เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 11
ใกล้วันเปิดการแสดงมาทุกขณะ คหบดีโสภณอนุญาตให้คณะตะลุงมาซ้อมที่บริเวณลานแสดงจริง เที่ยงซ้อมเล่นตะลุงผิดๆ ถูกๆ เหมือนเหม่อลอยและไม่ค่อยมีสมาธิเอาเลย จนถูกนายโพนดุเอา
“หยุดๆๆๆ ไอ้เที่ยง มึงเล่นอะไรของมึงเนี่ย ไม่ได้ตรงกับดนตรีเลย”
“ขอโทษจ้ะอา ขอลองอีกทีนะ”
“ตั้งใจหน่อยสิวะ ใกล้วันแสดงแล้ว คราวนี้เล่นให้พวกฝรั่งมันดูเลยนะเว้ย เราไม่ได้มีโอกาศแบบนี้บ่อยๆ นะ ถ้าเล่นไม่ดีมันจะหาว่าการละเล่นของเรามันไม่ได้เรื่องนะ”
“ขอโทษจริงๆ จ้ะอา”
ทองมองจับผิด “ใจลอยไปที่ไหนหรือเปล่า ไอ้เที่ยง”
“นั่นน่ะซี้ เห็นตั้งแต่เข้ามาที่นี่ละ สายตายังไม่ได้ละไปจากตึกใหญ่นั่นเลยนะ”
นายโพนมองตามสายตาสนไปที่เรือนหลังใหญ่ รู้สึกเป็นกังวลไปกับเที่ยง
มณฑาเดินหน้าบูดลงเรือนมาในท่าทีอันหงุดหงิด
“เสียงอะไรเอะอะแต่เช้าเชียว”
มณฑามองไปเห็นมารศรียืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูบางอย่างอยู่หน้าตึก
“ก็ชาวคณะตะลุงน่ะค่ะ คุณพ่อท่านอนุญาตให้มาซ้อมกันที่นี่ เพราะที่บ้านเห็นว่ามันคับแคบไป”
มณฑาได้ฟังก็ยิ่งหงุดหงิด “หนวกหู น่ารำคาญ แล้วนี่เธอมายืนทำอะไรตรงนี้”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น้องก็แค่มาคอยจับตาดูนังมาลี ว่ามันจะเข้าไปวุ่นวายอะไรพวกบ้านนอกนั่นรึเปล่า”
มณฑามองจับผิดมารศรี
“ก็ให้มันจริงอย่างที่เธอว่าแล้วกัน อย่าได้คิดหรือทำตัวลดต่ำเด็ดขาด”
มณฑาเดินหงุดหงิดจากไป มารศรีมองตามโดยไม่สนใจนัก หันกลับไปดูพวกเที่ยงซ้อมต่อ
ที่ลานแสดงหนังตะลุง เที่ยงยังคงซ้อมไป เหม่อมองไปที่ตึกใหญ่ จนกระทั่งเห็นสร้อยพีเดินกระฟัดกระเฟียดหัวเสียมานั่งลง หน้าตาบูดบึ้ง ขัดใจเรื่องที่ต้องมาซ้อมที่นี่เพราะรู้ว่าเที่ยงคิดอะไรอยู่
“ทำไมเราต้องมาซ้อมกันที่นี่ด้วยล่ะ ที่บ้านเช่าก็ซ้อมกันได้นี่”
“โอ๊ย นังสร้อยพี ที่นั่นแค่เอาของไว้ก็เต็มแล้ว ยังไม่ทันได้ขึงจอเลยด้วยซ้ำ” ทองว่า
สนเห็นด้วย “นั่นน่ะซี้”
“เออ เอ็งเอาอะไรมาพูดเนี่ย” ทองมองเหล่
เที่ยงหันมามอง “ สร้อยพี เป็นอะไรรึเปล่า พี่เห็นสร้อยพีหงุดหงิดตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ”
“ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรนี่ พี่นั่นล่ะมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
เที่ยงงง “พี่มีปัญหาอะไร”
สนก็เง็ง “นั่นน่ะซี้”
สร้อยพีพาลพาโล หันมาด่าสน “เป็นบ้าอะไรพี่สน พูดนั่นน่ะซี้อยู่ได้”
“นั่นน่ะซ…”
“เอาล่ะๆ พวกเอ็งหยุดเถียงกันได้แล้ว พักซักแป๊บ แล้วมาซ้อมต่อ ข้าไม่อยากให้งานนี้มันล่มนะ”
นายโพนตัดบทสีหน้าเครียดกลุ้มใจหนักว่าการแสดงศิลปะของชาวใต้จะออกมาไม่ดี สร้อยพีลุกเดินออกไป พยอมรีบตามไป
เที่ยงได้แต่มองตาม เขาเองก็เริ่มหงุดหงิดกับทีท่าปั้นปึ่งตะบึงตะบอนของสร้อยพี แต่สุดท้ายก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ลุกตามสร้อยพีไปอีกคน นายโพนมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
พยอมเดินจ้ำพรวดๆ ตามสร้อยพีมาจนทันที่บริเวณสวนสวยหัวมุมตึกใหญ่
“แกเป็นมากไปหน่อยมั้ย” พยอมพูดเชิงตำหนิ
สร้อยพีไม่พอใจ “นี่พยอมว่าฉันเหรอ”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ นี่ฉันเป็นห่วงนะ อย่าพึ่งฟาดงวงฟาดงาใส่ซิ”
สร้อยพีอึ้งไป
พยอมเดินไปจับแขน “มานี่ๆ ใจเย็นๆ ทำแบบนี้มีแต่จะพากันเสียกันหมด”
“เสียเหรอ พยอมดูไม่ออกรึ ว่าใครกันแน่ที่จะพากันเสีย”
“นี่สร้อยพี เอ็งไม่พอใจที่พี่เที่ยงจะพาคณะเสียหรือที่พี่เที่ยงไปใกล้ชิดกับคุณหนูบ้านนี้กันแน่”
สร้อยพีนิ่งขึงอยู่อย่างนั้น
“ไม่เอาน่า ตั้งสติหน่อย ยิ่งทำแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีกับคณะเราหรอกนะ พวกเราเล่นงานนี้เสร็จ เดี๋ยวก็ได้กลับบ้านกันแล้ว”
สร้อยพีคิดตาม มีท่าทีเย็นลง “อืม จริงของพยอม”
เที่ยงออกเดินตามหาสร้อยพีผ่านหัวมุมตึกบริเวณสวนข้างบ้าน และด้วยความรีบร้อนจึงไม่ระวังเดินไปชนมณฑาที่ถือแก้วชายืนทอดอารมณ์อยู่ เป็นเหตุทำให้น้ำชากระฉอกรดมือธิดาคนโตของท่านโสภณ เที่ยงตกใจสุดขีดก้มหน้างุด มณฑาโกรธจัดจ้องเที่ยงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
กิ่งสาวใช้เดินมาเห็นพลอยหัวหดกลัวไปด้วย
เที่ยงพนมมือไหว้ขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจ
“คุณมณฑา กระผมขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ”
มณฑาระเบิดความโกรธออกมาด้วยการขว้างแก้วชาในมือใส่เที่ยง
“กล้าดียังไง มาถูกตัวฉัน สกปรก”
“คุณหนู...กระผม”
เที่ยงโดนแก้วปาใส่จังๆ เจ็บแต่ก็ไม่โกรธ และยังคงยกมือไหว้ขอโทษอยู่อย่างนั้น พร้อมกับขยับตัวเข้ามาใกล้มณฑามากขึ้น มณฑาชี้หน้าตวาดใส่เที่ยง
“หยุด! ไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉัน”
สร้อยพีและพยอมได้ยินเสียงตวาดนั้น รีบพากันเดินแกมวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
นายโพน สน ทอง และกลุ่มตะลุงก็ได้ยินเสียงตวาด รีบรุดออกมาดูเช่นกัน
เที่ยงถูกมณฑาต่อว่าอยู่นั้น จนท่านโสภณปรากฏตัวเข้ามาพร้อมกับมารศรี มาลีมากับเพ็ญจากอีกมุมหนึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน
นายโพนและกลุ่มชาวตะลุงเข้ามาสมทบที่ด้านหลังเที่ยง สร้อยพีกับพยอมก็อยู่ในกลุ่มนี้
ท่านโสภณมองหน้าลูกสาว “มีอะไรกัน ลูก”
มณฑามองเที่ยงตาขวาง “ก็ไอ้นี่ มาชนแก้วชาของลูกหกลวกมือไงล่ะคะคุณพ่อ ลูกอยู่ของลูกอยู่ดีๆ”
ท่านโสภณหันมาทางเที่ยง “ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ หะนายเที่ยง”
เห็นเที่ยงเงียบไป มณฑาโมโหขึ้นเสียงใส่
“จะเงียบทำไม พูดซิ”
คนอื่นที่รู้ฤทธิ์มณฑาและชาวคณะพากันหวาดหวั่นว่าเรื่องจะลุกลามใหญ่โต มาลีกับเพ็ญก็เช่นกัน
มารศรีมองเที่ยงแล้วนึกอยากทำคะแนนเอาใจ จึงเดินเข้าไปหามณฑา ปลอบให้ใจเย็นลง
