เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 10
อีกฟากหนึ่ง ภาคถือกระป๋องเบียร์เดินทอดอารมณ์มาตามฟุตบาธ ก่อนจะตัดสินใจลงนั่งพักอย่างหมดแรง คิดถึงเรื่องที่เขาเจอมาตลอดทั้งวันที่ค่ายเพลง
บรรยากาศในห้องประชุมของค่ายเพลง บรรยากาศไม่ค่อยดีนัก ลูกค้าสปอนเซอร์รายใหญ่โวยวายเรื่องเจรมัย ซึ่งภาครับผิดชอบ
“คุณภาค มีคำตอบมั้ยเรื่องเจรมัย งานที่คุยกันรอบนั้นว่าจะต้องออกงานอีเว้นท์ให้กับทางเราอาทิตย์ละครั้ง นี่เดือนนี้เจรมัยไม่เคยมาเลยนะ”
“ขอโทษด้วยครับ พอดีเจ ไม่สบาย และหลังจากนั้นก็ติดธุระพอดี”
ลูกค้าไม่สน “มันไม่ใช่คำตอบของมืออาชีพนะคุณภาค แต่เอาเถอะ ยังไงตอนนี้ก็ยังถือว่าเจรมัยยังขายได้ ผมหวังว่าอาทิตย์นี้จะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีกนะ”
“ครับ ไม่เกิดแน่นอนครับ”
ลูกค้าเดินหงุดหงิดออกไป เหลือแต่คนในบริษัทนั่งเครียดกันอยู่
เฮียเจ้าของค่าย ขอคำตอบจากภาค “ว่าไงภาค เกิดอะไรขึ้นกับเจรมัย”
“เหมือนตอนนี้เจมันมีปัญหาชีวิตน่ะครับเฮีย”
“แล้วทำไมภาคไม่จัดการให้เรียบร้อยล่ะ ภาคเป็นผู้จัดการของเจมันนี่”
“ผมก็พยายามทำอยู่ครับ”
“งานเพลงตอนนี้มันขายไม่ค่อยได้ ภาคเคยอยู่ในจุดนี้ก็น่าจะรู้ สิ่งที่เราทำได้คือต้องมีแรงสนับสนุนจากสปอนเซอร์ งานโชว์ต่างๆ ถึงจะอยู่กันได้ ถ้าศิลปินอยากจะติสต์มากก็ตายหมู่นะภาค” เฮียบอกอย่างผู้เปี่ยมประสบการณ์
“ครับเฮีย”
“รีบนะภาค เป็นศิลปินยุคนี้มันเป็นง่ายกว่ายุคของภาค แต่มันอยู่ยากนะ แล้วคนที่ภาคถืออยู่ตอนนี้ก็ไม่มีใครมาสักคน เร่งมือหน่อยนะ”
“ครับ”
เฮียลุกเดินออกไป คนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากห้องประชุม
ออกจากห้องประชุม ภาคเดินมาตามทางเดินในตึก พยายามโทร.หาเจรมัยแต่เขาก็ไม่รับสาย จนภาคชักเริ่มหงุดหงิด
พนักงาน 2 คน ในทีมเออาร์ ฝ่ายดูแลศิลปิน เดินมาเจอเข้า
“เป็นไงบ้างคะพี่ภาค หน้าตาไม่ค่อยดีเลย เจรมัยทำพิษเหรอคะ”
ภาคนิ่งไม่ตอบอะไร
“มีไรให้ช่วยก็บอกนะคะ ถือว่าตัวกำลังมา ก็เรื่องเยอะอย่างงี้แหละ ระวังจะเป็นสตาร์ตกดินเหมือนคนดูแลนะพี่” เออาร์คนเดิมเหน็บแนมไม่กั๊ก
ภาคยังคงนิ่งไม่ตอบโต้อะไร
พนักงาน2 ตำหนิ “นี่พี่ไปพูดกับพี่ภาคงี้เลยเหรอ”
พนักงาน1 ไม่แคร์ “สนทำไม”
ภาคได้ยินเต็มๆ หู แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร พยายามโทร.หาเจรมัยต่อ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รับสาย
คิดขึ้นมาก็ยิ่งโมโห ภาคเขวี้ยงกระป๋องเบียร์ทิ้งไประบายอารมณ์ ก่อนที่จะลุกเดินไปยังรถตรงริมทาง
“อะไรทำให้มันเป็นแบบนี้ไปได้ ฮึ้ย”
ภาคตัดสินใจมาหาเจรมัยที่บ้าน แต่ไม่เจอเพราะทุกคนไปงานเปิดตัวแมกกาซีนของเจนจิรา เหลือแต่น้าจินดา
“ไม่มีใครอยู่เลยจ้ะ ทุกคนไปงานเปิดตัวหนังสือใหม่ของเจนน่ะ”
“อ๋อ เหรอครับ”
“ภาค มีไรเร่งด่วนกับเจรึเปล่าจ๊ะ ฝากน้าบอกเค้าไว้ให้ได้นะ”
“ก็เร่งด่วนน่ะครับ เรื่องงานของเจ แต่ผมต้องคุยกับเจเองมากกว่าอะครับ”
“อ๋อ จ้ะ”
“เอ่อ น้าจินดาครับ พอจะรู้มั้ยครับว่าช่วงนี้เจเป็นอะไร ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะรับงานเลย ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
จินดาอึกอักขึ้นมาทันที เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามีสาเหตุจากอะไร แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
“น้าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน ไงน้าไปก่อนนะ เดี๋ยวไปรับยายจ๋าไม่ทัน ตามสบายนะภาค”
“ครับ”
จินดาเดินจากไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ภาคเหลียวไปมองยังห้องที่เขาเคยสงสัยและค้างคาใจ
จินดาหันกลับมาอีกที พบว่าภาคก็หายไปแล้ว
ภาคพาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องตาเทียบสักครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูซึ่งไม่ได้ล็อกเข้าไปด้านใน เห็นตะลุงที่ตู้เหนือหัวเตียง จึงเดินเข้าไปลองหยิบตัวตะลุงตัวนั้นลงมา ฉับพลันทันใดนั้นเอง ก็มีน้ำเสียงสั่งอันแข็งกร้าวดุดันดังขึ้น
“ปล่อย”
ภาคตกใจสุดขีด เมื่อหันไปทางเสียงเห็นเป็นผีสร้อยพีที่มีรูปร่างดำเหมือนตอตะโก แต่มีประกายไฟปะทุออกมาจากผ้าคลุมผม วิญญาณแค้นคุกคามเข้ามาหาอย่างช้าๆ ภาคถอยจนตัวไปติดผนัง ผีสร้อยพีเริ่มคุกคามเข้ามาใกล้ๆ ภาครู้ตัวว่าหมดทางไปแน่นอน ผีสร้อยพีจู่โจมภาค แต่เมื่อถูกตัวภาคกลับมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและหายวับไป
ภาคตั้งสติได้ และพอจะได้คำตอบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจรมัย เขาก้มดูที่คอ หยิบเหรียญจากนครฯออกมาดูอย่างสุดทึ่ง และคิดว่าคงเป็นเพราะอานุภาพของเหรียญนี้ที่ทำให้รอดตายจากผีตนนั้น และก็รู้แล้วว่าจะต้องทำยังไงดี
จินดาร้อนรนเข้ามาในห้องตาเทียบจนมาถึงตัวภาค
“ภาค เข้ามาในห้องนี้ทำไม”
“ปะ เปล่า ครับ”
“นี่ภาค ดื่มมาใช่มั้ย”
“ผมขอตัวกลับเลยดีกว่าครับ”
ภาคพูดจบก็พรวดพราดออกจากห้องไปเลย ทิ้งให้จินดายืนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกันแน่
เมื่อจินดาอยู่คนเดียวในห้อง ไม่นานนักก็เห็นเงาผีสร้อยพีปรากฏที่ผนังห้อง จินดาสังเกตเห็นว่า ผีสร้อยพี ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเลือดสีดำหยดออกมาจากแขนชวนสยดสยอง
“ทำไม.....” วิญญาณแค้นกรีดร้องเสียงดังโหยหวย
จินดากลัวจับจิต รีบเผ่นออกจากห้องไปโดยเร็ว
เมื่อในอดีต สร้อยพีตั้งคำถามเดียวกันนี้เอากับเที่ยง
“ทำไมล่ะพี่”
“เออน่ะ”
ระหว่างที่ทุกคนเดินกลับออกมาจากบ้านคหบดีโสภณนั้น เที่ยงได้เห็นว่ามาลีกำลังเก็บกระด้งพริกแห้งที่ตากแดดผึ่งไว้ ราว 5 - 6 กระด้ง ด้วยความที่ไม่ถนัด และจำนวนกระด้งก็เยอะ มีทีท่าว่าจะคว่ำเสียหายเป็นแน่ เที่ยงเห็นแล้วอยากเข้าไปช่วย
“เดี๋ยวสร้อยพีไปกับอาโพนก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”
