เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 17 ร่าง 3
บทประพันธ์ : พลอยฝน
บทโทรทัศน์ : Once House
ด้วยไม่รู้ว่าจะไปทางไหนแล้ว มัลลิกาเดินเรื่อยเปื่อยจนมาถึงท่าน้ำแห่งนี้ ไม่ไกลจากตลาดนัก
“เอาแล้วไงเรา ตามสร้อยพีก็ไม่ทัน นายเจก็ดันหายไปอีก แล้วเมื่อไหร่เราจะกลับวะเนี่ย”
มัลลิกานั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงชาวบ้าน 2 คน ที่เดินมาพร้อมกับหมอดูผู้หญิงผมหยิกหยอง คุยกันเสียงดังลั่น และกำลังพากันเดินผ่านหน้าเธอไป
“ใครเนี่ย คุ้นๆ จัง” มัลลิกามองตามด้วยความสงสัย
เสียงชาวบ้าน1 คุยกับเพื่อนดังขึ้น
“นี่ๆ คนนี้ใช่มั้ยที่ว่าดูแม่น ดูมาแล้วทั่วประเทศ”
ชาวบ้าน 2 เสริมว่า “ใช่ซิ นี่เพิ่งขึ้นมาจากนครศรีฯ เลยนะเนี่ย”
มัลลิกาคุ้นตากับหมอดูแม่นๆ ชื่อดังคนนั้นมากๆ จึงลุกเดินตามไป
มัลลิกาเดินตามมา เห็นคนมารุมล้อมผู้หญิงผมหยิกคนนั้นจนมิด ทำให้ยังไม่เห็นหน้าชัดๆ ของแม่หมอ มัลลิกาขยับหาช่องเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ว่าก็ไม่สามารถเบียดเข้าไปดูหน้าให้ชัดสักที
หมอดูผมหยิกจดบางอย่างลงบนกระดานชนวนเล็กๆ ท่าทางเคร่งขรึมดูน่าเลื่อมใสเอามากๆ เหมือนว่ากำลังดูฤกษ์เปิดร้านให้กับเฮีย พ่อค้าคนหนึ่ง
มัลลิกาต้องตะลึง เมื่อเห็นหน้าแม่หมอคนดังชัดๆ อุทานลั่น “พี่เจน”
แม่หมอคนนั้นหน้าตาเหมือนกับเจนจิราราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน แม่หมอหันมาตวาดใส่มัลลิกา
“เฮ้ย มาเรียกอะไรใกล้ๆ เนี่ย”
มัลลิกาดีใจที่รู้ว่าแม่หมอเห็นเธอ
“นี่เห็นฉันจริงๆ ด้วย”
“ก็เห็นซิ พูดอะไรไม่รู้เรื่อง เธอเป็นใครเนี่ย แต่งตัวก็ประหลาด เป็นญาติของเฮียร้านธูปหรือเปล่าเนี่ย”
มัลลิกาส่ายหน้า “เปล่า”
แม่หมอชาติภพก่อนของเจนจิราหันไปถามเฮียเพื่อให้หายสงสัย
“เฮีย นี่ญาติเฮียหรือเปล่า”
เฮียกับบรรดาไทยมุงที่พากันเบียดตัวกันอยู่ มองไปที่แม่หมอชี้ แล้วต้องเหวอ เมื่อพบว่าแม่หมอกำลังชี้อากาศ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
“หมอพูดถึงใครรึ แล้วหมอกำลังพูดกับใครขอรับ”
“ก็น้องหน้าขาว แต่งตัวประหลาดนี่ไง”
แม่หมอเงยหน้ามองไปที่ตัวเองชี้ ก็ยังเห็นมัลลิกานั่งอยู่ตรงนั้น แต่ทำไมพวกเฮียไม่มีใครเห็น แถมบรรดาสยามมุงต่างพากันส่ายหน้า
“ไม่เห็นจะมีใคร”
นั่นทำให้แม่หมอเริ่มเอะใจเเล้วว่ามัลลิกาไม่ใช่คน แม่หมอตาโต มัลลิกายิ้มให้
“ไม่มีใครเห็นฉันหรอก นอกจากพี่”
แม่หมอมองไปที่มัลลิกา หน้าตาเหยเกเหมือนกำลังจะร้องไห้ด้วยความกลัว มัลลิกายิ้มขำ แม่หมอหันไปถามย้ำกับชาวบ้านที่ล้อมตนอีกที
“นี่ ไม่มีใครเห็น จริงๆ เหรอ”
ชาวบ้านพยักหน้าพร้อมกัน คอแทบหัก
แม่หมอลุกพรวด แหวกกลุ่มคนที่ยังงุนงงตั้งหลักไม่ทันหนีไป มัลลิกาเห็นก็รีบลุกตามไป แม่หมอเห็นก็หันมาตวาดใส่
“อย่าตามมานะ ฮึ่ย เจอกลางวันแสกๆ เลย”
เวลาผ่านไป มัลลิกายังเดินตามแม่หมอไม่ลดละ
“จะตามชั้นมาทำไมอีกเนี่ย จะไปไหนก็ไป ไป๊”
มัลลิกายกมือห้ามแม่หมอไว้
“ฉันไม่ใช่ผีสักหน่อย”
“ไม่ใช่ผี เเล้วทำไมทุกคนไม่เห็นเธอล่ะ”
“เรื่องมันยาว พี่เจน เอ๊ย เเม่หมออยากฟังไหมละ”
“ถ้าชั้นไม่ฟัง เธอก็คงไม่ปล่อยชั้นไป ใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่”
“ฮึ้ย ถ้าอย่างงั้นว่ามา”
มัลลิกาเล่าเหตุการณ์ที่ตนหลงอยู่ในอดีตให้ฟัง
ทั้งคู่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ แม่หมองัดตำราโบราณของตัวเองออกมาเปิด เอานิ้วไล่อ่านทีละบรรทัด
“ในตำราเคยบอกเอาไว้ว่า อย่างเธอคือเป็นดวงจิต ที่มีบ่วงอยู่กับอดีต การหลงห้วงเวลาทุกครั้ง ก็จะทำให้พลังชีพลดลงไปเรื่อยๆ ด้วยนะ”
“แล้วทำไม ครั้งนี้ฉันถึงติดอยู่ที่นี่นานกว่าทุกครั้งล่ะ”