“พี่มณฑา มีอะไรค่อยๆ พูดกันก็ได้ค่ะ”
มณฑาไม่พูดอะไร เพียงแค่ปรายตามองมายังมารศรี และรู้ว่าไม่ใช่จังหวะที่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นได้
“กระผมผิดเองครับท่าน กระผมเดินไม่ระวัง จนมาชนแก้วชาของคุณหนูมณฑาหกขอรับ” เที่ยงเอ่ยขึ้น
ทุกคนมองไปดูแก้วชาที่ตกอยู่ที่พื้นข้างตัวเที่ยง
“กระผมขอโทษขอรับ ขอโทษจริงๆ ขอรับ”
“อืม...จะเอายังไงลูก นายเที่ยงเค้าขอโทษลูกแล้ว” ท่านโสภณหันมาทางมณฑา
“ก็ได้ค่ะคุณพ่อ ครั้งนี้ลูกจะไม่ถือสา”
“ขอบพระคุณขอรับคุณมณฑา” เที่ยงไหว้มณฑาอยู่อย่างนั้น
ถึงแม้จะออกปากว่าไม่ถือโทษ แต่มณฑาก็ยังไม่วายจ้องมองเที่ยง และชาวคณะตะลุงอย่างขุ่นเคืองใจ
“แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะ ถ้าคืนวันงาน พวกตะลุงของเธอทำให้ฉันขายหน้าต่อหน้าแขกล่ะก็ พวกตะลุงทุกคนต้องชดใช้”
กลุ่มของเที่ยงทำได้แต่ก้มหน้า
มณฑาพูดเสร็จก็สะบัดหน้าเดินกลับเข้าเรือนไป
นายโพนก้มเก็บแก้วชาที่พื้นส่งให้กิ่งคนรับใช้ มณฑาที่เดินไป 2 – 3 ก้าวแล้ว หยุดกึก เหลือบตามามองและสั่งกิ่งว่า
“กิ่ง! แก้วนั้นไม่ต้องเอาใช้อีกเป็นอันขาด จะเอาไปเผาหรือทิ้งน้ำก็แล้วแต่เธอเลย”
“จะ...เจ้าค่ะ”
นายโพนหน้าเสียที่ถูกดูแคลน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
มาลีเห็นแล้วก็อึดอัดใจแทน ได้แต่หันมามองเที่ยงด้วยความเป็นห่วง
เที่ยงทบทวนคำพูดของมณฑาด้วยความหนักใจ มาลีมองเที่ยงนิ่งนาน
เหตุการณ์เมื่อในอดีตทับซ้อนกับโลกปัจจุบัน
เจรมัยนั่งอยู่มุมหนึ่งในสตูดิโอ มองสมุดโน้ตเพลงตรงหน้า ในมือถือกีตาร์ เขาจับคอร์ดดีดกีต้าร์ไปทีสองทีก็นั่งนิ่งใจลอย
เห็นทีมงานเตรียมงานถ่ายทำมิวสิควิดีโอ กันให้วุ่น ทีมช่างไฟสองคนกำลังจัดเซ็ตอุปกรณ์ไฟฟ้าอยู่ห่างออกไป ไม่นานก็เดินออกจากสตูไป
จนมีเสียงมัลลิกาเรียกดังขึ้น “เจ”
เจรมัยหันไปทางเสียง เห็นมัลลิกาเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยรอยยิ้ม เขายิ้มทักตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ และยังไม่อยากเชื่อว่ามัลลิกาจะเป็นฝ่ายมาหาเขา
“มะลิ มาได้ยังไง”
“ก็ถามพี่เจนอ่ะ เลยรู้ว่าเจอยู่ที่นี่ คือ..เราจะมาขอบคุณ เรื่องที่ช่วยเราไว้ที่งานเปิดตัวนิตยสารน่ะ คือ...ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ได้ขอบคุณเป็นจริงเป็นจังเลย”
“อ๋อ เรื่องนี้เอง ไม่เป็นไร ไม่ต้องซีเรียสหรอก”
เจรมัยดูประหยัดคำพูด ด้วยในหัวเค้าก็ยังคิดเกี่ยวกับงานวันพรุ่งนี้อยู่
มัลลิกาสังเกตเห็น
“พรุ่งนี้จะถ่ายเอ็มวีแล้ว ทำไมทำหน้าไม่สดชื่นเลย เอ็มวีตัวแรกของเจเลยไม่ใช่เหรอ สดชื่นๆ หน่อยสิ”
“ก็เพราะเป็นเอ็มวีตัวแรกนี่แหละ ถึงทำให้เครียด มะลิรู้มั้ย เอ็มวีตัวนี้จริงๆ แล้วมันไม่มีแผนจะถูกถ่ายอยู่ก่อนแล้วหรอกนะ แต่มันเกิดจากการอยากจะพลิกกระแสข่าว ที่ว่า...มะลิ เป็นมือที่สามระหว่างผมกับแคทเท่านั้น”
“จริงเหรอ”
“เรื่องเอ็มวีน่ะจริง แต่เรื่องมือที่สามมันไม่จริง เพราะแคทไม่เคยเป็นเป็นมือที่หนึ่งอยู่แล้ว ผมกับแคทไม่ได้เป็นไรกัน มะลิรู้ใช่มั้ย”
“รู้”
ต่างฝ่ายต่างเงียบ และมัลลิกาเหมือนคิดหาคำพูดที่ดีได้ก่อน
“แต่ถ้ามองดีๆ งานเอ็มวีเนี่ย ยังไงมันก็ทำงานบนเพลงของเจไม่ใช่เหรอ งั้นจะสนใจอะไร โอกาสมาแล้ว เปลี่ยนอะไรก็ไม่ได้แล้วนี่ งั้น...ก็ทำหน้าที่ที่เจถนัดให้ดีที่สุดให้เต็มทีไปเลยดีกว่า ดีมั้ย”
เจรมัยอึ้งไป
“ของเราดี เราต้องกล้าโชว์สิ”
เจรมัยนิ่งฟังพลางก้มมองกีต้าร์ในมือ เห็นด้วยกับคำพูดของมัลลิกา
“อืม จริงเนอะ จะสนไร โอกาสมาแล้ว”
“ถูก The show must go on”
เจรมัยยิ้มให้ “ขอบใจนะ” แล้วลุกขึ้นเก็บกีต้าร์ลงกระเป๋า
มัลลิกางงว่าทำไมเขาถึงเก็บของเฉยเลย
“แล้วไม ไม่เล่นต่อล่ะ”
“อยากฟังเหรอ”
มัลลิกาพยักหน้า “อืม”
“ต้องฟังพรุ่งนี้ ขืนให้ฟังวันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่มาซิ”
มัลลิกายิ้มขำกับมุกของเขา เจรมัยยิ้มเช่นกัน
ตลอดเวลาที่สองคนคุยกันอยู่นี้ ทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของผีสร้อยพี ที่ตามติดคอยเฝ้ามองเขาและเธออยู่ห่างๆ มัลลิการับรู้ได้ถึงการเฝ้ามองนั้น เธอกวาดตามองไปในที่มืดรอบตัว แต่ก็ไม่พบใคร
เจรมัยแปลกใจในท่าที “อะไรเหรอ”
“ไม่มีๆ กลับกันเถอะ มา เราช่วย”
มัลลิกาช่วยเจรมัยหอบสมุดโน้ตเพลง แล้วเดินออกไปด้วยกัน
ผีสร้อยพีมองตามด้วยแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทถึงขีดสุด
เมื่อในอดีต สร้อยพีเดินถือขันน้ำฝนเข้ามาหยุดยืนตรงมุมบ้าน ตั้งใจจะเอาน้ำมาให้เที่ยงที่กำลังต่อกลอนร้องตะลุงอยู่ สร้อยพีเห็นว่าเที่ยงมีความหนักใจเกี่ยวกับการแสดงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ
เที่ยงถือดินสอมองดูกระดาษในมือ ยังเขียนอะไรไม่ออกเลยซักประโยค เอาแต่หวนคิดถึงคำขู่ของมณฑา
“ฉันบอกไว้ก่อนนะ ถ้าคืนวันงาน พวกตะลุงของพวกเธอทำให้ฉันขายหน้าต่อหน้าแขกล่ะก็ พวกตะลุงทุกคนต้องชดใช้”
สร้อยพีดูออกว่าเที่ยงรู้สึกอย่างไร ขยับตัวจะเดินเข้าไปหา แต่ยังไม่ทันถึง เที่ยงก็หันไปมองการมาถึงของใครบางคน สร้อยพีมองตามไปถึงได้รู้ว่า คนที่มาหาเที่ยงคือมาลี สร้อยพีหน้าตึง ไม่พอใจนักที่ได้เห็นแบบนั้น
เที่ยงเป็นฝ่ายลุกไปหามาลีด้วยท่าทีนอบน้อมตรงนอกชานบ้าน
“คุณมาลี”
“ฉันมาขอโทษ”
“เรื่องอะไรหรือขอรับ”
“เรื่องที่พี่มณฑาต่อว่าพวกเธอ”
“ผมไม่กล้าถือโทษหรอกครับ กระผมเองก็ผิดจริงๆ คุณมาลีไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”
“อืม จ้ะ แล้วนี่เที่ยงทำอะไรอยู่ฉันมากวนหรือเปล่า”
“ไม่ได้ทำอะไรเลยขอรับ”
เที่ยงยิ้มแห้งๆ ชูดินสอและกระดาษให้มาลีดู
“ตั้งใจจะเขียนกลอน สำหรับงานแสดงที่จะถึง แต่แต่งไม่ออกเลย กังวลไปหมด กังวลว่า คนพระนครจะชอบอย่างที่คนนครฯชอบมั้ย แล้วที่สำคัญ…”
