เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 16
บทประพันธ์ : พลอยฝน
บทโทรทัศน์ : Once House
ภายหลังจากเที่ยงถูกคุมตัวไปยังบ้านท่านคหบดีโสภณแล้ว นายโพนได้เรียกทุกคนมาสอบถามเพื่อหาความจริง
“เรื่องมันเป็นยังไงรึไอ้ทอง”
ทองแทบจะหายเมาเป็นปลิดทิ้งแล้วตอนนี้ “ก็ไอ้กล้องยานั่น ข้ายืนยันว่าเห็นมันวางในห้องก่อนที่นายเที่ยงจะมาถึงบ้านอีก เป็นนายเที่ยงไปไม่ได้หรอกอา”
นายโพนหนักใจ “เเล้วเราจะทำยังไงกันดี เราจะเอาอะไรไปยันความบริสุทธิ์ได้ละเนี่ย”
สร้อยพีร้องไห้ “ตอนนี้พี่เที่ยงจะเป็นยังไงบ้างพ่อ”
“ก็ นั่นซิ พวกเราถูกสั่งให้อยู่ที่นี่ ก็ต้องทำตามคุณๆ เค้าไว้ก่อน” นายโพนว่า
“เราทยอยเก็บของกันเลยดีกว่า พี่ทอง พี่สน ลำพังปัญญาพวกเราคงหาเงินไปรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้แน่ พวกเราคงต้องทำตามที่คุณมณฑาบอกแล้วละ ที่คุณเค้าบอกว่า ให้เราเก็บของกลับบ้าน เรื่องน่าจะทุเลาลง” พยอมออกความคิด
สร้อยพีเห็นด้วย “ใช่อย่างที่พยอมพูด พวกเราก็ไม่มีทางออกอื่นอีกแล้ว”
นายโพนหน้าเครียดไม่หาย “แต่เที่ยงมัน...ไม่ได้คิดแบบนั้นซิ คือที่เที่ยงยอมโดนจับไปก็เพื่อไปพิสูจน์ตัวเอง ถ้าเรายิ่งรีบขนของกลับบ้านมันก็เหมือนว่าพวกเรายอมรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำ”
“ใช่ ขนของกลับไม่ได้ช่วยอะไรหรอกพยอม” ทองรู้จักน้องชายดี
ทุกคนมองหน้ากันไปมา เครียดหนักพอกัน
อีกฟาก ไปป์หักเป็นสองส่วนวางอยู่บนโต๊ะ กลางโถงรับรองเรือนใหญ่ กำจรมองไปป์ แล้วอดเสียดายไม่ได้ ท่านโสภณเข้าใจความรู้สึก มณฑายืนมองเที่ยงที่นั่งหมอบอยู่ที่พื้นด้วยความสะใจถึงขีดสุด มารศรีต้องคอยพยักพเยิดตามพี่สาวไป ทั้งที่ในใจรู้สึกผิดต่อเที่ยงไม่น้อย ส่วนมาลีเครียดจัด ไม่รู้จะหาทางช่วยเที่ยงได้อย่างไร
“พวกกระผมไม่ทราบจริงๆขอรับว่า กล้องยานั่น ไปอยู่ในห้องได้อย่างไร ขอรับ” เที่ยงเอ่ยขึ้น
“จะโกหกซ้ำซากอยู่ทำไม ยอมรับเสียเถอะนายเที่ยง โทษหนักจะได้เป็นเบา” มณฑาว่า
“เรื่องจริงขอรับคุณมณฑา กระผมพูดความจริงทุกอย่าง”
มณฑาโกรธจัด “นี่ เธออยากลองดีกับหน้าตาครอบครัวของฉันงั้นซินะ อยากให้ฉัน อยากให้คุณพ่อเสียหน้าซิ ได้ อย่ามาว่าฉันใจร้ายไม่ได้ละ เพราะฉันจะตามตำรวจมาจัดการ พวกแกทั้งหมด”
เที่ยงยังย้ำคำเดิม “พวกกระผมถูกใส่ความขอรับ คุณมณฑา”
“ใครจะไปใส่ร้ายเธอ นี่จะหมายถึงพวกฉันหรือเปล่า” มณฑาขึ้นเสียงด้วยความโมโห
“มิกล้าๆ ขอรับ” เที่ยงตกใจ
“คุณกำจรคะ ดิฉันขอตัวไปตามตำรวจมาจัดการหัวขโมยก่อนนะคะ” มณฑาหันมาทางมารศรี “ไปกันมารศรี” แล้วหันมาพูดกำชับกับคนของคุณกำจร “เธอสองคนดูมันไว้ล่ะ อย่าให้มันหนีได้เชียว”
มณฑาขยับตัวจะออกจากวงสนทนา ท่านโสภณเอ่ยทักท้วงเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนลูก อย่าเพิ่งทำอย่างนั้นเลย ขอพ่อคุยกับนายเที่ยงเองซักหน่อย ลูกสองคนขึ้นไปพักข้างบนก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อจัดการต่อเอง”
“คุณพ่อ แต่...” มณฑาขัดใจ
“เอางั้นก็ดีครับคุณโสภณ ยังไงก็ขอบใจหนูมณฑา หนูมารศรี มากนะ ที่เป็นธุระเรื่องนี้ให้”
มณฑาประเมินดูแล้วคงไม่ดีแน่หากดึงดันจะตามตำรวจ เพราะท่านโสภณกับทั้งคุณกำจรพากันทัดทาน
“เอ่อ ค่ะ งั้นหนูกับน้อง ขอตัวก่อนนะคะ ถ้ายังจะให้ลูกตามตำรวจ คุณพ่อก็รีบบอกได้เลยนะคะ”
มณฑา กับ มารศรี พากันออกจากวงสนทนาไป
โสภณหันมาทางธิดาคนเล็ก “มาลีก็ออกไปก่อนนะ”
“ค่ะ คุณพ่อ”
มาลีเดินออกจากโถงไปอีกคน แต่ไปได้ไม่ไกลก็หันกลับมามองเที่ยงด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และแอบหลบมุมฟังอยู่ใกล้ๆ
ท่านโสภณเอ่ยขึ้น “เที่ยง เงยหน้าซิ ก้มหลบหน้ากลัวความผิดซิท่า”
เที่ยงเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอึดอัด
“เธอขโมยไปยังไง เล่ามาซิ” คุณกำจรถาม
“พวกกระผมไม่ได้ทำขอรับ พวกกระผมไม่ได้ขโมย” เที่ยงยืนยันหนักแน่น
กำจรชักฉุน “แต่ท่าทางแกมันฟ้องนี่ ตั้งแต่มาก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบตลอด นี่มันท่าพวกหัวขโมยชัดๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นคุณท่าน ที่กระผมก้มหมอบก็เพราะด้วยรู้สึกเสียใจที่เรื่องนี้ เรื่องที่มีพวกกระผมมาเกี่ยวด้วย จะทำให้ท่านโสภณ กับครอบครัวด่างพร้อยขอรับ”
กำจรฟังแล้วประหลาดใจ ท่านโสภณก็เช่นกัน มาลีรอฟังอย่างตั้งใจ
“พวกเธอ นี่มันเป็นพวกชอบทำผิดซ้ำซากซินะ ไหนมันยังไง เล่าให้ฟังหน่อยซิ”
“ตอนมาถึงพระนครวันแรก ด้วยความบ้านนอกคอกนาของพวกกระผม ก็ดันไปสร้างเรื่อง จนครอบครัวคุณโสภณต้องมาช่วยเหลือเอาไว้ถึงสองครั้ง”
“แล้วไงต่อ”
“ถึงแม้เรื่องขโมยกล่องยาสูบพวกกระผมจะไม่ได้ทำ แต่เรื่องก็มาพาดพิงพวกกระผมอยู่ดี ซึ่งมันคงสร้างความลำบากใจกับคุณโสภณอีก”
กำจรมองจ้องหน้า “แล้วนายจะทำยังไง”
“กระผมอยากจะชดใช้ ราคาไปป์ขอรับ”
กำจรฟังแล้วส่ายหัว เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้
“เธอรู้มั้ยราคาเท่าไหร่” ท่านโสภณถาม
“เอาๆ น่าคุณโสภณ เขาอยากทำแบบนั้นก็ตามใจ ลองดูแล้วกัน เอาเป็นว่าฉันจะไม่เอาโทษอะไร ขอแค่ได้ค่าชดใช้ก็พอ”
เที่ยงพยักหน้ารับเอาคำ
“กระผมจะรีบกลับมาเพื่อเอาเงินค่าชดใช้มาให้ขอรับ”
“นายเที่ยง นายแน่ใจนะ”
“ขอรับ”
เที่ยงรีบคลานออกไป แล้วลุกเดินออกประตูไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
