เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 19
บทประพันธ์ พลอยฝน
บทโทรทัศน์ Once House
ในรถที่แคทลียาขับแล่นไปตามถนน จู่ๆ เจ้าหล่อนก็พูดเชิงถามขึ้น
“เธอคงดีใจสินะ ที่เห็นเจเขาแสดงท่าทีต้องการเธอขนาดนั้น”
“ถ้าเธอคิดว่าฉันดีใจ เธอคิดผิดแล้วแหละ ฉันรู้สึกแย่มากๆ ด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้สนใจฉันเลยต่างหาก”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก แคทลียายิ่งหมั่นไส้
“ไม่สนใจเหรอ แล้วที่เขาโทร.มาตามแบบนี้ล่ะ แน่ใจว่าที่ทำอยู่เนี่ย เธอไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากเขา”
มัลลิกาแปลกใจในน้ำเสียง “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงเหรอ”
“ฮึ ก็ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมันเป็นแผนการของเธอ ที่จะทำให้พี่เจเขาสนใจน่ะสิ”
มัลลิกาชักโมโห “ถ้าพูดจากันแบบนี้ จอดข้างหน้าก็ได้นะ ฉันจะลง”
“ไม่จอด ฉันจะพาเธอไปที่นึง เผื่อจะระลึกได้บ้างว่าเคยทำอะไรไว้กับฉันบ้าง”
มัลลิกาตกใจ และชักโกรธเมื่อแคทลียาเร่งความเร็วรถขึ้นไปอีก “ทำอะไร ฉันไปเคยทำอะไรให้เธอ แคทฉันว่าเธอไม่ปกติแล้วนะ นี่แคทไม่ ต้องขับเร็วแบบนี้ก็ได้ แคท”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันปกติรึเปล่า”
แคทลียาเร่งเครื่องขึ้นไปอีก จนรถแทบจะบินไปแล้ว มัลลิกายิ่งตกใจ
รถจอดนิ่งอยู่ที่บริเวณหน้าทางเข้าเรือนแถวเก่าสภาพทรุดโทรมแห่งนั้น แคทลียาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนไม่รู้ดึงมัลลิกาออกจากรถ มัลลิกาพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่เป็นผล
“นี่ปล่อยฉันนะ เธอพาฉันไปไหน ปล่อยสิ”
แคทลียาไม่พูดไม่จา นอกจากดึงมะลิเข้าไปตามทาง
ที่นี่คือเรือนแถวบ้านเช่าของชาวตะลุงคณะนายเที่ยงนั่นเอง มัลลิกายืนงงอยู่กลางบ้าน กวาดตามองรอบๆ อย่างสงสัย
“นี่ไง จำได้มั้ย” สร้อยพีในคราบแคทลียาบอกอย่างสะใจ
มัลลิกางงอยู่อย่างนั้น “เธออยากจะบอกอะไรฉัน ฉันไม่เข้าใจ”
“ที่นี่ เป็นที่สุดท้ายของชีวิตฉัน ฉันหมดลมหายใจที่นี่ ตรงนี้” แคทลียาชี้ไปตรงมุมหนึ่งบอกอย่างเคียดแค้น “เพราะแก”
มัลลิกานิ่งฟัง มองสำรวจทางหนีทีไล่ไปด้วย
“แกทำลายความรักฉัน แกทำลายชีวิตฉัน แกทำให้ฉันต้องทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้ แกต้องชดใช้ อีมาลี”
มัลลิกาทวนชื่อ “มาลี”
“แกจะต้องตาย พี่เที่ยงต้องเป็นของฉันตลอดไป”
มัลลิกาพยายามรวบรวมสติตั้งรับ รู้ชัดแล้วว่าแคทลียาถูกผีสร้อยพีสิงแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้หนี เพราะ แคทลียาเคลื่อนตัวมาอยู่ประชิดเธอที่ด้านหลังแล้ว มัลลิกาขยับตัวหนีห่าง แคทลียาคว้าคอบีบเต็มแรง
“มาลี มึงต้องชดใช้”
“สร้อยพี”
แคทลียาบีบเค้นคอมัลลิกาเต็มแรง มัลลิกาขัดขืนแต่ทานแรงอีกฝ่ายไม่ไหว แคทลียาดันร่างมัลลิกาไปจนติดผนังห้อง
ร่างแคทลียาวูบวาบไปมา จนเวลานี้มัลลิกาเห็นแล้วว่าคนที่บีบคอเธออยู่คือผีสร้อยพี ห่างออกไปทางด้านหลังเห็นร่างแคทลียาทรุดฮวบล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แรงดิ้นทำให้กระเป๋าสะพายของมัลลิกากระเด็นไปที่มุมห้อง
แคทลียาหายใจรวยรินอย่างคนสิ้นแรง เลือดกำเดาไหลออกมาทางจมูกอย่างน่าเป็นห่วง
มัลลิกาเห็นก็ตกใจสุดขีด พยายามจะถลันไปหา แต่ก็สู้แรงผีร้ายไม่ได้ ผีสร้อยพีเหวี่ยงมัลลิกาลงไปกระแทกกับพื้น
ศีรษะมัลลิกากระแทกพื้นจังๆ จวนเจียนจะหมดสติอยู่รอมร่อ ทุกอย่างในสายตาค่อยๆ มืดลงช้าๆ แต่เธอจะเป็นอะไรไปไม่ได้ มัลลิการวบรวมแรงกำลังหยิบมือถือขึ้นมา กดโทร.ออกหาเจรมัยอย่างเร็ว กรอกเสียงลงไปทันที
“เจ ช่วยด้วย ฉันอยู่ที่บ้านไม้…ที่เราเคย...”