มาลีพอเดาออก “เรื่องพ่อค้าฝรั่งใช่มั้ย”
“ขอรับ ลึกๆ ผมเองก็เจ็บใจตัวเอง ที่ไม่น่ารับปากงานแสดงนี้เลย เหมือนพาตัวเองมาหาเรื่องเองแล้วจะแย่ไปใหญ่ เพราะงานมันใหญ่เกินตัวพวกกระผมจริงๆ กระผมกลัวว่าจะทำให้ครอบครัวคุณมาลี ต้องขายหน้าไปด้วยขอรับ”
“แล้วเที่ยงมีความคิดว่าอย่างไร จะหนีงานเหรอ”
เที่ยงตอนทันที “ผมไม่ทำแบบนั้นแน่นอนขอรับ”
มาลียิ้มพอใจกับคำตอบ แต่เที่ยงไม่เห็นภาพนั้น เพราะมัวนิ่งคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง
สร้อยพีมองทั้งสองคนอยู่โดยไม่วางตา
“ดีแล้วเที่ยง...มันเหมือนคำฝรั่งที่ว่า The show must go on”
เที่ยงเงยหน้าขึ้นมาสบตาคุณหนูมาลี และคิดอะไรได้บางอย่าง มาลีมองเที่ยงอย่างค้นหาคำตอบว่า เหตุใดเขาถึงมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งแบบนั้น
ในจังหวะนั้นเองสร้อยพีก็แทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างสองคน ทำเป็นนำแก้วน้ำดื่มมาให้มาลี
“น้ำค่ะ คุณมาลี”
“ขอบคุณมากเลยนะสร้อยพี”
มาลีรับแก้วน้ำไว้ สร้อยพีขยับเข้าไปยืนใกล้ๆ เที่ยง
“ส่วนในขันนี้ พี่เที่ยงดื่มกับสร้อยพีแล้วกันเนอะ”
“ได้ซิ” เที่ยงรับขันน้ำฝนไปดื่ม
มาลีดื่มน้ำจากแก้วโดยไม่ถือสาหรือรังเกียจอะไร และแว่บนั้นเธอก็รับรู้ได้ถึงการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในตัวเที่ยงของสร้อยพี
“งั้นฉันไม่กวนแล้วดีกว่า เผื่อว่าเที่ยงจะคิดงานออก”
เที่ยงวางขันน้ำลง แล้วคว้ากระดาษดินสอ เดินตามมาลีไปเฉยเลย
สร้อยพีทั้งเสียหน้าและเสียความรู้สึกที่เที่ยงเมินเฉยไม่สนใจใยดีเธอ
“คุณมาลีขอรับ พูดคำฝรั่งเมื่อกี้ให้ฟังหน่อยซิขอรับ”
มาลีมองเที่ยงอย่างสงสัย สร้อยพีขึงตามองมาลีอย่างไม่พอใจ ก่อนจะคว้าขันน้ำขึ้นมาแล้วสาดน้ำทิ้งลงพื้นระบายอารมณ์
มัลลิกากลับถึงออฟฟิศ เดินเข้ามาในห้องน้ำ ถอดวางเหรียญนาฏลงตรงขอบอ่างล้างหน้า ส่วนตัวเองก็เตรียมล้างหน้าล้างตา
ในมิติเร้นลับ ผีสร้อยพีได้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเธอ ทันทีที่เหรียญนาฏนั้นพ้นตัวไป ตะโกนก้อง ข่มขู่คุกคาม
“อยู่ให้ห่างจากพี่เที่ยง”
มัลลิกาคว้าเหรียญนาฏมากำไว้ในมือ พาตัวเองหนีออกมาโดยเร็ว ขณะที่มัลลิกาวิ่งหนีมาตามทางเดินในออฟฟิศนั้นเอง ความรีบร้อนทำให้เธอพลาดล้มลงจนได้ ร่างถลาเข้าสู่ทางตันของมุมมืดของออฟฟิศ จู่ๆ มีมือของใครบางคนยื่นมาจับเธอไว้
มัลลิกากรี๊ดสุดเสียง “แอร๊ย.....”
เช้าวันต่อมาที่อีกฟากหนึ่ง พีทหมอผีเพื่อนของภาค ลืมตาขึ้นฉับพลัน ในขณะที่นั่งอ่านตำราโบราณ เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงจิตอาฆาตแค้นของผีสร้อยพี ในมือของหมอพีทมีภาพถ่ายตัวตะลุงหญิงของเจรมัยอยู่ในมือ พีทรีบกดโทรศัพท์หาภาค รอสายไป เปิดหีบหนังเก่าที่ด้านในมีอักขระโบราณ และ โหลแก้วปิดปากด้วยผ้ายันต์ ราว 4 โหลที่ยังว่างอยู่ในที่สุดภาคก็รับสาย
“ฮัลโหลภาค ตอนนี้เหมาะที่สุดแล้วอีผีนั่น ผีที่มันรังควาญมึงตอนนี้มันอ่อนแรง มึงไปจัดการมันให้ที ตอนนี้เลย”
ภาคอยู่ที่กองถ่ายเอ็มวี คุยสายกับหมอผีพีท “อะไรของมึง พีท แล้วไมกูต้องไปจัดการมันให้มึงด้วยเนี่ย มึงมีไรกับผีตัวนั้นเหรอ
“กู อยากได้ มาเก็บเป็นคอลเล็คชั่น ผีอีเนี่ย แม่งแรงไม่เบา ผีสร้อยพี ใช่มั้ย ชื่อยากชิป”
“ใช่เวลามั้ยมึง แค่นี้นะ กูกำลังจะถ่ายเอ็มวี เดี๋ยวมึงพ้นกำลังหมดดวงตกเมื่อไหร่ มึงค่อยออกมาจัดการมันเองดีกว่า แค่นี้มึง กูจะถ่ายแล้ว”
พีทยังไม่ทันพูดต่อ สายก็ถูกตัดไปซะดื้อๆ แต่พีทก็ไม่ได้แยแสเท่าไหร่
“สร้อยพี เธอนี่มันแรงจริงๆ น่าเอามาสะสมชะมัด หึ เดี๋ยวเราได้เจอกันแน่”
พีทมองที่หีบตรงหน้าอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย
ที่กองถ่ายเอ็มวี ภาควางสายจากพีทหันมาลุยงานต่อ เจรมัยยืนมองภาคอยู่พักหนึ่งแล้วอดถามไม่ได้ว่าภาคคุยกับใคร
“คุยกับใครเหรอพี่”
“พีท เพื่อนเก่าพี่ มันอยากได้ของสะสมน่ะ”
“แล้วมีไร หรือเปล่าพี่”
“ไม่มีๆ เอ๊ย มีๆ พีทเพื่อนพี่เนี่ยมันเป็นพวกมีทาเลนท์เรื่องวิญญาณ มันโทร.มาบอกว่า วันนี้กองถ่ายเราจะไม่มีผีมาป่วนแน่นอน”
เจรมัยงงๆ “แค่เนี้ยเองเหรอครับ”
“อืม เรื่องผีน่าจะหมดห่วงแล้ว เหลือแต่เรื่องคน โน่น น่านมาแล้ว...แคท”
ภาคบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง เจรมัยมองตาม เห็นแคทลียาเดินนวยนาดเข้ามา ท่ามกลางความวุ่นวายของกองถ่าย เจ้าหล่อนตรงดิ่งไปหาผู้กำกับทันที
“สวัสดีค่ะพี่ผู้กำกับ เป็นไงบ้างคะพี่”
“ก็…”
ผู้กำกับฯ ยังไม่ทันได้ตอบ แคทลียาก็หันไปเห็นเป้าหมาย เด้งตัวลุกเดินไปหาเจรมัยทันควัน
“พี่เจ อยู่นี่เอง พี่เจ มากี่โมงคะเนี่ย แคทไม่ได้มาสายใช่มั้ยคะ”
“นัดมาก็ตรงเวลาแล้วนี่ พี่มาเร็วเองแหละ”
เจรมัยหันไปหยิบน้ำขวดให้
“อ่ะ น้ำ เช้ามาต้องดื่มน้ำเยอะๆ”
“ขอบคุณนะคะพี่เจ”
แคทลียารับน้ำมาดื่ม แต่แล้วพอหันไปเห็นนักข่าวที่นัดไว้เดินเข้ามา เจ้าหล่อนก็หยุดดื่มน้ำ ปิดฝาขวดส่งคืนให้เจรมัย เล่นเอาเขางงไม่เข้าใจว่าแคทลียาเล่นอะไร
“พี่เจ ส่งน้ำให้แคทอีกทีนะ...นะ”
“หะ...หะ” เจรมัยงง
“นะ...นะ” แคทลียาอ้อน
“ได้ๆ อ่ะ”
เจรมัยส่งน้ำขวดให้อีกที แคทลียาดูดีใจกว่าครั้งแรก
“ขอบคุณนะพี่เจ พี่เจนี่เป็นห่วงแคทตลอดเลยนะ”
มีนักข่าวกดชัตเตอร์แชะภาพไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เจรมัยแปลกใจเพราะตั้งหลักไม่ทัน แต่ก็รู้ว่าแคทลียาจัดฉากอีกแล้ว
“อุ๊ย พี่นักข่าวมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
นักข่าว1 ถาม “นี่คุณสองคนเคลียร์กันแล้วหรือคะ”
“เอ่อ แคทไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า”
นักข่าว 1 รีบเดินตาม จี้ถามเอาคำตอบจากแคทลียาที่กำลังเดินหนีไปแต่งหน้า
“เดี๋ยวๆ คุณแคทคะ”
ระหว่างที่แคทลียาเดินไปสวนทางกับภาคพอดี หล่อนแอบยักคิ้วให้ ภาคดูรูปการณ์ก็เก็ตว่า เป็นแผนของยัยแคทอีกแล้ว
