เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 15
บทประพันธ์ : พลอยฝน
บทโทรทัศน์ : Once House
นายโพนฉุดกระชากสร้อยพีที่ร้องไห้มาตลอดทางจนถึงบ้านพัก แล้วเหวี่ยงร่างลูกสาวให้นั่งลงที่เเคร่หน้าบ้าน ทุกคนในคณะตะลุงต่างตื่นตกใจ แต่ไม่มีกล้าเข้ามายุ่ง ได้เเต่ยืนดูอยู่รอบๆ
พยอมเข้าไปดูเพื่อนอย่างเป็นห่วง สร้อยพีจับเเขนที่เจ็บเพราะโดนพ่อดึงอย่างแรง
“มึงจะพูดได้หรือยัง ว่าไปทำเเบบนั้นกับคุณหนูเค้าทำไม”
สร้อยพีลุกพรวดขึ้นยืน เถียงด้วยน้ำเสียงกระเเทกกระทั้น ในสภาพหน้าตาเลอะไปด้วยคราบน้ำตา
“ทำ ฉันทำอะไรพ่อ พ่อไม่เห็นหรอ ว่าอีนั่นมันตบฉันก่อน”
“หยุดเลยนะสร้อยพี แกไม่ได้ทำ เเต่แกกำลังจะทำ เเล้วใครๆ ก็เห็นว่าเเกยืนด่าเค้าฉอดๆ เค้าไม่ไล่กลับนคร ก็บุญหัวเเค่ไหนเเล้ว”
นายโพนสุดจะทน ใช้นิ้วจิ้มหัวลูกสาวเต็มแรง สร้อยพียิ่งโกรธหนัก
“ก็ไล่สิ ฉันอยากกลับบ้านจะตายอยู่เเล้ว ตั้งเเต่เรามาอยู่ที่นี่ก็มีเเต่เรื่องๆๆๆ พ่อรู้บ้างไหม ว่าฉันไม่มีความสุขเลยสักวัน”
สร้อยพีระเบิดร้องไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ นายโพนเงียบไป มองดูลูกสาวที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้แล้วอดสะท้อนใจไม่ได้ พยอมเข้าไปปลอบสร้อยพี
“เอ็งเปลี่ยนไปมากเลยนะสร้อยพี อะไรทำให้เอ็งถึงเป็นเเบบนี้”
นายโพนพยามใช้สติในการพูดกับลูกสาว สร้อยพีหยุดร้องไห้ เงยหน้าขึ้นมาตอบผู้เป็นพ่อว่า
“ก็อีมาลีไง”
เมื่อสร้อยพีพูดเเบบนั้นก็ทำให้นายโพนรู้สึกไม่พอใจอีกครั้ง
“สร้อยพี”
นายโพนฉุดมือสร้อยพีลุกขึ้น เเล้วลากไปที่้ห้อง
“พ่อจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”
สร้อยพีตกใจดิ้นหนี สะบัดมือออกจากมือพ่อเเต่ไม่สำเร็จ นายโพนดึงสร้อยพีมาจนถึงห้อง พยอมรีบวิ่งตามมาห้าม
“อาจ๊ะ อย่าถึงขนาดนี้เลยนะจ๊ะ”
“เอากุญเเจห้องมาอีพยอม ข้าจะเรียกสติมัน มีสติเมื่อไรค่อยออกมา”
“พ่อ...ไม่พ่อ พ่ออย่าทำเเบบนี้ พ่อ”
สร้อยพีดิ้นรนขัดขืน กรีดร้องเสียงดังโหยหวน
นายโพนปิดประตูทันที ยืนน้ำตาซึมอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะล็อกกุญเเจห้องเเล้วเดินออกไป พยอมได้เเเต่ยืนอึ้งอยู่หน้าห้อง แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความสงสารสร้อยพี
ฝ่ายเพ็ญนวดให้มาลีไป บ่นถึงสร้อยพีที่ก่อเรื่องวันนี้ไปอย่างแปลกใจ
“ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหนะคะคุณหนู นังสร้อยพีพูดจาเเบบนั้นกับคุณหนูได้ยังไง”
“ช่างเค้าเถอะ คงจะโกรธจนขาดสติ ก็เลยเผลอพูดอะไรเเบบนั้นออกมา”
“คุณหนูก็เลยเรียกสติซะหน่อย” เพ็ญเย้า แต่มาลีไม่ชอบ
“เพ็ญ อย่าใช้คำ ที่…ทำให้เป็นเรื่องสนุกปาก”
“ค่ะ”
“ไม่รู้ว่าตอนนี้สร้อยพีเป็นยังไงบ้าง”
“ว่าเเต่ สร้อยพี ไปเอามาจากไหน เรื่องคุณหนูเป็นลูกเมีย...”
เพ็ญยังพูดไม่ทันจบก็รู้ตัวว่าพูดไม่ดี มาลีหันมามอง เห็นเพ็ญตบปากตัวเองไปมา
“นี่แนะอีเพ็ญ ปากพล่อยซะจริง”
“ช่างเถอะเพ็ญ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรผิด”
เพ็ญสงสาร “คุณหนู”
มาลีหน้าเศร้าลง
มารศรีเเอบฟังเรื่องทั้งหมดที่นอกประตู ยิ้มร้ายด้วยสีหน้าสะใจที่เเผนของเธอไปไกลกว่าที่คิด
“โง่ทั้งคู่ ตีกันให้ตายไปเลยอีสร้อยพี อีมาลี”
ในขณะเดียวกันมณฑาเดินผ่านมาและเห็นมารศรีกำลังเอาหูเเนบประตู จนมารศรีเห็นก็รีบละตัวออกมารายงานข่าวดี
“พี่มณฑา”
“มีเรื่องสนุกๆอีกเเล้วเหรอ”
มารศรียิ้มกระหยิ่มก่อนจะตอบ
“ใช่ค่ะ สนุกมากด้วย”
มณฑายิ้มสะใจอย่างรู้กัน
สร้อยพีนั่งเสียใจอยู่ที่หน้ากระจก ตาบวมเเดงช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนัก ยกเเขนขึ้นมาดูเห็นเป็นรอยเเดงช้ำที่ถูกพ่อฉุดดึง เงาจากกระจกยังเห็นเป็นรอยเเดงสีจางๆ บนใบหน้าจากการถูกมาลีตบ สร้อยพี ค่อยๆ จับหน้าตัวเอง เเล้วน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความโกรธแค้นที่ระอุขึ้นในใจอีกครั้ง
“อีมาลี มึงทำให้ชีวิตกูต้องเป็นเเบบนี้ กูจะไม่มีวันทำดีกับมึง ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน”
ฝ่ายนายโพนนั่งทบทวนคำพูดสร้อยพี ที่ระเบิดอารมณ์ใส่
“พ่อรู้ไหมว่าฉันไม่มีความสุขเลยสักวัน”
นายโพนน้ำตาไหลออกมา เที่ยงเดินเข้ามาข้างหลัง
“อาโพน อยู่นี่นี่เอง”
นายโพนเเอบเช็ดน้ำตา แล้วจึงหันมาหา
“อ้าวเที่ยงเองรึ”
“วันนี้มีเรื่องอะไรกันรึ เห็นพยอมว่าอาทะเลาะกับสร้อยพี”
“สร้อยพีมันผีเข้า ไปยืนด่าคุณมาลีเค้าฉอดๆ อยู่ในตลาด”
เที่ยงตกใจเมื่อได้ยินเเบบนั้น
“จริงเหรอจ๊ะ ทำไมทำแบบนั้น เเล้วตอนนี้สร้อยพีอยู่ไหนอา ฉันจะไปคุยกับสร้อยพี”
“ไม่ต้องหรอก ข้าขังมันไว้ในห้อง ปล่อยให้มันอยู่คนเดียวไปก่อน ไว้มันผีออกไปค่อยไปคุยกับมัน ตอนนี้ข้าน่ะเป็นห่วงคุณมาลีมากกว่า ไม่รู้จะเป็นยังไง เที่ยงเอ็งเป็นธุระให้หน่อยได้มั้ย”
เที่ยงสีหน้าไม่สู้ดีนัก รู้สึกเป็นห่วงมาลีจับใจ
สร้อยพียังคงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ จนเมื่อเห็นประตูเปิดเเง้มออก จึงหยุดร้องเเกล้งทำเป็นหลับ เป็นพยอมที่ค่อยๆ เเง้มประตูเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวเเละยา
“สร้อยพี หลับรึ”
สร้อยพีได้ยินเป็นเสียงพยอมจึงลืมตาตื่น ลุกขึ้น
“พยอมเองหรอ”
พยอมเห็นสภาพสร้อยพีเเล้วก็อดสงสารไม่ได้ ดึงสร้อยพีเข้ามากอด
“แกเจ็บตรงไหนบ้าง เดี๋ยวฉันจะทายาให้”
สร้อยพีโผเข้ากอดพยอมร้องไห้ออกมาอีก
“ขอบใจนะพยอม”
พยอมดูแผล แล้วทายาให้ สร้อยพีอารมณ์เย็นลง
“พยอม พี่เที่ยงกลับมาหรือยัง”
“กลับมาเเล้วล่ะ เห็นนั่งคุยกับอาโพนอยู่”
สร้อยพีถอนหายใจผิดหวัง ที่เที่ยงไม่มาหาหรือถามเธอบ้าง
“กลับมาเเล้วไม่คิดจะมาหาฉันเลยรึ ไม่เป็นห่วงกันเลยหรือไง”
“เดี๋ยวคุยกับอาโพนเสร็จคงเข้ามาละมั้ง”
พยอมมองหน้าสร้อยพีเห็นรอยเเดงเป็นปื้นที่หน้า
“เออ สร้อยพี คุณหนูเธอตบแกจริงๆ เหรอวะ”
“เอ๊ะ พยอม ไม่เห็นหน้าฉันหรือไง”
สร้อยพีจากที่ใจเย็นๆ อยู่ ก็เริ่มอารมณ์ขึ้นมาอีก พยอมทำมือบอกว่าให้เบาๆ เสียงหน่อย
“ใจเย็นๆ ก็เพราะว่าเห็นนี่ไง ถึงได้ถาม เธอก็ดูเรียบร้อยผู้ดีออก ทำไมมาตบแกได้วะ” พยอมไม่อยากเชื่อ
สร้อยพียิ่งแค้น “ก็ธาตุเเท้ออกไง นังมาลีมันเป็นลูกเมียน้อย”
พยอมคาดไม่ถึง “ลูกเมียน้อย”
“มีอะไรที่แกยังไม่รู้อีกเยอะพยอม แกจำไว้เลยนะ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ดีอย่างที่เห็นหรอก”
พยอมไม่ค่อยแน่ใจในสิ่งที่สร้อยพีพูดนัก สร้อยพีไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีกจึงไล่ให้พยอมไปนอน
“ฉันเหนื่อยเหลือเกินพยอม แกไปเถอะ เดี๋ยวพ่อรู้ก็โดนดุหรอก”
พยอมจับตัวสร้อยพีเพื่อปลอบใจแล้วเปิดประตูออกไป
สร้อยพีมองออกไปนอกประตู สอดตามองหาเที่ยงแต่ไม่เจอ ก่อนที่พยอมจะปิดประตูลง
มัลลิกานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานของเธอ มีเจรมัยตามเป็นเงา คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
“ฉันเคยคิดกับตัวเองนะว่า ในอดีตแล้วจริงๆ ฉันเป็นคนยังไง”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็ฉันอยากรู้ว่า อะไรถึงทำให้วิญญาณนั่นตามติดฉันขนาดนี้”
เจรมัยคิดตาม “อ๋อ ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมก็คิดเหมือนกัน”
มัลลิกาเซ็ง “แหม คิดว่ามีคำตอบ”
เจรมัยยิ้มขำ “เอาจริงๆ ก็มีนะ”
มัลลิกาตื่นเต้น “จริงดิ”
“ผมว่าคุณก็รู้”
การชี้นำของเจรมัยพอทำให้มัลลิกานึกถึงคำตอบได้ว่า ‘เป็นเพราะเมื่อภพอดีต สองคนเคยเป็นคนรักกัน’
แต่ต้องถามให้แน่ใจ “อะไร”
“ก็เพราะ...ตอนอดีตเราสองคน เคยรักกัน”
มัลลิกามองค้อน “หึ้ย…พูดมาได้”
ทั้งสองคนต่างก็พากันขัดเขิน ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“แล้วชาตินี้เรา...”
