินไปมั้ย ที่จะไม่พูดความจริง เรื่องหน้าตาบ้านฉันที่เสียหายไป มันไม่เลวร้ายเท่า ฉันลงโทษผิดคน”
“ผมยังยืนยัน ความคิดเดิมอยู่ครับ...”
มาลีพูดทักท้วงขึ้นทันที
“ไม่จริงค่ะ เมื่อคืนมีคนร้ายสองคนเข้ามาทำร้ายลูก แต่โชคดีที่เที่ยงเข้ามาช่วยลูกไว้ทัน”
โสภณคิดตามอย่างสนใจ “คนร้ายรึ”
คราวนี้เที่ยงยอมพูด “ขอรับ กระผมตอนเข้าไปช่วยคุณมาลีไม่ทันระวังตัว จึงถูกคนร้ายตีเข้าที่ท้ายทอยจนสลบไปตรงนั้น ขอรับ”
มณฑาเห็นท่าไม่ดี รีบพูดสอดขึ้น “อย่าไปเชื่อพวกมันค่ะคุณพ่อ พอโดนจับได้พวกมันก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ นังมาลี แกนี่มันดีแต่สร้างเรื่องให้คุณพ่อตลอด เลือดแม่คงแรงมากสินะ หนูว่าจับมันส่งตำรวจไปเลยดีกว่าค่ะ”
ท่านโสภณเสียงดัง “หยุด มณฑา เรื่องนี้พ่อจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
มณฑาเงียบไปในทันทีทันที โสภณเดินออกไปจากกลุ่ม คิดทบทวนอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามเที่ยงน้ำเสียงจริงจรังท่าทีเคร่งขรึม
“นายเที่ยง เธอรักลูกสาวฉันมั้ย”

ฝ่ายสร้อยพีกระวนกระวาย นั่งไม่ติดที่ คอยชะเง้อคอมองไปเข้าไปในเรือนใหญ่
“พี่เที่ยงจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย ถ้าพี่เที่ยงถูกคนบ้านนี้ลงโทษ ฉันจะอาละวาดให้บ้านแตกเลยพยอม”
พยอมระอา “ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร ก็คิดไปในทางร้ายซะแล้วแกนี่”
นายโพนเดินคอตกหน้าเศร้าออกมาจากเรือนใหญ่ สร้อยพีใจไม่ดี รีบถลาเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
“พ่อ พี่เที่ยงล่ะ เค้าว่าไงบ้าง เค้าจะให้พี่เที่ยงเป็นคนผิดเหรอพ่อ”
นายโพนดึงตัวสร้อยพีมาโอบกึ่งกอด ด้วยความสงสารและเป็นห่วงความรู้สึกลูกสาว
“ไป กลับไปคุยที่บ้านเรา”
สร้อยพีใจเสีย “มีอะไรเหรอพ่อ พี่เที่ยงเป็นอะไร ทำไมไม่ลงมาด้วย”
“กลับบ้านกันก่อนเถอะ”

นายโพนเดินนำเข้ามาในบ้าน แต่สร้อยพียังไม่เลิกที่จะซักไซ้
“พ่อ พ่อต้องบอกฉัน ว่าพี่เที่ยงเป็นยังไง ทำไมพี่เที่ยงไม่กลับมาด้วย”
นายโพนมองหน้าสร้อยพีด้วยความสงสาร และอึดอัดใจเหลือกำลัง ที่ต้องสื่อสารเรื่องทั้งหมดออกไป
“สร้อยพี ก่อนที่พ่อจะบอกอะไรเอ็ง เอ็งต้องเข้าใจเรื่องทั้งหมดก่อน หลายเรื่องเราอยากให้มันเป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้”
สร้อยพีงง “พ่อพูดอะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ทุกคนว่าพี่เที่ยงไปทำบัดสีอย่างนั้น บอกชั้นสิพ่อ”
“ใจเย็นๆ ก่อนสร้อยพี”
สร้อยพีใจไม่ดี “นี่มันอะไรเนี่ยพ่อ พ่อพูดให้ชั้นใจเย็นๆ ตั้งแต่ที่บ้านนั้นแล้ว มันมีอะไรคอขาดบาดตายขนาดนั้นเลยเหรอพ่อ”
“คืออย่างนี้นะสร้อยพี ท่านโสภณ ยกคุณมาลีให้แต่งงานกับเที่ยงแล้ว”
เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัวใจ สร้อยพีช็อกไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าห้องไป ปิดประตูลง
ทุกคนมองตามสร้อยพี โดยไม่ได้รั้งไว้ ทุกอย่างเงียบงัน จนดูไม่ปกติ