พอออกมาหน้าตึกก็เจอเข้ากับมาลีที่ยืนรออยู่ มาลีมองหน้าเที่ยงด้วยความเป็นห่วง เที่ยงสบตาเพียงแว่บเดียวก็เดินผ่านไป มาลีมองตามตาละห้อย ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป
เที่ยงเอาถุงเงินเก็บของตนออกมา ทุกคนรอฟังความที่อยู่ตรงลานหน้าเรือนแถว เมื่อสร้อยพีเห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจ
“อย่าบอกนะว่าพี่เที่ยงจะเอาเงินที่เก็บมาตั้งนานไปชดใช้”
“ใช่”
“ไม่ได้นะพี่เที่ยง เห็นชัดๆ ว่าพวกเราโดนใส่ร้าย พี่เที่ยงจะเอาเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตไปให้เค้าทำไมล่ะจ๊ะ”
“พี่กำลังจะบอกให้ทุกคนรู้ว่า เราก็มีศักดิ์ศรีไง ถึงเเม้เราจะไม่ได้ทำ ก็มีปัญญาชดใช้ ไม่ได้เเค่พูดปากเปล่าว่าไม่ได้ทำ”
สร้อยพีแค้นใจขึ้นมาอีก “ต้องเป็นเเผนของนังมาลีเเน่ มันคอยเฝ้าเล่นงานเราตลอด”
นายโพนได้ฟังก็โมโห “สร้อยพีหลายครั้งหลายหนเลยนะ พูดจาถึงคุณเค้าให้มันดีๆ หน่อยสิ”
“พ่อว่ามันไม่เเปลกเหรอจ๊ะ เรื่องมันลงตัวอย่างกับสร้างขึ้นมาเเบบนั้น มันง่ายไปไหมที่เราจะรับผิดชอบ”
“เเล้วคุณมาลีเธอจะทำเเบบนั้นทำไม เธอแทบจะมาออกหน้าเเทนเรา ไม่เห็นเหรอ”
สร้อยพีไม่ฟัง “ออกหน้าเเทน เพื่อที่จะตลบหลังรึเปล่า”
เที่ยงตัดบท “พอเถอะสร้อยพี พูดไปก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้”
สร้อยพีขัดใจ “พี่เที่ยง”
คนในคณะตะลุงคนอื่นๆ รวบรวมเงินกันใส่กระบอกไม้ไผ่มาให้เที่ยง
“อ่ะนี่ ข้าให้หมดตัว ถึงจะมีน้อยไปสักหน่อยก็เถอะ”
สนแบมือออกมาเผยให้เห็นเป็นเงินไม่กี่เหรียญ แต่ส่งสายมาว่าอยากช่วยอย่างเต็มที่ ทองก็เอาเงินของตนมาสบทบด้วย นายโพนหยิบเงินมาส่งให้เที่ยงเองกับมือ เที่ยงมองซึ้งใจ
“ขอบใจมากนะทุกคน ข้าสัญญาว่าจะหามาใช้คืนให้เร็วๆ นี้แหละ”
“จะหามาคืนทำไม เรื่องนี้ต้องรับผิดชอบกันทั้งคณะนั้นแหละ”
ลูกคณะทุกคนพร้อมใจกันเอาเงินของตนมาวางช่วย คนละเหรียญ สองเหรียญ ตามกำลังทรัพย์ จะมีก็แต่สร้อยพีที่แอบมองสถานการณ์อยู่ ไม่พอใจที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้
แต่สุดท้ายก็หยิบเงินของตัวเองส่งให้พยอมเพื่อส่งผ่านไปให้เที่ยง
“อ่ะ พยอมนี่ส่วนของฉัน”
“แกก็เนอะ มาๆ ฉันเอาไปรวมให้”
“ทำไมเราต้องเป็นคนจ่ายด้วย มาลีมันต้องมีแผนอะไรแน่ๆ” สร้อยพีบ่นบ้าไม่เลิก
ขณะที่คหบดีโสภณเดินมาส่งคุณกำจรที่หน้าเรือนใหญ่ ก่อนจะเห็นมาลีรีบร้อนเดินตามมาสมทบ
“อากำจรคะ คุณพ่อคะ มาลีขอเป็นคนชดใช้เเทนคณะตะลุงเองได้ไหมคะ”
“ทำไมลูกถึงต้องชดใช้เเทนคณะตะลุงด้วยละ”
“เพราะมาลีเชื่อว่าพวกเค้าไม่ใช่ขโมยอย่างเเน่นอนค่ะ เเต่ถึงอย่างนั้น ไปป์ก็เสียหายจริง อย่างไรก็ต้องรับผิดชอบต่ออากำจรค่ะ”
ท่านโสภณพยักหน้ารับเชิงเห็นด้วย
“ไม่ต้องหรอก ผมอยากได้เงินของคณะตะลุงมากกว่า”
คุณกำจรพูดยิ้มๆ เพราะยังนึกสนุกกับการได้แกล้งชาวตะลุงอยู่
“อย่าดีกว่าค่ะอากำจร ถึงยังไงคนพวกนั้นก็ถือเป็นลูกจ้าง ซึ่งก็อยู่ในความดูแลของหนู หนูขอรับผิดชอบพวกนั้นเองค่ะ รับเงินหนูไว้เถอะนะคะ นะคะคุณอา นะคะคุณพ่อ”
คุณกำจรมองหน้าท่านโสภณ และรู้สึกตัวเองเสียมารยาท จนไม่กล้าปฏิเสธข้อเสนอของมาลี
“รับไปเถอะครับ คุณกำจร”
“ก็ได้ครับ แหมผมมาที มีแต่เรื่องวุ่นวาย ขอโทษด้วยนะครับคุณโสภณ”
เที่ยงนำเงินที่รวบรวมจากคณะตะลุงทั้งหมดมาที่บ้านท่านโสภณ กิ่งที่ชะเง้อดูคุณๆ มาส่งคุณกำจรอยู่ตรงนั้น หันมาเห็นเที่ยงพอดี รีบเข้ามาฉุดตัวเอาไว้
“นายเที่ยง มาทำไมอีก”
“ผมจะมาจ่ายค่ากล่องยาสูบ”
“เดี๋ยวก่อนๆ ตอนนี้บรรยากาศไม่ค่อยสู้ดี เดี๋ยวจะโดนว่าเข้าอีก”
กิ่งชะเง้อมองไปทางคุณๆ
“เหมือนคุณกำจรจะกลับไปพักนึงแล้วนะ เหลือแต่คุณๆที่ยังคุยกันอยู่หน้าบ้าน แล้วเงินเนี่ย มันจะพอจ่ายค่าไปป์รึ”
“ไม่พอหรอก แต่มันก็ทั้งหมดที่พวกกระผมมีแล้วครับ” เที่ยงบอก
“โถ เที่ยงนะเที่ยง แล้วไม่ลองไปปรึกษาคุณมาลีก่อนรึ ว่าจะทำยังไงกันดี”
“ไม่ต้องหรอก ผมรับปากด้วยตัวเอง ผมก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง”
“งั้นก็เอาที่เธอว่าแล้วกันนะ แล้วนี่มีเท่าไหร่”
เที่ยงยกถุงเงินขึ้นมาให้กิ่งดู
“ก็ประมาณ…”
แต่เที่ยงไม่ทันได้พูดจบ ก็มีมือของใครบางคนยื่นเข้ามาฟาดถุงเงินของเที่ยงตกพื้นกระจายไปทั่ว เหรียญกลิ้งมาตกที่เท้าของคนฟาด และเป็นมณฑานั่นเอง หล่อนก้มเก็บเหรียญขึ้นมาพร้อมกับพูดเย้ยหยันเที่ยง
“อุ๊ย ขอโทษ เศษเงินหล่นเต็มไปหมดเลย ไม่ว่ากันนะ หัวขโมย”
เที่ยงต้องข่มอารมณ์อย่างหนัก “กระผมไม่ใช่หัวขโมย เเละเงินนี่ ก็กำลังเอาเงินมาชดใช้ค่าเสียหายขอรับ”
มารศรีได้ยินเสียงพี่สาวจึงเดินออกมาดูสมทบ เห็นกิ่งกับเที่ยงช่วยกันเก็บเหรียญที่กระจายเต็มพื้นอยู่ตรงหน้ามณฑา
“อะไรกันเนี่ย เหรียญกระจัดกระจายเต็มพื้นบ้าน อ้าว...นายเที่ยง”
เที่ยงได้เเต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเหรียญไม่พูดจา
“เศษเงินจากค่าปาหี่ ริจะเอามาเทียบราคากับไปป์จากเมืองนอก” มณฑาเย้ยหยัน
“เเม้เงินนี้จะเป็นจำนวนไม่มาก เเต่ก็เป็นน้ำพักน้ำเเรง ไม่ว่าขาดอีกเท่าไหร่ กระผมจะหาเพิ่มให้อีกอย่างแน่นอนขอรับ” เที่ยงบอกอย่างทรนง
“คงไม่ต้องเเล้วล่ะนายเที่ยง เพราะมาลีเธอวิ่งเเจ้นออกหน้าออกเงินให้ไปเรียบร้อยเเล้ว”
เที่ยงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาทันที
“อะไรนะครับ”
“ทำเป็นได้ยินไม่ชัด หึ มาลีมันจ่ายค่าเสียหายให้หมดเเล้ว สมใจนายแล้วซิ ที่มีชายกระโปรงผู้หญิง มาคุ้มกะลาหัว”
เที่ยงจะอธิบาย “เเต่…”
มณฑาสวนออกมา “ฉันถามจริงนะ แกไม่อายหรอที่ต้องให้ผู้หญิงมาออกรับเเทนเเบบนั้น”