ทั้งคู่จ้องหน้าสบตากันด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง เจรมัยค่อยๆ โน้มหน้าเข้าหา แต่มัลลิกากลับลุกพรวดขึ้น
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันไปชงกาเเฟดีกว่า เอามั้ย เดี๋ยวเอามาเผื่อ”
เจรมัยยิ้มขำมองตามมัลลิกาออกไปโดยไวอย่างพิรุธ จนมีสายเรียกเข้ามือถือดังขึ้น เป็นสายจากแม่โทร.มาหา เขารีบกดรับ
“ฮัลโหล...เจ”
น้ำเสียงจรรยาสั่นเครือ จนเจรมัยจับได้ เขาใจหายและนึกเป็นห่วง
“ครับเเม่ เเม่เป็นไรรึเปล่าครับ หรือว่าพี่ภาคทำอะไรเเม่”
“เปล่าลูกไม่ใช่พี่ภาคหรอก เเม่เเค่รู็สึกเเปลกๆ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”
ในขณะที่จรรยาคุยสายกับเจรมัยอยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนมีใครอีกคนยืนมองอยู่ทางข้างหลัง ที่แท้เป็นผีสร้อยพีนั่นเองยืนจ้องอยู่ เเละค่อยๆ ขยับร่างเข้าไปจนใกล้ เกือบจะประชิดตัวอยู่รอมร่อ
“ไว้เจกลับมา เเม่ค่อยเล่าให้ฟังอีกทีเเล้วกันนะลูก”
จรรยาหันขวับไปดู เเต่ก็ไม่พบอะไร
“เเล้วพี่ภาคละครับเเม่”
“ออกจากบ้านไปแล้ว พอเเม่ยืนยันว่าให้ตะลุงไม่ได้ พี่ภาคก็ทำท่าทางเเปลกๆ เเล้วก็วิ่งออกจากบ้านไปเลยลูก”
ผีสร้อยพีปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ในรูปเเบบของเงาที่ทอดทับเงาของจรรยาตามพื้น จรรยามองดูเงานั้นอย่างประหลาดใจ ขณะที่คุยกับลูกไป
เจรมัยโล่งใจ “ดีแล้วครับ ยังไงผมจะรีบกลับนะครับเเม่”
เงาที่ทอดยาวทับตัวจรรยานั้นค่อยๆ ขยายขนาดขึ้น จนเริ่มเห็นเป็นโครงร่างของผู้หญิงผมยาว จรรยาจับจ้องเงานั้น และเดินตามเงานั้นไป จนไม่ได้สนใจฟังเจรมัยพูด
“เเม่ครับ ยังฟังผมอยู่รึเปล่า”
เจรมัยงงที่แม่วางสายไปดื้อๆ เขาวางสายไปอย่างงงๆ แล้วหันมาทางประตูก็เจอเข้ากับแคทลียาที่เดินตรงดิ่งเข้ามาหา เจรมัยไม่แน่ใจว่าสาวแซบไฮโซจะมาก่อเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า
ทางฝ่ายจรรยาวางสายไปดื้อๆ แล้วเดินตามเงานั้นไป ปรากฏว่าเงาของเธอกลายเป็นปกติดังเดิม จรรยาส่ายหัว คิดว่าตัวเองตาฝาด
“ตาฝาดเหรอเนี่ย”
มัลลิกาถือกาแฟสองแก้วเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน เมื่อมาถึงก็ต้องชะงักเมื่อพบว่า แคทลียากำลังจับมือเจรมัยให้หันมามองสบตากันละกันอยู่ และสองคนหันมามองที่่เธอ ก่อนจะผละออกจากกันด้วยท่าทีมีพิรุธ แคทลียาหันมาประจันหน้ากับมัลลิกา
“เธอมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ถือโอกาสเคลียร์ไปซะที่เดียวเลย”
มัลลิกางง “เคลียร์ เคลียร์อะไร”
“ไม่ต้องถามมากมานั่งนี่เลย ก่อนอื่น ฉันขอเคลียร์กับพี่เจก่อน”
เจรมัยก็งง “เคลียร์ อะไรแคท”
แคทลียาดึงเจรมัยมาประจันหน้ากันกับเธอ แล้วจ้องตากันใหม่ มัลลิกาอึ้งไป นึกว่าสองคนจะจูบกัน แต่แคทลียาพยายามบิวท์อารมณ์ให้เหมือนตอนมองตาภวัตให้ได้ แต่ไม่เป็นผล แคทลียาลองจนเมื่อยตา ก็เลยถอดใจ มั่นใจเเล้วว่าเจรมัยไม่ใช่คนที่เธอจะสปาร์กหรือปิ๊งปั๊งเหมือนกับตอนมองตาภวัต
คราวนี้ไฮโซสาวหันขวับมาทางมัลลิกา
“มะลิ ขอทดลองกับเธออีกคน”
มัลลิกาไม่ไว้วางใจ ไม่รู้นางจะมาไม้ไหน “เฮ้ย ลองอะไร”
แคทลียาจับไหล่มัลลิกาให้หันมาประจันหน้ากับเธอ พยายามมองจ้องตา แต่ก็ไม่สปาร์กใดๆ
“มองตาฉันซิ มองแบบที่ฉันมองเธอไง มองตาเธอ ยิ่งไม่อินหนัก เฮ้อ”
แคทลียาหันมาพูดกับเจรมัยอย่างจริงจัง
“พี่เจ แคทรู้แล้วล่ะว่า ทำไมแคทต้องคอยตามตื้อพี่มาตลอด เพราะแคทอยากเอาชนะพี่เจนี่เอง ยิ่งพี่เจเฉยกับแคท แคทก็ยิ่งอยากเอาชนะ ทั้งที่จริงๆแล้ว แคทยังไม่รู้ตัวเองเลยว่ารักพี่เจ หรือเปล่า”
เจรมัยงง ยิ้มขำ อดแซวไม่ได้ “แหม วันนี้มาเป็นนางเอกเลย อ่ะ สรุปแคทก็รู้แล้วว่า ที่ผ่านมาแคทไม่ได้รักพี่ แต่พี่ขอบใจนะ ที่แคทคอยทำดีกับพี่ และ ดีใจด้วยที่แคทพบคำตอบของตัวเอง”
“แต่เดี๋ยว แคทอยากทดลองอีกอย่าง”
แคทลียารุนหลังมะลิให้มาประจันหน้ากับเจรมัย เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีมองตาของหล่อน
“อะไรเนี่ย” มัลลิกาบ่ายเบี่ยง
“มองตากันซิ มองหน่อยน่ะ ขอร้อง”
มัลลิกากับเจรมัยจำต้องมองหน้ากัน และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่ได้อยู่ในโมเมนต์พิเศษต่อกัน เหมือนทุกอย่างจะช้าลงไปในทันที แคทลียาหมั่นไส้ที่สองคนมองตากันนานเกินเหตุ
“พอๆ ไม่ต้องมองแล้ว แล้วก็ไม่ต้องบอกฉันด้วยว่าอินกันหรือเปล่า เฮ้อ”
มัลลิกากับเจรมัยยังคงแอบมองกันด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เบ่งบานอยู่ในใจ
เจรมัยและมัลลิกาเดินมาส่งแคทลียาที่หน้าตึก
“พอๆ ส่งแคทตรงนี้แหละ ออฟฟิศนี้มาบ่อย ไม่ต้องกลัวหลง”
แคทลียายิ้มให้เจรมัยและมัลลิกา แล้วเดินแยกไปที่รถ
เจรมัยหันมาหามัลลิกา “แคทกลับบ้านแล้ว ส่วนมะลิจะกลับบ้านมั้ย”
“กลับซิ”
“กลับไปอยู่คนเดียวงั้นเหรอ”
“ก็คงต้องแบบนั้น”
“อย่ากลับเลย ไปพักที่บ้านผมดีกว่า อยู่กันหลายคน พี่เจนก็อยู่ หนูจ๋าก็อยู่แล้วไหนจะพี่น้องแม่ผมอีก
มะลิขบคิดชั่งใจ เจรมัยอ้อนใหญ่
“ไปเถอะ ไม่ต้องคิดหรอก ผมเป็นห่วง อย่าให้ผมต้องโทษตัวเองที่ไม่ได้ดูเเล คนที่ผมเเคร์เลยนะ”
มะลิมองหมั่นไส้ “หือ เดี๋ยวนี้พูดไม่เขินเลยนะ”
“โห คุณก็...”