“ตำราว่าไว้ว่า คนที่มีพลังชีพมากพอก็จะได้ยินเสียงเรียกของห่วงเวลาที่จากมาได้ แต่คนที่มีพลังชีพน้อยลงเรื่อยๆ โอกาสที่จะได้ยินเสียงเรียกก็จะน้อยลง”
“งั้นมันก็เหมือนกับว่า ฉันเป็นพวกพลังชีพกำลังจะหมดซิ”
“ก็ทำนองนั้น แต่ก็มีทางอยู่นะที่จะทำให้กลับได้ คือ…รอๆๆ รอให้พลังชีพฟื้นตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน”
“งั้นเหรอ แล้วตอนรอฉันจะทำอะไรได้บ้างเนี่ย”
“มีซิ มันต้องมีทางทำให้เธอกลับไปเวลาที่ถูกต้องได้”
“ตำราเขียนไว้เหรอ”
“เปล่า ฉันคิดเองล้วนๆ”
มัลลิกาอยากขำแต่ก็ขำไม่ออก
เครื่องตรวจจับชีพจรมัลลิกาในห้องพักฟื้น จากที่เดินปกติ จู่ๆ เกิดเสียงดังขึ้น เพราะชีพจรลดต่ำลง เจรมัยนั่งเฝ้าไข้อยู่สะดุ้งตื่นตกใจรีบเดินมาดูที่เตียง
แม่หมอให้มัลลิกาลองบีบจมูกดู เผื่อว่าอาจจะเป็นวิธีพากลับสู่ปัจจุบันกาลได้ มัลลิกากลั้นหายใจได้พักเดียวก็ทนไม่ไหว และเธอก็ยังอยู่ในอดีตเหมือนเดิม ไม่เห็นจะได้ผลเลย แถมอาจจะได้ตายจริงมากกว่าน่ะสิ
ชีพจรมัลลิกาลดลงๆ ทุกคนเห็นแล้วเป็นห่วง
“มะลิ แกอย่าเป็นอะไรนะ”
เจนจิรากดออดเรียกหมอ ไม่นานนักหมอก็รีบเข้ามาดูอาการพร้อมพยาบาลผู้ช่วย
รอจนหมอตรวจเสร็จ เจรมัยจึงถามขึ้น
“มะลิเป็นอะไรครับหมอ”
“คนไข้มีอาการช็อกน่ะครับ เหมือนขาดอากาศหายใจ”
ทุกคนต่างพากันใจหาย เป็นห่วงมัลลิกาทั้งแถบ
เจรมัยครวญเบาๆ “มะลิ”
แม่หมอยังคิดหาวิธีพามัลลิกากลับปัจจุบันกาล
“หรือว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล งั้นมาลองอีกวิธีนึง วิธีนี้ตำราว่าไว้ว่า ถ้าวิญญาณเกิดอาการตกใจสุดขีดอาจทำให้กลับคืนร่างได้อีกครั้ง ไหนเธอลอง...”
“ลองอะไรเหรอ”
มัลลิกาหันมาก็เจอแม่หมอลากไม้ท่อนมาเตรียมฟาดเต็มที่
“เฮ้ย เอามาไม”
“มาฟาดเธอไง นะลองดู เธอจะได้กลับไปได้”
มัลลิกาลังเล
“จริงๆ นะ”
แม่หมอง้างไม้สุดแขน มัลลิกาลุ้นระทึก มองตามไม้ที่ยกสูงขึ้นเรื่อยๆ แม่หมอหลับตาปี๋ ก่อนจะหวดไม้ลงมาเป้าหมายคือกบาลมัลลิกา
ฟาดไม้ไปแล้วแม่หมอหลับตาปี๋อยู่
“เธอไปแล้วใช่มั้ย”
หมอดูคนดังจากเมืองนครฯ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วต้องประหลาดใจที่เห็นมัลลิกานั่งอยู่ที่เดิม
“เอ้า ยังอยู่อีกเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ ไอ้ท่อนไม้พี่หมอเนี่ย มันทะลุผ่านฉันไปเฉยเลย ไม่เชื่อลองอีกทีก็ได้”
“ฮึ้ย กลับยากกลับเย็นจริงๆ”
เมื่อแม่หมอลองเอาไม้แหย่ๆ แยงๆ ไปที่ตัวมัลลิกา ก็พบว่าไม้ทะลุผ่านตัวเธอไปจริงๆ
หมอตรวจเช็คอาการมัลลิกาอยู่ตามขั้นตอนทางการแพทย์ เจนจิรากับเจรมัยอยู่ในนั้นด้วย
“ทำใจดีๆ สู้เค้านะมะลิ แกต้องไม่เป็นไรนะ”
อาการมัลลิกาดีขึ้น ชีพจรกลับมาเป็นปกติ หมอหันมาบอก
“ตอนนี้คนไข้ เป็นปกติทุกอย่างแล้วครับ”
“มะลิ คุณปลอดภัยแล้ว”
“ช่วงนี้อาจต้องให้ทางญาติเฝ้าระวังเป็นพิเศษหน่อยนะครับ ซึ่งทางหมอและพยาบาลก็จะ สแตนด์ บาย ทุกอย่างใว้ให้ด้วย ญาติๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ”
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
หมอกับพยาบาลเดินออกไปเจรมัยตามออกไปส่ง หมอแยกตัวไปแล้ว ขณะเจรมัยจะเลื่อนเปิดประตูเข้าไป กลับเห็นชายแปลกหน้ายืนมองเข้าไปในห้องอยู่อย่างไม่วางสายตา เขาคือหมอพีท เพื่อนของภาค
“เพื่อนคุณน่าเป็นห่วง เพราะจิตของเพื่อนคุณไม่ได้อยู่ตรงนี้”
เจรมัยละมือจากประตูหันไปหาอย่างสนใจ “คุณว่าอะไรนะ”
“จิตเพื่อนคุณ กำลังอยู่ในภพอื่น”
เจรมัยได้ยินก็ตกใจ ที่ชายแปลกหน้าคนนี้รู้ความลับของมัลลิกา
“นี่คุณรู้...ว่า”
“ชะตาลิขิตไว้ให้มีโอกาสได้ข้ามภพ แต่การข้ามภพได้มันก็ต้องแลกกับบางอย่าง อย่างเช่นชีวิต ทางที่ดี ถ้าเพื่อนคุณตื่นขึ้นมา ก็อย่าให้เธอกลับไปในภพนั้นอีกเป็นอันขาด เพราะเธออาจจะไม่มีโอกาสกลับมาได้อีกแล้ว”