นายโพนแปลกใจ “มีอะไรรึ”
“นั่นสิพี่ มาที่นี่จะมาธุระอะไรเหรอ”
เที่ยงอึกอักเหมือนถูกต้อนให้จนมุม
“เอาน่า ก็ไม่ได้ธุระอะไรหรอกนะ เดี๋ยวตามไปน่ะ”
เที่ยงไม่รอคำตอบรับ เดินออกจากกลุ่มไปเลย
“เอ้า ไอ้นี่ ยังคุยกันไม่ทันรู้เรื่องเลย”
“ปล่อยมันเหอะอา นี่มันก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ มันจะทำไรก็ช่างมันเหอะ” ทองว่า
สนยิ้มหัวเห็นด้วย “จริงๆ มันอาจจะปวดขี้ก็ได้นะอา”
“เออ จริงของไอ้สน ไปเหอะอา ชั้นหิวขี้ เอ้ยหิวข้าวแล้ว”
นายโพนหมั่นไส้ “หิวเหล้าอะสิเอ็งน่ะ ไปเลย รีบๆ ไปเลย แล้วอย่าก่อเรื่องอีก ไม่งั้นกูเอาไม้ฟาดมึงให้หลังลายแน่”
ทอง กะ สนรับ “จ้า” พร้อมๆ กัน แล้วรีบวิ่งหนีไป พอโพนหันมาทางลูกสาว ก็พบว่าสร้อยพีก็หายไปแล้วด้วย
“เอ้า หายไปกันหมด อะไรวะไอ้พวกนี้”
กระด้งตากพริกคว่ำหลุดมือ พริกหล่นกระจายเต็มพื้น มาลีหงุดหงิดตัวเอง แต่ก็ไม่โอ้เอ้ก้มลงเก็บใส่กระจาดมือระวิง เที่ยงรีบเดินเข้ามาช่วยเก็บอีกคน
“มาครับกระผม มาช่วยเก็บ เห็นท่าไม่ค่อยดีตั้งแต่แรกแล้ว แล้วก็หล่นกระจายซะจริงๆ”
“นี่เห็นมาแต่ไกลแล้วเหรอ”
“ใช่ขอรับ แล้วพี่เพ็ญไปไหนครับไม่เห็นเลย”
“ฉันให้ไปซื้อของที่ตลาดน่ะ”
“คุณมาลีนี่ก็แปลกนะขอรับ เป็นคุณหนูของเรือนดีๆ สบายๆ แต่ไม่เอา ชอบทำโน่นทำนี่ ถ้าผมไม่รู้ว่าเป็นลูกท่านคหบดี ผมน่าจะคิดว่าคุณมาลี…”
“เป็นบ่าวใช่มั้ย” มาลีตอบแทนแล้วหัวเราะออกมา “ไม่แปลกๆ พ่อท่านก็พูดแบบนี้ประจำ แต่ฉันชอบ ดีกว่าอยู่เฉยๆ”
“ขอรับ” เที่ยงยิ้มรับ
“ทำไรกันน่ะ มา ฉันช่วยนะมาลี
มารศรีแทรกตัวเข้ามาช่วยเก็บพริกอีกคน มาลีประหลาดใจที่เห็นมารศรีลงมาช่วย เที่ยงขยับตัวหลบเพราะกลัวว่าจะถูกดุ
“เที่ยง เธอเอากระจาดมาใกล้ๆ ฉันทีซิ”
“ขอ...ขอรับ”
เที่ยงขยับตัวเข้ามาใกล้แต่ก็ยังระวังท่าที แม้มารศรีจะยิ้มให้อย่างอารี
“เที่ยงไม่ต้องแปลกใจน้องมาลีหรอกนะ น้องมาลีนิสัยเค้าก็เหมือนแม่เค้าแหละ ง่ายๆ สบายๆ ไม่แปลกใจที่ทำอะไรเหมือนบ่าว”
เที่ยงอึ้งไป
มารศรีคุยข่มมาลีต่อ “คือ เที่ยงคงไม่รู้ซิ ว่าฉันกับมาลีมีพ่อคนเดียวกัน แต่คนละแม่กันนะ แม่ฉันกับพี่มณฑาเสียหลายปีแล้วที่สวิส ส่วนแม่มาลีฉันไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก ต้องถามมาลีเค้าดู เค้าน่าจะรู้ดีที่สุด”
มาลีเก็บพริกจนเสร็จ ก็ลุกพรวดอย่างไม่พอใจ
“มาลีขอตัวก่อนนะคะ”
“อ๋อ จ้ะ ตามสบาย” มารศรีบอก
เที่ยงรีบขอตัวตามไปช่วยมาลี “กระผม ขอตัวไปช่วยคุณมาลีถือของก่อนนะขอรับ”
มารศรีมองตามด้วยความสะใจสมใจ ที่ได้หักหน้ามาลีต่อหน้าเที่ยง จังหวะนี้เองสายตามารศรีก็มองไปเห็นสร้อยพียืนมองตามเที่ยงไปด้วยสีหน้าและท่าทีคลางแคลงใจ มารศรีจึงเดินเข้าไปทัก
“เธอคือสร้อยพีใช่มั้ย”
สร้อยพีตกใจหันมาหา “ค่ะคุณหนู”
มารศรีมองจ้อง “ดูเธอห่วงพี่ชายเหมือนกันนะเนี่ย”
“เอ่อ…ก็”
มารศรีสบช่อง ใส่ไฟให้ร้ายมาลีทันที “มีโอกาสก็คอยเตือนพี่เที่ยงเธอไว้หน่อยนะ ว่าแม่มาลีคนนั้นไม่ธรรมดา ก็อย่างที่โบราณว่า ดูนางต้องดูที่แม่ ซึ่งแม่ของมาลีเนี่ยซิ…เฮ้อ มีแต่เรื่องบัดสี”
สร้อยพีไม่อยากเชื่อ “จริงหรือคะ
“ฉันจะมาปดกับเธอทำไม เอาเป็นว่าเธอสงสัยอะไร อยากรู้อะไรก็มาถามฉันได้เสมอนะ เหมือนฉันเป็นพี่เธอก็ได้”
สร้อยพีหลงคารม ยิ้มดีใจ “คุณหนูใจดีจังเลย สร้อยพีขอบพระคุณมากๆ ค่ะ”
“สร้อยพี ชื่อเธอจำง่ายดี” มารศรีแกล้งยิ้มเป็นมิตรไปให้
“ชื่อแบบคนบ้านนอกน่ะค่ะ เลยฟังดูตลกๆ”
“ไม่ๆ บ้านน่ง บ้านนอกอะไร ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ”
สร้อยพีเชื่อสนิทใจว่ามารศรีเป็นมิตรกับตน
เช้าวันนี้ จรรยากำลังพลิกดูแฟชั่นในหนังสือบันเทิงเล่มที่มะลิมาถ่ายแบบที่บ้าน พอดูเสร็จก็ส่งให้จิตราดู ใกล้ๆ กัน จินดากับจิรากำลังดูอีกเล่มหนึ่ง
“แม่หนูมะลินี่ แต่งตัวแบบนี้ยิ่งเหมือนทวดมาลีจริงๆ นะ” จิตราปรารภขึ้น
“อืม รูปนี้ยิ่งเหมือน”
จิราชี้ให้จิตราดูอีกหน้า ที่ตนเองรู้สึกว่าเหมือนกว่า
จรรยาก็เห็นด้วย “ใช่ เธอว่ามั้ย จินดา อ้าว เป็นไรไม่พูดเลย ไม่เหมือนเหรอ”
จินดารู้สึกผิดในใจ ที่ใช้ประโยชน์ในความเหมือนระหว่างมะลิกับทวดมาลี มากระทำบางอย่างเพื่อตัวเอง
“อ๋อ เหมือนจ้ะพี่ เออ ฉันไปหาอะไรมาให้ทานกันดีกว่า เดี๋ยวมานะ”
“อะไรกัน เพิ่งจะกินไปแหม็บๆ กินอีกแล้ว” จรรยาบ่นขำๆ
จินดาลุกเดินออกไป สวนกับเจรมัยที่เดินเข้ามาพอดี
“ไปไหนครับน้าจินดา”
จินดาไม่ตอบเดินก้มหน้าก้มตาออกไปเลย เจรมัยมองสงสัยนิดๆ ก่อนจะเดินมาสมทบกับแม่และป้าและน้า
“หนังสือออกแล้วเหรอครับ”
“ยังๆ ยังไม่ได้วางแผงเป็นทางการ อันนี้ น้าจิ๊กมาจากห้องทำงานเจนน่ะ” จิราว่า
“ดูซิ เจ มะลินี่สวยเชียวพอแต่งแบบนี้” จรรยาเปิดให้ลูกชายดู
“ครับ ผมเองก็เกือบจำไม่ได้เลยนะครับวันนั้น”
“นี่ได้ยินมาว่า แฟชั่นฉบับ ออนไลน์ มีภาพเยอะกว่านี้อีกนะ”
จิตราหูผึ่ง “เหรอ เดี๋ยวถ้า ออนฯ แล้วบอกฉันด้วยนะ ฉันอยากเห็นรูปบ้านเรามุมอื่นอีก”
จิรายิ้มขำๆ “โถ พี่จิต คิดว่าอะไร ที่แท้อยากดูบ้านตัวเอง”
เจรมัยหัวเราะขำกับท่าทีป้าจิตรากับแม่และน้า ที่แซวกันเหมือนเด็กๆ
“น้าจิรา แล้วรูปพวกนี้ มะลิเห็นหรือยังครับ” เจรมัยถามขึ้น
“ไม่รู้ซิ”
“งั้นผมขอไว้เล่มนึงได้มั้ยครับ คือเผื่อจะเอาให้มะลิดู”
จิรามองเหล่ “โอ๊ะๆ อะไรกัน จะคุยกับสาว เลยใช้หนังสือเป็นเครื่องมือเหรอ”
“เปล่าๆ ครับ ไม่ได้ไม่เป็นไรครับ”
จิตรานึกขึ้นได้ “เอ้อ ป้าว่าจะถามเจอยู่ ในงานอีเวนท์คืนนั้น เจได้คุยไรกับหนูมะลิมั้ยตอนเลิกงาน”
“ก็…แค่มะลิเค้าบอก ‘ขอบคุณ’ กับยิ้มให้น่ะครับ”
จิราแทบจะสำลักตอนที่ได้ยิน จรรยายิ้มขำอารมณ์ดี ตีแขนน้องเบาๆ ว่าให้เก็บอาการหน่อย
“แล้วจับตัวคนป่วนงานได้หรือยังก็ไม่รู้เนอะ”
“นั่นดิ เอ๊...นั่นใครมา ภาคเหรอ”
จิราเห็นก่อนใครว่าภาคกำลังเดินตรงมาทางนี้
ภาคยกมือไว้สวัสดีจรรยา จิรา และจิตรา แต่ไม่ได้เดินเข้ามาหา แยกไปรออีกมุมหนึ่ง
