เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 14
ที่ห้องเสื้อชื่อดังแห่งพระนคร อันเป็นร้านประจำของ มารศรี และ มณฑา เวลานี้เสื้อสวยกระโปรงแนวตะวันตกนิยม ถูกสวมลงบนเรือนร่างสมส่วนของสร้อยพี เครื่องประดับเป็นสร้อยมุกถูกคล้องเข้าที่คอระหง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยลิปสติกสีสดใส ทุกอย่างรวมอยู่บนเรือนกายของสายใต้ดวงตาสีน้ำตาล เปลี่ยนสร้อยพีให้เป็นสาวพระนครเรียบร้อยแล้ว
สร้อยพีดูประดักประเดิด ด้วยยังไม่ชินกับภาพลักษณ์ใหม่ของตัวเอง มารศรีเล็งแลอีกทีแล้วเข้ามาจับและจัดแต่งชุดให้ชุดเข้าทรงสวยงามยิ่งขึ้น
“ฉันไม่ชินเลยค่ะ”
มารศรียิ้มบอก “เดี๋ยวก็ชินเองแหละ”
“ขอบพระคุณ คุณมารศรีมากเลยนะคะ ที่ไม่รังเกียจคนบ้านนอกอย่างฉัน”
ช่างตัดเสื้อ ส่งผ้าให้มารศรีเอาผ้าอีกพับมาทาบบนผิวของสร้อยพี
“ไหนเธอลองเลือกผ้าดูซิ ว่าแบบไหนที่เธอชอบ”
ช่างตัดเสื้อเอาสมุดตัวอย่างผ้าส่งให้สร้อยพีเลือกดู
“ลองเลือกดูซิคะ คุณหนู”
ถูกช่างตัดเสื้อเรียกยกยอว่า ‘คุณหนู’ มันยิ่งทำให้สร้อยพีตัวพอง พรายยิ้มดีใจ หลังพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง สร้อยพีก็เลือกได้ผ้าที่ถูกใจ ชี้บอกไปที่ชิ้นหนึ่ง
“ฉันว่า ผ้าผืนนี้สวยจังเลยค่ะ”
“ไหนดูซิ”
ช่างออกอาการกระอึกกระอัก พูดไม่ออก
มารศรีเห็นก็แปลกใจ “อะไรเหรอ”
“เอ่อ...ผืนนั้นแพงมากเลยนะคะคุณ แล้วก็…คุณมณฑา จองไว้แล้วด้วยน่ะซิคะ คิดว่า คุณมณฑาไม่น่าจะปลื้มนะคะ”
ไม่ทันขาดคำดีนักคุณมณฑาก็เดินเข้ามาในร้านพอดี ทุกคนรีบเก็บอาการ
มณฑามองดูสร้อยพีหัวจรดเท้า
“พอแต่งตัวแล้ว เธอก็ดูสวยดีนะสร้อยพี แต่ผ้าที่เธอจับนั่น มันของฉัน”
“ค่ะ”
สร้อยพีก้มหน้าอย่างเจียมตัว มารศรีรีบดึงสร้อยพีออกไป
“ออกไปข้างนอกกันดีกว่า ฉันจะพาเเธอไปดูเครื่องหอม ไปๆ”
มณฑามองตามสร้อยพีอย่างเหยียดๆ
สองสาวในชุดสวยกำลังเลือกซื้อแป้งหอมอยู่ในร้านไม่ไกลจากร้านเสื้อนัก พ่อค้าดูมักคุ้นกันกับมารศรีเป็นอย่างดี
“ขอบคุณขอรับ คุณหนูมารศรี แล้วก็คุณหนู …” พ่อค้ามองมายังสร้อยพีอย่างชื่นชม
“ฉันสร้อยพี...แต่ไม่ได้เป็นคุณหนูอะไรหรอกจ้ะ”
“คุณหนูนี่ล้อผมเล่นใช่มั้ยเนี่ย เห็นแบบนี้จะไม่ใช่คุณหนูได้ยังไง”
สร้อยพียิ้มดีใจ รับของจากพ่อค้า แล้วยังต้องช่วยถือของให้มารศรีด้วย ลึกๆ แล้วมารศรีอดหมั่นไส้ไม่ได้ เพราะสร้อยพีสวยไม่แพ้สาวพระนครเลยทีดียว
“เธอถือของกลับไปบ้านให้ฉันหน่อยนะสร้อยพี ฉันต้องกลับไปหาพี่มณฑาแล้วก็เพื่อนๆ ที่สโมสรน่ะ”
“ได้ค่ะ คุณมารศรี”
มารศรีแยกตัวไป ปล่อยให้สร้อยพีเดินเล่นอยู่ลำพังที่ตลาด
ขณะที่สร้อยพียืนเลือกซื้อขนมอยู่นั้น พยอมก็เดินเฉียดกรายเข้ามาโดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่เธอยืนอยู่ใกล้ๆ คือสร้อยพี
“ขอโทษนะคะ คุณหนู ขอฉันเลือกขนมหน่อยนะเจ้าคะ”
สร้อยพียิ้มหัว ขำเพื่อนคิกคัก และนึกสนุกแกล้งพยอมเล่น
“ได้จ้ะ อ่ะ ฉันขยับให้ก็ได้...พยอม”
“ขอบพระคุณ…” พยอมเคลิ้มจนสะดุดหูชื่อตัวเองจึงหันมามองแล้วต้องประหลาดใจ คาดไม่ถึง
“เฮ้ย…ใครเนี่ย สร้อยพี”
พยอมมองดูชัดๆ เต็มตาจึงเห็นว่าเป็นสร้อยพีจริงๆ สองสาวต่างคนต่างดีอกดีใจยกใหญ่ที่ได้เจอกัน
“โอ๊ย ไม่เจอไม่กี่คืน สร้อยพีเพื่อนฉันกลายเป็นคุณหนูไปแล้ว”
“แกก็พูดเกินไป ฉันก็สร้อยพีคนเดิมนี่แหละพยอม แล้วนี่แกมาทำอะไร”
“ก็ว่าจะมาซื้อขนมไปให้อาโพนพ่อแกนั่นแหละ”
“ฉันก็มาซื้อขนมอันนี้จะเอาไปฝากพ่อเหมือนกัน”
“เหรอๆ งั้นเราไปด้วยกันมั้ย”
“ไปซิ”
สองสาวจ่ายเงินแล้วรับถุงขนมจากพ่อค้า ขณะขยับตัวเดินออกมา ก็มีเด็กซนคนหนึ่งวิ่งมาชนสร้อยพีจังๆ จนชุดสวยตัวใหม่เกือบจะเลอะ สร้อยพีฉุนขาด
“นี่ ทำไมวิ่งไม่ดูเลย ชุดนี้มันแพงมากเลยนะ”
“กระผมขอโทษนะขอรับคุณหนู”
“ดูซิ พยอม”
สร้อยพีฮึดฮัดไม่เลิก พยอมเลยรีบตัดบท
“เอาน่ะๆ เด็กมันไม่ได้ตั้งใจ ปะ ไป...ไปหาอาโพนกันเถอะ”
สร้อยพีไม่วายพูดดุ ไล่ตามหลังเด็กไปอย่างขุ่นเคืองใจ
“คราวหลังจะวิ่งเล่น ก็ระวังหน่อยนะ”
สร้อยพีเดินวางท่าคุณหนูนำออกไป พยอมเดินตามหลัง อดคิดไม่ได้ว่าสร้อยพีมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้านมณฑาและมารศรีอยู่ในกลุ่มเพื่อนลูกสาวคหบดีด้วยกัน และกำลังคุยโตโอ้อวดเรื่องข้าวของจากฝั่งตะวันตกกันอย่างสนุกสนาน
“พวกเธอลองกันครบแล้วหรือยังน้ำอบจากโปรตุเกส” มณฑาปรารภขึ้นมา
เพื่อน1 ข่มว่า “ฉันใช้มาคนแรกในกลุ่มเลยมั้ง ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่เลย เธอไปอยู่ที่ไหนมาเหรอมณฑา ถึงได้ถามอะไรฟ้องความไม่ทันสมัยขนาดนี้”
“ที่ฉันถามแบบนี้ก็เพราะกลัวพวกเธอตกยุคต่างหาก อะไรคือไม่ทันสมัย นี่ๆ ดูนี่”
พร้อมกับว่ามณฑาหยิบขวดน้ำหอม แล้วพ่นใส่ข้อมือตัวเองยื่นให้เพื่อนๆ ดม
“รู้จักมั้ย เกอร์แลง” มณฑาหมายถึงน้ำหอมของ ปิแอร์ ฟรังซัวร์
เพื่อน1 อึกอัก “คือ…”
มณฑาได้ทีคุยข่มกลับอย่างไม่ไว้หน้า “ไม่เอา อย่าทำหน้าสงสัยแบบนี้สิ เพื่อนทันสมัยของฉัน”
การพูดจากระทบกระเทียบของมณฑากับเพื่อน1 ดูเหมือนว่าตอนนี้คนได้เปรียบจะเป็นมณฑาเสียแล้ว มารศรีรีบเข้าสมทบ โดยการพ่นน้ำหอมแจกจ่ายให้เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม
มณฑาสำทับว่า “ลองดมดูนะ แล้วจะรู้ว่าของจากโปรตุเกส มันเทียบชั้นไม่ได้กับของจากฝรั่งเศสเลย มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้ และฉันก็มี”
เพื่อน1 รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก แต่ต้องคุมแค้นเก็บอาการเอาไว้ รอเอาคืน
“ฉันนี่ยอมเธอจริงมณฑา น้ำหอมเธอนี่หอมจริงๆว่าแต่…เกอร์แลงของเธอนี่ มีอะไรพิเศษอีก”
มณฑางง “ก็...”
