เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 9
เจรมัยจูงแขนแคทลียาออกจากออฟฟิศ ตรงมาที่ลานจอดรถ บอกอย่างไม่พอใจ
“ผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะ”
“ทำไม เจต้องปกป้องอะไรผู้หญิงคนนั้นนักหนา แคทก็พูดตามที่เห็น ทำไมเจต้องมีอารมณ์ขนาดนี้ หรือว่าเจคิดไรกับเค้า”
เจรมัยนิ่งไป
“ว่าไงเจ ตกลงเจคิดอะไรกับเค้าใช่มั้ย”
เจรมัยนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่งจึงตอบเลี่ยงๆ ออกไป
“นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องแบบนี้ แล้วผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของแคทด้วย แคทกลับไปได้ละ”
“ไม่ เจต้องตอบแคทมาก่อน”
“งั้นผมไปก่อนนะ”
เจรมัยเดินไปที่รถตัวเองแล้วขับออกไปเลย แคทลียาได้แต่ขึงตามองตามด้วยความหงุดหงิดสุดจะประมาณ
ในรถที่เจรมัยขับแล่นมาตามทาง ในใจของเขาคิดกังวลแต่เรื่องมัลลิกา
อีกฟากหนึ่ง มัลลิกานั่งอยู่ริมแม่น้ำ มองดูเรือโดยสารผ่านไปมาอย่างคนใจลอย สักครู่หนึ่งภวัตเดินเข้ามาหายื่นน้ำดื่มให้มัลลิการับมา
ภวัตมองหน้ามัลลิกา อยากรู้แต่ไม่อยากถาม ลงนั่งเป็นเพื่อนไปเงียบๆ
“เฮ้อ.....” มัลลิกาถอนหายใจยาวเหยียด “ทำไมช่วงนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ เจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้”
“มะลิ มีไรไม่สบายใจก็บอกผมได้นะ ถ้าคิดว่าผมช่วยได้”
มัลลิกาหันมามองหน้าภวัต ยิ้มเชิงขอบคุณมาให้ ภวัตยิ้มรับ มาดแมนแสนจะดูอบอุ่น
“ไม่มีไรมากหรอกค่ะ ช่วงนี้คงดวงตกน่ะ อยู่ดีๆ ความซวยก็พุ่งเข้าใส่ หรือว่าเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องแย่ๆ เองก็ไม่รู้ ถ้าเอาตัวเองออกมาซะคงดีกว่า เดี๋ยวก็คงผ่านไป เนอะ”
ภวัตมองมัลลิกาด้วยแววตาห่วงใย อยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสกายปลอบโยน แต่ก็ไม่ทัน มัลลิกาลุกขึ้นไปซะก่อน
“เซ็งโว้ย” มัลลิกาป้องป้างตะโกนไปในแม่น้ำ
มีคนที่นั่งอยู่แถวๆ นั้นหันมามอง แต่มัลลิกาก็ไม่ได้สนอะไร
“กลับเถอะภวัต ขอบคุณนะที่มาอยู่เป็นเพื่อน”
ภวัตยิ้มอ่อนโยนแสนอบอุ่นให้ ลุกตามมัลลิกา
“มะลิ หิวมั้ย แวะกินไรก่อนกลับมั้ย”
“ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากๆ นะ แล้วเดี๋ยวมะลิกลับเองเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องรบกวนภวัต แค่มาเป็นเพื่อนแค่นี้ก็เกรงใจมากแล้ว”
ภวัตยังไม่ทันตอบอะไร
“ไปนะ บาย”
มัลลิกาเดินออกไปเลย สีหน้าภวัตที่พยายามฝืนยิ้มให้ก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
ภวัตยืนมองมัลลิกกาอยู่ตรงที่เดิมทั้งห่วงใยและเสียใจ
ย้อนกลับไปในอดีต บรรยากาศเรือนไม้ห้องแถวตั้งอยู่สุดซอย ครึ่งหนึ่งของซอย เป็นบ้านของคหบดีโสภณ มาลีเปิดประตูห้องแถวห้องหนึ่งเข้าไป ฝุ่นปลิวคละคลุ้งเข้าจมูกจนมาลีจามออกมา เที่ยงรีบเอาผ้าขาวม้าในมือยื่นให้มาลี
“คุณมาลีใช้ผ้านี่ปิดจมูกไว้ก่อนเถอะขอรับ เดี๋ยวฝุ่นจะเข้าจมูกทำให้ไม่สบาย”
มาลีมองหน้าเที่ยงแล้วมองผ้านิ่งๆ
“เอ่อ ขอประทานโทษครับ ลืมไปว่าคุณมาลีคงไม่ใช้ผ้าเก่าของกระผมให้เปื้อนหน้าคุณมาลี”
เที่ยงกำลังจะดึงผ้ากลับ แต่มาลีจับผ้าผืนนั้นไว้ก่อน
“ฉันไม่รังเกียจหรอกจ้ะนายเที่ยง”
มาลีเอาผ้ามาคลุมหัวปิดจมูก แต่ก็เก้ๆ กังๆ เพราะไม่เคยใช้ผ้าแบบนี้ เที่ยงเลยจัดระเบียบผ้าให้อย่างสวยงาม
ทั้งคู่เริ่มกลับมาสนใจที่ห้องอีกครั้ง
“นี่คือห้องที่จะให้คณะตะลุงของนายเที่ยงมาพักจ้ะ พออยู่ได้มั้ย มีห้องนี้แล้วก็ห้องข้างๆ สองห้องนี้ไม่มีคนเข้ามาพักสักระยะแล้ว ฝุ่นเลยเยอะนิดนึง เดี๋ยวยังไงฉันจะให้คนมาทำความสะอาดให้นะ”
“ไม่เป็นไรมิได้ครับคุณมาลี เดี๋ยวกระผมจะจัดการกันเองดีกว่า แค่คุณมาลีจัดหาที่พักให้ก็สะดวกมากมายพออยู่แล้ว แถมที่นี่ก็ยังใกล้กับที่แสดงอีก ขอบพระคุณมากครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นคนจัดหาให้เสียหน่อย คุณพ่อต่างหากท่านสั่งมา เพราะท่านก็เป็นเจ้าของที่นี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ก็ต้องขอบพระคุณ คุณมาลีอยู่ดี ที่ยังอุตส่าห์พามาที่นี่ด้วยตัวเอง”
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกจ้ะ เอาเป็นว่าถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกฉันละกันนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ ขอบพระคุณครับ”
เที่ยง กับมาลีมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน เพราะมาลีเพิ่งบอกว่าให้หยุดขอบคุณไปหมาดๆ
“ยิ้มไรกันคับ”
นายโพนเดินเข้ามาพอดี ทั้งเที่ยงและมาลีเขินยิ่งกว่าเดิม
“ไปไหนมาน่ะอา ตะกี้ก็เดินมาด้วยกันแท้ๆ”
“ก็ซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปกินเย็นนี้น่ะ เห็นปลามันสดดีเลยซื้อมานี่ไง”
“ใครทำ”
“ก็เอ็งไง” นายโพนหัวเราะร่า “คุณมาลี มากินด้วยกันมั้ยครับ ไอ้เที่ยงมันทำแกงเหลืองอร่อยนัก”
“โหย อา คุณมาลี อย่าถือสาอาแกเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้ามีโอกาสจะขอลองชิมฝีมือแกงเหลืองของนายเที่ยงละกันนะ”
เที่ยงยิ้มเขินปนเกรงใจ
ภายในบ้าน คหบดีโสภณ มณฑา มารศรี นั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว ขณะมาลีเดินนำเที่ยงกับนายโพนเข้ามาเพื่อรายงานเรื่องบ้านพัก มาลีนั่งบนโซฟา สองอาหลานลงนั่งที่พื้น ท่าทีพินอบพิเทา