ภาพสุดท้ายที่มัลลิกาเห็นคือวิญญาณแค้น กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาเธออย่างอาฆาตมาดร้ายหมายชีวิต
เจรมัยรับสายคุยกับมัลลิกาอย่างร้อนใจ มีจรรยายืนมองด้วยความเป็นห่วงอยู่ข้างๆ
“บ้านไม้ มะลิๆ คุณเป็นอะไร คุณอยู่กับแคทเหรอ มะลิ”
ระหว่างนั้นก็มีกระแสลมพัดมาวูบใหญ่ แรงลมทำให้เจรมัยหวนคิดถึงเรือนแถวบ้านไม้รกร้างสภาพทรุดโทรมที่แคทลียาเคยพาเขาไปก่อนหน้านี้
และจำได้ว่า เขาดูสภาพเรือนแถวบ้านเช่าหลังเก่าทรุดโทรมอย่างแปลกใจ
“ทำไม ถึงต้องเป็นที่นี่”
“ชั้นเคยมีความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับที่นี่”
เจรมัยบอกตัวเองอย่างมั่นใจ “ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ”
นึกได้ดังนั้น เจรมัยก็กระโจนขึ้นรถ ขับออกไปอย่างเร็ว โดยมีเสียงจรรยาร้องตะโกนตามหลังมาอย่างห่วงใย
“เจ ไปไหนลูก แล้วหนูมะลิอยู่ที่ไหน เจๆ”
เจรมัยขับรถมาด้วยความเร็วสูงราวกับจะบินไป
“มะลิ เกิดอะไรขึ้น คุณเป็นอะไร ผมกำลังรีบไปหาคุณ”
เปลวไฟเกิดขึ้นที่พื้นของบ้านเช่า ตรงกลางเปลวไฟผีสร้อยพียืนจ้องมัลลิกาที่อยู่ในภาพหมดแรงอยู่ที่พื้น ข้างๆ แคทลียานอนหายใจรวยรินอยู่ มัลลิกาตกอยู่ในความหวาดกลัวสุดขีด พยายามเขย่าตัวเรียกสติแคทลียา แต่ไม่มีผล
“แคทๆ ฟื้นเร็ว” มัลลิกาเงยหน้าไปสู้ผี “สร้อยพี เธออยากให้เราสองคนตายใช่มั้ย”
“มันเป็นกรรมที่มึงทำกับกูไว้ มึงเผาทุกสิ่งทุกอย่างของกู ทุกอย่างที่คณะตะลุงเป็น มึงต้องรับผิดชอบ”
“รับผิดชอบ ฉันจะรับผิดชอบในเรื่องที่ฉันไม่ได้ทำได้ยังไง”
สร้อยพีโกรธจัด จ้องตามัลลิการาวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และนั่นทำให้มัลลิกาย้อนเห็นภาพเมื่ออดีตจากความทรงจำของวิญญาณแค้นที่ประดังประเดเข้ามาในความคิดราวกับสายน้ำ
มาลีมีเรื่องกับสร้อยพีเสมอๆ รุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตีกัน ตอนสร้อยพียังมีชีวิตอยู่ เธอมักพูดให้ร้าย และโยนความผิดไปให้มาลีตลอดเวลา
มัลลิกาถอยตัวหนีช้าๆ พร้อมกับลากร่างแคทลียาไปที่มุมห้อง เปลวเพลิงลุกไหม้ล้อมกรอบเธอเข้ามาแล้ว มัลลิกากลัวจนบอกไม่ถูก เมื่อเห็นไฟไหม้ส่วนต่างๆ ของบ้านทีละส่วน ไหม้กระทั่งมือถือของมัลลิกาที่หล่นอยู่
สร้อยพียืนมองอยู่ท่ามกลางกองไฟที่ลุกท่วมตัวอย่างสะใจสมใจ
“ในที่สุด ความแค้นของกูก็จะได้ถูกชำระ อีมาลี”
“สร้อยพี ถ้าเธอคิดแบบนั้นก็เอาเลย แต่แคทเค้าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยแคทไปเถอะ”
แคทลียาสะลึมสะลือ กลัวจับขั้วหัวใจแต่ก็ไม่มีแรงกำลังพอจะขยับหนีไปไหน ผีสร้อยพีมองร่างที่เคยสิงสู่โดยไม่แยแส
“ไม่ต้องทำมาเป็นสนใจคนอื่น อีเลว มึงต้องตาย”
แรงลมส่งผลไฟลุกโชนโหมขึ้นมาอีกครั้งอย่างน่ากลัว มัลลิกาต้องถดตัวขยับหนีอีกหน จังหวะหนึ่งมือของเธอขยับไปโดนกระเป๋าสะพายเข้า มัลลิกานึกบางอย่างได้ รีบเปิดกระเป๋าออกและฉวยเหรียญนาฏออกมากำไว้ในมือโดยไว
ผีสร้อยพีเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น
แต่ต้องประหลาดใจเมื่อเห็น มัลลิกายืนจังก้าขึ้นขวางร่างแคทลียาไว้ มัลลิกาฝืนสู้ความกลัว มองจ้องหน้าสู้ตากับผีสร้อยพี
“ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะฉัน ฉันขอรับผิดชอบ” สร้อยพียิ้มเยาะแทนคำพูด “ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาเดือดร้อนเพราะฉัน”
สิ้นคำนั้น มัลลิกาเล็งแลแล้วเหวี่ยงเหรียญนาฏในมือใส่ผีร้าย เหรียญกระทบตัวสร้อยพีจังๆ ด้วยอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อเกิดเป็นเปลวความร้อนเผาผลาญวิญาณแค้นอย่างรุนแรง ผีสร้อยพีเจ็บปวดรวดร้าว ร่างแทบแหลกสลาย พร้อมๆ กันนั้นเหรียญนาฏก็แหลกสลายไปเช่นกัน ผีสร้อยพีแค้นแสนแค้น
“มึง อีมาลี ที่ทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะมึง”
ผีสร้อยพีตะโกนก้อง แล้วสลายหายไป
มัลลิกาโล่งอก มองรอบๆ จนแน่ใจ จึงหันมาปลุกแคทลียา
“แคท ตื่นซิ แคท”
คานไม้อันใหญ่ถูกไฟไหม้หล่นลงมากระแทกพื้นจนเกิดเปลวเพลิงปะทุขึ้นอย่างรุนแรง แคทลียาฟื้นคืนสติมา และเมื่อเห็นอะไรเป็นอะไรก็ผวากลัวลนลานใหญ่ มัลลิกาประคองแคทลียาลุกขึ้น จังหวะเดียวกันนี้เองผนังบ้านก็พังครืนลงมา ทั้งสองสาวผวาตัวกอดกันแน่นด้วยความตกใจ คนที่ปรากฏตัวอยู่หลังผนังนั้นก็คือ เจรมัย เขามองสบตากับมัลลิกาจังๆ
“เจ”
เจรมัยอุ้มแคทลียาขึ้นมองลู่ทางแล้วกระโจนออกไป โดยมีมัลลิกาเกาะหลังคนรักตามออกมา เมื่อพ้นรัศมีการทำลายล้างของพระเพลิง เจรมัยวางร่างแคทลียาลงในมุมที่ปลอดภัยหันมาทางมัลลิกา