เพื่อน 1 บอกขึ้นว่า “ก็เอาไว้ดับกลิ่นสาบได้ใช่มั้ย”
มณฑางงใหญ่ “กลิ่นสาบ”
“ก็ กลิ่นสาบพวกบ้านนอก ที่เล่นตะลุงเชยๆ ที่บ้านเธอไงมณฑา กลิ่นพวกเค้าคงจะติดเต็มตัวเธอแล้วซินะ ถึงจะต้องใช้น้ำหอมหายากมาช่วยดับกลิ่น”
มณฑาแทบเต้น “อะไรนะ”
เพื่อน1 ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา
“จะเครียดไปทำไมเพื่อน ดีจะตาย ตอนนี้บ้านเธอมีชื่อใหม่แล้วนะ บ้านคุณมณฑาหนังตะลุง”
“ปากเสีย”
มณฑาโกรธจัด ลุกออกจากกลุ่มไป มารศรีรีบตามไปติดๆ เพื่อน 1 ยังคงพูดตามหลังไปอีกว่า
“ปากบอกว่าตัวเองทันสมัย แต่ที่ไหนได้ ที่บ้านยังเล่นตะลุงอยู่เลย”
เหล่าเพื่อนๆ ในกลุ่มหัวเราะเยาะ ไล่หลังทั้งคู่ไปอย่างสะใจ
ทางด้านเที่ยง กำลังซ้อมเชิดตะลุงอยู่ตรงหน้าอาโพนที่คอยดูการซ้อมอยู่ เที่ยงมองไปเห็นพยอมเดินมากับสร้อยพีในภาพลักษณ์ใหม่ของสาวพระนคร ก็ถึงกับตะลึงแลตาค้าง ถือตะลุงนิ่งไม่ร้องไม่เชิด
สร้อยพีเห็นสายตาของเที่ยงที่มองมาอย่างตื่นตะลึงจึงยิ้มหวานมาให้
นายโพนเห็นทีท่าแปลกๆ ของเที่ยง จึงหันไปมองตาม เห็นสร้อยพีเดินเข้ามาหาตน ด้วยภาพลักษณ์ใหม่นั้นยิ่งทำให้นายโพนไม่วางใจ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของตนกันแน่
สร้อยพียิ้มทัก “พ่อ ฉันซื้อขนมมาฝาก ของชอบของพ่อทั้งนั้น”
“อืม ขอบใจ ไปเที่ยง เราไปซ้อมต่อกันดีกว่า”
นายโพนออกอาการหมางเมินเฉยชาใส่ ทำเอาสร้อยพีหน้าเสียไป พยอมก็พลอยจ๋อยไปด้วย
เที่ยงดูสีหน้าอาการของสองคนพ่อลูก รับรู้ว่าตนควรทำอะไรบ้างให้สถานการณ์ดีขึ้น
“อา พักกินขนมกินน้ำก่อนก็ได้นะ ใช่มั้ยสร้อยพี ใช่มั้ยพยอม”
พยอมรีบรับลูก จับพ่อลูกไปนั่งที่แคร่แถวนั้นด้วยกัน
“ใช่ๆ จ้ะ พักคุยกันก่อนดีมั้ย มาๆ สร้อยพี มานั่งใกล้ๆ กันนี่”
สร้อยพีจัดขนมใส่จานที่พยอมไปหยิบมา วางให้พ่อ “จ้ะ พ่อกินก่อนเนอะ”
นายโพนขยับตัวมาทางเที่ยงและพยอม ทรุดตัวลงนั่ง แต่ในใจก็ยังครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ จนไม่อาจกินขนมโปรดลง
“สร้อยพี อะไรคือเหตุผลที่เอ็งทำแบบนั้น เอ็งจะบอกพ่อได้มั้ย”
สร้อยพีเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ จนพยอมกับเที่ยงชักเกิดความสงสัย
“อาหมายถึงอะไรเหรอ” พยอมซัก
เที่ยงก็อยากรู้ “แล้วสร้อยพีเอ็งไปทำอะไรมา”
สร้อยพีเอาแต่นิ่งขึงไม่พูดไม่จาใดๆ
นายโพนเอาแต่มองหน้าลูกสาวเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ซึ่งทั้งเที่ยงทั้งพยอมก็รอคำตอบนั้นเช่นกัน
ในที่สุดสร้อยพีเลือกที่จะลุกหนีออกจากตรงนั้น เที่ยงเห็นว่าสร้อยพีเสียใจจึงรีบลุกติดตามไป
“เอ้า สร้อยพีรอก่อน”
สร้อยพีลุกหนีออกมาด้วยความอึดอัด และ ความรู้สึกผิดในใจ หนำซ้ำยังไม่สามารถตอบคำถามของพ่อได้อยู่ดี
เที่ยงรีบตามมาจนทัน
“สร้อยพี เอ็งอย่าเพิ่งเสียใจไปเลย”
สร้อยพียังเอาแต่นิ่ง
“อาโพน เค้าคงยังโมโห เรื่องวันก่อนอยู่น่ะ”
“ฉันรู้พี่”
“แล้วสร้อยพีพอจะบอกพี่ได้มั้ยว่า มีเรื่องอะไรกันเหรอ พี่ถามอา อาก็ไม่ตอบอะไร”
“สร้อยพี...ตอบพี่ไม่ได้จริงๆ”
“ทำไมล่ะ มันหนักหนามากเลยหรือ แต่พี่ว่าหนักหนาแค่ไหน พี่กับรับได้อยู่แล้วนะ ถ้ามันเป็นเรื่องของสร้อยพี”
“พี่อย่าคาดคั้นสร้อยพีอีกเลย”
สร้อยพีน้ำตารินออกมา ด้วยถูกความอึดอัดบีบบังคับ
เที่ยงเห็นก็เป็นห่วงรีบเอานิ้่วปาดน้ำตาให้ สร้อยพีมองตาเที่ยงด้วยความซาบซึ้งใจ ยิ่งรักยิ่งหวงพี่เที่ยงของเธอทบทวี เที่ยงลูบผมสร้อยพีปลอบประโลม
“ไม่เอา ไม่ต้องร้องหรอก ไม่อยากพูดถึงก็ไม่ต้องพูดถึง เอาอย่างนี้ เดี๋ยววันนี้ เราไปที่ที่นึงกัน เผื่อสร้อยพีจะได้หายกลุ้มใจ”
สร้อยพียิ้มออกมาได้ มองหน้าเที่ยงอย่างแสนรัก
ไม่นานต่อมาสร้อยพีพนมมือไหว้พระพุทธรูปภายในโบสถ์ มีเที่ยงพนมมืออยู่ข้างๆ กัน
“บอกความอึดอัดไปกับองค์พระซิ เผื่อว่าท่านจะช่วยให้สร้อยพีคลายความกังวลใจลง”
สร้อยพีคิดถึงความผิดของตัวเอง ตอนลอบทำร้ายมาลีที่ร้านขายพริกแห้ง แล้วก็เกิดความลังเล
เที่ยงเห็นว่าสร้อยพีนิ่งไปจึงเรียกสติ
“เอาเลยสร้อยพี อธิษฐานในใจก็ได้ พี่จะได้ไม่ได้ยิน”
เที่ยงยิ้มให้กำลังใจ สร้อยพีทำทีว่าจรดดอกไม้ธูปเทียนอธิษฐาน
ถัดมา สองคนเดินเคียงกันไป สร้อยพีลอบมองเที่ยงด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ทั้งรัก ทั้งรู้สึกผิดที่ตนต้องกลายเป็นคนโกหก ในขณะที่เที่ยงทอดอารมณ์ไปกับบรรยากาศเงียบสงบของวัด
สร้อยพีรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในใจ ตัดสินใจจะถามเอาความจริงเรื่องเที่ยงกับมาลี
“พี่เที่ยง พี่คิดอย่างไรกับ...”