“เป็นไงบ้างนายโพน นายเที่ยง ห้องที่ให้ไปดูอยู่กันได้มั้ย”
“อยู่ได้อย่างสบายเลยขอรับท่าน”
“ดีแล้ว แล้วนี่ชาวคณะจะมาถึงกันเมื่อไหร่ล่ะ”
“ถ้าโทรเลขไปถึง ก็ให้เดินทางขึ้นมาทันที อีกประมาณ 2-3 วัน ก็คงขึ้นมาถึงกันแล้วขอรับ” เที่ยงเสริม
โสภณยิ้มพึงพอใจ “ดี ชั้นจะได้จัดการให้มณฑาจัดการนัดหมายพวกขุนนาง พวกพ่อค้าฝรั่งเรื่องวันแสดงกันเสียเลย”
มณฑาชักสีหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะยุ่งเรื่องนี้สักเท่าไหร่
“คุณพ่อมีคนตั้งเยอะแยะทำไมไม่ให้คนอื่นทำ แค่นี้ลูกก็ยุ่งพออยู่แล้ว มารศรีเธอทำก็แล้วกัน”
“โอ๊ย พี่มณฑา เรื่องภาษาฝรั่ง ภาษาปะกิต อะไรเนี่ย ชั้นไม่สันทัดหรอก นู่นให้ลูกคนโปรดคนนู้นของคุณพ่อนู่น ดีกว่า”
มารศรีมองไปทางมาลีด้วยท่าทีเหยียดๆ
“ก็ดีเหมือนกันนะคะคุณพ่อ ลูกคุณพ่อคนนี้คงเข้าได้หมดทั้งพวกฝรั่ง...” สายตามณฑาหยุดจ้องที่ลำคอของมาลี เห็นมีผ้าขาวม้าราคาถูกพันอยู่ พอเดาออกว่าเป็นของเที่ยงพันนั่นเอง
“หรือแม้กระทั่ง...พวกหาเช้ากินค่ำ เต้นกินรำกิน” มณฑามองเหยียดหยัน มายังเที่ยงกับนายโพนด้วยสายตาดูแคลน
มาลีก้มมองผ้าพันคอที่ลืมถอดคืนนายเที่ยง ก็รู้ตัวว่าทำพลาดเสียแล้ว กลัวพ่อจะเข้าใจผิด
เที่ยงกับนายโพนเองก็ใจหาย รู้สึกแย่ที่โดนต่อว่าแบบนั้นแต่ก็ต้องทน ยิ่งเที่ยงแล้วเหมือนรู้ตัวว่าตนคือต้นเหตุที่ทำให้มาลีโดนดุ
มารศรีมองมาลีอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“เอาล่ะๆ ก็เอาเป็นว่า เรื่องจัดการนัดหมายวันแสดงก็ให้มาลีจัดการก็แล้วกัน เอ่อ เอางี้เลยดีกว่า เรื่องการแสดงของคณะตะลุงทั้งหมด ชั้นขอมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับมาลีดูแล มาลีว่าไง ติดอะไรมั้ย”
“ไม่ค่ะคุณพ่อ”
“ดี งั้นก็ไปพักผ่อนกันเถอะนายโพน นายเที่ยง” ท่านโสภณบอก
“ขอรับ”
ทุกคนลุกออกไป คงเหลือแค่มณฑา กับ มารศรีที่มองตาม เที่ยง และมาลี อย่างไม่พอใจ
นายโพนและเที่ยงเดินกลับที่พักด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจนัก
“อา นี่เรากำลังทำให้คุณมาลีเดือดร้อนหรือเปล่า”
“เอ็งก็ต้องทำอะไรให้ระวังตัวหน่อย เรามาที่นี่เพื่อทำการแสดง เพื่อให้การแสดงตะลุงจะได้มีคนดูต่อไป อะไรที่ทำแล้วเสี่ยงต่อการแสดงของเรา เอ็งก็ระวังไว้หน่อยละกัน” นายโพนให้แง่คิดหลาน
“จ้ะ อา”
ทางด้าน ชาวคณะตะลุง อันมี ทอง สร้อยพีและชาวคณะ เดินทางมาถึงพระนครแล้ว ลงรถที่สถานีรถไฟ อาการของทองเหมือนดื่มตั้งแต่ออกเดินทาง พอมาถึงจุดหมายปุ๊บก็ต้องการล้างคอด้วยเมรัยอีกตามประสา
“พวกเอ็งรอข้าอยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ”
สร้อยพีถาม ไม่อยากให้ไป “แล้วพี่จะไปไหน”
“มาถึงแล้วก็ขอเดินชมเมืองแป๊บนึง” ทองว่า
พยอมรู้ทัน “จะไปเดินหาเหล้ากินล่ะสิไม่ว่า”
“เอาน่า แป๊บเดียว รออยู่ตรงนี้กันนะ ไอ้สน เองจะไปกับข้ามะ”
“เออ เอาสิวะ ไหนๆ ก็มาบางกอกทั้งที ขอชมหน่อยเถอะวะ”
สร้อยพีกับพยอมส่ายหน้าเอือมระอา
“แป๊บเดียวจริงๆ นะ อย่าเถลไถล เดี๋ยวพ่อกับพี่เที่ยงจะรอนาน”
“เออ”
ทองกับสนกระแทกเสียงรับคำแล้วหายหัวไปด้วยกัน
ระหว่างที่สร้อยพีและพยอม ออกมาเดินเล่นแถวๆ นั้น ก็ได้ยินเสียงโวยวายเหมือนคนทะเลาะกัน จึงเข้าไปดู เห็นทองกับสนกำลังมีเรื่องกับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นฝรั่งอีกต่างหาก สร้องสาวรีบเข้าไปรวมกลุ่มกับทองกะสน
“ขอโทษแล้วไงจะเอาอะไรกันอีก” ทองโวยวาย
สร้อยพีตกใจ “เกิดอะไรขึ้นน่ะ พี่สน พี่ทอง”
“ก็ไอ้ทองมันเมา มันก็เดินเซไปชนฝรั่งมันเข้า และทำเหล้าหกใส่มัน มันเลยโกรธแต่พวกข้าก็ขอโทษแล้วนะ”
สร้อยพีกับพยอมเข้าไปช่วยขอโทษแต่ฝรั่งไม่ยอม แถมโวยวาย ฟังไม่ออก
มณฑา กับ มารศรี เดินมาเจอเหตุการณ์พอดี มณฑารู้จักกับฝรั่งอีกด้วย
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ มิสเตอร์ไรท์”
“ก็ไอ้คนพวกนี้เมามาเดินชนผม แถมยังทำเหล้าหกใส่เลอะไปหมด”
สร้อยพีและพวกงง ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
มณฑาหันมามองพวกสร้อยพีอย่างเหยียดหยันในความเป็นคนบ้านนอกคอกนา
“เค้าว่าพวกเธอทำเค้าเสียหาย พวกเธอจะรับผิดชอบยังไง”
“พวกกระผม ก็ขอโทษไปแล้วนี่ขอรับ” ทองบอก
มณฑาเสียงแข็ง “ขอโทษแล้วเรื่องจะจบเหรอ แล้วของที่เสียหายล่ะ”
พวกทองมองดูแล้วเห็นว่าแทบจะไม่มีอะไรให้เสียหายเลย สร้อยพีก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเช่นกัน
“พวกนี้นี่ ผิดแล้วยังไม่รู้จักสำนึก” มารศรีด่า
“มิสเตอร์ไรท์ คุณอยากจะจัดการยังไงกับพวกนี้ดี ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีเงินเท่าไหร่หรอก”
ฝรั่งกระซิบบอกบางอย่างกับมณฑา
“งั้นเอาอย่างนี้ ดูๆ แล้วเงินพวกเธอก็คงจะไม่ค่อยมีหรอก งั้นก็มากราบขอขมามิสเตอร์ไรท์เค้าละกัน”
ทองไม่ยอม “เฮ้ย แค่ทำเหล้าหกใส่แค่นี้จะให้กราบเลยเหรอ”
พยอมก็ไม่เอาด้วย “นั่นสิ ไม่มากไปหน่อยเหรอ”
มณฑามองกราด “ทำผิดแล้วยังไม่สำนึก เพราะมีพวกแบบนี้ซิ ทางการเค้าถึงต้องออกกฎหมายใหม่ เพี่อควบคุมพวกล้าหลังพวกนี้”
สนได้ยินคำดูถูกก็เลือดขึ้นหน้า กระโดดเข้าไปต่อยฝรั่งคนนั้นทันที เรื่องก็เลยชุลมุนขึ้นมาอีก จนตำรวจเข้ามาห้ามเหตุการณ์ และชาวคณะก็โดนจับทั้งหมด
