เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 18
บทประพันธ์ พลอยฝน
บทโทรทัศน์ Once House
แคทลียานั่งนิ่งอยู่ที่โซฟามุมห้องนานสองนาน กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง และเป็นสายจากภวัตดังเคย สุดท้ายแคทลียาตัดสินใจรับ
“แคทคุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่รับสายผม แคท แคท นี่ผมภวัตนะได้ยินผมมั้ยครับ”
“ภวัต”
“แล้วคุณเป็นไรหรือเปล่า"
แคทลียาถามคำตอบคำ “ไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว นี่ผมจะโทร.มาเล่าเรื่องเจกับมะลิ ที่ตอนนี้เค้าห่างๆ กัน ไม่รู้ทำไม...แคท...แคท...”
สร้อยพีในคราบแคทลียารำคาญ วางสายไปดื้อๆ นั่งจมอยู่ในความมืดความเงียบเพียงลาพัง
แคทลียาตัดสินใจมาหาเจรมัยที่บ้าน แต่ไม่เจอใคร นอกจากจินดาจึงถามขึ้น
“เจ อยู่มั้ย”
จินดาไม่ชอบหน้ามัลลิกาอยู่แล้ว "นี่ถามฉันเหรอ คือฉันไม่รู้หรอกนะว่า...”
แคทลียาเดินเข้ามาใกล้ๆ จับข้อมือจินดาไว้ คาดคั้นถาม
“ฉันถามว่าเจอยู่มั้ย”
จินดาฉุน แปลกใจในท่าทีของแคทลียา แต่แล้วถึงกับต้องผวาตัวร้องกรี๊ด เพราะภาพแคทลียาที่เห็นกลับเป็นสร้อยพี
“น้าจินดา"
จินดามองชัดๆ อีกที เห็นเป็นแคทลียาเรียกอยู่
“เจอยู่มั้ย”
เจ...เห็นว่าจะไปทำงานเพลงใหม่จ้ะ”
จินดาเสียงสั่นด้วยความกลัว แคทลียาขึงตามองจ้องตาแทบถลน
“แล้วมะลิล่ะ”
“หนูมะลิพักอยู่ข้างบนนะจ้ะ น้าขอตัวก่อนนะ”
จินดารับรู้ถึงความไม่ปลอดภัย รีบเดินหนีไปเร็วรี่
ทิ้งให้สร้อยพีในคราบแคทลียายืนคุมแค้น โกรธจัดที่รู้ว่ามัลลิกามาพักฟื้นอยู่ที่นี่
“นังมาลี"
แคทลียาค่อยๆเดินเข้ำมาหาห้องที่มะลิอยู่ ค่อยๆเปิดประตู เห็นมะลิหลับ แคทเดินเข้ำไปมอง
แคทลียา แกไม่มีทำงได้สมหวังหรอกอีมาลี
แคทล้วงกระเป๋ำ หยิบมีดที่พกมาขึ้น
แคทลียา ตำยซะเถอะ
ทันใดนั้นมีเสียงจำกด้ำนนอกดังขึ้น
จินดำ รีบไปดูกันเถอะ ไม่รู้ป่ำนนี้ออกไปรึยัง
“หนูแคทเนี่ยนะ หน้ายังกับผี”
“ฉันตาไม่ฝาดแน่ๆ ดูหนูมะลิซิ ยังอยู่ในห้องรึเปล่า”
ทั้งสองเปิดประตูเข้ามา แต่ไม่เห็นใครนอกจากมัลลิกานอนอยู่ลำพัง
แคทลียาหลบออกไปแล้วหยุดมองเข้ามาในห้องอย่างโกรธแค้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินหุนหันออกไป
เจรมัยนั่งพักอยู่ในห้องอัดเสียง มีน้องพนักงานห้องอัดที่คุ้นเคยกัน เดินเข้ามาชวนไปกินข้าว
“พี่เจเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวผมซื้อมาฝาก”
“ไม่ละ ขอบใจนะ”
“จะอยู่ที่นี่ยาว จริงๆ เหรอพี่”
“ก็คิดว่าจะอยู่ไปเรื่อยๆ ไปก่อน จนกว่า…"
“จนกว่าอะไรเหรอคะ”
เจรมัยเงยหน้ามาตามเสียงพูดนั้น เขาต้องประหลาดใจที่ได้เห็นเป็นแคทลียา
“แคท คุณมาที่นี่ได้ยังไง” แคทลียายิ้มน้อยๆ “แคทมีธุระอะไรกับพี่เหรอ”
“แคทต้องมีธุระใช่มั้ย ถึงจะมาหาพี่ได้”
“อ๋อ ก็ ถ้าไม่สำคัญ ก็ไม่น่าจะต้องมาที่นี่นี่นา”
“สำคัญสิ ที่แคทมาที่นี่ เพราะแคทมีเรื่องสำคัญจะมาบอก”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่อง ตะลุงตัวนั้น”
เจรมัยอึ้งไป
“ตั้งแต่ตะลุงตัวนั้นหายไป ก็เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นไม่หยุดกับพี่ใช่มั้ย”
“แคทรู้ได้ยังไงเนี่ย”
“เอาเป็นว่าแคทช่วยพี่ได้ แคทรู้ว่าจะไปหาตะลุงนั่นได้ที่ไหน”
ทางด้านลุงพัฒน์พยายามนั่งหลับตา ส่งจิตไปยังตะลุง แต่กลับไม่เหมือนทุกครั้ง ลุงพัฒน์รับรู้ได้ว่าสร้อยพีหายไป
“สร้อยพี หนูหายไปไหนนะ เกิดอะไรขึ้นกับหนูรึเปล่า ทำไมหายไป”
ลุงพัฒน์หลับตาลงอีก พยายามสื่อสารกับตัวตะลุงอย่างแน่วนิ่ง แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบงัน จนเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น
ลุงพัฒน์มาเปิดประตูก็เห็นว่ามีแคทยืนอยู่ตรงนั้น และ มีเจรมัยอยู่ข้ำงๆ
“ลุงพัฒน์ ผมเอง ผมเจรมัย กับ แคท”
“ครับๆ คุณสองคนมีธุระอะไรรึเปล่าครับ”
“ขอผมเข้ำไปคุยข้ำงในหน่อยนะครับ”
“เราสองคนมีเรื่องสำคัญจะถามลุงพัฒน์ค่ะ”
ขณะจะเดินเข้าไป ก็มีรถแท็กซี่เข้ามาจอด เห็นจรรยากับจิตราลงรถเดินเข้ามาสมทบที่หน้าบ้าน
“อ้าว เจ มาที่นี่เหมือนกันเหรอ” จรรยาทักถาม
“แม่ กับป้าจิตรามาที่นี่กันได้ยังไงล่ะครับ”
“หลานเจนช่วยหาที่อยู่ลุงพัฒน์ส่งมาให้ ป้าก็เลยรีบมา”
แคทลียาไม่พอใจ ที่เห็นคนมาวุ่นวายที่นี่เยอะแยะ
ลุงพัฒน์ได้ยินเสียงคนคุยกันมากกว่าเจรมัยแคทลียา จึงตกใจหาทางจะซ่อนตัวตะลุง
“พวกคุณๆ มีอะไรกับผมเหรอครับ”
จิตราเอ่ยขึ้นทันที “ชั้นขอ เข้าเรื่องเลยละกันนะ ชั้นมาที่นี่เพราะชั้นสงสัยว่าตัวตะลุงที่บ้านชั้นที่หายไปอยู่กับลุง”
ลุงพัฒน์ทำไฉ “ตัวตะลุงอะไรกันครับ ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“วันที่ลุงไปที่บ้านของชั้น หลังจากนั้นตัวตะลุงก็หายไป” จิตราบอก
“อ๋อ เหรอครับ แล้วพวกคุณคิดว่าผมเป็นคนเอาไปเหรอ”
“ใช่ เพราะมันไม่มีใครน่าสงสัย นอกจากลุง” จรรยาคุยด้วยดีๆ “ถือว่าชั้นขอล่ะนะ ชั้นอยากได้ตัวตะลุงตัวนั้นกลับไป บางทีเรื่องทุกอย่างอาจจะจบลงก็ได้
ลุงพัฒน์ปฏิเสธลูกเดียว “แต่ผมไม่รู้จริงๆ นะครับว่าตะลุงที่พวกคุณพูดถึงนั่นมันอยู่ที่ไหน”
เจรมัยขอร้อง “ลุงพัฒน์ ลุงพัฒน์แน่ใจเหรอครับ ลุงอย่าปิดบังพวกเราเลยนะครับ ผมขอร้อง”
ลุงพัฒน์เริ่มนิ่งไม่พูดไม่พาใดๆ ทุกคนลุ้น จนแคทลียาต้องพูดขึ้น
“ให้พวกเขาดูเถอะค่ะลุง”
ลุงพัฒน์ตกใจ “หนูแคท”
แคทลียาจ้องหน้าลุงพัฒน์เชิงบอกให้เชื่อใจ ปล่อยให้ค้น ลุงพัฒน์รับรู้ อ้ำอึั้งๆ พูดบอกแคทลียาในใจ
“หนูแคท ช่วยลุงนะ อย่าเอาตะลุงไปเลยนะ ลุงขอร้อง”