ห่างออกไป เห็นเจ้าหน้าดับเพลิงยกกำลังเข้ามาระดมกำลังดับไฟอย่างเร่งด่วน
มัลลิกามองหน้าเจรมัย แววตายังเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
“เป็นอะไร เจ็บอะไรมั้ย แล้วนี่แคททำอะไรมะลิ”
“ทั้งหมดสร้อยพีเป็นคนทำ”
เจรมัยแปลกใจ “สร้อยพีงั้นเหรอ”
“ที่แคทต้องเดือดร้อน ที่คนในครอบครัวเจต้องเดือดร้อน ก็เป็นเพราะฉัน สร้อยพีต้องการชีวิตฉัน เพราะฉะนั้นฉันต้องกลับไปแก้ไขอดีต”
เจรมัยพยายามปลอบและเตือน “มะลิ เรื่องในอดีตเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก”
มัลลิกาบอกอย่างมุ่งมั่น “แต่ฉันอยากกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ฉันทำ”
“มะลิ อย่าบอกนะว่าคุณจะกลับไปอดีต คุณกลับไป…”
ฉับพลันทันใดนั้นเอง มัลลิกาก็โน้มหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากจูบปากเจรมัยทันที
พริบตาต่อมาร่างเจรมัยและมัลลิกาก็ทรุดฮวบลงไปต่อหน้าต่อตาแคทลียา
บรรดาเจ้าหน้าดับเพลิงที่เห็นต่างรีบวิ่งเข้ามาดูอาการคนทั้งสามคนทันที
สองคนมารู้ตัวอีกครั้ง ก็พบว่าทั้งคู่มาอยู่ในภพอดีตกันอีกครั้ง เจรมัยจับตัวมัลลิกาออกห่างตวาดเสียงใส่อย่างไม่พอใจ
“ทำไมทำแบบนี้ ถ้าคุณกลับมาอดีตอีกแค่ครั้งเดียว คุณจะไม่ได้กลับไปอีกเลย”
“อะไรนะ”
“ก็ตอนที่คุณมาในอดีตครั้งก่อน คุณสูญเสียพลังชีวิตไปมาก และถ้าคุณกลับมาที่นี่อีก คุณจะกลับไปโลกปัจจุบันไม่ได้อีกหน่ะสิ”
มัลลิการับรู้ถึงอันตรายนี้ บวกรวมเข้ากับท่าทีขึงขังจริงจังของเจรมัย ทำให้เธออึ้งไปเลย
นึกถึงคำพูดของแม่หมอ ชาติภพอดีตของเจนจิราที่เคยเตือน
“ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อย่ากลับมาในอดีตบ่อย”
“เพราะอะไร”
“มันจะทำให้เธอไม่ได้กลับไปอีก”
มัลลิกาเชื่อแล้วว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเธอ
“และนี่แหละ ที่เป็นสาเหตุให้ผมต้องทำเป็นห่างคุณ ผมไม่อยากให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวอดีตอีก ผมไม่อยากเสียคุณไปนะมะลิ”
มัลลิกาคิดตามอย่างหวั่นกลัว แต่แล้วความอยากรู้ก็ชนะความกลัวอีกครั้ง “ถึงว่า ทุกคนพยายามจะบอกฉันไม่ให้ฉันกลับมาอดีตอีก แต่เราจะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้ฉันมาแล้ว ทางเดียวคือ ฉันจะต้องรู้เรื่องทั้งหมด จะต้องรีบรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสร้อยพีทำไมถึงต้องมาสิงอยู่ที่ตะลุงตัวนั้น เราต้องช่วยกันนะเจ”
เจรมัยไม่มีทางเลือก และเขาไม่สามารถทิ้งให้เธอทำอะไรโดยลำพัง
“ได้ เราจะช่วยกัน และผมก็จะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรเด็ดขาด เราจะต้องได้กลับไปพร้อมกันนะมะลิ”
“ค่ะ”
เจรมัยรั้งตัวเธอเข้ามากอดเต็มรัก ทั้งสองกอดกันกลม
มาลีแอบมาหลบมุมดูเที่ยงที่บ้านเช่า แต่จู่ๆ ฝนก็ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา มาลีหาที่หลบฝน เที่ยงกำลังซ่อมตะลุงตัวอยู่อย่างขะมักเขม้น จนจังหวะหนึ่งเขาเงยหน้าขึ้นมาปาดเหงื่อ ทำให้มองเห็นว่ามาลียืนหลบฝนอยู่ฝั่งตรงข้าม
เห็นมองมาแว่บเดียว ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ มาลียิ่งน้อยใจ คิดว่าเที่ยงทำตัวห่างเหิน ไม่สนใจตน บวกกับความเข้าใจผิดเมื่อวันก่อน ที่มณฑาพูดเรื่องสร้อยพีกับเที่ยงรักกัน และกำลังจะแต่งงานกัน
“จริงของคุณพ่อค่ะ แต่น่าเสียดายนะคะที่พอการแสดงครั้งนี้เสร็จ ชาวคณะตะลุงก็ต้องกลับไปที่บ้านเกิดของเค้า เห็นว่านายเที่ยงก็ต้องกลับไปแต่งงานกับสร้อยพีด้วยนี่จ๊ะ ใช่มั้ย นายเที่ยง สร้อยพี จะว่าไปก็ดูเหมาะสมกันดีนะ”
มาลีน้อยใจเหลือเกิน ตัดสินใจจะเดินตากฝนกลับไป แต่ทันใดนั้นก็มีร่มเก่าๆ มากางกันฝนไว้ มาลีตกใจหันมอง เป็นเที่ยงที่เป็นคนกางร่มให้ ทั้งสองคนมองหน้ากันท่ามกลางฝนโปรยสาย
“คุณหนูมาทำอะไรแถวนี้ขอรับ”
“ฉันอยากจะมาขอโทษ ในสิ่งที่ฉันทำให้เที่ยงเสียใจ”
“ถ้าเป็นเรื่องเงินค่ากล้องยา คุณมาลีอย่าได้เอาไปใส่ใจเลยขอรับ”
“แสดงว่าเที่ยงไม่ติดใจเรื่องนี้แล้ว”
“ขอรับ”
“ขอบใจนะ งั้นฉันก็ยินดีกับเที่ยงด้วยเรื่องเธอกับสร้อยพี”
“กระผมกับสร้อยพีไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากพี่น้องขอรับ สร้อยพีไม่ใช่คนที่กระผมรัก เพราะกระผมมีคนที่รักอยู่แล้ว”
มาลีหน้าเศร้า ฝืนยิ้มให้ “งั้นรึ งั้นฉันก็ยินดีด้วยนะเที่ยง เออ ฉันขอตัวก่อนละกัน เพราะตอนนี้ฉันก็สบายใจที่นายเที่ยงไม่ติดใจอะไรแล้ว”
เที่ยงเรียกไว้ “เดี๋ยวซิขอรับ คุณหนูไม่อยากรู้รึขอรับ ว่าคนที่กระผมรักเป็นใคร”
มาลีชะงัก “ใคร...ล่ะ”
“คนที่กระผมรักคือคนที่...อยู่ตรงหน้ากระผมนี่ยังไงขอรับ”
มาลี “นายเที่ยง ...