ในขณะที่เจรมัยและมัลลิกาคุยกันอยู่นั้นเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเจรมัยก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ ลุงพัฒน์ มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ พรุ่งนี้เลยเหรอครับ”
มัลลิการอจนเจรมัยวางสายจึงถาม “มีอะไรเหรอ”
“ลุงพัฒน์อยากให้เราช่วยอะไรบางอย่าง”
กลายเป็นว่า เจรมัยเเละมัลลิกา พากันไปรับลุงพัฒน์ และพามาที่บ้านคุณตาเทียบหลังจากนั้นไม่นาน เจรมัยสงสัยว่าชายชราร้อนใจอะไรนักหนาถึงต้องมาดูตะลุงเอาตอนนี้
“ลุงพัฒน์ครับ เล่าให้ผมฟังได้หรือยังว่า ลุงพัฒน์อยากจะเจอตัวตะลุงทำไม”
ลุงพัฒน์หิ้วกระเป๋ากีตาร์ส่วนตัวมาด้วย “ลุงฝันไม่ค่อยดี เเล้วเริ่มปวดหัวรุนแรงมากขึ้นทุกที บาปลุงคงหนามากเมื่อชาติก่อน ลุงคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากจะให้คุณเจพามาที่ห้องเก็บตะลุงอีกครั้ง”
มัลลิกาเห็นใจ “โถ ลุง แล้วการมาที่ห้องเก็บตะลุง มันจะช่วยได้งั้นหรือคะ”
“ผมมันเหมือนคนกำลังจมน้ำ คว้าฉวยอะไรไปทั่ว ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าวิธีนั้นจะทำให้เราไม่จมน้ำหรือเปล่า”
ทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าห้องตาเทียบ
ลุงพัฒน์วางกระเป๋ากีตาร์ลง หยุดยืนที่หน้าห้องสักพัก สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องกับเจรมัยและมัลลิกา
เจรมัยพาลุงพัฒน์มาหยุดตรงตู้เหนือหัวเตียงที่วางตัวตะลุง เจรมัยหยิบตะลุงส่งให้ในมือของลุง
“ลุงพัฒน์ครับ”
เพียงวูบแรกที่ลุงพัฒน์สัมผัสตัวตะลุง ก็คล้ายมีเงาดำพาดผ่านไปมารอบๆ ตัว ลุงพัฒน์รับรู้ได้ เเต่เจรมัยกับมัลลิกาไม่เห็นเงานั้น
“เป็นยังไงบ้างครับลุงพัฒน์”
“ลุงขออยู่ลำพังซักครู่ได้มั้ยครับ”
เจรมัยเป็นห่วง “อย่าเลยครับลุง มันอันตรายเกินไป”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าใครในตะลุงจะทำร้ายผม เค้าคงลงมือไปนานแล้ว”
เจรมัยมองหน้ามัลลิกาเชิงถามความเห็น มัลลิกาคิดปราดเดียวก็พยักหน้าให้
“ได้ครับลุงพัฒน์ เราสองคนจะออกไปรอข้างนอก”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น ลุงพัฒน์เรียกพวกเราเลยนะคะ”
สองคนพากันเดินออกไป เจรมัยหันกลับมามองลุงพัฒน์ด้วยความเป็นห่วง มัลลิกาเหลียวมองตามด้วยความรู้สึกเดียวกัน จากนั้นจึงก้าวออกจากห้องไปพร้อมๆ กัน แล้วปิดประตูลง
ภายในห้องตาเทียบยามนี้ มีเพียงลุงพัฒน์กับตัวตะลุง ทั้งห้องเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจชายชราได้ ลุงพัฒน์ค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาไปสัมผัสตัวตะลุงช้าๆ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังถูกมองเห็นด้วยสายตาสร้อยพี ซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง
ผีสร้อยพีมองชายตาบอดผู้เป็นบิดาเมื่อในอดีต แล้วน้ำตาไหลรินออกมา ขยับมาใกล้ๆ อยากจะจับตัวลุงพัฒน์ เเต่ก็ทำไม่ได้
“ฉันไม่กล้าให้พ่อเห็นฉันตอนนี้”
ลุงพัฒน์ได้ยิน หันขวับไปตามเสียงนั้น
“นั่นเสียงเธอใช่ไหม เสียงที่ออกมาจากตะลุงตัวนี้”
สร้อยพีได้เเต่ร่ำไห้ ลุงพัฒน์ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นนั้น
“บอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะชดใช้สิ่งที่ทำได้ยังไงบ้าง”
ลุงพัฒน์ยังคงได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของสร้อยพี เค้าจึงเอาตัวตะลุงมากอดเอาไว้
สร้อยพีเดินเข้ามาหาลุงพัฒน์ช้าๆ พร้อมกับชูมือสองข้างขึ้น ยื่นไปใกล้ๆ ที่คอแล้วเลื่อนไปใกล้ๆ หน้าของลุงพัฒน์ และนั่นเองที่ลุงพัฒน์มั่นใจถึงสัมผัสนั้น
หวนนึกถึงภาพในนิมิตครั้งที่สร้อยพีตัดผมให้นายโพนครั้งอยู่นครฯ
ตอนนายโพนชุนสอยชายเสื้อให้สร้อยพี
สร้อยพีเถียงพ่อจนถูกนายโพนตบสั่งสอน
นายโพนเสียใจร้องไห้อยู่คนเดียว หลังจากขังสร้อยพีไว้ในห้องหลังไปตบตีมาลีที่ตลาด
“บอกฉันเถอะ เผื่อว่าบาปกรรมที่ฉันเคยทำไว้จะเบาบางลงไปบ้าง”
ผีสร้อยพีหายไปแล้ว เหลือเพียงลุงพัฒน์ที่ยืนน้ำตาไหลด้วยความเสียใจสุดจะประมาณ
ในขณะที่เจรมัย กับ มัลลิกา ยืนรอลุงพัฒน์อยู่หน้าห้องตาเทียบ มัลลิกาถือโอกาสมองสำรวจบรรยากาศรอบๆ บ้าน
“บ้านนี้ คือบ้านคนละหลังกับที่ บ้านคหบดีโสภณใช่มั้ย”
เจรมัยพยักหน้า “ใช่ หลังนี้เล็กกว่า ถามจากพี่น้องแม่ เห็นว่าบ้านหลังนี้เป็นสมบัติที่พ่อของทวดมอบให้ในงานแต่งงาน”
“อืม แล้วบ้านคหบดีโสภณตอนนี้เป็นไงบ้างเนอะ”
“ไม่มีข้อมูลเลยน่ะซิ”
ระหว่างนี้หนูจ๋ารู้จากคนในบ้านว่าพี่เจกะพี่มะลิมา จึงวิ่งเข้ามาหา ร้องเรียกเสียงแจ๋วมาแต่ไกล
“พี่เจ พี่มะลิ”
เจรมัยหันไปหา “อ้าวหนูจ๋า อยู่บ้านกับใครเนี่ย”
“อยู่คนเดียวค่ะ ยังไม่มีใครกลับมาเลย”
“งั้นเหรอ”
“พี่มะลิ สวัสดีคะ พี่มะลิจะมาค้างบ้านจ๋าใช่เปล่า”
มัลลิกางง “หะ หะ ไรนะ”
“ก็เห็นพี่เจบอกว่า เดี๋ยวต่อจากนี้พี่มะลิจะมาอยู่บ้านนี้เลยไม่ใช่เหรอคะ”
มัลลิกางงใหญ่ “หะ มาอยู่เลยเหรอ”
เจรมัยปราม “จ๋า ใจเย็น”
“นี่พี่เจก็ย้ำนักย้ำหนาว่า ให้ทุกคนต้อนรับเทคแคร์พี่เต็มที่เลยนะ”
มัลลิกาพยักหน้าเออออไปกับจ๋า ในขณะที่เจรมัยปาดเหงื่อหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะโดนจ๋าเผาชุดใหญ่
“พอจ้ะ พอแล้ว ไว้หน้าพี่นิด”
“อะไรเหรอพี่เจ อย่าบอกนะว่าพี่เจไม่อยากให้พี่มะลิรู้ ว่าพี่เจเตรียมห้องเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว”
เจรมัยพยักหน้ายอมรับเบาๆ
“อุ๊ย จ๋าบอกครบเลยใช่มั้ยอ่ะ”
เจรมัยพยักหน้าเบาๆ อีก
“ฮะ จ๋าขอโทษ”
มัลลิการู้สึกขำกับอาการเขินตลกๆ ของเจรมัย และยิ่งรู้สึกดีที่เจรมัยจริงจังใส่ใจเธอขนาดนี้