“คุณ…หมายถึงเธอจะตาย”
หมอพีทพยักหน้า “ทำนองนั้น”
เจรมัยวิตกมากขึ้น
“นี่คุณเป็นใคร
“ผมเป็นคนที่จะมาจัดการผี ที่เล่นงานภาคผู้จัดการของคุณ เราคงจะได้เจอกันอีกแน่”
พูดจบพีทก็เดินจากไป ทิ้งให้เจรมัยยืนมองด้วยความสงสัยอยู่หน้าห้อง เจรมัยเลือกที่จะพูดถามตามหลังไปว่า
“แล้วจะมีทางไหนให้มะลิกลับมามั้ย คุณๆ”
หมอพีทเพียงหันมายิ้มให้ แต่ไม่ตอบอะไร หันกลับแล้วเดินต่อไป
แม่หมอทำหน้าครุ่นคิด
“วิธีสุดท้ายล่ะนะ”
“อะไรรีบบอกมาสิ”
“อย่าใจร้อนสิ ก็อย่างที่ตำราว่าไว้ล่ะนะ ถ้าจิตของเจ้าตัวพลังไม่พอ ก็ต้องมี ตัวช่วย วิธีสุดท้ายก็คงต้อง…”
มณฑากับมารศีเดินผ่านหน้ามัลลิกากับเจนไปพอดี ทั้งคู่ดูมีพิรุธ เด็กที่กำลังวิ่งเล่นอยู่วิ่งชนมณฑา สายตามณฑาเหมือนอยากจะฆ่าเด็กคนนั้นทันที
“วิ่งกันดีๆ สิเด็กบ้า ไป” มารศรีด่า
เด็กๆ กลัวหัวหด วิ่งลนลานหายไป ทั้งคู่พยายามปกปิดหน้าตาและเดินไปต่อ แต่มัลลิกาจำได้เลยรีบเดินตามไป
“อ้าว ไหนว่าจะตั้งใจฟัง”
แม่หมอรีบเดินตามไป
มัลลิกาเดินตามมา และพบว่ามณฑา และ มารศรี คุยอยู่กับผู้ชาย 2 คน มัลลิกากำลังจะเข้าไปฟังใกล้ๆ ว่า 2 คนนั้นพูดอะไรกัน แต่แม่หมอดันเดินตามตามมาที่ด้านหลัง
“ไหนว่าอยากรู้ แล้วนี่เดินมาตรงนี้ทำไม ไม่สนใจแล้วเหรอ” แม่หมอมองตามสายตามัลลิกาไป “แล้วนั่นใคร รู้จักเหรอ”
“ชั้นว่าชั้นรู้จักนะ สองคนนี้กำลังจะทำอะไรนะ ชั้นว่าชั้นลองเดินเข้าไปฟังเค้าใกล้ๆ ดีกว่า”
แม่หมอคิดได้ในทันทีว่า นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้มัลลิกากลับไปยังภพตัวเองไม่ได้ มัลลิกาขยับตัวจะเดินตาม แม่หมอจึงรีบขวางไว้
“อย่าไป ฉันว่า นี่แหละ ที่ทำให้เธอไม่ได้กลับไป”
มัลลิกาชะงัก ไม่ได้เดินตามไปทางสองพี่น้อง และหันมามองหน้าแม่หมองงๆ
“เธอว่ายังไงนะ”
“ที่เธอไม่ได้กลับไปเนี่ย อาจเป็นเพราะเธอเอาตัวไปยุ่งกับคนในอดีต มันอาจทำให้เค้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไปเลยก็ได้ ที่นี้กรรมทั้งหมด ที่เธอไปเปลี่ยนแปลงเค้ามันก็จะไปตกที่เธอ และมันคงทำให้พลังชีวิตของเธออ่อนลง”
“ซึ่งฉันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้”
“ใช่ ในเมื่อพลังชีวิตเธออ่อนลง เธอจึงต้องรอให้มันฟื้นตัว ซึ่งข้อนี้ เธอต้องพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าเปลี่ยนชีวิตใครนะ มันเสี่ยง”
มัลลิกาพยักหน้ารับ
“ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อย่ากลับมาในอดีตบ่อย”
“เพราะอะไร”
“มันจะทำให้เธอไม่ได้กลับไปอีก”
แม่หมอมองเลยมัลลิกาไป เห็นมาลีเดินผ่านมามีเพ็ญเดินตามหลัง และนั่นเป็นครั้งแรกที่แม่หมอเห็นว่ามัลลิกามีชาติภพที่แล้วเป็นมาลี
“เหมือนจริงๆ ด้วย”
“อะไร”
มัลลิกามองตามสายตาถึงได้รู้ว่า มาลีเดินผ่านมากับเพ็ญ
มัลลิกาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะตามหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตามไป
“หยุดเลย ไม่อยากกลับบ้านรึไง นี่เธอกำลังวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นนะ บอกแล้วยังไงว่ามันเสี่ยง
“แต่เรื่องในอดีตมันเกี่ยวข้องกับฉัน ฉันต้องหาสาเหตุให้ได้ ว่าทำไมวิญญาณผู้หญิงที่ชื่อ สร้อยพี ถึงตามอาฆาตฉัน”
พูดจบมัลลิการีบเดินออกไป ทิ้งแม่หมอให้บ่นบ้าอยู่ลำพัง
“ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว ถ้าขืนดื้อแบบนี้ เธอจะ...เฮ้ย บอกยังไงก็คงไม่ฟัง ไปดีกว่า”
แม่หมอรีบออกไปจากที่นั่นทันที
ด้านมาลีเดินถือถุงเงินของเที่ยงมาตามทางเดินในตลาด มีเพ็ญเดินตามต้อยๆ
“คุณหนูคะ ไม่เหนื่อยบ้างเหรอคะ เพ็ญเห็นคุณหนูเดินหานายเที่ยงนานแล้วนะคะเนี่ย”