มาลียื่นนิ่ง เนื้อตัวชา ขณะที่เที่ยงเดินมาใกล้ๆ ก็ยื่นตัวตอกหนังให้ มาลีไม่เข้าใจแต่ก็ยอมรับไว้
“ตัวตอกอันนี้ ไม่มีราคาค่างวด แต่มันมีคุณค่าและสำคัญต่อกระผมมาก เพราะมันเป็นตัวตอกที่ แม่ของกระผมมอบให้พ่อไว้พกติดตัว ตัวตอกนี้เป็นเหมือนตัวแทนความรักที่พ่อกระผมรับรู้เสมอมา”
มาลีอึ้งหนัก
“ถ้าคุณมาลีคิด เช่นเดียวกับกระผม ก็รับความรู้สึกนี้ไว้ แต่ถ้าไม่ ก็แค่ส่งมันคืนให้กระผมขอรับ”
ในระหว่างที่มาลีกำลังทบทวนความรู้สึกตัวเองอยู่นั้น ห่างออกมาหน่อยเห็นสร้อยพีเดินเข้ามาพร้อมร่มกันฝนในมือ เธอได้ยินตั้งแต่เที่ยงเริ่มสารภาพรัก และเห็นมาลีรับตัวตอกไว้
“ฉันจะขอเก็บมันไว้ตลอดไป”
“ผมรักคุณมาลีนะขอรับ” เที่ยงบอกรักเสียงหวาน
สร้อยพีกำคันร่มแน่นแทบจะแหลกคามือ อีกทั้งเห็นตัวตอกอยู่ในมือของมาลี ทั้งเสียใจ แค้นใจ และเกลียดชังมาลีมากขึ้นทบทวี
ฝ่ายมาลีเขินเกินกว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปไหว
“ฝนซาแล้ว ฉันไปก่อนดีกว่า”
“ขอรับ”
มาลียิ้มให้เที่ยง แล้วก็วิ่งออกไป เที่ยงมองตามไปยิ้มเขินๆ ออกมา
มาลีเดินหลบฝนมาได้สักระยะหนึ่งก็ยิ้มเขินออกมา แล้วแบมือดูตัวตอกหนังที่เที่ยงให้ไว้ ยิ้มกว้างเต็มตื้น ในจังหวะนั้นเองสร้อยพีก็เดินออกมาขวางหน้าไว้ ยิ้มเยือกเย็นมาให้
“เดี๋ยวฉันกางร่มไปส่งที่เรือนใหญ่เองค่ะ”
มาลีประหลาดใจนิดๆ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปเองได้”
“ไปเถอะค่ะ ฝนจะลงอีกแล้ว”
มาลีจำใจไปกับสร้อยพี
เวลาผ่านไป มาลีเดินมาในร่มเดียวกับสร้อยพี ฝนยังพรำสายอยู่ มาลีรู้สึกแปลกๆ ที่สร้อยพีเอาแต่มองทางข้างหน้าอย่างเฉยชา เหมือนไม่สนใจคนที่เธอชวนมาเดินด้วยเลยแม้สักน้อย มาลีสลัดความคิด เลิกสนใจคิดว่าตนเองคิดมากไปเอง จู่ๆ สร้อยพีก็มีคำถามกับมาลี
“เมื่อตะกี้สร้อยพีเห็นคุณคุยกับพี่เที่ยง คุยเรื่องอะไรกันเหรอคะ พอจะบอกสร้อยพีได้มั้ย”
“ไม่มีอะไร ก็คุยกันเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“แน่ใจว่าไม่มีอะไรเหรอคะ”
สร้อยพีหยุดกึก พลอยทำให้มาลีหยุดด้วย
สร้อยพีค่อยๆ ขยับร่มเลื่อนออกให้ฝนโดนหัวมาลีอย่างจงใจ มาลีรับรู้แต่ไม่โกรธ สร้อยพีขยับไปยืนเผชิญหน้ากับมาลี
“ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ คุณนี่สมกับที่พี่ๆ คุณรังเกียจจริงๆ”
มาลีได้ยินก็ไม่สบอารมณ์ ที่ได้รู้พี่สาวของเธอมีส่วนในเรื่องนี้จริงๆ
“ฉันเป็นยังไง”
“ก็เป็นแบบที่เห็นเมื่อครู่นี่ไง มาหาผู้ชายถึงที่ นิสัยเหมือนแม่ของเธอไม่มีผิด”
“สร้อยพี”
มาลีโกรธจัด แต่สร้อยพีไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“เอามา เอาตัวตอกที่พี่เที่ยงให้ คืนมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”
มาลีกุมตัวตอกนั้นไว้แน่น ไม่มีทีท่าว่าจะส่งให้
“ไม่ ฉันสัญญากับนายเที่ยงจะเก็บมันไว้”
สร้อยพีเข้าคว้าหมายจะแย่งเอามาครอง แต่มาลีไม่ให้ สองคนยื้อยุดกันไปมา
“ของของฉัน เอาคืนมา เอามาเดี๋ยวนี้”
“อย่าทำแบบนี้สร้อยพี”
สร้อยพียังไม่ละความพยายามแย่งเต็มแรง สุดท้ายมาลีจึงตัดสินใจผลักสร้อยพีจนล้มลงกับพื้นแล้ววิ่งหนีไป สร้อยพีโกรธหนัก ลุกแล้วกระโจนตามไป มาลีวิ่งหนีไปจนมุมที่สุดทางเดิน
สร้อยพีโถมเข้าใส่ กุมมือมาลีเอาไว้เตรียมจะแกะเอาตัวตอก แต่ในจังหวะนั้น หางตาสร้อยพีก็เห็นว่าเที่ยงกำลังเดินมาทางนี้ จึงรีบเปลี่ยนท่าทีทันควัน อาการเหมือนคนป่วยไบโพลาร์ในยุคปัจจุบันไม่ผิดเพี้ยน
“คุณมาลี ที่ฉันทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ สร้อยพีไม่ได้ตั้งใจ คุณมาลี อย่าบอกใครนะคะ นะคะคุณหนู สร้อยพีขอร้อง นะคะ”
จากพูดจาข่มขู่แข็งกร้าวดุดัน กลายมาเป็นพูดวิงวอนเอาดื้อๆ จนมาลีเองก็ตกใจได้แต่มองงงๆ
“นี่เธอเป็นอะไรของเธอสร้อยพี”
“รับปากซิคะ คุณมาลี รับปากนะคะ”
“ฉัน...”
