เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 8
เที่ยงกับนายโพนอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้ว พากันมานั่งรอทานอาหารรสมือคุณหนูมาลี ที่ง่วนปรุงเมนูตามสูตรที่จดลอกใส่กระดาษอย่างขะมักเขม้นอยู่ กิ่งนั้นทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เลยต้องถามเพ็ญขึ้น
“จริงๆ แค่ให้สองคนนี้ทานข้าว คุณหนูมาลีไม่เห็นต้องลำบากทำเองเลยนะ พี่เพ็ญ ทำไมพี่ถึงปล่อยให้คุณหนูทำล่ะ”
เพ็ญจุ๊ปากปราม “จุ๊ๆๆ วันนี้คุณมาลี มีแผนจะทดลองปรุงรัญจวนเนื้อน่ะสิ”
“จริงรึ คราวก่อนทดลองแกงลูกกล้วย ฉันนี่เข้าห้องน้ำซะต้องหลายรอบ” กิ่งบอกสีหน้าขำๆ
“แล้วคราวนี้แกอยากจะเสี่ยงเอง หรือให้สองคนนี้เสี่ยงแทนล่ะ” เพ็ญว่า
กิ่งหัวเราะ “มีสองคนนี้แล้ว เราสองคนก็รอดเนอะพี่”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือแกจะให้ฉันขัด”
“ไม่ล่ะจ้ะ”
มาลีเตรียมอาหารอยู่ในเรือนครัวอย่างตั้งใจ โดยที่ด้านหลังมีนายโพนกับเที่ยงนั่งตัวเกร็งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ไม่รู้จะเอามือไม้วางไว้ตรงไหนดี
“เราทำไงดีอา”
“คุณเค้าบอกให้นั่งก็นั่งไปก่อนแล้วกัน อาก็ไม่รู้จะทำยังไง”
“กี่ปีกี่ชาติเคยนั่งเก้าอี้กินข้าวซะที่ไหน” เที่ยงว่า
“อย่างกะอาเคยน่ะ”
สองคนแอบหัวเราะขำกันก็เพราะกลัวจะเสียมารยาท
มาลีพลิกกระดาษที่จดวิธีทำอาหาร แบบงงๆ มั่วๆ แต่ก็กลัวคนกินจะเห็น
เวลาผ่านไป จนอาหารเป็นอันเสร็จสรรพ มาลีตักแกงรัญจวนเนื้อลงถ้วย เพ็ญช่วยตักข้าว และ กิ่งเตรียมน้ำ
แต่พอทุกคนหันกลับมาก็เห็นแต่โต๊ะเก้าอี้ว่างเปล่า โพนกับเที่ยงหายไปไหนซะนี่ จนเมื่อมองหารอบๆ โต๊ะก็ไปเจอว่า สองอาหลาน ลงไปนั่งที่พื้นข้างๆ โต๊ะ มองมาลีตาปริบๆ ด้วยความเกรงใจ
“คือ กระผมไม่ค่อยชินกับการนั่งโต๊ะน่ะขอรับ คุณหนู” เที่ยงบอก
เพ็ญ กะ กิ่ง เหนื่อยใจที่สองอาหลานทำอะไรไม่รู้มารยาทเลย
แต่มาลีกลับหัวเราะขำในท่าทีของเที่ยงกับโพน ในจังหวะหนึ่งนั้นเที่ยงกับมาลีมองสบตากันและกัน
“เอาไงดีละคะคุณมาลี จะพื้นหรือจะโต๊ะดี” เพ็ญถาม
“พื้นสิ เราไม่ขัดอยู่แล้ว”
คราวนี้ทุกคนเลยลงมานั่งที่พื้นกันหมด มาลีก็นั่งพื้นด้วยอย่างไม่ถือตัว เที่ยงมองยิ่งประทับใจ