เที่ยงหันมาหา “อะไรนะ”
“คือพี่...”
“อืม พี่ทำไมเหรอ”
สร้อยพีเปลี่ยนใจเอาดื้อๆ “ไม่...มีอะไรพี่”
เที่ยงยิ้ม นึกบางอย่างได้ “งั้นรึ สร้อยพีเดี๋ยวรอให้ค่ำ แล้วเวียนเทียนกันต่อดีมั้ย”
“ดีพี่”
สร้อยพีเดินช้าลงๆ ปล่อยให้เที่ยงเดินนำไปคนเดียว
สุดท้ายสร้อยพีหยุดยืนอยู่กับที่ ปล่อยให้เที่ยงเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
สร้อยพีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเที่ยงไปตรงหัวมุมโบสถ์ เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเที่ยงกำลังมองหาเธออยู่
ขณะจรดฝีเท้าเข้าไปหา แต่แล้วต้องชะงักยืนมอง เมื่อเห็นมาลีกับเพ็ญเดินเข้ามาทักเที่ยงตัดหน้าก่อน
“นายเที่ยง นี่มารอเวียนเทียนเหมือนกันรึ”
เที่ยงยิ้มกว้างดีใจ “อ้าว พี่เพ็ญ กับคุณ...มาลี ก็มาด้วยเหรอขอรับ”
“แล้วนี่มากับใคร” เพ็ญถาม
“กระผมมากับสร้อยพี แต่ไม่รู้ว่าคลาดกันตรงไหน หายไปเฉยๆ เลย”
“อ้าวเหรอ งั้นเราเดินหากันมั้ย คนไม่เยอะเท่าไหร่น่าจะหาไม่ยาก” มาลีว่า
คำพูดของมาลี ทำให้สร้อยพีต้องรีบเลี่ยงหลบไปทางอื่น
“แล้วที่คุณมาลีถูกทำร้าย ตอนนี้เป็นยังไงบ้างขอรับ กระผมล่ะโกรธตัวเองแท้ วันนั้นไม่น่าปล่อยให้คุณมาลีกลับไปตลาดคนเดียวเลย กระผมต้องขอโทษจริงๆ นะขอรับ”
“อย่าโทษตัวเองเลยเที่ยง เที่ยงไม่เกี่ยวซะหน่อย”
“แล้วทางการได้เค้าคนร้ายบางหรือยังขอรับ” เที่ยงซัก
“ก็เห็นว่าเร่งตามๆ อยู่”
สร้อยพีได้ยิน ก็ยิ่งทำให้ไม่กล้าแสดงตัวออกมา
“นี่ยังงงอยู่เลย ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ย่านนี้ก็ไม่เคยมีข่าวคนร้ายแบบนี้ อยากรู้จังมันทำทำไม” เพ็ญบ่น
“เอาน่ะ ตอนนี้เราตามหาสร้อยพีกันก่อนเดี๋ยวจะหลงเตลิด ไปไกลซะ”
“ขอรับๆ”
เที่ยงกับมาลีเดินหาสร้อยพี ท่ามกลางแสงเทียนวิบวับของผู้คนที่พากันมาเวียนเทียน
สร้อยพีได้แต่ยืนเสียใจอยู่ในมุมที่แอบซ่อน รำพึงรำพันด้วยความแค้น
“นังมาลีอีกแล้ว”
จู่ๆ สร้อยพีก็ปรากฏตัวออกมาจากมุมที่ซ่อน ใกล้กับจุดที่เที่ยงและมาลีอยู่
“คุณมาลี”
มาลียิ้มทัก “อ้าวอยู่นี่เอง”
“หายไปไหนมา สร้อยพี” เที่ยงถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเลยไปนั่งพัก”
“แล้วเป็นไงบ้าง ไหวมั้ย”
“ไหวพี่ แต่เราจะกลับกันหรือยัง”
“นี่ ถ้าก่อนกลับ อย่าลืมแวะไปดูพระนครจากระเบียงวัดนะ สวยทีเดียว” มะลิแนะนำอย่างหวังดี
“ครับ คุณมาลีพูดเหมือนผมเมื่อครู่เลย นี่ว่าจะชวนสร้อยพีไปดูด้วยกันอยู่พอดี มันตรงข้างหน้านี่ใช่มั้ยขอรับ”
“จ้ะ งั้นเดินไปด้วยกันมั้ย”
สร้อยพีพูดแทรกขึ้นว่า “ขอไม่ไปดีกว่าค่ะ”
“สร้อยพียังเวียนหัวอยู่รึ งั้นกระผมขอพาสร้อยพีไปนั่งพักก่อนนะครับคุณมาลี”
เที่ยงพาสร้อยพีไปนั่ง แต่เขายังไม่วายหันกลับไปมองมาลีตลอดเวลา สร้อยพีเห็นก็ยิ่งไม่พอใจ
มัลลิกานั่งจ๋อยอยู่หน้าโต๊ะทำงานภวัต ในมือภวัตมีตลับใส่เหรียญนาฏแตกบิดเบี้ยวอยู่
“ภวัตเราขอโทษ ที่ตลับใส่เหรียญที่ให้แตก”
“เอาน่ะ ไม่ป็นไร มะลิปลอดภัยก็ดีแล้ว”
เจนจิราเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“มะลิ เธอเป็นไงบ้าง พี่เป็นห่วงมากเลยเห็นว่า พี่ภาคกับเธอเจอ...” เจนจิราไม่อยากเอ่ยชื่อผีสร้อยพี “อีกแล้ว”
“มะลิไม่เป็นไรแล้ว แต่พี่ภาคน่ะซิ ไม่รู้ว่าเป็นไงบ้าง”
“พี่ภาคเหรอ เห็นเจว่า ตอนนี้ก็ติดต่อยังไม่ได้เลย หายไปเสียเฉยๆ หรือว่า...” เจนจิราขนลุก
มัลลิกาตกใจไปด้วย “นั่นสิ พี่ภาคผลักมะลิเข้าไปซ่อนในห้อง แล้ว...มะลิก็ได้ยินแต่เสียงร้องของพี่เค้าเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้...เป็นยังไง”
“คงไม่มีอะไรมั้งครับ…เพราะตอนที่ผมเช็คกล้องวงจรปิด ก็ยังเห็นพี่ภาคเดินออกจากตึกไปเฉยๆ เลย”
มัลลิกาไม่อยากเชื่อ “จริงเหรอ”
เจนจิราถามย้ำ “ใช่พี่ภาคจริงๆ หรือเปล่า ภวัต”
ภวัตหันไปพูดส่วนตัวกับเจนจิรา
“พี่เจนก็ อย่าทำให้มะลิเค้ากลัวซิพี่”
เจนจิราดันโพล่งขึ้น “ก็มันจริงนี่คุณภวัต”
ภวัตอึ้งไป
มัลลิกาได้ยินทั้งหมดที่สองคนคุยกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร
ภวัตหันมาคุยกับมัลลิกาต่อ
“แล้วเหรียญของมะลิ ก็หายไปแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ มะลิจะปลอดภัยมั้ย”
“ก็คงต้องระวังตัวอย่างเดียว”
เจนจิราพูดสีหน้าจริงจัง “เอาจริงๆ นะมะลิ พี่อยากให้เธอไปพักกับพี่ที่บ้าน เธอตัวคนเดียว มาพักกับพวกแม่ๆ ของพี่ อยู่กันหลายๆ คนจะได้มีคนช่วยกันดูแล”
“ก็ดีนะมะลิ พ่อแม่เธอที่ออสเตรเลีย จะได้ไม่ต้องห่วงด้วยไง” ภวัตเห็นด้วย
“ไว้มะลิจะเอาไปคิดดูนะพี่”
ระหว่างนี้เจรมัยก็เดินตรงมาหา พร้อมกับกาแฟสองแก้วในมือ เจนจิราหันไปเห็นการมาถึงของเขา พร้อมๆ กับภวัต
“อ้าว นายเจ ที่แท้มะลิก็มีคนดูแลแล้ว”
เจนจิรายิ้มล้อมัลลิกา ขณะที่มะลิยิ้มแทนคำตอบ
มัลลิกาหันมามองภวัต เห็นเขาพยักหน้ายิ้มให้ เป็นเชิงบอกว่าเข้าใจตรงกัน ถึงแม้ในใจจะแอบใจหายเสียดายนิดๆ เจรมัยเดินมาถึงโต๊ะที่ทุกคนอยู่