จังหวะนี้เอง ก็ได้ยินเสียงเรียกของเที่ยงดังขึ้น
“สร้อยพีๆ อยู่กับใครน่ะ”
“พี่เที่ยง ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่กับคุณมาลีจ้ะ”
เที่ยงวิ่งเข้ามายัง ไม่รู้ตัวว่าผู้หญิงจะฆ่ากันตายเพราะตัวเอง มองหน้าสร้อยพีที มาลีที
“ทำอะไรกันอยู่หรือ”
สร้อยพีเงียบ
“แล้วทำไมถึงเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปหมดล่ะขอรับ”
“สร้อยพีทำให้คุณมาลีหกล้มเองค่ะพี่”
“สร้อยพี ทำไมเธอทำแบบนั้นล่ะ คุณมาลีเจ็บตรงไหนมั้ยขอรับ”
“ไม่ ไม่ฉันไม่เจ็บ มัน...เป็นอุบัติเหตุน่ะ”
เที่ยงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ดูเหมือนมาลีเองจะพูดไม่จริง ส่วนสร้อยพีก็ดูมีบางอย่างปิดบังตน
“ฉันไปก่อนนะ บ้านฉันอยู่ตรงนี้แล้ว”
มาลีมองเที่ยงและสร้อยพี แล้วหันกลับเดินจากไป เที่ยงเป็นห่วงคิดว่ามาลีล้มจึงร้องบอกตามไป
“คุณมาลี อย่าลืมทายานะขอรับ”
เห็นเที่ยงเป็นห่วงมาลี สร้อยพีก็ยิ่งแค้นทบทวี
สร้อยพีเดินมาตามถนนในซอยเข้าบ้านพัก ไฟตามถนนทำให้เกิดเป็นเงาของสองคนทอดไปกับพื้นถนนตามจังหวะที่ก้าวเดินไป สร้อยพีนิ่งมาตลอดทางเมื่อรู้ชัดแล้วว่าเที่ยงมอบความรักให้กับมาลีจนหมดหัวใจ
“พี่เที่ยง”
เที่ยงเห็นเงาตัวเขากับเงาของสร้อยพี ทอดยาวไปเคียงกัน
“เห็นเงาพี่กับฉันมั้ย”
“อืม เห็น”
“เราเคยเคียงข้างกันแบบนี้ตลอด ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร พี่ดูไว้นะ เงาของฉันนี้จะตามติดพี่แบบนี้ตลอดไป พี่อย่าทิ้งฉันไปไหนนะ”
“พูดอะไร สร้อยพี เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด เป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน พี่ไม่ทิ้งสร้อยพีไปไหนหรอก ไปเถอะ รีบเข้ามาบ้าน เดี๋ยวเป็นหวัดพอดี”
เที่ยงโอบประคองสร้อยพีชวนให้เดินเร็วขึ้น ทั้งสองคนมุ่งหน้าเดินตรงไปยังเรือนแถวบ้านเช่าชาวตะลุง
สร้อยพีมองเที่ยงด้วยความรักล้นทรวงและแสนจะหวงแหน
สองคนย้อนกลับมาที่ห้องนอนของมาลี มัลลิกามองจ้องเธออยู่ไม่วางตา คิดหนักว่ารักสามเส้านี้มันจะเป็นยังไงต่อ ข้างๆ มีเจรมัยอยู่ด้วย
“มาลีถูกกดดันเหลือเกิน สร้อยพีก็ดูน่าสงสาร ยังไงบอกไม่ถูก”
มาลียืนเหม่ออยู่ข้างหน้าต่าง ทอดสายตาไปไกล ในมือก็ยังจับตัวตอกหนังตัวนั้นไว้อยู่
เจรมัยขยับเข้ามาใกล้ๆ มัลลิกา รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกลุ้มใจกับอดีตของตัวเอง เพราะไม่เห็นมีทางออกในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
“มาลีเธอรู้สึกยังไงอยู่นะ” มัลลิกาพึมพำ
กิ่งเดินเข้าประตูมาพอดี รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังเดินสวนกับใคร แต่ไม่เห็นตัว
“คุณมาลีคะ คุณโสภณให้ฉันเอาตัวอย่างน้ำมันก๊าดของสิงค์โปร์ มาให้ดูว่าถูกต้องมั้ย”
“ฝากวางไว้ตรงโต๊ะฉันแล้วกันนะ”
กิ่งออกไปแล้ว มาลีปรายตามองที่โต๊ะ เห็นกระป๋องน้ำมันก๊าดขนาดประมาณกำปั่นตั้งอยู่ พร้อมเอกสารกำกับจำนวนหนึ่ง
“ยิ่งฉันใกล้ชิดกับเที่ยงเท่าไหร่ สร้อยพี…ก็...”
มาลีเดินมาที่โต๊ะทำงาน ก้มมองกระป๋องน้ำมันก๊าด
“วิธีแก้เรื่องนี้ มันต้องมีทางอื่นอีก”
มาลีหยิบกระป๋องน้ำมันก๊าดขึ้นมาดู
เจรมัยมองหน้ามัลลิกาด้วยความสงสัย ว่าสิ่งที่มาลีพูดนั้นหมายถึงอะไร
“งั้นเราไปดูฝั่งสร้อยพีกันต่อมั้ย”
“ไปสิ”
เจรมัยเดินตามมัลลิกามาตามโถงทางเดินบนตึกใหญ่บ้านท่านคหบดี แต่แล้วจู่ๆ เจรมัยก็ได้ยินเสียงเรียกดังแว่วมา
“มะลิ เดี๋ยวคุณ”
“อะไรเหรอ”
เจรมัยกอดมัลลิกาอย่างปุบปับ มัลลิกามองสบตาเขางงๆ
“คุณทำอะไรของคุณ”
“ผมได้ยินแม่เรียกผม คุณได้ยินมั้ย”
“ไม่ ฉันไม่ได้ยิน”
เจรมัยตกใจ “มะลิ ไม่นะ ผมจะอยู่กับคุณ ผมจะกอดคุณไว้ ไม่ต้องกลัวนะ เราจะได้กลับไปพร้อมกัน”
เจรมัยได้ยินเสียงเรียกชัดเจนขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงของจรรยา
“เจๆ ตื่นซักทีซิลูก”ฃ
“มะลิ คุณต้องกลับไปกับผม มะลิ”
ฉับพลันทันใดนั้นเอง ร่างของเจรมัยก็เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ ในขณะที่กอดมัลลิกาอยู่ พริบตาเท่านั้นเองมัลลิกาก็พบว่าตัวเองอยู่เพียงลำพัง ไม่มีเจรมัยอยู่ตรงนั้นแล้ว มือที่กุมกันก็เหลือแต่มือของเธอเท่านั้น
มัลลิกายืนเคว้งคว้างอยู่ลำพังที่โถทางเดินบ้านคหบดีโสภณ
เจรมัยตื่นขึ้นมองไปรอบตัว จึงเห็นว่าอยู่เขาที่ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล
“เจ เป็นไงบ้างลูก”
เจรมัยดีดตัวลุกขึ้น มองหามัลลิกาไปทั่ว สีหน้าท่าทางตื่นตกใจมาก จนทำเอาจรรยาพลอยตกใจไปด้วย
“มะลิล่ะแม่”
“หนูมะลิยังไม่ได้สติเหมือนกัน พักอยู่เตียงข้างๆ นี่แหละ”
เจรมัยรีบลงจากเตียง รีบเปิดผ้ากั้นออก ไปดูมัลลิกาที่เตียงข้างๆ
“มะลิ ตื่นซิ ผมเรียกคุณได้ยินมั้ย มะลิ”
เจรมัยหนักใจ ที่ไม่มีวี่แววว่ามะลิจะฟื้นขึ้นมาได้
นักข่าว1 ยืนรายงานต่อหน้ากล้อง โดยยังมีกลุ่มนักข่าวหลายสำนักพากันนั่งรอการปรากฏตัวของใครบางคนอยู่ที่โถงหน้าห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล
“วันนี้ก็เข้าวันที่สองแล้วนะคะ ที่คุณแคทลียา ยังพักฟื้นอยู่ที่ห้องพักหลังประสบเหตุติดอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้พร้อมกับคุณเจรมัยและคุณมัลลิกา เอ๊ะ นั่นคุณเจรมัยนี่”
นักข่าว1 หันไปเห็นเจรมัยกำลังเดินตรงเข้ามา ก็หันไปให้ความสนใจเจรมัยทันที รวมทั้งกลุ่มนักข่าวที่อยู่ด้านหลังด้วย
“คุณเจๆ ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะว่า พวกคุณไปทำอะไรใน บ้านที่ไฟไหม้กันคะ” นักข่าว1 ยิงคำถาม
นักข่าว2 ยิงคำถามต่อ “ที่เค้าว่ากันว่า พวกคุณเข้าไปเคลียร์รักสามเส้า แล้วเกิดการไม่ลงตัว จึงทำให้ต้องจุดไฟเผากัน จริงหรือเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละครับ ผมขอโทษ ผมขอเข้าไปหาคุณแคทก่อนนะครับ”
เจรมัยตัดบทแล้ว ฝ่าวงล้อมนักข่าวเข้าไปในประตูห้องพักของแคทลียา
เจรมัยเปิดประตูหนีนักข่าวเข้ามาในห้องพักฟื้นวีไอพีของแคทลียา มีภวัตที่มาเฝ้านั่งอยู่ไม่ห่าง แคทลียาอยู่ในสภาพอิดโรย ภวัติยิ้มทักด้วยสีหน้าดีใจ
“คุณเจรมัย คุณฟื้นแล้ว”
“ครับ คุณภวัต แคทเป็นยังไงบ้างครับ”
“พี่เจ...”