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
เจรมัยเดินแยกออกไปหาภาค
สองคนมาหยุดคุยกันตรงมุมพักผ่อนอีกมุมในสวนสวย ภาคเข้าประเด็นอยากให้เจรมัยกลับมาทำงาน
“พี่ว่าเจ ควรกลับไปทำงานได้แล้วนะ”
“ผมอยากจะขอเวลาพี่ภาคอีกสักพักได้มั้ยครับ ผมว่าอะไรๆ ที่มันแปลกๆ ยังไม่ค่อยจะคลี่คลายไปเท่าไหร่ ผมกลัวว่าปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ จะเกิดขึ้นอีกอะครับ”
“เมื่อไหร่จะจบล่ะเจ”
“ยังไม่รู้เลยครับ”
ภาคชักหงุดหงิด ยิงคำถามตรงๆ เชิงประชด “แล้วถ้ามันไม่จบ เจจะเอาไง จะเลิกทำอาชีพนี้เลยรึไง”
“ก็ยังไม่รู้เลยครับ”
“เจ พี่ลงทุนลงแรงกับเจ ไปเท่าไหร่แล้ว เจจะบอกไม่รู้ๆไม่ได้ งานนี้ที่เจทำอยู่มันคือความฝันของเจไม่ใช่เหรอ แล้วเจจะมายอมแพ้กับอะไรก็ไม่รู้ ที่อยู่ๆ จะมาแย่งความฝัน ที่เจจะทำมันมาทั้งชีวิตไปอย่างเงี้ยรึไง”
เจรมัยหนักใจไม่น้อย “ผมขอโทษพี่ภาคครับ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขมันยังไง”
“เจ อยากจะแก้ไข และก็อยากจะทำงานตรงนี้จริงๆ หรือเปล่า หรือแค่พูดๆไปเท่านั้น”
เจรมัยรู้สึกผิดที่เขาสร้างปัญหาให้ภาค และค่ายเพลง
“ผมพยายามจะหาทางออกที่ดีที่สุดอยู่ครับ”
“ถ้าเจ อยากจะจบเรื่องที่อธิบายไม่ได้นั่นจริง และอยากทำงานที่เจรักที่เจฝันอยู่จริง พี่ก็จะสู้ไปกับเจ และพี่ก็คิดว่าพี่มีทางออกสำหรับเรื่องบ้าๆ นั่น แต่พี่จะให้เจตั้งสติก่อน รู้คำตอบแล้วมาบอกพี่ละกัน”
เจรมัยยังคงนั่งนิ่งไม่รู้จะทำยังไง ภาคลุกขึ้นตั้งใจเดินกลับไปที่รถ แต่เขาต้องชะงัก เมื่อรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนมองเขามาจากห้องตาเทียบ เขาหยุดเดิน แล้วหันกลับไปมอง
ในสายตาของภาค เห็นเพียงแค่ผ้าม่านหน้าต่างไหวปลิว ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น
เงาที่แอบดูภาคจากหน้าต่างห้องตาเทียบก็คือจินดานั่นเอง ซึ่งเวลานี้ฉากหลบอยู่ข้างหน้าต่าง โดยมีเงาผีสร้อยพีคอยควบคุมบงการอยู่ด้านหลัง
“เอาเหรียญมาจากผู้ชายคนนั้น”
จินดาลำบากใจและไม่อยากทำแต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
ภาคเพ่งมองไปที่หน้าต่างห้องตาเทียบ เจรมัยมองตามสายตาผู้จัดการของเขาด้วยความสงสัย
“นั่นห้องคุณตาเทียบ มีอะไรรึ”
ภาคไม่พบอะไรหรือใครที่ช่องหน้าต่างนั้นจึงเลิกสนใจ
“เรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับผม…”
ภาคตัดบทเสียก่อน “พอก่อนเจ เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากัน”
ภาคกำลังจะเดินออกไป แต่คิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เอาเป็นว่า เจ ไปถามใจตัวเองก่อน ว่าโฟกัสของเจตอนนี้คืออะไร เจอกันอีกที เจ น่าจะมีคำตอบแล้วนะ”
เจรมัยคิดตาม “โฟกัส”
ทางด้านเจนจิรานั่งสั่งงานมัลลิกาอยู่ แต่เห็นมัลลิกาเหม่ออยู่
“เรื่องสัมภาษณ์อาจารย์สมภพ บุคคลตัวอย่างมะลิจะไปเมื่อไหร่ มะลิๆ ฮัลโหล มะลิ ฟังพี่พูดอยู่ป่าวจ๊ะ”
“ฟังอยู่ค่ะพี่เจน แต่เรื่องประกวดหมามะลิไม่ถนัดจริงๆ นะคะ”
เจนจิราทำหน้าเซ็งๆ
“เอ่อ ไม่ใช่เรื่องนี้เหรอคะ”
เจนจิราส่ายหัว
“อ่า เรื่องดารา ดราม่า มะลิก็เบื่อเหมือนกันอ่ะค่ะ”
เจนจิราทำหน้าเซ็งหนัก
“แสดงว่าไม่ใช่” มัลลิกาเริ่มจ๋อย
“มะลิ เป็นอะไร มีไรคุยกับพี่ได้นะ อ๊ะๆๆๆ หรือว่าเรื่องคืนนั้นกับน้องชายพี่ ฮั่นแน่…มีไรให้พี่ช่วยก็บอกนะจ๊ะ พี่ยกป้ายไฟเต็มที่”
มัลลิกาเขิน “บ้า พี่เจนไม่มีไรสักหน่อยค่ะ”
เจนจิรานึกสนุกขยับไปใกล้แล้วเอาช่อดอกไม้ที่ภวัตให้ที่งานอีเว้นท์เมื่อวาน แกล้งส่งให้มัลลิกา แต่มัลลิกาไม่เก็ต
“หรือจะเป็นเจ้าของดอกไม้นี้ พี่ก็ยกป้ายไฟเต็มที่เหมือนเดิม”
“โห ไปกันใหญ่แล้วพี่เจน”
ภวัตเปิดประตูเข้ามาพอดี สองสาวหันไปมอง แล้วก็พากันขำ เพราะพูดถึงภวัตไม่ทันขาดคำเขาก็โผล่มา
“อ้าว มะลิอยู่ด้วยเหรอครับ ไม่รู้ ไม่งั้นจะซื้อกาแฟเข้ามาฝากอีกแก้ว นี่ครับพี่กาแฟที่พี่ฝากซื้อ”
ภวัตวางแก้วกาแฟให้เจนจิรา มองหน้าสองสาวด้วยความสงสัย “แล้วนี่ขำอะไรกันอยู่เหรอ”
“เปล่าๆๆ หนุ่มๆที่นี่ก็บริการดีไม่เบา เนอะมะลิ”
เจนจิราทำหน้ากระเซ้าภวัต ส่วนมะลิก็ได้แต่ขำพี่เจน ที่แซวชาวบ้านไปทั่ว
“เหมือนคุยไรกันอยู่ใช่มั้ยเนี่ย ผมเข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”
“เปล่าหรอกจ้ะ หรือมีจ๊ะมะลิ” เจนจิราแซวไม่เลิก
“ไม่มีอะไรค่ะ งั้นเดี๋ยวมะลิขอตัวไปก่อนนะคะ”
“อ้าว ยังคุยงานกันไม่เสร็จเลย หรือว่างวดหน้าจะส่งน้องไปสัมภาษณ์หมอหัวใจดีมั้ย” ตอนท้ายเจนจิราตะโกนไล่หลังมัลลิกาไป
ภวัตมองตาม พอจะอ่านออกแล้วว่ามัลลิกาเป็นอะไร
มัลลิกาหนีออกมานอกห้อง ก็มาบังเอิญได้ยินเพื่อนพนักงานแผนกอื่น ซึ่งพากันเปิดดูคลิปงานเปิดตัวหนังสือ ช่วงที่เจรมัยเล่นกีตาร์ร้องเพลงในงาน
“ฟังยังตัว เพลงนี้เพราะเนอะ” ขาเมาท์1 ถามเพื่อน
ขาเม้าท์2 ข่มเอาว่า “อ๋อ งานเปิดตัวหนังสือพี่เจนนี่ เค้าแชร์กันมาตั้งแต่คืนนั้นแล้ว เชยว่ะแก”
“บรรยากาศอย่างกับเอ็มวีเลยว่ะ”
มัลลิกาฟังแล้วก็รู้สึกดีเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ภวัตเดินตามออกมาเห็นท่าทีมัลลิกาก็แปลกใจ
“วันนี้ดูคุณอารมณ์ดีจัง”
“เหรอ ไม่มั้ง เอ่อ วัตเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันมั้ย”
ภวัตงงเด้ “ฮะ ไปซิ จู่ๆ ผมก็หิวขึ้นมาพอดีเลย ผมเลี้ยงเองนะ”
“ไม่ซิ ฉันเลี้ยงเอง แทนคำขอบคุณสำหรับดอกไม้วันนั้นไง”
“งั้นก็ได้”
มัลลิกากับภวัตเดินไปด้วยกัน พนักงานสาวๆ ในออฟฟิศพากันยิ้มกริ่มอิจฉามัลลิกา
“โห อิจฉาอ่ะ ทำไม เราไม่มีโอกาสกินข้าวกับ บอสภวัตบ้างอ่ะ” ขาเมาท์2 เพ้อ
“ดูหน้าดูทุนตัวเองหน่อยเธอ” ขาเมาท์1 แดกดัน
เจรมัยดีดกีต้าร์ เล่นๆ หยุดๆ เพราะในหัวยังคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องภาค งานก็อยากทำ ห่วงครอบครัวก็ห่วง จิตราเดินออกมาสูดอากาศข้างนอก เห็นหลานชายหยุดเล่นกีตาร์ สีหน้าเคร่งเครียด เลยเดินเข้ามาหา