“อ่ะ ได้เวลาทานแล้ว นี่รัญจวนชามแรกของฉันเลยนะ ลองดู อร่อย ไม่อร่อย บอกได้นะ คือ ฉันกำลังหัดน่ะ”
เที่ยงยิ้มแต้ “ผมว่ามันต้องอร่อยอยู่แล้วขอรับ”
“ใช่ขอรับ ดูจากหน่วยก้านแล้ว ความตั้งใจทำ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พึ่งหัดทำ” โพนชมใหญ่
“ฮึ้ย ใจเย็น กินก่อน แล้วค่อยว่ากัน” เพ็ญว่า
“แล้ว ไม่ทานด้วยกันหรือขอรับ” โพนถาม
“โอย อิ่มมาก อิ่มแล้ว” เพ็ญหันไปหาพวก “ใช่มั้ยกิ่ง อิ่มแบบไม่ไหวแล้ว เชิญทานกันตามสบายเลยนะจ๊ะ”
“งั้นกระผมสองคน ขออนุญาตนะขอรับ” เที่ยงว่า
เพียงแค่คำแรกที่ตักเข้าปากเที่ยงกับนายโพนไป มันก็ฟ้องถึงรสชาติแกงรัญจวนชามนั้นแล้ว มาลีเห็นอาการที่สองคนพยายามปั้นหน้าว่าอร่อยเพื่อไม่ให้เสียมารยาทสุดกำลัง
“เป็นไงบ้างพวกเธอ” กิ่งถามทั้งที่รู้คำตอบดี
“อืม คือ มัน…” เที่ยงนึกหาคำพูด
“อยากเพิ่มไรมั้ย” เพ็ญซัก
“โอ๊ยๆ พอๆ ครับ” นายโพนร้องลั่น
“รสชาติ พอใช้ได้มั้ย”
เที่ยงอึ้งกับคำถามของเพ็ญอยู่ครู่หนึ่ง เขามองกลับไปกลับมา ระหว่างเพ็ญกับมาลี ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะเพ็ญเองก็ขยิบตาบอกใบ้ให้ตอบดีๆ ส่วนมาลีก็นั่งรอคำตอบอย่างจริงจัง
“ไง จ๊ะ พ่อเที่ยง” เพ็ญถามย้ำ
“บอกมาเถอะ ฉันจะได้ปรับปรุงตัว” มาลีว่า
เที่ยงโพล่งออกมาว่า “คือ มัน ไม่อร่อย อ่ะขอรับ”
“เฮ้ย” นายโพนตาเหลือก แทบจะสำลักน้ำที่ได้ยินคำตอบ เพ็ญ กะ กิ่ง ก็ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว เที่ยงหน้าเสียถนัดตา ซวยแน่อนาคตต่อจากนี้
มาลีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จนหลายคนเดาไม่ถูก สุดท้ายเธอขยับตัวลุกออกจากที่นั่งไป เป็นทีให้เพ็ญได้ตีแขนเที่ยงเต็มแรง ที่พูดอะไรไปไม่รู้กาละเทศะ
“นี่เธอ ตอบอะไรไปน่ะ ไม่ได้เรื่องเลยนะ งี้คุณหนูก็เสียกำลังใจหมด”
“อ้าว ก็ผมไม่รู้นี่ขอรับ”
มาลีย้อนกลับมาพร้อมกับกระดาษดินสอในมือ และรอยยิ้มเปื้อนหน้า
“ดีแล้วๆ ที่ตอบฉันตรงๆ ดูไว้นะเพ็ญ กิ่ง พวกเธอเอาแต่พูดอ้อมเรื่องฝีมือทำอาหารฉัน ดูซิ จนวันนี้ยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย เที่ยงตอบแบบนี้ดีแล้ว ฉันจะได้เอาไปปรับปรุงถูก”
“ค่ะ” เพ็ญกับกิ่งรับเอาคำพร้อมๆ กัน