มาลีไม่สนใจ พยายามมองหาเที่ยง จนเห็นคนมุงโวยวายอยู่ทางด้านหนึ่งจึงรีบเดินไปดู
ที่แท้เป็นสร้อยพีกำลังโดนชายขี้เมา 2 คน มาลวนลามและถูกชาย 1 จับตัวไว้ได้ สร้อยพีพยายามสะบัดออก
“ปล่อยนะ ไอ้บ้า ปล่อย”
“น้องสาว สวยจริงๆ เลยนะเนี่ย เฮ้ย สาวใต้ว่ะ เขาว่าคนนี้อยู่คณะตะลุงเว้ย” ชาย1 ยิ้มหื่น
“น้องจ๋า เล่นให้พี่ดูหน่อยสิจ๊ะ พี่อยากดูลีลานายหนังตะลุงสาว ว่าจะเด็ดหรอยแค่ไหน ฮ่าๆ” ชาย2 หัวเราะร่า
“มึงได้เห็นแน่ นี่แน่ะ”
สร้อยพีถลันเข้าตบ จนชาย2 ชักเริ่มโกรธ คนเริ่มมามุงดูมากขึ้น และหันมาเชียร์สร้อยพี
“เอาเลยๆๆๆๆ”
“โอ๊ย ฤทธิ์เยอะนักนะมึง”
ชาย1 โมโห จะตบสร้อยพี มาลีกับเพ็ญเดินเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“สร้อยพีโดนรังแก ทำยังไงดีเพ็ญ เราเข้าไปช่วยดีมั้ย”
“อย่าเพิ่งค่ะ คุณหนูตัวแค่นี้เข้าไปก็ช่วยไม่ได้หรอกค่ะ” เพ็ญห้ามไว้
“แต่ว่า...”
มาลีจะเข้าไป แต่แล้วต้องตกใจเพราะมีใครบางคนกระโจนเข้ามาเตะต่อยชายหื่น2 คนจนล้มลุกคลุกคลาน
สร้อยพีกับมาลียืนอยู่คนละมุม ต่างพากันอุทานออกมพร้อมๆ กัน เมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“พี่เที่ยง” / “นายเที่ยง”
เที่ยงจัดการชาย2 คน จนพวกมันวิ่งเตลิดหนีไป แต่เที่ยงก็โดนต่อยกลับมาไม่น้อย มีแผลที่ปากนิดหน่อย ชาวบ้านที่ไม่คิดจะช่วยปรบมือให้ แล้วแยกย้ายสลายตัวกันไป
“พี่เที่ยง”
สร้อยพีถลาเข้าไปกอดเที่ยงเต็มรัก โดยไม่อายสายตาผู้คน มาลีกับเพ็ญเห็นก็ตกใจ
“สร้อยพี เป็นอะไรบ้างรึเปล่า สร้อยพี ปล่อยพี่ได้แล้ว” เที่ยงจับตัวสร้อยพีออก
“ฉันเป็นห่วงพี่เที่ยงมากเลยรู้มั้ย”
“ห่วงอะไรพี่ ห่วงตัวเองก่อนดีมั้ย เมื่อกี้เกือบแย่แล้วรู้ตัวมั้ย”
“แต่พี่ก็มาช่วยฉัน พี่เที่ยง” สร้อยพีมองหน้าเที่ยงชัดๆ แล้วต้องตกใจ “พี่เที่ยงมีแผลด้วยนี่ โธ่ พี่ เจอเรื่องบ้านนังมาลีแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องจากฉันอีก”
มาลีหันไปหาเพ็ญ “เรากลับกันเถอะเพ็ญ”
“แล้วคุณหนูไม่อยากเจอนายเที่ยงแล้วเหรอคะ”
“ไม่แล้วล่ะ เขาบาดเจ็บ อย่าเพิ่งเข้าไปตอนนี้เลย”
เพ็ญเห็นดีด้วย และเข้าใจความรู้สึกมาลี ทั้งสองเดินออกไป
มัลลิกายืนมองเหตุการณ์นั้นอยู่ตั้งแต่ต้น
คืนนั้น มาลีนั่งใจลอยอยู่ในห้องนอน คิดถึงเหตุการณ์ที่สร้อยพีกอดเที่ยง และทำให้เธอรับรู้ถึงความรู้สึกของสร้อยพีที่มีต่อเที่ยง
“สร้อยพี”
เพ็ญแปลกใจ เรียกสติคุณหนู
“คุณมาลีเจ้าขา คุณมาลี”
มาลีรู้สึกตัว ในมือถือถุงเงินของเที่ยง
“ว่ายังไงเพ็ญ”
“เก็บเงินของนายเที่ยงไว้เถอะค่ะ เพ็ญว่า นายเที่ยงคงไม่อยากให้ใครดูถูกศักดิ์ศรีเอาหรอก เจ้าค่ะ”
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมพี่มณฑากับมารศรีต้องทำขนาดนั้นกับนายเที่ยงด้วย”
“ยิ่งคุณหนูรู้แบบนี้แล้ว ก็ควรต้องยิ่งระวังตัวนะเจ้าคะ คุณทั้งสองก็คอยหาทางเล่นงานคุณหนูอยู่แล้ว ยิ่งมาประจวบกับเรื่องนายเที่ยงอีก อาจทำให้คุณหนูลำบากไปด้วย เพ็ญว่า คุณหนูอยู่ห่างๆ นายเที่ยงไว้ก็ดีนะเจ้าคะ”
“ฉันจะไม่มีวันทำให้นายเที่ยงต้องลำบากเพราะฉัน”
เพ็ญห่วงใยมาลีเหลือเกิน มาลีเดินแยกออกมาพึมพำกับตัวเอง
“ป่านนี้ นายเที่ยงจะเป็นยังไงบ้างนะ”
ด้านเที่ยงนั่งคิดทบทวนอยู่หน้าเรือนแถว เขานึกถึงคำพูดเหน็บแนม แดกดันเขา ของมณฑากับมารศรี ในวันที่เอาเงินไปจ่ายให้คุณกำจร
“ฉันถามจริงนะ แกไม่อายหรอ ที่ต้องให้ผู้หญิงมาออกรับเเทนเเบบนั้น”
“ผมไม่เคยคิด ให้คุณมาลีออกรับเเทนเลยนะ ขอรับ”
“น้องว่าโชคยังดีที่นายเที่ยงเป็นคนดี ไม่งั้น น้องคงคิดว่านายเที่ยงหวังคบมาลีทางลัด เพื่อตกถังข้าวสารเเน่ๆ เเต่นายไม่ได้คิดเเบบนั้นหรอก ใช่ไหมจ๊ะ” มารศรีแดกดัน
เที่ยงโกรธที่ มณฑากับมารศรีพูดจาดูถูกมาลีเเบบนั้น