“เป็นอะไรทำไมหยุดเล่นซะล่ะ ป้าว่ามันเพราะดี ตั้งแต่ที่อีเวนท์แล้วนะ คนในงานก็เห็นชอบกันหลายคนเชียว”
“เหรอครับ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่เล่นต่อล่ะ ป้ารอฟังอยู่”
เจรมัยหน้าเครียดไม่หาย “ป้าครับ ผมคิดเรื่องนั่นนี่ หลายเรื่องมันตีกันในหัวเลยไม่มีสมาธิอ่ะคับ”
“จริงเหรอ เจเครียดๆ แบบนี้มาพักใหญ่แล้วนะ เจคิดถึงเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับบ้านเราใช่มั้ย”
เจรมัยนิ่งไม่ตอบอะไร เพราะอธิบายไม่ถูก
“เจ ดูทุกคนในบ้านสิ มีความสุขมั้ยตอนนี้ ยิ่งตั้งแต่จ๋าออกจากโรงพยาบาลมา ดูอะไรๆ ก็ราบรื่นไปหมด”
เจรมัยยิ้มให้จิตรา “ครับ”
จิตราให้แง่คิดหลานชาย ป้าว่าเจ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรามากหรอก ป้าดูแลทุกคนมานาน ฉะนั้นเรื่องดูแลทุกคนในบ้านมันเป็นหน้าที่ของป้ามากกว่าของเจ เจอย่าโทษตัวเองเกี่ยวกับเรื่องที่พอเจเข้ามาก็มีเรื่องแปลกๆ เลย ชีวิตเรายังไงก็ต้องก้าวไปข้างหน้า ฝันก็ต้องตั้งเอาไว้เป็นเป้าหมายเหมือนเดิม”
เจรมัยนิ่งฟัง
“เรื่องครอบครัวไม่ต้องห่วงนะเจ ป้าเอาอยู่ อืม...อย่างน้อยก็น่าจะเอาอยู่ มั้ง” จิตรายิ้มให้กำลังใจหลานชาย “จะว่าไป เรื่องแปลกๆ ก็หายไปพักใหญ่แล้วนะ เจสังเกตมั้ย”
เจรมัยคร่นคิดตรึกตรอง หาทางออกให้ชีวิต
ตกกลางคืน จินดามีท่าทีคิดไม่ตกเรื่องเหรียญ ขณะเดินเข้าห้องนอนมา ก็ยิ่งตกใจเมื่อมองไปตรงเตียงที่หนูจ๋านอนอยู่ มีเงาดำของผีสร้อยผียืนอยู่ใกล้ๆ หัวอกแม่ที่รักลูกสุดหัวใจ ที่สุดจินดาก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ยังไงก็คงต้องทำตามที่สร้อยพีต้องการโดยไม่มีทางเลี่ยง
เช้านี้ ภาคนั่งรออยู่ตรงโต๊ะสนามหน้าบ้าน สายตามองเหม่อไปไกล แน่ละเขาคิดกังวลเรื่องคำตอบที่จะได้รับจากเจรมัย ไม่นานนักเจรมัยก็เดินออกจากบ้านมาหา ลงนั่งคุยด้วย
“ผมจะกลับไปทำงานครับพี่”
ภาคยิ้มดีใจ “ดีแล้ว มีอะไรเราก็ช่วยๆ กัน”
เจรมัยยังไม่มีท่าทีที่จะดีใจ
“เรื่องอะไรที่มันประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ พี่ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องลี้ลับไสยศาสตร์อะไรสักเท่าไหร่หรอก แต่พี่ว่าเหรียญที่เจให้พี่มา น่าจะช่วยปัดเป่าเรื่องแปลกๆ นี่ได้ อ่ะ พี่ว่าช่วงนี้เจเก็บเหรียญไว้เองดีกว่า พี่มั่นใจเหรียญนี้จะช่วยเจได้”
ภาคหยิบเหรียญจากนครฯ คืนให้ เจรมัยรับมาดูแล้วก็วางไว้บนโต๊ะกลาง เพราะยังไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่
“ขอบคุณครับพี่ ยังไงผมจะทำงานให้ดีที่สุด แล้วเราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ครับ”
“พรุ่งนี้ เพราะอะไรรู้มั้ย ก็เรื่องที่เจไปร้องเพลงในงานอีเวนท์เปิดตัวมะลิน่ะซิ ตอนนี้ยอดวิวคลิป ขยับขึ้นเรื่อยๆ เลย คนชอบเพลงที่เจเล่น ช่วงนี้แหละดีที่สุด เหล็กกำลังร้อนต้องรีบตี กระแสมาแล้วเจ”
เจรมัยตื่นเต้นที่ได้ยินแบบนั้น แต่อีกใจก็กังวลอยู่กับเรื่องเดิมๆ
“แต่พี่ภาค ผมยังกังวลว่า ถ้าผมไปตามงานที่พี่ว่า แล้วมีเงาประหลาดที่พาดบนรูปผมอีก มันจะทำให้ใครเสียหายกันหมดอีกมั้ยพี่ พี่ภาคเข้าใจใช่มั้ย”
“อืม ไม่น่านะ เพราะทั้งคลิปทั้งภาพนิ่งของงานอีเวนท์พี่ดูหมดแล้ว ไม่เห็นเงาที่ว่าเลย พอไม่มีเงายอดวิวมันเลยมาไงเจ”
“งั้นพี่ภาค พี่ถ่ายรูปผมให้หน่อย”
ภาคเห็นถึงความจริงจังของเจรมัย แต่ก็เห็นด้วยว่าควรจะพิสูจน์ ภาคยกกล้องมือถือขึ้นมาถ่ายเจรมัย และเมื่อตรวจภาพ ทั้งเจรมัยและภาคก็พบว่าภาพนั้นปกติ
“มันปกติแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ เรื่องชั่วร้ายนั้นมันคงพ้นเจไปแล้ว”
เจรมัยรู้สึกสบายใจขึ้น ภาคเองก็เช่นกัน
จินดายกกาแฟกับของว่างมาให้ภาคกับเจรมัย โดยวางถาดไว้บนโต๊ะ บังเหรียญที่ภาคคืนให้เจรมัย
“ขอบคุณน้าจินดามากเลยครับ แต่พอดีผมมีธุระที่อื่นต่อ”
“อ้าวเหรอ แหมน่าเสียดาย”
ภาคยิ้มเย้าพูดหยอก “งั้นขอใส่แก้วกลับบ้าน กับขนมใส่ถุงได้มั้ยครับ”
“เอาจริงมั้ยล่ะ” จินดาเล่นด้วย
“ผม ล้อเล่นครับ เดี๋ยวมาคราวหน้าผมจะแก้ตัวโดยการซื้อขนมมาฝากนะครับ”
“ได้จ้ะ”
“ผมไปล่ะครับ สวัสดีครับ”
ภาคกับเจรมัยเดินออกไปด้วยกัน จินดามองเหรียญบนโต๊ะที่เจรมัยลืมทิ้งไว้ไม่วางตา
เวลาผ่านไป จินดาไปรับจ๋ากลับมาถึงบ้านแล้ว
“จ๋านี่แม่มีของขวัญ ที่หนูตั้งใจอ่านหนังสือจนสอบเสร็จด้วยนะ”
จ๋าตื่นเต้น ยิ้มกว้างดีใจ
“อะไรคะ แม่”
“นี่ไงจ๊ะ ถุงใส่มือถือที่หนูเคยบ่นว่าอยากได้”
พร้อมกับว่าจินดาหยิบถุงเล็กๆ ลายน่ารักๆ ขนาดพอดีกับมือถือให้ดู จ๋าดีใจมาก
“ขอบคุณค่ะ แม่ รักแม่ที่สุดเล้ย”
“ถ้าชอบหนูต้องใช้ทุกวันเลยนะ”
“ได้เลยค่ะแม่ หนูไปอาบน้ำก่อนนะคะแม่”
จ๋ากอดหอมแม่แล้ววิ่งขึ้นห้องไป จินดามองตามอย่างโล่งใจ
อีกฟากหนึ่ง เจรมัยกับภาคมาบันทึกเสียงซิงเกิ้ลใหม่ที่ห้องบันทึกเสียงประจำ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ภาคคิดว่าเป็นเพราะเหรียญอันนั้น เลยไม่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น
“ดีมากเจ นี่พกเหรียญที่พี่ให้มาด้วยใช่มั้ย”
“เหรียญอะไรครับพี่”
“อ้าวก็เหรียญที่พี่เอาไปให้วันนั้นไง”
“อ่า โทษทีพี่ แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าผมเอาไปวางไว้ไหน”
ภาครู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก เพราะถือว่าการทำงานลุล่วงไปด้วยดี
ภาคเข้าห้องน้ำมาล้างมืออยู่หน้ากระจก สัมผัสถึงพลังบางอย่างที่คุกคามอยู่ด้านหลัง ไม่เท่านั้นไฟในห้องน้ำก็ดับพรึ่บลง ภาคผวา เอาแล้วไงโดนแน่แล้วกรู แต่ก็ยังทำใจดีสู้ผี เพราะเป็นคนไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พอหันหลังกลับจะเดินออกก็เจอผีสร้อยพียืนจังก้าจ้องหน้าอยู่แล้ว
“มึงอยากลองดีใช่มั้ย”