“เป็นไงบ้างมะลิ สวัสดีพี่เจน สวัสดีคุณภวัต”
ภวัตยิ้มให้ ทักตอบ “ครับ”
“หวัดดีจ้ะนายเจ นี่คงมาดูแลมะลิตั้งแต่เมื่อคืนแล้วใช้มั้ยเนี่ย” เจนจิราถามยิ้มๆ
“ครับ นี่ก็ว่าจะพาไปวัดต่ออีก”
“ดีเลย พวกผีมันจะได้ไม่กล้าทำร้ายอีก”
“มะลิ อยากไปมั้ย”
“ได้นะ ว่าแต่ที่ว่าจะไปวัดเนี่ย วัดไหนเหรอ”
เพียงไม่นานเจรมัยก็พามัลลิกามาถึงวัดแห่งนี้ ที่เขาเคยมายามมีเรื่องวุ่นวายใจ สองคนยืนอยู่กลางลานวัด
“ผมตั้งใจพามาที่นี่ก็เพราะผมว่าที่นี่ทั้งสงบ ทั้งสบายตา”
ทั้งสองคนเดินผ่านจากโถงมาตรงระเบียงวัด และนั่นคือภาพแรกที่เผยให้เห็นว่าทั้งคู่อยู่ที่วัดภูเขาทอง และกำลังเดินไปตรงระเบียงชมวิว
“มะลิเคยมามั้ย”
“ไม่เคยเลย เคยแต่ได้ยินคนเล่าให้ฟัง”
ทั้งสองคนทอดอารมณ์มองวิวกรุงเทพฯ ตรงหน้า
“ถึงฉันจะไม่เคยมา แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า เคยมายืนตรงนี้ก็ไม่รู้”
“ผมก็รู้สึกเหมือนกัน”
เจรมัยมองหน้ามัลลิกา เหมือนค้นหาคำตอบว่า ทำไมสองคนถึงรู้สึกแบบนั้น มัลลิกายิ้มให้เขา เธอเองก็คิดแบบเดียวกัน
“คุณกำลังคิดว่าในอดีต เราสองคนเคยมาอยู่ตรงนี้ด้วยกันใช่มั้ย”
“ใช่”
“แล้วคุณว่าสมัยก่อน วิวตรงนี้จะเป็นยังไง”
“มันก็คงเต็มไปด้วยต้นไม้ล่ะมั้ง ตึกก็ไม่มีแบบนี้แน่นอน”
“อันนั้นมันแหงอยู่แล้วคุณ แล้วคุณว่าตึกไหนอายุมากสุด อืม...ฉันว่าตึกตรงนั้น”
“ผมว่าตึกตรงนี้น่าจะเก่ากว่าตึกที่คุณชี้นะ”
ทั้งสองคนมองภาพวิวกรุงเทพมหานครตรงหน้า
ก่อนที่ตึกที่สองคนพูดถึงจะค่อยๆ หายไป กลายเป็นวิวทิวทัศน์พระนครในอดีตขึ้นมาแทนที่อย่างช้าๆ
ที่ระเบียงวัด มาลียืนมองวิวพระนคร โดยที่ข้างๆ เพ็ญกำลังตื่นเต้นกับบรรยากาศสวยงามตรงหน้า เดินไปเดินมาดูมุมโน้นมุมนี้ไม่รู้เหนื่อย สักพักเที่ยงจึงเดินเข้ามาสมทบ
“คุณมาลีขอรับ”
มาลีหันมาทางเสียง แปลกใจที่เห็นเที่ยงเดินยิ้มร่าเข้ามาคนเดียว
“แล้วสร้อยพี”
“นั่งพักรอตรงนั้นอยู่ขอรับ”
มาลีกับเที่ยงยิ้มให้กัน แล้วพากันหันไปมองวิวตรงหน้าอย่างตื่นตา เที่ยงคอยลอบมองดูมาลีที่กำลังมองวิวตรงหน้าอย่างสบายใจ ตลอดเวลา
“สวยใช่มั้ยเที่ยง”
“สวยขอรับ”
เที่ยงพูดด้วยความรู้สึกว่า คุณมาลีสวยเป็นพิเศษ มาลีรู้ตัวว่าเที่ยงกำลังสื่อถึงตัวเองก็ยิ้มเขินๆ
“กระผมหมายถึงพระนครน่ะขอรับ”
“จ้ะ…ฉันรู้” มาลียิ้มแก้เก้อไป
ทั้งสองคนเขินใหญ่ พากันมองไปคนละทาง
“ไม่รู้ว่า วันข้างหน้าภาพที่เห็นตรงหน้าจะเปลี่ยนไปขนาดไหน”
“นั่นซิขอรับ คุณมาลี กลัวความเปลี่ยนแปลงมั้ยขอรับ”
“ไม่กลัวนะ มันเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรที่คงทนถาวรได้จริงหรอก ว่ามั้ย”
ในระหว่างนั้นเอง สร้อยพีก็เดินเข้ามาทางด้านหลังสองคน พูดตอบแทนเที่ยงขึ้นมาว่า
“แต่ฉันกลัวการเปลี่ยนแปลงค่ะ เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เราไม่มีความสุข”
“อ้าว สร้อยพี”
“อ้าว อาการดีขึ้นมาแล้วรึ”
“จ้ะ”
มาลียิ้มให้ “ดีแล้ว จะได้มาดูพระนครด้วยกัน”
“คุณมาลีไม่คิดแบบสร้อยพีเหรอคะ”
“เรื่องการเปลี่ยนแปลงแล้วจะทำให้ไม่มีความสุขงั้นรึ”
“สร้อยพี อย่าเซ้าซี้คุณมาลีซิ” เที่ยงติง
“ไม่เป็นไรๆ ก็จริงอย่างที่เธอว่านะ ที่การเปลี่ยนแปลงจะทำให้มีทั้งทุกข์และสุข แล้วถ้าเธอกลัว สร้อยพีจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรล่ะ”
สร้อยพีไม่ตอบแต่มองจ้องหน้ามาลีนิ่งไปครู่หนึ่ง มาลีอ่านสายตานั้นของอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
เจรมัยนั่งที่พื้นกับมัลลิกา มองดูบรรยากาศยามเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา สองคนปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเจรมัยก็พูดคำๆ หนึ่งออกมา
“มะลิ”
มัลลิกาหันมาหา รอฟัง
“ภวัตถามผม ในวันที่ผมเข้าใจว่าคุณสองคนคงเป็นแฟนกันไปแล้ว”
“เค้าถามว่า”
“ภวัตถามผมว่า...ผมแคร์มะลิใช่มั้ย”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
เจรมัยพยักหน้าแทนคำตอบ
“ตอนนั้นผมเลือกที่จะไม่ตอบ”
“เพราะ”
“เพราะผมว่า เรื่องแบบนี้ คุณควรจะได้ยินจากผมเอง”
มัลลิกายิ้มเขินเมื่อเจรมัยเอาแต่ดึงจังหวะไม่พูดซักที
“ผมแคร์คุณนะมะลิ ยิ่งวันที่ผมคิดว่า คุณกับภวัต…ยิ่งทำให้ผมมั่นใจในความรู้สึกตัวเอง”
มะลิยิ้มเขิน ไม่อยากเชื่อหู และไม่รู้จะพูดอะไรดีในตอนนี้ ทำได้เพียงรอฟัง รอให้เจรมัยพูดออกมา
“เอ้า นี่ จะไม่พูดอะไรบ้างเหรอ”
มัลลิกาเอาแต่ยิ้มเขิน ส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
“ไม่เอาน่ะ ทำแบบนี้ผมก็แย่น่ะซิ”
“แย่ยังไง”
“ก็เขินน่ะซิ”
“โห นี่เขินเหรอเนี่ย พูดมาซะขนาดนี้”
“ก็เขินซิ นะ พูดอะไรบ้าง”
มะลิแกล้งทำเป็นไม่พูด แต่เจรมัยก็ตื้อให้พูดจนเธอใจอ่อน
“อ่ะ พูดก็ได้ มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
เจรมัยโวย “เฮ้ย…นี่...”