“เฮ้ยๆ หยุดๆ เรื่องมันเป็นมายังไงเนี่ย”
มณฑาฟ้องใหญ่ “คุณตำรวจ พวกบ้านนอกพวกนี้ มีเรื่องกับฝรั่งน่ะ”
“งั้นหรือคุณมณฑา” ตำรวจหัวหน้าทีมหันมาทางชาวตะลุง “แล้วพวกเธอไปมายังไงเนี่ย ดูไม่ใช่คนแถวนี้”
“พวกฉันเป็นคณะตะลุง มาจากนครศรีธรรมราชมาตามที่คหบดีโสภณว่าจ้างมาค่ะ” สร้อยพีบอก
“คหบดีโสภณงั้นเหรอ” ตำรวจหันมาทางมณฑา “คุณมณฑาขอรับ”
มณฑาได้ยินก็หงุดหงิด จุดไต้ตำตอแท้ๆ
“พวกเธอเป็นคณะตะลุงของนายเที่ยงซินะ”
“ใช่ค่ะ” สร้อยพีบอก
ตำรวจถามขึ้น “ยังจะให้ผมดำเนินคดีหรือเปล่าขอรับ”
มณฑาหงุดหงิดในใจ ได้แต่นิ่งขึงเงียบเฉยอยู่อย่างนั้น
ที่เรือนแถวที่พักชาวคณะตะลุง นายโพนกับเที่ยงก็ร้อนรนกระวนกระวายใจ ว่าเหตุใดพรรคพวกยังมาไม่ถึงเสียที ทั้งๆ ที่ส่งข่าวมาว่าจะมาถึงรถไฟเที่ยวเช้าวันนี้
“หรือจะเกิดเหตุไม่ดีกับพวกนั้น” เที่ยงตั้งข้อสังเกต
“ไม่ม้างง มันจะมีเหตุอะไร ข้าว่ารถไฟก็มาช้าตามประสาของมันล่ะ”
“แต่นี่มันนานเกินไปรึป่าวอา”
ขณะที่สองอาหลานเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ เพ็ญก็เดินรีบร้อนเข้ามาหา
“นายเที่ยง นายโพน ฉันว่าคณะพวกเธอน่ะ มาถึงแล้วนะ”
คณะตะลุงอันมีทอง สน สร้อยพี พยอมและลูกคณะ นั่งก้มหน้าอยู่กับพื้นห้องโถงต่อหน้าท่านโสภณ มณฑา นั่งคอแข็งถัดไปไม่ไกลผู้เป็นบิดา
“นี่ถ้าไม่ได้มณฑาลูกสาวฉันไปพบ แล้วมันจะเป็นยังไง”
สนน้อมรับเอาคำ “ขอรับ พวกกระผม ทำผิดพลาดเอง”
“แต่จริงๆ แล้ว”
พยอมจับแขนสร้อยพีไว้ให้หยุดพูด กระซิบบอก
“อย่าเลยสร้อยพี เราอยู่บ้านเค้า พูดไปก็ไม่มีอะไรดีหรอก”
พยอมเหลือบมองมณฑา เห็นสายตามองพวกเธออย่างเหยียดหยาม
สร้อยพีไม่ยอม “แต่…”
“เออน่ะแก”
ท่านโสภณเห็นสองสาวซุบซิบๆ กัน ก็เอะใจ
“อะไรกันหรือสองคนนั้น”
พยอมโพล่งขึ้น “คือ...พวกอีฉันขอบคุณคุณหนูมากๆ ค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นตำรวจคงจะพาพวกอีฉันเข้าตารางกันหมดคณะแน่ ใช่มั้ยสร้อยพี”
สร้อยพีแม้ไม่ถูกใจนักกับภาวะจำยอมแบบนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เออออตามพยอมไป
“จริงค่ะ ท่านโสภณ” พยอมโล่งใจ
ท่านโสภณมองสายตาสร้อยพี ก็รับรู้ได้ว่าสาวสวยตาคมไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด ท่านหันมามองลูกสาวคนโตแล้วพอจะเดาออก คงมีบางอย่างไม่ถูกต้องเป็นแน่
“เอาล่ะๆ เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว ไงก็อย่าให้มีแบบนี้อีก พวกเธอทำอะไรไม่ดี มันก็มีแต่เสียมาถึงฉันแน่นอน เข้าใจใช่มั้ย”
สนรับเอาคำ “ขอรับ”
“ค่ะ” สร้อยพีกับพยอมรับคำพร้อมๆ กัน
โสภณมองมายังทอง “แล้วคนต้นเหตุ จะไม่พูดอะไรเลยหรือไง”
ทองเจ็บใจว่าต้องอยู่ภายใต้คำโกหก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ขอรับ กระผมขออภัยในเรื่องที่ทำด้วยขอรับ”
มณฑาอึดอัดเต็มกลืนกับการต้องทนอยู่ในห้องเดียวกับพวกล้าสมัย จึงขอตัวแยกออกไปก่อน
“พ่อ มณฑาขอไปข้างนอกก่อนนะคะ อยู่ในนี้หายใจไม่ค่อยถนัด”
มณฑาลุกออกไปเฉยเลย โสภณมองตามเอือมระอากับทีท่าเจ้ายศเจ้าอย่างของลูกสาวคนโตจริงๆ
มณฑาเดินจ้ำพรวดๆ มาตามทางเดิน พร้อมกับทำจมูกฟึดฟัดๆ มารศรีผ่านมาเห็นก็รีบเดินเข้ามาหา
“เป็นไรพี่ คัดจมูกรึ”
“เหม็นสาบ พวกคณะตะลุงที่อยู่ในเรือนกับคุณพ่อน่ะซิ”
“คณะตะลุงที่ตามมาจากนครศรีธรรมราชน่ะเหรอ เค้ามาถึงกันแล้วเหรอพี่”
“มากันครบแล้วทั้งคณะล่ะคราวนี้ พ่อก็เนอะ มหรสพสมัยใหม่ตั้งเยอะตั้งเแยะ ไม่เลือก ดันไปบ้าจี้กับอีมาลี เอาอะไรก็ไม่รู้บ้านนอกคอกนามาเล่นต้อนรับฝรั่งฉันล่ะกลัวจะกลายเป็นฉีกหน้าพวกเราทั้งบ้าน”
มารศรีแทบจะไม่ได้สนใจฟังมณฑาบ่นบ้า เพราะมัวแต่มองตามเที่ยงกับนายโพนที่รีบเดินตามเพ็ญไปที่เรือนใหญ่ มารศรีจับจ้องให้ความสนใจเที่ยงเป็นพิเศษ มณฑามองประเมินความรู้สึกของน้องสาวปราดเดียวก็พออ่านออก
“มารศรี นี่ฟังพี่อยู่หรือเปล่า”
“คะ คะพี่ พี่มณฑา เดี๋ยวน้องว่าจะเข้าไปหาพ่อซะหน่อย”
“ไม่ต้องไปไหน มากับฉัน ฉันจะไปดัดผม”
“แต่พี่”
“ไม่ต้องแต่ ตามมาเดี๋ยวนี้”
โสภณมองเห็นเพ็ญพาเที่ยงและนายโพนเดินเข้ามาในโถง
“อืม นายเที่ยง นายโพน กว่าจะมาได้”
สร้อยพีหันไปมองตามเสียงท่านโสภณ ยิ้มดีใจที่เห็นเที่ยง นายโพนกับเที่ยง คลานเข้ามารวมกับชาวคณะ เที่ยงยิ้มให้สร้อยพี
“นี่พวกของเธอมาถึงวันแรกก็ก่อเรื่องซะแล้ว รู้มั้ยเนี่ย” ท่านโสภณว่า
“นี่พวกเอ็งไปก่อเรื่องอะไรมา”
นายโพนหันไปตวาดถามทอง และ พยอม แต่ไม่มีใครให้คำตอบ
“เอาๆ จะเรื่องอะไรกัน ก็ไปสืบสาวกันเองแล้วกัน ฉันจะทำธุระอื่นแล้ว แต่พวกเธอจะไม่ลืมที่ฉันทักไว้นะ อย่าได้ก่อเรื่องอะไรที่บางกอกอีก ส่วนที่หลับที่นอน ฉันวานกิ่งให้จัดการแล้ว”
“ขอรับ” อากะหลานน้อมรับเอาคำ
ท่านโสภณลุกเดินไป ทุกคนก้มหมอบด้วยความเคารพ
“เพ็ญ ไปดูซิว่ารถฉันพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“เจ้าค่ะ” เพ็ญลุกตามไปอีกคน
เที่ยงมองหน้าสร้อยพีที่มองจ้องหน้าเขาอยู่แล้ว
“สร้อยพี เธอเป็นคนก่อเรื่องหรือเปล่า”
สร้อยพีน้อยใจ “โห พี่เที่ยงเจอหน้ากันก็ใส่ร้ายกันซะแล้ว”
ชาวคณะตะลุงของนายโพน เดินทางมาถึงที่เรือนพัก ทุกคนกำลังจัดการเก็บข้าวของให้เข้าที่
“เพราะเอ็งตลอดเลยนะ ทำชาวคณะเดือดร้อน”
“ชั้นขอโทษจ้ะอา วันหน้าชั้นจะระวังตัวให้มากขึ้น”