สร้อยพีในคราบแคทลียารับรู้ได้ว่าลุงพัฒน์อยากได้ตะลุงไว้จริงๆ
ในขณะที่ทุกคนกำลังจะกระจายตัวหาตะลุง แคทลียามองเห็นแจกันใบหนึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ฉับพลันทันใดนั้นแคทลียาก็เอามือฟาดเข้ากับแจกันเต็มแรง
“โอ๊ย”
เสียงแจกันแตกและเสียงร้องอันเจ็บปวด เรียกให้ทุกคนหันมามอง เห็นแคทลียามีเลือดออกเต็มมือ ก็ตกใจ
เจรมัยเข้ามาดูอาการ “แคทเป็นอะไรน่ะ”
“แจกัน มันจะหล่น แคทเลยไปจับไว้แต่มันก็แตก” แคทลียาตอแหล
“รีบพาหนูแคทไปโรงพยาบาลเถอะ เลือดออกซะเยอะเชียวเดี๋ยวแผลจะกว้าง” จรรยาบอกลูกชาย
เจรมัยประคองแคทลียาออกไป จรรยากะจิตราตามไปติดๆ ลุงพัฒน์มองตามแคทลียาอย่างซาบซึ้งใจ
“หนูแคท”
สองคนนั่งรอคิวอยู่หน้าห้องตรวจรักษาในโรงพยาบาล เจรมัยเอามือข้างที่บาดเจ็บมาดูอย่างใส่ใจ แคทลียาดีใจที่เจรมัยคอยดูแลอย่างดี
“ขอบคุณนะพี่”
“ไม่ต้องขอบใจอะไรหรอก ยังไงผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
เจรมัยมองด้วยความเป็นห่วง สร้อยพีในคราบแคทลียายิ้มชื่นดีใจ หวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติ
ที่เรือนแถวบ้านเช่าชาวตะลุง จู่ๆ สร้อยพีที่นั่งซ่อมตัวตะลุงอยู่ใกล้ๆ เที่ยง ก็ร้องขึ้น
“โอ๊ย”
เที่ยงวางงานหันมาดู “สร้อยพี เป็นอะไรน่ะ”
“ตัวตอกมันตอกโดนนิ้วน่ะพี่”
เที่ยงรีบไปเอาผ้าสะอาดมาซับเช็ดเลือด แล้วทำแผลให้
“ทำอะไรต้องระวังๆ หน่อยนะสร้อยพี หนังมันเหี่ยวต้องค่อยๆ ทำ แล้วนี่เจ็บมากมั้ย”
“ไม่เท่าไหร่หรอกจ่ะ มีพี่เที่ยงดูแลชั้นแบบนี้ชั้นไม่เป็นไรหรอก”
สร้อยพีมองเที่ยงที่ทำแผลให้ไม่วางตา ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข
“พี่เที่ยง ชั้นขอถามอะไรพี่สักอย่างสิ”
“เรื่องอะไรรึ” เที่ยงถามโดยไม่ได้มอง
“ชั้นชอบที่พี่เที่ยงดูแลชั้นแบบนี้ ชั้นอยากรู้จังว่าพี่เที่ยงจะดูแลฉันแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
เที่ยงงง “แค่ไหน”
“มันตอบยากนักรึ”
“คือ...พี่ไม่เคยคิดว่าจะดูแลสร้อยพีไปนานแค่ไหนน่ะซิ เพราะพี่ตั้งใจจะดูแลสร้อยพีแบบนี้ตลอดไป”
สร้อยพีเขินใจเต้นระรัว “พี่รู้สึกยังไงกับ...ฉันรึ ถึงคิดแบบนั้น”
“ก็พี่เลี้ยงสร้อยพีมาตั้งแต่เกิด พี่ไม่ดูแลน้องคนนี้แล้วจะดูแลใครล่ะ”
คำพูดนั้นดับฝันสร้อยพีลง “น้อง”
“ใช่ น้องสาวที่น่ารักที่สุดของพี่เลย”
สร้อยพีอึดอัด น้อยใจในคำตอบ จึงทำทีขอตัว
“ชั้นไม่เป็นไรมากแล้วล่ะ ชั้นขอไปล้างมือก่อนนะพี่”
เที่ยงมองตามสร้อยพีที่เดินออกไป โดยไม่คิดอะไร
สร้อยพีหลบออกมายืนฮึดกำมือแน่น จนแผลปริมีเลือดซึมออกมา โทษว่ามาลีเป็นต้นเหตุทำให้เที่ยงเปลี่ยนใจ
“มาลี ต้องเป็นเพราะแก”
ท่านโสภณกับมาลีเดินมาดูชาวคณะตะลุงที่กำลังเตรียมความพร้อม สำหรับการแสดงในอีกไม่นานนี้
“เป็นไง นายเที่ยง พร้อมมั้ย อีกไม่กี่วันแล้วนะ”
“ขอบพระคุณท่านที่ยังเมตตากระผมอยู่ ไม่เอาโทษใดๆ กระผมเรื่องวันนั้น เพราะฉะนั้น พวกกระผมจะตั้งใจให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ท่านเสียหน้าขอรับ”
“เฮ้ย ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก และที่นายเที่ยงบอกว่าทำเพื่อไม่ให้ชั้นเสียหน้า มันไม่ใช่นะ นายเที่ยงต้องทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อการแสดงของบ้านเราเข้าใจมั้ย เอ้า ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกกับมาลีเขาละกัน มาลีเขาคอยดูแลพวกนายเที่ยงอยู่”
เที่ยงทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะหันไปสบตากับคุณมาลีเหมือนทุกครั้งที่เคย
“กระผมไม่มีอะไรรบกวนหรอกครับท่าน แค่ที่ผ่านมากระผมก็รบกวนคุณหนูมากพอแล้วขอรับ”
มาลีฟังแล้วรู้สึกว่าเที่ยงยังคงคาใจเรื่องเงินก้อนนั้นอยู่ ท่านโสภณมองมาลีที มองเที่ยงที รับรู้ว่าสองคนนี้มีปัญหาบางประการกัน
“เอาเถอะๆ ไม่มีอะไรก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีอะไรก็คุยกัน บอกกันล่ะ”
โสภณพูดเสร็จก็เดินนำออกไป มาลีพยายามสบตาเที่ยง แต่เขาหันหลังกลับไปทำงานต่อ มาลีเดินตามพ่อกลับบ้านไป
มาลีนั่งใจลอยอยู่คนเดียวในสวนสวยข้างเรือนใหญ่ ท่านโสภณเดินออกเห็นเห็นลูกสาวดูเศร้าๆ จึงเดินเข้ามาทักถาม
“มาลี มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวล่ะลูก”
“คุณพ่อคะ”
มาลีตกใจนิดๆ
“ก็มานั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ พอดีข้ำงในบ้านมันร้อน เลยออกมานั่งรับลมข้างนอกเสียหน่อย”
โสภณยิ้มอ่อนโยนให้ ลูบหัวแล้วลงมานั่งข้างๆ ลูก
“ข้างในบ้านหรือข้ำงในใจกันแน่ ที่มันร้อน”
มาลีถึงกับอึ้งไปเมื่อพ่อพูดมาแบบนี้
“พ่อรู้ว่าหนูกลุ้มใจ แล้วถ้าจะให้พ่อทายก็คงกลุ้มเรื่องเกี่ยวกับคณะหนังตะลุงใช่มั้ย”
มาลียังคงนิ่งไม่พูดไม่จาอะไร เพราะกังวลว่าหากพ่อจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเที่ยง จะยิ่งทำให้ไม่สบายใจ ท่านโสภณดูออก
“มีอะไรก็คุยกับพ่อได้นะ ก่อนที่แม่หนูจะเสียพ่อรับปากกับแม่เค้าว่า พ่อจะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้ดีที่สุด เท่าที่พ่อเองจะทำได้ นี่พ่อก็พยายามเต็มที่นะ ที่จะดูแลมาลี ไม่ให้แพ้พี่ๆ ทั้งสองของหนูเลย”
มาลียิ้มขอบคุณ ระหว่างนี้มารศรีเดินมาเห็นสองคนคุยกัน จึงเดินมาใกล้ๆ หลบมุมแอบฟัง
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ มาลีก็ไม่เคยคิดว่ามาลีขาดอะไรเลย หนำซ้ำกลับคิดว่าที่คุณพ่อให้นั้นมากมายเกินพอแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่เรื่องนี้...”