ภาคเดินไปหาผู้กำกับ
“คุณผู้กำกับ นี่เราจะเริ่มกันซักกี่โมงครับ”
“ก็ซักครู่ครับ รอนักดนตรีอีกคน”
“อ๋อ นักดนตรีตาบอดใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
ในอดีตมีการเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงตะลุง ที่เรือนแถวที่พักชาวคณะตะลุง นายโพนกำลังปรับแต่งเสียงปี่อยู่สองสามโน้ต ก่อนจะวางลงในกล่องเครื่องดนตรี ตอนนี้ทุกคนในคณะกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมของ เตรียมเครื่องดนตรี เพื่อออกไปแสดงในคืนนี้ พยอมกับสร้อยพีห่อข้าวลงสำรับ สนเข้ามาช่วยพยอมอีกแรง ส่วนทองกรึ๊บเหล้าดองยาไปเต็มอึก แล้วรีบซ่อนไหทันทีกลัวคนอื่นมาเห็น โดยเฉพาะอาโพน
เที่ยงจัดเรียงตัวตะลุง หลายตัวลงกล่องอยู่อีกมุม
ระหว่างนี้มารศรีทำทีเป็นเดินผ่านเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ถามเที่ยง
“นายเที่ยง เป็นไงบ้าง ฉันมาเก็บค่าเช่าบ้าน ผ่านมาแถวนี้ ก็เลยแวะมาให้กำลังใจ สำหรับคืนนี้”
“งั้นหรือขอรับ กระผมต้องขอบคุณคุณหนูมารศรีแทนพี่น้องในคณะผมด้วยนะขอรับ”
กิ่งส่งชะลอมส้มให้มารศรีส่งต่อให้เที่ยง
“อ่ะนี่ฉันเอามาฝาก ส้มจากเมืองเชียงใหม่เชียวนะ หลายราคาอยู่ ไว้แบ่งกันนะ”
เที่ยงไหว้ขอบคุณ “ขอรับๆ ขอบคุณขอรับ คุณหนูมารศรี”
เห็นสร้อยพีเดินผ่านมาพอดี มารศรีจึงเรียกทัก
“สร้อยพี สร้อยพีจ๊ะ”
“เจ้าคะ”
สร้อยพีเดินเข้ามาหามารศรี
“นี่ๆ ส้มฉันเอามาฝากพวกเธอ ส้มจากเมืองเชียงใหม่เลยนะ”
“ขอบพระคุณคุณหนูมารศรีมากๆ เลยนะเจ้าคะ”
“ไม่เอา ไม่ต้องเรียกคุณหนูแล้ว เรียกเราศรี เฉยๆ ก็ได้ เรียกแบบนั้นมันดูห่างเหินกันไปหน่อยนะสร้อยพี”
เที่ยงยิ้ม รู้สึกดี สร้อยพีก็เช่นกัน
“เที่ยงก็ด้วยนะ ห้ามเรียกฉันคุณหนูแล้วนะ”
“ขอรับคุณหนู เอ๊ย คุณศรี”
สร้อยพีหัวเราะขำเที่ยงที่พูดผิดพูดถูก
สร้อยพีเดินมาส่งมารศรี มีกิ่งเดินตามหลังมาห่างๆ สร้อยพีไหว้ลา มารศรีจับต้นแขนสร้อยพีอย่างกันเองโดยไม่ถือตัว สร้อยพีหลงเชื่อยิ้มดีใจ
พอมารศรีเดินพ้นสายตาสร้อยพีมาแล้ว ก็รีบเอาผ้าเช็ดมือมาเช็ดถูมือข้างที่จับแขนสร้อยพีอย่างรังเกียจ กิ่งเห็นทุกอย่างแต่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ได้
พยอมเดินเข้ามาหาสร้อยพี
“เป็นไงบ้างแก คุณหนูเค้ากลับแล้วเหรอ”
“ใช่ พยอม แกว่ามั้ยว่าคุณหนูมารศรีเนี่ยใจดีที่สุดในสามพี่น้องเลยว่ามั้ย ทั้งเป็นกันเอง ทั้งไม่ถือตัวแล้วนี่ก็เอาส้มจากเชียงใหม่มาฝากพวกเราอีกนะ”
“จริงเหรอ ใจดีจัง เคยได้ยินว่า ส้มเมืองเชียงใหม่หลายบาทอยู่เชียวนะ”
“ใช่น่ะซิ แล้วคุณมารศรีก็สั่งไว้อีกว่า ต่อไปให้เรียกคุณศรีเฉยๆ ได้ จะได้ฟังดูไม่ห่างเหินกันมาก”
“โห ดีจัง”
สนตะโกนมาแต่ไกล
“เฮ้ย ทำไรอยู่สองคน มาๆ จัดของเสร็จแล้ว เตรียมไปกันได้แล้ว”
เจรมัยตะโกนบอกทีมงานว่า “ครับ ผมพร้อมแล้วครับ”
ทีมงาน1 มาตามเจรมัยให้ไปยืนทดสอบแสงในเฟรม เจรมัยลุกตามออกไปด้วยความกระฉับกระเฉง ทีมงาน1 พาเขาเข้าไปนั่งบนเก้าอี้สูงที่เซ็ตไว้หน้ากล้อง ทีมงาน 2 ส่งกีต้าร์ให้เจรมัย
ทีมงานสองคน และ ผู้กำกับที่อยู่หน้ามอนิเตอร์ เช็คดูจนทุกอย่างโอเคแล้ว
ภาคอยู่หน้ามอนิเตอร์ แชร์ความคิดเห็นเรื่องลุคของเจรมัยกับผู้กำกับ
ระหว่างนี้ ว.วิทยุสื่อสารของทีมงาน 3 ที่อยู่ใกล้ๆ ผู้กำกับก็ดังขึ้น ทีมงานหันมาแจ้งกับผู้กำกับ
“ตอนนี้ลุงนักดนตรีตาบอดมาถึงแล้วนะครับ ให้ผมพาไปห้องแต่งตัวก่อนมั้ยครับ หรือจะให้พาไปหาพี่ผู้กำกับก่อนดีครับ”
“บอกเค้าไปว่า ไปห้องแต่งตัวก่อนได้เลยเดี๋ยวทางนี้ขอเก็บภาพเจก่อน”
“ครับๆ”
ทีมงาน3 เดินไปหาลุงพัฒน์ที่ยืนรออยู่มุมหนึ่ง
“คุณลุงครับ เชิญครับ เดี๋ยวผมพาไปห้องแต่งตัวก่อนนะครับ ทางนี้ครับ จับบ่าผมก็ได้นะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ลุงมีไม้เท้า อีกอย่างลุงไม่ได้บอดสนิท พอเห็นแสงบ้าง เพีงแต่ไม่เห็นรูปร่างเท่านั้นเอง”
“อ๋อครับ อย่างนี้นี่เอง”
ทีมงานพาลุงพัฒน์มาที่ห้องแต่งตัว ซึ่งในนั้นมีแคทลียานั่งคุยกับนักข่าวอยู่แล้ว พอเห็นลุงพัฒน์เข้าดาราไฮโซคนสวยก็รีบลุกเข้าไปหา กะสร้างภาพแสนดีเต็มที่
“คุณลุงพัฒน์ พี่นักข่าวคะ คุณลุงคนนี้แคทหามาเองเลยนะคะ”
ลุงพัฒน์ทักทาย “คุณแคทนี่เอง สวัสดีครับ”
“ลุงจำแคทได้ด้วย” แคทลียายิ้มระรื่น
“ได้ซิครับ เสียงคุณแคทมีเอกลักษณ์น่ะครับ”
ช่างภาพเข้ามาถ่ายรูปคู่แคทลียากับลุงพัฒน์อยู่สองสามภาพ
ในอดีตแสงแฟลชจากกล้องของช่างภาพสว่างวาบขึ้น เป็นการบันทึกภาพของท่านเจ้ากรมท่าเรือ กับคณะพ่อค้าชาวตะวันตกที่ยืนเรียงกันสลอนใบหน้ายิ้มแย้มอยู่หน้าลานแสดงในบริเวณบ้านคหบดีโสภณ
ช่างภาพร้องขออีกภาพ
“กระผมขออีกรูปนะขอรับท่านเจ้ากรมท่าเรือ”
“ได้ซิ แต่คราวนี้คุณโสภณมาถ่ายด้วยกันนะ มากันทั้งครอบครัวเลย มาๆ”
ท่านโสภณเดินเข้ามาสมทบ พร้อมด้วยธิดาทั้งสาม มณฑา มารศรี และ มาลี
ท่านเจ้ากรมเหลียวไปมองมาลี “เอ๊ะ นี่หนูมาลีใช่มั้ยเนี่ย แต่งแบบนี้ซิ ดูสวยกว่าเดิมเยอะเลย มาๆ ถ่ายรูปกันก่อน”
มณฑาไม่ค่อยพอใจนักที่ท่านเจ้ากรมชมมาลีต่อหน้าคนอื่นๆ ช่างภาพถ่ายภาพอีกครั้ง พอถ่ายเสร็จ พวกพ่อค้าฝรั่ง มีบ่าวพาเดินนำเข้าไปในงาน
เจ้ากรมท่าเรืออยู่กับท่านโสภณและลูกสาวทั้งสาม
“งานดูดีมากเลยนะคุณโสภณ อย่างนี้ซิ ถึงเป็นหน้าตาเป็นตาของกรมการค้าของเราได้”
“ขอรับ งั้นเชิญท่านเข้าด้านในดีมั้ยครับ
“เดี๋ยว โสภณ”
ท่านเจ้ากรมจับแขนของท่านโสภณแตะเบาๆ แล้วพูดบางสิ่งในทีท่าทีจริงจัง
“พวกเราคาดหวังกับงานนี้ค่อนข้างมาก เพราะบริษัทเดินเรือฝรั่งคณะนี้ อาจจะย้ายฐานจากปีนังทั้งหมดมาบ้านเรา นั่นแสดงว่า บ้านเมืองเราก็จะมีโอกาสพัฒนามากขึ้น เข้าใจนะโสภณ”
“เรื่องนี้กระผมและลูกๆ เข้าใจดีขอรับ”
“ใช่เจ้าค่ะ เรื่องสำรับอาหารที่รับรองทั้งหมด ดิฉันดูแลเป็นอย่างดี เป็นไปในแบบตะวันตกนิยมทั้งหมดรับรองได้เจ้าค่ะ” มณฑาบอก