“ผมไม่เคยคิดให้คุณมาลีออกรับเเทนเลยนะขอรับ”
“น้องว่าโชคยังดีที่นายเที่ยงเป็นคนดี ไม่งั้นน้องคงคิดว่านายเที่ยงหวังคบมาลีทางลัด เพื่อตกถังข้าวสารเเน่ๆ เเต่นายไม่ได้คิดเเบบนั้นหรอกใช่ไหมจ๊ะ”
เที่ยงชักโกรธที่มณฑา กับมารศรีพูดให้มาลีเสียหาย
“ผมไม่เคยคิดเเบบนั้น เเละผมก็มีศักดิ์ศรีพอที่จะชดใช้ด้วยตัวเอง ขอตัวนะขอรับ” เที่ยงรวบเงินใส่ถุงลุกขึ้นขยับตัวจะเดินกลับ แต่คำพูดของมณฑาทำให้เขาต้องชะงัก
“ศักดิ์ศรี ที่เอาไว้ซ่อนใต้ผ้านุ่งมาลีน่ะเหรอ”
เที่ยงเดินจากไป มณฑาเหยียดยิ้มอย่างสะใจ กิ่งเห็นท่าทีเที่ยงร้อนรนใจชอบกล จึงรีบตามไป
กิ่งรีบเดินมาจนทันเที่ยง
“นี่เที่ยงเธอจะไปไหนเนี่ย”
“ผมจะไปหาคุณมาลี จะเอาเงินไปคืนเธอ ผมไม่อยากให้ใครมาดูถูกศักดิ์ศรี”
กิ่งฉุดเที่ยงเอาไว้ให้หยุด
“อย่าไปเลยเที่ยง กลับไปก่อนเถอะนะ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่าๆ คุณมาลีเธอทำไปเพราะหวังดีกับนาย ถ้านายเที่ยงเข้าไปตอนนี้ อาจทำให้คุณมาลีมีปัญหาได้นะ”
เที่ยงคิดตาม เริ่มเย็นลง ยื่นถุงเงินให้กิ่ง
“งั้นฉันฝากนี่ให้คุณหนูด้วยเเล้วกันนะพี่กิ่ง ฝากบอกเธอว่าส่วนที่ขาด ฉันจะนำมาให้เพิ่มแน่นอน”
กิ่งรับถุงเงินไว้ เที่ยงเดินออกไปทางประตูทันที ไม่รอให้กิ่งได้พูดอะไร
สร้อยพีชะเง้อคอรอเที่ยงอยู่ที่หน้าประตูเรือนแถวด้วยความไม่สบายใจ ห่างออกมาก็มีนายโพนอีกคน
พยอมเดินมาสมทบทีหลัง เห็นแบบนั้นก็เลยเดินเข้าไปหาสร้อยพี
“แกไม่สบายใจเรื่องพี่เที่ยงใช่มั้ย”
“ใช่ซิ หายไปพักใหญ่แล้ว ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“พ่ออยากไปดูมัน”
“ฉันไปเองพ่อ พ่อดูแลคนที่นี่ก่อน ถ้ามีอะไรฉันจะรีบมาบอก”
สร้อยพีเดินไปตามซอยหน้าบ้านพัก ผ่านเจรมัยและมัลลิกาที่มองดูเหตุการณ์ต่างๆ อยู่ บ่นบ้ากับตัวเองว่า
“นังมาลี มันต้องเป็นแผนแกที่จะแกล้งพวกเราแน่ๆ”
สร้อยพีเดินผ่านสองคนไป มัลลิกามองตามไปหน้าเศร้า
“นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้วิญญาณตะลุงคอยจองเวรฉันแน่ๆ”
“ก็อาจจะเป็นได้ เราตามสร้อยพีไปดีกว่า”
เจรมัยและมัลลิกาตามสร้อยพีไป
นายโพนมองตามลูกสาวไปจนลับตา ก่อนจะปลีกตัวไปนั่งพักที่ท่าน้ำเพียงลำพัง
ค่ำคืนนั้น ลุงพัฒน์นั่งอยู่กับตัวตะลุงในมือ พยายามสื่อสารกับตัวตะลุง แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“ช่วยทำให้รับรู้อะไรซักอย่างอีกครั้งได้มั้ย เผื่อผมจะได้รู้ว่าจะทำอย่างไร เพื่อชดใช้บาปของตัวเอง”
ผีสร้อยพียืนมองนายโพนที่กลับมาเกิดเป็นลุงพัฒน์ ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ และลงนั่งอยู่ข้างๆ ลุงพัฒน์มองไม่ชัดว่าคนที่นั่งข้างๆ เป็นใคร แต่รับรู้ได้ว่ามีคนนั่งอยู่ด้วย
“อ้าว คุณ มานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ขอโทษทีนะครับ ผมทำให้คุณกลัวหรือเปล่าที่ ผมพูดจาดูเหมือนเลอะเทอะน่ะครับ”
ลุงพัฒน์เห็นร่างที่มองไม่ชัดส่ายหน้าปฏิเสธไม่ถือสาเรื่องที่ลุงพูดถึง
“อ๋อ ครับ นี่คุณรู้จักตะลุงมั้ย นี่ผมแก่จนป่านนี้เพิ่งจะได้จับตะลุงจริงๆ ก็ตอนนี้แหละ ชะตากรรมคนเรามันแปลกนะครับ คุณเคยมั้ยครับ เคยพลาดพลั้งทำสิ่งที่พลาดไป หลงไปในเรื่องที่สร้างความเดือดร้อนกับคนใกล้ตัว”
ลุงพัฒน์ยังคงนั่งคุยปรับทุกข์อยู่สร้อยพีโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเธอ
“ผมอยากแก้ไข แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะคนที่ถูกผมทำร้าย…เธอไม่อยู่แล้ว”
สร้อยพีฟังแล้วพลอยรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
โดยไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ ก็มีคนร้าย 2 คน จู่โจมลุงพัฒน์หมายชิงทรัพย์ คนร้าย 1 กระชากลุงพัฒน์แล้วเหวี่ยงร่างลงไปกระแทกกับพื้น
“โอ๊ย”
คนร้าย 2 ปรี่เข้าไปค้นหากระเป๋าเงินของลุงตามตัว
“ไอ้บอด มึงเอากระเป๋าเงินไว้ไหน”
ลุงพัฒน์มองเห็นรางๆ มีร่างคนร้ายสองคนกำลังโถมเข้าใส่ตน ส่วนที่ด้านหลังเห็นร่างของผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ จึงบอกให้หนีไป
“หนู รีบหนีไป ไปซิ รีบไป” ลุงหันมาทางคนร้ายยื่นกระเป๋าให้ “จะเอาเงินเอาอะไร มาเอาที่ลุงนี่ ปล่อยหนูคนนั้นไป”
คนร้ายสองคนมองหน้ากันงงๆ เพราะว่าด้านหลังพวกมันก็ไม่เห็นมีใคร
“ไอ้บอดแม่งหลอนว่ะ ดี ปล้นแม่งนี่แหละ” คนร้าย2 ยิ้มชั่วออกมา
“เฮ้ย ได้เป๋าตังค์มันแล้ว”
คนร้าย1 ร้องบอกเพื่อน แล้วทำท่าจะขยับหนี แต่มันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเพื่อนจึงชะงักกึก มีร่างผู้หญิงซ้อนอยู่ข้างหลัง และกำลังบีบคอคนร้าย2 พร้อมกับจดสายตามองจ้องอาฆาตมาที่มัน
คนร้าย1 ขวัญกระเจิง ทิ้งกระเป๋าเงิน แล้ววิ่งหนีโดยไม่คิดชีวิต คนร้าย2 ถูกสร้อยพีเหวี่ยงล้มลงไม่เป็นท่า มันกวาดตามองอย่างงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่กลับไม่พบสิ่งใด คนร้าย 2 รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิตอีกคน
“เชี่ย ผีหลอกแน่”
ลุงพัฒน์กระแอมกระไอ ก่อนที่จะลุกขึ้นคลำเก็บข้าวของที่ถูกคนร้ายรื้อค้น พร้อมกันนั้นลุงพัฒน์หยิบมือถือขึ้นมาดูใกล้ๆ ฟังเสียงก็ไม่มีเสียงใดๆ
“โทรศัพท์เป็นไรไปเนี่ย”
ลุงพัฒน์มองหาร่างผู้หญิงคนนั้น และก็ยังเห็นว่าเธอยังนั่งอยู่ที่เดิม
“หนู ยังอยู่ที่เดิมอีกรึ ทำไมไม่หนีไปล่ะ”
ลุงพัฒน์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน อย่างน่าประหลาด
“หรือหนูคือ สร้อยพี”