หนูจ๋ามองเลย สองคนไปก็เห็น ลุงพัฒน์เดินออกมาจากห้องและกำลังปิดกระเป๋ากีต้าร์ ก่อนจะเดินเข้ามาหาสามคน
หนูจ๋าถามอย่างแปลกใจ “ใครอ่ะพี่เจ”
เจรมัยหันไปมอง “ลุงพัฒน์น่ะ มากับพี่เอง”
สองคนรีบเข้าไปดูแลลุงพัฒน์กลัวว่าจะหกล้ม จ๋าเดินตามไปห่างๆ
“เป็นไงบ้างครับลุงพัฒน์”
ทั้งสองคนมองหน้าชายชราลุ้นในคำตอบ ลุงพัฒน์มองหน้าทั้งคู่ก่อนที่จะส่ายหน้า มัลลิกาสงสัยจึงถามซ้ำอีกครั้ง
“ใครที่อยู่ในตะลุง ออกมาไหมคะ ลุง”
“ไม่เลย” ลุงพัฒน์นิ่งไปไม่นานก่อนที่จะขอตัวกลับ “ลุงอยากกลับเเล้ว”
เจรมัยเเละมัลลิกามองหน้ากัน คิดว่าลุงพัฒน์คงผิดหวังที่ไม่ได้เจอสร้อยพี
“ครับ เดี๋ยวผมไปส่งลุงพัฒน์เองนะ”
“ไม่เป็นไร เจอยู่บ้านเถอะ ลุงกลับเองได้”
“ไม่เป็นไรครับลุงพัฒน์”
“เรียกเเท็กซี่ให้ลุงก็พอ”
มัลลิกามองหน้าเจรมัย
“ได้ค่ะ ลุงพัฒน์”
จ๋ารีบเสนอตัว “ได้ๆ เดี๋ยวจ๋าไปเรียกให้เองนะ”
ว่าแล้วจ๋าก็วิ่งจู๊ดออกไปเรียกแท็กซี่ที่ถนนหน้าบ้าน
ในขณะที่เดินออกมายืนรออยู่ด้วยกัน 3 คน ลุงพัฒน์จับเข้าที่มือของมัลลิกาเพื่อจะถามบางอย่าง
“คุณมะลิ คุณเจครับ คุณสองคนรู้วิธีที่จะเห็นนิมิต แบบไม่ต้องบังเอิญแล้วหรือยังครับ”
“ก็…พอจะมีเค้าๆ อยู่บ้างนะคะ”
ลุงพัฒน์ตื่นเต้น “จริงเหรอครับ ถ้าคุณสองคนเห็นนิมิตเพิ่ม ช่วยบอกผมด้วยนะครับ รบกวนด้วยนะครับ”
หนูจ๋าวิ่งแจ้นกลับมา ส่งเสียงเรียกมาแต่ไกล เห็นมีรถแท็กซี่แล่นตามเข้ามาจอดเทียบ
“พี่เจๆ แท็กซี่มาแล้ว”
เจรมัยเปิดประตูตอนหลังให้ ลุงพัฒน์ขยับตัวเข้ามานั่งในรถแล้วจากการช่วยของมัลลิกา ชายชรายกกระเป๋ากีต้าร์มาวางไว้บนตักจับกระเป๋าแน่นราวกับมีของสำคัญบางอย่างอยู่ในนั้น
มองจากกระจกรถแท็กซี่ เห็นมัลลิกากับเจรมัยและจ๋ายืนส่งอยู่
เมื่อเห็นว่าลุงพ้นบ้านไปแล้ว ก็แยกเข้าบ้านไป
“ลุงพัฒน์เเกดูเเปลกๆ เนอะ ตั้งเเต่ออกมาจากห้อง”
“เเกคงผิดหวัง ที่ไม่ได้รู้อะไรเพิ่มจากสิ่งที่แกทรมานอยู่”
“เราต้องช่วยลุงพัฒน์นะ”
“ใช่ คุณต้องช่วยลุงพัฒน์”
“ไม่สิ เราหมายถึง เราสองคนอ่ะ”
“เเล้วฉันเกี่ยวอะไร” มัลลิกาพูดติดตลก
“ก็ผมเข้านิมิตคนเดียวไม่ได้นี่”
มัลลิกาเขิน เเล้วเดินหนีไป เจรมัยยิ้มกริ่มก่อนจะเดินตามไป
ในรถที่แล่นมาตามทาง ลุงพัฒน์ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่นั่งตอนหลัง มือจับกระเป๋ากีต้าร์แน่นอยู่อย่างนั้น
เย็นนั้น จรรยา จิตรา และ จิรา ลงครัวช่วยกันเตรียมอาหารวุ่นอยู่ ส่วนจินดาและหนูจ๋ากำลังช่วยกันจัดสำรับอยู่ที่โต๊ะอาหาร เจนจิราเดินเข้ามาในครัว กลิ่นอาหารหอมคลุ้งทำให้เธอเดินมุ่งตรงไปที่อาหารที่ทำเสร็จแล้ว
“หอมจังเลย ขอชิมก่อนได้ไหมแม่”
จิราตีมือเจนจิราที่กำลังหยิบอาหารเข้าปาก
“นี่แน่ะ เเบบนี้เมื่อไรจะหาแฟนได้ละลูกสาวแม่”
“โหยแม่ ให้หนูอยู่กับแม่แบบนี้ละดีแล้ว”
“จะให้ตาเจสละโสดก่อนว่างั้นเถอะ” จิตราว่า
เห็นบรรยากาศครอบครัวยิ้มหัว คุยกันเฮฮาสนุกสนาน จรรยายิ้มมีความสุข ก่อนที่เจรมัยจะเดินเข้ามาพร้อมกับมัลลิกา
“คุยอะไรกันอยู่ครับ”
เมื่อเห็นสองคนเข้ามาพร้อมกัน ผู้ใหญ่ทุกคนพากันอมยิ้มขำรับไหว้จากมัลลิกา ยกเว้นจินดาที่รู้สึกผิดที่เคยทำสัญญาตกลงกับผีสร้อยพี จนทำให้มัลลิกาเกิดความเสี่ยงในชีวิต และเมื่อมัลลิกาเดินเข้ามาจินดาถึงกับชะงักตาค้าง
มัลลิกาสังเกตเห็นถึงท่าทีนั้นและเกิดความสงสัย เจนจิราก็เห็นอาการของน้าสาวจึงเอ่ยถามขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าคะน้าจินดา”
จินดายิ้มกลบ เก็บอาการทำเหมือนว่าไม่มีอะไร
“ไม่มีอะไรจ้ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ มาๆ กับข้าวเสร็จพอดี มาทานข้าวกันดีกว่า เนอะ หนูมะลิ”
พร้อมกับว่าจรรยาเดินมาจูงมือมัลลิกาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เจรมัยเห็นมัลลิกายังดูเกร็งๆ จึงถือโอกาสเเนะนำให้ทุกคนรู้จักเธออย่างเป็นทางการ
“ทุกคนครับ นี่มะลิ...”
“มะลิ...เเค่เนี้ย” เจนจิรายิ้มเจ้าเล่ห์ “ไหนๆ จะเเนะนำทั้งทีเอาให้พูดจบเเล้ววี้ดวี้วหน่อยสิ”
เจรมัยยิ้มให้เจนจิราเชิงขอบคุณที่ส่งมุกให้ เจนจิรายิ้มขำๆ
“นี่มะลิ เเฟนผมครับ”
มัลลิกาหยิกขาเจรมัยที่ใต้โต๊ะจังๆ อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง
“ฉันไม่ใช่เเฟนคุณ” แธอพูดกับเจรมัยเบาๆ
“ถ้ายังไม่ใช่ ก็ใช่เลยเเล้วกัน” เจรมัยบอกเสียงดัง
“อ้าว ฉลอง...”
เจนจิรารอจังหวะอยู่ ยกเเก้วขึ้นมาชนกับเจรมัย
“นี่ฉันจะได้อุ้มหลานเเเล้วเหรอเนี่ย” จิรายิ้มร่า วี้ดวิ้วตามสไตล์
เจนจิราเบรก “ยังค่ะคุณแม่ เร็วไปๆ”
ทุกคนในบ้านหัวเราะอย่างมีความสุข
จิตรายิ้มแย้ม สบายใจ “เฮ้อ จะว่าไปบ้านเราก็ไม่ได้เอะอะกันเเบบนี้มาตั้งนานเเล้วเนอะ”
“นั้นสิ ฉันก็ไม่ได้ขำเเบบนี้มาตั้งนานเเล้ว” จิราผสมโรงแช่มชื่น
“งั้นคืนนี้หนูมะลิก็ค้างที่นี่สักคืนสิจ๊ะ”
เมื่อจินดาได้ยินจรรยาพูดดังนั้นจึงเผลอหลุดปากออกมา เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่อง
“จะดีเหรอคะ”
จิตรามองหน้าน้อง “ไม่ดียังไงล่ะจินดา”
“ถึงยังไงหนูมะลิก็ยังเป็นคนนอก...ถ้าใครบางคนออกมา”
“ใคร…เหรอ นี่ก็อยู่นี่กันหมดแล้ว” จิตรามองงงๆ
“คือ…หมายถึง ที่อยู่ในตะลุง”
จรรยารู้ว่าน้องสาวจะพูดอะไร ก็รีบหันมาพูดเบาๆ กับจินดา เพราะกลัวจะเสียบรรยากาศ
“จินดา พูดอะไร ไหนเธอบอกว่าหนูมะลิเป็นคนนอก แล้วคนนอกจะเกี่ยวอะไรกับตะลุง”
จินดาอึ้งไป
จรรยาจ้องหน้า “หรือเธอรู้อะไรแล้วไม่บอก พี่ว่าเธอต้องมีอะไรปิดบังแน่ๆ”
แต่แล้วจิราก็พูดขึ้นมาด้วยอารมณ์ร่าเริงตามสไตล์ โดยไม่รู้ถึงเรื่องที่จรรยากับจินดาคุยกันเบาๆ
“ไงจ๊ะ มะลิ ตกลงจะค้างที่นี้มั้ย”
“คือ...”