“นายเที่ยงใช่มั้ย”
มาลีถึงกับอึ้งไป
“พ่อพอจะรู้เรื่องของเราสองคนบ้าง พ่อเห็นพ่อก็รู้สึกได้แล้วว่าเราสองคนรู้สึกยังไงต่อกัน”
มาลียิ่งตกใจ “คุณพ่อ”
“พ่อเคยผ่านวัยเดียวกับมาลีมาก่อน พอจะรู้ละว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร”
“ค่ะ”
ท่านโสภณยิ้มอ่อนโยนให้กำลังใจลูก
“พอจะเล่าให้พ่อฟังได้มั้ย”
“ก็คือว่าตั้งแต่เกิดเรื่องไปป์หายขึ้นมา เที่ยงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป มาลีก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เที่ยงพยายามหลบหน้าหลบตามาลีตลอดเวลา เจอกันก็แทบจะไม่ยอมทักทาย แล้วก็เดินหนีไป”
มารศรีฟังอยู่ ยิ้มดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
“อ๋อ เรื่องนี้เอง พ่อคิดว่าเที่ยงคงรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าลูกในทุกๆทาง และไม่เหมาะกับลูกเลยไม่ว่าจะทางไหน”
“แต่มาลีไม่เคยดูถูกหรือเห็นเที่ยงไม่มีดีเลยนะคะ”
“พ่อเข้าใจ และพ่อก็คิดว่าเที่ยงเป็นคนที่มีแต่เจตนาดี สักวันต้องได้ดี แต่เรื่องทิฐิมานะ แล้วก็คงอยากให้คนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วย ได้เจอคนที่ดีที่เหมาะสมล่ะมั้ง พ่อว่า”
มาลีนิ่งงันไป
“แต่พ่อว่านะ ถ้าเราจริงใจบริสุทธิ์ใจต่อกัน เราก็ต้องแสดงความรู้สึกนั้นให้มันชัดเจน ก็เท่านั้นเอง เหมือนตอนที่พ่อกับแม่ของมาลี ตอนนั้นคนขัดขวางก็เยอะ แต่ว่าเราสองคนรักกัน เราจริงใจต่อกัน เรื่องร้ายๆ ทั้งหมดก็ผ่านไป”
“แต่ว่าคุณพ่อ...”
“ถ้ากลัวเรื่องสถานะทางสังคมของพ่อ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง คนที่รักกันแต่ไม่แสดงออกต่อกันนี่สิ พ่อว่าน่าเป็นห่วงกว่า”
ท่านโสภณยิ้มอ่อนโยนให้ลูก มาลียิ้มขอบคุณพ่อที่เข้าใจ
มารศรีแอบฟังอยู่แค้นใจมากที่โสภณให้ท้ายและเห็นงามไปกับมาลี จึงรีบนำเรื่องไปฟ้องมณฑา
“ได้ความว่าไงบ้าง มันคุยอะไรเกียวกับเรารึเปล่า”
“ไม่มีค่ะพี่มณฑา นังมาลีแค่เล่าให้พ่อฟังเรื่องที่ตัวเองชอบพอกับนายเที่ยง แต่คุณพ่อกลับเห็นดีเห็นงามกับมันนี่สิคะ”
“ใฝ่ต่ำ”
มารศรีสะดุ้งนิดๆ เพราะตัวเองก็ชอบเที่ยงอยู่เหมือนกัน
“แล้วเราจะเอาไงดีคะพี่มณฑำ”
“ก็ทำตามแผนเดิมนั่นล่ะ เพราะถ้าเรื่องที่มันคุยวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเราก็ช่างมัน”
มณฑาเดินหนีไป แต่มารศรียังคงแค้นอยู่ไม่หาย และคิดหาทำงกำจัดเสี้ยนหนามตำหัวใจออกไป
“แต่มันเกี่ยวกับฉัน”
รุ่งขึ้น มารศรีมาหาสร้อยพีที่บ้านแต่เช้า พยายามพูดๆ ดีกับสร้อยพี แต่สร้อยพีหมางเมินและเมินเฉยเพราะยังเคืองเรื่องที่มารศรีเคยเอาผิดเที่ยงและคณะเมื่อคราวก่อน
“สร้อยพี มาอยู่ตรงนี้นี่เองหาตั้งนาน”
“คุณมีธุระอะไรกับชั้นเหรอคะ”
สร้อยพีเสียงขุ่นไม่พอใจ มารศรีรู้ทัน
“แหม ทำไมทำน้ำเสียงแบบนั้นล่ะ เราก็คนคุ้นเคยกันนะ”
“ชั้นไม่กล้าหรอกค่ะ”
“เอาน่ะๆ เรื่องวันนั้นช่างมันเถอะ ฉันกับพี่มณฑาก็ทำไปเพราะผู้ใหญ่สั่งมา แต่ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็ไม่มีอะไรแล้วนี่ นายเที่ยงไม่ถูกเอาเรื่องเลย เพราะอะไรรู้มั้ย”
“ก็เพราะพี่เที่ยงเอาเงินไปจ่ายคืนให้แล้ว พวกคุณก็เลยไม่เอาโทษ”
มารศรียิ้มเยาะ “เธอน่าจะไม่รู้อะไรนะสร้อยพี เงินที่จ่ายแทนนายเที่ยง คือเงินของมาลีต่างหาก นายเที่ยงคงไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้สินะ”
สร้อยพีชะงัก
“เชอะ ที่มาลีมันทำแบบนี้ก็เพื่อให้นายเที่ยงหลงรักมัน มารยาหญิงจับผู้ชายที่ตัวเองอยากได้ ร้ายจริงๆ มาลี เธอรู้มั้ยตอนนี้ใครๆ เค้าก็พูดกันให้ทั่วว่านายเที่ยงเนี่ย ตกถังข้าวสำรถังเบ้อเร่อกันแล้วนะ”
สร้อยพีอึ้งไป และหลงเชื่อคำให้ร้ายของมารศรี
“ยังไงเธอก็ลองคิดๆ ดูนะ ว่าจะช่วยนายเที่ยงยังไงดี เผื่อยังจะช่วยไม่ให้นังมาลีจับไปทำผัวได้ ชั้นไปละ”
สร้อยพีเครียดจัด และโกรธมาลีหนัก
ขณะที่มาลีกับเพ็ญเดินจ่ายตลาดกันอยู่ จู่ๆ สร้อยพีก็เดินปราดเข้ามาหาทั้งสอง
“คุณมาลี”
มาลีกับเพ็ญหันมามองงงๆ
“สร้อยพี มีอะไรหรือเปล่า”
“ชั้นมาเตือนคุณมาลีน่ะว่าอย่ามายุ่งกับพี่เที่ยงอีก เงินคุณมันซื้อพี่เที่ยงไม่ได้หรอก”
สร้อยพีพูดเสียงดัง จนคนในตลาดหันมามอง แล้วซุบซิบๆ กันตามระเบียบ