ลุงพัฒน์เห็นรางๆ ว่าร่างของสร้อยพีค่อยจางหายไป ชายชราเหลียวหาว่าหายไปทางไหน
“แม่หนู”
ผีสร้อยพีปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องนอนมะลิ มองดูเจรมัยกับมัลลิกา ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงห้องพักแขกบนเรือนใหญ่ ทั้งคู่ยังคงหลับสนิท
สร้อยพีกำลังขยับตัวเข้าไปหาคนทั้งสองคน แต่แล้วเธอก็รับรู้การมาถึงของใครบางคนที่เดินเข้ามาทางด้านหลัง
“ไอ้นี่ มันต้องการอะไรกันแน่”
ผีสร้อยพีจางหายไป เผยให้เห็นเป็นภาคเดินเข้ามามองช่องประตูที่เปิดแง้มอยู่ ห่างออกมามีแจ่มยืนขนาบข้าง
“ไม่รู้เป็นอะไร คุณเจกับคุณมะลิถึงขี้เซาขนาดนี้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น เข้าไปปลุกมั้ยคะ”
“ไม่ต้องๆ ป้า ปล่อยเค้านอนกันไปเถอะ”
“ค่ะ เดี๋ยว ฉันพาคุณพาไปห้องที่เก็บตะลุงแล้ว จะขอตัวไปเรียนคุณจรรยาหน่อยนะคะว่าคุณภาคมา”
“ไม่ต้องหรอก ผมมาไม่นานก็จะกลับ ไม่ต้องไปกวนแกหรอก ยิ่งรู้เยอะ ยิ่งวุ่นวาย”
“คุณภาค ฉันว่า ฉันไปเรียนคุณจรรยาก่อน แล้วค่อยพาคุณภาคไปห้องตะลุงดีกว่า คุณภาครอตรงนี้นะคะ”
“ไม่ต้อง ก็บอกว่าไม่ต้องไง” แจ่มสะดุ้งที่ภาคเสียงดังใส่ “ป้านั่นแหละ รอตรงนี้ ไม่ต้องไปไหนผมจะห้องนั้นเอง ผมรู้ว่ามันคือห้องไหน”
ภาคฉวยกุญแจจากมือแจ่มไปอย่างหน้าตาเฉย เดินไปยังห้องตาเทียบเอง ทิ้งแจ่มให้ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกได้ รีบวิ่งแจ้นออกไปอีกทางหนึ่ง
“ไม่ได้การแล้ว ไปเรียนคุณจรรยาดีกว่า”
ภาคเข้าหยุดยืนมองตู้เหนือเตียงที่เคยวางตะลุงก่อนหน้า พบว่าตอนนี้มันว่างเปล่า ภาคหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ไม่รู้จักทำอย่างไรต่อดี ไม่นานก็นึกออก เริ่มรื้อค้นหาตามตู้ หีบ ชั้นวาง ในห้องตาเทียบ แต่ก็ไม่เจอ
“มันเอาตะลุงไปไว้ไหนกันอีกวะเนี่ย ไอ้ครอบครัวบ้านี่ นึกว่าจะง่ายก็วุ่นวายซะอีกแล้ว”
ภาคหาของไปก็กดโทรศัพท์หาพีทไปด้วย แต่หมอพีทก็ไม่รับสายสักทีจนสายตัดเข้าฝากข้อความ
“เอ้า ไอ้พีท ดันให้ฝากข้อความซะอีก” เขากรอกเสียงลงไปว่า “ไอ้พีท ถ้าตะลุงมันไม่อยู่แล้ว จะให้กูทำไง โทร.มาบอกด้วย”
ภาควางสายไป จังหวะนั้นเองเขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาที่ด้านหลัง ภาคหันขวับมาจึงเห็นว่าเป็นจรรยามองจ้องอย่างไม่พอใจ
“ภาคทำอะไร มารื้อของในห้องนี้ไม่ได้นะ”
“ตะลุงอยู่ไหน น้าจรรยา” ภาคถามเสียงเข้ม
“อะไร จะอยากรู้ทำไม”
“ผมจะเอาไปไง ผมเคยพูดไปทีนึงแล้ว น้าจรรยาจำไม่ได้หรือไง”
จรรยาเสียงแข็งใส่ “ใช่ จำได้ และก็จำได้ด้วยว่าน้ายืนยันว่าจะไม่ให้”
ภาคโกรธมองหน้าอย่างเอาเรื่อง เมื่อจรรยาเสียงแข็งใส่ตน
“นี่แสดงว่าเอาไปซ่อนใช่มั้ย บอกมานะน้าจรรยา น้าจะเก็บมันไว้ทำไม น้าก็อยากกำจัดมันไปพ้นๆ ไม่ใช่หรือไง
“น้าจะคิดยังไง ก็เรื่องของน้า ภาค เธอไปให้พ้นจากบ้านน้าซะเดียวนี้เลย ก่อนที่น้าจะเรียกตำรวจ”
“เราคิดเหมือนกัน แต่น้ากลับขัดขวางผม นี่น้ามีปัญหากับผมใช่มั้ย”
ภาคเดินเข้าไปหาจรรยาอย่างคุกคาม
“บอกซะดีๆ ว่าไปเก็บตะลุงไว้ที่ไหน หรืออยากให้ผมต้องลงมือ”
จรรยาถอยหนี “น้าบอกให้ถอยไป ทำไมเธอถือยอมให้ความโลภมันเปลี่ยนให้เธอเป็นคนแบบนี้”
ภาคค่อยๆ เดินเข้ามาประชิดตัวจรรยา ในจังหวะเวลาอันจวนตัวนั้น จรรยาตัดสินใจเหวี่ยงแขนออกไปเป้าหมายคือใบหน้าของผู้จัดการส่วนตัวของลูกชาย แต่ภาคดันรู้ทันคว้าแขนไว้ได้ และบีบแขนจรรยาตรึงไว้
“หึ คุณน้าไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมยังมีสติดี คนที่สติเสียน่ะ ลูกชายคุณน้ามากกว่า”
ภาคจับเเขนจรรยา เเละค่อยๆ บีบเเรงขึ้นๆ
“บอกมานะ ว่าเก็บตะลุงไว้ไหน”
จรรยาเจ็บ พยายามดิ้นหนี “ปล่อยน้า”
“อย่าบีบให้ผมต้องทำอะไรมากไปกว่านี้เลย”
“อยู่กับลุงพัฒน์ ลุงพัฒน์ขโมยไป ลุงที่เป็นคนตาบอดน่ะค่ะคุณภาค”
แจ่มตามเข้ามาเห็น รีบโพล่งบอกเพราะกลัวว่าภาคจะทำร้ายจรรยาให้เจ็บตัวมากกว่านี้ จรรยาหันไปมองดุ
“แจ่ม”
ภาคยิ้มร้าย “กว่าจะบอกได้”
“คุณภาค คุณภาคปล่อยคุณจรรยาเถอะนะคะ นี่ป้าก็บอกหมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของลุงเลย ถ้าคุณภาครู้ก็ลองตามไปบ้านแก คุณภาคได้เจอตัวตะลุงแน่นอน”
“ได้ป้า”
ภาคละมือออกจากจรรยา พูดเย้ยหยันก่อนจะไป
“ผมขอตะลุงดีๆ ไม่ให้ เเล้วเป็นยังไงละครับโดนขโมยไปจนได้ คราวนี้เกิด เรื่องร้ายกับครอบครัวจะมาโทษผมไม่ได้นะ”
ภาคขยับตัวเดินผลุนผลันลงเรือนไป ทิ้งให้จรรยานอนเจ็บอยู่ตรงนั้น จรรยาตะโกนไล่หลังตามไป
“คนโลภอย่างเธอ มันจะพาตัวไปเจอบทสรุปที่ไม่ดีซักวัน”
ภาคดุ่มเดินจากไปโดยไม่แยแสกับคำด่า แจ่มเห็นว่าปลอดภัยก็รีบเข้าไปดูอาการจรรยา
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ โถ ทำไมเดี๋ยวนี้คุณภาคถึงเป็นแบบนี้ แล้วนี่ คุณเจกับคุณมะลิก็หลับไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้เป็นอะไร”
จรรยามองภาคไปด้วยความโมโห
ภาคเดินย้อนกลับมาดู เห็นเจรมัยเเละมัลลิกายังคงหลับไหลไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ก็ยิ่งหงุดหงิด โมโหเจรมัยที่ไม่เอาไหนซะเลย ป่านนี้ก็ยังคงนอนอยู่ได้ เขาเดินลงบันไดไป โดยไม่รู้ว่าผีสร้อยพีปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง
ผีสร้อยพีหันไปมองทั้งสองคนในห้อง แล้วหันกลับมามองภาคอีกที สุดท้ายตัดสินใจตามภาคไป
ขับรถพ้นบ้านตาเทียบมาสักระยะหนึ่ง ภาคจอดรถเข้าที่ข้างทาง กดโทรศัพท์คุยกับใครบางคน