“ผมไม่เคยคิดเเบบนั้น เเละผมก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะชดใช้ด้วยตัวเอง...ขอตัวนะขอรับ”
“ศักดิ์ศรี ที่เอาไว้ซ่อนใต้ผ้านุ่งมาลี น่ะเหรอ”
คิดแล้วก็ยิ่งไม่สบายใจ เที่ยงคร่ำครวญออกมา
“คุณมาลี...คุณไม่น่าทำแบบนี้เลย”
เสียงสร้อยพีดังขึ้น “เรียกชื่อมันทำไมพี่เที่ยง”
“สร้อยพี”
“ถ้าพี่เที่ยงจะคิดอะไรกับเขา สร้อยพีบอกได้เลยว่าพี่ควรหยุดได้แล้ว”
“สร้อยพี พี่ไม่ได้...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วพี่เที่ยง พี่จำไว้นะ ครอบครัวเขาคิดทำลายพวกเรา ถ้าพี่ไม่อยากให้คณะเราลำบาก หรือแม้แต่พี่อยากจะปกป้องพวกเรา เราต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไปให้ไกลจากพวกมัน โดยเฉพาะนังมาลี”
เที่ยงมองสร้อยพี แต่พูดอะไรไม่ออก
“เราจะกลับไปนครศรีฯ กัน เราจะกลับใช้ชีวิตของพวกเราชีวิตที่มีความสุขกันเหมือนเดิม นะพี่เที่ยง นะ พี่”
เที่ยงถอนใจ พยักหน้ารับ
“ไม่นานหรอกสร้อยพี อีกไม่นาน”
มัลลิกามองจ้อง รับรู้ถึงความรู้สึกที่สร้อยพีมีต่อเที่ยง
เจนจิราเดินไปเข้าห้องน้ำ โดยไม่เห็นว่าสร้อยพีในร่างแคทลียาเข้ามาเยี่ยมมัลลิกาพอดี เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ เตียง ร่างของแคทลียาเปลี่ยนเป็นสร้อยพี ยืนขึงตามองจ้องมัลลิกาอย่างเคียดแค้นชิงชัง ก่อนจะยื่นมือออกไปหมายจะบีบคอมัลลิกาให้ตายคาเตียง
ฉับพลันทันใดนั้น เสียงเจรมัยก็ดังขึ้น “แคท คุณจะทำไรน่ะ”
แคทลียาผงะ ลดมือลงทันที
“อ๋อ คือ มะลิ มีท่าเหมือนจะหนาวน่ะคะ แคทก็เลยจะห่มผ้าให้”
เจนจิราออกมาจากห้องน้ำ “ใครมาเหรอ อ้าว แคท”
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอแคท” เจรมัยถาม ไม่ได้ติดใจอะไร
“เพิ่งเข้ามาเองค่ะ”
เจรมัยรีบเข้าไปดูมัลลิกาอย่างห่วงใย
“มะลิคุณเป็นยังไง คุณกลับมาเร็วๆ นะ ผมเป็นห่วง”
แคทลียาลอบมองเจรมัยด้วยแววตาเตียดขึ้ง หวงหึงเต็มที่
เที่ยงกลุ้มใจ จึงมานั่งดื่มเหล้ากับทองและสน จนเวลานี้เมาได้ที่
“เราจะกลับบ้านกันเมื่อไหร่วะ ข้าอยากกลับบ้านเต็มทีละ” ทองถามขึ้น
“เออ ข้าก็คิดถึงบ้านเหมือนกัน” สนว่า
“อีกไม่นานหรอกพี่ เล่นครั้งนี้จบ เราก็จะกลับกันเลย”
ทองมองเหล่ “ดูท่าเอ็งไม่อยากกลับ”
“อย่าติดสาวชาวกรุงแล้วไม่กลับนะเว้ย” สนแซว
เที่ยงคิด
“ฉันคงไม่กล้าคิดหรอกพี่ มันไกลเกินเอื้อม เราต้องเจียมตัว อย่าให้ใครมาดูถูก เนอะพี่”
เที่ยงหันไปหา 2 คนนั้นอีกที ก็พบว่าเมาพับหลับไปแล้ว เขาลุกขึ้นเดินโซเซออกไปด้วยท่าทีมึนเมา
เที่ยงพาตัวเองมายืนเมา เฝ้ามองเข้าในตัวบ้านคหบดีโสภณ
“เราคงต่างกันมากเกินไป กระผมคงไม่มีปัญญารักคุณหนูได้ชาตินี้ กระผม...รัก...คุณมาลี นะขอรับ”
บังเอิญเหลือเกินที่มาลีเดินมาเห็นเขาพอดี
“นายเที่ยง”
ทั้งสองหยุดมองหน้ากันนิ่งนานโดยไม่พูดไม่จา โดยมีสายตาของมัลลิกามองสองคนอยู่ และรับรู้ถึงความรู้สึกทั้งคู่มีให้กัน แต่แล้วก็มีเสียงเหมือนคนเรียกดังขึ้น
“มะลิๆ คุณกลับมาได้แล้ว มะลิ”
มัลลิกาหันไปทางเสียง ร่างของเธอค่อยๆ หายไป
เจรมัยเดินมานั่งกุมมือมัลลิกาอยู่ และประครองเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับเรียกสติไปเรื่อยๆ หวังให้ดวงจิตของเธอได้ยิน
“มะลิ คุณฟื้นสิมะลิ คุณหลับนานเกินไปแล้ว มะลิ คุณต้องกลับมาให้ได้นะ”
สร้อยพีในคราบแคทลียามองมือที่กุมกันอยู่ของสองคนด้วยความโกรธแค้น
ใต้เปลือกตามัลลิกาขยับไปมา จนในที่สุดก็ลืมตาขึ้น เธอเห็นเจรมัยเป็นคนแรกและมองเขาอย่างงงๆ ส่วนเจรมัยดีใจสุดขีดที่เห็นมัลลิกาฟื้น
“มะลิ”
“คุณ”
เจรมัยสวมกอดมัลลิกาเอาไว้เต็มรัก ด้วยความดีใจและห่วงใย
“ผมเป็นห่วงคุณมากรู้มั้ย”
“ฉันดีใจมากที่ได้ยินเสียงคุณ”
