เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 12
การแสดงตะลุงจบลงและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม บรรดาพ่อค้าฝรั่งต่างเข้ามาขอสัมผัสมือกับเจ้ากรมท่าเรือ แสดงความชื่นชมที่จัดการต้อนรับได้อย่างน่าประทับใจ
“ผมประทับใจมาก สำหรับการเลี้ยงต้อนรับนี้มากเลย”
“สำหรับงานนี้ ต้องยกให้ครอบครัวคุณโสภณที่ดูแลทั้งหมด”
พร้อมกับว่าท่านเจ้ากรมท่าเรือ แนะนำท่านโสภณต่อพ่อค้าฝรั่งอีกครั้ง
บรรดาพ่อค้าและภริยา พากันชื่นชมท่านโสภณและธิดาทั้งสาม
มณฑาพลอยยิ้มรับเอาความดีไปด้วยอย่างเสียมิได้ มารศรียิ้มหน้าบานราวกับเป็นผลงานของตัวเองกระนั้น ขณะที่แม่งานอย่างมาลี เพียงยิ้มบางๆ สำหรับคำชม
ระหว่างนี้มีเพ็ญกับกิ่งได้พากลุ่มคณะตะลุงเข้ามาพบท่านเจ้ากรมท่าเรือ และท่านโสภณ ชาวตะลุงนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้น ท่านเจ้ากรมพูดชื่นชมการแสดงตะลุงไม่ขาดปาก ท่านโสภณหันมาทางเที่ยง
“นี่ขอรับ นายเที่ยง นายหนังที่ทั้งเชิดทั้งร้อง ตลอดการแสดง”
“ผมชื่นชอบมาก การแสดงเนี่ยทำให้พวกเราได้ตระหนักว่า ถึงชาติบ้านเมือง จะเปลี่ยนแปลงไปเจริญก้าวหน้าไป แค่ไหนก็ตาม เราก็ไม่ควรหลงลืมวัฒนธรรมของความเป็นชาติเรา ผมชื่นชมการแสดงของพวกคุณอีกครั้ง โดยเฉพาะนายหนัง ที่มีไหวพริบน่าประทับใจ” ท่านเจ้ากรมยิ้มชื่น
พวกพ่อค้าฝรั่งฟังล่ามที่คอยอธิบายอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับกันสลอน
ชาวบ้านที่ได้ร่วมชมต่างก็รอฟังอย่างตั้งใจ กลุ่มคณะตะลุงก็เช่นกัน เที่ยงและคณะกราบขอบพระคุณท่านเจ้ากรมและท่านโสภณ จังหวะนี้เองเจ้ากรมท่าเรือได้เริ่มปรบมือนำเป็นคนแรก จากนั้นทุกๆ คนก็เริ่มปรบมือให้คณะตะลุง
เที่ยงยิ้มปลาบปลื้ม หันไปมองมาลีที่ยืนอยู่ห่างออกไปทางหนึ่ง อันเป็นจังหวะเดียวที่มาลีมองมายังเที่ยงพอดี
พลุถูกยิงขึ้นทำให้ท้องฟ้าเหนือคฤหาสน์ท่านโสภณสว่างไสวไปด้วยแสงสวยงามของดอกไม้ไฟ ทุกคนเงยหน้ามองพลุบนฟ้าชี้ชวนกันดูอย่างมีความสุข
เที่ยงและมาลีมองสบตากันและกัน ต่างก็เริ่มรู้สึกพิเศษต่อกัน
กองถ่ายเอ็มวีเก็บภาพเจรมัยกับแคทลียาตามเนื้อหาในเพลงอย่างราบรื่น แคทลียายืนโพสท่าเหงาๆ อยู่ในเฟรม
อีกฉากเจรมัยยืนอยู่ฝั่งขวาของเฟรม ก่อนจะเห็นแคทลียาเดินเข้ามาทางฝั่งซ้ายของฉาก
ฉากสุดแคทลียาและเจรมัยเผชิญหน้ากันในเฟรมเดียวกัน สองคนยิ้มให้กันและกัน
เสียงผู้กำกับตะโกนขึ้นด้วยคำพูดที่ทีมงานทุกฝ่ายอยากได้ยิน “คัทครับ เรียบร้อย เลิกกองครับ”
แคทลียารู้สึกแปลกๆ เวลามองตาเจรมัย หล่อนยังไม่พอใจ เลยรีบเดินไปหาผู้กำกับ
“พี่ผู้กำกับคะ เลิกแล้วเหรอคะ คือแคทไม่แน่ใจว่าภาพเมื่อกี้มันโอหรือเปล่า”
“โอนะครับ เดี๋ยววางเพลงทุกอย่างก็เพอร์เฟ็กต์ มีอะไรเหรอ”
“แบบแคทแอบไม่อิน ไงไม่รู้ แต่พี่โอ แคทก็โอค่ะ”
“ไม่ต้องห่วง...สวยอยู่แล้ว” ผู้กำกับอวย
นักข่าวเดินเข้ามาชวนแคทให้ไปถ่ายภาพคู่กับเจรมัย
“คุณแคทคะ รบกวนขอถ่ายภาพคู่กับคุณเจรมัยหน่อยนะคะ”
“อ๋อๆ ได้ซิๆ”
แคทลียากับเจรมัยยืนเคียงคู่กันให้ช่างภาพถ่ายภาพไว้ ภาคเดินเข้ามาถ่ายภาพคู่นั้นด้วย เจรมัยเห็นแล้วให้นึกสงสัย
เสร็จงานเจรมัยเดินมาตามทางเดิน กดโทรศัพท์หามัลลิกาไปด้วย
“มะลิเธอหายไปไหนเนี่ย โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้”
ทางด้านภาคคุยโทรศัพท์กับฝ่ายการตลาดของต้นสังกัด
“ภาพคู่เจ แคท พี่ส่งไปแล้ว น้องก็ให้พีอาร์ลงทวิตก่อนเลย ภาพที่พี่ถ่ายน่ะขายแน่นอน ลองหาแคปชั่นประมาณว่า เอ็มวีจากคู่จิ้น เพื่อระดมทุนช่วยคนพิการ ไรทำนองเนี้ย ลองดูแล้วกัน”
ภาควางสายไป เจรมัยเดินเข้ามาได้ยินพอดี ถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
“พี่ภาค พี่ก็เป็นกับเค้าไปด้วย”
“เรื่องอะไร”
“ก็จะเรื่องอะไรซะอีก ก็ที่พี่ปั่นข่าวผมกับแคทไง คิดว่าพี่จะจบแค่เอ็มวี”
“ข่าวเอ็มวีมันแค่เริ่มเจ และที่พี่เล่นข่าวเองเนี่ย ก็เพื่ออนาคตล้วนๆ ต่อไปงานพวกโชว์ที่มีแคท ไงต้องมีเจด้วยแน่นอน”
เจรมัยไม่พอใจ “โธ่ พี่ ผมอยากร้องเพลง ไม่ใช่อยากโชว์ตัว”
“งานโชว์ตัวเค้าก็ให้ร้องเพลงทั้งนั้นละเจ”
“พี่ก็รู้ว่ามันไม่เหมือนกัน”
ภาคคร้านจะทะเลาะ และเหนื่อยเกินจะอธิบายว่าชีวิตจริงไงคนเรามันก็ต้องกินต้องใช้
เจรมัยเองก็เบื่อที่จะพูดแล้ว
“พี่ภาค ผมกลับก่อน แล้วก็พรุ่งนี้ผมไม่ว่างนะพี่ ผมจะไปคุยกับลุงพัฒน์ เรื่องเพลงซะหน่อย คุยกับคนภาษาเดียวกัน ไปละพี่”
ภาคพยักหน้ารับ “อืม”
ทันทีที่เจรมัยออกจากห้องไป จู่ๆ ไฟตรงจุดนั้นก็ดับๆ ติดๆ ในจังหวะที่ห้องมืดลงภาคแลเห็นเงาใครบางคนที่มุมทางเดิน
“ใครน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา ภาคเดินไปดูให้หายข้องใจ ทั้งๆ ที่ในใจยังกลัว
ฉับพลันทันใดนั้นเอง ไฟทั้งห้องก็ดับพรึ่บลง
ภาคเห็นท่าทางไม่ดี รีบเปิดไฟฉายจากมือถือทันที พร้อมกับเอายันต์ท่านเจ้าคุณชูออกมาข้างหน้า
“ใครวะ อยู่ตรงนั้น”
ยิ่งเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นเงานั้นชัดขึ้นๆ และแล้ว เจ้าของเงาก็ปรากฎตัวออกมา ภาคผวาถอยหลัง พอได้สติถึงรู้ว่าเจ้าของเงาคือช่างไฟมาปรับแก้วงจรไฟ แล้วที่ไฟดับก็คงเป็นผลงานของหมอนี้นี่เอง
“อ้าวคุณ” ช่างไฟร้องทัก
“ช่างไฟ มาซ่อมไฟ”
“โผล่มางี้ตกใจหมด” ช่างบ่น
“เรียกตั้งหลายที ทำไมไม่ขาน”
“อ๋อ ผมเปิดเพลงดังไปนิด” ช่างไฟเอาหูฟังออก “ผมซ่อมเสร็จแล้ว ผมไปก่อนดีกว่า”
ช่างไฟกดสวิตท์ ทำให้แสงสว่างกลับคืนมาอีกครั้ง
ภาคโล่งอกรู้สึกอุ่นใจ ก้มมองยันต์ท่านเจ้าคุณวัดดังในมือ