“เฮ้ย แกพอจะมีพรรคพวกซักคนมั้ย ที่หาที่อยู่นักดนตรีตาบอด ที่แกเอามาถ่ายเอ็มวีของเจรมัยน่ะ”
ภาคนิ่งฟังปลายสาย “ไม่ได้ พี่จะเอาตอนนี้ เร็ว แกรีบหามาเลย ถ้าหาได้หนี้ที่เราค้างกัน พี่จะยกให้”
ภาควางสายไปและเฝ้ารอ
ลุงพัฒน์กลับถึงห้องพักแล้ว เปิดกล่องกีต้าร์หยิบตัวตะลุงมาวางไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง แต่จู่ๆ ในความเงียบกล่องกีต้าร์ก็ปิดลงเสียงดังแกร๊ก ทำให้ลุงรู้สึกผิดสังเกต
ลุงพัฒน์เดินมาที่กระเป๋ากีต้าร์สัมผัสดู รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันปิดลงซึ่งจริงๆ ควรจะเปิดอยู่ ชายตาบอดระวังตัวมากขึ้น เหลียวไปเจอเงาของใครบางคนมองอยู่ในมุมมืด
“ใครน่ะ”
ใครคนที่ว่าขยับตัวยืนขึ้นอย่างช้าๆ เขาคือ ภาคนั่นเอง และยังมีหน้ามาพูดเล่นติดตลก
“สวัสดีลุงพัฒน์ ผมคิดว่าลุงจะไม่เห็นผมแล้วนะเนี่ย”
“คุณเป็นใคร คุณเข้ามาทำอะไรในบ้านผม”
ภาคยิ้มโล่งใจที่เป็นลุงพัฒน์ แต่ยังไม่หันมาหา
“ผมภาคผู้จัดการเจรมัย ที่เราเจอกันในวันถ่ายมิวสิควิดีโอไงครับ”
ภาคพูดไปเดินสำรวจบ้านไปเพื่อหาตัวตะลุง
“คุณภาคมีธุระอะไรกับผมหรอครับ”
ภาคหันมาตามเสียง เขาพยายามคิดหาคำพูดว่าจะขอตะลุงจากตาแก่คนนี้ยังไงดี ที่สุดภาคเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ ลุงพัฒน์ และแสดงท่าทีอันเป็นมิตร หวังให้ลุงพัฒน์เชื่อใจมากที่สุด
“ผมอยากจะมาปรึกษาลุงพัฒน์เรื่องเจน่ะครับ”
ลุงพัฒน์ประหลาดใจ “เรื่องเจ เจทำไมหรอครับ”
“ลุงพัฒน์น่าจะพอรู้ ว่าช่วงหลังมานี้ เจดวงหด ทั้งเรื่องงาน เรื่องชีวิต”
ลุงพัฒน์ตั้งใจฟังที่ภาคพูด
“จริงๆ เเล้ว เจต้องดังกว่านี้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเเผนที่ผมวางเอาไว้ให้เค้าตั้งเเต่เเรก”
ภาคเริ่มระบายทุกอย่างที่อัดอั้นออกมาให้ลุงพัฒน์ฟัง น้ำเสียงของภาคผสมความโกรธเเละความน้อยใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
“เเต่เเผนทุกอย่างก็พังทลาย ตั้งเเต่ตะลุงนั้นเข้ามาในชีวิตเจ”
ลุงพัฒน์พอรู้จุดประสงค์ของภาคแล้ว จึงคิดหาทางเอาตะลุงไปเเอบ ในช่วงจังหวะที่ภาคเผลอ
“พังทั้งฝันของเจ เเล้วก็ฝันของผมด้วย เพราะอีตะลุงบ้านั่นตัวเดียว”
น้ำเสียงภาคเริ่มแข็งกร้าวขึ้น จนลุงพัฒน์ไม่รอจังหวะรีบลุกขึ้นไปที่ตัวตะลุงเเล้วเอามากอดไว้กับตัวทันที
ภาคหันไปเห็น “ส่งมาลุง”
“ไม่ครับ คุณต้องการอะไรกันแน่”
“ผมจะเอามันไปทำลาย”
ลุงพัฒน์กอดตะลุงแน่น บอกเสียงเข้ม “ไม่ได้ ตะลุงนี้่สำคัญสำหรับผม”
“เอามาเหอะ นะ”
“ไม่ได้คุณภาค”
ภาคชักโกรธ “นี่ผมหวังดีกับทุกคนนะ ผีบ้าเนี่ยจะได้ไม่ต้องไปหลอกหลอนใครอีก”
“ผมไม่เชื่อว่าคุณหวังดีกับคนอื่นหรอก ผมให้คุณไม่ได้”
ภาคเดินไปประชิดตัวโดยเร็ว แล้วฉกเเย่งตะลุงมาจากอกของลุงพัฒน์ส่งผลให้ชายชราล้มลงไปกับพื้นอย่างเเรง ภาคยกตัวตะลุงขึ้นมามอง พลางพูดเยาะเย้ยลุงพัฒน์
“ลุงพัฒน์เข้าใจอะไรยากเกินไปแล้วนะ”
ภาคเดินออกไปจากบ้าน ลุงพัฒน์ถือโอกาสนี้ร้องตะโกนให้คนช่วย
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย ขโมย ช่วยด้วย”
ภาคตกใจรีบกระโจนมาเอามือปิดปากลุงไว้ ลุงพัฒน์พยายามดิ้นสู้เเรงของภาคเต็มที่
“หุบปาก ลุงพัฒน์ไม่เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
ทันทีที่ภาคปล่อยมือออกจากปาก ลุงพัฒน์ก็ร้องตะโกนออกมาอีก
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย....”
ภาคจึงต่อยเข้าที่หน้า และท้องลุงพัฒน์อย่างเเรง หลายครั้งติดๆ กัน
ลุงพัฒน์ทั้งเจ็บและจุก แต่สู้กลับไม่ถอย นั่นยิ่งทำให้ภาคโกรธจนขาดสติ ผลักลุงพัฒน์ไปชนกับเสา หัวลุงพัฒน์ชนที่เสาเต็มๆ จนเลือดไหลอาบหน้า และล้มลงกับพื้นหมดสติไป
ตัวตะลุงหลุดมือตกลงที่พื้น พร้อมๆ กับที่ร่างผีสร้อยพีปรากฏขึ้นมา แต่ภาคไม่ทันเห็น เขามัวยืนตะลึงตะไลอย่างคนขาดสติขวัญกระเจิง เมื่อเห็นร่างลุงพัฒน์นอนจมกองเลือดอยู่ ไม่รู้เป็นหรือตาย
เขาเดินไปคว้าตะลุงที่ตกอยู่ที่พื้น แล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่แล้วประตูกลับปิดปัง และกลอนประตูล็อคเองเสร็จสรรพ
ภาคกวาดสายตามองไปรอบๆ พบแต่ความว่างเปล่า ร่างลุงพัฒน์ที่เคยนอนนิ่งอยู่ก็หายไปแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ในห้องก็หายไปจนหมดสิ้น กลายเป็นห้องโล่งเตียน ภาคกลืนน้ำลายลงคอด้วยความระทึก
จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออก ภาครีบก้าวออกไปที่ทางเดินยาวนอกห้องโดยไว ไฟที่ดับๆ ติดๆ อยู่ตามทางเดิน ก็ดันไล่ดับทีละดวงๆ จนหมด ภาคต้องถดตัวขยับถอยหลังอย่างระมัดระวัง
จู่ๆ ไฟดวงที่สุดทางเดินก็ติดขึ้น เผยให้เห็นเป็นเงาผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ภาครับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล พริบตาเดียวไฟก็ดับไปอีก และพอไฟติดอีกที ร่างผู้หญิงคนนั้นก็หายไปแล้ว
ภาคเดินหนีไปตามทางเดิน แต่แล้วจู่ๆ ผีสร้อยพีก็ปรากฏออกมาขวางทางเอาไว้ เขาผวาตัวตั้งสติวิ่งย้อนกลับเข้าไปในห้องแล้วรีบล็อคประตูทันที
ภาคเหลียวมองอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าจริงๆ เขายังคงอยู่ที่ทางเดิน
ภาคตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วรีบปิดประตู แต่ก็กลายเป็นว่าเขายังคงอยู่ตรงทางเดินเหมือนเดิม
ภาคเปิดประตูอีกครั้ง และคราวนี้เขาเจอผีสร้อยพียืนขวางประตูอยู่