สร้อยพีขังตัวเองอยู่ในห้อง แสงในห้องทำให้เห็นเป็นเงาของเธอพาดยาวไปที่ผนัง สร้อยพีมองกระจกตรงหน้า สีหน้าเศร้าสร้อย ความโกรธความเกลียดชังที่มีต่อมาลี แล่นเป็นริ้วๆ เข้าสู่หัวใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มวาววับ

ที่ห้องโถงตอนนี้เหลือเพียง ท่านโสภณ มณฑา มารศรี และบ่าว กิ่ง กับ เพ็ญ
มณฑาคัดค้านเสียงแข็ง ไม่มีวันยอม “มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคะคุณพ่อ ไม่ได้นะคะ เรื่องมันจบแบบนี้ไม่ได้”
ท่านโสภณถามเสียงเรียบ “แล้วลูกอยากให้มันจบแบบไหน”
“พ่อก็ส่งมันเข้าตะรางไปเลย ส่วนนังมาลีคุณพ่อก็จับใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วหาผัวดีๆ ที่เหมาะกับตระกูลเรายกให้เค้าไป หรือถ้าพ่อว่าสองคนนี้มันรักกันมาก ก็เฉดหัวมันกลับบ้านนอกไปซะสิ ให้มาลีมันไปอยู่ด้วยเลย”
คหบดีโสภณมองหน้าธิดาคนโตอย่างค้นความจริง “เรื่องที่อยากให้จบแบบนี้ ลูกคิดไว้ก่อนหรือเปล่า”
“คุณพ่อหมายความว่ายังไงคะ”
มณฑาตกใจนิดๆ หันไปมองหน้า มารศรี
ท่านโสภณเห็นมีบ่าวสองคนอยู่ด้วย จึงหันไปบอกให้ทั้งสองคนออกไป
“เธอสองคนออกไปก่อน”
สองคนรับเอาคำพร้อมกัน “ค่ะ” แล้วพากันออกไป

ท่านโสภณเดินเข้าไปหามณฑากับมารศรีช้าๆ
“เมื่อคืนลูกสองคนหายไปไหน”
สองคนมองหน้ากัน ต่างคนต่างอึกอัก ไม่คิดว่าเรื่องราวจะย้อนมาหาตัวเอง
“คือเรา...เออ...” มณฑาอึกอัก
ท่านโสภณมองหน้าสองลูกสาวตัวแสบแน่วนิ่ง
“พ่อให้สมชายคนสวนมันคอยจับตามองพวกลูกตลอดว่าลูกไปไหนกันบ้าง พ่อคิดว่าถ้าลูกยังจะโวยวายกับเรื่องนี้อีก บางทีพ่ออาจจะให้ทางการเข้ามา สืบเรื่องนี้ใหม่ทั้งหมด รวมทั้งเรื่องไปป์ด้วยนะ”
สองสาวหน้าซีด คาดไม่ถึง
ท่านโสภณมองทีท่าของสองพี่น้อง ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ก่อนที่จะขึ้นห้องไป
มณฑาเหลียวขวับขึ้นไปทางห้องนอนมาลี นัยน์ตาวาวโรจน์
“อีมาลี กับไอ้พวกตะลุง ไม่โชคดีตลอดแน่”

เที่ยงยืนเช็ดเลือดอยู่ตรงระเบียงหน้าห้อง ด้วยผ้าสะอาดที่เพ็ญเอามาให้ ส่งผ้าคืนให้เพ็ญ แล้วมองเลยไปที่ห้องมาลีที่ประตูยังเปิดอยู่ และเห็นมาลีนั่งอยู่ริมเตียงนอน ทั้งคู่เงียบงันไม่พูดใดๆ ต่อกัน
“คุณหนูไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ยครับ”
มาลีพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ เที่ยงเงียบไปอีกครั้ง
ในหัวของมาลี ยังรู้สึกว่าทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด ทั้งเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น รวมทั้งเรื่องที่ต้องให้เที่ยงมารับผิดชอบเธอ
เที่ยงก็รู้สึกไม่ต่างกัน แถมยังรู้สึกเจียมตัวที่รักคนที่สูงค่ากว่า เที่ยงหลบตาไม่กล้าที่จะมองมาลีและแล้วมาลีก็พูดออกมา
“ขอบคุณนะเที่ยง”
“ขอรับ”
“สำหรับทุกๆ เรื่อง”
เที่ยงพยักหน้ารับ มาลีเงยหน้ามองเขาเป็นครั้งแรก