“อ่ะ เที่ยง รสชาติมันเป็นอย่างไร บอกฉันมาที ฉันจะจด”
มาลียิ้มให้ และแน่นอนว่าเที่ยงยิ่งประทับใจในตัวคุณมาลีมากขึ้น
เจนจิรานั่งอยู่ตรงมุมนั่งเล่นในบ้าน มือหนึ่งกำลังจดตารางคิวงาน แต่แก้ไปแก้มาจนกระดาษเปรอะไปหมด อีกมือก็เหน็บโทรศัพท์มือถือแนบหูคุยสายไปด้วย แขนคล้องของกินมาสามสี่ถุง ดูวุ่นวายยุ่งเหยิงไปหมด
“เธอก็ยกเลิกทางโน้นไปซิ มายกเลิกทางพี่ได้ไง พี่นัดช่างภาพนัดทีมงานไว้หมดแล้ว...หา คืนดีกับแฟนแล้ว แล้ว...แฟนอยู่นิตยสารโน้น โอ๊ย มียังงี้ด้วย”
เจนจิราวางสายเซ็งๆ แล้วเดินออกไปสมทบกับจิรา จรรยา จินดา และ จ๋า ที่นั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะสนามในสวนสวยหน้าเรือนใหญ่
“หวัดดีค่ะ แม่ นี่หนูซื้อขนมมาฝากค่ะ”
“โห นี่ซื้อมาฝาก หรือถูกบังคับให้เอามาฝากเนี่ยลูก ดูหน้าตาซิ” จิราทักถาม
จรรยาก็เห็นตามกัน “เป็นอะไรหรือเจน ดูหงุดหงิดน่าดู”
“ก็นางแบบปกเล่มพิเศษที่เจนติดต่อไว้ เค้าดันมายกเลิกเอาวันนี้ เจนนัดทีมงานไว้หมดแล้ว เลื่อนไม่ได้ด้วย”
“ใครเป็นแบบเนี่ย เยอะนะเนี่ย มาทำงี้กับลูกสาวแม่ได้ไง อ่ะๆ แม่เป็นแบบแทนให้ก็ได้ เอามั้ย”
จิราแกล้งหยอกลูกสาวเล่นตามสไตล์
เจนจิราค้อนควัก “แม่ ยังจะอำเจนเล่นอีกนะ เนี่ยรับปากลูกค้าไว้แล้วด้วยซิ ตายๆๆๆ”
จ๋าเข้ามาเสนอความคิดขึ้นมั่ง
“พี่เจน อย่าเอาป้าจิราเลย หนูเสนอ...”
“แหม.....” จิราลากเสียงยาว “จ๋า พูดตัดเส้นทางอเคนามี่ป้าหมดถ้าไม่ใช่ป้าจะเสนอใครว่ามาซิ อย่าบอกนะว่าเป็นจ๋าเอง”
“เปล่าๆ จ๋าจะเสนอพี่มะลิ”
จินดาติงลูกสาว “อย่าพูดเล่นซิลูก พี่เจนกำลังเครียดๆ”
เจนจิราดันปิ๊งไอเดีย เห็นด้วย “ไม่ๆๆๆ ค่ะ เป็นความคิดที่เข้าท่านะหนูจ๋า เออๆ ทำไมถึงมองข้ามคนใกล้ตัวไปได้...ยายมะลิ ยอดไปเลยหนูจ๋า”
“พี่เจน พี่เจนถ่ายที่ไหน ชวนจ๋าไปเที่ยวกองถ่ายด้วยนะคะ”
“อืม แล้วถ่ายกันที่ไหนล่ะ” จรรยาก็อยากรู้
เจนจิรายิ้มมีเลศนัย ขยับเข้ามาเบียดแม่จิรากับป้าจรรยาทันที
“พิรุธละ” จิราดูออก
“เรื่องที่ถ่ายเนี่ย เจนเองก็ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้อยู่พอดี”
เจนจิราแกะขนมให้จรรยา กับ จิรา กิน สองคนรับไปกินแบบงงๆ
“เจนว่าจะถ่ายที่บ้านคุณตาเนี่ยแหละ ตรงยุค ตรงคอนเซปท์สุดๆ”
“อุ๊ย แย่แล้ว แล้วนี่ได้ไปขอป้าจิตรหรือยัง”