ภาคถอยตัวไปติดกับผนังฝั่งทางเดิน แต่พอมองชัดๆ กลับไม่มีผีสร้อยพีอยู่ตรงนั้น เขากวาดตามองรอบๆ ทุกอย่างดูเป็นปกติ เขารีบควักเหรียญนาฏที่ขโมยมัลลิกามา ขึ้นมาป้องกันตัว กำเหรียญไว้ในมือแน่น เตรียมซัดใส่ผีร้ายทุกขณะ แว่วยินเพียงเสียงของสร้อยพีดังขึ้นมา แต่ไม่เห็นตัว
“แกมันชั่ว”
ภาคตะโกนกลับไปว่า “กูทำไปเพราะจำเป็น อย่าทำอะไรกูเลย”
“มันสายไปแล้ว ไอ้เลว”
สร้อยพีปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง โดยที่ภาคไม่ทันรู้ ตัวยื่นมืออันเน่าเฟะเข้าไปหาคอภาคช้าๆ
ในจังหวะนั้นเองภาคพลิกตัวกลับโดยเร็ว แล้วจับเหรียญยัดเข้าไปที่หน้าผากสร้อยพีจังๆ วิญญาณแค้นกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ร่างวูบวาบชัดบ้างไม่ชัดบ้าง เกือบจะสลายหายไป
ภาครู้ตัวว่าตนกำลังได้เปรียบ จึงใช้นิ้วกดเหรียญนาฏใส่หน้าผากผีสร้อยพีด้วยความสะใจ
“ลงนรกไปเลย อีผีชั่ว”
สร้อยพีเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ จ้องมองภาคด้วยความโกรธแค้น ดึงเหรียญออกจากหน้าผากมากำไว้ในมือ พบว่าตอนนี้เหรียญเริ่มร้าว สร้อยพียอมทนรับความเจ็บปวดกะรอให้เหรียญสลายไปเองในที่สุด มองดูภาคพบว่าเขากำลังตัวตะลุงที่ตกอยู่กับพื้น
ภาคหันกลับมารีบเดินไปดูตรงที่ผีสร้อยพีบาดเจ็บอยู่ กลับเห็นแต่เพียงเหรียญนาฏที่แตกบิ่นวางอยู่ บางส่วนกลายเป็นผง ร่างผีร้ายหายไปแล้ว
“แย่แล้ว เหรียญสลายตัวไปแล้วด้วย แต่อีผีคงเจ็บไปเยอะ รีบไปดีกว่า”
“กูไม่ยอมให้มึงไปไหนได้หรอก”
สร้อยพีเคลื่อนตัวเข้าประจันหน้าโดยไว แล้วใช้มือเน่าเฟะจากอานุภาพเหรียญจิกเข้าที่หน้าภาคจดสายตามองจ้องเขม็งอย่างเลือดเย็น ภาคได้แต่ร้องออกด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว
“อ๊าก.....ส์”
“หมดเวลาของแกแล้ว ไอ้ชั่ว”
ร่างของภาคล้มลงไปนอนแดดิ้นสิ้นใจตายคาที่ ในสภาพดูไม่จืด
ในจังหวะนี้ลุงพัฒน์ค่อยๆ ได้สติ ฟื้นขึ้นมา เหลียวมองรอบๆ ตัว และเห็นร่างของภาคนอนกองอยู่ที่พื้นและเห็นร่างของสร้อยพียืนอยู่กัน
“นี่มันอะไรกัน”
ลุงพัฒน์ควานหาโทรศัพท์จนพบ
ที่ห้องนอนแขกในบ้านตาเทียบ เสียงโทรศัพท์มือถือเจรมัยดังขึ้น เป็นสายจากลุงพัฒน์ แต่ทั้งเจรมัยกับมัลลิกายังคงนอนหลับไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์
ลุงพัฒน์รอสายอยู่นานสองนาน แต่เจรมัยก็ไม่รับสักที เลยตัดสินใจกดหาอีกเบอร์ ลุงพัฒน์รอสายไม่นาน ปลายสายก็รับ
“คุณแคท คุณแคท อยู่กับคุณเจรมัยหรือเปล่าครับ”
แคทลียางัวเงียรับสาย “นี่ใครเนี่ย โทร.มาซะดึกเขียว”
“ผมลุงพัฒน์ คือเกิดเรื่องกับคุณภาค ผมติดต่อคุณเจรมัยไม่ได้เลยครับ”
“ว่าไงนะ”
ผีสร้อยพีซ่อนตัวอยู่ตรงมุมมืดของทางเดิน ร่างวูบวาบไปมา จวนเจียนจะสลายกลายเป็นควัน
“ไอ้เหรียญนั่นมันร้ายกาจนัก ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ดีแน่”
สร้อยพีเดินช้าๆ ห่างจากร่างไร้วิญญาณของภาคออกมา
อีกฟากหนึ่ง หมอพีทหมุนปืนเล่นอยู่บนโต๊ะที่บ้าน เบื้องหน้าที่มีทั้งกระสุน ทั้งพระเครื่อง สักครู่หนึ่งจึงหยุดหมุนหันมารินเบียร์ลงแก้ว แต่จู่ๆ เบียร์ก็กลายเป็นสีดำสนิท แต่เมื่อมองชัดๆ อีกทีก็กลายเป็นเบียร์ปกติ
หมอพีทหลับตาเพ่งจิตอยู่ครู่หนึ่ง
“ไอ้ภาคเสร็จอีผีนั้นเสียแล้ว มึงต้องเจอกู อีผีชั่ว”
หมอพีทหมุนปืนอีกรอบ เพราะรู้แล้วว่าอีกไม่นานต้องมีอะไรมันส์ๆ ให้เล่นแน่นอน
ผีสร้อยพีนั่งกอดตัวเองอยู่ ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว คล้ายกับร่างจะแตกสลายไปในไม่ช้า
“นี่เรากำลังสลายแล้วหรือเนี่ย”
แต่แล้วบางสิ่งก็ดึงความสนใจของสร้อยพีได้ นั่นก็คือเสียงของแคทลียาที่ตะโกนเรียกลุงพัฒน์ที่หน้าบ้าน
“ลุงพัฒน์คะ เเคทมาเเล้วค่ะ”
ประตูหน้าบ้านไม่ได้ล็อก เเคทลียาเปิดเข้ามาในบ้านลุงพัฒน์ มองเข้าไปในนั้น แต่ไม่เห็นใคร สายตาเจอร่องรอยของการต่อสู้ทำให้เธอใจสั่น และแล้วก็ต้องเอามือปิดปากตัวเองเมื่อเห็นศพของภาคที่นอนจมกองเหลือดในสภาพยับเยิน นั่นทำให้เธอถึงกับอาการหอบกำเริบขึ้นมา
“พี่ภาค พี่ภาคตายเเล้วจริงๆ เหรอ”
เเคทลียาช็อก มีอาการหอบหายใจติดๆ ขัดๆ พยายามคลำหายาฉีดเเก้หอบในกระเป๋า
ในจังหวะนั้นเอง หางตาของเธอก็เห็นเงาอะไรบางอย่าง ซึ่งเมื่อเธอหันไปก็ไปมองชัดๆ ก็สบตากับผีสร้อยพีที่นั่งบาดเจ็บอยู่ตรงสุดทางเดิน ฉับพลันทันใดนั้นเอง ร่างแคทลียาก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ก่อนที่จะลุกขึ้นมาอีกหนในท่าทีที่นิ่งเฉยผิดหูผิดตาไปจากคนเดิม ดวงตาดำขลับของแคทลียาเปลี่ยนสีมาเป็นดวงตาสีน้ำตาลของสร้อยพี
อา...เวลานี้ผีสร้อยผีเข้าไปสิงในร่างแคทลียาแล้วเรียบร้อย
แคทลียาเดินมาหาลุงพัฒน์ที่กำลังควานหาตัวตะลุงอยู่ ลุงพัฒน์หันมามอง เห็นเป็นผู้หญิงรูปร่างแบบบางผมยาวสลวยเหมือนสร้อยพี แต่ไม่นานก็เห็นเป็นแคทลียา
“ใครน่ะ...คุณแคท”
ดวงจิตของเจรมัยยังอยู่ในอดีต เขาเห็นสร้อยพีเดินเร็วรี่รวมไปกับผู้คนตรงหน้าในตลาด เขากับมัลลิการีบเดินตามไปติดๆ และเดินตามมาสักครู่หนึ่ง ก็พบว่าสร้อยพีหายไปแล้ว
“อ้าวสร้อยพีหายไปไหนแล้ว คุณเห็นมั้ย”
“นั่นซิ หายไปไหนซะนี่”
มัลลิกามองหาจนเห็นหลังสร้อยพีไวๆ อยู่ทางหนึ่ง ส่วนเจรมัยก็เดินไปมองหาอีกทาง
“สร้อยพีๆ รอฉันก่อน”
ต่างคนต่างเดินไปจนสุดท้ายทำให้ทั้งสองคนคลาดกันท่ามกลางผู้คนในโลกอดีต
มัลลิกาหันกลับมาหา ก็พบว่าคลาดกับเจรมัยเเล้ว มัลลิกาพยายามเดินย้อนกลับมาทางเดิม มองหาจนทั่วเห็นใครคนหนึ่งรูปร่างคล้ายเจรมัย แต่พอเดินไปประชิดตัว ชายคนนั้นหันมากลับพบว่าไม่ใช่เจรมัย