แคทลียายิ้มทักเนือยๆ เจรมัยเข้ามาดูข้างเตียง
“เป็นยังไงบ้างแคท”
“ก็แย่หน่อยค่ะ แต่หมอว่าไม่น่าเป็นอะไร แคทก็แค่ห่วงหน้าสวยๆของแคทจะมีรอยมีแผล ยังโชคดีนะที่ไม่เป็นไร”
เจรมัยยิ้มให้อย่างโล่งใจ “หมดห่วงไปหนึ่ง เป็นห่วงก็มะลินี่แหละ”
“มะลิเป็นยังไงบ้างครับ ทำไมยังไม่ฟื้นอีก นี่หลับมาสองวันเต็มๆ แล้วนะครับ”
“ครับ ผมก็อยากให้มะลิฟื้นพร้อมผม แต่...”
“เจ คุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
“คือเรื่องทั้งหมดค่อยข้างที่จะอธิบายยากอยู่เหมือนกัน คือ...” เจรมัยอึดอัด เพราะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อทั้งสิ้น
“เล่าเถอะค่ะพี่เจ แคทเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับแคท เพราะที่แคทจำความได้ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่พี่ภาคเสีย แล้วหลังจากนั้นแคทก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย”
“นั่นสิ เรื่องที่แคทจำไม่ได้นี่ก็น่าแปลกอยู่ เล่ามาเถอะครับ” ภวัตคะยั้นคะยออีกแรง
เจรมัยตัดสินใจเล่าให้ฟัง “คือ แคทถูกผีเข้า ผีสร้อยพีใช้ร่างคุณ ตั้งแต่วันที่พี่ภาคตาย”
แคทลียาร้องกรี๊ด ท่าทีสยอดสยอง “อ๊าย แล้วทำไมต้อง…เป็นแคท แล้วผีสร้อยพีเป็นผีมาจากไหนคะ น่ากลัวอ่ะ”
เจรมัยส่ายหน้า ไม่มีคำตอบให้ ภวัตกับแคทลียามองหน้ากันใจคอไม่ดีทั้งคู่
“งั้นแสดงว่าที่คุณกับมะลิ หมดสตินานๆ ก็มาจากผีสร้อยผีด้วยเหรอครับ” ภวัตถาม
“คือทุกครั้งที่ผมสองคนหมดสติ ผมกับมะลิ เราสามารถกลับไปเห็นอดีตชาติได้”
ทั้งภวัตและแคทลียาต่างงงๆ ปนตกใจ กับคำพูดของเจรมัย
“อดีตชาติ แล้ว...” แคทลียาใจหายใจคว่ำ
“คือผมสองคนกับผีสร้อยพี มีความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต และการที่พวกเราเห็นอดีตมากเท่าไหร่ พวกเราก็เข้าใกล้ความจริงว่าอะไรคือสาเหตุให้วิญญาณสร้อยพีอาฆาตแค้นเราสองคน”
ภวัตประหลาดใจ “ผมไม่เข้าใจ แล้วทำไมคุณกับมะลิกลับไปอดีตแล้วคุณฟื้นมาได้คนเดียว ทำไมมะลิถึงไม่ฟื้นมาด้วยล่ะครับ”
“ที่มะลิยังติดอยู่ในอดีต เพราะพลังชีวิตไม่พอที่จะกลับมา”
ภวัตงงใหญ่ “แล้วทำไมพลังไม่พอครับ”
“ทุกครั้งที่มะลิกลับไปอดีต มะลิพยายามที่จะกลับไปแก้ไขอดีตมากจนเกินไป ทำให้พลังชีวิตในปัจจุบันใกล้หมดครับ”
ภวัตใจหาย “นั่นก็หมายถึง มะลิอาจตายได้เหรอครับ”
“ครับ”
แคทลียาร้องขึ้นมาอีก “โอ๊ย แค่ฟังก็ขนลุกแล้วเนี่ย มะลิยังติดอยู่ในอดีต และมะลิที่นอนอยู่ก็ยังไม่ฟื้นอาจตายได้อีก โอ๊ย อะไรกันเนี่ย”
คำตอบของเจ ทำเอาทั้งภวัตและแคทกลัว
“น่าเป็นห่วงมะลิจริงๆ มีอะไรให้ผมช่วยได้ก็บอกมานะคุณเจ ผมว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่”
“ครับ”
มัลลิกายังติดอยู่ในอดีตที่ย่านชุมชน และยังทำใจไม่ได้ว่าตัวเองจะถูกนับเป็นคนตายไป
“ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อย่ากลับมาในอดีตบ่อย”
“เพราะอะไร”
“มันจะทำให้เธอไม่ได้กลับไปอีก…”
มัลลิกาคิดถึงแม่หมอขึ้นมา
“หมอดูพี่เจน เราต้องไปหาหมอพี่เจน”
มัลลิกาเริ่มมีความหวัง มองซ้ายมองขวา จนเห็นด้านหลังผู้หญิงคนหนึ่งเดินอยู่ระยะไกล หรือคนนั้นจะเป็นแม่หมอ มัลลิการีบเดินตามไป
“หมอพี่เจนๆ”
ผู้หญิงคนนั้นไม่หันกลับ ในขณะที่จวนจะถึงตัวแม่หมอ ก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาตัดหน้า ทำให้มัลลิกาต้องชะงักหยุดดู
“แม่หมอๆ”
พอคนที่ถูกเรียกหันกลับมา พบว่าไม่ใช่แม่หมอดูคนดัง
“อ้าว ไม่ใช่แม่หมอนี่”
“ไม่ใช่จ้ะ”
ชาวบ้านคนนั้นพยักหน้า “ก็ว่า เห็นว่าหมอดูกลับไปนครฯ ไปตั้งแต่เมื่อวาน จะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”
มัลลิกากังวลหนัก เมื่อรู้ว่าคนเดียวที่เป็นความหวังของเธอไม่มีอีกแล้ว
“ไม่อยู่แล้ว แล้วฉันจะทำยังไงดี”
ตลาดท่ามกลางผู้คนมากมายขวักไขว่ เที่ยงถือตลับยาไว้ในมือเตรียมไว้สำหรับมาทาแผลให้คุณหนูมาลี แต่โดนชนจนของนั้นหลุดมือไป
เที่ยงก้มหาของอยู่กลางแดดเปรี้ยง สักพักก็มีเงาร่มมาบังให้ เที่ยงเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของร่มก็เห็นเป็นมารศรียิ้มหวานมองมา
“คุณมารศรี”
เที่ยงลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังหาของไม่เจอ
“นายเที่ยงมาทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ”
“เอ่อ พอดีของผมหล่นน่ะครับ”
“อ๋อ เจอนายเที่ยงก็ดีแล้ว นี่นายเที่ยงว่างอยู่มั้ยจ๊ะ”
“เอ่อ คุณมารศรีมีอะไรหรือขอรับ”
“คืองี้ ชั้นมีธุระต้องไปเอาของให้คุณพ่อน่ะ แล้วพวกบ่าวที่บ้านไม่มีคนว่างไปกับชั้นเลย ชั้นหาคนไปเป็นเพื่อนอยู่พอดี นายเที่ยงว่างมั้ยไปเป็นเพื่อนชั้นหน่อยสิ”
“เอ่อ คือผมรอ...” เที่ยงอึกอักอ้ำอึ้ง
มารศรีออดอ้อนหว่านเสน่ห์ “นะนายเที่ยงนะ เอางี้เดี๋ยวไปเป็นเพื่อนชั้นเสร็จ ชั้นจะพานายเที่ยงไปเลี้ยงข้าวขอบคุณด้วย ดีมั้ย”
“เอ่อ คุณมารศรีขอรับ คือ...”