วันต่อมา เจรมัยแวะมาที่โรงพยาบาลที่ลุงพัฒน์เป็นจิตอาสาแต่เช้า เวลานี้พาตัวเองมานั่งฟังดนตรีอยู่ท่ามกลางผู้มาใช้บริการของโรงพยาบาล ลุงพัฒน์กับกลุ่มเพื่อนๆ กำลังเล่นดนตรีอย่างตั้งใจ และ ดูมีความสุข
เวลาผ่านไป เจรมัยนั่งอยู่กับลุงพัฒน์ ณ มุมหนึ่ง มีเครื่องดนตรีอยู่ใกล้ๆ
“ทำไมถึงมาเป็นจิตอาสาล่ะครับลุง”
“ดนตรีมันเป็นความสุขของลุงอยู่แล้ว พอมีโอกาสที่จะแบ่งปันความสุขให้คนอื่นลุงไม่พลาดแน่นอน”
“ครับ ได้ทำในสิ่งที่เรารัก แถมยังสร้างความสุขให้คนอื่นได้อีก ผมเข้าใจเลย”
ลุงพัฒน์จับน้ำเสียงได้ยินความขมขื่นใจในนั้น “น้ำเสียงของคุณเจ ดูไม่ค่อยสบายใจเลยนะครับ”
“ครับ ก็นิดหน่อยน่ะครับ พี่ภาค ผู้ดูแลงานของผมน่ะครับ พักหลังๆ เหมือนพี่เค้าจะมองอะไรๆ เป็นเงินไปหมด”
“อย่างนั้นเหรอครับ ผมเห็นใจคุณเจจริงๆ”
เจรมัยยิ้มออก ที่ได้คุยได้ระบายกับคนที่มองงานเพลงในแบบเดียวกับตน
“เฮ้อ...เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าลุง คิดเรื่องนี้แล้วเหนื่อย”
“ครับ เอ่อ...คุณเจ งั้นลุงขอถาม เกี่ยวกับเรื่องภาพอดีตชาติ ที่คุณเจเห็น…”
“ครับ”
“คุณเจเคยเห็นผม ดุ ด่า ทำร้าย เด็กผู้หญิงคนหนึ่งมั้ยครับ” ชายชราหนักใจที่จะพูดต่อ “หรือเห็นผมเฉือนเนื้อของเด็กผู้หญิงคนเดิมมั้ย คุณเจพอจะเห็นบ้างมั้ยครับ ว่าผมทำแบบนั้นทำไม แล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วไหนจะภาพไฟไหม้อีก”
ลุงพัฒน์นึกถึงภาพนิมิตในหัว เห็นนายโพนดุด่าว่าสร้อยพี ต่อด้วยภาพนายโพนโยนสร้อยพีเข้าไปในห้องพัก แล้วลงกลอนขังไว้ในนั้น สุดท้ายเป็นภาพนายโพนถือมีดเฉือนเนื้อของสร้อยพีอย่างน่ากลัว
“ผมยังไม่เคยเห็นภาพนั้นเลยซักครั้งนะครับ” เจรมัยแปลกใจ
ลุงพัฒน์ถอนหายใจ “ชาติที่แล้วผมคงทำบาปไว้กับเด็กคนนั้น บาปจากชาติที่แล้วเลยตามติดผมมาจนทุกวันนี้”
พร้อมกับว่าลุงพัฒน์ถอดแว่นออก แล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมา เจรมัยมองอย่างเห็นใจ
“ลุง…ลุงร้องไห้หรือครับ”
“ครับ...แต่ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะชะตากรรมของผมในวันนี้ ผมรู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก ทำไม...ทำไมเธอต้องถูกกระทำขนาดนั้น ผมทำไมถึงใจร้ายกับเธอด้วย”
“เด็กผู้หญิงคนนั้น หน้าตายังไงพอจะบอกได้มั้ยครับลุง”
จังหวะที่ลุงพัฒน์กำลังพูดบรรยายลักษณะของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือสร้อยพีนั่นเอง
สร้อยพีในภาพลักษณ์ปกติก็ปรากฏตัวขึ้น และมองลุงพัฒน์ด้วยความสงสารและคิดถึง
“จำได้ซิ เธอเป็นเด็กผู้หญิงผอมบอบบาง ผมยาวตรงสวย หน้าตาสะสวย ขนตางอน และ เธอมีแววตา สี…” คำตอนท้ายชายชราพูดออกมาพร้อมๆ กับเจรมัย
“สีน้ำตาล”
“ครับ คุณเจทราบหรือครับ ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
“ครับ เธอคือสร้อยพีลูกสาวของอาโพน ลูกสาวของลุงในชาติที่แล้ว”
สร้อยพีร้องไห้ เดินเข้ามาใกล้ๆ ลุงพัฒน์หรือนายโพนพ่อของเธอ
“พ่อ…สร้อยพีไม่อยากให้พ่อคิดแบบนั้นเลย”
สร้อยพีเสียใจ
“ผมคิดไม่ออกเลยครับว่า อะไรทำให้อาโพนต้องทำแบบนั้นกับสร้อยพี เพราะตลอดเวลาที่ผมเห็น ก็มีแต่ภาพพ่อที่ห่วงและรักลูกเท่านั้น”
ลุงพัฒน์ถอนหายใจด้วยความหนักใจ เจรมัยมองอย่างเป็นห่วง
“ผมหวัง หวังว่า จะมีโอกาสเจอสร้อยพีบ้าง เผื่อว่าลุงจะชดใช้ความผิดในอดีตได้บ้าง”
เจรมัยนิ่งงันไป
สร้อยพีหยุด เกิดเปลี่ยนใจไม่เข้าไปใกล้ลุงพัฒน์ ด้วยความสงสาร สุดท้ายจางหายไปกลายเป็นกระแสลมพัดผ่านลุงกับเจรมัย
“มันก็คงเป็นหวังลมๆ ใช่มั้ยครับคุณเจ”
“คงไม่ขนาดนั้นมั้งครับลุง บางทีของแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลา”
เจรมัยพูดพลางเหลียวมองไปรอบๆ ตัว เหมือนว่าตนก็หวังว่าจะได้พบสร้อยพีเช่นกัน
“ผมยังไม่ได้บอกลุงใช่มั้ยครับว่า ผมเคยเห็นวิญญาณสร้อยพี”
ลุงพัฒน์ตื่นเต้น “เรื่องจริงหรือครับ”
“ครับ ผมกับมะลิ เคยเห็นสร้อยพี”
ลุงพัฒน์สงสัย “ใครหรือครับ มะลิ”
“มะลิเป็นอีกคน ที่มีอดีตร่วมกับพวกเรา”
“แล้ว คุณเจจะพาลุงไปพบคุณมะลิได้มั้ยครับ เผื่อว่ามันจะทำให้ลุงได้พบกับสร้อยพี”
“ได้ซิครับ ถ้าผมรู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
ภายในสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินจงกลมอยู่ใต้ตนโพธิ์ ร่วมกับผู้มาเจริญสมาธิจำนวนหนึ่ง ใบไม้แห้งปลิวหล่นลงพื้น แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดยอดไม้
ภวัตนั่งอยู่ข้างๆ มัลลิกา ตรงหน้าสองคนเป็นแม่ชีคนหนึ่งมาดขรึมเคร่งน่าเลื่อมใส
“ทุกคนเกิดแก่กรรม หนูมะลิก็คงเคยได้ยินใช่มั้ย คำตอบมันอาจจะอยู่ที่ตรงนี้ก็ได้”
“ค่ะ”
“แม่ชี ช่วยแนะนำหนูมะลิ ในเรื่องธรรม เรื่องผลของกรรมได้ แต่ไม่สามารถไปปัดเป่าเคราะห์กรรมของหนูได้หรอก”
“แล้ว...มะลิจะมีทางออกสำหรับเรื่องนี้มั้ยคะ”
“มีซิ ทุกอย่างมีเริ่มต้นก็ต้องมีตอนจบเสมอ แค่ไม่มีใครตอบได้ว่า เรื่องแบบนี้จะจบแบบไหน แต่ขอให้หนูมะลิสบายใจ เพราะพุทธคุณสอนไว้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้น เป็นอยู่ สุดท้ายก็ดับไป”
สองคนเดินคุยกันมาตามทางเดินในบรรยากาศอันร่มรื่น มัลลิกามีท่าทีสบายใจขึ้น และคลายความกังวลลงไปมาก
“เราสบายใจขึ้นมากเลยวัต ถ้าไม่ได้เธอพามาที่นี่ และถ้าไม่ได้เธอช่วยในคืนนั้น เราคิดไม่ออกเลยว่ามันจะจบยังไง”
“มะลิรู้สึกดีเราก็ดีใจ”
มัลลิกาหวนนึกถึงเรื่องร้ายๆ ในคืนที่ภวัตได้ช่วยเธอเอาไว้จากการคุกคามของวิญญาณแค้น