แคทลียามองด้วยความโกรธแค้น เจนจิราเข้ามาในห้องพร้อมจรรยา และเดินแซงแคทลียาที่ยืนนิ่งอย่างเว้นระยะห่าง เจนจิรารีบกดออดเรียกหมอ
“ตามหมอด้วยค่ะ มะลิฟื้นแล้วนะคะ”
ทุกคนยิ้มชื่น มองมัลลิกาด้วยความดีใจ ยกเว้นก็แต่แคทลียาเท่านั้น
มัลลิกาหน้าตาดูดีมากขึ้นแล้ว จรรยารู้ข่าวรีบรุดมาเยี่ยม ยิ้มชื่นบอกว่า
“นี่พวกเราเป็นห่วงหนูมากเลยนะ หนูสลบไปหลายวันมากเลย แถมยังมีอาการช็อก ตั้งหลายครั้ง”
มัลลิกาตกใจ “ช็อกเหรอคะ”
“ใช่ ช็อกแบบคนขาดอากาศหายใจน่ะ พี่นะเป็นห่วงแทบแย่ นี่พี่ภาวนากับพระ แล้วก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกือบหมดประเทศเลยนะ ให้แกฟื้นขึ้นมา”
มัลลิกามองหน้าเจนจิราอย่างคาดไม่ถึง แล้วก็แอบยิ้มขำนิดๆ เมื่อได้รู้ว่าในอดีตของเธอก็มีเจนจิราเอี่ยวด้วย ในฐานะหมอดูแม่นๆ มัลลิกาหันไปมองหน้าเจรมัย เชิงบอกว่ามีเรื่องราวมากมายจะเล่าให้ฟังแต่ยังเล่าตอนนี้ไม่ได้ เจรมัยมองตอบอย่างรู้กัน
“พวกเราอย่าเพิ่งชวนมะลิคุยอะไรตอนนี้เลยครับ ให้มะลิพักผ่อนอีกหน่อยเถอะนะครับ” เจรมัยบอก
ทุกคนรับคำเห็นด้วย แคทลียาลอบมองมัลลิกาด้วยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะขอตัวกลับ
“งั้นพักผ่อนเยอะๆ นะ ไว้วันหลังชั้นจะมาใหม่”
“จ้ะ ขอบคุณนะที่เธอก็มาเยี่ยมฉันด้วย”
มัลลิกายิ้มเป็นมิตรให้ แคทลียาปั้นหน้ายิ้มตอบ แล้วเดินออกไป
แคทลียาออกมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ในวูบหนึ่งร่างของเธอก็กลายเป็นสร้อยพี และเหลียวขวับไปมองในห้องอย่างอาฆาตแค้น
“กูจะไม่ให้มึงโชคดีอย่างนี้ตลอดไปหรอก อีมาลี”
แคทลียาที่ถูกสร้อยพีครอบครองร่าง เดินจากไปอย่างเคียดแค้น
ตอนเย็นวันนั้น เจรมัยเดินกลับเข้ามาในห้องพักของมัลลิกา หลังไปส่งแม่ ป้า และน้าๆ กลับบ้าน
“กลับกันไปหมดแล้วเหรอคุณ”
“อืม ผมอยากให้คุณหายไวๆ เลยให้ท่านกลับเร็วขึ้น นี่ปกติแม่กับป้าๆ น้าๆ เค้าก็อยู่กันจนดึกนะ บางวันภวัตกับแคท ก็แวะมา ทุกคนเป็นห่วงคุณนะมะลิ”
“ขอบคุณมากนะ” มัลลิกายิ้มให้
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า ตอนที่ไปในอดีต ทำไมคุณถึงไม่ได้กลับมาพร้อมผม แถมตอนที่คุณสลบ คุณยังมีอาการช็อก อีกด้วย”
มัลลิกาเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองหลงอยู่ในอดีต โดยเฉพาะตอนที่ได้เจอกับแม่หมอหัวหยิกอดีตชาติของเจนจิรา และเตือนเธอเรื่องกลับไปกลับมาระหว่างปัจจุบันกาลกับอดีต
“ที่เธอไม่ได้กลับไปเนี่ย อาจเป็นเพราะเธอเอาตัวไปยุ่งกับคนในอดีต มันอาจทำให้เค้าเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตไปเลยก็ได้ ที่นี้กรรมทั้งหมดที่เธอไปเปลี่ยนแปลงเค้ามันก็จะไปตกที่เธอ และมันคงทำให้พลังชีวิตของเธออ่อนลง”
มัลลิกาเล่าจบลงแล้ว
“ฉันกลัวแทบแย่ หาทุกวิถีทางที่จะกลับมา นี่ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าพลังชีพฉันอ่อนลงทุกที แต่ยังโชคดีที่ได้กลับมาแล้วเนอะ”
เจรมัยได้ฟังก็หวนนึกถึงคำพูดที่หมอพีทมาเตือนเรื่องมะลิกับเขา ในทำนองเดียวกันนี้
“ชะตาลิขิตไว้ ให้มีโอกาสได้ข้ามภพ แต่การข้ามภพได้มันก็ต้องแลกกับบางอย่าง อย่างเช่นชีวิต ทางที่ดี ถ้าเพื่อนคุณตื่นขึ้นมา ก็อย่าให้เธอกลับไปในภพนั้นอีกเป็นอันขาด เพราะเธออาจจะไม่มีโอกาสกลับมาได้อีกแล้ว”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหวั่นใจ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้กับมัลลิกาอีก
“เอางี้มะลิ หลังจากออกจาก โรงพยาบาล ผมอยากให้คุณกลับไปพักที่บ้านของคุณตาผม”
“กลับไปอีกแล้วเหรอ”
“น่า อย่าดื้อได้มั้ย ผมอยากแน่ใจก่อนว่าคุณแข็งแรงดี อยู่ที่นั่น มีทั้งแม่ น้าๆ อยู่ดูแล แถมยังมีพี่เจน กับหนูจ๋าคอยมาเป็นเพื่อนเล่นด้วย นะ ผมจะได้สบายใจ”
มัลลิกาทักท้วง “แต่...”