มัลลิกาไม่ทันได้ตอบจิรา เจรมัยก็พูดสวนขึ้นทันที
“ตกลงครับ”
มัลลิกาหันมองหน้าเจรมัยอย่างขุ่นเคืองใจ แม้ว่าจริงๆ ก็อยากนอนค้างอยู่เเล้ว
“ถ้าอยู่กันพร้อมหน้าขนาดนี้ พรุ่งนี้เราหากิจกรรมสนุกๆ ทำกันดีไหมคะ” จิราเสนอ
“ปาร์ตี้โฟมกันไหมคะ” เจนจิราสนอง
“หืมมม จะดีหรอยัยเจน” จิรานึกได้ “บิ๊กคลีนนิ้งเดย์เป็นไง”
เจนจิราหน้าง้ำ “โหย ไม่เอาอ่า”
จิตรากลับเห็นดีด้วย “เป็นความคิดที่ดี ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้สดชื่น”
“เห็นด้วยค่ะ”
“งั้นมะลิขอช่วยด้วยนะคะ”
จิตรายิ้มร่า สบช่องเหน็บเจนจิรา “น่ารักที่สุดเลย น่ารักกว่าหลานเเท้ๆ อีก”
เจนจิราเซ็ง “อ้าว”
บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวดูมีความสุข เจรมัยคอยตักกับข้าวให้มัลลิกา โดยมีสายตาของครอบครัวแอบมองแล้วอมยิ้ม จินดาคอยลอบมองมัลลิกาตลอด เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายหากเธอยังอยู่ที่นี่
จรรยาสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น
หลังมื้อเย็นแสนอร่อยผ่านไป ทุกคนแยกย้ายกันไปทำความสะอาดบ้าน เจรมัยกับมัลลิกาช่วยกันเก็บเถาวัลย์ และกวาดใบไม้แห้งออกจากทางเดินริมสวน
บรรดาแม่บ้านกับคนรับใช้พากันเปลี่ยนกระถางต้นไม้ที่ตายแล้ว นำต้นใหม่ไปปลูกลงแทนแล้วเอากระถางไปวางในสวนสวย บรรดาพี่ๆ น้องๆ ลูกสาวคุณตาเทียบ เตรียมตระกร้าเก็บผ้าคลุมเฟอร์นิเจอร์กันมาตามทางเดิน
จิตรามองไปยังสองหนุ่มสาวแล้วยิ้มปลื้ม “หนูมะลินี่น่ารักดีเนอะ”
“เหมาะกับตาเจเลยล่ะ” จิรายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
จรรยายิ้มชื่นใจ “ถ้าบ้านเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้งก็ดีเลยนะ”
“หวังว่าหนูมะลิเข้ามา อะไรๆ จะดีขึ้น ไม่ใช่เเย่ลงนะคะ”
คำพูดของจินดาทำเอาทุกคนหันมามองเชิงตำหนิ
จรรยาไม่สบายใจพอๆ กับไม่พอใจ เพราะจินดาคิดแง่ลบตลอดกับมัลลิกา
“เธอดูมีอคติกับหนูมะลิจังนะ มีอะไรรึเปล่า”
จินดาก้มหน้าก้มตาไม่ตอบอะไร
จิตราดึงผ้าคลุมไม้แขวนสูทออก แล้วก็หันไปคุยกับน้องๆ แต่ต้องตะลึง เมื่อหันกลับมาผ้านั้นก็ยังคลุมอยู่อย่างเดิม จิตราประหลาดใจแต่ก็ไม่โวยวาย คิดว่าตัวเองอาจจะใจลอยคิดไปเองว่าดึงผ้าออกแล้ว
ทุกคนคุยกันไป มีแต่จิตราที่ยังนิ่งเงียบ เพราะกลัวคนอื่นๆ จะตื่นกลัวหากพูดออกไป
“นี่ไม่ได้เก็บบ้านกันมานานเท่าไรเเล้วเนี่ย” จรรยาชวนคุย
“ก็ตั้งเเต่พ่อเสีย เกิดเรื่องวุ่นวายจนเป็นเเบบที่เห็นนี่แหละพี่” จิราบอก
จรรยาเห็นจิตราเงียบไปเฉยๆ “พี่เป็นอะไรเหรอ”
“เปล่า”
จรรยาเดินผ่านหลังจิตราเข้าไปในห้องตาเทียบ ครู่หนึ่งก็มีเสียงกรีดร้องสุดเสียงดังออกมาจากในห้อง ทุกคนที่ห้องอื่นต่างทิ้งงานวิ่งเข้าไปดู เห็นจรรยาชี้นิ้วไปที่ตู้เหนือหัวเตียงของตาเทียบในอาการตะลึงตะลัง ทุกคนมองตาม
“ต ะ ลุ ง หายไปแล้ว”
ขณะที่เจรมัยกำลังยัดเถาวัลย์ลงถุงขยะ เขาสังเกตเห็นว่ามัลลิกาหยุดมือมองไปที่เรือนใหญ่ เพราะได้ยินเสียงร้องของจรรยามาจากด้านใน
“เหมือนได้ยินเสียงร้อง”
“นั่นซิ”
แจ่มวิ่งดิ่งมาหาเจรมัยด้วยความร้อนรนใจ
“คุณเจ คุณเจคะ คุณจิตให้มาตามคะ คือ ตะลุงที่ห้องคุณตาหายไปค่ะ”
เจรมัยมัลลิการีบวิ่งตรงไปที่เรือนใหญ่โดยไม่รอให้แจ่มพูดซ้ำ
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในโถง จิตราเล่าเรื่องราวจบลง จนเจรมัยมีคำตอบว่าตะลุงหายไปได้ยังไง และเขาอุทานชื่อบุคคลต้องสงสัยออกมา
“ลุงพัฒน์”
เจรมัยเเละมัลลิกามองหน้ากัน ทั้งสองรู้ในทันทีว่าลุงพัฒน์ต้องเป็นคนเอาไปแน่นอน
จรรยาหันมาทางเจรมัยสายตาเป็นคำถาม
“ลุงพัฒน์”
เจรมัยพยักหน้ารับเบาๆ
“ครับ ลุงเค้าเป็นนักดนตรีตาบอด ผมเป็นคนพาแกมาเอง คือ แกเชื่อว่า แกเคยมีบาปกับตะลุงตัวนั้น”
ทุกคนมองมาที่เจรมัยด้วยคำถามในใจที่ต่างกันออกไป
“เจก็รู้ว่าตัวตะลุงไม่ธรรมดา ทำไมถึงพาคนอื่นเข้ามาโดยพละการเเบบนี้”
แจ่มกับมนขยับเข้ามาใกล้กันด้วยความหวั่นกลัว
จินดามองซ้ายแลขวาระแวงว่าผีสร้อยพีอาจจะโผล่ออกมา จินดาดึงจ๋ามาโอบเอาไว้พลางถาม
“แล้วแบบนี้...”
“ผมผิดเอง ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ตอนนี้อดกังวลไม่ได้ว่า จะเกิดเรื่องอะไรต่อจากนี้หรือเปล่า เอาเป็นว่ายังไงพวกเราควรจะอยู่รวมกันไว้ก่อน จะได้ช่วยกันดูแลกันและกัน” จรรยาสรุป
ทุกคนมีสีหน้าเป็นกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจนจิราเเละจิรา กอดกันกลม
มัลลิกามองไล่สายตามองทุกคน และเธอเองก็กังวลใจไม่น้อย
ลมพัดยอดไม้ไหวเอน ขณะเจนจิราเดินไปปิดหน้าต่างห้องนอน แล้วย้อนมานั่งข้างจิราที่โซฟาในห้อง จิราถอนหายใจ กังวลเรื่องที่ตะลุงหายไป เจนจิราเอนตัวมากอดแม่ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรนะแม่ มันต้องผ่านไปด้วยดี”
จิราลูบหัวลูก “แม่ล่ะอยากให้มันผ่านไปเร็วๆ เหลือเกินลูก”
ทางด้านจินดาเดินไปปิดม่านและล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนา ก่อนที่จะเดินมาหาลูกจับมือหนูจ๋าไว้แน่น
“จ๋า เหรียญในถุงโทรศัพท์ ลูกต้องเก็บไว้ไม่ให้ห่างตัวเลยรู้มั้ย”
“เหรียญ เหรียญอะไรหรอจ๊ะเเม่”
จินดาเอาเหรียญนาฏออกมาให้จ๋าดู
“เหรียญนี้มันช่วยคุ้มครองหนูจากผีร้ายในตะลุงได้นะลูก”
“จริงหรอจ๊ะเเม่ เเล้วเเม่ไปเอาเหรียญนี้มาจากไหน”
จินดาไม่กล้าบอกลูกว่าขโมยเหรียญนี้มาจากเจรมัย ท่าทีมีพิรุธให้ลูกเห็น
“ลูกไม่ต้องรู้หรอกว่าเเม่เอามาจากไหน เเต่หนูเก็บเหรียญนี้ไว้ให้ดีนะลูก”
จินดาดึงจ๋าเข้ามากอด
“เผื่อเเม่เป็นอะไรขึ้นมา หนูจะได้ดูเเลตัวเองได้”
“ทำไมแม่ต้องพูดขนาดนั้น”
หนูจ๋ากอดเเม่ตอบ เด็กสาวร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
มัลลิกาวางสาย แล้วเดินกลับมาสมทบทุกคน
“โทร.เช็คโรงพยาบาลที่แกเล่นดนตรีแล้ว ก็ไม่มีใครรู้จักที่อยู่ลุงพัฒน์เลย”
จิตราที่อยู่ใกล้ๆ กับจรรยา ก็วางสายของตัวเองลงเหมือนกัน
“นี่เบอร์ตรงที่ได้มาจากเจ ก็โทร.หาลุงแกไม่ติด” จรรยาร้อนใจ
“ลองโทร.อีกซิ โทรอีก”
“โทรจนไม่รู้จะยังไงแล้วพี่จิตรา” จรรยาว่า
มัลลิกาชะเง้อมองหาเจรมัย
“แล้วนี่ เจ หายไปไหน คุณน้าเห็นมั้ยคะ”
“เห็นบอกว่าจะไปเอากุญแจรถ จะขับตามหาลุงพัฒน์คืนนี้เลย” จิตราบอก
เจรมัยเดินมาสมทบ พร้อมกับกุญแจรถในมือ
“นั่นไงมาแล้ว เดี๋ยวฉันว่าจะไปเป็นเพื่อนเจ ขับรถกลางคืนมันอันตราย”
“เจ นี่ลูกคิดจะออกไปหาลุงพัฒน์นี่จริงๆ เหรอ” จรรยาทักท้วง
“ครับ พวกเราติดต่อแกไม่ได้เลย ผมว่าจะออกไปตามหาแกน่าจะดีกว่า ผมฝากแม่ดูมะลิหน่อยนะครับ ผมอาจจะกลับดึกหน่อย หรือไม่ก็เช้าเลย”
จรรยาไม่ยอมให้ไป “เดี๋ยวๆ เจๆ จะไปหาที่ไหน เราไม่มีข้อมูลแกเลยซักนิด ขนาดโรงพยาบาลเองก็ยังไม่รู้”
“แต่...ผมคิดว่าควรจะทำอะไรซักอย่างน่ะครับ อยู่แบบนี้มันอดเป็นห่วงลุงไม่ได้จริงๆ”
“เป็นห่วงคนอื่นถูกแล้ว แต่เจอย่าลืมห่วงตัวเองด้วยซิ ออกไปตอนนี้ เป็นไปได้ที่จะเสียเวลาเปล่า”
จิตราเห็นด้วย “ถูก ตอนนี้จริงๆ แล้วพวกเราควรจะอยู่ใกล้ๆ กันไว้ ฉันเองก็ลืมคิดเรื่องนี้”
“ที่แม่กับป้าว่า ผมก็เห็นด้วย แต่...”