ผีสร้อยพีตะโกนใส่หน้าอย่างโกรธแค้น ภาคตกใจสุดขีดรีบกระโจนหนีออกจากห้องน้ำ แต่วิญญาณแค้นตามมาคว้าขาไว้ได้และจะลากกลับเข้าห้องน้ำ ภาคพลิกคว่ำพลิกหงายดิ้นรนหนีตายสุดกำลัง ผีสร้อยพีเห็นเจรมัยกำลังเดินตรงมาทางนี้ เป็นเหตุให้เธอตัดสินใจหยุดมือ ตะโกนใส่หน้าอีกว่า
“อย่ายุ่งกับพี่เที่ยง”
เจรมัยเห็นภาคนอนหงายอยู่ที่พื้นหน้าห้องน้ำก็สงสัย
“พี่ภาคๆ ทำไรอยู่น่ะ”
ภาครอดมาได้อย่างหวุดหวิด กวาดตามองหาผีแต่ก็ไม่พบ มีแค่เจรมัยที่กำลังเดินดิ่งมาหา ภาคตั้งสติได้รีบลุกวิ่งไปหาเจรมัยโดยไว
“เป็นไรหรือเปล่าพี่”
“ไม่มีไรแล้ว...ไปจากตรงนี้กันเถอะ”
ภาคหยิบโทรศัพท์ออกมาค้นหาเบอร์ใครคนหนึ่ง เจรมัยยกน้ำมาให้
“อ่ะพี่น้ำ ดื่มหน่อย ดูพี่ล๊กๆ นะ เป็นไรหรือเปล่า”
“เปล่าๆ ทำงานต่อเถอะ”
ภาคหาเบอร์จนเจอ รีบกดหาใครคนนั้นทันที
บรรยากาศรอบบ้านหลังนี้ร่มรื่น และมีความเก๋อยู่ในตัว บอกให้รู้ว่าเจ้าของบ้านคงเป็นฮิปสเตอร์ตัวพ่อ มีทั้งจักรยานเก๋ๆ มอเตอร์ไซค์โบราณ ภาคนั่งรออยู่ในห้องรับแขกที่ประดับด้วยของตกแต่งอันเป็นเอกลักษณ์
เวลาผ่านไปภาคคุยกับพีทถึงเรื่องแปลกๆ ที่เข้ามาพัวพันในชีวิตจบลงแล้ว
“เอาตรงๆ เลยนะ ฐานะที่เราเป็นเพื่อนเก่ากันมานาน กูว่า มึงกับน้องที่มึงดูแลอยู่ คงจะลำบากอีกยาวโดยเฉพาะมึง ภาค มึงไปลบหลู่มัน”
“ลบหลู่ยังไง”
“ก็มึงอยากกำจัดมันไม่ใช่เหรอ นั่นแหละ ลบหลู่”
“อ้าว ก็มันทำให้กูหากินลำบาก”
“นั่นมันเหตุผลมึง ผีมันไม่สนหรอก มันเล่นมึงแน่”
“งั้นมึงก็ออกไปช่วยกูซิ”
“มึงลืมใช่มั้ย เดือนหน้าเดือนเกิดกู”
ภาคเซ็ง “หมายถึงจะเอาของขวัญ มันใช่เวลามั้ย”
“ไม่ใช่โว้ย ทุกเดือนเกิด กูจะดวงตกสุดๆ ขืนออกไปทำอะไรหรือไปช่วยใครในเรื่องแบบนี้ มีแต่จะโดนของเข้าตัว ช่วยมึงก็ไม่ได้ แถมกูเองก็ยังเอาตัวไม่รอด”
พีทลุกไปหยิบบางอย่างในตลับบนหิ้ง เดินเลยไปหยิบเบียร์กระป๋องในตู้เย็น แล้วเดินกลับมาหาภาค ยื่นของในมือให้
“อ่ะเก็บไว้ ป้องกันตัว”
“เบียร์เนี่ยนะ” ภาคยิ่งงง
“มึนแล้วมึงเนี่ย”
พีทขยับให้เห็นว่าข้างกระป๋องเบียร์ในมือมียันต์อยู่ด้วย
“ยันต์ท่านเจ้าคุณ พกไว้อย่าห่างตัวแล้วจะดี”
ภาครับเอาไว้แล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อทันที
“แล้วนี่ก็รับเบียร์ไปด้วย เย็นมือ เออ ไหนขอดูมือถือหน่อยซิ”
“ไม จะชวนเปลี่ยนเบอร์ เสริมดวงหรือไง”
“โอ๊ย…เรื่องนั้นเบื่อจะพูดแล้ว บอกเปลี่ยนแล้วจะรุ่งๆ ก็ไม่เชื่อแล้วเป็นไง วันนี้โดนผีเล่นซะเลย สม จะเปลี่ยนก็ไม่ทันแล้ว ที่ขอเนี่ย จะขอดูรูปเจรมัย ที่ว่าแปลกๆ น่ะ มันเป็นยังไง”
“งี้เอง อ่ะแล้วก็ไม่พูดให้หมด”
พีทดูภาพเจรมัยจากมือถือภาค ทุกอย่างดูเป็นปกติ
“แต่ก่อนภาพของเจ มันจะมีเงาดำแปลกๆ พาดทุกรูป แล้วนี่ก็ภาพล่าสุดที่ดูปกติมาก ไม่มีเงาที่ว่าแล้วมีไอเดียอะไรมั้ย ว่าทำไมเงานั้นมันหายไป”
“ก็มีเหตุผลเดียวว่า ผีนั่น มันอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายแล้วก็ได้”
จริงดังที่พีทตั้งข้อสังเกต
ที่สำนักพิมพ์ เจนจิราเดินมาตามทางเดินในออฟฟิศ พร้อมถ้วยกาแฟรสโปรด บ.ก.สาวเปรี้ยวพาตัวเองมานั่งที่โต๊ะทำงาน เสียบสายจากมือถือเข้ากับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คบนโต๊ะ
ภายในห้องทำงานวันนี้บรรยากาศดูแปลกๆ ไป จู่ๆ คนอื่นก็เดินออกไปจนหมด ห้องเลยยิ่งดูวังเวงอย่างบอกไม่ถูก จอคอมฯ ปรากฏกล่องรูปภาพที่โหลดจากมือถือของเธอ
“โหลดรูปซะหน่อย หลายวันแล้วไม่ได้ทำซะที”
ขณะที่เจนจิราดูรูปไปจิบกาแฟไปนั้นเอง บางอย่างบนจอก็ทำให้เธอกลืนกาแฟไม่ลง
“กล้องเป็นไรอีกวะเนี่ย”
ปรากฏว่าภาพมัลลิกาที่เจนจิราถ่ายก่อนขึ้นเวทีงานอีเวนท์ทุกรูปมีเงาดำพาดอยู่
จำนวนยอดวิวเพลงของเจรมัย ในยูทูป ไต่อันดับขึ้นเรื่อยๆ นักศึกษา และ พนักงานออฟฟิศ ตลอดจนกลุ่มวัยรุ่นดูคลิปที่เจรมัยกำลังอัดเสียงเพลงเดียวกันนี้แล้วกดแชร์ต่อเป็นจำนวนมาก
เจรมัยกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง วันนี้เขามาสัมภาษณ์ที่ห้องจัดรายการของสถานีวิทยุคลื่นดังขวัญใจคนฟัง มีดีเจชื่อดัง ผู้ช่วย และ เจรมัย อยู่ในนั้น
“ต้องขอบคุณ คุณเจ เจรมัย และ พี่ภาคนะครับ ที่มาร่วมรายการกับเรา จนครบ 1 ชั่วโมงเต็ม”
“ผมขอบคุณเช่นกันที่ให้โอกาสผมวันนี้ครับ”
“ผู้ฟังครับ ต้องบอกเลยว่า นักร้องป๊อปปูลาร์โหวต อันดับหนึ่งที่หลังได้รับรางวัลแล้ว แทนที่จะกระพือกระแสเหมือนกับคนอื่น แต่คุณเจกลับหายเงียบไปเป็นเดือน ไม่มีข่าวไม่มีผลงานหลุดรอดออกมาเลย แต่วันนี้พอปรากฏตัว ก็กลายเป็นว่า สามารถสร้างยอดวิวได้แบบไม่ธรรมดาจริง”
เจรมัยขอบคุณครับ
“ในช่วงท้ายของรายการคุณเจ มีอะไรฝากถึงแฟนคลับหน่อยมั้ยครับ”
ภาคอยู่อีกฟากของห้องจัดรายการชูนิ้วโป้งให้เจรมัย ว่าวันนี้เราได้เริ่มมาถูกทางแล้ว เจรมัยยิ้มรับด้วยความยินดี
จู่ๆ ดีเจก็น้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เฮ้ยๆ ดูๆ ยอดวิว ยอดทวิตซิ ยังขยับไม่หยุดเลย ไม่ได้การแล้วทุกๆคน ผมว่าต้องจับตามองเจรมัยไว้ให้ดีนะครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่จะไม่พลาด”
เจรมัยเดินออกมาจากห้องพร้อมกับภาค ซึ่งทางสถานีได้รับรองนักข่าว 5-6 คนไว้จำนวนหนึ่ง ที่รอสัมภาษณ์อยู่
“เจ เดี๋ยวให้นักข่าวสัมภาษณ์ต่ออีกหน่อย ทางนี้”
“โห พี่ทำอย่างกับผมดังมาก แล้วเค้าจะสัมภาษณ์ผมเรื่องไรเนี่ย”
“เดี๋ยวก็รู้”
นักข่าวรุมสัมภาษณ์เจรมัยเรื่องที่กำลังตกเป็นข่าวกุ๊กกิ๊กกับนางแบบหน้าใหม่
“จากวันเปิดตัวหนังสือ คุณเจ ได้เคลียร์กับคุณแคทหรือยังคะ” นักข่าว1 ยิงคำถาม
“เรื่องแคทเหรอครับ”
เจรมัยงง หันไปมองภาคเชิงถาม แต่ภาคกลับมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เจรมัยรู้ว่าเขาต้องจัดการเรื่องนี้เอง
“เคลียร์อะไรครับ”
นักข่าว2 ซักว่า “ก็ตอนนี้เค้าว่ากันว่า คุณเจหันไปสนใจมือที่สาม ที่เป็นนางแบบหน้าใหม่น่ะครับ”
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ...”