“ผมเป็นห่วงคุณนะมะลิ ผมจะไม่ให้คุณเป็นอะไรอีกแล้ว”
พร้อมกับว่าเจรมัยจับมือมะลิขึ้นมากุมด้วยความรักและห่วงใย มะลิได้แต่ยิ้มรับเขินๆ
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนประตูจะเปิดออก เห็นเป็นพยาบาลเดินเข้ามา เจรมัยรีบขยับตัวหลบทางให้
“ขอวัดความดันหน่อยนะคะ”
“ครับ”
จู่ๆ เจรมัยก็เดินออกไปข้างนอกเฉยเลย พยาบาลมองขำๆ เจรมัย
“คุณคะ แค่วัดความดัน รอในห้องก็ได้ค่ะ”
มัลลิกาก็มองตามอย่างแปลกใจ
เจรมัยยืนอยู่หน้าห้อง คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่หมอพีทพูด ว่ามัลลิกาอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ถ้าหากเขาและเธอยังไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตกมากขึ้น เจรมัยเดินไปมองผ่านช่องกระจก เห็นมัลลิกากำลังคุยเล่นยิ้มหัวอยู่กับพยาบาล เขาพูดบอกกับตัวเองว่า
“ต่อแต่นี้ไป การที่เราต้องห่างกัน มันคงเป็นทางที่ดีที่สุดที่คุณจะ ปลอดภัย ผมไม่อยากเสียคุณไปเลยมะลิ”
เช้าวันต่อมา แจ่มกุลีกุจอเข้าไปรับกระเป๋าสัมภาระของมัลลิกาจากมือของเจรมัยที่เดินลงรถมาถึงตัวบ้าน จรรยาเดินสวน ออกมาตรงนอกชาน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นสองคน
“เอ้า มากันแล้ว นี่เจ ใจคอ จะไม่ประคองมะลิเลยหรือไง” จรรยาติง
“มะลิ โอเค ไม่ต้องประคองหรอกค่ะ”
ไม่ทันขาดคำขาของมะลิก็ดันไปสะดุดเข้ากับชานบันไดประตูเข้าเรือนเลยถลาเสียหลักเล็กน้อย เจรมัยเห็นก็ตกใจ แต่ห้ามใจไม่ให้เข้าไปช่วย กลายเป็นจรรยาเข้ามาประคองมัลลิกาไว้แทน
“นั่นไง ไม่ทันขาดคำ เจ ก็ใจลอยอยู่ได้ ไม่เข้ามาช่วยน้อง”
“ครับๆ ขอโทษที เจใจลอยไปหน่อยครับ”
มัลลิกาหันมายิ้มให้เจรมัยซึ่งทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มตอบ ทุกคนเข้าบ้านไป หนูจ๋าวิ่งมากอดมัลลิกาอย่างดีใจ
“จ๋าดีใจจริงๆ ที่พี่มะลิหายแล้ว จ๋าเป็นห่วงพี่มะลิแทบแย่”
“พี่ขอบคุณมากนะหนูจ๋า”
มัลลิกาเดินมาเจอคนอื่นๆ ที่นั่งรอต้อนรับอยู่แล้วที่โต๊ะอาหาร
“หนูมะลิหลับไปหลายวัน น้าก็เลยว่าจะจัดอาหารชุดใหญ่ให้เลยนะเนี่ย ข้าวต้มเครื่องใส่กระดูกหมูตุ๋น ใส่เห็ดหอมด้วยนะ นี่ไข่ลวก เผื่ออยากกินด้วยกัน แล้วก็นี่ สารพัดเห็ดผัดเนื้อน้ำมันหอย แล้วยังมีผลไม้ตบท้ายอีกนะ เป็นไงเจ น้าเต็มที่มั้ย” จิราคุยโว
“เต็มที่มากเลยครับ” เจรมัยยิ้มบอก
“แม่จัดเต็มมากงานนี้” เจนจิรายิ้มร่า
“ขอบคุณทุกคนนะคะ”
มัลลิกามองทุกคนด้วยแววตาขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
จิตรายิ้มบอก “พวกเราเต็มใจทำให้หนูอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับการ ต้อนรับหนูมะลิที่จะมาอยู่บ้านเดียวกับพวกเรา”
จรรยาหันมาหาจินดา “จริงมั้ย จินดา”
“จ้ะ หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรไม่ดีอีกนะ”
จินดาทำให้บรรยากาศกร่อยสนิทอีกจนได้ เจรมัยฟังอยู่ห่างๆ ให้รู้สึกห่วงความรู้สึกมัลลิกา ดีที่จรรยาตัดบทขึ้นว่า
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อ่ะ เจ กับ จ๋า พาพี่มะลิ ไปที่ห้องซิ ไปดูหน่อยว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า”
“อืม พี่ฝากจ๋า พาไปแทนแล้วกันนะ พี่ว่าพี่จะไปคุยเรื่องงานเพลงใหม่หน่อยนะ แล้วก็เย็นจะไปงานสวดพี่ภาคด้วยเลย พี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะ”
“อ้าว อดทานข้าวพร้อมกันเลย”