คืนนั้นมัลลิกาวิ่งหนีผีสร้อยพี กระทั่งไปจนมุมที่มุมห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านั้นมัลลิกาควักเหรียญนาฏอันศักดิ์สิทธิ์ขว้างใส่ผีสร้อยพีจนรอดมาได้
ระหว่างที่ถอยกรูดซุกอยู่ที่มุมห้อง ก็ปรากฎมีมือใครบางคนมาจับเธอไว้ เมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นว่าเป็นภวัต
“วัต”
“นี่มันอะไรกัน”
ภวัตมองไปที่ปลายทางเดิน เขาเห็นเงาผีสร้อยพี ค่อยๆ จางหายไป
มัลลิกาก็เห็น ผวาตัวกอดภวัตไว้แน่นด้วยความกลัว
“ไม่...ไม่มีอะไรแล้วมะลิ ผมอยู่นี่แล้ว”
“วัต ช่วยด้วย วัต ช่วยเราด้วย”
ภวัตพยุงมัลลิกายืนขึ้น จะพาเดินออกไป
มัลลิกาคิดบางอย่างได้ เธอก้มมองหาเหรียญนาฏจนเจอ และหยิบเหรียญนั้นขึ้นมากำไว้แน่น แล้วเดินออกไปพร้อมภวัต
ภวัตมองจ้องหน้ามัลลิกาอย่างเป็นห่วง
“แล้วต่อไปคุณจะทำยังไง จะอยู่คนเดียวต่อไปงั้นเหรอ”
“ก็...ต้องอย่างนั้น”
“แล้วพ่อแม่ที่ต่างประเทศท่านรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ตั้งใจว่าอีกซักพักจะบอก บอกตอนนี้ไปมีหวังงงกันยาว ส่วนเรื่องอยู่คนเดียวภวัตไม่ต้องห่วงนะ เรามีเหรียญนี้หายห่วงได้ อีกอย่างเราก็มีวัตคอยพาเราหนีอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ” เธอยิ้มและกระเซ้าเขาในตอนท้าย สร้างบรรยากาศให้ไม่เครียดมาก
“ช่าย พาหนี อย่างเดียว ช่วยอย่างอื่นไม่ค่อยได้” ภวัตหัวเราะอำตัวเอง
“จริง” มัลลิกาแกล้งรับมุก
“อ้าว คิดจริงเหรอเนี่ย”
“เฮ้ย อำเล่น วัตเป็นผู้มีพระคุณกับเราขนาดนี้ เราจะคิดแบบนั้นได้ไง วัต ถ้าไม่ได้เธอวันนั้น เราคงแย่แน่ ขอบคุณอีกทีนะ”
“ไม่ต้องขอบคงขอบคุณขนาดนั้นหรอก ผมยินดีทำให้มะลิอยู่แล้ว”
มัลลิกากับภวัตสบตากันและกัน ด้วยความรู้สึกดีๆ
เหตุการณ์หลังไฟไหม้เมื่อในอดีต ผุดขึ้นในความคิดของลุงพัฒน์อย่างกระทันหัน
เป็นภาพนายโพน พรมมือจรดมีดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ขึ้นแล้วมองไปที่ร่างสร้อยพี ที่ดูเหมือนหลับ แต่ความจริงเสียชีวิตแล้ว นายโพนจรดปลายมีดคมกริบ กรีดลงบนผิวของสร้อยพี
เจรมัยพาลุงพัฒน์มาหยุดอยู่ในห้องตาเทียบ ตรงหน้าตู้เหนือหัวเตียงที่ตะลุงวางอยู่บนนั้น เขาหยิบตัวตะลุงส่งให้ลุงพัฒน์
“นี่ครับ ตัวตะลุงที่ผมกับครอบครัวเชื่อว่า ทวดเที่ยงตั้งใจทำให้กับสร้อยพี”
ลุงพัฒน์จับตัวหนังอย่างตั้งใจ สัมผัสทุกรายละเอียด กระทั่งมือของลุงสัมผัสกับชิ้นหนังในส่วนอกของตะลุง ชายตาบอดรับรู้ถึงบางอย่าง
“หนังตรงนี้”
“ครับ สีมันไม่เสมอกันครับ ผมกลัวว่ามันจะเป็นหนัง...คน...ละชนิด”
ลุงพัฒน์ถามขึ้นอีกว่า “คุณเจครับ ในอดีต ผมเป็นคนซ่อมตัวตะลุงด้วยใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
ลุงพัฒน์จับตะลุงอย่างพิจารณา เจรมัยมองเข้าใจ
“กรรมใดที่ผมเคยทำไว้ จะให้ผมชดใช้อย่างไร ช่วยมาบอกเล่ากันบ้างเถอะ สร้อยพี”
สิ้นคำกล่าวนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายเจรมัยก็นำตะลุงไปปักไว้ที่ตู้เหนือหัวเตียงเช่นเดิม
เจรมัยเดินประคองลุงพัฒน์ลงออกมาที่หน้าเรือนใหญ่
“มาครับลุง เดี๋ยวผมไปส่งเอง”
“ไม่เป็นไรครับ คุณเจ พาลุงมาที่นี่ก็กรุณามากแล้วครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับลุง”
“พี่เจ.....”
เสียงแคทลียาร้องเรียกดังมาแต่ไกล ไม่นานหล่อนก็มาถึงตัวเจรมัย ในมือถือถุงขนมมาด้วย
“นี่แคทซื้อเค้กมาฝากพี่เจเยอะแยะเลย มากินกันนะคะ”
ลุงพัฒน์หันมาทางเสียง “คุณแคท สวัสดีครับ”
“เฮ้ย รู้ด้วยว่าเป็นแคทนี่มองไม่เห็นจริงปะคะเนี่ย”
“โธ่ คุณแคท เสียงแบบนี้มีเหรอผมจะจำไม่ได้”
“แหมเยี่ยมไปเลยค่ะลุง แล้วนี่มาทำอะไรที่บ้านพี่เจเหรอคะ”
“ก็พาลุงมาดูอะไรนิดหน่อยน่ะ นี่ก็จะกำลังจะไปส่งลุงกลับบ้านแล้วล่ะ ใช่มั้ยครับลุง”
“หะ หะ ใช่ครับ” ลุงพัฒน์รีบรับมุก
“งั้นเราไปกันเลยมั้ยครับ”
“ครับๆ ได้ครับ”
“หยุดเลยลุง ตะกี้แคทได้ยินว่า ลุงว่าจะกลับเองนะคะ”
“เอาแล้วไง”
“ริ ตุกติก นะลุง นี่คงไม่ใช่เพราะ พี่เจบงการใช่มั้ยคะ”
“อุ๊ย เอ่อ...”
“ไม่ต้องไปไหนเลยทั้งคู่”
แคทลียามอคาดโทษสองคน
ไม่นานต่อมา ขนมเค้กหน้าตาดีที่แคทลียาซื้อมา ถูกจัดลงจานวางจนเต็มโต๊ะอาหาร
เจรมัยกับลุงพัฒน์นั่งจำนนอยู่ที่เก้าอี้ โดยมีแคทลียายิ้มร่าเริงแบ่งเค้กให้สองคน จังหวะหนึ่ง ลุงพัฒน์คลำๆ มือไปถึงตัวเจรมัย แล้วโน้มตัวไปถามเสียงเบาๆ
“คุณเจครับ คุณแคทเนี่ย มีอดีตร่วมกับเราหรือเปล่าครับ”
เจรมัยหัวเราะ “น่าจะไม่มีนะครับ แต่ชาติหน้าไม่แน่”
ลุงพัฒน์หัวเราะขำ
แคทลียาได้ยินไม่ถนัดหู จึงหันมาถามด้วยความสงสัย
“อะไรเหรอคะพี่เจ ชาติๆ น่ะ”
“ก็ๆ พูดว่า เค้กของแคทเนี่ย น่าจะอร่อยไปถึงชาติหน้าแน่เลย”
“อุ๊ย พูดเกินจริง แต่แฮปปี้นะ”
ลุงพัฒน์ถึงกับทำช้อนหลุดมือเป็นการตบมุก
“พี่เจ จำภวัตเพื่อนแคทได้มั้ยคะ ที่ ทำแมกกาซีนออนไลน์น่ะ”
“จำได้มีอะไรเหรอ”
“ก็ตอนนี้ ภวัตเพื่อนแคท เหมือนกำลังมีความรักน่ะค่ะ”
“แล้วทำไมต้องมาบอกผมด้วยล่ะ ผมไม่เข้าใจ”
“อ้าว ก็ต้องมาบอกซิคะ เพราะคนที่ทำให้ภวัตมีความรักน่ะ ก็แม่มะลิไง”
เจรมัยแทบสำลักเค้กออกมา “อะไรนะ”
“พอพูดว่า มะลิ ทำเป็นไม่เชื่อหู อ่ะๆ งั้นดูนี่”
พร้อมกับว่าแคทลียาเปิดภาพจากมือถือให้เจรมัยดู
เป็นภาพตอนภวัตสวมสร้อยเหรียญนาฏให้มัลลิกา และอีกหลายภาพที่เห็นสองคนเดินเคียงกันในสำนักพิมพ์
“คุณได้ภาพพวกนี้มาได้ยังไง”
“อ่ะ นี่ใคร นี่แคทนะคะ”
“อืม ลืมไปไม่น่าถาม”
“เห็นว่าสองสามวันก่อน ก็หายไปจากออฟฟิศด้วยกันตั้ง 2 คืน”
“สองคืนงั้นเหรอ งั้นก็วันที่ถ่ายเอ็มวีซินะ”