“ตอบเลย...บอกให้พูดก็พูดแล้วเนี่ยไง ตอบมาเลย”
“ก็...ตั้งแต่วันแรกที่เจอ วันที่คุณมาสัมภาษณ์ผม”
มัลลิกาและเจรมัยยิ้มให้กันและกันอย่างสุขใจ
ภวัตยืนอยู่หน้าห้องทำงานในออฟฟิศ กำลังอธิบายเรื่องการเพิ่มยอดผู้อ่านกับพนักงานคนหนึ่งอยู่
“ก็เอาคะแนนรวม ของปลายปี มาหักลบกับคะแนนโพลก่อนกลางปีนี้เท่านี้ ก็จะเห็นคะแนนโพลของกลุ่มผู้อ่านใหม่กับกลุ่มผู้อ่านเก่า แปรไปแค่ไหน”
“อ๋อ ค่ะ”
“อ่ะ ลองรวมคะแนนดูนะ”
เสียงแคทลียาดังขึ้นมา “วัต อยู่นี่เอง”
ภวัตหันไปทางเสียงก็พบกับแคทลียาที่วิ่งจู๊ดเข้ามาหา
“อ้าว แคท”
“เมื่อเช้าแคทลองทำแบบทดสอบคุณสมบัติการเป็นแฟนที่ดี รู้มั้ยแคทได้คะแนนเท่าไหร่”
พนักงานคนเดิม ปรึกษาเรื่องตัวเลขคะแนนโพลต่อ
“แล้วคะแนน ต้นปีก่อน ไม่ต้องหยิบมาใช้ใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ คะแนนแฟนที่ดี เอ๊ย ไม่ใช่ เดี๋ยวๆ งง หมดแล้วผม”
“สรุป เรื่องคะแนนโพล หรือ คะแนนแฟนคะคุณภวัต” พนักงานยิ้มถาม
“เอาแค่คะแนนแฟน พูดเล่น คะแนนโพลปลายปีเท่านั้นพอ ไม่ต้องเองของต้นปีมาปน เข้าใจนะครับ”
แคทลียาได้ยินภวัตพูดเล่นก็ขำคิกคักได้ด้วย
“ปะ แคท ผมเสร็จแล้ว”
แคทลียารีบดันภวัตให้ไปคุยเป็นการส่วนตัว
“งั้น ไปคุยห้องคุณกันดีกว่า”
แคทลียาดันหลังภวัตเข้าไปในห้องทำงานของเขา
“วัต เมื่อเช้าแคทลองทำแบบทดสอบคุณสมบัติการเป็นแฟนที่ดี รู้มั้ยแคทได้คะแนนเท่าไหร่”
“โธ่ แคท มันก็แค่…”
“3 จาก 10 คะแนน แถมมันยังแชร์ไปในเฟซบุ๊คให้อายคนอื่นอีก ถึงแบบทดสอบมันจะงี่เง่า แต่แคทก็ลืมมันไม่ลงเลยนะ”
“ไม่เอาน่า อย่าไปคิด…”
“แคทรู้สาเหตุด้วย ว่าทำไมคะแนนมันต่ำแบบนี้ ก็ตอนที่แคทไปถ่ายเอ็มวีของพี่เจ มีอยู่ซีนนึงที่ผู้กำกับให้แคทมองตาพี่เจ ตอนที่มองเข้าไปในตาของเจ เหมือน…เหมือนแคทมองตานักแสดงคนอื่นๆ ที่เคยร่วมงานกัน มันไม่ได้รู้สึกอย่างที่เราควรเป็นตอนมองตาแฟนของเราเลย”
“ก็กองถ่ายคนมันเยอะ”
แคทลียาจับภวัตให้หันมามองตาใกล้ๆ เป็นตัวอย่าง
“ไม่ แคทคอนเซ็นเทรตกับการมองเข้าไปในตาแบบนี้เลย มองเข้าไปในตาของเจ ซึ่งแคทควรจะรู้สึก...”
จู่ๆ แคทลียาก็หยุดพูดไปดื้อๆ ภวัตมองจ้อง และเขาจึงได้มองแคทลียาจริงๆ จังๆ และรู้สึกว่าวันนี้เพื่อนหญิงของเขาสวยเป็นพิเศษ
แคทลียามองตาภวัตแล้วใจเต้นตึกตัก จนต้องเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วก็เกิดความรู้สึกใหม่อย่างหนึ่งขึ้นมา
“แคท”
แคทลียาอึกๆ อักๆ ทำอะไรไม่ถูก มองภวัตแล้วก็เดินหนีไปเสียเฉยๆ อย่างหมดฟอร์ม
“ฉันไปก่อนนะ อย่าตามมานะ”
แม้ภวัตจะพยายามทำตัวให้คุ้นชินกับพฤติกรรมแปลกๆ ของแคทลียา แต่คราวนี้ก็อดงงไม่ได้
ด้านแคทลียาหลบมุมแอบมองเข้าไปในห้อง กำลังทบทวนความรู้สึกตัวเองที่มีต่อภวัตอย่างหนัก
“ฉันเป็นไรไปเนี่ย งี้ทดลองต่อดีกว่า”
ภาคอยู่ที่บ้านหมอพีท เล่าเหตุการณ์ตอนเขาหนีผีสร้อยพีออกจากลิฟท์ แล้วเขายื่นยันต์ท่านเจ้าคุณใส่ผีร้าย แต่ยันต์นั้นกลับไหม้เป็นจุณในพริบตา แถมผีสร้อยพีพุ่งตัวมาหาอย่างคุกคามและน่ากลัวสุดจะบรรยาย
“พีท นังผีนั่น มันมาเล่นงานกูอีกแล้ว” ภาคเล่าอย่างร้อนรน ในมือถือเหรียญนาฏไม่ยอมวาง
“แต่มึงก็รอดกลับมาได้นี่” พีทว่า
“ที่กูรอดมาได้เนี่ย ไม่ใช่เพราะยันต์ของมึงหรอกนะ แต่เป็นเพราะเหรียญที่กูขโมยมาจากมะลิตั่งหาก ของมึงแม่งกระจอก ทำไรมันไม่ได้เลย”
พีทยิ้มอย่างคนที่พึงใจ เมื่อได้เจอข้อมูลที่น่าสนใจ
“ว่าของกูกระจอก มึงลองดูเหรียญที่มึงขโมยมาซะก่อน ใช่ว่าจะดี มันเริ่มร้าวแล้วเหมือนกัน เห็นมั้ย”
ภาคดูเหรียญในมือแล้วก็เห็นจริงว่ามันเริ่มร้าวแล้ว เขาเริ่มใจคอไม่ดีอีกครั้ง
“เหรียญนั่นมันคงจะกันผีได้อีกซักครั้งละมั้ง ผีตัวนี้ฤทธิ์มันเยอะ ฤทธิ์ที่มาจากความเกลียดชังนี่มันร้ายจริงๆ เล่นเอาซะเหรียญบิ่นเลย”
“เออ นั่นหมายความว่า กูมีสิทธิ์ไม่รอดใช่มั้ย ไอ้พีท มึงทำไงก็ได้ ให้มันออกไปพ้นทางกูเหอะ”
“กูยังออกไปจัดการมันไม่ได้ตอนนี้ แต่ไม่เป็นไรยิ่งเป็นโอกาสที่ดี เพราะถ้ามึงเล่นอีผีนี่ได้ด้วยตัวเอง รับรองว่า ดวงงานมึงพุ่งแน่นอน”
ภาคฟังแล้วถึงกับตาลุกวาว “แล้วกูต้องเริ่มจากอะไรล่ะ”
พีทเตรียมคำตอบไว้ให้แล้ว
“มึงแค่ไปเอาตะลุงนั่นมาให้กูที่นี่”
ภาคพยักหน้ารับเอาคำ
“ง่ายแค่นี้เองเหรอ”
ภาคเดินขึ้นมาในตึกใหญ่บ้านตาเทียบอย่างคนคุ้นเคย ผ่านแม่บ้านสองขาเมาท์ แจ่มกะมน แต่กลับไม่ได้มีทีท่าจะคุยเล่นหัวเหมือนเคย
แจ่มยิ้มทักก่อน “อ้าว คุณภาค”
ตามด้วยมน “คุณภาคมาหาคุณเจเหรอคะ”
“ก็ทำนองนั้น แต่ไม่อยู่ ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“แล้ว” แจ่มอ้าปากจะถามว่าคุณภาคมีธุระอะไรหรือเปล่า แต่ไม่ทันได้ถามเพราะ ภาคพยักหน้าแล้วก็เดินหายขึ้นบันไดไปบนบ้านเอาเสียดื้อๆ
“อ้าว พูดไม่ทันจบ ไปซะแล้ว”