“ยางงงง อ่ะแม่”
“ป้าจิตร ดูจะไม่ค่อยชอบให้คนมายุ่งย่ามกับบ้านซะด้วยนะ” จรรยาว่า
เจนจิราหน้าจ๋อย “นี่แหละคือสาเหตุที่เจนหอบหนมมาฝากวันนี้ แล้วนี่ก็กินของเค้าไปแล้วด้วยนะ”
จิรา กับ จรรยา รู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก มองหน้ากันว่าจะเอาไงดี
ไม่มีใครเห็นว่าจินดาลอบยิ้มในสีหน้า รู้สึกว่าโชคเข้าข้างแล้ว
“ถ้านางแบบเป็นมะลิจริงๆ เรื่องขอป้าจิตจะถ่ายที่บ้านนี้ เดี๋ยวน้าช่วยพูดเอง”
“โอ้โห วันนี้แม่ลูกคู่นี้มาช่วยชีวิตเจนไว้จริงๆ ขอบคุณค่ะน้าจินดา”
เจนจิราหอบขนมตรงหน้าจิรากับจรรยา ไปให้จินดากับจ๋าทันที
จินดารู้สึกแปลกๆ ทั้งลังเล ทั้งกลัว ปะปนกันไปหมด เมื่อแผนของเธอเข้าใกล้ความจริงแล้ว
“แต่เจน ต้องสัญญากับน้านะ ว่านางแบบต้องเป็นหนูมะลิ”
เจนจิราได้ฟังก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมจินดาต้องย้ำเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นเท่ากับว่า เธอได้งานที่ตั้งใจไว้แล้ว
โดยไม่มีใครเห็น ที่หน้าต่างบ้านชั้นบนยามนี้ ผีสร้อยพีปรากฏตัวอยู่บนนั้น เฝ้ามองทุกคนอยู่รวมกันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แคทลียาเดินจ้ำพรวดๆ มาตามทางเดินในออฟฟิศสำนักพิมพ์ สีหน้าแลดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ใครต่อใครที่เดินผ่านมาเห็น เป็นต้องหลบทางให้วุ่น บ้างก็หลบตาวูบ เพราะเป็นไปได้ว่าอาจจะโดนดาราไฮโซขาวีนเหวี่ยงเอา น้องฝึกงานคนหนึ่งเดินผ่านมาถูกเรียกไว้ถาม
“นี่น้อง ห้องทำงานคนชื่อมะลิ อยู่ชั้นไหน”
“หะๆ อะไร นะคะ”
“มะลิ ทำงานชั้นไหน”
“มะลิ” น้องพยายามนึก
“ใช่ มะลิ ที่ทำงานกับพี่เจน เจนจิราน่ะ อยู่ไหน”
“อ๋อ มะลิ น้องที่รอบรรจุเป็นนักเขียนใช่มั้ยคะ”
“ใช่มั้ง”
“ที่สูงๆ ขาวๆ โอโม่ๆ” น้องเป็นฝ่ายซักกลับ
“นั่นแหละๆ”
“ผมยาวๆ”
“นั่นแหละ น่าจะใช่”
“อืม ที่จมูกโด่ง หน้าสวยๆ ใช่มั้ยคะ”
แคทลียาชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก “จมูกโด่งๆ น่ะใช่ แต่เรื่องสวยไม่แน่ใจ นี่ตกลงรู้มั้ยเนี่ย”
“ถ้าเป็นคนที่สวยๆ ก็ทำอยู่ชั้นสอง อ่ะค่ะ”
“ก็เท่านี้แหละ กว่าจะพูดรู้เรื่อง ผิดหวังที่สุด ชั้นสองนะ จบ ขอบใจ”