“เออ เอ็งก็พูดแบบนี้ตลอดอะ ข้าล่ะห่วงลูกหลานเอ็งจิงจิ๊งงง แบบนี้”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ เดี๋ยวพออาตายนะ ชั้นจะดูแลคณะตะลุงอาให้เป็นอย่างดีเล้ย” ทองหัวร่อร่า
“เออ ดีมาก” นายโพนเคลิ้ม “อ้าวไอ้นี่ จะมาแช่งให้กูตายเหรอเนี่ย”
นายโพนเตะทองป๊าบเข้าให้ ทองวิ่งหัวเราะชอบอกชอบใจหนีไป พอเสร็จแล้วทุกคนก็เริ่มหาที่ทางพักผ่อนและเตรียมอาหารการกิน
ระหว่างนี้ มาลี เพ็ญและบ่าวอีกคน ก็เดินเข้ามาพร้อมกับแกงหม้อโต
“อาโพน นายเที่ยง นี่ ขนมจีน แกงเขียวหวาน คุณมาลี คุณลงครัวทำเองกับมือเลยนะ ทำมาเลี้ยงต้อนรับคณะตะลุงของอาโพนแน่ะ”
นายโพนเกรงใจ “ไม่เห็นต้องลำบากเลยขอรับ แค่เรื่องที่พักนี่ก็เป็นพระคุณอยู่แล้ว”
“ลำบากอะไรกันจ๊ะ อาโพน นี่ชั้นทำมาแลกกับแกงเหลืองของนายเที่ยงไง” มะลิว่า
“ด้วยความยินดีเลยขอรับ แต่หม้อเก่านี่หมดไปแล้ว เดี๋ยวกระผมจะทำให้ใหม่นะขอรับ” เที่ยงบอก
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ชั้นพูดเล่น”
“ใจคอจะไม่ให้ชั้นวางหม้อไว้ตรงนี้เลยใช่มั้ยฮะนายเที่ยง ระวังชีวิตหน่อยละกันนะหม้อนี้”
เพ็ญกระซิบล้อในตอนท้าย เที่ยงกับนายโพนขำๆ
“เอ้า พวกเอ็ง มายกแกงของคุณมาลีไปหน่อยเร็ว เดี๋ยวจะได้กินข้าวกัน”
ชาวคณะมายกหม้อกับข้าวไป
“สร้อยพี นังสร้อยพีเอ๊ย ออกมานี่หน่อย”
สร้อยพีเดินออกมาจากมุมที่ทางทำอาหารข้างเรือน
“สร้อยพี ไหว้คุณมาลีซะสิ คุณแกเป็นลูกคนที่จ้างเรามาเล่นตะลุง นี่คุณแกทำแกงมาให้พวกเรากินด้วยนะ
สร้อยพีไหว้ มาลีรับไหว้และยิ้มเป็นมิตรให้
“ขอบคุณคุณมาลีมากนะขอรับสำหรับแกง แล้วเดี๋ยวผมจะรีบทำแกงเหลืองให้คุณมาลีรับทาน งั้นเย็นนี้คุณมาลีจะทานอาหารอย่างอื่นฝีมือผมก่อนมั้ยขอรับ”
สร้อยพีเริ่มมองแบบแลงใจจากเมื่อกี้ที่ไม่ได้คิดอะไร เพราะพี่เที่ยงไม่เคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นๆ มาลียังไม่ทันได้ตอบอะไร
“อะแฮ่มม มากไปละนายเที่ยง คุณมาลีแค่เอาอาหารมาให้เท่านั้น เดี๋ยวก็กลับละ” เพ็ญบอก
นายโพนติง “อ่า นั่นสิ ไอ้เที่ยง คุณมาลีแกเป็นนายจ้างเรานะ”
“ขอประทานโทษครับ ลืมไป”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ชั้นไม่ได้ถือ บางทีชั้นยังไปกินข้าวในครัวกับพวกพี่เพ็ญบ่อยๆ”
“งั้น...”
“คุณมาลีคะ เพ็ญว่าเรากลับกันก่อนเถอะค่ะ คุณมาลีว่าวันนี้จะไปตั้งสำรับให้คุณท่านเองไม่ใช่เหรอคะ ไปเถอะค่ะ”
มาลีนึกตาม “จริงสิ ไว้คงต้องเป็นวันหลังแล้วล่ะ นะอาโพน นายเที่ยง”
นายโพน กะ นายเที่ยงรับเอาคำ “ขอรับ” พร้อมกัน
มาลีและเพ็ญและบ่าวอีกคนกำลังจะเดินกลับ
“จริงสินายเที่ยง เกือบลืมแน่ะ”
มาลีหยิบผ้าขาวม้าของเที่ยงที่ซักรีดเรียบร้อย คืนให้เจ้าของ
“ฉันเอาผ้ามาคืน ซักให้แล้วนะไม่ต้องกลัวเปื้อน
“ขอบพระคุณครับคุณมาลี ที่จริงไม่ต้องก็ได้”
“คุณมาลี รีบกลับเถอะค่ะ เดี๋ยวตั้งสำรับให้คุณท่านไม่ทันนะคะ”
มาลีรีบเดินตามเพ็ญไปนายเที่ยงมองตาม
สร้อยพีมองหน้าเที่ยง และผ้าในมือของเขา แล้วมองตามมาลีไปอย่างขุ่นเคือง
ในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งวงกินข้าวอยู่นั้น แต่สร้อยพีกลับนั่งหงอยๆ อยู่คนเดียวที่หน้าเรือนแถว
เที่ยงร้องถาม “เป็นอะไรสร้อยพี ทำไมถึงไม่มากินข้าว”
สร้อยพีมองหน้าเที่ยงแต่ไม่ตอบอะไร เพราะยังงอนเรื่องผ้าขาวม้าอยู่ จู่ๆ สร้อยพีก็ลุกพรวดเดินออกไป
“อ้าวสร้อยพี เอ็งจะไปไหนน่ะ”
พยอมลุกพรวดตามออกไป
สนเห็นพยอมลุกก็ลุกตามไปอีกคน
“พยอม เอ็งจะไปไหนน่ะเดี๋ยวก็หลงหรอก”
เที่ยงมองตามงงๆ
สร้อยพีเดินกระฟัดกระเฟียดเข้ามาในตลาดละแวกนั้น โดยมีพยอมกับสนตามมาด้วย
“เอ็งเป็นไรวะ สร้อยพี”
“ก็พี่เที่ยงกับนังคุณหนูนั่นน่ะสิ”
พยอมงง “คุณหนู คนไหนวะ มีตั้งหลายคน”
“ก็คุณมาลี ที่มาตะกี้น่ะสิ”
สนยิ้มเจ้าเล่ห์ ร้องอ๋อ “อ๋อ คุณหนูคนสวย ที่ใจดีๆ เอาอาหารมาให้น่ะรึ”
สร้อยพีมองค้อนสน พยอมงงไม่หาย
“แล้วมันอะไร ยังไงพี่เที่ยง กับคุณหนูมาลีที่พี่หมายถึงเนี่ย”
สร้อยพีเริ่มหงุดหงิด
“ก็ทำไมนังคุณหนูนั่นถึงมีผ้าของพี่เที่ยง แล้วทำไมต้องชวนกันกินข้าว ชั้นว่ามันแปลกๆ”
“จะว่าแปลกก็แปลก ไม่แปลกก็ไม่แปลกนะ ฉันว่า”
สนพูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา แต่ไม่ได้เกี่ยวกับสร้อยพีเลย แล้วคว้าแขนพยอมให้ไปดูของแปลกตาในตลาด
“เออ แปลกจริงๆ ด้วย” พยอมทำเป็นเคลิ้ม
“พยอมอยากได้มั้ย เดี๋ยวพี่ซื้อให้”
“ไอ้บ้า พี่สนแปลกตรงไหนเนี่ยแค่ ชั้นกำลังเป็นห่วงสร้อยพีมัน ทำเสียเรื่อง”
สนจ๋อยเลย อุตส่าห์จะเอาใจพยอมซะหน่อย
“เห็นมะ นี่สร้อยพีมันหายไปเลย ถ้าสร้อยพีมันหลงนะ ชั้นจะฟ้องอาโพนให้หวดพี่ให้ก้นลายเลย”
พยอมกะสนออกเดินตามหาสร้อยพี
“อีกอย่างนะพี่สน ฉันไม่ต้องแต่งให้สวยหรอก ยังไงก็ไม่มีหนุ่มมามองฉัน”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ ก่อนมาฉันไปดูหมอ ถามหมอว่ามาบางกอกจะเจอเนื้อคู่มั้ย”
“อ้าวเหรอ แล้วๆ หมอว่าไง”
“หมอดูบอกว่าไม่มีแววเนื้อคู่เลยน่ะซิ ฉันละเซ็ง” พยอมนึกขึ้นได้ “เฮ้ย หาสร้อยพีต่อดีกว่าพี่ จะได้กลับไปกินข้าวกันต่อ”
ทางฝ่ายสร้อยพีเดินหน้าเครียดแววตาครุ่นคิด เรื่องเที่ยงกับมาลี ว่าต้องมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
วันนี้ทุกคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องโถงรับแขก เจรมัยเดินเข้าบ้านมาเห็นพอดี