ท่านเจ้ากรมยิ้มร่า “ดีๆ เราเชื่อมือหลานมณฑาอยู่แล้วสำหรับเรื่องอาหารการกิน”
“ยินดีเจ้าค่ะ เพื่อให้บ้านเมืองเราเป็นไปตามนโยบายรัฐ ดิฉันไม่ยอมให้เกิดการผิดพลาดแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ดี” ท่านเจ้ากรมยิ้มพอใจ
จากนั้นท่านเจ้ากรมเดินเข้าไปในงานพร้อมกับท่านโสภณ เหลือมณฑา มารศรีและมาลี ที่ยืนรอรับแขกอยู่ มณฑาเหลือบตามองมาลีอ่านออกว่าตอนนี้อีกฝ่ายเหมือนเริ่มกังวลใจ
“มาลี นี่ฉันไม่เคยเครียดเท่าคืนนี้เลยนะ เป็นเพราะหัวคิดโบราณๆ หนังตะลุงของเธอแท้ๆ”
มาลีนิ่งเงียบ พยายามไม่เก็บเอาคำพูดดูถูกของมณฑามาคิด รวมทั้งสายตายิ้มเยาะของมารศรีเองก็เช่นกัน เพ็ญเป็นห่วงขยับเข้ามาหามาลี
“คุณมาลีคะ”
“ไม่เป็นไรเพ็ญ”
“ค่ะ เพ็ญก็ว่าอย่างนั้น ไม่ว่าโดนพี่ทำแบบนี้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณก็ไม่เคยเป็นไรซะที” เพ็ญโมฌหแทน
“แล้วจะเป็นไรไปทำไม เราเปลี่ยนคนอื่นมันยากนะเพ็ญ แต่เราพิสูจน์ตัวให้คนอื่นเห็นซิ มันง่ายกว่า”
“เป็นเพ็ญไม่รอพิสูจน์แล้วนะเจ้าคะ”
มาลีปราม “ไงเค้าก็พี่ฉันนะ”
“ค่ะ อุ๊ย ขอโทษเจ้าค่ะ เกือบลืมเลย ว่าจะบอกว่า ตอนนี้คณะนายเที่ยงจัดแจงทุกอย่างพร้อมแล้วนะเจ้าคะ”
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะเดินไปดูความเรียบร้อยซะหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
มาลีออกเดินไป เพ็ญเดินตามหลังไปติดๆ
ทีมงานหญิงร้องเรียกขึ้น “พี่เจคะ”
เจรมัยเงยหน้าจากกีต้าร์ เหลียวมองหาว่าใครเรียกตน จนเห็นก็เป็นทีมงานหญิงคนนั้น
“ครับ”
“พี่เจ ออกมาพักก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวของแก้แสงอีกทีนึงก่อน”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งให้เทียบแสงตรงนี้ดีกว่า”
“อ๋อ ได้ค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ”
เจรมัยนั่งดูทีมงานจัดแสงไป ตาก็คอยมองหามัลลิกาไปด้วย สักครู่หนึ่งภาคจึงเดินเข้ามาหา จับสังเกตเห็นว่าเจรมัยมองหาใครบางคนอยู่
“มองหาใครอยู่เหรอ”
“อืม พี่เห็นมะลิบ้างมั้ยครับ คือมะลิบอกว่าวันนี้จะมา แต่ตอนนี้ผมยังไม่เห็นเลย”
“เหรอ เอ...ไม่เห็นอ่ะ สงสัยไม่มาแล้วมั้ง หรืออาจจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า วันนี้มีแคทหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ เค้ารับปากแล้วว่าเค้าจะมา เค้าก็น่าจะมา หรือถ้าจะไม่มาก็น่าจะโทร.บอกกันบ้าง”
“แล้วนี่โทร.ไปหาเค้าหรือยังล่ะ”
“โทร.แล้วครับ แต่มันติดต่อไม่ได้เหมือนแบตจะหมด แต่เมื่อคืน ก็ยังคุยกันตรงนี้อยู่เลย จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ”
“เอาๆ อย่าพึ่งคิดมาก ตั้งใจถ่ายงานก่อน ส่วนเรื่องมะลิยังไง เดี๋ยวพี่ช่วยตามเอง โฟกัส เจ โฟกัส”
อีกฟากหนึ่ง โต๊ะทำงานมัลลิกาว่างเปล่า เจนจิรานั่งทำงานอยู่ครู่หนึ่ง ก็เพิ่งสังเกตว่ามัลลิกาไม่มาทำงาน มีพนักงานคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เจนจิราจึงมีโอกาสถาม
“เธอ วันนี้เห็นมะลิมาทำงานมั้ย”
“ตั้งแต่เช้า...ยังไม่เห็นมาเลยค่ะ”
เจรมัยเดินออกมาหาน้ำดื่ม และถือโอกาสนี้โทร.หามัลลิกา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ดังเดิม จนเมื่อวางสาย เขาก็ได้ยินใครบางคนเล่นกีต้าร์อยู่ตรงมุมหนึ่งของสตูดิโอ เรียกร้องความสนใจให้เขาเดินไปดู
เป็นลุงพัฒน์นั่นเอง ที่กำลังเล่นกีต้าร์เบาๆ อยู่คนเดียว
เมื่อเจรมัยเดินเข้าไปใกล้ ลุงก็หยุดเล่นทันที เพราะเกิดภาพนิมิตขึ้นมาในหัวแก เจรมัยไม่เข้าใจคิดว่าลุงจะเป็นลมจึงรีบเข้าไปประคอง
“คุณลุง คุณลุงเป็นลมเหรอครับ มาๆ ผมพาไปนั่ง”
ลุงพัฒน์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “คุณ คุณคือคนในนิมิตของผม”
พร้อมกับว่าลุงพัฒน์คว้าแขนเจรมัยจับไว้แน่น
“อะไรนะลุง”
“ผมเคยเดินผ่านคุณที่โรงพยาบาล แล้วครั้งนั้น มันทำให้ผมนิมิตชัดขึ้น”
“ผมว่าผมเคยพบคุณลุงในภาพอดีต”
เจรมัยเพ่งมองลุงพัฒน์ชัดๆ แล้วมั่นใจว่าเคยเจอกัน จำได้ว่า ลุงพัฒน์คือนายโพนในนิมิตของเขานั่นเอง
เวลาผ่านไป เจรมัยนั่งคุยอยู่กับลุงพัฒน์มาประมาณหนึ่งแล้ว
“ลุงก็คือคนที่ไปบ้านยางนอนก่อนผมนี่เอง”
“ครับ ลุงอยู่อย่างไม่ปกติมาหลายปี เพราะภาพอดีต ลุงเห็นภาพตัวเองเฆี่ยนตีเด็กผู้หญิง และก็เห็นอีกว่าเด็กผู้หญิงคนเดิมถูกลุงจับขังไว้ในห้อง แล้วก็เห็นว่า ลุงใช้มีดเฉือนเธอลุงไม่เข้าใจ ว่า มันคืออะไร มันทรมานที่อยู่กับภาพแบบนี้”
“ผมนึกไม่ออกเลยครับว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะถ้าลุงคืออาโพน อาผมในอดีต ที่จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนใจดี แทบจะเรียกว่าเป็นพ่อของทุกคนในคณะได้เลย”
ลุงพัฒน์คิดไม่ตก “งั้นเหรอ แล้วมันเพราะอะไร”
ระหว่างนี้แคทลียาเดินเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาทางนี้ เจรมัยหันไปเห็นเลยต้องรีบบอกลุงพัฒน์ว่า
“ลุงครับ เดี๋ยวจบงานแล้วเราค่อยหาโอกาสคุยกันดีกว่านะครับ เรื่องที่เราคุยกัน ถ้าแคทได้ยินเข้า ผมกลัวจะกลายเป็นเรื่องวุ่น”
“ครับ คุณเจรมัย”
แคทลียาเดินมาถึง
“พี่เจ....นี่เจอลุงพัฒน์แล้วเหรอคะ”
“ครับ”
“พี่เจคะ เรื่องลุงพัฒน์เนี่ย ฝีมือแคทเองเลยนะ ในเมื่องานนี้จะเป็นการระดมทุนเพื่อผู้พิการทางสายตา ในเอ็มวีก็ควรจะมีภาพนัดดนตรีตาบอด แล้วที่สำคัญ แคทเป็นคนไปชวนลุงพัฒน์มาเองกับมือเลยนะคะ ใช่มั้ยคะลุง”
“ใช่ครับ” ลุงบอก
“เห็นไหมคะ ว่าแคททุ่มเทขนาดไหน เพื่องานขอพี่เจเลยนะเนี่ย”
“ครับแคท”
“แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ แคทคุยด้วยได้รึเปล่า”
“อ๋อ...ไม่มีไรครับ เราก็คุยกันเรื่อยเปื่อย”
“เหรอคะ แหม บอกแคทได้นะ เผื่อแคทจะช่วยอะไรได้ไง”