จรรยาตัดบท “ไม่ต้องแต่หรอก หนูมะลิก็เห็นด้วยกับน้าใช่มั้ย พูดกับเจหน่อยซิ”
“ค่ะ” มัลลิกาหันมาทางเจรมัย “เจ ใจเย็นหน่อยดีกว่า น้าจรรยาพูดก็มีเหตุผลนะ พวกเราควรจะอยู่รวมกันไว้ก่อน น่าจะดีที่สุด”
เจรมัยรับฟังแล้วคิดตาม จนเริ่มเปลี่ยนใจ
“อืม แต่พรุ่งนี้ผมอาจจะขอออกแต่เช้านะครับแม่”
“จ้ะ” จรรยาพยักหน้าให้
ลุงพัฒน์ยังไม่เข้าบ้าน แกลงรถที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เดินมานั่งที่ม้านั่งในสวน วางกระเป๋ากีต้าร์ลงข้างตัว หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู พบว่าหน้าจอมือถือรุ่นเก่ามันดับๆ ติดๆ ชายตาบอดสีเก็บโทรศัพท์ไว้ข้างตัว แล้วหันไปเปิดกระเป๋ากีต้าร์ออก ซึ่งพบว่ามีตัวตะลุงอยู่ด้านใน ชายชราหยิบมันขึ้นมาลูบ สัมผัสไปมา โดยไม่รู้ว่าผีสร้อยผียืนมองลุงพัฒน์อยู่จากระยะไกลๆ
แสงลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาในห้อง กระทบกับหน้าของมัลลิกาที่นั่งเอนหลังใช้ความคิดอยู่บนเตียง มัลลิกาเดินออกไปที่ระเบียงทางเดิน ยืนเหม่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างนี้เจรมัยเดินออกมาที่ระเบียงห้องตัวเองเช่นกันสองคนพบกันโดยบังเอิญ เจรมัยมองนำเข้าไปในห้องตัวเอง
“บังเอิญจัง”
“คุณนอนห้องนั้นเหรอ”
“ใช่”
“นอนไม่หลับ”
“อืม...ก็คิดไปสารพัด”
เจรมัยเดินเข้ามาหามัลลิกาช้าๆ มัลลิกามองหน้าเจรมัย ทั้งสองสบตากัน
“เรื่องนี้มันจะจบลงยังไง ผมเองนึกไม่ออกเลย”
“มันจะไม่มีใครเป็นอะไรแล้วได้มั้ย ฉันกลัว”
เจรมัยกุมมือมัลลิกาไว้ให้ความมั่นใจ
“ไม่ต้องกลัว เพราะผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรแน่นอน”
สองคนยิ้มให้กำลังใจกัน มองสบตากันอย่างลึกซึ้ง เจรมัยโน้มใบหน้าเข้าหาริมฝีปากของมัลลิกา
“คุณ” เจรมัยชะงัก “มันจะทำให้เรากลับไปอดีตหรือเปล่า”
“บางที เราจะได้กลับไปหาคำตอบให้ลุงพัฒน์กัน”
ทั้งคู่มองตากัน เเละค่อยๆ จูบกันอย่างดูดดื่ม ทั้งบริเวณเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจสองคน
เมื่อในอดีต ท่านโสภณนั่งอยู่กับคุณกำจร คหบดี เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันตรงมุมรับแขกในบ้าน และมีมณฑานั่งอยู่ใกล้ๆ
“ผมน่ะอยากมายินดีกับคุณโสภณ ตั้งแต่วันแรกที่ได้ยินว่าพ่อค้าฝรั่ง รับปากจะย้ายเรือสินค้ามาขึ้นที่ฝั่งเราแทนปีนัง”
โสภณยิ้มแย้มดีใจ “ขนาดนั้นเลยรึคุณกำจร”
“คนในกิจการท่าเรือเล่าให้ฟังว่า คุณโสภณใช้ตะลุงชนะใจพ่อค้าฝรั่งงั้นรึ”
“ไม่ใช่กระผมหรอก เป็นเพราะความคิดของลูกๆ กระผมต่างหาก งานถึงออกมาเป็นที่ชื่นชมของทุกๆฝ่าย”
“แล้วงานที่ต้องไปแสดงต่อที่กระทรวง ทางคณะตะลุงของหลานมณฑา ก็พร้อมแล้วซินะ”
มณฑาฉุนกึก “ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ว่าพร้อมหรือไม่ เพราะเดี๋ยวนี้เห็นว่าวันๆ ก็เอาแต่ตะลอนๆเที่ยวในพระนคร ไม่ค่อยจะซ้อมซักเท่าไหร่ ดิฉันขอตัวนะคะ สวัสดีค่ะ”
มณฑาตัดบทเดินออกไป ด้วยไม่สบอารมณ์ที่ถูกเรียกชื่อปนไปเป็นพวกเดียวกับคณะตะลุง
“อ้าว ทำไมปุบปับไปล่ะ ถ้าเจอคณะตะลุงฝากบอกพวกเค้าด้วยนะ ว่าวันที่เล่นที่กระทรวง อากำจรไม่พลาดแน่ๆ”
เที่ยงมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าเรือนใหญ่ จะตะโกนเรียกใครก็ไม่กล้า จนกิ่งเดินมาห็นจึงเข้ามาทักถาม
“อ้าว มาหาใครละพ่อเที่ยง”
“คุณหนูมาลีอยู่ไหมครับ”
“อยู่ เเต่วันนี้ท่านคหบดีมีเเขกผู้ใหญ่ ให้เจ้าเข้าไปป้วนเปี้ยนในบ้านไม่ได้หรอกนะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ” เที่ยงมีสีหน้าผิดหวังที่ไม่ได้เจอมาลี “เอ่อ…คุณหนูมาลีเป็นยังไงบ้างหรอครับ”
“เป็นอะไร คุณหนูเธอก็ดูปกติดีนี่ ทำไมรึ”
เที่ยงโล่งใจยิ้มออกมาได้
“งั้นก็ไม่มีอะไรเเล้วครับ”
กิ่ง งงๆ กับท่าทีของเที่ยง ก่อนที่จะตะโกนถาม
“นายเที่ยง เเล้วมีอะไรจะฝากถึงคุณหนูไหม”
เที่ยงหันมายิ้มให้กิ่ง
“ไม่มีครับ เรื่องนี้สำคัญเดี๋ยวฉันบอกกับคุณหนูเธอเองดีกว่า”
เที่ยงเดินจากไป
อีกมุมหนึ่ง มารศรีเเอบดูเหตุการณ์ตั้งเเต่ต้น เธอไม่พอใจที่เที่ยงเเอบมาหามาลีอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“หึ ดอกฟ้ากับหมาวัดงั้นเหรอ ไม่สิ ต้องผีเน่ากับโล่งผุ”
มารศรีเดินอารมณ์เสียกลับเข้าบ้านไป
สร้อยพีได้ยินเสียงคนเดินมาก็สะดุ้งตื่น จดจ่อรอคอยว่าจะเป็นเที่ยงที่เข้ามา
“พี่เที่ยง”
เมื่อประตูเปิดก็เห็นนายโพนเดินถือจานข้าวมาให้ สร้อยพีเปลี่ยนสีหน้า เดินกลับไปที่มุมห้องไม่สนใจพ่อ
“กินข้าวก่อนซิ”
“ฉันยังไม่หิว”
สร้อยพีเงียบไม่ตอบอะไร หันหลังให้พ่อ นายโพนมองรู้ว่าลูกยังโกรธอยู่จึงเดินมาจับเเขน แต่สร้อยพีเผลอสะบัดเเขนออก
“พ่อเอาวางไว้ตรงนั้น เเล้วก็ล๊อคห้องเสียด้วยนะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
นายโพนเอาข้าววางไว้ให้สร้อยพี
“กินข้าวเสร็จเเล้ว ก็ออกไปช่วยพยอมมันเช็ดเครื่องดนตรีด้วยล่ะ เดี๋ยวพ่อจะไปตลาดซะหน่อย อยากได้อะไรมั้ย”
สร้อยพีเงียบ
นายโพนเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ได้ล็อกห้องบอกลูกเป็นนัยว่าปล่อยตัวเธอเเล้ว สร้อยพีแอบยิ้มดีใจ
ทางด้านมณฑาเดินปึงปังออกมาจากห้องรับแขก มารศรีเดินผ่านมาเห็นก็รีบเดินตาม
“พี่มณฑา เป็นอะไร”
“ก็อากำจรน่ะสิ เรียกชื่อฉันเป็นคณะตะลุง บ้าหรือเปล่า”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ”
มณฑาหงุดหงิดใส่ “จะรู้มั้ย…ถามได้”
“แล้วนี่อากำจรมาทำอะไรเหรอพี่”
“ก็คงจะเอาของต่างประเทศมาอวดคุณพ่อตามเคย”
“เหรอ คราวก่อนเอาหยกจากจีนมา คราวนี้จะเอาอะไรมานะ อยากรู้จัง”
มารศรีชะโงกหน้าเข้าไปดู เห็นกำจรกำลังเอาไปป์ออกจากกล่องไม้ส่งให้บิดาดู
ท่านโสภณรับไปป์มาดู ก่อนจะส่งคืนให้คุณกำจร
“นี่ครับ ไปป์งาช้างจากชวา”
“สวยมาก ผมเคยแต่ได้ยิน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นของจริง”
“อยากรู้ราคามั้ย”
“ก็คงโขอยู่น่ะซิครับ”
มารศรีหันกลับมาหาพี่สาว “เป็นไปป์พี่มณฑา ดูมีราคามากเลย”
มณฑายิ้มร้าย เกิดไอเดียบางอย่าง
“มีราคาเหรอ ฉันคิดเรื่องสนุกๆ ออกละ เดี๋ยวจะให้สำนึกทั้งอากำจรและคณะตะลุงเลยทีเดียว”
มารศรียิ้มย่องไปกับพี่สาว
ระหว่างนี้เพ็ญยกขนมมากำลังจะนำไปเสิร์ฟให้คุณกำจรเเละท่านโสภณ พอเห็นมณฑาเเละมารศรีดูมีพิรุธ จึงเเอบดูเหตุการณ์