ในวันต่อมา เที่ยงกับเพ็ญยืนสนทนาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ตรงบริเวณเฉลียงหน้าเรือนใหญ่
“ถ้าเป็นตามที่คุณว่า แล้วถ้าคนร้ายยังอยู่ในพื้นที่ ก็คงใช้เวลาไม่นานในการตามตัวคนร้าย”
“ขอรับ”
“มีอะไรเพิ่มเติมก็ไปรายงานที่สถานีนะคุณ”
“ขอรับ”
ตำรวจแยกตัวกลับไปแล้ว เที่ยงยืนอยู่กับเพ็ญที่หน้าเรือนใหญ่
“เที่ยงหมดเรื่องแล้ว เธอจะกลับบ้านไปพักก็ได้นะ”
“ขอรับ”
จู่ๆ สร้อยพี ก็พรวดพราดเข้ามาหาเที่ยง
“สร้อยพี มาทำไมเหรอ”
“พี่เที่ยง เจ้าหน้าที่ว่าไงบ้าง”
“ก็เห็นว่าจะเร่งหาตัวคนร้ายให้ ไปกลับบ้านกันเถอะสร้อยพี”
“ไม่”
เที่ยงอึ้งไปกับท่าทีแข็งกร้าวของมาลี


สร้อยพีโลดแล่นเข้าเรือนใหญ่ไป ทำท่าจะขึ้นบันไดไปอาละวาดมาลี เพ็ญรีบกระโจนตามมาขวางไว้
“เอ๊ยๆ เธอจะไปไหน”
“จะไปคุยกับมาลี”
เพ็ญไม่พอใจ “ทำไมพูดถึงคุณมาลีด้วยน้ำเสียงแบบนี้ล่ะ”
“จะพูด”
สร้อยพีขยับตัวต่อไป เพ็ญเห็นท่าไม่ดีจึงฉุดแขนไว้
“เฮ้ย ไปไม่ได้”
“สร้อยพี อย่าทำอย่างนี้ซิ”
สร้อยพีไม่สนใจฟังคำพูดเที่ยง ผลักเพ็ญจนหน้าหงายหลังไป เพ็ญฉุดขาดเลยผลักสร้อยพีไปเช่นกัน แต่เที่ยงรีบเข้ามาขอไว้
“อย่าลงไม้ลงมือกันเลย”
เพ็ญโกรธจัด “ทำไมเธอถึงทำมารยาทแบบนี้”
“สร้อยพี ไม่เอา กลับบ้านกันดีกว่า”
“ก็มันมาขวางฉันนี่พี่เที่ยง”
ในเวลาเดียวกันมาลีได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินลงมาดู สร้อยพีดูมีทีท่าที่สงบลง จนเที่ยงวางใจขยับออกห่าง
“เพ็ญเป็นอะไร เสียงดังกันจัง”
“เพ็ญว่าจะสั่งสอนสร้อยพีที่เสียมารยาทซักหน่อยค่ะ”
มาลีหันมาทางสร้อยพี “มีเรื่องอะไรกันเหรอสร้อยพี”
ไม่ทันขาดคำดี ใบหน้าของมาลีก็ถูกตบเข้าฉาดใหญ่ ด้วยฝีมือสร้อยพีที่กระโจนเข้าใส่ แรงตบส่งให้มาลีถลาเสียหลัก สร้อยพีตามติดเข้าจิกผมเหวี่ยงมือตบใส่หน้าไม่ยั้ง เที่ยงรีบเข้ามาขวางไว้ เพ็ญเข้าไปผลักสร้อยพีออก พยุงคุณหนูลุกขึ้น
เสียงเอะอะ เรียกให้มณฑา กับ มารศรี เดินออกมาดูเหตุการณ์ไล่ๆ กัน มณฑาสะใจเหลือหลายที่มาลีโดนสร้อยพีตบตีถึงในบ้าน
“ฉันละอยากให้คุณพ่อมาเห็นภาพนี้ของพวกมันจริงๆ ดูซิทีนี้จะทำหน้ายังไง แม่ลูกรักโดนตบแบบนี้”
“แค่นี้ศรีก็สะใจแล้ว สมน้ำหน้านังมาลีมันจริงๆ” มารศรียิ้มร้ายอย่างสะใจ

เที่ยงพูดแทบเป็นตวาด “พอเลยสร้อยพี นี่เป็นบ้าอะไร ทำไมทำแบบนี้”
“สร้อยพีเกลียดมัน เกลียดอีมาลี มัน มัน เอาทุกอย่างของสร้อยพีไป”
เที่ยงตะคอกใส่สร้อยพีอย่างมีอารมณ์
“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”
มาลีเอ่ยขึ้นว่า “เที่ยง ช่างเถอะ”
"ไม่ต้องทำเป็นห่วงฉันเลย อีคนจอมปลอม"
สร้อยพีสะบัดตัวหนี แต่เที่ยงไม่ยอมคว้าแขนสร้อยพีเอาไว้ ตวาดดังลั่น
“หยุดได้แล้วสร้อยพี”
สร้อยพีตกใจเพราะตั้งแต่เกิดมาเที่ยงไม่เคยตะคอกเสียงดังแบบนี้ใส่เลย
“พี่เที่ยง”
น้ำเสียงสร้อยพีสั่นสะท้าน เสียใจเหลือเกิน เที่ยงเองเสียใจไม่ต่างกัน
“ทำไม ทำไมพี่เที่ยงถึงต้องยอมรับผิดเองทุกอย่าง”
เที่ยงยืนนิ่งอั้นไปสักพัก
“พี่ไม่ได้ยอมรับผิด แต่พี่ทำเพราะรักคุณมาลี แล้วก็จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเค้า”
สร้อยพีได้ฟังก็ยิ่งเสียใจ
“พี่เที่ยง”