ยังไม่ทันขาดคำ แคทลียาก็ปรากฏตัวขึ้นสวมแว่นดำเดินเข้ามาพอดี นักข่าวคนหนึ่งหันไปเห็นรีบเรียกไว้ ก่อนจะปลีกตัวไปชวนแคทลียาเข้ามาร่วมสัมภาษณ์
“คุณแคทมาตรงเวลาพอดีเลย เดี๋ยวฉันไปพามา รอกันแป๊บ”
แคทลียาเดินตามนักข่าว3 เข้ามาร่วมสัมภาษณ์คู่กับเจรมัย
ภาคเห็นก็ประหลาดใจว่าแคทลียามาได้ยังไง
“แคทมาได้ไงวะ ต้องเป็นพวกนักข่าวแน่ ที่นัดมาชนกัน จะพังหรือเปล่าวะเนี่ย”
นักข่าว1 ถามแคทลียาว่า “เรื่องมันเป็นยังไงคะคุณแคท เรื่องที่คุณเจมีข่าวกับนางแบบคนนั้น”
“แคทไม่อยากจะพูดมากนะคะเรื่องนี้ แคทรู้สึกว่าแคทเป็นผู้ถูกกระทำ"
นักข่าว2 ซักทันที “เรียกว่ามือที่สามหรือเปล่าครับ”
“ตั้งแต่เกิดเหตุ แคทก็ยังไม่ได้คุยกับเจเลยค่ะ แคทว่าตอนนี้แคทยังทำใจไม่ได้”
นักข่าว1 ถามอีกว่า “แล้วหลังจากนี้คุณแคทกับคุณเจ สถานะเป็นยังไงกันแล้วคะ”
แคทลียายืนนิ่งไม่ยอมตอบอะไร แต่ทุกคนกลับเห็นว่าน้ำตาแคทลียาค่อยๆ ไหลรินออกมา ก่อนที่หล่นจะอถอดแว่นดำเพื่อเช็ดน้ำตา
นักข่าวกดชัตเตอร์รัวๆ ยิงคำถามกันไม่ยั้ง
“คุณเจคะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น คุณเจช่วยอธิบายอะไรหน่อยได้มั้ยคะ”
“แล้วเรื่องคุณกับนางแบบคนนั้นเป็นยังไงบ้างคะตอนนี้”
แคทลียาคอยเหลือบมองว่าเจรมัยจะตอบยังไง ภาคอ่านเกมขาด หากไม่พลิกสถานการณ์ เจรมัยได้ล้มตึงแน่จึงรีบแทรกตัวเข้ามา
“คืองี้ครับน้องๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรมากครับ”
นักข่าว1 หันมาถามภาค “ไม่มีอะไรมากได้ยังไงคะพี่ภาค ภาพมันก็ฟ้องอยู่นะคะ”
“คืองี้ครับ เหตุการณ์วันนั้นเป็นเรื่องของสคริปต์น่ะครับ เหตุการณ์วันนั้นพอดีเรากับทีมงานหนังสือเห็นว่าหนังสือก็เป็นหนังสือใหม่ และก็เป็นของพี่สาวเจรมัย เราก็เลยคิดว่าจะน่าเป็นการดีที่เราจะเปิดตัวเพลงใหม่ของเจรมัย ไปด้วยพร้อมกันเลยน่ะครับ”
ทุกคนฮือฮา ส่วนแคทลียาและเจรมัย ต่างงุนงงสงสัยกับคำอธิบายของภาคอยู่
“แล้วเรื่องนางแบบใหม่คนนั้นล่ะคะ” สายเผือกถามซัก
“ไม่มีอะไรครับ ผมบอกแล้วว่ามันเป็นแค่สคริปต์ และตอนนี้ผมกำลังจะถ่ายเอ็มวีตัวใหม่ของเพลงนี้อยู่ กำลังจะทาบทามนักแสดงคนนึงมาเล่นเอ็มวีพอดี” ภาคหันมาทางแคทลียา “ไหนๆ ก็เจอละ คุณแคทครับ ผมอยากให้คุณมาเล่นเอ็มวีเพลงนี้ของเจ คุณแคทยินดีเล่นมั้ยครับ”
แคทลียาได้ยินก็ยิ้มปลื้มลืมทุกข์ น้ำตาที่ไหลรินก็เหือดแห้งไปทันควัน
“เล่นค่ะ พี่ภาค ขอบคุณนะคะ แคทยินดีที่สุดค่ะ”
เจรมัยยังยืนอึนๆ งงๆ อยู่ ขณะที่ภาคและแคทลียาต่างยิ้มแย้มมีความสุข
เสียงโทรศัพท์มือถือของภาคดังขึ้น เขาหยิบมาดู เห็นเป็นสายจากเฮียเจ้าของค่ายเพลง
“สวัสดีครับเฮีย”
เสียงเฮียดังลอดออกมาว่า “เห็นข่าวแล้วที่เจรมัยให้สัมภาษณ์น่ะ ตอบดี มันต้องแบบนี้ภาค ทำดีแล้ว ตอนนี้ทางการตลาดก็เริ่มกลับมาขยับทันที”
“ครับ”
“ทำต่อไปภาค เฮียรอดูผลงานอยู่”
เจรมัยดิ่งมาหาภาคด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
“เอ็มวีไรอ่ะพี่ภาค ผมยังไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“เอาน่ะ ไงเพลงนี้ก็ต้องทำเอ็มวีอยู่แล้ว พี่ก็ต้องพูดไปแบบนั้นล่ะ ไม่งั้นข่าวออกไปแบบที่แคทให้ข่าว เพลงกะลังมา จะร่วงเอาซะเปล่าๆ”
เจรมัยนิ่งไปเหตุผลของภาค และเข้าใจว่านี่คือวงการบันเทิง
“แล้วเรื่องแคทเนี่ย ตอบคำถามนักข่าวไรก็ตอบให้กลางๆคลุมเครือๆ เข้าไว้ละกันนะ ไม่ต้องยอมรับหรือปฏิเสธอะไร”
“แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับแคทเลยนะพี่”
“คิดหรือไม่คิดไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ทำให้นักข่าวอยากรู้ เราจะได้ยังอยู่ในข่าวนี่ล่ะ สำคัญสุด”
เจรมัยนิ่งงันไป
“แล้วเรื่องคอนเซ็ปต์เอ็มวีเนี่ย พี่คิดว่ามันต้องใหญ่ๆ เวิลด์ไวด์ หน่อย เพลงรักทั่วไปก็มีแค่คนสองคนรักกัน มันน่าเบื่อไปละ ช่วงนี้ข่าวเจก็ไม่ค่อยดี ต้องทำแบบชูภาพลักษณ์หน่อย รักคน รักษ์โลก รักเพื่อนมนุษย์เลย ดีมะ”
“อันนี้แล้วแต่พี่เลยครับ”
เจรมัยจนใจต้องตามน้ำไป อึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกที่จะเดินห่างออกไป
ภาคมองตาม รู้ดีว่าเจรมัยรู้สึกยังไง แต่เขาก็ต้องเลือกงาน จะมามัวห่วงความรู้สึกกันไปมาไม่ดีแน่
ภาคผ่อนลมหายใจ แล้วเดินตามหลังเจรมัยไปอย่างช้าๆ
ภาคเดินมาเจอแคทที่ยืนรออยู่แล้ว
แคทตามน้ำได้เนียนเชียวนะพี่ภาค
ภาคแคท
แคทพี่ภาคนี่ร้ายกว่าที่แคทคาดไว้อีกนะเนี่ย
ภาคเธอก็ไม่เบา ไหนจะเรื่องนักข่าวที่เอาแต่จี้ประเด็นมือที่สาม กับเรื่องน้ำตาของเธอ
แคทน้ำตานี่.. ของจริงนะ
ภาคไม่จริง พี่รู้
แคทอ่ะ ยอม
ภาคแล้วพร้อมมั้ยสำหรับนางเอกเอ็มวี พี่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าคิวยากพี่จะได้หาเรื่องเปลี่ยนตัวซะเลย
แคทแคทเทคิวให้อยู่แล้ว สำหรับ.. เจ
พี่ภาคยิ้มด้วยความแอบปวดหัวกับความเป็นแคทจริงๆ แคท มีทีท่าอยากจะบอก จะถามไรบางอย่าง
“แล้ว เอ็มวี เนี่ย เรื่องเป็นยังไง พี่ภาค”
“ก็มั่วตอบนักข่าวไป จะมีเรื่องมาจากไหนล่ะเธอ”
“เยี่ยมเลย แคทมีเรื่อง แล้วก็บอกนักข่าวไปแล้วด้วยนะ”
ภาคงง “อะไรของเธอ”
“คือ แคทอยากให้การเปิดตัวระหว่างพี่เจกับแคท มันเป็นข่าวข่าวดีๆ น่ะพี่ ไม่ฉาวแล้ว แคทเบื่อ แคทเลย บอกนักข่าวว่าการทำเอ็มวีเนี่ย จะเป็นการกุศลระดมทุนให้กับผู้พิการทางสายตา”
“เอาแล้วไง ทำไรไม่ปรึกษา”
แคทลียายังอึกอัก อยากจะพูดต่อ
“แล้ว...”