อีกฟากหนึ่ง ทองกินเหล้าเมาอยู่ในห้องพัก ที่ท้ายห้องมีสนและพยอมกำลังเช็ดเครื่องดนตรีกันอยู่
ในขณะที่ทองกำลังเผลอ ที่ด้านนอกมารศรีแอบย่องเข้ามา แล้วโยนห่อผ้าเข้ามาทางหน้าต่างแล้วรีบหนีไป
ทองรู้สึกว่ามีบางอย่างตกมาใกล้ๆ จึงหันมาดูถึงได้เห็นห่อผ้าที่ว่า แต่ไม่เห็นว่าใครโยนเข้ามา
ทองแกะห้องผ้าออก เห็นเป็นไปป์งาช้างที่หักเป็นชิ้นแล้ว ส่งเสียงอ้อแอ้มาทางสองคน
“ไอ้สน อีพยอม มาช่วยดูหน่อยซิ ว่าข้าเก็บอะไรได้”
สน กับ พยอม พากันลุกมาดูไปป์ในห่อผ้ากับทอง
“กล้องยาหรือเปล่า แต่ทำไมมันขาวๆ เหมือนทำจากงาเลย” สนมองจ้อง
“นั่นซิ พี่ทองได้มาจากไหน”
ทั้งสนและผยอม ยังไม่เข้าใจว่าของมีราคา จะเข้ามาอยู่ในบ้านพักเรือนแถวนี้ได้ยังไง
ที่บ้านท่านคหบดีโกลาหลกันยกใหญ่ บ่าวทั้งบ้านถูกเกณฑ์มาช่วยกันหาไปป์ของคุณกำจรที่หายไป บรรยากาศวุ่นวายมาก ทุกคนช่วยกันหาทั้งใต้โต๊ะ ใต้เก้าอี้ ทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่เจอ
ท่านโสภณร้อนใจที่อยู่ๆ ของสำคัญของคุณกำจรก็มาหายไป แถมยังมาหายในเรือนของตนเสียด้วย
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับคุณกำจร ผมจะสั่งบ่าวให้หาอย่างถ้วนถี่อีกครั้ง”
“ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ อันที่หายดันเป็นอันสำคัญซะด้วย”
มณฑาไม่รอช้าเดินเข้ามาเสนอความคิดเห็น
“ร้อยวันพันปีไม่เคยมีของหาย พอวันนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเท่านั้นก็เกิดเรื่อง”
คหบดีโสภณหันมามองตำหนิลูกสาว ที่พูดแบบนั้นต่อหน้าแขก คุณกำจรสนใจ
“หลานมณฑาหมายถึงใครหรอครับ”
“ใครกันมณฑา ที่เเอบเข้ามาในบ้านเรา”
มณฑาระบุชัดๆ “ก็นายเที่ยง คณะตะลุงไงคะ”
ท่านโสภณปราม “มณฑา สำรวมหน่อย จะให้ร้ายใครก็ควรที่จะมีหลักฐาน ไม่ใช่คิดอยากจะพูดอะไรก็พูด”
“ก็จริงอย่างที่คุณพ่อว่านะคะ จะให้ร้ายใครก็ควรที่จะมีหลักฐาน”
มณฑาทำเป็นคล้อยตามเห็นงามไปด้วย แล้ววกเข้าแผนที่วางไว้ทันที
“ไม่เชื่อก็ถามบ่าวดูก็ได้ค่ะคุณพ่อ” มณฑามองไปที่กิ่ง “บอกคุณพ่อไปสิ ว่านายเที่ยงมาที่บ้านเราจริงไหม”
“นายเที่ยงมาที่บ้านจริงค่ะ เเต่…”
มณฑาขึงตามองไปที่กิ่งเชิงห้าม กิ่งหลบตาวูบไม่กล้าพูดต่อ มณฑาถามว่า
“สรุปว่ามาใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
เพ็ญยืนอยู่ตรงนั้นพอเดาสถานการณ์ได้จากภาพที่เห็นก่อนหน้า มองหามารศรีเเต่ก็ไม่เจอ มณฑารีบชิงจังหวะนี้ เสนอวิธีการอย่างอันน่าเชื่อถือต่อบิดา
“เเบบนี้ดีไหมคะคุณพ่อ เพื่อความสบายใจของทุกคน ลูกจะไปดูที่บ้านคณะตะลุงนั้นเอง ว่ามีของที่หายไปจริงไหม”
คหบดีโสภณไม่มีข้อโต้เเย้ง เพราะตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่คณะตะลุงจะเอาไป
“ถ้าลูกเชื่อเเบบนั้น ก็ลองไปดู”
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อ”
กำจรคิดตามอย่างสนใจ แล้วคิดออก พยักหน้าสั่งให้ผู้ติดตามของตนตามมณฑาไปด้วย
“เดี๋ยวๆ มณฑา”
“อะไรหรือคะ”
“เดี๋ยวให้คนของฉันตามไปด้วยดีกว่า มณฑาไปเจอคนดีคนร้ายก็ไม่รู้ มีอะไรขึ้นมาคนของเราจะได้จัดการให้ได้”
มณฑาลอบยิ้มด้วยความสะใจสมใจ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ฝ่ายเพ็ญลากกิ่งเข้ามาในห้องมาลี เล้วทำการปิดประตูหน้าต่างล็อคกลอนหนาแน่น จนมาลีสงสัยในท่าทีของบ่าวคนสนิท
“อะไรกัน เพ็ญ กิ่ง ทำตัวลับๆ ล่อๆ”
“มีเรื่องน่าสงสัยค่ะคุณมาลี อ่ะ อีกิ่ง บอกความจริงมาหน่อยซิ”
กิ่งทำเฉไฉ “ความจริงอะไรพี่เพ็ญ”
“นี่กิ่ง ต่อหน้าคุณหนูมาลีเลยนะ เอ็งต้องรีบบอกมา จะได้ช่วยกันได้ทันถ่วงที อยากให้นายเที่ยงเป็นเเพะนักใช่ไหม”
เมื่อมาลีได้ยินชื่อเที่ยงก็ถึงกับชะงัก
“นี่มันเรื่องอะไรกันเพ็ญ กิ่ง นายเที่ยงเป็นเเพะอะไร เล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“คุณมณฑาเธออ้างว่าเห็นนายเที่ยงขโมยไปป์ของคุณกำจร มีเเต่กิ่งก็มายืนยันว่านายเที่ยงมาที่เรือนจริงๆ แต่เพ็ญเห็นว่าคุณมณฑามองกิ่งแล้วเดาๆ ว่ากิ่งต้องรู้อะไรแล้วพูดไม่หมดแน่ๆ
มาลีจ้องหน้ากิ่ง “ว่ายังไงกิ่ง”
กิ่งถอนหายใจเฮือก ด้วยใจหนึ่งก็กลัวมณฑาเข้าเส้น
“คือคุณหนู เเต่คุณหนูต้องสัญญากับกิ่งนะคะว่าจะไม่บอกคุณมณฑา”
มาลีพยักหน้าให้กิ่งจึงเริ่มเล่า
“คือช่วงสายๆ นายเที่ยงแวะมาหาคุณมาลีที่บ้านค่ะ”
“เที่ยงมา แล้ว”
“ค่ะ บอกว่าเป็นห่วงคุณมาลีอะไรซักอย่างนะคะ แต่ไม่ได้เข้าพบคุณมาลี เพราะที่บ้านกำลังรับรองคุณกำจรอยู่ กิ่งเลยให้กลับไปก่อน”
“แล้ว…นายเที่ยงก็ไม่ได้เข้ามาไม่ใช่รึ” มาลีซักถาม
“ค่ะ นายเที่ยงไม่ได้เข้ามา แต่กิ่งกลัวคุณมณฑา เลยไม่กล้าพูดออกไปน่ะค่ะ”
ทันทีที่รู้เรื่องมาลีและเพ็ญรีบเดินทางไปที่บ้านชาวตะลุงทันที
ด้านสร้อยพีเดินตามหาเที่ยงจนทั่วบ้านเเต่ก็ไม่เจอ จึงเดินเข้ามาอีกห้องเห็นพยอม สน และ ทอง กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง
“ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
พยอมเห็นสร้อยพีก็รีบเดินเข้ามาหาอย่างดีใจ
“สร้อยพี...อาโพนปล่อยเเกเเล้วใช่ไหม”
สร้อยพีพยักหน้าให้พยอม
“เออสร้อยพี เอ็งมาก็ดีเเล้ว มาช่วยพวกข้าดูนี่หน่อย”
พร้อมกับว่าสนยื่นห่อไปป์ที่เเตกให้สร้อยพีดู
“ทำไมมันพังเเบบนี้ล่ะ นี่ไปเอามาจากไหน”
“ข้าเห็นมันอยู่ในห้อง ไม่รู้ใครเอามาวางไว้น่ะสิ” สนบอก
“เเล้วถามคนอื่นๆ หรือยัง” สร้อยพีซัก
“ไม่มีใครรู้เรื่อง ก็เหลือเเต่เอ็งกับไอ้เที่ยง ละก็อาโพน ที่ข้ายังไม่ได้ถาม” ทองว่า
“ว่าเเต่ พี่เที่ยงไปไหนเเต่เช้าเหรอ”
“ก็ไปบ้าน...” สนกำลังจะหลุดปากบอกไป
พยอมมองหน้าสนส่งซิกว่าอย่าบอกสร้อยพี แต่ทองเมาไม่รู้เรื่องจึงพูดขึ้นมา
“ไปหาคุณหนูมาลีเเต่เช้าเเล้ว ยังไม่กลับมาเสียที”
สร้อยพีได้ยินดังนั้นก็สะอึก อารมณ์เสียขึ้นมาทันที เดินหนีออกมานั่งหงุดหงิดอยู่ที่หน้าบ้าน
เที่ยงเดินมาพบนายโพนระหว่างทางเดินกลับบ้านพัก
“อาโพน ผมไปหาคุณมาลีตามที่อาว่าแล้วนะครับ แต่ว่าที่เรือนมีแขก ผมเลยไม่ได้เจอคุณมาลีครับ”
“งั้นเหรอ งั้นก็ดีเหมือนกัน ให้คุณเค้าว่างๆ แล้วอาเข้าไปพบเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องกวนเที่ยงอีก”
“อ้อ ครับอา แล้วสร้อยพีเป็นไงบ้างครับอา”
“ก็เบาลงแล้ว”
เที่ยงเดินเข้ามาจับบ่าอาโพนด้วยความเป็นห่วง
“ผมเป็นห่วงสร้อยพีเหลือเกิน พักหลัง…เหมือน...”