เจรมัยนึกถึง ตอนมัลลิกาแวะมาหาเขา และให้สัญญาว่าจะมาดูเขาถ่ายเอ็มวี แต่พอถึงวันถ่ายทำเจรมัยต้องรอเก้อ เพราะมะลิไม่มากองถ่ายเอ็มวี
เจรมัยนึกขึ้นมาแล้วอดเสียใจไม่ได้ แคทลียาสบช่องรีบทำคะแนน
“เป็นไรหรือเปล่าคะพี่เจ”
“เปล่าครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว มะลิเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไรนะคะ เพราะภวัตทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ทั้งอบอุ่น แถมยังเป็นซีอีโอบริษัท พนักงานอย่างมะลิ มีโอกาสที่ซีอีโอมาปิ๊ง เป็นใครก็ต้องหวั่นไหวทั้งนั้นแหละ”
เจรมัยแปลกใจ “ภวัตเป็นซีอีโอเหรอ”
“ใช่ซิ ไม่ธรรมดารึปะล่า เพื่อนแคทเอง”
ลุงพัฒน์ได้ยินทั้งคู่สนทนากันอยู่นาน เลยขอโอกาสพูดแทรกขึ้นมา
“ขอโทษนะครับคุณเจ มะลิที่พูดถึงกันอยู่นี่ คือมะลิที่คุณเจเล่าให้ผมฟังหรือเปล่าครับ”
“ครับ คนเดียวกัน”
“แล้วตอนนี้ คุณมะลิ เค้าอยู่ที่ไหนหรือครับคุณแคท”
“อ๋อ ก็ไม่น่ารอดที่ทำงานนะ แคทว่า มีอะไรหรือคะลุง”
อีกฟากหนึ่ง มัลลิกาเดินมาหยุดตรงที่ถูกผีสร้อยพีจู่โจมเมื่อคืนก่อน เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอด และมองดูเหรียญนาฏในมือนิ่งๆ
เจนจิราเดินตามเข้ามาทางด้านหลัง
“คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง มะลิ”
“ค่ะพี่ แล้วไมพี่เจนถึงรู้ล่ะ”
“ภวัตเล่าให้ฟังหมดแล้วล่ะ เธอโดนมาหนักเลยนะมะลิ จะให้พี่ช่วยอะไรก็บอกได้เลยนะ อืม...แล้วนี่ได้เจอกับเจหรือยัง”
“ยังเลยพี่”
“งั้นเหรอ แล้ววันนี้เจเค้าโทร.หาหรือยัง”
“ก็ยังนี่คะ”
“สงสัยกำลังวุ่นกับงานโชว์ตัวคู่กับแคทแน่เลย เดี๋ยวก็คงโทร.มาล่ะ อืม หรือมะลิลองโทร.ไปหาเจมันหน่อยก็ได้นะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ปล่อยให้เค้าโชว์ตัวกับคุณแคทนั่นไปน่ะดีแล้ว”
พูดจบมัลลิกาก็เดินแยกตัวไป เจนจิรานิ่งคิดว่าพลั้งปากพูดอะไรไปหรือเปล่า
“ฉันไม่ได้พูดอะไรพลาดไปใช่มั้ยเนี่ย”
เจนจิราอยากจะเขกหัวตัวเองจริงๆ
มัลลิกาเดินย้อนกลับมาที่โต๊ะทำงานตัวเอง กำลังคิดถึงเรื่องที่เจนจิราพูด พอนั่งลงก็เห็นแมกกาซีน สองสามฉบับบนโต๊ะ เธอเปิดดูก็เห็นภาพเจรมัยกับแคทลียา ถ่ายรูปคู่กันในงานแถลงข่าวสินค้าแบรนด์ดัง พร้อมพาดหัวข่าวซุบซิบว่า “ภาพมันฟ้อง ‘เจ-แคท’ ใกล้เปิดตัวเต็มที่แล้ว”
มัลลิกาปิดหนังสือนั้นลง แล้วนั่งทบทวนอยู่กับตัวเอง
ในระหว่างนี้ ภวัตเลื่อนตลับบางอย่างเข้ามาตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มให้มัลลิกา
“อะไรวัต”
“เอามาให้”
“อะ อะไร” มัลลิกามองฉงน
“นี่ไง” ภวัตเปิดตลับหยิบสร้อยในนั้นออกมา “สร้อย เราเอามาให้มะลิคล้องกับเหรียญนั้นไง คราวนี้เหรียญจะได้ไม่ห่างตัวอีก”
มัลลิกายิ้มขอบคุณ พร้อมกับยื่นเหรียญนาฏให้ภวัตคล้องใส่กับสร้อย
“ขอบคุณมากเลยวัต”
“ยินดีอยู่แล้ว”
ภวัตสังเกตว่ามัลลิกากำลังกลั้นหัวเราะอยู่
“อะไรมะลิ ขำไร อย่าบอกนะว่าขำเพราะคิดว่าเรามาขอมะลิแต่งงาน”
มัลลิกาหัวเราะออกมา “ก็ใช่น่ะซิ แพ็คเกจจริงจังซะขนาดนี้”
“เราก็ว่า” ภวัตหัวเราะไปด้วย พร้อมๆ กับจับเหรียญพระกับสร้อยคล้องเข้าด้วยกัน
“อ่ะ เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณมากวัต”
มัลลิกาพยายามใส่สร้อยด้วยตัวเอง แต่ก็จับไม่ค่อยถนัด ภวัตเลยอาสาช่วยทำให้ สองคนมองสบตากัน ปรากฏว่าตะขอเกิดเสียขึ้นมาจนใส่ไม่ได้
“ตะขอเสียซะอย่างงั้น”
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเก็บไว้ในตลับแบบนี้แหละ ยังไงมะลิก็จะเอาใกล้ตัวไม่ห่างอยู่แล้ว”
ภวัตนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมาสักที
มัลลิกาดูออก “วัตมีอะไรจะบอกเราหรือเปล่า”
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจๆ ไปทำงานก่อนดีกว่า เดี๋ยวโดนไล่ออก”
ภวัตเดินจากไปด้วยอาการส่อพิรุธเต็มๆ มัลลิการอดูท่าที แต่ภวัตก็เดินออกไปเฉยๆ
ภวัตเดินออกไปครู่เดียวก็วกกลับเข้ามาอีกที มัลลิกาเหมือนกับว่ารอภวัตให้กลับมาเคลียร์ตัวเองอยู่เหมือนกัน
“อ้าว ว่าไงวัต กลับมาทำไมเหรอ”
“คือ มะลิ ผมมีเรื่องปิดบังมะลิมานาน คือ…”
มัลลิการอฟัง “คือ…”
“จริงๆ แล้วเราไม่ใช่พนักงานออฟฟิศนี้”
“จริงดิ” มัลลิกาแกล้งบิวท์ตัวเองตามน้ำ
“จริงๆ แล้วเราเป็น…”
มัลลิกาต่อให้ว่า “ซีอีโอ ของที่นี่”
ภวัตตกใจ “เอ๊ย รู้อยู่แล้วเหรอ”
“รู้ซิ ไม่ได้ตาบอดนะ”
“อ้าว รู้มานานแล้วงี้”
“อืม นานแล้ว”
“แล้ว…ไมไม่พูดอะไรเลย แสบนะเนี่ย”
“แล้วทำไมต้องพูด ได้เรียกซีอีโอด้วยชื่อเล่น ไม่ต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า คุณ ดีจะตาย ช่ายมั้ย วัต เอ้ย คุณภวัต” มัลลิกาสัพยอกซีอีโอเอาในตอนท้าย
“ไม่ต้อง คง คุณ อะไรหรอก เรียกเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว”
“ค้า...วัต”
สองคนหัวเราะหัวใคร่ขำกันเองอยู่นั้น เสียงเรียกของเจรมัยก็ดังขึ้น
“คุณภวัตครับ ผมขอคุยกับมะลิ หน่อยได้มั้ยครับ”
จู่ๆ เจรมัยปรากฏตัวขึ้นในออฟฟิศอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว มัลลิกาเองก็ทำตัวไม่ถูก ภวัตเองก็ไม่ต่างกัน
เจรมัยเองก็อึดอัดไม่น้อย
มัลลิกาถามออกไป “มีเรื่องอะไรกับฉันเหรอ”
แคทลียาที่ตามมาพร้อมกับลุงพัฒน์ เป็นฝ่ายตอบคำถามนี้แทนเจรมัย
“ลุงคนนี้เค้ามีเรื่องเดือดร้อนอยากจะพบเธอ ฉันกับพี่เจ เลยอาสาพามาแล้วนี่ ฉันมารบกวนจังหวะอะไรของเธอหรือเปล่า”
แคทลียาใช้สายตามองนำไปที่สองคน ภวัตรับว่าแคทลียาอาจจะก่อเรื่องป่วนอีก จึงรีบแก้ไขสถานการณ์