มนมองสงสัย “นั่นซิ แกว่า คุณภาคแกดูแปลกๆ มั้ยวะ”
ภาคเดินแยกมาตามระเบียงทางเดินชั้นบน หยิบเหรียญที่ขโมยมาจากมะลิขึ้นมาดู แล้วมองไปตรงทางเดินเบื้องหน้า เพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
จากมุมที่ไม่มีใครเห็น ผีสร้อยพีเห็นภาคและเหรียญนั้น ร่างจางหายไปในพริบตา
ภาคเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องตาเทียบ พอพบว่าถูกล็อคเอาไว้ก็หงุดหงิด ไม่นานนักจรรยาก็เดินมาหา
“ภาค เห็นป้ามนป้าแจ่ม บอกว่าภาคมาหาเจเหรอ”
“ผมก็ไม่เชิงจะมาหาเจหรอกครับ”
จรรยาแปลกใจ “แล้ว ภาคมาธุระอะไร”
“ก็ผม อยากจะมาขอยืมตัวตะลุงไปซะหน่อย”
จรรยาปฏิเสธทัที “อะไรนะ ไม่ได้ ไม่ได้เป็นอันขาด”
“ทำไมล่ะครับ ผมจะเอาไปทำให้เรื่องบ้าๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเจให้จบนะครับคุณน้า”
“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ภาคจำไม่ได้เหรอ ว่าคราวก่อนที่มีคนขโมยตะลุง แล้วเป็นไง ทุกคน…”
ภาคตอบเองว่า “ตายหมด”
“ใช่แล้วภาค น้าไม่อยากให้ภาคตกอยู่ในอันตราย”
“มันอันตรายก็เรื่องผม น้าไม่เห็นต้องสนหรอกครับ”
จรรยาได้ยินวิธีพูดของภาคแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่วางใจ
“ภาค…อย่าเลยนะ”
ภาคชักของขึ้น “น้าจรรยา น้าเองก็อยากให้เรื่องนี้มันจบเหมือนกันไม่ใช่เหรอ น้าเองก็ไม่ชอบ อีผีบ้าตัวนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นน้าคงไม่พาเจหนีออกจากบ้านตั้งแต่เด็กๆ ผมว่าน้าขี้ขลาดที่จะหันมาจัดการมัน ทั้งๆที่ใจอยากใจจะขาด”
จรรยาไม่พอใจ “ทำไมภาค ถึงพูดแบบนี้”
“มันเป็นความจริง นี่แค่ความจริงน้าเองยังไม่กล้าฟังเลย เอากุญแจมาให้ผมเถอะน้าจรรยา ผมยอมเสี่ยงอันตรายเอง ผมสัญญาจะทำให้มันจบ”
จรรยาอึ้งไป
“ถ้าน้าเป็นห่วงเจ ก็เอากุญแจมาให้ผม...”
จรรยาถูกพูดแทงใจดำ กระทบถึงความอ่อนแอในใจตัวเองที่มีมาตลอด และรู้สึกว่าสิ่งที่ภาคกำลังจะทำมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จึงล้วงหยิบกุญแจจากกระเป๋าพก
ภาคโล่งใจขึ้นที่ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เค้าต้องการ แต่แล้วโทรศัพท์มือถือของจรรยาก็ดังขึ้น เป็นสายจากเจรมัย จรรยากดรับ
“เจ…ว่าไง”
“ที่บ้านเป็นยังไงบ้างครับ” เสียงเจรมัยถามดังออกมา
“ก็.. พี่ภาคมาที่บ้าน”
อีกฟากหนึ่งเจรมัยจอดรถเข้าทางอย่างกระทันหัน ถามแม่อย่างร้อนใจ
“พี่ภาคอยู่กับแม่ที่บ้านเหรอ เค้าไปทำไม”
“พี่ภาคจะขอเอาตัวตะลุงไป...”
เจรมัยสวนออกไปทันที “อย่านะแม่ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น ผมว่าเดี๋ยวนี้พี่ภาค เค้าไม่ใช่คนเดิมแล้ว”
เจรมัยจำได้แม่นที่ภาคขายงานโดยไม่ปรึกษาเจา เรื่องคอนเซ็ปต์แฟชั่นคู่รัก พอเขาท้วงก็ถูกภาคชกหน้า
มัลลิกาหันมามองเจรมัย เมื่อได้ยินว่าภาคยังอยู่ดี โดยเธอเข้าใจว่าภาคถูกผีสร้อยพีฆ่าจนเสียชีวิตไปแล้ว
จรรยาวางสายลูกชายไป แล้วหันไปมองภาคที่ยื่นมือขอกุญแจ แต่จู่ๆ จรรยาก็ดึงกุญแจไว้ไม่ยอมส่งให้
ภาคเกิดคำถามในสายตาเมื่อเห็นทีท่าของจรรยาเปลี่ยนไปจากเดิม
“อะไรอีกน้าจรรยา”
“น้าว่า...ภาคกลับไปเถอะ”
ภาคฉุน “ส่งมาเถอะ นี่เป็นเพราะเจโทร.มาใช่มั้ย”
จรรยานิ่งไม่ยอมตอบ และโดยไม่ทันตั้งตัวภาคก็เข้าไปแย่งกุญแจจากมือจรรยา
“เอามา เอากุญแจมา”
จรรยาตกใจ “ช่วยด้วย ภาคเธอเป็นอะไรไปเนี่ยภาค”
เสียงดังของจรรยาเรียกให้ พี่ๆ น้องๆ หนูจ๋า และ แจ่ม กะ มน รีบเข้ามาช่วยจนเกิดการชุลมุนกันส่งผลให้เหรียญนาฏในมือภาคกระเด็นหลุดไปที่มุมทางเดิน สถานการณ์นั้นทำให้ภาคยิ่งคลั่ง กวาดทุกคนออกหาเหรียญให้วุ่น จนทุกคนต้องถอยออกห่าง
“เฮ้ย เหรียญ หล่นไปไหนแล้ว หลบไปๆ”
ที่ด้านหลังของกลุ่มพี่น้องจรรยา ปรากฏร่างผีสร้อยพี ยืนจ้องมองมาที่ภาคอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่ภาคหาจนเห็นว่าเหรียญตกอยู่ตรงที่มุมทางเดิน เขารีบถลาไปคว้ามาไว้ พอหันกลับมาผีสร้อยพีก็หายไปแล้ว
ภาคหอบหายใจด้วยความหวาดกลัว มือปัดเหรียญไปมา จ๋าเห็นเหรียญนั้น จินดาก็เห็นว่าเป็นเหรียญแบบเดียวที่เธอขโมยของเจรมัยมา
ภาคเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งหนีลงบันไดบ้านไป
เจรมัยวางสายจากแม่ไปแล้ว ขับรถไปต่อมัลลิกาอดถามขึ้นไม่ได้
“พี่ภาค ยังปลอดภัยอยู่ใช่มั้ย”
“ใช่ ผมก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละ ตั้งแต่วันที่เค้าผลักคุณเข้าไปในห้องนั้น ผมก็ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง”
“แล้วที่คุณว่าพี่ภาคไม่เหมือนเดิมแล้วนี่ เขาไม่เหมือนเดิมยังไง”
“ผมว่าเขาเปลี่ยนไปมาก เขาเหมือน...เริ่มแสดงตัวตนแท้จริงออกมา ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับความคิดเค้าเรื่องถ่ายแบบ เขายังชกผมเลย”