“ไม่มีไรหรอก แค่แคทช่วยเรื่องเอ็มวีนี้ก็สุดๆ แล้ว ปะ พี่ว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่านะ”
“ก็ได้ค่ะ ไปค่ะ ลุงพัฒน์ เดี๋ยวแคทช่วยพาไปเองนะคะ”
แคทลียาคล้องแขนลุงพัฒน์ พยายามทำให้พี่เจเห็นความมีน้ำใจแสนดี เจรมัยยิ้มให้เป็นทีว่ารับรู้
เวลาการแสดงใกล้เข้ามาทุกขณะจิต เที่ยงปรับตะเกียงเจ้าพายุให้ไฟส่องจอจนนิ่งไม่ขยับ แล้วพนมมือไหว้ นำทีมตะลุงทั้งหมดที่นั่งถัดจากเขา ไหว้ครูและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ ทุกคนกล่าวตามอย่างพร้อมเพรียง
มาลีกับเพ็ญมาถึงพอดี เห็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวตะลุงก็พากันลงนั่งร่วมพนมมือไหว้ไปด้วย มาลีมองเที่ยงอย่างชื่นชม
เมื่อเสร็จสรรพ ลูกคณะก็ก้มกราบพร้อมกับเที่ยงทุกคน
เพ็ญยกมือไหว้เหนือหัวสูงกว่าทุกคน เพราะอดกังวลไม่ได้ว่า การแสดงคืนนี้มันเหมือนการชี้ชะตาคุณหนูมาลีของเธอ รวมทั้งเที่ยงและชาวคณะ
“ด้วยบุญกุศล วาสนา ฟ้าลิขิต หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอดลบัลดาลให้การแสดงคืนนี้ลุล่วง
ถูกใจฝรั่ง ถูกใจทุกเจ้านายด้วยเถิด สาธุ”
มาลีเห็นและรับรู้ถึงความปรารถนาดีของเพ็ญ ส่วนตัวเธอเองก็พนมมือไหว้ก่อนจะจรดอธิษฐานในใจว่า
“ขอให้การแสดงคืนนี้อย่าได้มีอุปสรรคเลย สาธุ”
นายโพนขยับตัวเข้าไปหาเที่ยงจับบ่าให้กำลังใจ
“เต็มที่เลยนะเที่ยง อาเชื่อว่าเอ็งทำได้”
ทองวางท่าจริงจัง อวยพรน้อง “เต็มที่เลยไอ้น้อง และไม่ต้องกังวลเรื่องวงนะ ไอ้สน อีพยอม กับทุกคนวันนี้พร้อมมาก ที่สำคัญคืนนี้พี่ไม่เมา”
นายโพนเหล่มองที่เห็นทองเอาจริงเอาจังกับงานก็เป็น
เที่ยงพยักหน้ารับเอาคำของทุกๆ คน
สร้อยพีขยับเข้ามาใกล้ๆ ยิ้มให้
“พี่เที่ยง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สร้อยพีจะอยู่ข้างพี่เสมอนะ”
“ขอบใจมากสร้อยพี”
เที่ยงตั้งสติ เตรียมเริ่มเปิดการแสดง มาลีเห็นว่าได้จังหวะจึงเดินเข้าไปหาเขา สร้อยพีประหลาดใจที่เห็นมาลีมาถึงหลังเวที
“เที่ยงฉันเอานี่มาให้นะ”
มันเป็นกระดาษจดข้อความบางอย่าง แผ่นขนาดฝ่ามือถูกพับมิดชิด สร้อยพีเพ่งมอง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เหมือนเป็นเรื่องที่รู้กันเพียงสองคน
“ขอบพระคุณมากๆ เลยขอรับ”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย”
เที่ยงมองหน้าขอบคุณคุณหนูมาลี ส่วนมาลีก็มองตาให้กำลังใจเที่ยงเช่นกัน เหตุการณ์ทั้งหมด ถูกสร้อยพีมองจ้องด้วยความคลางแคลงใจ
มาลีออกจากหลังเวทีเดินไปตามทางเดินพร้อมกับเพ็ญ โดยไม่รู้ตัวว่าสร้อยพีกำลังเดินตามหลังมา ก่อนที่สร้อยพีจะถึงตัวมาลี ก็ถูกพยอมดึงแขนห้ามไว้ก่อน
“เฮ้ย จะทำอะไร”
“ก็อยากจะถามให้รู้เรื่องว่า เอาอะไรมาให้พี่เที่ยง มันธุระอะไรต้องมายุ่งกับการแสดงของพวกเรา”
พยอมหนักใจ “เฮ้ย แต่ฉันว่า ถามไปก็ไม่เกิดประโยชน์ อะไรล่ะมั้ง เขาคงไม่ได้มีอะไรหรอก”
“นั่นมันเธอคิดพยอม ใจกว้างแบบนี้ จะไปทันคนบางกอกเค้าได้ยังไง ไม่ได้ฉันต้องรู้ให้ได้”
สร้อยพีสะบัดเต็มแรงจนหลุดจากพยอม แล้วเดินดิ่งไปหามาลี ที่ตอนนี้ยืนคุยอยู่กับแขกอื่นในงาน
แต่พอจะถึงตัวสร้อยพีก็ถูกฉุดเอาไว้อีกครั้ง เธอฮึดฮัดเข้าใจว่าเป็นพยอม แต่เมื่อหันไปมองจึงพบว่าเป็นนายโพนซึ่งขึงตามองอย่างไม่ค่อยพอใจที่สร้อยพีเสียมารยาทแบบนี้
“พ่อ”
“กลับได้แล้ว เราจะต้องแสดงแล้ว”
สร้อยพีอิดออด “คือ...”
“ไป กลับ”
สร้อยพีไม่พอใจนักที่ถูกพ่อเสียงแข็งใส่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ นายโพนเริ่มหนักใจเป็นทวี เมื่อรับรู้ถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปของสร้อยพี
โดยบังเอิญมาลีหันมาเห็นสองคนพอดี เธอยิ้มให้สร้อยพี แต่ฝ่ายนั้นกลับทำหน้านิ่งขึงฟ้องว่าไม่พอใจเธอ
มารศรีมาได้จังหวะ และเห็นเหตุการณ์นั้นจึงเข้ามาหาทักถามสร้อยพี
“มีอะไรกันเหรอสร้อยพี”
“คุณศรี...คือสร้อยพี”
“ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เราดูออก เดี๋ยวเราไปจัดการมาลีเอง ตอนนี้สร้อยพีไปตั้งใจแสดงดีกว่านะ”
สร้อยพีหลงคำลวงของมารศรีอีกจนได้ “ขอบคุณคุณศรีมากๆ เลยนะจ๊ะ”
“จ้ะ” มารศรีทำเป็นถอนใจ “มาลีเนี่ยทำไมถึงชอบทำนิสัยแบบนี้ก็ไม่รู้ เฮ้อ ฉันล่ะกลัวมาลีจะล้มงานแสดงนี้จริงๆ”
สร้อยพีอึ้งไป
ขณะที่ทองกำลังจัดเครื่องดนตรีเตรียมการแสดงอยู่กับสนนั้นเอง สายตาเขาก็มองไปเห็นว่า มีชายสามคนท่าทางแปลกๆ เหมือนพวกนักเลง กำลังเดินลัดเลาะมาทางนี้อย่างมีพิรุธ
ทองหันไปกระซิบถามสน “สน เอ็งดูนั่น ไอ้สามคนนี้มันดูพิรุธมั้ยวะ”
สนมองตาม “นั่นดิ ดูมันเดินหลบๆ เหมือนกลัวคนจะเห็นไงไม่รู้ หรือมันจะเป็นขโมย เพราะวันนี้พวกเจ้านายมาไม่น้อย”
“นั่นซิ ไปตามดูพวกมันหน่อยดีกว่า”
สนหันไปเรียกเด็กในคณะมาประจำที่หน้าเครื่องดนตรีแทนเขาสองคน
“ข้าฝากดูเครื่องหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”
“ถ้าอาโพนกลับมาก็บอกว่า ข้าสองคนเห็นคนมีพิรุธเข้ามาในงาน ได้ความแล้วจะรีบกลับ” ทองกำชับ
ลูกคณะพยักหน้ารับเอาคำ ทองกะสนจึงออกเดินตามนักเลงชาย 3 คน ไปห่างๆ
ชายนักเลงที่ดูออกว่าเป็นหัวหน้าทีม บอกให้อีกสองคนรอตรงนี้ ส่วนตนเองแยกไปคุยกับใครบางคน ซึ่งเป็นจุดที่ทองกะสนไม่เห็น ไม่นานชายหัวหน้าก็กลับมา
ทองกับสนรีบหลบวูบเพราะกลัวจะถูกจับได้
“เดี๋ยวทอง ไอ้หัวหน้ามันกลับมาแล้ว รอดูซิพวกมันจะมาทำอะไรกัน”
จากระยะที่อยู่ห่างกันไม่มาก สองคนได้ยินชาย1 หัวหน้าพูดกับลูกน้องสองคนว่า
“มึงสองคนรอดูสัญญาณจากกู พอคุณหนูให้สัญญาณมา กูก็จะบอกพวกมึงให้ลงมือเลย”
“เล่นมันตอนแสดงเลยใช่มั้ย” ชาย2 ถาม
“เออ ซิ ก็เค้าจ้างมึงมาล่มงาน มันก็ตอนนั้นซิไอ้ห่า” ชาย1ด่า
“แล้วเงินล่ะพี่” ชาย3 ทวงค่าเหนื่อย
“อ้าว นี่ของมึง แล้วนี่ก็ส่วนของมึง จำไว้ เอาให้พวกตะลุงม้วนเสื่อกลับใต้ไม่ทันเลยนะมึง”
ได้ยินเช่นนั้นสองคนก็รู้ทันทีว่า นักเลงพวกนี้คิดร้ายกับพวกตน ทองหันไปมองหน้าปรึกษาสน