“ยังไม่หมดอีกเหรอ”
แล้วแคทก็บอกว่า “ในเอ็มวีจะมีนักดนตรีตาบอดมาร่วมในเอ็มวีด้วยอ่ะพี่”
ภาคปวดตับอยากจะบ้า “โอ๊ย แคท เอ็มวีเราจะออกมาอีท่าไหนเนี่ย พี่รีบไปแก้ข่าวกับนักข่าวทันมั้ยเนี่ย”
“พี่ภาค…”
“เฮ้ย ยังไม่หมดอีกเหรอ”
“หมดแล้วๆ แต่แคทจะบอกว่า เรื่องนักดนตรีตาบอดไม่ต้องเครียดนะ แคทรู้จักอยู่คนนึงเดี๋ยวจัดการดีลเอง”
เรื่องราวเมื่อในอดีต
นายโพนเดินหาสร้อยพีกับเที่ยงอยู่ในเรือนแถวที่พักซึ่งท่านโสภณจัดไว้ให้ พยอมกำลังซ่อมตะลุงอยู่ ข้างๆมีสนเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาช่วย พอเห็นนายโพนเดินเข้ามาเหมือนมองหาใครพยอมก็เลยเอ่ยทักถาม
“หาใครอยู่เหรออาโพน ถ้าห่วงพี่ทองจะไปหาเหล้ากินที่ไหนล่ะก็ไม่ต้องห่วงนะ เพราะว่าพี่ทองเมากลับมาแล้ว โน่นหมดสภาพอยู่ตรงนั้นแล้วอา”
“เปล่าอาไม่ได้หาไอ้ทองหรอก ชักจะปลงกับมันแล้ว”
“งั้นอาก็หาไอ้เที่ยงกับสร้อยพีใช่มั้ย เห็นว่าออกไปไล่ๆ กัน ตั้งแต่สายแล้ว”
“ไปด้วยกันเหรอ”
“ไม่แน่ใจนะ” พยอมว่า
“แหม อา ไม่ห่วงมันหรอก มันโตๆ แล้ว เอ...หรือจริงๆ ไม่ได้ห่วงเที่ยง แต่เป็นห่วงลูกสาวหรือเปล่าเนี่ย” สนกระเซ้าเย้าแหย่
พยอมนึกสนุกพลอยผสมโรงไปด้วย
“นั่นซิ อยู่บ้านนอก เห็นหน้าเห็นหลังกันตลอดแต่มาอยู่นี่หายหน้าปุ๊บหวงปั๊บ อา พี่เที่ยง ก็เป็นคนดีอยู่น้า”
“เรือล่มในหนองทองจะไปไหน” สนยิ้มร่าเริง
“พวกเอ็ง พูดอะไรเป็นเล่นไปหมด” นายโพนเอ็ดน้ำเสียงขุ่น
พยอมกับสนโดนเอ็ดก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“เรื่องสนุกที่จะยุส่ง คนนั้นให้คนนี้ คนนี้ให้คนนั้น จริงๆ มันอาจจะไม่สนุกก็ได้”
พยอมกะสนพยักหน้ารับ “จ้ะ”
“เดี๋ยวซักพัก ข้าจะกลับนะ” นายโพนเดินออกไป
สร้อยพี เที่ยง และ มาลี เดินเข้ามาตรงลานกว้างด้วยกัน ที่ด้านหลังมีเพ็ญเดินตามมาห่างๆ
“บริเวณนี้ล่ะจ้ะนายเที่ยง ที่คณะของนายเที่ยงจะต้องจัดแสดง”
สร้อยพีเหลียวมองรอบๆ “โอ้โห ที่ใหญ่โตเชียว”
“ก็แขกเหรื่อค่อนข้างเยอะน่ะจ้ะ และที่สำคัญ ฉันกับพ่อตั้งใจจะให้คนละแวกนี้เข้ามาดูการแสดงด้วยน่ะซิ ของพิเศษๆ แบบนี้ เก็บไว้ให้คนดูไม่กี่คนเสียดายแย่”
“คุณมาลี พูดแบบนี้ผมกับสร้อยพีก็ลอยพอดี”
“นั่นซิ” สร้อยพีว่า
มาลีถามขึ้นว่า “สร้อยพี ขึ้นมาบางกอกบ่อยมั้ย”
“ไม่เคยจ้ะ นี่ครั้งแรก”
“แล้วเป็นไง เริ่มคุ้นหรือยัง”
“ก็…ยังไม่คุ้นเท่าไหร่จ้ะ จะไปไหนมาไหนก็กลัวจะหลง”
“เอางี้ซิ เดี๋ยวหาโอกาสไปเที่ยวกันมั้ย ฉันจะพาไปเอง รับรองไม่หลง”
“ขอบ...”
สร้อยพียังไม่ทันพูดขอบคุณจบคำ เที่ยงก็ชิงพูดขอบคุณขึ้นมาแทน
“ขอบคุณมากเลยขอรับ พวกกระผมก็มีแต่ผู้ชาย ไม่รู้ว่าจะไปมาตรงไหน แถมจะไปแบบที่ผู้หญิงในพระนครเค้าไปกันนี่อีกยิ่งจนปัญญาไปกันใหญ่”
“ได้เลย นายเที่ยงไม่ต้องเกรงใจนะ”
สร้อยพีรู้สึกแปลกๆ ที่เที่ยงพูดแทรกขึ้นมา และดูว่าทั้งสองคนจะลืมตนเองไปซะเฉยๆ เพ็ญสังเกตเห็นท่าทีขุ่นเคืองของสร้อยพี
“เดี๋ยวพี่เที่ยงจะอยู่แถวๆ นี้ใช่มั้ย สร้อยพีขอเดินไปดูตรงโน้นหน่อยนะ”
“เอาซิ เดี๋ยวกลับมาเจอกันตรงนี้นะ”
สร้อยพีเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เที่ยงเองก็ไม่ได้สังเกต
“อืม แล้วเรื่องงานก่อสร้างเวที...”