“อ้าว เจ หายไปอีกคนซะนี่”
มัลลิกาหนักใจ เจรมัยก็มาหายตัวไป ขณะเดียวกันเธอก็ตามสร้อยพีไม่ทัน
เจรมัยรู้ตัวแล้วว่าได้คลาดกับมัลลิกาท่ามกลางผู้คนที่ตลาดในโลกอดีต เขาร้อนใจหันซ้ายแลขวามองหาเธอไปทั่ว แต่ไม่เจอแม้เงาของมัลลิกา
ในระหว่างนั้นเองเจรมัยก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังกระชั้นขึ้นถี่ๆ เขารู้แล้วว่าเวลาเหลือน้อยเต็มทน แต่พะว้าพะวงยังไม่พร้อมที่จะกลับเพราะยังหามัลลิกาไม่เจอ เจรมัยตัดสินใจตะโกนเรียกหามัลลิกาขึ้นสุดเสียง
“มะลิๆ อยู่ไหน มะลิ หรือว่าจะกลับก่อนเรานะ”
แต่แล้วเขาก็ฝืนกฎไม่ได้ เจรมัยหายวับไปท่ามกลางผู้คนในตลาด
เจรมัยตื่นขึ้นมา เเล้วพบว่ามัลลิกายังนอนหลับอยู่ข้างๆ เขายิ้มมองอย่างเอ็นดู
“ตื่นได้แล้วคุณ นอนเพลินไปแล้ว”
เจรมัยเกลี่ยปลายผมที่ระปรกใบหน้าให้ เรียกเบาๆ
“มะลิ ได้ยินที่ผมเรียกมั้ย กลับมาได้แล้ว”
เจรมัยเขย่าตัวมะลิเบาๆ และเริ่มเขย่าแรงขึ้นเพราะเธอไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“มะลิๆ กลับมาได้แล้ว”
เจรมัยหยิบมือถือมาดู เห็นมิสคอลของลุงพัฒน์หลายสาย แต่ไม่ทันได้โทร.กลับ เพราะมัลลิกายังไม่ฟื้น เจรมัยร้อนใจพยายามปลุกเรียก แต่ก็ไม่เป็นผล
“มะลิๆ ตื่นสิ”
เสียงดังเอะอะของเจรมัย เรียกให้เจนจิราต้องวิ่งขึ้นมาดู
“เกิดอะไรขึ้นเจ”
“มะลิไม่ยอมตื่นอะพี่เจน เรียกเท่าไรก็ไม่ตื่น”
เจนจิราตกใจ รีบวิ่งเข้ามาช่วยดูอาการของมะลิอีกเเรง
“มะลิ ตื่นสิ มะลิ”
จากนั้น จรรยา จิตรา จิรา จินดา ก็เดินตามเข้ามาดู ทุกคนในบ้านพากันโกลาหล เกี่ยวกับอาการป่วยประหลาดของมัลลิกา จินดาคิดว่าอาจโดนผีสร้อยพีทำร้ายแน่ๆ
จิตราสรุป “พาไปหาหมอเถอะ นี่ถ้าหลับปกติก็น่าจะตื่นได้เเล้ว”
เจรมัยเห็นด้วยกับจิตรา ทุกคนในบ้านช่วยกัน จรรยาอาสาที่จะไปเป็นเพื่อนเจรมัยเอง
“เอาล่ะทุกคน เดี๋ยวฉันจะไปกับเจเองถ้าได้เรื่องยังไงจะส่งข่าวมา”
เจรมัยขับรถออกไปด้วยความร้อนใจ
ระหว่างทางมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล เจรมัยเป็นคนขับรถมาด้วยท่าทีร้อนใจ จรรยาดูแลมัลลิกาอยู่ที่เบาะหลัง และร้อนรนใจไม่ต่างกับลูกชายต่อเหตุการณ์ร้ายแรงตรงหน้า
“โถหนูมะลิ ทำไมเป็นเเบบนี้ หวังว่าจะไม่ใช่ฝีมือ…”
เจรมัยสะดุดหู “อะไรเหรอครับเเม่”
“ก็ตอนที่เจกับหนูมะลิหลับไป พี่ภาคมาที่บ้านเราน่ะสิ”
“จริงหรอครับเเม่ เเล้วเค้ามาทำไม”
“ก็เรื่องตะลุงนั่นแหละ เเม่ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้ภาคกลายเป็นปีศาจอย่างที่เจว่าจริงๆ ด้วย”
“เเล้วพี่ภาคเค้ารู้ไหมครับ ว่าตอนนี้ตะลุงอยู่กับลุงพัฒน์”
“ป้าเเจ่มบอกไปแล้วน่ะสิ”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย หวังว่าพี่ภาคจะยังไม่ได้ตะลุงไปนะ”
สีหน้าเจรมัยเป็นกังวลกับเหตุการณ์ทั้งหมด เขาหันมามองเเล้วยื่นมือไปลูบผมมัลลิกาเบาๆ
“เธอก็อย่าเป็นอะไรนะ มะลิ”
ไม่นานต่อมา มัลลิกานอนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน หมอเดินออกมาหน้าห้องเเจ้งอาการให้เจรมัยกับจรรยาฟัง
“เธออยู่ภาวะที่เรียกว่าภาวะผักครับ คงต้องรักษาความดันร่างกายเอาไว้ แต่ก็น่าแปลกก็ตรงที่ คุณมัลลิกาเหมือนกับหลับอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเองครับ”
เจรมัยกับจรรยาหน้าเครียดทั้งคู่ ระหว่างนั้นเองลุงพัฒน์ก็โทร.หาเจรมัยอีกครั้ง เขาขอตัวรับสาย
“คุณเจ เกิดเรื่องแล้วครับ…คือ พี่ภาคผู้จัดการของคุณตายแล้ว”
เจรมัยตกใจมาก “อะไรนะ”
“ผู้จัดการของคุณตายแล้ว เค้าเสียชีวิตที่บ้านพักของผม”
“แล้วตอนนี้ลุงอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร”
“ผมอยู่ที่โรงพยาบาลกับคุณแคท...พร้อมศพคุณภาคครับ”
“โรงพยาบาลอะไรครับ...” เขาฟังแล้วนิ่งไป “ผมก็อยู่ที่นี่ เดี๋ยวผมไปหาครับลุง”
เจรมัยฝากมัลลิกาไว้กับจรรยา เเละรีบวิ่งไปหาลุงพัฒน์ทันที
ที่บริเวณหน้าห้องดับจิต ลุงพัฒน์ยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และโดนตำรวจสอบปากคำ แต่ลุงพัฒน์ไม่มีข้อมูลการตายใดๆของภาคให้ไป
“เกิดอะไรขึ้นครับ...ผู้ตายไปที่บ้านคุณทำไม เเล้วร่องรอยพวกนั้นเป็นฝีมือของใคร”
“คุณภาคเป็นผู้จัดการของคุณเจรมัยครับ เเต่เค้ามาทำไม เเละ ตายเพราะใคร ผมเองก็ตอบไม่ได้”
“ที่เกิดเหตุมีเเต่ลุงกับคุณภาค ถ้าลุงไม่บอกผม ลุงอาจโดนข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาได้นะครับ”
เห็นลุงพัฒน์เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไร ตำรวจมองอย่างเข้าใจสถานการณ์
“เอาละๆ ลุง สงสัยลุงจะยังช็อกอยู่ งั้นผมให้เวลาลุงแล้วกัน เดี๋ยวผมจะขอนัดสอบกับลุงอีกที”
ตำรวจมองไปทางหนึ่ง ก็เห็นแคทลียายืนอยู่ที่มุมทางเดินท่าทีเงียบขรึม
“เออ ลุง แล้วคุณดารานั่นเกี่ยวกันยังไง ผมเห็นเธอยืนนิ่งๆ ตรงนั้นมานานแล้วนะ”
“คุณแคท เค้ามาช่วยผมครับ ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง เธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลยครับ” ลุงบอก
“เหรอ”
ตำรวจยังคงมองท่านิ่งเงียบของดาราคนสวยด้วยความสงสัย แคทลียานิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ตรงทางเดิน
ระหว่างนี้ เห็นเจรมัยเดินรีบร้อนเข้ามาตามทางเดิน แล้วตรงไปหาแคทลียาจับบ่าอย่างขอบคุณ
“แคท เธอเลยต้องมาเป็นธุระให้ ขอบใจนะ”
ผีสร้อยพีในร่างแคทลียาผวาตัว เมื่อถูกสัมผัสตัวตน มองเจรมัยใกล้ๆ อย่างไม่เห็นเคย หากเจรมัยสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันคือดวงตาสีน้ำตาของสร้อยพี