“ผมว่าคุณสามคนคงมีเรื่องคุยกัน งั้นผมกับแคทไม่กวนดีกว่า”
“แคท แคทด้วยเหรอ”
“ใช่ซิ ไปนั่งเล่นห้องเราดีกว่า ไปแคท”
“โห ไรเนี่ยวัต”
แคทลียาเดินหงุดหงิดตามภวัตไป ปล่อยให้คนมีอดีตร่วมกัน มองหน้าจ้องตากันอยู่อย่างนั้น
มัลลิกาเอ่ยขึ้นหลังได้ฟังเรื่องของลุงพัฒน์จบลงแล้ว
“ในภาพที่เห็น มะลิก็ไม่เคยเห็นนายโพนทำร้ายสร้อยพี อย่าว่าแต่ทำร้ายเลย ตีซักทีก็ไม่เคยเห็น คิดไม่ออกเลยว่านายโพนจะทำแบบนั้นทำไม”
“ผมเชื่อว่าผมทำจริงๆ แต่แค่พวกคุณยังไม่ได้เห็นมันเท่านั้น ผม...แอบอิจฉาคุณเจกับคุณมะลินะครับ ที่พวกคุณยังดีมีโอกาสเห็นภาพอดีต ที่เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าพวกคุณมีอะไรที่รู้เรื่องเกี่ยวกับผมมากขึ้น อย่าลืมเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับ”
“แน่นอนครับลุง”
“ค่ะลุง”
“ครับ ขอบคุณคุณสองคนมากนะครับ อ้อ ต้องขอบคุณ คุณแคทด้วยที่ช่วยพาลุงมาที่นี่ ฝากคุณเจบอกด้วยนะครับ”
เจรมัยและมัลลิกา ต่างฝ่ายต่างเงียบไม่พูดอะไรออกมา เอาแต่จ้องหน้ากันด้วยความขุ่นข้องหมองใจ จนลุงพัฒน์ รับรู้ถึงความเงียบนั้น
“นี่คุณสองคนไม่ได้จ้องหน้ากันอยู่ใช่มั้ยครับ”
“เปล่าครับ” / “เปล่าคะ” สองคนปฏิเสธพร้อมๆ กัน
“งั้นเหรอ งั้นลุงพูดต่อแล้วกันนะ แล้วคุณสองคนเคยเห็นนิมิตพร้อมกันใช่มั้ยครับ พวกคุณทำได้ยังไง”
ภาพในความคิดของเจรมัย ที่รู้ว่าทุกครั้งที่เข้านิมิตกับมัลลิกา คือการจูบ (ปากสัมผัสกัน) ภาพความคิดของมัลลิกา ก็คิดรู้เรื่องเดียวกัน
“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ มันคล้ายจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า”
“ผมมาคิดๆ เหมือนกับว่าตอนที่เราสองคนอยู่ใกล้กัน แล้วมันก็เข้านิมิตได้เอง”
ลุงพัฒน์แปลกใจ “อยู่ใกล้กันเท่านั้นเหรอครับ”
ว่าแล้วลุงพัฒน์ก็ขยับตัวออกจากที่นั่งอยู่กั้นกลางระหว่างสองคน ทำไม้ทำมือให้ทั้งคุ่ชิดเข้ามาใกล้กัน เจรมัยกับมัลลิกามองหน้ากันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมใคร ชนิดที่ว่าถ้าใครหลบตาก่อนถือว่าแพ้
“ขยับมานั่งใกล้กันซิครับ เผื่อจะพิสูจน์อะไรได้” ลุงพัฒน์บอก
เจรมัยเรียกเบาๆ “ขยับมาซิคุณ”
มัลลิกาไม่ยอมโต้กลับเบาๆ “เรื่องอะไร ฉันต้องเข้าไปหาคุณ เดี๋ยวแฟนคนดังของคุณจะมาต่อว่าฉันอีก”
สองคนทะเลาะ เหน็บแนมกันไปมา “ใช่เหรอ หรือกลัวว่า ซีอีโอ หนุ่มของคุณจะไม่พอใจ”
“หน็อย ใครกันแน่”
ลุงพัฒน์พยายามเอียงหูฟังคนนั้นที คนนี้ที สุดท้ายก็เข้ามาฉุดมือทั้งสองคนเข้ามานั่งใกล้กันจนได้
“มาๆ ขยับมาหากันเถอะน่ะครับ”
เจรมัยจำใจ ต้องมานั่งติดกันชนิดไหล่เบียดไหล่ ลุงพัฒน์รอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เป็นไงบ้าง เห็นนิมิตมั้ยครับคุณ”
มัลลิกามองหน้าเจรมัยเชิงบอกว่าไหนๆ ก็ลองซะหน่อยเพื่อลุงพัฒน์ มัลลิกาถอนหายใจแล้วเริ่มหลับตา เจรมัยทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่แล้วก็หลับตาตาม ทั้งคู่หลับตาลง และ ลุ้น ลุงพัฒน์เฝ้าฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งทุกอย่างเงียบงัน
มัลลิกาค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อน เจรมัยถึงลืมตาขึ้น ราวกับว่าทั้งคู่ได้ผ่านเข้าสู่นิมิตด้วยกันแล้ว แต่เมื่อมองชุดๆ จึงพบว่าทั้งคู่ยังอยู่ที่เดิม เห็นลุงพัฒน์อยู่ข้างหน้า
ลุงพัฒน์พออ่านออก “ไม่สำเร็จงั้นหรือครับ”
“ครับ”
“ค่ะ ไม่สำเร็จ”
“แค่นั่งชิดกัน คงไม่ใช่แค่นี้แน่ แล้วมันคืออะไรนะ”
ฝ่ายแคทลียานั่งไม่ติดที่ ลุกๆ นั่งๆ อยู่ในห้องทำงานของภวัต จนเขาต้องถามขึ้นมา
“เก้าอี้ห้องผมนั่งไม่สบายเหรอ”
“โห วัต รู้ทั้งรู้ยังแซว”
“นี่กลัว มะลิจะแย่งเจไปซินะ”
แคทลียายิ่งหงุดหงิด “ทำเป็นพูด แล้วนี่ไม่กลัว เจจะมาแย่งมะลิไปซินะ ถึงถามแบบนี้”
“ไม่กลัวสิ เรื่องแบบนี้มันต้องเป็นเรื่องของคนสองคน จะไปกะเกณฑ์ให้ได้อย่างใจเราไม่ได้หรอกแคท”
แคทลียาฟังแล้วให้หมั่นไส้ “คนดีอีกแล้ว ภวัต ใครได้เธอเป็นแฟนนี่ โชคดีชะมัดเลย”
“งั้นเหรอ”
“แต่ใครได้แคทเป็นแฟนโชคดีกว่าย่ะ จะบอกให้”
ภวัตอดหัวเราะขำกับมุกอวยตัวเองของอีกฝ่ายไม่ได้ “เป็นซะอย่างงั้น”
จู่ๆ แคทลียาก็เดินออกไปเฉยเลย ภวัตรีบร้องทัก
“เฮ้ยๆ จะไปไหน”
“อ้าว ก็ไปดูพี่เจไง ถึงเวลาไปแสดงความเป็นเจ้าของแล้วนะ ภวัตก็ควรจะแสดงตัวด้วยนะ ไปเร็วเพื่อน”
แคทลียาคว้าข้อมือภวัตเดินออกจากห้องไป และในโมเมนต์นี้ทำให้สองคนรู้สึกแปลกๆ ต่อกัน
ลุงพัฒน์ยังคงยืนอยู่ตรงข้ามสองคน
“เอาไงต่อดีครับ” เจรมัยถาม
“อืม หรือว่า คุณสองคนต้องจับมือกัน”
“อะ อะไรนะ”
เจรมัยอึดอัดเช่นกัน แล้วคิดอยากลองดูเหมือนกัน
มัลลิกาจำใจยื่นมือออกไป เมื่อเห็นเจรมัยยื่นมือออกมาก่อน มือของทั้งสองคนจวนเจียนจะสัมผัสกันอยู่รอมร่อ
แต่แล้วทั้งคู่ก็หันไปเห็น แคทลียากับภวัตเดินเข้ามาพอดี ต่างฝ่ายต่างชักมือตัวเองกลับโดยอัตโนมัติ
“ผมว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผลหรอกครับ” เจรมัยบอก
“ใช่คะ”
“งั้นเหรอครับ”
เจรมัยขยับตัวออกห่างมัลลิกา ซึ่งมัลลิกาก็ทำเช่นกัน
“ผมกลัวภวัตเค้าจะเข้าใจคุณผิด”
มัลลิกาพูดโต้เบาๆ “ฉันก็ไม่อยากให้แคทเค้าข้องใจเหมือนกัน”
แคทลียาเดินเข้ามาหาเจรมัย ส่วนภวัตก็ยืนอยู่ใกล้ๆ มัลลิกา
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ยครับ มะลิ”
“ค่ะ เรียบร้อยดี” มัลลิกาหันไปพูดกับลุงพัฒน์ “ขอโทษคุณลุงด้วยนะคะ ที่มะลิช่วยอะไรได้ไม่เท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรครับคุณมะลิ” ลุงว่า