นายโพนตอบให้ว่า “เปลี่ยนไป”
“ครับ...อาโพนผมไปหาสร้อยพีก่อนดีกว่าครับ”
“ดี ไปซิ ไปกัน”
เที่ยงกับนายโพนเดินตรงมาที่บ้านพัก เขาเห็นสร้อยพียืนอยู่ข้างๆ บ้านพักจึงตะโกนเรียกขึ้น
“สร้อยพี พี่มาแล้ว เป็นไงบ้าง”
สร้อยพีหันมาตามเสียงเรียก ยิ้มกว้างดีใจ เมื่อเห็นเที่ยงเดินเข้ามา แต่แล้วยังไม่ทันทีเที่ยงจะเดินมาถึงมาลีและเพ็ญก็เดินตัดหน้ามาขวางทางพอดี มาลีนั้นไม่ได้สังเกตว่าสร้อยพียืนห่างไปทางด้านหลัง เพราะร้อนใจเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้น
“นายเที่ยง”
เที่ยงตกใจที่จู่ๆ มาลีกับเพ็ญปรากฏตัวขึ้นมาด้วยท่าทีรีบร้อน
“คุณมาลี”
“นายเที่ยง ตอนนี้คณะตะลุงกำลังเเย่ รีบกลับบ้านกันเถอะ”
มาลีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก จนทำให้นายเที่ยงเริ่มเชื่อว่ามีเรื่องเดือดร้อน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอขอรับ”
“รีบเดินมาเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง”
“ขอรับ เอ่อ ผมทราบเรื่องที่สร้อยพีทำเรื่องน่าอายให้กับคุณเเล้ว คุณเป็นยังไงบ้างขอรับ”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกนายเที่ยง ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกเนี่ย สำคัญมาก”
เที่ยงกับนายโพนฟังแล้วก็ยิ่งเป็นกังวล ส่วนสร้อยพีที่อยู่ห่างออกมารู้สึกขุ่นเคืองใจที่ถูกมาลีขัดจังหวะ
มารศรียืนรออยู่ข้างทาง ไม่นานมณฑาก็เดินเข้ามาหาตามที่นัดเกันไว้
“เรียบร้อยดีไหม มารศรี”
“เรียบร้อยพีค่ะพี่มณฑา คณะตะลุงนั้นเเตกตื่นกันใหญ่”
“หึ ได้เวลาเก็บกระเป๋ากลับบ้านเเล้วสินะ ไอ้พวกบ้านนอก”
มารศรีสีหน้าไม่สู้ดีนัก รู้สึกผิดต่อเที่ยง
“เป็นอะไรไปรึ...อย่าบอกนะว่ารู้สึกผิด” มารศรีนิ่งไป “หรือว่า เธอก็คงใฝ่ต่ำเหมือนนังมาลีนะ”
น้ำเสียงมณฑาฟังออกว่าเริ่มโกรธ มารศรีจึงรีบปฏิเสธพัลวัน
“เปล่านะคะพี่มณฑา ฉันไม่มีทางใฝ่ต่ำเเบบนังมาลีหรอกค่ะ”
“งั้นก็ดี อย่าลืมทำตามเเผนที่เราตกลงเอาไว้ล่ะ”
มารศรีตกปากรับคำเพราะกลัวมณฑา
“ค่ะ พี่มณฑา”
สร้อยพีหยุดชะงัก จากรอยยิ้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นหน้าบูดบึ้งเมื่อเห็นมาลี เที่ยง มาลี นายโพน เพ็ญ และมาลี เดินไปหาสร้อยพี
มาลีเดินตรงเข้าไปหา ยื่นมือออกไปหมายจะจับเเก้มดูอาการสร้อยพี
“สร้อยพีเป็นยังไงบ้าง”
แต่สร้อยพีสะบัดหน้าหลบ
“ขอบใจที่เป็นห่วงนะคะคุณหนู เเต่เก็บความหวังดีไว้ใช้กับตัวเองจะดีกว่า”
“สร้อยพี”
มาลีถอนหายใจ เหนื่อยหนักกับความหวังดีที่มีให้ แต่ถูกปฏิเสธ หนำซ้ำยังมองเธอในแง่ร้ายตลอดมา
ระหว่างนี้มณฑาเเละมารศรีก็เดินเข้ามาพร้อมชายสองคน ทุกคนงงงันกับการมาของทั้งสอง พยอมที่มองจากมุมหนึ่งเห็นมณฑา มารศรี ก็ชวนนายทอง นายสน ออกมาที่หน้าบ้าน
“อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว ดูมีความสุขกันจังเลยนะจ๊ะ” มารศรียิ้มหยัน พลางเดินมาใกล้ๆมาลี เเละพูดกระทบกระเทียบตามเคย “อยู่เเม้กระทั่งน้องสาวสุดที่รักของเรา”
“อย่าไปว่ามาลีเลย อยู่ที่นี่คงจะสบายใจ คนเราก็ต้องเกลือกกลั้วกับสิ่งที่ชอบเหมาะกับตัวเองอยู่แล้วใช่ไหมละมาลี” มณฑาเหน็บแนมต่อ
มาลีก้มหน้าก้มตาไม่ตอบโต้อะไร สร้อยพีคิดว่าตนสนิทกับทั้งสองพี่น้อง จึงถามขึ้นว่า
“คุณมณฑา คุณมารศรี มาหาดิฉันหรือคะ”
มณฑาชักสีหน้าที่ใส่ เป็นการบอกให้รู้ว่าสร้อยพีสำคัญตัวผิด
“สำคัญตัวผิดไปรึเปล่า ฉันคงไม่ตากเเดดร้อนๆ มาหาเเค่เธอหรอกนะ...สร้อยพี”
“เเล้วมาทำไมล่ะจ๊ะ”
พยอมพูดโพล่งขึ้นมา เลยถูกสนก็เอามือปิดปากเเล้วลากเข้าไปในบ้าน
“มีอะไรให้พวกเราชาวตะลุงรับใช้หรือเปล่าครับ คุณมณฑา คุณมารศรี มาเองถึงที่เเบบนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่เเน่ๆ ใช่ไหมขอรับ” นายโพนถามแทนทุกคน
“ของของคุณกำจร เเขกขอคุณพ่อหายไป มีคนเห็นว่าคนในคณะตะลุงไปที่บ้าน คุณพ่อก็เลยให้พวกเรามาดู…เผื่อว่าพวกหัวขโมยจะอยู่แถวนี้”
นายโพนประหลาดใจ “หัวขโมย ขโมยอะไรหรอครับ”
“นี่ถ้าฉันจะค้น ฉันต้องขออนุญาตใครหรือเปล่า ไม่ต้องซินะ เอาเลยเธอสองคน มารศรีเข้าไปช่วยดูอีกคนซิ”
มณฑาหันไปสั่งคนติดตามสองคนให้เข้าไปในบ้าน มารศรีติดตามเข้าไปด้วย
ชายสองคนพากันค้นหาของตามมุมต่างๆ จนไปเจอห่อผ้าพร้อมไปป์วางอยู่บนโต๊ะในห้อง โดยไม่ได้เก็บซ่อนแต่อย่างใด แต่ไปป์แตกหักแล้ว
“นี่ไงเจอไปป์แล้วมึง ทำไมมันไม่ซ่อนเลยวะ” ชาย1 แปลกใจ
“นั่นซิ ช่างเหอะ เอาไปให้คุณเค้าดูดีกว่า” ชาย2 บอก
มารศรีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งชาย2 เอามาให้ดู
“นี่ครับคุณหนู พบแล้วครับ”
“อุ๊ย จริงด้วย พวกนี้มันหัวขโมยชัดๆ”
“ครับ ไอ้พวกนี้ มันต้องเจอพวกกระผม ริมาขโมยของเจ้านาย” ชาย1 ฮึดฮัด
ชาย2 รีบผสมโรงทันที “ข้านี่อยากจะซัดหน้ามันซักหมัด”
มารศรียิ้มสมใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ที่ลานหน้าเรือนแถวบ้านพักบรรดาชาวตะลุงตอนนี้ มีแต่สีหน้ากังวล มณฑาเห็นแล้วยิ่งสะใจ มารศรีเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับห่อไปป์
“เจอเเล้วค่ะ..พี่มณฑา”
มณฑายิ้มเยาะ “นึกว่าจะดีงามมากจากไหน ที่เเท้ก็หัวขโมยชั้นต่ำนี่เอง”
เที่ยงได้ยินเเบบนั้นก็ยอมไม่ได้
“ถึงพวกเราจะจน..เเต่ก็ไม่คิดขโมยของใคร”
“จริงจ้ะ เเล้วกล้องยานี้ข้าเห็นมันวางอยู่ในห้องไม่ได้มีใครขโมยมาจริงๆ นะจ๊ะ” ทองบอก
มณฑาไม่สน “หัวขโมยก็มักใช้คำพูดแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
“ของอยู่ที่บ้านฉันเเท้ๆ จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” มารศรีบอก
มาลีแย้งขึ้น “นั้นน่ะสิคะ น่าสงสัยเสียจริง หากจะบอกว่าเป็นนายเที่ยง คงไม่ใช่เเน่ เพราะฉันเองเดินมาพร้อมกับนายเที่ยง ยังไม่เห็นเค้าถือห่อไปป์เลย”
มารศรีรีบสะกิดมณฑากลัวว่ามาลีจะซักไซ้จนรู้ความจริง มณฑาหันไปพยักหน้าให้ชายฉกรรจ์สองคน
คนของมณฑาเข้าประชิดตัวเที่ยงเเละล็อกตัวเอาไว้ ท่ามกลางความตื่นตกใจของคนในคณะตะลุง สร้อยพีเเละมาลีต่างก็ตกใจไม่เเพ้กัน เที่ยงสะบัดตัวดิ้นหนีออกจากการล็อก
“มึงนี่ ทำผิดแล้วยังฤทธิ์เยอะอีก”
จนชาย 2 ตัดสินใจซัดหมัดเข้าหน้าเที่ยงจนล้มหงายไป และถูกจับล็อกอีกหน
สนกะทองอยากเข้ามาช่วยก็เจอมณฑาขึงตาใส่ ชี้นิ้วใส่หน้าปรามให้หยุดทุกอย่างที่คิดจะทำ
“อย่าคิดจะมาป่าเถื่อนแถวนี้”
ทองกะสนหยุดกึก ไม่กล้าจะทำอะไร
มาลีตกใจ “นี่ พี่กำลังจะทำอะไร”
สร้อยพีขอร้อง “คุณมณฑา คุณมารศรี ปล่อยพี่เที่ยงเถอะนะคะ”
“เเต่พวกเราไม่ใช่ขโมยจริงๆ นะขอรับ คุณมณฑา คุณมารศรี อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะขอรับ”
“เบื่อจะฟังคำแก้ตัวจริง จะพูดอะไรก็ไปบอกกับคุณกำจรเองเฮอะ หรือถ้า...จะกลัวความผิดครั้งนี้จะร้ายแรง ก็พอมีวิธีผ่อนหนักให้เป็นเบาอยู่บ้าง” มณฑาว่า
“ยังไงหรือขอรับ”
“เก็บข้าวของกลับบ้านนอกของพวกเเกไปซะ” มณฑายื่นคำขาด
คนตะลุงเงียบกริบได้แต่มองหน้ากันไปมา มาลีเองก็นิ่งงันไป เที่ยงที่โดนล็อกตัวอยู่เอ่ยปากขึ้นมาว่า
“พวกเราจะไป ก็ต่อเมื่อท่านโสภณบอกกับพวกเราเอง พวกเรายืนยันว่าไม่ได้เป็นหัวขโมย เเละพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองขอรับ”
สองพี่น้องเบ้ปากใส่เที่ยง
“อย่างนั้นก็ดี รอฟังคำตอบจากคุณพ่อเอาเองก็เเล้วกัน” มณฑาบอก
จากนั้นสองสาวหันหลังเดินกลับไปโดยไม่ใยดีชาวตะลุงที่กำลังอึ้งอยู่ ชายฉกรรจ์ดึงทึ้งเที่ยงให้ตามไป
“พี่เที่ยง”
สร้อยพีจะวิ่งเข้าไปหา แต่พยอมห้ามไว้ “อย่าเพิ่งสร้อยพี เดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่นะ”
มาลีมองหน้าเที่ยงแล้วเดินตามไป “นายเที่ยง”
เที่ยงเหลียวมามองมาลีอย่างอาลัยอาวรณ์ และรู้สึกผิดที่ก่อเรื่องอีกแล้ว
อ่านต่อ ตอนที่ 16
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่15 #thaich8 #ละครออนไลน์