“คุณคงตกใจมากสินะ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พี่ภาค ไม่น่าเลย”
เจรมัยสะท้อนใจ อดสงสารอดีตผู้จัดการไม่ได้
“คุณพักก่อนละกัน ผมขอไปหาลุงพัฒน์ก่อน”
แคทลียามองตามเจรมัยที่กำลังเดินไปหาลุงพัฒน์ และสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ลุงพัฒน์ เรื่องมันเป็นยังไงครับ พอจะเล่าได้มั้ยครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ภาค”
“คุณภาคมาหาผมที่ห้องเช่า เพื่อจะเอาตัวตะลุงไป”
“พี่เค้าจะเอาไปทำไม”
“เห็นว่าจะเอาไปทำลาย”
เจรมัยอึ้งไป “นี่ที่แกต้องมาเสียชีวิตก็ คงเพราะ ตัวตะลุงแน่เลย”
แคทลียาเหลียวมามองเจรมัยช้าๆ หลังได้ยินประโยคนั้น พึมพำออกมาเบาๆ
“คนบางคน ก็สมควรจะมีบทสรุปแบบนั้น”
เจรมัยขอร้องลุงพัฒน์ดีๆ
“ลุงยอมรับเเล้วใช่ไหม ว่าเหตุมันเกิดมาจากตัวตะลุงตัวนั้น ถ้าอย่างนั้น ผมขอคืนนะครับ”
“ลุงเชื่อว่าที่ลุงรอดมาจากถูกคุณภาคทำร้าย ก็น่าจะเป็นเพราะเธอช่วยลุงไว้ ถึงแม้ลุงจะมองไม่ชัดแต่ลุงก็สัมผัสได้ว่าเธอมาช่วยลุงไว้”
เจรมัยอึ้งไปชั่วครู่ “เธอ ที่ลุงว่า คือสร้อยพีอย่างงั้นหรือครับ”
“ครับ”
“แต่ยังไงก็ตาม ลุงก็ไม่ควรเก็บตะลุงนั่นไว้ คืนผมมาน่าจะดีกว่านะครับลุง”
ชายชรามั่นใจว่าเขาจะเจอสร้อยพีได้อีกครั้ง หากเก็บตะลุงไว้ จึงตัดสินใจโกหกเจรมัยออกไป
“ตะลุงหายไปเเล้วครับ”
เจรมัยตกใจ เขาถามย้ำไปอีกครั้ง
“ไม่จริงมั้งลุง” แล้วจึงหันไปทางแคทลียา “แคทละ คุณอยู่ที่นั้นคุณเห็นมั้ย”
แคทลียาหันมามองที่เจรมัย แล้วมองเลยไปยังลุงพัฒน์ นึกได้ว่าตอนอยู่บ้านเช่า แคทลียาเป็นคนหยิบตะลุงจากพื้นยื่นให้ลุงพัฒน์กับมือ โดยลุงพัฒน์เอามันไปเก็บในกล่องกีต้าร์ นึกได้แล้วแต่สร้อยพีในร่างแคทลียายังไม่ยอมตอบ จนเจรมัยต้องถามย้ำมาอีกครั้ง
“ว่าไงแคท เธอเห็นมันบ้างมั้ย”
แคทลียาส่ายหน้า ลุงพัฒน์ได้เเต่ก้มหน้าก้มตา
“ถ้าผมพบ จะรีบคืนให้นะครับ”
เจรมัยมองดูลุงพัฒน์แล้วนึกสงสาร คิดว่าซักไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี
“ครับลุง”
เจรมัยเดินตามโถงทางเดินมากับแคทลียา และ ลุงพัฒน์
“คืนนี้พวกเราโดนมาหนักกันจริงๆ ทั้งแคท ทั้งลุง และทั้งมะลิ”
แคทลียาไม่พูดใดๆ แต่สายตาของเธอก็รู้สึกสนใจในคำว่ามะลิ
“อืม ผมยังไม่ได้บอกเลย ว่าตอนนี้มะลิหลับไม่ได้สติ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ยังอยู่ในห้องไอซียู ไม่รู้จะช่วยยังไง ผมเป็นห่วงมะลิจริงๆ”
“จริงเหรอครับ”
“ครับ เราไปเยี่ยมมะลิกันนะครับ ผมจะพาไป”
แคทลียาได้ยินประโยคนั้น ก็ชะงักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินต่อไปโดยไม่หันหน้าไปหาเจรมัย
ในห้องผู้ป่วย จรรยาห่มผ้าห่มให้มัลลิกาที่หลับไหลไม่รู้สติ ไม่เห็นว่าตอนนี้เปลือกตาของมัลลิกาขยับไปมา
มัลลิกาพบว่าเธอหลงอยู่ในอดีตโดยลำพังไม่มีเจรมัยแล้ว เธอมุ่งหน้าเดินเข้าไปในวัด ในภาวะสิ้นหวัง และเริ่มกลัว หากต้องติดอยู่ในอดีตนี้ตลอดไปเธอจะทำอย่างไร
“เจๆ คุณอยู่ไหน เจ หรือเจ จะไม่อยู่แล้ว แล้วฉันจะต้องทำยังไงละเนี่ย”
แต่แล้ว จู่ๆ ก็มีเด็กชายตัวเปียกซกวิ่งมาชนเธอจนหยดน้ำกระเซ็นใส่ มัลลิกาจับเด็กไว้ด้วยความประหลาดใจ
“นี่เธอเห็นฉันเหรอ”
เด็กชายชื่อเเดงพยักหน้า “ปล่อยฉัน ฉันจะไปตามเเม่”
มัลลิกาดูท่าทางของเด็กมีเรื่องเดือดร้อนแน่ เธอจึงอาสาจะช่วยเอง
“มีอะไรไหนบอกพี่ซิ ใครทำอะไรหนู”
“น้องฉันตกน้ำ ฉันจะตามเเม่มาช่วยน้อง”
“ตามเเม่ไม่ทันเเน่ พี่จะไปช่วยเอง”
เเดงรีบพามัลลิกาไปที่เกิดเหตุที่ท่าน้ำ
มัลลิกามาถึงก็ต้องตกใจ คนมุงดูเหตุการณ์มากมาย เด็กผู้หญิงถูกช่วยชีวิตจากการจมน้ำ จะมีก็เเต่เด็กชายที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเค้ากำลังจะจมลงไป
เมื่อมัลลิกาเพ่งมองดีๆ ก็รู้ว่า เด็กชายคนนั้นคือคนเดียวกับที่เธอเจอ เขาคือวิญญาณที่ออกจากร่าง
“นี่เธอ ตายแล้วเหรอ ลองกลับไปในร่างมั้ย เผื่อจะยังมีทางรอด”
เด็กชายยืนร้องไห้ที่เห็นว่าตัวเองกำลังจะตาย
“ไม่มีเวลาเเล้ว ลองเลย อย่ามัวลังเล”
มัลลิกาพยายามช่วยเด็กทุกวิถีทาง ในขณะที่ชาวบ้านก็กำลังว่ายน้ำไปรับตัวเด็กชายมา สุดท้ายเด็กชายก็สามารถเข้าร่างได้ทันเวลา ชาวบ้านช่วยกันปฐมพยาบาลจนเขาฟื้นขึ้นมา เเดงพยายามมองหามัลลิกาเเต่ก็ไม่เห็น
มัลลิกายืนดูเหตุการณ์อยู่ดีใจที่ช่วยเเดงได้สำเร็จ เเต่เเล้วเมื่อเธอกลับมาอยู่คนเดียว เธอก็เศร้าใจที่ยังหาวิธีกลับบ้านไม่ได้
“ดีใจด้วยนะหนู เหลือเเต่ฉันเเล้วสินะ”
ฝ่ายเจรมัยพาเเคทลียากับลุงพัฒน์มาดูอาการมัลลิกาที่ห้องฉุกเฉิน เล่าให้สองคนฟังว่า
“ตอนที่ลุงโทร.มา มะลิเองก็เกิดเรื่องเธอหลับไม่ยอมตื่น จนผมต้องมาส่งโรงพยาบาล พาลวุ่นไปจนไม่ได้รับไม่ได้โทรกลับสายลุงน่ะครับ”
แคทลียาพึมพำเบาๆ “มาลี”
“ตอนนี้หมอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้าดูอาการอย่างเดียว”
ลุงพัฒน์คิดกังวลบางอย่างอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา
“แล้ว คุณมะลิ มีโอกาสจะตื่นขึ้นมามั้ยครับ”
“หมอบอกอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
ลุงพัฒน์ใจหาย “โถ คุณมะลิ”
โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นและได้ยิน สร้อยพีในร่างแคทลียาได้พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างนั้นรึ”
อ่านต่อ ตอนที่17
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่16 #thaich8 #ละครออนไลน์