เที่ยงท้วงอีกว่า “น่าจะเรียกว่าตั้งเครื่องมากกว่าขอรับ”
“อ้าวเหรอ” มาลีหัวเราะขำตัวเอง “ฉันเนี่ยปล่อยไก่จนได้ ทั้งๆ ที่อ่านมาอย่างดีแล้วนะ”
เที่ยงเห็นก็พลอยหัวเราะไปด้วย
สร้อยพีหลบมุมยืนดูอยู่ห่างออกมา เห็นเที่ยงกับมาลีหัวเราะชอบใจกันก็ยิ่งขุ่นมัวในอารมณ์
ระหว่างนี้มิสเตอร์โรเบิร์ต ฝรั่งซึ่งเป็นลูกจ้างของพ่อค้าฝรั่ง เดินเข้ามากับคณะอีก2คน เพื่อดูความพร้อมการจัดงาน โดยมีกิ่งเดินมาส่ง
โรเบิร์ตทักทายและสนทนากับมาลีเป็นภาษาอังกฤษ
“สวัสดี คุณมาลี”
“สวัสดีค่ะ คุณโรเบิร์ต”
“ผมเอาของกำนัลจากเวียนนามาให้ท่านโสภณ แล้วนี่ก็จะกลับแล้ว แล้วงานเลี้ยงรับรองพร้อมดีใช่มั้ยครับ”
“พร้อมแน่นอน คุณโรเบิร์ตสบายใจได้ อ้อ แล้วนี่ดิฉันขอแนะนำ เที่ยง”
“สวัสดีครับนายเที่ยง”
เที่ยงเกร็งหนักที่เห็นฝรั่งยื่นมือเข้ามาหา ทำไรไม่ถูก เพ็ญพยักพเยิดบอกใบ้ให้เชคแฮนด์ เที่ยงงงๆ ในเบื้องแรกแต่ก็ลองทำตาม เชคแฮนด์กับฝรั่ง เพ็ญยิ้มโล่งอก
“สวัสดีครับ”
“สวัสดี” โรเบิร์ตพูดไทยสำเนียงฝรั่ง
มาลีอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ “เที่ยงเค้าเป็นหัวหน้าคณะตะลุงที่จะแสดงในคืนวันงาน”
โรเบิร์ตทวนคำช้าๆ “ต ะ ลุ ง”
“ใช่ ตะลุง”
โรเบิร์ตมองฉงน “มันคืออะไรเหรอ”
“บอกได้คำเดียวว่า ถ้าพลาดไม่ได้ชม รับรองจะผิดหวังไปอีกนาน”
โรเบิร์ตชอบใจที่มาลีมีวิธีบอกเล่า วิธีสนทนาที่น่ารัก คุยสนุก จนหัวเราะออกมา
“ผมไม่พลาดแน่นอน”
เที่ยงเอง ได้แต่ “อืม...อ๋อ...อ้อ” หัวเราะไปกับคนอื่นๆ ทั้งที่ฟังภาษาไม่ออก
มารศรียืนมองกลุ่มนี้อยู่เช่นกัน และอ่านออกว่าสร้อยพีรู้สึกยังไงกับเที่ยง สร้อยพีนั่งมองเที่ยงคุยกับฝรั่งอยู่
“มานั่งทำอะไรคนเดียวตรงนี้จ๊ะ สร้อยพี”
สร้อยพีหันมาเห็น จำได้ว่าคือคุณหนูมารศรีลูกสาวท่านคหบดี ส่วนมารศรีทำเป็นมองตามสายตาสร้อยพีไป พร้อมกับพูดขึ้นมาลอยๆ
“อ๋อ มากับมาลีนี่เอง เห็นมั้ยมาลีนี่เก่ง มีแต่ผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังไปหมด แต่อย่างว่าละ คนแบบนี้ ไม่ค่อยสนอะไรหรอก ได้หมดทั้งฝรั่ง ทั้งไทย เค้าไม่ค่อยถือกันเนอะ อืม ฉันพึ่งรู้ว่า เที่ยงกับเธอไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ... จริงๆ แล้วเธอเป็นไรหรือจ๊ะ”
มารศรีหลอกล่อถาม
“ก็เป็นพี่...ที่โตมาด้วยกันน่ะค่ะ” สร้อยพีอึกอัก อยากจะบอกความรู้สึกตัวเอง
มารศรีมองประเมิน และอ่านออกว่าสร้อยพีรู้สึกยังไง
“ไงก็ดูๆ พี่เธอเอาไว้หน่อยแล้วกัน อย่างที่ฉันเคยบอกน่ะ แสงสีเมืองหลวง มันน่ากลัวกว่าที่เธอคิดเยอะ”
มารศรีเดินจากไป
สร้อยพีหูเบา เริ่มความไม่พอใจมาลีขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าเที่ยงโดนหลอก
จากมุมที่ไม่มีใครสังเกต ทางนายโพนเดินมาหยุดดูเหตุการณ์ และเห็นสร้อยพีแอบมองเที่ยงหัวเราะอยู่กับมาลี ด้วยสีหน้าท่าทางดูออกว่าไม่พอใจมาก นายโพนมองสงสาร แต่ก็จนใจไม่รู้จะแก้ไขความรู้สึกลูกสาวอย่างไร
แคทลียามาตามหาลุงพัฒน์ เดินไปดูตามที่ต่างๆ ในโรงพยาบาล แต่ก็หาไม่พบ ไปตรงไหนก็มีแต่คนขอถ่ายรูป แคทก็ยินดีทุกครั้งแคทเดินมาเห็นที่รีเซพชั่น
“อ่า ทำไมเราไม่มาถามเค้าแต่แรกหว่า คุณน้องคะ ไม่ทราบว่า ที่ตรงนั้นเค้ามีเล่นดนตรีกันใช่มั้ยคะ”
“อ๋อ ค่ะ มีค่ะ”
“แล้วในวงมีคุณลุงตาบอดคนหนึ่งใช่มั้ย”
“ค่ะ ชื่อลุงพัฒน์”
“แล้วลุงไปไหนแล้วคะ ทราบมั้ย”
พนักงาน 1 บอกว่า “ลุงเค้าเล่นเสร็จจะชั่วโมงแล้วนะค่ะ น่าจะออกไปแล้ว”
“แล้วพอจะมีเบอร์ติดต่อไหม”
“มีค่ะ”
พนักงานให้เบอร์ติดต่อลุงพัฒน์ไป แคทลียากดเบอร์เมมไว้
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณแคทคะ”
“คะ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ” พนักงานคนนั้นบอก
“ได้ค่ะ”
แคทลียาหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาทำท่าจะถ่ายรูปกับพนักงาน
“เอ้า ยิ้มค่ะ”
พนักงานทำหน้าเหลอหลา งงกับมุกแคทลียา
“ล้อเล่นค่ะ มาค่ะ เซลฟี่กัน” แคทลียาคว้ามือถือของพนักงานมาถ่ายให้
สองพนักงานพากันหัวเราะขำกับมุกของดาราไฮโซคนดัง รอจนแคทลียาเดินพ้นไปแล้ว พนักงานก็เริ่มซุบซิบกันมันส์ปาก
“น่ารักชิบ คิดว่าจะแรงจะหยิ่งซะอีก”
“ช่วงนี้เธออยู่ในโหมดอินเลิฟ ไม่ได้อ่านข่าวล่ะซิแก คนมีความรัก เค้าจะดูร่าเริงเป็นธรรมดา”
“ชอบว่ะ”
ฝ่ายแคทลียากำลังกดโทรศัพท์หาลุงพัฒน์
“ฮัลโหลลุงพัฒน์ หนูแคทนะคะ หนูมีเรื่องจะรบกวนคุณลุงนิดหน่อย ตอนนี้ลุงอยู่ตรงไหนคะ”
หลังจากนั้นไม่นาน แคทลียาก็พาตัวเองมานั่งคุยกับลุงพัฒน์ ตรงมุมพักผ่อนในบ้านของลุงพัฒน์
“คุณมีธุระ อะไรกับผมเหรอ”
“คืองี้ค่ะคุณลุง แคทอยากให้คุณลุงไปช่วยเล่นดนตรีให้หน่อยน่ะค่ะ เรื่องค่าตัวคุณลุงไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแคทจ่ายให้เต็มที่”
“งานอะไรเหรอคุณ แล้วเล่นอะไรวันไหน”
“ก็งานเอ็มวีน่ะค่ะลุง รู้จักมะ ถ่ายเอ็มวีน่ะ ถ่ายวันเสาร์ ลุงว่างมั้ย”
“วันเสาร์ผมไม่ว่างหรอกครับ ผมต้องไปเล่นที่โรงพยาบาล”
“เล่นที่โรงพยาบาล มันจะได้ตังค์สักเท่าไหร่เชียวลุง หยุดสักวันคงไม่เป็นไรมั้ง”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมเกรงใจคนที่เค้ารอดูอยู่”
“รอดง รอดูไรกันลุง โรงพยาบาล เล่นไปก็ไม่มีใครใส่ใจหรอก”
“คนดูถึงจะมีมาก มีน้อย แต่คนที่เค้ามาฟังก็คือคนที่เค้าตั้งใจจะมานะครับ อีกอย่าง มันก็ช่วยให้คนที่เค้าป่วย เครียดต้องมา โรงพยาบาลก็ได้ผ่อนคลายขึ้น”
“โหย ลุง จะอะไรกันนักกันหนา ไปเล่นเหอะ นี่แคทก็รับปากเค้าไปแล้วด้วยว่า จะหาคนให้ อีกอย่างนะลุง นี่ศิลปิน ก็คือเจรมัย ที่ดังอันดับต้นๆ เลยนะลุง รู้จักรึเปล่า” ตอนท้ายแคทลียารำพึงรำพันกับตัวเองว่า “นี่ถ้าไม่รักไม่ทำให้ขนาดนี้นะเนี่ย”
“คุณว่าศิลปินชื่ออะไรนะ”
“เจรมัย ลุง ศิลปินชื่อ เจรมัย แฟนแคทเอง” แคทลียารำพึงรำพันกับตัวเองอีกว่า “นี่ตาไม่ดีแล้วหูยังไม่ดีอีกเหรอวะเนี่ย”
“ตามนี้นะลุง ไม่พูดไม่จาแบบนี้แสดงว่าตอบรับ”
แคทลียาเห็นลุงพัฒน์เงียบไปสักพัก จึงลุกขึ้นจะกลับ
ลุงพัฒน์เรียกไว้ “เดี๋ยวคุณ”
“อะไรอีกเนี่ย ลุงจะมีปัญหาอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยจะไปถ่ายที่ไหน”
แคทลียานึกได้ว่ายังไม่ได้บอกสถานที่นัดหมาย
“เออจริง ที่ไหนล่ะ อ่ะ เอาเป็นว่าลุงรออยู่นี่ละกัน ยังไงแคทจะให้คนมารับนะ”
แคทลียาเดินออกไปแล้ว ลุงพัฒน์นั่งนิ่ง ทวนชื่อเจรมัยอย่างสนใจ
“เจรมัย”
อ่านต่อ ตอนที่ 11
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่10 #thaich8 #ละครออนไลน์