“ทำไม หรือว่านายเที่ยงรังเกียจที่จะไปกับชั้นเหรอ”
“เปล่าขอรับ แต่ว่า...” เที่ยงตัดสินใจบอกไป “ผมมารอพบคุณมาลีน่ะขอรับ”
มารศรีหน้าตึงอารมณ์เปลี่ยนทันทีเมื่อได้ยินชื่อมาลีจากปากเที่ยง
“มีอะไร ทำไมต้องมารอพบมาลีด้วย”
“เอ่อ คือว่าวันนั้น...”
เที่ยงยังพูดไปทันขาดคำ มาลีก็เดินมาพอดี เขาเดินตรงไปหา
“คุณมาลี แผลเป็นยังไงบ้างขอรับ”
“ชั้นไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย นายเที่ยงก็ทำเป็นว่าแผลใหญ่โตไปได้”
“แผลอะไรเหรอ” มารศรีตามมาถามอย่างสนใจ
“พี่มารศรี”
มารศรีจ้องจับผิด “ทำไมเห็นชั้นทำไมต้องตกใจ”
“เปล่าๆ ค่ะ คือ...”
เที่ยงตอบแทนว่า “คือ วันนั้นฝนตก แล้วคุณมาลีหกล้มน่ะครับ”
“แล้วทำไมถึงอยู่ด้วยกันวันฝนตก ว่าไงมาลี ตอบชั้นมาสิ”
มาลีอึดอัดไม่รู้จะตอบพี่สาวว่ายังไง
“คือว่าวันนั้นฝนตก บังเอิญผมเดินผ่านเห็นคุณมาลีลื่นล้มพอดีครับ”
มารศรียิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ
“คุณมาลีขอรับ ผมขอดูแผลหน่อยได้มั้ยขอรับ”
“ไม่เป็นไรมั้ง แผลนิดเดียวเอง”
“นะขอรับ ถ้าไม่เห็นกับตา ผมคงไม่หายเป็นห่วง”
มาลีทนการรบเร้าของเที่ยงไม่ไหว เลยเลยถลกแขนเสื้อให้ดูตรงข้อศอก
“แผลใหญ่ขนาดนี้ คุณมาลีบอกว่าไม่เป็นไรได้ยังไงครับ แล้วนี่ใส่ยาหรือยังขอรับ”
มารศรียื่นหน้าเข้ามาดูด้วย
“แผลแค่นี้เนี่ยนะ ทำเป็นใจเสาะ”
เที่ยงไม่สนใจที่มารศรีพูดเลย
“เมื่อกี้ผมเตรียมยาตำรับของที่บ้านผมไว้ให้ แต่มีคนชนหล่นไปซะก่อน ผมว่าคุณมาลีไปที่บ้านของผมก่อนนะขอรับ เดี๋ยวผมจะเอายาที่บ้านทาให้”
“แต่…”
“ไปเถอะนะขอรับ”
พูดเสร็จเที่ยงก็พามาลีเดินออกไป
ทิ้งให้มารศรียืนคุมแค้นมองตามด้วยความโมโห ที่เที่ยงไม่สนใจตัวเองเลยสักนิดเดียว
ขณะที่กิ่งเดินลงบันไดบ้านมานั้น จู่ๆ ก็มีเสียงของแตกหักดังขึ้น กิ่งสะดุ้งสุดตัวหันขวับไปทางเสียง และเห็นมณฑายืนอยู่ตรงโถงทางเดินด้วยสีหน้าตกใจเช่นกัน มณฑาสบตากิ่งแว่บเดียว แล้วมองไปยังต้นทางของเสียง จนแน่ใจว่ามันดังออกมาจากห้องมารศรี
“เธอไปทำงานเธอเถอะ ฉันไปดูเอง”
เมื่อมณฑาเปิดประตูห้องเข้ามา ก็เห็นมารศรียืนกรี๊ดๆ อยู่ ด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เต็มที่ ท่ามกลางข้าวของแตกกระจายเกลื่อนห้อง
“พี่มณฑา น้องไม่อยากจะนับญาติกับอีมาลีมันอีกแล้ว”
มณฑามองฉงน “เป็นอะไร ผีเข้าหรือไง”
“ก็อีมาลี มันทำน้องขัดใจ”
“ขัดใจเรื่องอะไร”
“ก็เรื่อง นายเที่ยงน่ะซิ”
มณฑามองประเมิน แทบไม่อยากเชื่อ “มารศรี นี่อยากบอกนะว่า...”