เพ็ญโมโห “นี่สร้อยพี พูดอะไร ให้เกียรติคุณหนูมาลีหน่อยนะ”
“ให้ก่ง ให้เกียรติอะไร นี่ชาวบ้านเค้ารู้กันทั่วแล้วมั้ง ว่าป่านนี้ คุณมาลีของพี่เพ็ญน่ะ หน้าตาก็ดี แต่ไม่มีปัญญาหาผัว ต้องเอาเงินมาซื้อพี่เที่ยงของชั้นไปเป็นผัว”
มาลีอึ้งพูดอะไรไม่ออก เพ็ญโกรธ
“หยุดนะสร้อยพี เธอไปเอาความคิดแบบนี้มาจำกไหน”
“อยากให้ชั้นหยุด ก็บอกให้คุณมาลีหยุดเรื่องที่ทำอยู่ซิ คนอื่นเค้าจะได้ไม่มามองว่า คนของคณะตะลุงหวังรวยทำงลัดเกาะคุณหนูลูกมหาเศรษฐีกิน พวกเราจนแต่มีศักดิ์ศรีพอโว้ย”
ผู้คนต่างซุบซิบนินทา มาลีตัวชา เพ็ญรีบพาออกไป
“ไปกันเถอะค่ะคุณหนู อย่าไปสนใจที่สร้อยพีมันพูดเลย”
สร้อยพีเยาะเย้ย “พูดไม่ออกละซิ ฉันพูดจริงใช่มั้ยละ”
เพ็ญไม่อยากให้มาลีต่อล้อต่อเถียงกับวร้อยพีรีบดึงมาลีออกไป มาลีเดินใจลอย เสียใจกับคำพูดสุดท้ายของสร้อยพีและโทษตัวเองว่าทำให้คนอื่นมองเที่ยงไม่ดี
สร้อยพีโกรธแค้นหวงหึงเที่ยงสุดจะประมาณขู่อาฆาตออกมาเสียงเบาๆ
“มึงอยากได้พี่เที่ยงมาก ผ่านศพกูไปก่อนเถอะ อีมาลี"
อีกฟากหนึ่ง รถของเจรมัยแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือนแถวร้าง สภาพเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ตามคำบอกทางของแคทลียาที่นั่งอยู่ข้างๆ เจรมัยอดสงสัยไม่ได้ ต้องหันมาถามเมกชัวร์
“แคทอยากมาที่นี่จริงๆเหรอ”
“ใช่ เราลงไปเดินกันดูรอบๆ เถอะค่ะ”
แคทลียาเปิดประตูเดินนำไป เจรมัยลงรถตามไปท่าทีงงๆ
เพียงไม่นาน แคทลียาก็เดินนำเจรมัยเข้ามาที่เรือนแถวบ้านเช่าทรุดโทรมหลังหนึ่ง
เจรมัยแปลกใจไม่หาย “ทำไม ถึงต้องเป็นที่นี่”
“ชั้นเคยมีความทรงจำเก่าๆ เกี่ยวกับที่นี่” แคทลียาบอกพลางเหลียวมองไปรอบๆ
เจรมัยไม่อยากเชื่อ “ที่นี่เหรอ”
แคทลียายิ้มให้ “ใช่ แล้วพี่จำที่นี่ได้มั้ย”
เจรมัยเหลียวมองไปรอบๆ อย่างคุ้นตา
“ผมเหมือนเคย...มา ผมเหมือนมีความทรงจำที่นี่เหมือนกัน แคทก็เป็นเหมือนกันเหรอ”
“ใช่ค่ะ มันนานมากแล้ว”
สร้อยพีในร่างแคทลียาบอก แล้วเดินไปดูรอบๆ ปล่อยให้เที่ยงยืนทบทวนความจำอยู่คนเดียว และแล้วพอเขากวาดตามองไปรอบๆ ในความคิดของเจรมัยก็เกิดภาพบางอย่างแทรกเข้ามา ขาดๆ หายๆ ไม่ปะติดปะต่อ
มันเป็นภาพเหตุการณ์ตอนที่เที่ยงและชาวครธมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยกัน ในขณะที่เจรมัยกำลังอึ้งๆ กับภาพที่ผุดซ้อนเข้าเมื่อครู่ จู่ๆ มือของแคทลียาก็ยื่นเข้ามาตรงหน้าเรียกสติ
“พี่”
เจรมัยสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์
“เอ๊ย แคท โทษทีผมใจลอย ได้ยังไงก็ไม่รู้”
เจรมัยรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาโดยประหลาด เขาจึงตัดบทชวนแคทลียากลับ
“ผมว่าเราอย่าอยู่นานเลยนะ แคทบาดเจ็บ ผมว่าแคทควรรีบกลับไปพักผ่อนจะดีกว่า”
แคทยิ้มรับเอาคำ “จ้ะพี่”
เจรมัยเหลียวมองบ้านหลังนี้อีกครั้งก่อนออกไป แล้วยิ่งรู้สึกถึงความคุ้นเคย เหมือนเป็นสถานที่ ที่เขาเคยอยู่ หรือเคยผ่านมาเมื่อในอดีต มากไปกว่านั้นเจรมัยสงสัยว่าแคทลียารู้จักที่นี่ได้อย่างไร
มัลลิกาแปลกใจมากเมื่อฟังจรรยากับจิตราเล่าจบลง
“ตัวตะลุงไม่ได้อยู่ที่ลุงพัฒน์”
“ก็ยังไม่ทันได้รู้ หนูแคทก็เกิดบาดเจ็บจนเจรมัยต้องพาไปส่งโรงพยาบาลก่อนน่ะสิ” จรรยาบอก
“เจรมัยก็ไปที่นั่นด้วยเหรอคะ”
จิตราฟังแล้วแปลกใจ “อ้าว นี่คือหนูมะลิไม่รู้เรื่องเลยงั้นเหรอ”
“ค่ะ เจ...หายไปเลย ติดต่อก็ไม่ได้” มัลลิกาหน้าเศร้าลง
“เอ ตาเจเนี่ยยังไงกันนะ เดี๋ยวกลับมาแม่ต้องเรียกมาสอบสวนซะหน่อย”
จรรยาไม่พอใจลูกชายที่ทำแบบนี้กับมัลลิกา
ในรถที่แล่นมาตามทาง มัลลิกาโทร.หาเจรมัยอีกหลายครั้ง ทว่าเขาเพียงแค่มองดูแต่ไม่รับสาย แคทลียายิ้มในสีหน้า ทำเป็นถาม
“ไม่รับเหรอคะ”
“ไม่ละ พี่ส่งแคทกลับบ้านก่อนดีกว่า แล้วแผลแคทเป็นไง ยังเจ็บอยู่มั้ย”
“ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้วค่ะ” แคทลียิ้มกริ่ม ท่าทีขวยเขิน “แคทชอบ...ที่พี่คอยดูแล อย่างนี้ พี่เจดูแลแคทอย่างนี้ตลอดไปนะคะ”
เจรมัยฟังแล้วแปลกใจ ฟังทะแม่งๆ หู “ตลอดไป เอ่อ แคท พี่ว่าแคทแปลกๆ ไปนะ คือ แคทเลิกชอบพี่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้ว...”