“ไปครับลุง เดี๋ยวผมไปส่ง ไปกันมั้ยครับแคท”
“ไปซิคะ พี่เจ”
เจรมัยเดินออกไปพร้อมแคทลียา แต่ก็ไม่วายหันกลับมามองมัลลิกา ซึ่งกำลังคุยกับภวัตอย่างถูกคอ เมื่อเจรมัยหันหน้ากลับ ก็เป็นจังหวะที่ทำให้มัลลิกาหันมาเห็นเจรมัยเดินคุยไปกับแคทลียาอย่างสนิทสนม
เที่ยงกับคุณมาลี ยืนอยู่ใกล้กัน ณ มุมที่ไม่มีใครผ่านมามากนัก
“คุณมาลีขอรับ กระผมขอขอบคุณอีกหนที่คุณหนูช่วยเหลือในงานแสดงเมื่อคืน”
“ขอบคุณอีกแล้ว นี่ครั้งที่สิบเห็นจะได้แล้วมั้ง” มาลียิ้มขำ
“จะขอบคุณซักร้อยครั้ง กระผมก็ว่ามันยังไม่พอกับความกรุณาของคุณมาลี”
“จ้ะๆ เอาที่เที่ยงสบายใจแล้วกัน จะว่าไป ถ้าไม่ได้ไหวพริบของนายเที่ยง งานแสดงเมื่อคืน อาจจะไม่จบแบบนี้ก็ได้ ฉันก็ขอบคุณนายเที่ยงเช่นกัน”
“ขอรับ” เที่ยงหัวเราะ
“ขำอะไรนายเที่ยง”
“ก็ขำที่ กระผมขอบคุณคุณมาลี คุณมาลีขอบคุณกระผม ขอบคุณกันไปมา ไม่รู้ว่ามันจบตรงไหน”
มาลีหัวเราะขำ “นั่นซินะ งั้นเลิกขอบคุณ ใครพูดขอบคุณอีกคนนั้นแพ้ แล้วเปลี่ยนมาคุยเรื่องอีกดีกว่า อ่ะนี่ ฉันเอามาฝาก หนังสือศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ฉันเขียนเอง เก็บไว้เผื่อนายเที่ยงมีโอกาส ตั้งใจใช้ภาษาอังกฤษอีกจะได้เอามาอ่าน”
“เขาะ...” เที่ยงจะขอบคุณแต่หยุดปากได้ทัน
มัลลิกาลุ้นเกือบจะได้ยินเที่ยงพูดขอบคุณ
“โอย เกือบแพ้แล้วเรา”
“แพ้อะไร”
“ก็เกือบเผลอพูด ‘ขอบคุณ’ ไปน่ะซิขอรับ”
มาลีหัวเราะขัน “เที่ยงแพ้แล้ว ก็พูดออกมาแล้วเนี่ย”
เที่ยงเห็นมาลีหัวเราะ ก็ยิ้มออก ในความน่ารักของมาลี
“คุณมาลีครับ ถึงกระผมไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษ แต่กระผมก็จะยังหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เพราะสิ่งนี้จะทำให้กระผมหวนคิดถึง วันที่คุณมาลียิ้มแบบนี้แน่นอนครับ”
“นายเที่ยง”
“เอ่อ กระผมพูดไม่มีกาลเทศะจริงๆ ต้องขออภัยด้วยขอรับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันแค่ไม่ทันตั้งตัวที่จะได้ยินเที่ยงพูดแบบนั้นต่างหาก ฉันรู้สึกดีนะนายเที่ยง”
“ขอรับ”
“แล้วนี่นายเที่ยงเก็บข้าวของเตรียมกลับแล้วรึยัง”
เที่ยงหน้าเศร้าลง “ก็ยังครับ...เอาจริงๆ ผมเองก็ยังไม่อยากกลับเลยขอรับ”
ขณะเดียวกันนี้มารศรีได้แอบเข้ามาในเรือนแถวห้องพักชาวตะลุง ตรงหีบสัมภาระของเที่ยง แล้วหยิบเสื้อเที่ยงขึ้นมาตัวหนึ่ง
“หีบนี้ สัมภาระของนายเที่ยงแน่ๆ”
มารศรีระแวงกลัวจะมีใครมาเห็น จึงรีบเอาผงแป้งหอมโรยบนเสื้อเที่ยงแล้วเก็บคืน ก่อนจะรีบร้อนออกไป ซึ่งบังเอิญเจอเข้ากับสร้อยพีที่กำลังหอบของเข้ามาในห้อง สร้อยพีเห็นร้องทักเสียงดัง
“อ้าวคุณมารศรี เองเหรอคะ”
มารศรียิ้มกลบเกลื่อนยิ้มทักทายสร้อยพี
“จ้ะสร้อยพี ร้องซะตกอกตกใจเชียว”
“คุณมารศรี มาถึงนี่มีธุระอะไรหรือคะ”
“ฉันเอาของมาให้เธอ เห็นว่าเย็นนี้จะกลับนครศรีธรรมราชกันแล้ว ฉันเลยเอาแป้งหอม มาให้เธอเป็นของฝาก อ่ะนี่”
“โห คุณมารศรีนี่ใจดีจริงๆ เลยนะคะ”
“ก็เธอน่ารัก เป็นคนซื่อ ไม่ให้ฉันเอ็นดูได้ยังไงล่ะ”
สร้อยพีคลี่ซองแป้งหอมขึ้นมาดม ก็สัมผัสได้ถึงความหอมรัญจวนใจ
“กลิ่นนี้ สาวๆ ในพระนครเนี่ยกำลังนิยมเชียวนะ หอมใช่มั้ยล่ะ ก็มีคนคิดติดตลกนะว่า ใช้กลิ่นนี้หนุ่มไหนเข้าใกล้ มีต้องหลงรัก”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“อ้าว ของแบบนี้ ใครจะรู้ล่ะ นี่ฉันจะบอกให้นะว่าแป้งแบบนี้มาลีเค้าก็ใช้นะ”
สร้อยพีชะงัก “งั้นเหรอคะ”
สร้อยพีเดินมาถึงหีบผ้าของเที่ยงจัดแจงพับของใส่หีบ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นบางอย่าง สร้อยพีหยิบเสื้อตัวที่มารศรีโรยแป้งไว้ขึ้นมาดม มารศรีทำเฉไฉไม่รู้เรื่อง
“อะไรเหรอ สร้อยพี”
“เสื้อพี่เที่ยงมีกลิ่นหอมได้ยังไง”
“ไหน ขอลองหน่อย”
มารศรีหยิบผ้านั้นขึ้นมาดมกลิ่น
“นี่มันกลิ่นแป้งของมาลีนี่ ทำไมถึงมาติดที่เสื้อนายเที่ยง”
“เล่นสกปรกที่สุด” สร้อยพีโกรธ
มารศรีลอบยิ้มสมใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“มิน่าล่ะ ถึงเห็นว่าเที่ยงแอบเดินตามมาลีอยู่แถวๆ บ้านพ่อตั้งแต่เช้า”
สร้อยพีได้ยินก็คว้าผ้าชิ้นนั้นออกไป
มาลียืนมองตามเที่ยงที่เดินห่างออกไป ก่อนจะหันกลับมาในทางของตัวเอง เที่ยงเป็นฝ่ายหยุดเดินหันกลับมามอง และเห็นว่าคุณหนูมาลีก็หันกลับมามองตนเช่นกัน สองคนสบตากันนิ่งนาน
มาลียิ้มเขินรีบหันกลับแล้วเดินออกไป เที่ยงเองก็ยิ้มชื่น รับรู้ได้ว่าคุณหนูมาลีก็รู้สึกเช่นเดียวกับตน
ขณะที่มาลีเดินๆ อยู่นั้น จู่ๆ สร้อยพีก็แสดงตัวออกมาทักเสียงขุ่นเขียว
“คุณมาลี”
มาลีตกใจนิดๆ “สร้อยพี มีอะไรกับฉันรึ”
“ดิฉันสงสัยกลิ่นแป้งที่ติดเสื้อของพี่เที่ยง”
มาลีงง “อะไรรึ ฉันไม่เข้าใจ”
“นี่ไง กลิ่นแป้งของคุณมาลี ทำไมถึงไปติดอยู่บนเสื้อของพี่เที่ยงได้ล่ะ”
“น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนะ สร้อยพี” มาลีพูดดีๆ ด้วย
“ถ้าคุณมาลีไม่ได้ทำก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไปต่อว่าคนที่มันทำได้ถนัดขึ้นเพราะ มีคนบอกว่ากลิ่นแป้งเนี่ยผู้หญิงพระนครใช้ยั่วผู้ชายให้หลงได้ วันนี้พี่เที่ยงจะกลับบ้านแล้ว นี่ก็คงเป็นแผนสกปรกที่จะทำให้พี่เที่ยงต้องอยู่ต่อ ไม่คิดเลยว่าคนพระนครจะคิดสกปรกแบบนี้”
มาลีชักทนไม่ไหว “หยุดก่อนสร้อยพี เธอควรจะตั้งสติไว้หน่อยนะ ถึงเรื่องนี้ฉันจะไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะไม่รู้ว่าเธอพูดกระทบกระเทียบฉันนะ”
สร้อยพีอึ้งไป “ฉัน...”