มัลลิกาตกใจ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”
“อืม ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าเขาจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้”
ภาควิ่งเตลิดหนีตายออกมาตรงทางเดินบริเวณสนามหญ้า ในจังหวะที่พ้นประตูออกมาได้ เขาหันไปเห็นผีสร้อยผียืนจ้องเขาอย่างอาฆาตแค้น แต่ไม่ได้ตามมา
หนูจ๋ายืนมองจากตรงระเบียงตึกด้วยความสงสัย เมื่อเห็นภาคหุนหันออกจากบ้านไปดื้อๆ จินดาปรี่เข้ามาหาลูกอย่างร้อนรนใจ
“จ๋าๆ เป็นอะไรเปล่าลูก”
“จ๋าจะเป็นไรล่ะแม่ แม่ถามแปลกๆ” เด็กสาวแปลกใจ
จินดายังไม่วางใจขอกระเป๋าใส่มือถือที่เคยซื้อให้ลูก
“ไหนๆ เอากระเป๋าใส่มือถือที่แม่ให้มาดูหน่อยซิ”
“อ่ะนี่แม่ มีอะไรเหรอ”
หนูจ๋าส่งกระเป๋ามือถือให้ จินดารับมารีบเปิดกระเป๋าค้นดู จนเห็นเหรียญนาฏซุกอยู่ข้างในนั้น จ๋าเองก็เห็น
“เอ๊ะ ทำไมมีเหรียญอยู่ในนั้น แม่เอามาเก็บไว้ในนั้นเหรอ”
“แม่อยากให้เหรียญนี้อยู่ใกล้ๆ ลูกเอาไว้น่ะ จ๋าต้องเก็บเหรียญนี้ไว้ดีๆ นะ เหรียญจะทำให้ผีตะลุงทำอะไรลูกไม่ได้”
จ๋าพลิกเหรียญดูไปมา แล้วจำได้ว่ามันเป็นเหรียญแบบเดียวกับที่ภาคถือเมื่อครู่นี้ ก่อนที่จะวิ่งออกจากบ้านไป
“เหรียญเหมือนของพี่ภาคเลย”
จินดาไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ลูกสาวเดินเข้าห้องไป
จังหวะนี้จรรยาเดินเข้ามาที่ด้านหลังของจินดาเงียบๆ
“จินดา เหรียญนั้นเธอเอามาจากไหน”
จินดาคิดถึงตอนขโมยเหรียญนาฏมาจากเจรมัย จึงไม่กล้าพูดออกไป
“ว่าไง เอามาจากไหนเหรอ”
“คือ…”
“แล้วเหรียญนั่นป้องกันวิญญาณได้จริงๆ เหรอ” จรรยาซักไซ้
“ก็…”
“ฉันเป็นห่วงเจนะ จินดา แล้วตอนนี้ฉันก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ฉันอยากจะเก็บตะลุงนั้นไว้อีกต่อไปหรือเปล่า”
จินดาตกใจ “พี่จรรยา พูดอะไร”
“มันอาจจะเป็นทางที่ทำให้เรื่องนี้จบก็ได้นะ”
“พี่ ไม่ต้องพูดแล้ว”
จินดาเตือนพี่สาว เหลียวหน้าแลหลังราวกับระแวงว่าจะมีใครมาได้ยิน
จากมุมที่ไม่มีใครเห็น ผีสร้อยพี ยืนจ้องมาที่จินดาอย่างโกรธแค้น
“คิดจะกำจัดฉันงั้นรึ”
จู่ๆ ประตูห้องๆ หนึ่งทางด้านหลังก็เปิดออก จรรยาหันไปมองด้วยสีหน้าฉงนงาย และเดินตรงไปที่ห้องนั้น
จรรยาเดินมาลำพังตามโถงทางเดินชั้นบนของบ้าน เห็นเงาทอดยาวไปตามทาง ไม่นานนักก็เริ่มเห็นเงาใครอีกคนเดินมาข้างๆ เธอ จรรยาหยุดเดิน หันกลับไปมอง แน่นอนไม่พบใคร แต่พอเธอหันกลับมาอีกที ก็มีผีสร้อยพีประจันหน้าอยู่ในระยะประชิดและคุกคาม
จรรยาผวาตัว ถอยกลับแล้วรีบวิ่งหนีไปตามทางเดินจนเห็นจินดาเดินอยู่ข้างหน้าจึงตะโกนให้ช่วย
“จินดาๆ ช่วยด้วย”
จินดาไม่ตอบใดๆ เอาแต่เดินไปเรื่อยๆ จรรยาวิ่งไปคว้าบ่าจินดาหมับ แต่พอจินดาหันมากลับกลายเป็น ผีสร้อยพีแทน
จรรยาถอยหลังกรูด ยิ่งช็อกหนักเมื่อพบว่าผีสร้อยพีมารออยู่ข้างหลังแล้ว
จรรยาผวาหนักสะดุ้งสุดตัว จนหลุดจากภวังค์ พบความจริงว่าตัวเองยังคงเดินอยู่ที่เดิม และเห็นจินดาเดินห่างออกไป และที่ด้านหลังก็มีประตูห้องหนึ่งเปิดออกอย่างช้าๆ จรรยาเห็นหันไปมองอย่างสนใจ ลังเลที่จะเดินเข้าไปดู จรรยารีบก้มดูเงาตัวเองที่พื้น เห็นเป็นปกติ แต่ประตูนั้นยังคงเปิดออกอย่างช้าๆ
จรรยาเปลี่ยนใจที่เข้าไปดู เลือกที่จะเดินหนีไปอีกทาง โดยไม่ทันเห็นว่า ผีสร้อยพีมองตามมา ยิ้มร้ายด้วยความสะใจ
เมื่อในอดีต มารศรีเฝ้าสังเกตท่าทีสร้อยพีมาหลายวันแล้ว เห็นสร้อยพีเริ่มแสดงอาการไม่พอใจมาลีอย่างออกนอกหน้าหลายครั้ง เลยสบช่องที่เสี้ยมให้สร้อยพีจัดการมาลีให้ไปพ้นทางตัวเองซะเลย
“ได้ข่าวว่าไปเที่ยวภูเขาทองมาไม่สนุกรึ ถึงได้มานั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงนี้ ไม่เอาๆ ลุก เดี๋ยวชุดสวยเลอะหมด”
สร้อยพีอยู่ในชุดกระโปรงสวย
“ค่ะ คุณศรี”
“ที่เป็นแบบนี้ ไม่พอใจมาลีใช่มั้ย”
สร้อยพีหันมามองหน้ามารศรีอย่างประหลาดใจที่ช่างรู้ใจเธอไปเสียหมด
“คุณศรี คือฉัน…”
มารศรีจับบ่าสร้อยพี พูดอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วง มาลีก็มักจะทำให้คนรอบๆ ข้างไม่สบอารมณ์เป็นประจำอยู่แล้ว พวกลูกเมียน้อยก็เป็นแบบนี้ เอ๊ะ ฉันเคยบอกเธอหรือยังว่า มาลีเป็นลูกเมียน้อย ไอ้พวกนิสัยอยากได้อยากเด่น เลยติดมากับเลือดแม่ของมัน นิสัยเสียอีกอย่างนะ มาลีมักจะทำเป็นลืมว่าตัวเองจริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกบ่าวหร๊อก”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง”
สร้อยพีมองหน้ามารศรี ด้วยความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง มุมมองที่เกี่ยวกับมาลีเปลี่ยนไปจนสิ้น
“ฉันพูดมากไปใช่มั้ย แต่มันก็จำเป็นนะ ฉันน่ะไม่ชอบเลย เวลาสร้อยพีต้องเจียมตัวตอนที่อยู่กับมาลี”