แคทลียาถามสวนออกมา “ทำไมคะ ระหว่างแคทกับพี่ มันเป็นไปไม่ได้เหรอ”
เจรมัยไม่ตอบ
“เพราะมีมะลิอยู่ใช่มั้ย ถ้า...ไม่มีมะลิแล้ว พี่เจก็จะเปลี่ยนความคิดใช่มั้ย”
“แคท พี่งงแล้วนะเนี่ย”
เจรมัยงงหนัก มีสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นความจริงจังในสีหน้าและน้ำเสียงของแคทลียา”
รถแล่นเข้าจอดที่หน้าคอนโดแคทลียา สองคนลงรถ เจรมัยมองไปเห็นภวัตยืนรออยู่และเดินตรงเข้ามาหา เขาจึงสบช่องได้โอกาสชิ่ง
“งั้นพี่ขอตัวนะแคท ฝากด้วยนะครับคุณภวัต”
แคทลียาชักสีหน้าไม่พอใจ เจรมัยรีบขึ้นรถขับออกไปทันที
“ผมมาแบบเซอร์ไพรส์ใช่มั้ยครับแคท”
ภวัตยิ้มกว้าง แต่แคทลียาหน้าบูด
ทางด้านมัลลิกาไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นเจรมัยคอยหลบตาหลบตาเธอตลอดเวลา โทร.ไปก็ไม่ยอมรับ เธอจึงส่งไลน์หาเจรมัยถามเขาว่า
“ระหว่างเราเกิดอะไรขึ้น”
เจรมัยเพียงอ่าน แต่ไม่ยอมตอบคำถามนี้อยู่ดี
แคทลียาวางท่าปั้นปึ่งใส่ภวัต ดูออกว่าไม่พอใจในการมาถึงของเขา
“วัต มาทำไมดึกป่านนี้”
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณหน่อยน่ะแคท”
“เรื่องอะไร คุยพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ คุณไม่ดูเวลารึไง นี่มันก็ดึกมากแล้วนะ”
“ก็ผมอยากเจอคุณนี่ แป๊บเดียวเองนะ”
แคทลียาเดินนำภวัตไปอีกมุม ที่ไม่มีใครอยู่
“งั้นมีอะไรก็รีบๆ พูดมา แคทง่วง”
“เอ๊ะ มือคุณไปโดนอะไรมาแคท”
ภวัตเดินเข้าไปหาจับมือดูแผล จ้องเข้าไปในตาแคทลียาด้วยความเป็นห่วงเอามากๆ จังหวะนี้มีบางอย่างผิดปกติ เหมือนร่างกายเริ่มต่อต้านผีสร้อยพีที่สิงอยู่
“ไม่มีอะไร อุบัติเหตุนิดหน่อย”
แคทลียาตัดบท พร้อมกับเดินห่างออกมาอีก ภวัตแปลกใจในท่าทีห่างเหิน
“ผมว่าระหว่างเรามันมีอะไรเปลี่ยนไปรึเปล่า”
“ไม่มี วัตคิดมากไปแล้วล่ะ”
ภวัตมองเข้าไปในดวงตาแคทลียา “ผมเป็นห่วงคุณนะ”
ร่างกายแคทลียาเริ่มแสดงอาการต่อต้าน
“แคทเริ่มง่วงแล้วล่ะวัต ยาคงออกฤทธิ์ วัตกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แคทโทร.หา
ภวัตไม่อยากขัดใจแคทลียา จำต้องยอมกลับออกไป
แคทลียารีบร้อนเข้าไปในห้องนอน ไม่ทันจะได้ปิดประตูดีด้วยซ้ำ แคทลียาก็กระอักเลือดออกมา สร้อยพีออกจากร่างแคทลียาทันที ทิ้งให้ร่างแคทลียาฟุบลงไปนอนคาเตียง
ผีสร้อยพีโกรธจัด ยืนคุมแค้นมองจ้องร่างอันอ่อนแอของแคทลียาหน้าตาถมึงทึง
“ร่างกายนังบ้านี่ มันกล้ำต่อต้านชั้นงั้นรึ แกยังเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้นะ พลังชั้นก็ยังไม่ฟื้นกลับมา ชั้นยังต้องใช้ร่างของแกเพื่อกำจัดนังมาลีซะก่อน”
ภวัตเดินมาหน้าลิฟต์ สงสัยกับอาการแปลกๆ ของแคทลียา เมื่อเขามองไปที่หน้าประตู ก็เห็นเงาดำปกคลุมไว้ ภวัตตกใจ พร้อมๆ กับเสียงเรียกเข้าดังขึ้น เป็นสายจากมัลลิกา
“มีอะไรเหรอ มะลิ”
สองคนนัดเจอกันที่ริมน้ำบรรยากาศสวยงามของกรุงเทพฯ แต่ไม่ได้ช่วยให้มัลลิกายิ้มได้เลย เธอเอาแต่เงียบตั้งแต่มาถึง
“มะลิ มีปัญหาอะไร คุยกับผมได้นะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน”
มัลลิกานิ่งคิด ว่าจะพูดดีมั้ย
“มะลิก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตั้งแต่ฟื้นมาเจก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เหมือนเค้าพยายามหลบหน้ามะลิ ไม่รู้เพราะอะไร”
“เหรอ แต่ผมเพิ่งเจอเขานะ เขามาส่งแคทที่บ้าน”
“อืม คนที่บ้านก็บอก ว่าวันนี้แคทกับเจไปตามตะลุงจนแคทบาดเจ็บ”
“ผมรู้สึกว่าเรื่องตะลุงนั่น มันไม่จบง่ายๆ วันนี้ผมสังเกตุว่าแคทก็แปลกๆ ไป”
มัลลิกามองฉงน “แคทแปลกๆ เหรอ แปลกยังไง”
“เหมือนเขาไม่ใช่แคทคนเดิม ทุกอย่าง แม้แต่แววตา”
“เจก็เปลี่ยนไป สองคนนี้เขายังไงกันนะ”
“เอาเป็นว่าเราลองดูพวกเขาไปก่อนละกัน”
มัลลิกาสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เมื่อได้ยินเสียงเอะอะของใครบางคน ดังมาจากด้านล่าง
เป็นหมอพีทนั่นเอง ที่เดินเข้ามาในบ้านตาเทียบอย่างถือวิสาสะ ด้วยท่าทีอันน่าหมั่นไส้ปนน่าขัน
“คุณเข้ามาทำไม มีธุระอะไร”
พีทมองไปรอบๆ ห้องโถง
“เจรมัยอยู่มั้ยครับ”
จรรยาไม่พอใจ “คุณมีธุระอะไร”
“ผมมานี่ก็มีเรื่องจะถามเจรมัยซะหน่อยน่ะครับ เรื่องที่ภาคตาย ทุกคนรู้ใช่มั้ยครับว่าภาคตายเนี่ยมันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการโดนทำร้ำย และก็ไม่ได้โดนทำร้ายโดยคนด้วย”