“โอ้โห วันนี้อยู่กันครบเลยนะครับ มีวาระพิเศษ อะไรรึเปล่าครับ”
“พี่เจนจะให้ทุกคนไปงานเปิดตัวหนังสือใหม่ ที่วันนั้นมาถ่ายปกบ้านเราน่ะลูก” จรรยาบอก
“ไปมั้ยเจ พอดีพี่เจนเค้าได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ผู้บริหารของที่นี่ด้วย” จิราเชื้อชวน
เจรมัยหันมองเจนจิรา สาวเปรี้ยวทำเป็นยิ้มยืดภาคภูมิใจ
“ดีใจด้วยนะพี่เจน”
“ธรรมดาของคนเก่งน่ะน้องชาย ธรรมดาๆ”
เจนจิรายังคงยืดอยู่อย่างนั้น
จิตราถามขึ้น “แล้วตกลงจะให้พวกป้าไปวันไหน”
“วันศุกร์ค่ะ ว่างกันมั้ยคะทุกคน”
ทุกคนตอบรับ “ว่างจ้ะๆ”
“จ๋าไปด้วย”
จินดาร้องห้ามขึ้นมาทันที “ไม่ได้จ้ะ ยัยจ๋า หนูมีเรียนพิเศษ วันเสาร์นี้ก็สอบ”
“หลานพักหน่อยไม่ได้เหรอจินดา” จิตราว่า
จิราเห็นด้วย “นั่นสิ จินดา ให้หนูจ๋าได้พักสักหน่อยนะ ให้เรียนๆๆๆ เดี๋ยวบ้านะ”
“นะแม่น้า หนูอยากไปน้า” หนูจ๋าอ้อนแม่ยกใหญ่
“ไม่ได้จ้ะ แต่ถ้าหนูสอบเสร็จนะ หนูอยากไปไหนแม่พาไปทุกที่เลย นะจ๊ะ”
หนูจ๋าหน้าจ๋อยสนิท ไล่สายตามองทุกคนเชิงขอร้องให้ช่วยพูด เจนจิราแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จ๋าหันมามองทางเจรมัยตาละห้อย ทำเอาเจรมัยต้องหันไปมองหน้าจินดาและทุกคน สุดท้ายบอกว่า
“เอาตามที่น้าจินดาว่านะจ๋า ถ้าน้องจ๋าสอบเสร็จเดี๋ยวพี่เจจะพาไปเที่ยวทุกที่เลย และถ้าได้คะแนนดีๆ นะ พี่เจจะมีของขวัญพิเศษให้อีกด้วย ดีมะ”
จ๋ามองทุกคน และรู้ว่าคงหมดหวังเลยต้องยอมรับข้อเสนอไป
“ก๊ะด้ะ”
ทุกคนยิ้มเอ็นดูสาวน้อย
ในเวลาต่อมาเจนจิราออกมาคุยโทรศัพท์กับมัลลิกาเรื่องงานอีเว้นท์เปิดตัวแมกกาซีนบันเทิงเล่มใหม่ของบริษัท
“มะลิ แกจะมาบ่ายเบี่ยง อิดออดไม่มามางานได้ไงเนี่ย แกเป็นแบบปกคนแรกของนิตยสารหัวแรกของพี่เลยนะ แล้วเค้าก็ต้องมีงานเปิดตัวด้วย”
“โห พี่เจน มะลิไม่ไปก็ไม่เป็นไรหรอก จริงๆ มะลิไม่ใช่คนสำคัญอะไร ไม่มีใครรู้จัก เอานางแบบ ดาราที่ไหนมาเปิดงานก็ได้ จริงๆ นะ”
“มะลิ พี่ไม่อยากใช้วิธีแบบ เจ้านายสั่งนะ ครั้งนี้ถือว่าเป็นงานของบริษัท ยังไงมะลิก็ต้องมา ตามนี้ บาย”
เจรมัยเดินออกมาสมทบเห็นสีหน้าเจนจิราก็แปลกใจ
“มีไรเหรอพี่ ดูรมณ์บ่จอย”
“ก็มะลิน่ะสิ จะบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมมางาน ไม่รู้มีปัญหาอะไรรึป่าว เดี๋ยวปวดหัว ตัวร้อน สารพัด แต่ก็ไม่เห็นลางานนะเวลาให้ไปทำงานที่อื่น เจ พอรู้มะ เห็นหลังๆ เจอกันบ่อยนี่”
เจนจิราถามมีนัยซ่อนเร้น
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
เจรมัยทำเป็นไม่รู้ทั้งๆ ที่ เรื่องทั้งหมดเขารู้ดี
เจรมัยเดินมาอีกมุม เขากดโทร.หามัลลิกา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสายเลย
ด้านมัลลิกาหมกตัวอยู่ในห้องพัก มองโทรศัพท์มือถือเห็นเป็นชื่อเจรมัยโทร.เข้ามา เลยไม่รับ
ขณะเดียวกัน ผีสร้อยพี ยังอยู่ในสภาพบาดเจ็บ พยายามขยับตัวตามเจรมัยแต่ก็ไปไม่ไหว
“ทำไมมะลิถึงยังไม่รับสาย หรือเพราะ… เธอยังโกรธเราอยู่”
วิญญาณแค้นทั้งเสียใจและแค้นใจ เมื่อเห็นเจรมัยหรือพี่เที่ยงของมัน เอาแต่คิดถึงมาลีหรือมัลลิกาไม่วายเว้น
“เจ็บใจนัก ที่ข้าบาดเจ็บ ขอให้ข้าหายดีก่อนเถอะ อีมาลี”
ถึงวันงานเปิดตัวหนังสือบันเทิงเล่มใหม่ภายใต้การบริหารของเจนจิรา มีผู้คนในแวดวงธุรกิจสิ่งพิมพ์ และบันเทิง มาร่วมงานกันอย่างคึกคักมากมาย ญาติพี่น้องของเจนจิรามากันเกือบยกบ้าน บรรยากาศในงานดูชิลล์ๆ สบายๆ มีนักดนตรีเล่นดนตรีอะคูสติกเบาๆ คลอไปด้วย ระหว่างถึงพิธีการเปิดตัวบนเวที
ที่ห้องแต่งตัว เห็นมัลลิกานั่งหน้างอแต่งหน้า ทำผม กับช่างหน้าช่างผมอยู่ในนั้น มีเจนจิรานั่งประกบข้าง
“นางแบบทำหน้าตาให้มันสดชื่นหน่อยสิคะ ไหนๆ ขอถ่ายรูปคู่กันหน่อยซิ”
มัลลิกาแกล้งฉีกยิ้มแล้วก็หุบทันควัน เจนจิราเช็คดูรูปในมือถือ
“อ้าว ไม่ชัด ไหนขออีกรูปนะ”
เจนจิราถ่ายเซลฟี่ตัวเองกับมัลลิกา แต่รูปออกมาเหมือนเดิม
“โว๊ะ อะไรเนี่ย ไมรูปตรงมะลิมันเบลอๆ”
มัลลิกาหน้ำคว่ำ ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะมัวแต่หงุดหงิดที่ถูกบ.ก.สาวเปรี้ยวมัดมือชก
“พี่เจนน่ะ ไม่น่าทำกับหนูแบบนี้เลย เอาจริงๆ หนูยังไม่อยากเจอหน้าเจ
“เพราะเรื่อง…ที่แคทมาวุ่นวายใช่มั้ย”
“ประมาณนั้นแหละพี่ อยู่เฉยๆ พาลซวยทุกที”
ที่ประตูห้องมีใครบางคนเปิดเข้ามาพร้อมด้วยดอกไม้ช่อสวยในมือสองช่อ เจนจิราหันไปเห็น แต่ใครคนนั้นส่งซิกบอกใบ้ให้ช่วยเงียบก่อน จะเซอร์ไพรส์มัลลิกา เจนจิราประหลาดใจนิดๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
เจ้าของดอกไม้ช่อสวยเดินมาทางด้านหนังมัลลิกา นางแบบจำเป็นรับรู้การมาถึงของใครคนนั้นทางด้านหลัง จึงเอี้ยวตัวไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ดอกไม้ช่อสวยถูกยื่นมาให้
“ดอกไม้แสดงความยินดีครับมะลิ” เป็นภวัตนั่นเอง ที่ยิ้มเผล่ออกนอกหน้าอยู่ในตอนนี้
“วัต ขอบคุณมากเลยนะ จริงๆ วัตต้องยินดีกับพี่เจนถึงจะถูกนะ ที่ได้เลื่อนตำแหน่ง งานแรกก็ปังเลย”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว”
ภวัตยื่นช่อดอกไม้ช่อที่ใหญ่กว่าซึ่งแอบไว้ที่ด้านหลังให้เจนจิรา
“นี่ สำหรับเจน ผมไม่ลืมอยู่แล้ว”
เจนจิรากรี๊ดจนเสียจริต “ว้าย ขอบคุณมากๆ เลย สมแล้วที่เป็น CEO ของเจน...”