มารศรีสารภาพตรงๆ “ใช่ค่ะ น้องชอบนายเที่ยง”
“แก”
มณฑาโกรธจัดตบหน้ามารศรีไปหนึ่งฉาดใหญ่ จนอีกฝ่ายหน้าหัน
“ใฝ่ต่ำ”
“พี่มณฑา จะดุจะด่าน้องยังไงก็เชิญ แต่น้องจะบอกว่าตอนนี้ น้องไม่คิดกับมันแบบเดิมอีกแล้ว ในเมื่อมันสนใจอีมาลีนัก น้องก็จะกำจัดพวกมันทั้งสองคนไปเลย พี่มณฑา มาช่วยน้องด้วยเถอะค่ะ”
“แกแน่ใจนะ ว่าจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องนายเที่ยงนั่น”
“แน่ใจค่ะ”
“ดี เป็นแบบนี้ก็ดี งั้นฉันถือว่าเรื่องใฝ่ต่ำของแก ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกัน”
“ค่ะพี่”
“เราจะหาทางเล่นงานพวกมันด้วยกัน”
ทั้งสองสาว แววตาแข็งกร้าว
เที่ยงพามาลีมานั่งลงที่โต๊ะมุมหนึ่งของเรือนแถว บรรจงทายาตำรับโบราณของเขาให้ที่แขน แล้วค่อยๆ เป่าให้ มาลีมองซึ้ง เที่ยงเงยหน้ามามอง ทั้งสองมองสบตากันลึกซึ้งมีความหมาย ต่างคนต่างรู้ซึ้งถึงความรักที่มีให้กัน ใบหน้าทั้งคู่โน้มเข้าหากันจนชิดใกล้ มาลีรู้สึกตัว จึงถอนตัวออกมาในท่าทีเขินอาย เที่ยงก็เช่นกัน มาลีพูดเล่นแก้เขินออกมา
“มือหนักจริงๆ นะ”
“อุ๊ย คุณมาลีเจ็บรึขอรับ”
มาลีหัวเราะขัน “ฉันพูดเล่นน่ะ ขอบใจนะ”
“ผมไม่อยากเห็นคุณมาลีเจ็บนะขอรับ คุณมาลีต้องระวังตัวดีๆ ระมัดระวังตัวอย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีกนะขอรับ”
มาลียิ้มรับเอาคำ ด้วยความซาบซึ้ง พลางเหลียวมองไปรอบๆ บ้าน
“แล้วนี่คนในคณะหายไปไหนกันหมดรึ”
“คงออกไปหาอะไรกินกัน ปล่อยกระผมท้องว่างอยู่คนเดียว”
มาลีนึกบางอย่างได้
“เอาแบบนี้ เพื่อเป็นการตอบแทน ฉันจะทำกับข้าวให้นายกินเอง”
“โอ๊ย อย่าเลยขอรับ เดี๋ยวเรือนใหญ่รู้เข้าเอาเรื่องผมตายเลย”
“ก็ไม่มีใครรู้นี่ ถ้าเราไม่บอก จริงมั้ย”
มาลียิ้มให้เที่ยงก็ยิ้มตอบเช่นกัน
มาลีกับเที่ยงช่วยกันทำอาหาร สองคนหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนาน และมีความสุข ความสัมพันธ์งอกงาม และเป็นไปในทางที่ดีมากๆ
เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง เที่ยงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวตรงโต๊ะกินข้าว สร้อยพีเดินเข้ามาหา
“พี่เที่ยง ทำอะไรรึจ้ะ วันนี้อารมณ์ดีมาจากไหน ยิ้มไม่หุบเลย”
สร้อยพีมองกับข้างตรงหน้า พบว่าตักกินไปแล้ว
“โห กับข้าวน่ากินจัง พี่เที่ยงทำเองรึ ไม่ชวนฉันเลยนะ อะไรกันนี่เกือบหมดแล้วเหรอเนี่ย ขอฉันชิมรสชาติหน่อยนะพี่”
สร้อยพีตักใส่จาน
“อร่อยมั้ย”
สร้อยพียิ้มกระหยิ่ม “หืม อร่อยมากจ้ะพี่ ฝีมือพี่สุดยอดเลย”
“พี่กับคุณหนูมาลีช่วยกันทำน่ะ”
สร้อยพีได้ยินก็วางช้อนกับโต๊ะดังเคล้ง
“พี่ทำกับคุณหนูนั่นตอนไหน”
“ก็ทำที่นี่แหละ ก็พวกสร้อยพีไม่อยู่นี่ พอดีพี่พาคุณหนูมาลีมาทายาที่บ้านเรา แล้วเราก็เลยช่วยกันทำกับข้าวกินกัน”
สร้อยพีปัดจานข้าวทิ้งทันที
“อีคุณหนูนี่มันก็ร่านนักนะ มาหาพี่ถึงนี่อีกแล้วเหรอ คงอยากได้พี่จนตัวสั่นสินะ แล้วเมื่อไหร่พี่เที่ยงจะสนองให้มันซะทีล่ะ”
เที่ยงโกรธ “สร้อยพี ทำไมพูดจาก้าวร้าวแบบนี้อีกแล้ว”
“รึไม่จริง ฉันจะพูดดีกับคนที่ฉันคิดว่ามันดี แต่กับมันฉันจะพูดแบบนี้ เพราะฉันเกลียดอีนังคุณหนูนี่มาก พี่รู้ไว้เลย”
สร้อยพีวิ่งปึงปังออกไปเลย เที่ยงระอาเหลือ กลุ้มใจหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
สร้อยพีวิ่งร้องไห้ออกมาหน้าบ้าน หยิบข้าวของใกล้มือปากระจาย ระบายอารมณ์เคียดแค้น
“เกลียดๆๆๆๆ อีมาลี มึงต้องการหยามใจกูใช่มั้ย มึงถึงมาถึงที่นี่ อีมาลี”
สร้อยพีเกลียดแค้นชิงชังมาลีสุดจะประมาณ
ในห้องพักฟื้น เจรมัยนั่งกุมมือมัลลิกาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ห่างออกมามีจรรยานั่งอยู่ ได้ฟังเรื่องทั้งหมด
“ลูกกับหนูมะลิ ย้อนเวลากลับไปสมัยก่อน และได้พบกับคุณทวดของเราจริงๆ เหรอ”
เจรมัยพยักหน้ารับเอาคำ จรรยาชั่งใจ ว่าควรเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาตินี้หรือไม่
“มีวิธีไป แต่ไม่มีวิธีกลับ โถ แล้วลูกจะทำยังไงต่อไปเจ เราต้องหาทางแก้นะ ปล่อยไว้แบบนี้ลูกกับหนูมะลิต้องแย่แน่ๆ นี่เราต้องตกในคำสาปพวกนี้อีกนานแค่ไหนเนี่ย”
จรรยาเครียดจัด เจรมัยคิดตามที่แม่พูด แล้วนึกขึ้นได้
“เพื่อนพี่ภาคครับ พีท เขาอาจช่วยเราได้ ผมออกไปก่อนนะแม่ ฝากดูมะลิด้วยนะครับ”
เจรมัยไม่ตอบรีบวิ่งออกไป จรรยาหนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหลือเกิน
“ทำไมๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ คุณพระคุณเจ้าโปรดช่วยคุ้มครองพวกเราด้วยเถิด”
ไม่นานต่อมา เจรมัยพาตัวเองเดินเข้าไปในโถงบ้านหมอพีท สภาพดูเหมือนเป็นโกดังเก็บวัตถุโบราณมากกว่า เจรมัยเดินเข้ามาก็รู้สึกวังเวง และแล้วก็เจอหมอพีทยืนจุดกำยานอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง
“คุณพีท”
หมอพีทหันมาหาเจรมัย “มาหาผมจนได้นะคุณเจ”
“ช่วยผมด้วยครับ ตอนนี้มะลิยังติดอยู่ในอดีต ยังไม่ได้สติเลย คุณมีวิธีจะแก้ปัญหาเรื่องนี้มั้ย”
“เรื่องที่จะพาคุณมะลิให้ฟื้นจากอดีตน่ะเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่มั้ย แต่พวกคุณไม่เชื่อผม”
“ผมห้ามเธอแล้ว แต่เธอไม่ฟังเลย”
“แล้วเป็นไง ผมบอกเลยว่าแฟนคุณจะไม่มีวันฟื้นกลับมาอีก อีกไม่นานจิตแฟนคุณก็จะหลงอยู่ในมิติที่หลงทาง ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต อย่าดิ้นรนให้เสียแรงเปล่าๆ เลย คุณเจ”
เจรมัยอึ้งหนักกับเรื่องที่ได้ยินว่าหมดทางช่วยเหลือคนรัก
อ่านต่อ ตอนที่ 20
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่19 #thaich8 #ละครออนไลน์