คำพูดดังกล่าวทำให้ทุกคนลูกหลานตาเทียบ หันมามองหน้ากันไปมางงๆ ว่าไอ้นี่มันรู้เรื่องลึกลับของตระกูลได้อย่างไร พีทอ่านออก
“คือก่อนหน้านี้ ภาคก็มาปรึกษาผมว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับมัน มันว่าเกี่ยวกับหนังตะลุงที่มีผีสิงของบ้านนี้ ทุกคนรู้ใช่มั้ยครับเรื่องนี้”
ทุกคนนิ่งอึ้งกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมัลลิกาเดินเข้ามา
“คุณต้องการอะไรจากพวกเราไม่ทราบ”
พีทหันมามองจ้องหน้ามัลลิกาอย่างพินิจพิเคาระห์
“อ้อ คุณนี่เอง”
“คุณรู้จักฉันเหรอ”
“ก็คุณคือ...” แต่ละคนลุ้นกันจนเยี่ยวเหนียวว่าพีทจะพูดอะไรออกมา “คนที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลวันนั้น”
ทุกคนผิดหวัง นึกว่าพีทจะพูดอะไรที่มีข้อมูลลึก น่าสนใจมากกว่านี้
“ถ้าคุณจะมาพูดอะไรแค่นี้ พวกเรารับรู้แล้ว งั้นคุณก็กลับไปเถอะค่ะ” จิตราบอกแทนคนอื่น
“พวกคุณคงคิดว่าผมไม่รู้อะไรสินะ นี่ฟังนะ ตอนนี้วิญญาณในตะลุงนั้นไม่พอใจใครบางคน และคนๆ นั้น ก็คือ... พีทไล่สายตามองทีละคนๆ จนมาหยุดที่ มัลลิกา “คุณ”
หมอพีทมองจ้องหน้ามัลลิกา ท่าทางจริงจังมากขึ้น
“เรื่องนี้มันพัวพันกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว คุณก็รู้ว่าตัวคุณไปเกี่ยวพันกันในอดีตกับมันยังไง และตอนนี้วิญญาณนั่นมันก็ไม่พอใจคุณมาก มันต้องการเอาชีวิตคุณ ผมพูดถูกใช่มั้ย”
ทุกคนนิ่งเงียบกันไปทั้งแถบ
“เอาเป็นว่า ผมขอเตือนทุกคนให้ระวังตัวไว้ให้ดี ตอนนี้วิญญาณมันพร้อมที่จะทำร้ายทุกคน โดยเฉพาะคุณ” พีทมองหน้ามัลลิกานิ่งๆ แล้วเดินเข้าไปหาใกล้ๆ “และผมขอแนะนำนะว่า อย่าย้อนกลับไปอดีตอีก ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณอาจกลับมาอีกไม่ได้เลย”
มัลลิกาตกใจ พีทเงียบไปอีกครู่เดียวก็เอ่ยขึ้นอีกคำชวนให้ตกใจหนักกว่าเดิม
“อีกไม่นานนี้ ผีมันจะอาละวาด ระวังตัวไว้ให้ดี”
ทุกคนตกใจกลัวมองตามพีทที้เดินออกไป มัลลิกากังวลหนักกว่าใคร
จรรยาปลอบ “ไม่ต้องคิดมากนะหนูมะลิ คำพูดคนนั้นอาจจะพูดมั่วๆ ก็ได้”
จิราเสริม “นั่นสิหนู เป็นใครมาจำกไหนก็ไม่รู้ เชื่อได้แค่ไหนยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย”
- แคทกับวัตเดินเข้ำมา ในบ้านพอดี
“แต่ระวังกันไว้หน่อยก็ดี พวกเราก็เคยเจอกันมาไม่ใช่เหรอ” จิตราว่า
หนูจ๋าได้ฟังก็นึกบางอย่างได้ เดินไปหามะลิค้นเหรียญนาฏจากกระเป๋าใส่มือถือ ยื่นเหรียญให้มัลลิกา
“พี่มะลิ พี่เอาเหรียญนี้ไว้ติดตัวนะ”
จินดาตกใจ “ทำอะไรน่ะลูก”
จรรยาสะดุดหู “เหรียญ”
หนูจ๋าบอกเสียงแจ๋ว “แม่ให้เหรียญนี้กับหนูจ๋ามาสักพักแล้วค่ะ บอกว่าเอาไว้ป้องกันตัว”
จรรยาหันมาจ้องหน้าน้องสาว “จินดา เธอเอาเหรียญมาจากไหนเหรอ”
- จินดำเงียบไปไม่พูด
จิตราคาดคั้น “ว่าไงจินดา”
จินดาจนมุม “ภาคเคยเอามาให้เจ เอาไว้ป้องกันตัว”
จรรยาไม่พอใจ “แล้วมันไปอยู่ที่หนูจ๋าได้ยังไง เธอขโมยมาจากเจงั้นซินะ ทำไมเธอทำแบบนี้”
“ก็ตอนนั้นชั้นไม่รู้จะทำยังไงนี่ ไอ้ผีบ้านั่นมันบอกถ้าไม่ทำตามที่มันบอก มันจะฆ่าหนูจ๋า พี่จำได้มั้ยล่ะตอนที่หนูจ๋าเข้าโรงพยาบาลโดยไม่รู้สาเหตุ” จินดาสารภาพ
จรรยาไม่พอใจอยู่ดี “แต่เธอทำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ทุกคนก็อยู่ในอันตรายเหมือนกัน เธอควรเอาเรื่องนี้มาบอกทุกคน”
จินดาเถียงกลับ และระเบิดทุกอย่างที่อัดอั้นมานาน ออกมาจนหมด
“พี่ก็พูดได้นี่ ก็ไม่ใช่เพราะลูกพี่หรอกเหรอที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ที่ทั้งไม่เชื่อ พยายามพิสูจน์ หาทำงแก้ไข นี่ไงสุดท้ายแล้วเป็นไง ลูกชั้นไงที่ต้องมารับเคราะห์แทน แล้วลูกพี่ล่ะหายไปไหน ไม่เห็นจะมาทำอะไรให้มันดีขึ้นเลยนี่ แล้วตอนนี้ทุกคนก็ต้องเดือดร้อน แล้วพี่จะมาโทษชั้นคนเดียวได้ไง”
จรรยาตกใจและเสียใจกับคำพูดน้องสาว “จินดา”
“ใจเย็นๆ พี่จรรยา จินดา” จิราพยายามปลอบ
จิตราเอ่ยตัดบทขึ้น เสียงเข้ม “หยุด หยุดทั้งคู่ละ ไม่ต้องทะเลาะกัน เรื่องมันผ่านไปแล้ว พี่รู้ว่าทุกคนก็รักลูกเหมือนกันทั้งนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะทะเลาะกัน แต่มาช่วยกันหาทำงแก้ดีกว่า”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเหรียญนั้นป้องกันผีได้จริง” จิราถาม