แคทลียาสะบัดตัวเดินฉับๆ ขึ้นบันไดมายังชั้นสอง และเมื่อพ้นหัวบันไดมาก็ชนเข้ากับภวัตโครมใหญ่ ดีที่เขาหลบทัน
“เอ๊ย แคท”
“ภวัต”
“จะมาไม่เห็นบอกเลย นี่เกือบไม่เจอกันแล้วนะเนี่ย เราว่าจะออกไปหาลูกค้าพอดี”
“เอ่อ..คือ...เราไม่ได้กะมาหาภวัต น่ะ”
“แล้วมาหาใคร รู้จักใครในนี้ด้วยเหรอ ไม่ยักรู้”
“จะมาหาคนชื่อมะลิซะหน่อย มะลิที่ทำงานกับพี่เจน พี่สาวของเจรมัยน่ะ”
“รู้จักกับมะลิด้วยเหรอ มะลิที่สวยๆ ใช่ป่ะ”
แคทลียาขึ้นอีกรอบ “สวย คนออฟฟิศนี่เป็นไรกับคำนี้เนี่ย”
“อ้าวเหรอ อ่ะ แต่ไง แคทก็สวยกว่านะเราว่า”
แคทลียายิ้มแก้มแทบแตก “แหมภวัต พูดดี ไม่ผิดหวังที่มีเพื่อนเป็นเธอนะเนี่ย”
“ไป เดี๋ยวเราเดินไปส่ง แต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ห้องหรือเปล่านะ”
ภวัตไม่รู้ตัวว่ากำลังพาแคทลียาไปเฉ่งมัลลิกาด้วยตัวเอง
มัลลิกาจัดเก็บข้อมูลลงฮาร์ดดิสเสร็จ ถอดปลั๊กเรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป
มัลลิกาเดินพ้นประตูออกไป คลาดกับแคทลียากับภวัตเฉียดฉิว สองคนเข้าห้องทำงานมา มองจนทั่วพบแต่ห้องว่างเปล่า ภวัตบอกกับหล่อนว่า
“แคท คุณคงชวดแล้วหละ มะลิ ไม่อยู่แล้ว”
“นั่นสิ”
“แล้วมีอะไรกันเหรอ ฝากเราบอกมะลิก็ได้นะ”
“อืม คือ แคทรู้สึกว่า ยัยมะลิเนี่ย ต้องมีอะไรยังไงกับพี่เจแน่นอน มาเนี่ยก็ว่าจะมาถามให้รู้เรื่อง”
ภวัตได้ยินชื่อเจรมัยก็อึ้งไป กอปรกับเขาเองก็รู้สึกได้ว่า เจรมัยเป็นตัวการทำให้ความสัมพันธ์ของมะลิกับตนมีอุปสรรค แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา พยายามมองโลกในแง่ดี
“แคทก็อย่าพึ่งคิดไปไกลเลย อาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
“วัต เธอน่ะ เป็นคนดี มองอะไรๆ ดีไปหมด เชื่อเรา เรามีเซนส์พวกนี้ถ้าไม่จัดให้ เดี๋ยวมารู้ตัวอีกที ก็โดนคาบไปซะกินซะแล้ว”
“ใจเย็นๆ แคท ค่อยๆ พูดกันน่ะดีที่สุด”
ในจังหวะนั้นเอง มัลลิกาดันย้อนกลับเข้ามาที่ห้องทำงานพอดี เธอเห็นสองคนในนี้จึงมองด้วยสีหน้าฉงน
แคทลียามองหน้ามัลลิกาอย่างไม่เป็นมิตรชัดแจ้ง มัลลิกาสับสนว่าดาราเซเลบคนดังเข้ามาในนี้ได้ไง แล้วทำไมต้องมองเธออย่างชิงชังมากปานนั้น
ภวัตยังตั้งหลักไม่ทันเลยได้แต่มองสองสาวกลับไปกลับมา