ผีสร้อยพีปรากฏตัวขึ้นในห้องตาเทียบ ประตูห้องกระแทกปิดดังปังใหญ่
จรรยาได้ยินเสียงนั้นรีบเดินออกมาดู บังเอิญชนเข้ากับจินดาที่มัวแต่เดินหนีมาจากทางห้องตาเทียบโดยไม่ระวัง
“ว้าย พี่”
“จินดา ได้ยินเสียงประตูมั้ย ไปดูกัน”
“ไม่เอาพี่อย่าไปเลย ฉันกลัว”
“งั้นพี่ไปเอง”
จรรยายืนกรานจะเดินไปดู จินดาผวาอดไม่ได้ที่จะต้องตามไปด้วย
“พี่ ช่างมันเหอะ”

จรรยาเดินนำจินดาตรงมาที่หน้าประตูห้องตาเทียบ
“เสียงออกจะดัง ขนาดพี่กำลังเช็ดตัวมะลิอยู่ยังได้ยิน แต่จินดาเธอกลับไม่เอะใจอะไร แปลกไปหรือเปล่า”
“คือฉันกลัว”
ยังไม่ทันจะถึงประตู จู่ๆก็มีกระแสลมประหลาดกรรโชกมากระทบร่างสองพี่น้องจังๆ ต่างคนต่างผวากลัว จินดาจึงรีบฉุดจรรยาให้รีบหนี
สองพี่น้องเปลี่ยนใจแล้วรีบหนีห่างออกมา

เจรมัยได้ยินเสียงวิ่งตึงตังหน้าห้อง จึงละตัวออกมาจากห้องมัลลิกา จรรยากับจินดาวิ่งย้อนกลับมาที่ห้องนี้และเจอเข้ากับเจรมัยพอดี
“เป็นอะไร วิ่งหนีอะไรกันมาครับ”
“คือที่ห้องคุณตา มีลมประหลาดน่ะจ๊ะ คิดว่าน่าจะเป็นผีตะลุง”
ไม่ทันขาดคำร่างของผีสร้อยพีก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่ด้านหลังจรรยาอย่างประสงค์ร้าย เจรมัย กับจินดา ตกใจแทบช็อกกับภาพที่เห็น
ผีร้ายยื่นแขนไปจับเข้าที่ท้ายทอยของจรรยาหมับ แล้วกระชากห่างออกจากเจรมัยมา
“แม่”
“ห่วงกันมากใช่มั้ย รักกันมากใช่มั้ย”
จรรยาช็อก พูดแทบไม่เป็นคำ “ช่วย...ด้วย”
ผีสร้อยพีกุมคอจรรยาแรงขึ้น จินดาพนมมือไหว้ปลกๆ หวังให้ผีร้ายปล่อยพี่สาว
“ปล่อยพี่ฉันไปเถอะ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้”
วิญญาณแค้นเพียงแค่ปรายตามองไปที่จินดา ร่างจินดาก็ปลิวไปกระแทกเตียงนอนมัลลิกา ร่างร่วงลงสลบคาที่ ผีสร้อยพีขยับตัวเข้าไปใกล้ร่างมัลลิกา โดยยังจับคอจรรยาไว้
“พี่เที่ยง รักมันมากใช่มั้ย แล้วแบบนี้พี่จะเลือกรักใคร มันหรือแม่”
เจรมัยใจหล่น วิงวอนขอร้อง “อย่าทำอะไรแม่ชั้นเลยนะ สร้อยพี จะให้ชั้นทำอะไรชั้นก็ยอม”
“ทำอะไรก็ได้เหรอ ดี งั้นไปฆ่านังมาลีซะ”
เจรมัยลังเลหนัก ทำอะไรไม่ถูก
“เร็วสิ ชั้นก็อยากจะรู้เหมือนกัน พี่เที่ยงที่บอกรักนังมาลีมันนักมันหนาเนี่ย จะเลือกใครระหว่างแม่ตัวเองกับนังนั่น”
ในระหว่างที่เจรมัยทบทวนอยู่นั่นเอง สร้อยพีก็บีบคอจรรยาเต็มแรง หักดังกร็อบอย่างอำมหิต

อ่านต่อ ตอนที่ 21
กำลังโหลดความคิดเห็น