มัลลิกาเอ่ยขึ้น “มะลิเคยมีเหรียญนั้นเหมือนกันค่ะ ได้มาพร้อมๆ กับเจ แต่มันหายไปตั้งแต่ตอนที่พี่ภาคเสีย ก่อนหน้านี้มะลิก็เคยโดนคุกคามจากผีตัวนี้ แล้วก็คิดว่าคงรอดมาได้เพราะเหรียญนี่ล่ะค่ะ”
จิตราคิดตาม “งั้นแสดงว่าเหรียญช่วยได้จริงๆ”
จรรยามองหน้าหนูจ๋า “งั้นตอนนี้ป้าขอเหรียญนี้ไว้กับพี่มะลิก่อนนะลูก ป้าว่ามันจะช่วยให้พี่มะลิปลอดภัยได้”
จินดาไม่พอใจขึ้นมาอีก “พี่จรรยา แล้วลูกฉันล่ะ”
จิตราหันมาทางน้องสาว “จินดา พี่เห็นด้วยกับจรรยานะ ตอนนี้ถ้าเกิดเป็นอย่างที่คนนั้นพูดจริงๆ คนที่ผีจะเล่นงานมากที่สุดก็คือหนูมะลิ”
มัลลิกาไม่สบายใจ “แต่ว่า”
“พี่มะลิเก็บไว้เถอะค่ะ หนูว่าอยู่กับพี่น่าจะมีประโยชน์กับพี่มากกว่า พี่มะลิเก็บไว้ แล้วถ้าผีมันมานะ พี่มะลิก็มาคอยปกป้องหนูจ๋าไง”
มัลลิกาพูดอะไรไม่ออก หนูจ๋าจับเหรียญนาฏยัดใส่มือให้มัลลิกา
“รับไว้เถอะหนู” จิตราบอก
เห็นสีหน้าทุกคนเว้นจินดาที่เป็นห่วง มัลลิกาจึงยอมรับไว้
ทางด้านผีสร้อยพีอาศัยร่างแคทลียาแวะมาหาลุงพัฒน์หรือนายโพนเมื่ออดีตที่บ้านอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้ำงคะลุง”
“หนูแคทล่ะ เป็นยังไงบ้ำง เจ็บมั้ยลุงเป็นห่วงหนูมาก”
“ดีขึ้นล่ะค่ะลุง แคทจะมาถามลุงเรื่องตะลุง ว่าลุงจะเก็บมันไว้ทำไม ไปคืนที่เดิมไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ผมรู้สึกว่าวิญญาณลูกสาวในอดีต ยังคงอยู่ใกล้ๆ ตัวผมเสมอ ผมอยากเจอเธออีกครั้ง อยากถามว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง เค้ายังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่หรือเปล่า”
“ถ้าเค้ารู้ว่าลุงห่วงเค้าขนาดนี้ เค้าคงดีใจมากค่ะคุณลุง”
สร้อยพีในร่างแคทลียามองหน้าลุงพัฒน์ด้วยความรักและซาบซึ้งใจ
“ผมหวังว่าถ้าตะลุงตัวนี้อยู่กับผม ผมอาจจะได้เจอกับลูกสาวผมในอดีต อีกสักครั้งนะครับ เผื่อผมจะช่วยอะไรเค้าได้บ้าง”
สร้อยพีในร่างแคทลียามองหน้าลุงพัฒน์แล้วหวนนึกถึงอดีตชาติขึ้นมา
เวลานั้นสร้อยพีนั่งเล่นกับพ่ออยู่ที่หน้าเรือนแถวสองคน สร้อยพีสบโอกาสอ้อนพ่อ
“พ่อ เราแสดงรอบนี้กันเสร็จ เรารีบกลับบ้านเรากันเถอะนะพ่อ”
“พ่อก็อยากกลับเหมือนกัน ว่าแต่ทำไมเอ็งต้องรีบขนาดนั้นด้วยวะ”
“พ่อไม่ได้ยินข่าวลือที่คนเค้าพูดกันไปทั่วเหรอว่าพี่เที่ยงน่ะ มาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจะจับคนรวยแต่งงาน”
“ก็ได้ยินแว่วๆ แต่ข่าวลือพวกนี้มันไร้สาระ”
“แต่ชั้นก็เป็นห่วงพี่เที่ยงนะพ่อ ทำไมพวกเรามาแสดงอะไรดีๆ ให้พวกเค้าดู แล้วทำไมเราต้องมาเจอเรื่องอะไรพวกนี้ด้วย”
“พ่อเข้าใจเอ็ง เราแสดงครั้งนี้เสร็จ พวกเราก็จะกลับกันเลย พ่อก็รู้แหละว่า บางที่ก็ไม่ได้เหมาะกับเราเสมอไป”
วันต่อมาชาวคณะตะลุงมาเตรียมงานกันที่บ้านท่านโสภณเป็นวันสุดท้าย เพื่อให้งานทุกอย่างออกมาสมบูรณ์พร้อมที่สุด มีคหบดีเพื่อนท่านโสภณบางท่าน แวะมาดูด้วย ออกปากชมเที่ยงยกใหญ่
“นายเที่ยงนี่เก่งนะ ท่านโสภณ อายุก็ยังไม่มาก แต่มีความสำมารถขนาดนี้ นี่อนาคตคงต้องไปได้ไกลแน่ๆ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะครับ”
มาลียิ้มชื่น พลอยดีใจกับเที่ยงที่มีผู้ใหญ่เอ่ยชม
มณฑาอยู่ด้วย มองมาลีด้วยความหมั่นไส้ และยิ่งเพิ่มความรังเกียจคณะตะลุงมากขึ้น
“จริงของคุณพ่อค่ะ แต่น่าเสียดายนะคะที่พอการแสดงครั้งนี้เสร็จ ชาวคณะตะลุงก็ต้องกลับไปที่บ้านเกิดของเค้า เห็นว่านายเที่ยงก็ต้องกลับไปแต่งงานกับสร้อยพีด้วยนี่จ๊ะ ใช่มั้ย นายเที่ยง สร้อยพี จะว่าไปก็ดูเหมาะสมกันดีนะ”
มารศรีเดินถือผ้าผืนสวยเข้ามาสมทบ รีบรับลูกพี่สาวทันที
“นี่จ้ะ ผ้าใหม่ที่ชั้นเพิ่งสั่งมาจากปีนัง ชั้นหวังว่าจะให้สร้อยพีเอาไว้ตัดชุดแต่งงานนะ รับไปสิ”
มารศรียื่นผ้ามาให้ สร้อยพีรับมาแบบงงๆ เที่ยงไม่ทันได้ตั้งตัวกับคำพูดของมณฑา
“ยินดีด้วยนะนายเที่ยง คุณพ่อคะ มาลีขอตัวก่อน”
มาลีพูดเสร็จก็ขอตัวเดินออกไปเลย สร้อยพียิ้มดีใจ ท่านโสภณมองตามเข้าใจความรู้สึกลูกสาวคนเล็ก
“จริงเหรอนายเที่ยง”
เที่ยงปฏิเสธทันที “ไม่จริงนะขอรับท่าน คำดว่าจะเป็นเรื่องเข้ำใจผิดกันขอรับ กระผมไม่เคยมีเรื่องแบบนี้กับสร้อยพีเลยขอรับ”
โสภณมองหน้าลูกสาวทั้งสอง “แล้วลูกสองคน เอาเรื่องนี้มาจากไหน”
มณฑาปัดเรื่องให้พ้นตัวทันที “เปล่าค่ะ ลูกคิดเอง ลูกเห็นสองคนตัวติดกันตลอดเวลา ลูกก็นึกว่าเป็นคู่รักกัน
ใช่มั้ยสร้อยพี”
สร้อยพีอึกๆ อักๆ พูดไม่เต็มปาก “คุณมณฑาคะ คือ...”