ภวัตสะดุ้ง เจนจิรารู้ตัวรีบหยุดปาก มัลลิกามองสงสัย เมื่อเห็นภวัตขยิบตาให้เจนจิรา
“CEO อะไรเหรอ เหมือนพี่เจน เรียกวัตว่า CEO ใช่มั้ย”
เจนจิราแถทันที “ฟังผิดแล้วเธอ อุ๊ย พี่ได้เวลาต้องไปเช็คคิวรอบสุดท้ายละ ไปก่อนนะ”
ภวัตอึกๆ อักๆ กลัวว่าความจะแตกเหมือนกันเลย เลยขอตัวตามเจนจิราไปอีกคน
“ผมไปช่วยเจนดีกว่า พลาดมาเป็นเรื่องเลย เจนๆ ผมไปด้วย”
ภวัตเผ่นตามเจนจิราออกจากห้องไป มัลลิกายิ้มขำกับท่าทางแปลกเก้อๆ ของภวัต
สักครู่หนึ่งสไตลิสต์ ก็เดินตูดบิดหอบชุดสวยเข้ามาหามัลลิกา
“คุณมะลิขรา เปลี่ยนชุดทางนี้เลยค่ะ”
มัลลิกาเดินตามออกไป
เจนจิรากับภวัตหลบมาตั้งสติที่มุมทางเดิน ค่อยๆ พากันเหลียวมองหา รีเช็คว่ามัลลิกาตามมาหรือเปล่า จนแน่ใจว่าไม่มาแน่แล้ว เจนจิรายกมือพนมเหนือหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ขอโทษนะบอส ปากไวไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรๆ มะลิคงไม่ติดใจมั้งผมว่า”
“ก็ไม่แน่นะ เจนว่าคุณภวัตบอกๆ ความจริงไปเถอะ ยิ่งปิดบังแล้วต่อๆ ไป มะลิรู้ขึ้นมาอาจจะไม่โอก็ได้นะ”
“ก็ว่าอยู่ แต่ก็ยังไม่มีช่องจะบอกซะทีคงเร็วๆ นี่แหละครับ เพราะผมตั้งใจไว้แล้ว”
เจนจิรายิ้มเจ้าเล่ห์ “เร็วๆ นะบอส เดี๋ยวคู่แข่งจะคาบไปก่อน”
“เจนหมายถึง…”
เจนจิรารีบชิ่ง “โอ้ เรื่องนี้ เจนจะไม่ยุ่ง ไปก่อนนะ ต้องไปรีเช็คงานของจริงแล้ว”
ภวัตยิ้มขำกับลีลาของสาวเปรี้ยว พยายามปลอบใจตัวเองว่าเขายังมีโอกาสในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
เจรมัยมาถึงงานพร้อมๆ กับจรรยา จิรา และจิตรา เดินแทรกมากับผู้คนอื่นๆ
“เจนนี่เก่งเนอะ มีคนสนใจงานเจนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย” จิตรามองรอบๆ งานอย่างเป็นปลื้ม
“ก็แน่นอนอยู่แล้วพี่ เจนมันเก่งเหมือนแม่มัน”
จิรายักไหล่ยิ้มยืดภาคภูมิใจ พยักพเยิดกับจรรยา
จิตราเอือมระอากับมุกประจำตัวของน้องๆ ที่มักทำตัวเหมือนตอนเป็นเด็กๆ
เจรมัยมองหามัลลิกาว่าจะอยู่ตรงไหน จนจรรยาสังเกตเห็น
“มองหาใครเหรอเจ หาพี่เจน หรือ มะลิ”
“ก็…ทั้งคู่น่ะครับ”
จิรากดโทรศัพท์หาเจนจิรา
“ฮัลโหล เจน แม่กับชาวคณะมาถึงแล้วนะ”
เจรมัยหันมามอง สนใจที่น้าจิราคุยสายกับเจนจิรา
เจนจิรากำลังให้เมคอัพรีเช็ค สีหน้าและทรงผมอยู่ พร้อมๆ กับรับสายโทรศัพท์ไปด้วย
“เหรอแม่ เดี๋ยวเจอกันนะแม่ แล้วแม่มากับใครบ้าง…โห มากันครบเลย”
อีกฝั่ง เจรมัยยื่นหน้าไปหาจิราที่คุยสายอยู่กับเจนจิรา
“น้าครับ ถามหน่อยว่ามะลิอยู่ไหน ผมมีบางอย่างจะคุยกับเธอครับ”
เจนจิราหัวใจจะวายที่ได้ยินเจรมัยถามแบบนั้น ปฏิเสธลั่น
“ไม่ได้ๆ วันนี้พี่ขอ เจอย่าเพิ่งเจอมะลิเลยนะ น้องมันไม่ค่อยโอที่จะเจอ นะ นะ พี่ขอ”
ช่างหน้าช่างผมเสร็จธุระแล้วก็ถอยออกมา ให้ทีมงานแบ็คสเตจเดินเข้ามาหาเจนจิรา
“เดี๋ยว อีกซักพัก...”
“แป๊บๆ น้อง ขอพี่เจรจากับแม่พี่ แพร้บ” เจนจิรารีบตัดบทกับทางฝั่งแม่ “แม่ เดี๋ยวหนูต้องทำงานแล้วนะ เดี๋ยวว่ากันนะ”
เจนจิราวางสายไป น้องทีมงานก็เข้ามาแจงคิวให้ฟังต่อ
“จะต้องขึ้นเวทีแล้วนะครับ ให้พิธีกรสัมภาษณ์ แล้วต่อไปเป็นคิว นักดนตรีเล่นอะคูสติก พอจะจบเพลง...”