มัลลิกาหันไปเห็นเจรมัยมองจ้องหน้าเธออยู่แว่บหนึ่ง แล้วเดินหลบหน้าหลบตาออกไปเสียเฉยๆ
ตกตอนกลางคืน มัลลิกาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจรมัยจะกลับบ้านสักที โทร.ไปหาหลายครั้งแต่เขาก็ไม่รับสาย รอแล้วรอเล่าจนเผลอหลับไป เจรมัยเดินเข้ามาในห้องพบว่ามัลลิกาหลับไปแล้ว
“มะลิ ถ้าคุณแข็งแรงดีแล้ว ผมจะปล่อยคุณไป”
เจรมัยห่มผ้าให้ แล้วค่อยๆ ก้มลงบรรจงหอมที่หน้าผาก แล้วมองจ้องเธออยู่ตรงนั้นโดยที่มัลลิกาไม่รู้ตัวเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น มัลลิกาตื่นนอน เดินลงมาข้างล่าง เจอจรรยากำลังจัดสำรับเช้าอยู่พอดี
“มาๆ หนูมะลิ มานั่งกินข้าวกันก่อน อ้าวแล้วนี่ตาเจยังไม่ตื่นเหรอ”
“เมื่อคืนเจ เค้าไม่ได้กลับน่ะค่ะแม่”
“อ้าวจริงสิ เอ๊...ลูกคนนี้ยังไงของมัน พอตอนหนูหมดสตินะไม่เคยห่างหนูเลย พอหนูฟื้นกลับมา กลับไม่มาซะอย่างนั้น”
มัลลิกานึกทบทวน และเริ่มสงสัยเรื่องท่าทีแปลกๆ ของเจรมัยนับตั้งแต่เธอออกจากโรงพยาบาล
เจรมัยแวะมาหาเจนจิราที่ออฟฟิศ เอาของจำเป็นมาฝากไปให้มัลลิกา
“พี่เจน ฝากของนี่ให้มะลิหน่อยสิ ผมไปซื้อมาพวกยาบำรุงต่างๆ แล้วก็พวกข้าวของเครื่องใช้ ผมฝากนี่ให้มะลิหน่อยนะพี่”
เจนจิรามองฉงน “อ้าว ทำไมเจไม่เอาไปให้เอง”
“พอดีผมยุ่งๆ น่ะพี่ ช่วงนี้พอพี่ภาคเสียไป ผมต้องเคลียร์ทุกอย่าง ทั้งประเด็นลึกลับที่ต้องตอบคนในวงการอีก”
“พี่เข้าใจ แต่บ้านก็อยู่บ้านเดียวกัน ทำไมไม่ให้เองล่ะ พี่รู้สึกเหมือนเจคอยหลบหน้ามะลิไงก็ไม่รู้”
“คิดมากไปรึเปล่าพี่เจน ผมวุ่นๆ จริงๆ พี่ ยังไงฝากให้มะลิด้วยนะพี่ ไปละ”
เจนจิราไม่ทันได้พูดทักท้วงอะไรอีก เพราะเจรมัยเร่งฝีเท้าไปไกลแล้ว
ที่บ้านตาเทียบ สี่พี่น้องนั่งคุยกันเรื่องตะลุงที่หายไปอยู่ในห้องโถง จิตราปรารภขึ้นว่า
“พี่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเนี่ย มันเกิดจากตะลุงที่หายไป”
“ชั้นก็ว่าอย่างนั้นล่ะพี่” จิราเห็นด้วย
จรรยาออกความคิดว่า “เราไปหาลุงคนนั้นกันดีกว่า ไปเอาตะลุงคืน”
จินดาทักท้วงขึ้นทันที “พี่จะเอามันกลับมาทำไมอีกล่ะ มันอยู่กับเรามันก็มีแต่เรื่องแย่ๆ นะ”
“แต่ถ้าเราไม่หยุด เราก็ไม่รู้เลยนะว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่” จรรยาว่า
จินดาพยายามทัดทาน “แต่พี่...”
“ถ้าเราทำแบบนั้น มันก็เท่ากับเราเห็นแก่ตัวนะ จินดา” จิราบอก
“ก็พี่ไม่เคยเจออะไรร้ายๆ เกี่ยวกับมันนี่” จินดาเผลอหลุดปาก
“เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” จิราไม่เข้าใจ
จิตราตัดบท เมื่อเห็นว่าพี่น้องจะทะเลาะกัน “เอาล่ะๆ พี่ตัดสินใจละ เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากบ้านเรา เราก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ พี่จะลองไปตามหาลุงคนนั้น”
อีกฟากหนึ่ง เสียงโทรศัพท์มือถือตรงโต๊ะมุมห้องของคอนโดหรูแห่งนี้ดังขึ้น ห้องทั้งห้องปิดม่านสนิทมีแสงสลัวจากด้านนอกส่องลอดช่องผ่านเข้ามา เสียงเรียกเข้าดังอยู่นานจนสายตัดไปเอง
แคทลียาผู้เป็นเจ้าของห้องนี้ นั่งนิ่งอยู่ตรงเก้าอี้มุมห้องไม่สนใจเสียงโทรศัพท์ เมื่อมองชัดๆ พบว่าเลือดกำเดาเริ่มไหลออกมาทางจมูกของเธอ แคทลียาปาดเลือดนั้นทิ้งอย่างไม่อินังขังขอบ
“เวลาร่างนี้น้อยลงทุกที ฉันต้องรีบลงมือกับอีมาลีแล้วซินะ”
อ่านต่อ ตอนที่18
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่17 #thaich8 #ละครออนไลน์