“ตอนนี้ฉันพูดยังไงเธอก็คงไม่เชื่อฉัน ไหนๆ เย็นนี้พวกเธอก็จะกลับบ้านอยู่แล้ว เราจะมาหมางใจกับเรื่องที่คนอื่นว่า ทำไมล่ะ”
“ค่ะ” สร้อยพีกำเสื้อเที่ยงในมือแน่น ยืนนิ่งขึงด้วยความโกรธ และคิดไม่ออกจะตอบโต้อะไร
มาลีเองก็ยังคงมองสร้อยพีด้วยแววตาสงสัย ไม่ได้มีความคิดแค้นเคืองอะไรเลย
สร้อยพีเดินพ้นมาลีมาแล้วยกเสื้อขึ้นมาดูอย่างขุ่นเคือง ก่อนที่จะทิ้งมันลงพื้นข้างทาง รำพึงรำพันกับตัวเองว่า
“อย่าหวังเลยว่าจะใช้แผนสกปรกกับพี่เที่ยง” แล้วถอนหายใจออกมา “อยากกลับนครศรีฯ เร็วๆ จัง”
เที่ยงเดินตรงมาที่ห้องพักในเรือนแถว มารศรีแอบเห็นมาแต่ไกลจึงรีบเข้าไปทำท่าพับผ้าให้เที่ยงเห็น เมื่อเที่ยงมาเห็นมารศรีกำลังพับเสื้อผ้าตนใส่ลงหีบอยู่ก็ยิ่งตกใจ รีบเข้าไปห้าม
“คุณๆๆ คุณหนูมารศรีครับ ทำอะไรขอรับ หยุดขอรับๆ เดี๋ยวมือไม้จะเปื้อนซะเปล่าๆ”
“อ้าว นายเที่ยงเอง ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันพับอีกตัวก็เสร็จแล้วนะ”
มารศรีพับแบบลวกๆ เพราะพับไม่ค่อยเป็นบ่นบ้ากับตัวเองเบาๆ “มันพับกันยังไงล่ะเนี่ย กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เคยทำซักที” แล้วยัดใส่หีบไป “เสร็จแล้วจ้ะเที่ยง”
มารศรีทำทีว่ามือเลอะให้เที่ยงเห็น
“เที่ยงพอจะมีผ้าเช็ดมือมั้ยจ๊ะ”
“นี่ขอรับๆ” เที่ยงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้
มารศรีคว้าผ้าในมือเที่ยง พร้อมกับรวบเอามือเขาติดมาด้วย เที่ยงตกใจ มารศรีก็แสร้งทำเป็นตกใจเช่นกัน
“อุ๊ย ขอโทษจ้ะเที่ยง”
เที่ยงเกิดประหม่า รีบถอยตัวออกห่าง แต่มารศรีกลับขยับตัวตามมา
เที่ยงเลยยิ่งถอยห่าง แต่ก็เกือบจนมุม รีบพลิกตัวไปที่ประตู แล้วเปิดประตูห้องเอาไว้ มารศรีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย รีบสงวนท่าที เปลี่ยนเรื่องคุย
“แล้วนี่เที่ยงอยากกลับนครศรีฯ จริงเหรอ”
“ก็…ไม่เชิงครับ ใจหนึ่งก็อยากกลับ อีกใจ…ก็ยังอยากอยู่ขอรับ”
“ก็อยู่ซิ เดี๋ยวให้ลูกน้องพาหาวิกแสดงต่อ อีกเดือนสองเดือนก็น่าจะได้อยู่นะ”
“ถ้าเป็นการรบกวนท่านโสภณ กระผมขอกลับบ้านดีกว่าขอรับ”
มารศรีจ้ำพรวดออกจากเรือนแถวมาที่ด้านหน้า แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นมณฑายืนขวางอยู่ มารศรีหลบตาวูบ มณฑาจ้องเธอเขม็ง ถามเสียงขุ่นอย่างไม่พอใจ
“เธอมาทำอะไร”
“ก็…มาดูว่าพวกมันเมื่อไหร่ จะเก็บของออกจากบ้านเราหมดซะทีน่ะสิคะ อยากให้พวกมันไปให้พ้นๆ เต็มแก่แล้วเนี่ย”
มณฑาจ้องจับผิด “ให้มันจริง นี่ฉันพูดเป็นครั้งที่สองแล้วนะ”
“พี่มณฑา…น้องจะไปญาติดีกับพวกบ้านนอกทำไมกันล่ะคะ”
สร้อยพีเดินเข้ามาทักทายมารศรีด้วยทีท่าสนิทสนม
“คุณมารศรีคะ ขอบคุณมากนะคะ สำหรับเรื่องแป้ง ไม่งั้นพี่เที่ยงต้องโดนแผนสกปรกแน่”
มารศรีรู้ตัวว่าต้องรีบสร้างระยะห่างกับสร้อยพี ก่อนที่จะถูกมณฑาต่อว่าเอา
“อืมๆ จะไปทำอะไรก็ไป เถอะ”
สร้อยพีงุนงง “คือ...”
“ไปซิ จะเดินเข้ามาทำไม ไป ไปเก็บข้าวของซิ อยากกลับบ้านกันแล้วไม่ใช่รึ”
สร้อยพีแปลกใจในทีท่าของมารศรี แต่ก็เดินเลี่ยงเข้าเรือนไปเงียบๆ
มณฑามองตามด้วยหางตา ก่อนที่จะหันมาหามารศรี
“เย็นนี้ จะได้ไม่ต้องแบ่งอากาศหายใจกับพวกบ้านนอกแล้ว ดีจัง”
สร้อยพีหยุดเดินเมื่อได้ยินคำที่มณฑาพูด โกรธแต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร
มณฑาเห็นตะเพิดส่ง “หยุดทำไม รีบไปเก็บของซิ”
กลุ่มคณะตะลุงนั่งหมอบอยู่ที่พื้นเรือน ข้างกายแต่ละคนมีกระเป๋าสัมภาระ เตรียมออกเดินทางกลับ ไม่นานนักก็เห็นท่านโสภณ มาลี มณฑา มารศรี ก้าวเดินเข้ามาในนั้น ชาวตะลุงรีบพนมมือไหว้ทักอย่างพินอบพิเทา ทอง และ สน รีบไปขนเก้าอี้มาให้สี่ตัวเตรียมให้ท่านโสภณและลูกสาวนั่ง
ท่านโสภณยื่นถุงเงิน ถุงแรกให้เที่ยง แล้วตามด้วยถุงเงินอีกสองถุง
เที่ยงยื่นมือไปรับอย่างสงสัย คนอื่นๆ ในคณะก็สงสัยเช่นกันว่าทำไมเงินถึงมีมากกว่า 1 ถุง
จนนายโพนทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว “ท่านขอรับ ท่านขอรับ กระผมว่าเงินน่าจะมากเกินกว่าที่ตกลงกันนะขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ สองถุงนี้ผมรับมิได้ขอรับ” เที่ยงว่า
“รับไปเถอะ เงินถุงนี้ของพวกเธอน่ะถูกแล้ว มันเป็นเงินพิเศษที่เจ้ากรมท่าเรือกับพ่อค้าฝรั่งเพิ่มให้
เป็นเพราะฝีมือพวกเธอเลย ที่ทำให้ได้ค่าตอบแทนนี้น่ะ” คหบดีผู้อารีบอก
“อย่างนั้นหรือขอรับ”
“รับไว้เถอะ ผู้หลักผู้ใหญ่เค้าประทับใจงานแสดงมากเลยนะ”
เที่ยงรับถุงเงินมาแล้วก็ส่งเงินต่อให้กับนายโพนรับเอาไป ทอง สน และพยอมสนใจมองตามถุงเงินอย่างตื่นเต้น
แล้วจู่ๆ ท่านโสภณ ก็ย่อตัวลงมานั่งกับพื้นเรือนเสมอกับชาวคณะตะลุง ทำเอาทุกคนในคณะถอยออกห่างด้วยความตกใจ กลัววางตัวไม่เหมาะสม มาลีรีบย่อลงมานั่งข้างๆ บิดา ส่วนมณฑามารศรี ยืนเก้อๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มณฑาจะย่อนั่งด้วย มารศรีเห็นแบบนั้นก็รีบนั่งตาม
“นั่งเลยเหรอพี่” มารศรีกระซิบถาม
มณฑากระซิบตอบว่า “ทำๆ ไปเถอะ ยังไงพ้นเย็นนี้ พวกมันก็ไม่มีโอกาสมาเกะกะลูกตาพี่อีกแล้ว”
“ค่ะพี่ เล่นละครให้พ่อสบายใจใช่มั้ยคะ”
นายโพนตกใจเป็นการใหญ่ “ท่านๆ นั่งเก้าอี้ดีกว่ามั้งขอรับ”
“ฉันอยากนั่งพื้นน่ะซิทำไง”
“คุณท่าน ลดตัวลงมานั่งพื้นแบบนี้ เดี๋ยวพวกกระผมก็เป็นขี้กลากกินกันพอดี” นายโพนว่า
ท่านโสภณหัวเราะขำ “อ้าว ที่แท้ห่วงตัวเอง”
นายโพนรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ๆๆ กระผมรนไปหมดแล้วขอรับ พูดผิดพูดถูกไปหมด กระผมเป็นห่วงว่ามันจะไม่เหมาะสมน่ะขอรับ”
เที่ยงอธิบายแทนว่า “คืออาโพน เค้าหมายถึงว่า คนด้อยค่าน้อยราคาอย่างพวกกระผม เหมาะแล้วสำหรับการนั่งพื้น ส่วนท่านโสภณทั้งสูงศักดิ์ ทั้งมีฐานะจึงไม่ควรนั่งพื้นเลยน่ะขอรับ”
ท่านโสภณหัวเราะเป็นกันเอง “คนเราจะต่ำจะสูง ใช่ดูแค่ฐานะการเงิน สำหรับเรา ชอบดูคนที่ความสามารถ ใช่เรื่องการเงิน อย่างนายเที่ยงกับคณะพ่อโพนถือว่า มีความสามารถอย่างมาก มากจนเป็นที่ยอมรับไปทั่ว ทั้งบ่าว ทั้งเจ้านาย ต่างก็ชื่นชม”
มารศรีหยอดไปว่า “พ่อไม่มีแผนที่จะให้คณะนายเที่ยงเปิดวิกต่อหรือคะ เผื่อว่าคณะตะลุงจะได้อยู่ต่ออีกเดือนสองเดือน คนที่เค้าชื่นชอบเค้าจะได้แวะเวียนมาดูกันอีกน่ะค่ะ”
มณฑากระซิบแดกดันน้องสาวอย่างไม่พอใจ “นี่แกเล่นละครมากไปมั้ย”
“ก็…ไม่เป็นไรมั้งพี่” มารศรีกระซิบตอบ
“เออ นั่นซิ”