ในจังหวะนั้นเองก็มีหนุ่มอ้วนพีตัวกลมน่ารัก ถือกีต้าร์โปร่งเดินผ่านมาพอดี ทีมงานหันไปเห็นก็รีบจับตัวไว้
“อ่ะ น้องอะคูสติก คนนี้ละพี่ เดี๋ยวน้องไปพักในห้องก่อนนะ”
“ครับๆ” หนุ่มนักดนตรีอ้วนพีรับเอาคำ
ทีมงานหันมาบรีฟคิวงานกับเจนจิราต่อ
“อ่ะ ต่อนะพี่ พอจบน้องอะคูสติก ก็จะเป็นคิวน้องมะลิเดินแบบมาที่แบคดร็อป แมกกาซีนเรา”
จิราวางสายไปแล้ว ก็หันมากำชับเจรมัยที่รอฟังคำตอบอยู่
“วันนี้เจนมันขอ ว่าเจ อย่าเจอกับมะลิเลย หนูมะลิเขาไม่ค่อยโอที่จะเจอจ้ะ”
“ครับ”
เจรมัยรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ทีมงานทวนคิวเสร็จก็แยกตัวออกไปลุยงานต่อ เจนจิราหันไปทางหนึ่งพบว่าแคทลียากำลังเดินเข้ามาในส่วนทีมงานและแบ็คสเตจ โดยใช้สิทธิ์ความเป็นเซเลบ ให้ทีมงานพามาหลังเวที
เจนจิราบ่นงึมงำกับตัวเอง “เซเลบแท้ๆ บุกมาถึงหลังเวทีได้ จะเอาเรื่องวุ่นมาฝากอีกหรือเปล่าเนี่ย”
“ฮัลโหลพี่เจ”
แคทลียาส่งเสียงนำมาก่อน แต่ชื่อของคนที่เรียกไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว
“อ้าว แล้วพี่เจน เจไม่ได้อยู่ด้วยเหรอพี่”
“เจไม่อยู่ และก็ไม่รู้ว่ามาด้วยหรือเปล่าน่ะซิ ไม่ได้โทร.หากันเหรอ หรือว่าโทร.แล้วเจก็ไม่รับอีก”
แคทลียาโดนแดกดันจนจุกไป แต่ก็ตีมึนใส่
“ยินดีด้วยนะคะพี่เจน แล้วแม่มะลิล่ะอยู่ไหน”
แคทลียาเดินเข้ามาสวมกอดเจนจิราราวกับรักใคร่เหลือแสน เจนจิรารับกอดอย่างงงๆ
“น่าเสียดายนะคะที่ช่วงนั้นแคทไม่ว่างมาขึ้นปกเปิดหัวให้พี่เจน เลยต้องไปเอานางแบบโนเนมที่ไหนก็ไม่รู้มาขึ้น แต่ยังไงก็ขอให้พี่เจนดีวันดีคืนนะคะ”
แคทลียาสวมกอดแสดงความยินดีกับเจนจิราอีกที
“จ้ะ แคท ใกล้ได้เวลาเปิดงานแล้ว พี่ไปเตรียมตัวก่อนนะ”
เจนจิราเดินออกไป ทำให้เหลือแคทลียาคนเดียว อยู่ท่ามกลางคนทีมงาน ที่เดินกันไปมาขวักไขว่ ในจังหวะนั้นเอง สาวไฮโซมองไปเห็นมัลลิกาเดินออกมาตรงทางเดินพอดี ทั้งสองคนหยุดยืนเผชิญหน้ากัน มัลลิกาเบื่อหน่ายกับสถานการณ์แบบนี้ แคทลียายิ้มร้ายบอกกับตัวเองอย่างสะใจ
“เจอจนได้ งานนี้ฉันไม่ให้แกเกิดแน่”
มัลลิกาเดินเลี่ยงเข้าห้องไป แต่ด้วยมีคนเดินสวนไปมาขวักไขว่ ทำให้แคทลียาไม่รู้ว่ามะลิหายเข้าไปในห้องไหน สุดท้ายเลือกเดาประตูห้องหนึ่งว่าต้องเป็นห้องนี้แน่ๆ
“ขัง ไว้ซะเลย จะได้ไม่ต้องขึ้นเวที”
แคทลียาหาเชือกแถวนั้นมามัดกับลูกบิดประตู ไม่ให้คนข้างในเปิดออกมาได้ ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างในพยายามเปิดประตูแค่ไหน แต่ก็เปิดไม่ออกแน่ แคทลียามองผลงานอย่างสะใจ
“อยู่ยาวไปแก กว่าจะมีใครมาเปิดงานก็จบพอดี”
แคทลียาว่าแล้วก็เดินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ออกไป
มัลลิกากดล็อคประตูห้อง แล้วถอยหลังมายืนสังเกตการณ์ จดสายตามองดูประตูห้องตลอดๆ พบว่ามีใครบางคนมาทำกุกกักที่ลูกบิด
มัลลิกาสุดทน
“นี่เธอ ไม่จบนะแคท”
มัลลิกาดิ่งไปที่ประตู และเปิดออก เห็นเป็นทีมงานคนหนึ่งยืนงงอยู่
“อ้าวน้องมะลิ ล็อคห้องไมเนี่ย”
“อ้าวพี่ คือ คิดว่าพี่เป็นคนอื่น”
“ไปๆ ไปสแตนด์บายได้แล้ว”
“ค่ะๆ” มัลลิกาเดินตามไป
โดยไม่มีใครสังเกตว่า ประตูอีกห้องติดกันถูกล็อคเอาไว้ ทีมงานคนเดิมวอบอกทีมงานว่า กำลังพามะลิไป
“กำลังพามะลิไปแล้วนะ น้องอะคูสติกพร้อมมั้ย อะไรนะ ยังหาตัวไม่เจอ หายไปไหนฟะ”
เป็นนักดนตรีอะคูสติกอ้วนพีคนนั้นนั่นเอง ถูกขังอยู่ในห้องที่ปิดล็อค พยายามดึงประตูแต่ดึงยังไงก็ไม่ออก ติดแหงอยู่ในห้องนั้น
แคทลียาเดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาหาภวัต
“ไง ภวัต วันนี้คุณอาไม่มานี่ ดูแลกิจการแทน 100% แล้วใช่มั้ย”
“ก็คิดว่าคงน่าจะประมาณนั้นแล้วล่ะ”
“นี่ แล้วเรื่องยัย นางแบบนั่น ตกลงยังไง ชอบเค้าใช่มั้ย ให้แคทช่วยไรมั้ยล่ะ”
ภวัตมองแคทลียาอย่างรู้เท่าทัน
“แคทจะช่วยผม หรือว่าจะกันมะลิออกจากเจรมัยกันแน่”
“ก็ไม่ดีหรือไง วิน วิน ด้วยกันทั้งคู่นะ”
“ถึงผมจะชอบมะลิ มันก็ต้องดูด้วยว่ามะลิชอบผมรึเปล่า ผมไม่ชอบไปดื้อดึง หรือบังคับคนอื่น ถ้าเค้าจะชอบผมก็เพราะผมเป็นผม เข้าใจนะ”
“ไม่เข้าใจ ชอบ อยากได้ ก็ต้องได้สิ ทำตัวแสนดีเป็นพระรองซีรีย์เกาหลีน่ะ ชีวิตจริงมันไม่รอดหรอกนะ”
ภวัตนิ่งไม่ตอบอะไรแต่ก็แอบยิ้มในวิธีคิดของแคท
“แคทนะ ชอบใคร อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องด้วยคาถา” สาวไฮโซหัวเราะคิก “ประโยคดูละครไปนิด แต่จริงนะวัต”
พร้อมกับว่า แคทลียาทำท่าเป่ามนต์ไปทางเจรมัย ภวัตยิ้มขำ
“แบบนั้นเรียกว่าความรักเหรอ”
“ไม่เรียกรักแล้วจะให้เรียกว่าไร ที่ทำทั้งหมดก็เพราะรัก”
“ไม่รู้สิ สำหรับผม ความรักคือการเห็นคนที่รักมีความสุข”
แคทลียาเบ้ปาก “พระรองซีรีส์พูดงี้ทุกเรื่องนะ สุดท้ายอด”
ภวัตนิ่งงันไป
บนเวทีพิธีกรกำลังสัมภาษณ์เจนจิราอยู่
“เป้าที่พี่เจนวางไว้สำหรับปีนี้เป็นไงบ้างคะ”
“แน่นอนค่ะ ว่ากลุ่มผู้อ่านในสื่อออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ของเราจะสร้างกลุ่มผู้อ่านใหม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่เจนและทีมวางไว้ค่ะ”
ทุกคนในงานพากันปรบมือแสดงความยินดีกับเจนจิรา เสียงดังเกรียวกราว
พิธีกรประกาศต่อ “แล้วต่อไป ก็จะเปิด...”
ภายในงาน ทุกคนคุยกัน เพลงคลอเบาๆ หลายคนเข้ามาแสดงความยินดีกับเจนจิรา
“เจ เป็นอะไรลูก หน้าตาไม่รับแขกเลย” จรรยาถามลูกชาย
“ไม่ได้เป็นไรครับแม่”
“งั้นก็ยิ้มหน่อยสิเจ”
จิตรามองเจรมัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะกลัวพูดซ้ำกับที่คนอื่นพูดแล้ว
“โน่นๆ จบคิวเจนแล้ว เดี๋ยวหนูมะลิจะเดินขึ้นมาแล้วซินะ”
เจรมัยหูผึ่งให้ความสนใจบนเวทีทันที และพอดูออกว่าบนเวทีมีความวุ่นวายเล็กๆ เกิดขึ้น
บนเวที ทีมงานเข้ามาประชิดตัวพิธีกรเพื่อบอกบางอย่าง ซึ่งมีเจนจิราอยู่ใกล้ๆ
“คือ นักดนตรีอะคูสติกเราหายตัวไป ตามตัวไม่ได้อ่ะพี่ คิวเปิดตัวน้องมะลิทำไงดี”
ด้านนักดนตรีอะคูสติกตัวอ้วนพีกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ตรงประตูห้องอย่างร้อนรน พยายามเปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก ได้แต่ร้องตะโกนให้คนช่วย เป็นที่น่าเวทนา
“ช่วยด้วยๆๆ มีใครอยู่ข้างนอกมั้ย ช่วยด้วยๆๆ นักดนตรีออกไม่ได้คร๊าบ”
เจนจิรารับรู้ปัญหาที่นักดนตรีหายไปแล้ว บอกอสาวเปรี้ยวคิดปราดเดียว ก็คิดบางอย่างได้ เมื่อมองไปเห็นเจรมัยอยู่ด้านล่าง หันไปบรีฟงานกับพิธีกร
“เอางี้ เดี๋ยวประกาศตามนี้นะ...”