“เอาไงดีวะสน”
“ไม่รู้ว่ะ คิดก่อน”
ทองคิดตามที่สนว่า แล้วหันไปมองชายทั้ง3 เพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันยังอยู่ที่เดิม แต่พอทองหันกลับมาหาสนอีกที ก็กลายเป็นว่าสนลุกพรวด พุ่งตรงเข้าไปหาชายทั้งสามคนแล้ว
“อ้าวไอ้ห่า ไหนบอกคิดก่อน”
ทองกระโจนตามไปเผชิญหน้าชายสามคน
“พวกมึง ตั้งใจมาล่มงานพวกกูใช่มั้ย ใครจ้างพวกมึงมา” สนถามเสียงดัง
“อ้าว ไอ้พวกตะลุง เสือกมาได้ยินซะนี่” ชาย1 หงุดหงิดปนเซ็ง
“ใครจ้างมึงมา ใคร คุณหนูไหน” ทองถาม
“ไม่ใช่ธุระมึง และไม่ใช่ธุระกูที่ต้องตอบมึง” ชาย1 พูดกวนตีน
“อ่าวไอ้ห่า” ทองยิ่งโมโห
“พวกมึงมาก็ดีแล้ว ก็จะได้จบงานง่ายขึ้น ดูซิว่า ตะลุงไม่มีนักดนตรีมันจะเล่นได้อยู่มั้ย”
ชายทั้งสามคนตอนนี้พวกมันมีคมแฝกอยู่ในมือหมดแล้ว ทองกับสนเห็นแบบนั้นแต่ก็ไม่หวั่นอะไร เพราะทั้งสองคนก็ต้องปกป้องพี่น้องคณะให้ได้ ชายสามคนโถมเข้าใส่ทองกับสน เปิดฉากต่อสู้ตะลุมบอนกันจนได้เลือดกันทั้งสองฝ่าย สุดท้ายทองกับสนเล่นงานชายทั้งสามคนจนพวกมันพากันวิ่งเตลิดหนีไป
ทองกับสนเองก็บาดเจ็บไม่น้อย รีบประคองสังขารพากันย้อนกลับไปที่หลังเวทีโดยเร็ว
ด้านมาลีเดินเข้ามานั่งข้างๆ ท่านโสภณ ที่อีกฝั่งมีมณฑาและมารศรีนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ไปไหนมาหรือมาลี”
“ไปดูความเรียบร้อยของคณะตะลุงค่ะพ่อ”
“อืม มาๆ นั่ง ตะลุงจะเริ่มแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะพ่อ เริ่มตอนนี้เลยค่ะพ่อ”
มณฑาหันมามอง ไม่วายเหน็บแนม “หวังว่าจะทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เธอรับปากนะมาลี ท่านเจ้ากรม ท่านหวังกับงานนี้ค่อนข้างมาก เธอรู้ใช่มั้ย”
“รู้ค่ะ ยังไง คณะตะลุงเค้าก็จะแสดงสุดความสามารถแน่นอน”
“แต่เอ ทำไมปี่กลองยังไม่ขึ้นอีกล่ะ เงียบจัง” มารศรีทำเป็นถาม
คนในงานนั่งรอการแสดง และเริ่มรู้สึกแปลกใจที่ตะลุงยังไม่เริ่มแสดงสักที
ท่านเจ้ากรมเองที่คุยอยู่กับฝรั่ง ต้องคอยแก้ต่างให้ เพราะฝรั่งเองก็ชักสงสัยว่าทำไมถึงไม่เริ่มซะที ท่านเจ้ากรมหันมามองท่านโสภณเพื่อหาคำตอบ คหบดีแม่งานเริ่มวิตก มาลีเองก็หน้าเสียรู้สึกไม่สบายใจ
มณฑากับมารศรียิ้มในสีหน้า รับรู้ว่าในที่สุด สิ่งที่พวกเธอวาดหวังว่างานนี้จะล้มเหลว มันกำลังเป็นจริง เพ็ญขยับเข้ามาใกล้ๆ คุณหนูมาลี
“คุณมาลี เดี๋ยวเพ็ญ จะรีบไปดูให้นะคะว่าเกิดอะไรขึ้น”
มาลีกังวลหนัก ในขณะที่มณฑายิ้มร้ายสะใจที่เห็นรูปการณ์เป็นแบบนั้น
นายโพนตื่นตระหนกตกใจที่พบว่าทองกับสนไม่ได้อยู่ประจำที่หน้าเครื่องดนตรี เที่ยง สร้อยพี และพยอมก็เช่นกัน
“อะไรนะ ทำไมไอ้สนไอ้ทองไม่อยู่”
“คือ พี่เค้า…” ลูกคณะกระอึกกระอัก จนมองไปเห็น “โน่นๆ ครับอา มาแล้วครับ”
ทองพกอาการบาดเจ็บเข้ามาพร้อมกับสน ทุกคนเห็นก็ยิ่งสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อาโพน มีคนมันจะล้มงานแสดงเรา” ทองบอก สนเสริมว่า
“ฉันกับทองไปเจอพวกมัน เลยต่อยกัน ตอนนี้พวกมันหนีไปแล้ว”
“ใคร มันเป็นพวกใคร”
ทองกับสนมองหน้ากันไม่รู้จะตอบไงดี
สร้อยพีคาดคั้น “ใครพี่ทอง พี่สน”
เพ็ญวิ่งมาถึงด้านหลังเวทีพอดี
“นี่พวกเธอทำไมยังไม่เริ่มงานอีก”
ทองนึกบางอย่างได้ เอ่ยขึ้นว่า “คนร้ายมันบอกแต่ว่า...คุณหนู”
สร้อยพีได้ยินก็สะดุดหู ย้อนคิดไปถึงคำพูดมารศรี ที่บ่นลอยๆ ว่า
“ฉันล่ะกลัวมาลีจะล้มงานนี้จริงๆ”
“จะมีอะไรอีกล่ะ ก็มีคนไม่อยากให้พวกเราแสดงได้น่ะซิ” สร้อยพีบอกอย่างโกรธแค้นเข้าใจผิดคิดไปเองว่าเป็นฝีมือมาลี
เพ็ญงงใหญ่ “นี่เกิดเรื่องกันเหรอเนี่ย แล้วจะแสดงได้มั้ย”
ทองหันไปถามสน “สนมึงไหวมั้ย”
“ไม่ไหว ก็ต้องไหว ข้าไม่ยอมให้พวกมันทำสำเร็จหรอก”
“ใช่”
ทองกับสนเช็ดปาดเช็ดเลือดที่หน้าที่มือ แล้วรีบเข้าประจำที่ สนมองนายโพนแล้วพยักหน้าให้บอกว่าพร้อมมาก ส่วนทองหันไปบอกเที่ยงที่กำลังงุนงงสงสัยและไม่สบายใจอยู่
“เที่ยง เต็มที่เลยน้อง พวกพี่ ไม่ถอยอยู่แล้ว”
“ครับพี่ทอง”
สองพี่น้องมองหน้ากัน เป็นกำลังใจกันและกัน
สร้อยพีมองไปที่เที่ยงแล้วหันกลับมามองเพ็ญอย่างเอาเรื่อง นายโพนดึงลูกสาวไว้ แล้วแทรกตัวเข้ามาหาเพ็ญ
“พวกเราพร้อมแล้ว ฝากขออภัยท่านโสภณด้วยนะขอรับ ที่พวกกระผมล่าช้าไป”
“เอาอย่างนั้นนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปบอกเลย”
นายโพนหันมาบอกทุกคนหลังเพ็ญออกไป
“พวกเรา ขอให้งานนี้เป็นอีกงานที่เราทุ่มเทเต็มที่ พิสูจน์ให้ผู้ชมเห็นว่า ตะลุงของนคร มีดีทุกคนเห็นด้วยและเกิดกำลังขึ้นมากทุกคน”
พยอมเอาขันใส่น้ำพร้อมผ้าขนาดพอดีมือมาให้ทองและสนคนละผืน สร้อยพี หันไปมองเที่ยงด้วยความเป็นห่วง
เพ็ญกลับมารายงานมาลีทางด้านหลัง ซึ่งนั่งถัดมาจากมณฑา
“คุณมาลีคะ คณะตะลุงถูกทำร้ายค่ะ ถึงเลือดตกยางออกเลยนะเจ้าคะ”
มาลีตกใจ “อะไรนะ”
มณฑาได้ยินก็รู้สึกสาแก่ใจ เพราะมันเป็นเรื่องที่หล่อนวาดหวังอยากจะให้เกิดขึ้น
“การแสดงคืนนี้ก็คงไม่มีแล้วซินะ”
ท่านโสภณฟังแล้ววิตกกังวล ยิ่งเมื่อมองไปทางท่านเจ้ากรม ก็พบว่าท่านกำลังมองมาเพื่อเอาคำตอบอยู่พอดี
“คุณพ่อคะ งั้นมณฑาขอไปเรียนเรื่องนี้กับแขกของท่านเจ้ากรมเองนะคะ”
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ไม่ได้ พ่อจะต้องเป็นคนไปบอกเอง”
มาลีเสียใจมากที่ทุกอย่างล้มเหลว จนเพ็ญเอ่ยบางอย่างต่อ
“ไม่ค่ะๆ ถึงแม้ว่าพวกคณะตะลุงจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ แต่พวกเค้าก็ยืนยันว่าจะเล่นต่อค่ะ ตอนนี้ทุกคนพร้อมค่ะคุณหนู”
มณฑาเจ็บใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
มาลียิ้มได้ “คือตอนนี้ทุกคนพร้อมแล้วงั้นหรือ”
“ค่ะ คุณหนู นั่นค่ะ ปี่กลองเริ่มพอดี”
ท่านโสภณที่ขยับจะลุกออกไป ก็ลงมานั่งอย่างเก่า ท่านเจ้ากรม และ คนอื่นๆ ก็พากันไปหันไปสนใจที่จอตะลุง