เที่ยงพูดสวนขึ้นมาอีกยืนกรานคำเดิม “ไม่นะขอรับ ผมยืนยัน เรื่องแต่งงานผมกับสร้อยพี ไม่มีทางเป็นไปได้ครับ”
มณฑาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อ้าวเหรอ”
“งั้นก็ไม่เป็นไร ผ้าผืนนี้ถือว่าชั้นให้เธอเป็นของขวัญปลอบใจ ที่พวกชั้นเข้าใจเธอผิดละกัน” มารศรียิ้มบอก
ทิ้งระเบิดเสร็จ สองพี่น้องพากันเดินออกไปทันที สร้อยพีหน้าเสียเหลือไม่ถึงขีด อายแทบแทรกแผ่นดินหนี เสียใจหนัก วางผ้าทิ้งไว้ตรงนั้น แล้วลุกเดินออกไป
เที่ยงกลับถึงบริเวณเตรียมงาน เอาแต่เดินไปเดินมาท่าทีกระวนกระวายใจหนัก ด้วยกลัวมาลีจะเข้าใจตนผิด พยอม สน และทองเดินมาเจอ ทองเอ่ยปากแซวน้องทันที
“แหม พวกเอ็งจะแต่งงานกันรึ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยวะ”
“พี่ก็พูดไปเรื่อย ชั้นว่าคุณมณฑาเค้าต้องเข้าใจผิดนั่นล่ะ พวกพี่ก็รู้ว่าชั้นคิดกับสร้อยพีเป็นแค่น้องสาว จะแต่งงานกันได้ยังไง”
“แหม่ ข้าก็ล้อเล่น เอ็งก็อุ้มมันมาตั้งแต่น้อยๆ ข้าก็เข้ำใจละ ว่าแต่ก็น่าสงสำรนังสร้อยพีมันเนอะ ถ้ามาได้ยินเอ็งพูดแบบนี้”
“ชั้นว่าไม่ทันแล้วละ”
ทองมองตามสายตาพยอม แล้วรีบพูดแก้เก้อ
“นังคุณหนูนั่นก็เหมือนกัน เหลือเกินจริงๆ”
ทุกคนเห็นสร้อยพียืนอึ้งคาที่อยู่ และคาดว่าได้ยินคำพูดเที่ยงเต็มๆ สร้อยพีวิ่งหนีไป
“ปากหาเรื่องตลอดเลยนะพี่” พยอมด่าทอง
เที่ยงมองตามอย่างหนักใจ
นายโพนยืนมองเหตุการณ์อยู่อีกมุมหนึ่ง รีบตามสร้อยพีไปจนทันที่มุมหนึ่งในบริเวณจัดงาน บ้านท่านโสภณ
“สร้อยพี”
“พ่อ”
สร้อยพีกอดพ่อร้องไห้สะอึกสะอื้น อย่างคนหัวใจสลาย
“พ่อเข้าใจเอ็งนะสร้อยพี แต่เรื่องทั้งหมดเนี่ยเอ็งก็ต้องเข้าใจด้วยนะ ความรักน่ะ มันบังคับฝืนใจใครไม่ได้หรอก”
สร้อยพีไม่ฟัง “ถ้าเราไม่ได้มาที่นี่ ทุกอย่างมันก็ไม่เป็นแบบนี้ พี่เที่ยงก็คงรักชั้น จริงมั้ยพ่อ”
นายโพนพูดไม่ออก ได้แต่กอดปลอบลูกสาวอยู่อย่างนั้น
นึกมาถึงเหตุการณ์ตอนนี้ สร้อยพีในร่างแคทลียาก็บอกกับลุงพัฒน์ขึ้นอีกว่า
“ถ้าเราไม่ได้ไปที่นั่น เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้”
ลุงพัฒน์งง “หนูแคทพูดอะไร”
“เปล่าหรอกจ้ะ ลุงเก็บตะลุงนี้ไว้ดีๆ ละกัน ฉันมีบางอย่างที่ต้องจัดการ”
แววตาของผีร้ายเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมาดหมาย
ขณะขับรถมาตามถนน มุ่งหน้ากลับบ้าน ข้อความไลน์ของเจรมัยดังขึ้น
“กลับบ้านด่วน มีเรื่องสำคัญ” มันเป็นข้อความจากจรรยา
เจรมัยพยายามโทร.กลับ แต่แม่ไม่ยอมรับสาย
ไม่นานต่อมาเจรมัยกลับถึงบ้านท่าทีร้อนใจ ส่งเสียงเรียกจรรยานำเข้ามาก่อน
“แม่”
“เจกลับมาแล้วเหรอลูก”
“แม่มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ โทร.มาก็ไม่รับ”
“ก็คนที่ชื่อพีท ที่เป็นเพื่อนของภาคเค้ามาที่นี่น่ะสิ”
เจรมัยแปลกใจ “แล้วเค้ามาทำอะไรครับ”
มัลลิกาเป็นคนบอกขึ้นมาอย่างคับแค้นใจและรู้สึกผิด
“เค้าบอกว่าเรื่องผีสร้อยพี ชั้นเป็นต้นเหตุ ชั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่ทำให้เดือดร้อน ทั้งหมด ถ้าไม่มีชั้นเป็นต้นเหตุของเรื่อง หนูจ๋าก็คงไม่ป่วยแบบไม่รู้สาเหตุตอนนั้น พี่ภาค และคนอื่นๆ ก็คงไม่ตาย ชั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”
“เลิกพูดแบบนั้นเถอะมะลิ คุณจะเป็นสาเหตุหรือไม่ ผมไม่สน ผมสนแต่ว่าทำยังไงให้คุณปลอดภัย”
มัลลิไม่สนใจฟัง “สนเหรอเจ คุณสนฉันจริงๆ เหรอว่าฉันจะเป็นยังไง”
เจรมัยใจหาย “มะลิ”
มัลลิกาตัดพ้อต่อว่าอย่างน้อยใจ "ตั้งแต่ฉันออกจากโรงพยาบาลมา มีกี่ครั้งที่เจ อยู่บ้านนี้ เจหนีหน้าฉัน ไม่รับโทรศัพท์ฉัน เจทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“ผมมีเหตุผลของผม”
“เหตุผลเหรอ เหตุผลอะไรล่ะ บอกมาซิ”
“ผมอธิบายได้ แต่…"
เจรมัยไม่กล้าบอก ว่าการเข้าไปอดีตอีกครั้ง จะทำให้ มะลิไม่ได้กลับมา คนรักกันมันยังไงก็ต้องจูบกัน เจรมัยสับสนไม่รู้จะทำอย่างไรในอนาคต เลยเลือกวิธีหนีหน้า แทนที่จะพูดความจริง
“แต่อะไรเหรอเจ” จรรยาก็อยากรู้
“แต่...ผมบอกตอนนี้ไม่ได้ครับ” เจรมัยเลี่ยงไปอีกจนได้
มัลลิการู้สึกผิดหวังในตัวเจรมัยเป็นอย่างมาก
“คุณก็พูดไม่ได้ งั้นก็อย่าพยายามโกหกว่าเป็นห่วงฉันอีกเลย” มัลลิกาหันมาทางทุกๆ คน “มะลิไม่ขออยู่ที่นี่แล้วนะคะ มะลิจะไปจากที่นี่”
จรรยาตกใจพยายามทัดทาน “หนูมะลิ หนูอย่าเพิ่งไปเลยนะ หนูตกอยู่ในอันตราย”
แต่เธอเลือกที่จะเดินหนีไปเลย เจรมัยเข้าไปฉุดแขนไว้ มัลลิกาสะบัดแขนหนีไปอีก เจรมัยรวบตัวเธอเอาไว้
“มะลิอย่าไปเลย คุณจะเป็นอันตราย”
“ปล่อยฉัน คุณอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
“มะลิ ฟังผมก่อน”
เจรมัยดึงรั้งไว้ไม่ยอมให้ไป มัลลิกาจึงตบหน้าเขาหนึ่งฉาดใหญ่
“เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าไม่มีฉันซักคน ทุกคนคงจะดีกว่านี้ โดยเฉพาะคุณ อย่ามายุ่งกับฉัน”
มัลลิกาเดินลิ่วๆ หนีออกจากบ้านไปเลย
เจรมัยและทุกคนในครอบครัวยังคงอึ้งกันอยู่ มัลลิกาวิ่งออกจากเรือนใหญ่มุ่งหน้ามาที่ประตูรั้วทางออก แล้วเจอเข้ากับรถของแคทลียาที่เข้าจอดขวางไว้พอดิบพอดี มัลลิกามองหน้าแคทลียาที่อยู่ในรถอย่างงงๆ
“มีไรให้ฉันช่วยมั้ย”
“แคท”
เจรมัยวิ่งตามออกมา ก็พบว่ารถแคทลียาแล่นออกไปหน้าบ้าน ซึ่งในนั้นมีมัลลิกานั่งไปด้วย
มัลลิกา และ เจรมัย สบตากันจังๆ ด้วยความรู้สึกน้อยใจ ต่างคนต่างผิดหวังในกันและกัน
รถของแคทลียาแล่นห่างออกไป เจรมัยได้แต่วิ่งตาม
ในรถที่แล่นออกมา แคทลียามองดูสองคนจากกระจกมองหลัง แล้วยิ้มร้ายออกมา
จรรยาเข้ามาหาลูกชายถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“แล้วนี่แคทจะพามะลิไปไหน”
“ผมก็ไม่รู้เลยครับ เดี๋ยวผมโทรหาแคทเอง”
เจรมัยกดโทร.หาแคทลียา รอสายอย่างร้อนใจ
โทรศัพท์มือถือของแคทลียาดังขึ้น หล่อนปรายตามองดูแต่ไม่รับสาย แถมยังขับรถเร็วขึ้น มัลลิกาเริ่มแปลกใจ
อ่านต่อ ตอนที่ 19
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่18 #thaich8 #ละครออนไลน์