งานดำเนินต่อไป พิธีกรเดินมาที่กลางเวที และพูดตามที่เจนจิราบรีฟให้
“และต่อไปเตรียมพบกับ คุณมะลิ มัลลิกา นางแบบปกแรกของเราและพิเศษกว่านั้น เรามาดูกันว่าศิลปินรับเชิญสำหรับคืนนี้เป็นใคร”
มัลลิกายืนรอคิวอยู่ข้างเวทีได้ยินก็เริ่มไม่แน่ใจ
“มีเซอร์ไพรส์อะไรด้วยเหรอ”
ฝ่ายเจรมัยได้ยินแล้วก็งง และนึกสนใจว่าใครคือศิลปินรับเชิญ
“เอ ใครกันเป็นศิลปินรับเชิญอ่ะ จิรา”
“ไม่รู้ซิ แต่หนุกดีนะ ได้ลุ้นอีกแล้ว เจนนี่ถนัดจริงๆ เรื่องหักมุม” จิรายิ้มย่อง ท่าทางชอบอกชอบใจ
“ใช่ครับน้าจิรา งานถนัดพี่เจนเลย”
เจรมัยยังไม่ทันหายงง หันมาอีกทางก็เจอเจนจิราพนมมือแต้ พูดอ้อนด้วยสายตาวิงวอน
“นะเจ ไม่มีนาย มีพังแน่”
เจรมัยปรากฏตัวขึ้น เดินไปนั่งเก้าอี้บนเวทีพร้อมกับกีต้าร์โปร่ง สื่อมวลชนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ พากันกระหน่ำกดชัตเตอร์รัวๆ แสงแฟลชสว่างวาบไม่หยุดหย่อน พร้อมๆ กับเสียงซุบซิบเม้าท์มอยในหมู่นักข่าวสายเผือก
“เซอร์ไพร์สดีวุ้ยงานนี้” / “นี่มันนักร้อง Popular Vote ปีนี้นี่” / “นี่เจรมัยนี่หว่า ไม่มีกระแสมานาน วันนี้เปิดตัวเจ๋งว่ะ” / “ไม่มีข่าวหลุดเลยซักกะนิด”
เจรมัยขยับไมค์เตรียมเล่นกีตาร์และร้องเพลง
“โอกาสดีๆ แบบนี้ ผมขอเอาเพลงนี้ แทนคำพูดของผมนะครับ”
เจรมัยเลือกยอดฮิตของศิลปินอาร์เอส เนื้อหาแทนคำขอโทษ
เสียงร้องของเจรมัย ดังคลอเสียงกีตาร์ไปเข้าหูมัลลิกา ได้ยินเบื้องแรกเธอรู้สึกไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงใคร
“โทษนะคะ ใครเป็นคนร้องเพลงอ่ะคะ”
“ไม่แน่ใจค่ะ เพราะนักร้องที่จ้างมาหายไป ไม่รู้สรุปเอาใครขึ้นแทน” ทีมงานบอก
“เหรอ เสียงคุ้นมากเลย”
ภวัตเห็นเจรมัยอยู่บนเวทีก็ประหลาดใจ ส่วนแคทลียาดี๊ด๊าตื่นเต้น
“ว้าว ดีอ่ะ เป็นเจนี่เอง คนจัดงานแม่นเรื่องหักมุมดีจัง”
“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”
“แต่หวังว่า นางแบบมือใหม่ของงานนี้ คงจะได้ขึ้นเวทีตรงคิว” แม่สาวไฮโซยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ไม่ทันขาดคำ และหลังจากเจรมัยเล่นกีตาร์และร้องเพลงไปได้ไม่นาน มัลลิกาก็เดินออกมาหยุดยืนโพสอยู่อีกฝั่งของเวที ทั้งสองคนสบตากันนิ่งนาน มัลลิกายังคงมีความขุ่นเคืองในใจ เจรมัยพยายามส่งสายตาบอกความรู้สึกให้เธอรู้ ทีมงานส่งซิกบอกคิวให้มัลลิกาเดินออกไปหน้าเวทีได้แล้ว และจากนั้นเจรมัยก็หยุดร้องเพลง ดีดกีต้าร์คลอจังหวะการเดินของมัลลิกา
พิธีกรประกาศเปิดตัวมัลลิกาท่ามกลางเสียงปรบมือเซ็งแซ่ และมัลลิกาก็ทำได้ดีตลอดการเดินอยู่บนเวที สื่อมวลชนพากันกดชัตเตอร์ตลอดทุกก้าวของเธอ
ทุกอย่างผิดแผน แคทลียารู้สึกเจ็บใจที่เห็นสองคนอยู่บนเวทีด้วยกัน จึงลุกจากไปอย่างฉุนเฉียว ภวัตมองตามงงๆ
ภวัตปรบมือยินดี ทีมของจิตรา จรรยา และ จิรา ก็พากันปรบมือเกรียวกราว
แคทลียาเดินปึงปังมาแถวตู้กระจายไฟฟ้า หล่อนชั่งใจคล้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจสับเบรคเกอร์ลงทั้งหมด
บนเวทีและทุกส่วนของงานเกิดไฟฟ้าดับจนหมด ทุกคนต่างสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น มัลลิกายืนงงอยู่กลางเวที เจนจิราอยู่กับครอบครัวก็งงเช่นกัน
“นี่ก็คิวเซอร์ไพร์สอีกใช่มั้ยลูก” จิราถาม
“อันนี้ไม่นะแม่ น่าจะของจริง”
“โถ แล้วจะทำไงละเนี่ย หนูมะลิจะเกิดซะหน่อย ไหงเป็นแบบนี้ได้” จิตราเป็นห่วงมะลิ
“แล้วจะแก้กันไงเจน” จรรยาก็ด้วย
เจรมัยหยุดเล่นกีต้าร์มองดูมัลลิกาอย่างเป็นห่วง แคทลียาเดินกลับออกมายืนดูอย่างสะใจ ที่เห็นความสับสนอลหม่าน
จู่ๆ เจรมัยก็เปิดไฟฉายจากมือถือแล้วส่องทางให้ มัลลิกาเห็นแสงไฟจากด้านหลังก็หันมามอง เจรมัยยิ้มให้
“เดินดีๆ นะ”
มัลลิกายังไม่รู้สึกอะไร เธอเลือกจะหันหลังให้และไม่มองเจรมัยอีกครั้ง
ส่วนจิราเห็นแสงไฟของเจรมัยก็เก็ตไอเดียขึ้นมาทันที หันมาบอกลูกสาว “นี่ลูกๆ เปิดไฟฉายซิ เปิดให้หนูมะลิ” แล้วหันมาทางพี่ๆ “เอ้า พี่ด้วยรออะไร เปิดซิ”
จิรานำจิตรา จรรยา เจนจิรา และคนดูใกล้ๆ ให้เปิดไฟส่องเป็นทาง
แสงจากมือถือส่องสว่างไปบนเวที แคทลียาเห็นว่าเกมพลิกอีกหน ก็ทนดูอยู่ต่อไม่ได้รีบเดินออกไปทางด้านหลังทันที
ผู้คนในงานเห็นแสงไฟฉายจากกลุ่มจิรา ก็พากันหยิบมือถือออกมาทำตามไปด้วย
กลายเป็นว่าทุกคนในงานพากันเปิดไฟฉายมือถือ จนเกิดเป็นแสงสว่างเล็กๆ กระจายไปทั่วทางเดิน
มัลลิการู้สึกดีเหลือหลายที่เห็นทุกคนตั้งใจช่วยเธอ ออกเดินไปหยุดโพสที่ปลายเวทีอย่างมาดมั่น
ฉับพลันทันใดนั้นเองก็มีรูปมัลลิกาในชุดแฟชั่นเซ็ตอันสวยงาม ก็ปรากฏอยู่บนกลางเวที เป็นภาพปกแมกกาซีนบันเทิงขนาดใหญ่อวดต่อสายตาคนดู คราวนี้เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั้งงาน
กลายเป็นมัลลิกายืนอยู่หลังแบคดร็อปรูปปก เธอหันมาทางเจรมัยยิ้มให้เขา
“ขอบคุณนายนะ”
เจรมัยมองจ้องหน้ามัลลิกา แล้วยิ้มตอบด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ
อ่านต่อ ตอนที่ 10
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่9 #thaich8 #ละครออนไลน์