มณฑาย่อลงมานั่งข้างพ่อ อดรู้สึกโกรธไม่ได้ เหลียวมองหาพวกนักเลงที่ว่าจ้างแต่ก็ไม่พบ ได้แต่คุมแค้นพึมพำออกมา
“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ไอ้พวกไม่ได้ความ”
มาลีเบาใจ หันไปจดจ่อดูการแสดง
ต่อจากเสียงปี่กลองบรรเลงโหมโรง เสียงร้องอันไพเราะเสนาะโสตของเที่ยงก็เริ่มทำงาน พร้อมๆ กับตัวฤาษีและเทวดาก็ปรากฏขึ้นบนจอ คนดูเริ่มขยับตัวตั้งใจชม กลุ่มพ่อค้าฝรั่งเองก็หันมาดูอย่างสนใจ ท่านเจ้ากรมก็เช่นกัน พวกคนติดตามเจ้านาย ตลอดจนผู้ชมละแวกบ้านท่านโสภณพากันขยับมาดูใกล้ๆ มารศรีเห็นก็แปลกใจจนต้องถาม
“นี่เธอมาลี เธอปล่อยให้ผู้ติดตามกับคนข้างนอกเข้ามาด้วยงั้นเหรอ”
“ใช่” มาลีว่า
ท่านโสภณพูดเสริมขึ้นมาว่า “พ่อเป็นคนบอกให้ทำเองแหละ โอกาสที่คนจะได้ดูของดีๆทางภาคใต้ในพระนคร มันไม่ได้มีง่ายๆ ใช่มั้ยลูก พอโอกาสแบบนี้มาถึง พ่อว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไรที่เราจะแบ่งให้คนอื่นๆ เค้าได้ชื่นชมไปกับเราด้วย”
มารศรีอ้าปากจะถามต่อ แต่ถูกมณฑาตอบรับเอาคำว่า “ค่ะ คุณพ่อ” ก็เลยเงียบไป
“แล้วเรื่องนี้ ท่านเจ้ากรม ก็เห็นด้วยเช่นกัน” ท่านโสภณบอก
ระหว่างนี้ท่านเจ้ากรมใช้กล้องส่องทางไกลมองดูเงาตะลุงตรงหน้า แล้วปันกล้องให้กับพ่อค้าฝรั่งข้างๆ ดูด้วย ซึ่งพ่อค้าฝรั่งไม่เห็น เพราะว่ากำลังคุยกันในกลุ่ม
“การแสดงแบบนี้ก็สวยดีนะ แต่ผมไม่รู้ว่าเค้าพูดอะไรกัน” พ่อค้าฝรั่ง1 บ่น
พ่อค้าฝรั่ง2 เห็นด้วย “นั่นซินะ แล้วนี่เราต้องทนดูอีกนานแค่ไหน”
ท่านเจ้ากรมได้ยินก็รู้สึกกังวลใจ “เกิดอะไรขึ้นรึ”
พ่อค้าฝรั่ง1 บอกว่า “คือพวกผมไม่แน่ใจว่า นี่คือการแสดงที่เหมาะสำหรับพวกผมหรือเปล่า”
ท่านเจ้ากรมอึ้งไป
ด้านสร้อยพี และพยอม เห็นพวกคนดูฝรั่งท่าทางระส่ำระสาย ก็พอดูออกว่าแขกคนสำคัญไม่ค่อยชอบหนังตะลุง เธอถอยหลังมาหานายโพนที่เห็นและรู้สึกเช่นกัน
“เอายังไงดีพ่อ แขกท่านโสภณ ดูไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่”
พยอมก็เห็นด้วย “พยอม สังเกตมาซักพักแล้วเหมือนกัน”
นายโพนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวเข้าไปหาเที่ยง
“เที่ยง ตอนนี้ฝรั่งดูจะไม่ค่อยชอบที่เราแสดงซักเท่าไหร่ เราควรจะรีบจบจะดีมั้ย”
“งั้นหรืออาโพน”
เที่ยงคิดปราดเดียวและตัดสินใจหยิบบางอย่างจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นกระดาษที่ได้รับมาจากคุณมาลี นายโพนมองตามแล้วถามว่า
“มันคืออะไรรึ”
สร้อยพีมองเห็นกระดาษนั้นก็จำได้ และ เริ่มสงสัย
“อาว่าผมควรจะทำสิ่งนี้มั้ย”
นายโพนมองดูกระดาษในมือเที่ยง แล้วพยักหน้าสนับสนุน
“เอาเลยเที่ยง เรารอวันที่จะมาแสดงที่พระนครมานานมากแล้ว ไม่ใช่รึ”
เจรมัยยืนอยู่หน้าฉากขาวต่อหน้ากล้องวิดีโอ เขายืนนิ่งคล้ายกำลังรวบรวมความมั่นใจให้ตัวเอง นอกจากกล้องแล้วก็ยังมีทีมงานอีกหลายคนเฝ้าดูอยู่ รวมทั้งภาคและแคทลียาด้วย ทีมงาน 3 เดินนำพาลุงพัฒน์เข้ามาในเซ็ต ขณะเดินผ่านเจรมัย ชายชรารับรู้ได้ถึงความประหม่าของเขา
ตอนนี้ที่หน้ากล้องมีเจรมัยและลุงพัฒน์อยู่ถัดออกไป ทั้งคู่ถือกีต้าร์ในมือ
“พร้อมมั้ยครับพี่เจ พร้อมมั้ยครับลุงพัฒน์”
“ครับ”
ลุงพัฒน์บอกว่า “เดี๋ยวครับ ขอเวลาครู่หนึ่งครับ”
เจรมัยแปลกใจหันไปมอง ชายชราสบโอกาสพูดในสิ่งที่อยากพูด
“เต็มที่เลย คุณเจรมัย มันเป็นฝันของคุณไม่ใช่เหรอครับ”
“ครับลุง”
“คุณเจเต็มที่ ผมตามคุณเจอยู่แล้ว”
เจรมัยยิ้มเริ่มมีกำลังใจ
“ครับลุงพัฒน์ ผมจะเต็มที่ อ้อ อีกเรื่องครับ ผมคุ้นๆ ว่าเราสองคนเคยพูดประโยคทำนองนี้มาแล้ว ยังไงไม่รู้”
“ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
เจรมัยยิ้มลุงพัฒน์ก็ด้วย ผู้กำกับก็สั่ง “แอ็คชั่น”
สองคนเริ่มดีดกีตาร์พร้อมกัน
ในอดีต คหบดีโสภณนั่งอยู่ข้างๆ ท่านเจ้ากรม ประเมินสถานการณ์แล้วจึงกระซิบบอกบางอย่าง
“ผมว่าจะให้การแสดงตะลุงจบลงเร็วอีกหน่อยแล้วกันนะขอรับ”
“อันนี้ก็แล้วแต่คุณเห็นสมควร ใจผมน่ะ คิดว่าอยากรอดูอีกหน่อย เผื่อว่าจะมีทีเด็ดอะไรปล่อยมาบ้าง” ท่านเจ้ากรมว่า
ท่านโสภณเห็นด้วย
พ่อค้าฝรั่ง1 ออกตัว “กระผมขอไปเดินเล่น ดูสวนหน่อยดีกว่าครับ”
ในทันทีเสียงหัวเราะฮา ก็ทำให้ทุกคนตรงจุดจัดเลี้ยงหันมามอง พ่อค้าฝรั่ง1 ที่หาเรื่องเดินออกไปก็ลงมานั่งที่เหมือนเดิม และ เริ่มสนุกไปกับตะลุง
ที่จอตะลุง ตัวตลกสองตัวกำลังทักทายกัน
ตะลุง 1 เชิดมือขึ้นแล้วทักทายว่า “สวัสดี”
แต่ตะลุง 2 เชิดมือยื่นไปข้างหน้า แล้วทักคนดูว่า “ฮัลโหล” สองตัวตลกเลยพูดสวนกันไปมา ตัวหนึ่ง “สวัสดี” อีกตัวหนึ่ง “ฮัลโหล” สลับไปมาอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ
บรรดาพ่อค้าฝรั่งที่กำลังเบื่อๆ ก็พากันฮาขึ้นมา ท่านโสภณกับท่านเจ้ากรมก็เช่นกัน
บนจอเรียกเสียงหัวเราะอย่างต่อเนื่อง เมื่อตะลุง 1 ทักขึ้นว่า
“Do you is your แหนม”
ตะลุง 2 กลับบอกว่า “แหนม ไม่กินมันเปรี้ยว”
“ไม่ช่าย แหนม name…name แปลว่าชื่อไรนิ”
“อ๋อ ข้าชื่อ นายเท่ง”
“Um mister แท่ง”
“เท่ง โว๊ย ไม่ใช่ แท่ง”
คราวนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และ ความประทับใจในหมู่คนดู
มณฑาเป็นคนเดียวที่ออกอาการฉุนเฉียวในความสำเร็จของชาวตะลุง เพ็ญยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ มาลี ที่กำลังประทับใจและภาคภูมิใจ ที่ตัวเองได้มีบทบาทสำคัญในงานครั้งนี้
เที่ยงเชิดหุ่นไปก้มหน้าดูบทตะลุงที่มาลีเขียนให้ เล่นตะลุงไปอย่างสนุกสนาน นายโพนมองดูอย่างโล่งใจและดีใจ ชาวคณะคนอื่นๆ ก็เช่นกัน
คนดูปรบมือชื่นชมยาวนานหลังการแสดงจบลง
สร้อยพีสับสนกับความรู้สึกในใจตัวเองอย่างหนัก ว่าควรจะดีใจไปด้วยดีหรือไม่ เพราะรู้ว่าโพยบทตะลุงที่เที่ยงนำมาแสดงนั้น มาจากมาลี
ศัตรูหัวใจของเธอ!
อ่านต่อ ตอนที่ 12
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่11 #thaich8 #ละครออนไลน์