สร้อยพีหลงคารมคนลวงอีกจนได้ “คุณศรีเป็นห่วงฉันตลอดจริงๆ นะเจ้าคะ”
“ก็ฉันเอ็นดูเธอน่ะซิ สร้อยพี” มารศรียิ้มให้
สร้อยพีเริ่มรู้สึกมั่นใจตัวเองขึ้นมา มารศรีส่งเงินจำนวนหนึ่งให้ สร้อยพีมองฉงน
“ค่าอะไรคะ”
“ค่าอะไรเล่า ก็แต่งตัวสวยแล้ว กระเป๋าเแห้งก็ไม่ใช่คุณหนูซิจ๊ะ”
สร้อยพีไหว้ขอบคุณ ยิ่งซาบซึ้งและหลงเชื่อมารศรีไปจนเต็มหัวใจ
วันเดียวกันนี้ ขณะที่มาลีกับเพ็ญออกมาเดินดูของที่ตลาด เจอนายช่วงขี้เมาขอทาน ซึ่งมาลีตักเตือนให้เลิกเหล้า แบมือขอเงินอยู่ริมทาง กลิ่นเหล้าหึ่ง
“ทำบุญทำทานคนยากจนหน่อยครับ”
“ฉันให้นายช่วงไปกี่ที นายช่วงก็เอาไปกินเหล้าหมด”
“ผมสัญญาครับคุณหนู ผมจะเลิกเเล้ว”
“พูดงี้ทุกทีเเหละ ไม่เอาๆ ถ้านายช่วงไม่หยุดกินเหล้าแบบนี้ ฉันว่านายช่วงก็ล้มป่วยตายเอาได้นะเนี่ย” เพ็ญหันมาทางมาลี “ไม่ให้ดีแล้วค่ะคุณหนู”
สร้อยพีมองดูเหตุการณ์อยู่แต่ต้น เดินเข้ามาให้เงินนายช่วงต่อหน้ามาลี
“ฉันให้”
ช่วงไหว้ปลกๆ “ขอบคุณคุณหนู ทั้งสวยทั้งใจดี นายช่วงคนนี้จะไม่ลืมบุญคุณเลยขอรับ”
สร้อยพียิ้มกระหยิ่มที่ได้ตัดหน้า เเละรู้สึกว่าตนเหนือกว่ามาลี มาลีกับเพ็ญไม่พอใจเล็กน้อย
สร้อยพีเดินผ่านผู้คนแล้วรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เลิกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบ้านนอกให้คนอื่นดูถูกได้อีกต่อไป จู่ๆ มีมือมาจับสร้อยพีให้หยุด พอหันกลับไปมองกลับเห็นเป็นมาลีที่มากับหน้าตาอันขึงขัง
ประสาวัวสันหลังหวะ สร้อยพีนึกว่ามาลีจะตามมาล้างแค้น ตั้งท่าเตรียมรับมือเต็มที่ มาลีมองสร้อยพีไม่วางตา สร้อยพีเตรียมจะเลี่ยงหนี แต่แล้วมาลีก็ลากสร้อยพีไปอีกทาง
“นี่ คุณ...เอ่อ จะพาฉันไปไหน”
มาลีไม่ตอบเอาแต่ออกแรงลากแขนสร้อยพีไป จนพามาจนถึงที่ถึงยอมปล่อยมือ
“นี่เธอดึงฉันมาทำไม”
“ดูความใจบุญของเธอเสีย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
สร้อยพีมองตามสายตามาลี เห็นนายช่วงที่เธอให้เงินไป นอนสลบ สภาพผิวซีดและการไม่ขยับเขยื้อนตัว ชาวบ้านมุงดู
“นายช่วง แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย ฉันแค่ช่วยเหลือเค้า”
“ช่วยเหลือรึ ใครๆ ก็รู้ว่านายช่วงติดเหล้า ได้เงินมาเท่าไหร่ก็เอาไปซื้อเหล้ากินหมด ยิ่งเธอให้เค้ามาก เค้าก็ยิ่งดื่มมาก เค้าเลยต้องเป็นแบบนี้ไง แล้วเธอจะเรียกว่าช่วยเหลืออยู่อีกหรือ”
ชาวบ้านได้ยิน ต่างคล้อยตามมีสีหน้าทีท่าเชิงตำหนิสร้อยพี
“ฉันให้ เพราะนายช่วงกับฉัน เป็นคนที่ถูกคนรวยอย่างพวกเธอดูถูกยังไงล่ะ ฉันถึงอยากช่วยเค้า คุณจะเข้าใจหัวใจคนจนได้ยังไง”
มาลีมองไปรอบๆ พบว่าชาวบ้านกำลังมองมาที่เธอ ด้วยสายตาที่เอนเอียงไปเห็นด้วยกับสร้อยพี
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับคนมีหรือไม่มีนะสร้อยพี”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว คุณไม่เคยลำบาก คุณไม่เข้าใจหรอก”
สร้อยพีเดินหนี มาลีขยับตามไปเรียกไว้
“สร้อยพี”
สร้อยพีหยุดเดินแล้วหันกลับมาหามาลีอีกหน
“หรือจริงๆ ก็เข้าใจ แต่ทำลืมหรือเปล่า ว่าเธอก็แค่คุณหนูลูกเมียน้อย”
มาลีโกรธจนตัวชา
“สร้อยพี เธอ...”
“อายใช่มั้ยละ อายที่จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ได้สูงศักดิ์อะไรกับฉันเลย
มาลีตบหน้าสร้อยพี
“สำหรับความหยาบคายของเธอ”
สร้อยพีจับหน้าตนเองไว้ เหลียวขวับจ้องหน้ามาลีเขม็ง หวนคิดถึงเรื่องคำที่มารศรีพูด
“ฉันน่ะไม่ชอบเลย เวลาสร้อยพีต้องเจียมตัวตอนที่อยู่กับมาลี”
สร้อยพีพุ่งตัวเข้าใส่ ตบหน้ามาลีฉาดใหญ่ มาลีถึงกับอึ้งไป ทำอะไรไม่ถูก
สร้อยพีมองดูมือตัวเอง รู้สึกประหลาดใจที่กล้าตบมาลีไป แต่ไม่นานเธอก็เริ่มมั่นใจในความคิดของตัวเองมากขึ้น สร้อยพีเข้าทึ้งผมมาลีทันที พาลทำให้ทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้นด้วยกัน
มาลีคร่อมตัวแล้วเหวี่ยงแขนตบสร้อยพีเพื่อสั่งสอน สร้อยพียิ่งโกรธผลักมาลีให้พ้นตัว แล้วเตรียมจะโถมเข้าใส่อีก แต่แล้วพยอมก็ปรากฏตัวเข้ามาพร้อมกับนายโพน พยอมเอาตัวกันสร้อยพีไว้ไม่ให้ทำร้ายมาลีได้
นายโพนตะโกนก้อง “อีสร้อยพี หยุดเลย มึงจะทำอะไร”
“พ่อ มันตบสร้อยพีนะพ่อ”
นายโพนตวาด “มึงหุบปาก”
พยอมกล่อมนายโพน “อา ใจเย็นๆ ดูคุณหนูก่อนดีกว่า”
สร้อยพีไม่ดิ้นแล้ว นายโพนหันไปทางมาลี
“คุณหนูมาลีเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”
“ฉันไม่เป็นไร”
“งั้นกระผมขอเอาตัวสร้อยพีกลับก่อนนะขอรับ ต้องขอโทษคุณหนูมาลีด้วยนะขอรับ ต้องขอโทษจริงๆ นะขอรับ”
นายโพนไหว้ขอโทษปลกๆ แล้วช่วยกันกับพยอมลากสร้อยพีออกไป โดยไม่ได้รอคำอนุญาตใดๆ
มาลีได้แต่มองตามอย่างเป็นกังวล
อ่านต่อ ตอนที่ 15
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่14 #thaich8 #ละครออนไลน์