คหบดีโสภณกำลังคิดถึงข้อเสนอจากลูกสาวคนรอง เที่ยงเงยหน้าขึ้นอย่างมีหวัง มองเลยไปก็พบว่ามาลีก็มองมาที่เขาเหมือนกัน เหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาของสร้อยพี
“อย่ากระนั้นเลยค่ะคุณมารศรี พวกอิฉันไม่กล้าที่จะรบกวนท่านโสภณอีกแล้วค่ะ เท่าที่ให้โอกาสเรามาถึงตรงนี้ก็เป็นบุญคุณโขแล้ว อีกอย่าง...พวกเราก็คิดถึงบ้านที่นครฯ กันแล้วด้วยค่ะ”
มารศรีไม่สบอารมณ์ที่สร้อยพีมาขัดแผน เที่ยงกับมาลีก็ใจหาย เสียดายโอกาสนี้เช่นกัน
คณะตะลุงเดินผ่านประตูบ้านออกมา ท่านโสภณและลูกๆ ก็มายืนส่งอยู่ที่ด้านหลัง ยังไม่ทันไร ก็มีเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าสองคน รีบเดินมาห้ามคณะตะลุงเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนๆ คณะตะลุงยังกลับไม่ได้ขอรับ”
“อะไรหรือครับ เกิดอะไรขึ้น” เที่ยงแปลกใจ
สนถามเบาๆ “ไอ้ทอง มึงไปก่อเรื่องมาอีกหรือเปล่าเนี่ย”
“จำไม่ได้หวะ กูเมา” ทองตอบกลับเบาๆ เช่นกัน
“เอาแล้วไง”
เจ้าหน้าที่เรียกไว้อีก “รอก่อนๆ”
ว่าแล้วเจ้าหน้าที่2 ก็ตรงไปหาท่านโสภณ ธิดาทั้งสามมองสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ”
“คืออย่างนี้ขอรับ การแสดงของคณะตะลุงเมื่อคืนนี้ เป็นที่ประทับใจของคณะพ่อค้าอย่างมาก จนตอนนี้เจ้ากรมท่าเรือ อยากให้คณะตะลุงอยู่แสดงในงานกระทรวง ต้อนรับท่านฑูตจากปีนังต่อขอรับ”
สร้อยพีได้ยินถึงกับหน้าเสีย มณฑาอึ้งไป มารศรีถดตัวถอยหลังมาอมยิ้มอย่างมีหวัง ส่วนมาลีถึงจะมีความหวังแต่ก็ยังสงวนท่าที
“และดูท่า ทางคณะตะลุงคงปฏิเสธไม่ได้เสียด้วยนะขอรับ เพราะตอนนี้ทางกระทรวงได้ นัดแนะกับคณะฑูตไว้หมดแล้ว ว่าจะมีคณะตะลุงไปแสดง รบกวนด้วยนะขอรับ” เจ้าหน้าที่2 บอก
มณฑาแค้นแทบกระอัก อยากทึ้งอะไรซักอย่างเพื่อระบายความเจ็บใจ
มาลีกับเที่ยงมองสบตากัน ต่างรู้สึกดีใจเหมือนๆ กัน
สร้อยพีอยากจะพูดขัดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายเธอก็เลือกเหวี่ยงหีบในมือลงพื้น เพื่อระบายอารมณ์
เช้าวันนี้ จู่ๆ หีบที่วางอยู่บนตู้เหนือหัวเตียง ก็หล่นกระแทกพื้นอย่างไม่มีสาเหตุ เจรมัยถึงกับผวาตัวด้วยความตกใจ ก่อนจะเดินไปหยิบหีบนั้นขึ้นด้วยความสงสัยแล้วยกขึ้นเก็บไว้ที่เดิม
“ทำไมถึงหล่นมาได้เนี่ย”
ในมิติเร้นลับ ผีสร้อยพียืนจังก้าจ้องเขาอยู่
“พี่เที่ยง ยังไม่เลิกคิดถึงอีมาลีอีกใช่มั้ย”
เจรมัยจะเดินออกไป จู่ๆ ประตูห้องก็ปิดกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง จวนเจียนจะกระแทกหน้า
เจรมัยรู้เลยว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เขารีบกวดตามองไปรอบๆ ห้อง
“สร้อยพีใช่มั้ย เธออยู่ในนี้ใช่มั้ย เธอต้องการอะไร บอกฉันซิ”
ในมิติเร้นลับที่เจรมัยไม่เห็น ผีสร้อยพียืนคุมแค้นจ้องเขาอยู่ และตอบคำถามนั้นของเจรมัย
“จะอะไรอีกล่ะ ก็ชีวิตอีมาลีไง เมื่อกำจัดอีมาลีแล้ว พี่เที่ยง…พี่เที่ยงเองก็ต้องชดใช้ ที่ผิดสัญญาเช่นกัน”
เจรมัยผิดหวังที่ไม่ได้ยินเสียงตอบใดๆ
จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกเอง เจรมัยก้าวออกไปอย่างฉงนฉงาย โดยไม่เห็นว่าที่ด้านหลังมีสร้อยพีที่จ้องมองเจรมัยอยู่ และไม่นานก็สลายกลายเป็นสายลมพัดกรรโชกผ่านร่างเจรมัยออกจากห้องไป
มัลลิกาดูรูปตัวเองแล้วอึ้งไป เพราะไม่ว่ารูปไหนก็มีเงาดำพาดกลางรูปอยู่ทุกรูป จนเริ่มใจคอไม่ดี ความกลัวแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจเธอ ข้างๆ มี เจนจิรา หนักใจอยู่เช่นกัน
“พี่โคตรสับสนเลย ภาพของน้อง ตอนนี้มันเหมือนที่เคยเกิดกับเจมาก่อนเลย”
มัลลิกาพึมพำ “หรือจะเป็นผี”
“พี่ไม่อยากจะคิดแบบนั้นเลย พยายามบอกตัวเองว่ามันแค่ผิดพลาดทางเทคนิค”
“พี่เจน ถ่ายรูปให้มะลิหน่อยซิ”
“อืม ดีเหมือนกัน มาๆ พี่ถ่ายให้”
มัลลิกาขยับตัวมายืนให้ถ่ายอยู่กลางทางเดิน
เจนจิรายกกล้องขึ้น กดถ่ายทันทีแบบต่อเนื่องหลายสิบรูป พอถ่ายเสร็จก็เอาการ์ดมาเสียบต่อเข้าคอมพ์ ดาวน์โหลดลงเครื่อง และภาพก็ปรากฏขึ้น
เพียงภาพแรกก็เห็นเป็นเงาดำพาดทับหน้ามัลลิกาเลย มันเป็นปื้นดำขนาดใหญ่พาดอยู่กลางรูป แต่เมื่อคลิกรูปต่อไป ปื้นดำนั้นก็ขยับห่างกล้องไป ยิ่งคลิก รูปปื้นดำนั้นก็เริ่มที่จะดูออกว่า เป็นรูปร่างของผู้หญิง!
และรูปสุดท้าย เห็นชัดเลยว่าเป็นรูปเงาผู้หญิงในชุดปาเต๊ะ ยืนอยู่ตรงโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ทั้งเจนจิราและมัลลิกาเปิดอยู่
ความรู้สึกเสียวสันหลังเกิดขึ้นทันที เจนจิราปล่อยมือออกจากเม้าส์ มะลิเองก็เคลื่อนตัวห่างจากหน้าคอมฯ และในไม่ช้า ก็ปรากฏร่างเงาของสร้อยพี ขึ้นที่ด้านหลังคอมพิวเตอร์ และกำลังคืบคลานเข้าใกล้มะลิทุกขณะ มะลิร้องไม่ออกทำได้แค่ถอยกรูดไปกับเจนจิรา
เมื่อผีสร้อยพีเข้ามาใกล้ อานุภาพของเหรียญนาฏ ก็ได้ปกป้องเธอกับเจนจิราได้อีกครั้ง จนผีร้ายล่าถอยไปหยุดในมุมที่ไม่มีใครสังเกต และมองจ้องมองมายังมะลิอย่างเคียดแค้นชนิดไม่วางตา
มาลีเดินย้อนกลับมาลำพังตรงจุดที่สร้อยพีทิ้งเสื้อเที่ยงไว้ แต่พอมาถึงกลับไม่พบเสื้อตัวนั้นแล้ว
“เอ๊ะ เสื้อนายเที่ยงหายไปไหนแล้ว หรือจะมีใครมาหยิบไปแล้วนะ”
จนเมื่อหันมาอีกทางจึงเห็นสร้อยพีปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเสื้อที่เธอมองหา
“สร้อยพีนี่เองที่เอาเสื้อไป”
“คุณมาลีก็อยากได้มันด้วยงั้นเหรอ”
“เปล่าหรอก แค่เดินผ่านมาก็เลยนึกถึงน่ะ”
โดยไม่คาดคิด สร้อยพีวางเสื้อนั้นลงบนกองไฟ มาลีแปลกใจ
“เธอเผาเสื้อทำไม”
“เผาเสนียดที่มันติดกับเสื้อต่างหาก”
มาลีไม่เข้าใจอยู่ดี “สร้อยพี...เธอกำลังคิดอะไร”
สร้อยพีน้ำตาไหลด้วยความโกรธ ที่แผนจะกลับบ้านของตัวเองต้องล้มเหลว
“ที่พวกเราต้องอยู่พระนครต่อ ก็เป็นแผนของคุณมาลีอีกซินะ”
พร้อมกับว่าสร้อยพีเดินผลุนผลันผ่านหน้ามาลีไปด้วยความไม่พอใจ
มาลีรับรู้ว่าคงต้องพูดบางอย่างให้สร้อยพีหยุดความคิดอคติกับเธอลง จึงคว้าแขนสร้อยพีไว้
“หยุดก่อนมาลี ฉันว่าเธอกำลังเข้าใจผิด
สร้อยพีหยุดกึก แต่สะบัดแขนเต็มแรงจนมาลีเสียหลักล้มลง ก่อนจะเดินไปหยุดจ้องหน้ามาลี บอกออกมาทั้งน้ำตานองหน้า
“คุณ บีบให้ฉันทำแบบนี้เองนะ”
สร้อยพีหันกลับเดินห่างไป
มาลีเจ็บแขน มองตามสร้อยพีไป ด้านหลังเป็นกองไฟที่กำลังโหมไหม้เผาผลาญเสื้อเที่ยงจนกลายเป็นจุณ
“สร้อยพี เธอ…”
อ่านต่อ ตอนที่ 13
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่12 #thaich8 #ละครออนไลน์