“มาพอดี วันนี้จะแอ๊บเป็นอะไรอีกล่ะ” แคทลียาเปิดฉากเฉ่งทันที
มัลลิกาโกรธที่จู่ๆ โดนด่า แต่ยังระวังท่าที “แอ๊บไร”
“ก็ตอนเจอฉันที่โรงพยาบาล ก็ยังแอ๊บเป็นแฟนคลับพี่เจ เอาของมาฝากให้ฉันเอาไปให้พี่เจอีก ตีหน้าซื่อทำเป็นไม่ประสา
“นี่เธอพูดอะไร มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดซะหน่อย”
ภวัตรีบห้าม “เอาน่ะ พอแล้วแคท”
“เดี๋ยว ภวัต ก่อนฉันจะพอ ฉันขอพูดให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจหน่อยว่า พี่เจเป็นของฉัน เธออย่าได้คิด”
มัลลิกานึกหมั่นไส้ “อืม...ได้เข้าใจ แต่ถามหน่อย ที่ว่าเจเป็นของเธอเนี่ย เจเค้ารู้ยัง”
ภวัตสะดุ้ง “นั่นไง”
“นี่” แคทลียาแทบจะกรี๊ด “คอยดูละกัน ยังไงเจเขาก็ต้องเป็นของฉัน ใครหน้าไหนก็ยุ่งไม่ได้ ฉันขอเตือนเธอไว้ก่อน ถ้าไม่อยากลำบากอย่ามายุ่งกับพี่เจอีก”
แคทลียาสะบัดตัวเดินออก จงใจกระแทกชนไหล่มัลลิกา
“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะมะลิ”
มัลลิกาพยักหน้ารับ ภวัตรีบตามออกไป
แคทลียาออกประตูเดินฉับๆ ลงบันไดไป เจนจิราเดินเข้ามาจากอีกทาง แคทลียาไม่ทันเห็นรีบเดินออกไปด้วยความโมโหหึง
“เป็นอะไรนะ ดูปุบปับน่าดู”
“อ่ะ พี่เจน ไงฝากดูมะลิด้วยนะครับ”
เจนจิรางงใหญ่ “อ้าว นี่ก็อีกคน ไรกันเนี่ย”
พอเจนจิราเข้าห้องมา ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นมัลลิกายืนทำหน้าเซ็งโลกอยู่
“เกิดอะไรขึ้นมะลิ”
“ไม่มีไรพี่ แค่แม่แคทว่าที่แฟนเจรมัย มาเหวี่ยงใส่ว่าน้องจะไปแย่งว่าที่แฟนเธอ งงเลย”
“ไรเนี่ย ยัยแคท นี่แรงเหมือนในข่าวจริงๆ ด้วยนะเนี่ย”
“เซ็ง... ไปหาไรทำกันดีกว่า เบื่อขึ้นมาเฉยเลย”
เจนจิรายิ้มเจ้าเล่ห์ “จริงดิ นี่ๆ พี่ว่าจะมาวานน้องให้ช่วยทำไรซะหน่อยพอดี”
มัลลิกาไม่ทันเห็น “ตอนนี้ ทำไรก็ได้พี่ทำได้หมด”
เจนจิรายิ้มกระหยิ่ม “ตามนั้นนะ นี่รับปากแล้วนะ”
“ว่าแต่พี่จะให้มะลิช่วยทำไรคะ”
“ถ่ายแฟชั่น”
มัลลิกาอึ้งไปสองสาววินาที จะปฏิเสธ “ฮือ เอ่อ...”
เจนจิราจ้องหน้า “รับปากแล้วไง ห้ามเบี้ยว”
“ก็ได้ แต่...ขออย่างเดียวขอให้อยู่ห่าง ๆ พ่อเจรมัยแฟนคุณแคทเป็นพอได้มั้ยพี่”
“ได้อยู่แล้ว”
“ว่าแต่พี่จะถ่ายที่ไหนเหรอพี่”
เจนจิราเลือกสรรคำตอบไม่ถูก เพราะหากบอกไปว่าถ่ายบ้านคุณตาเทียบ มีหวังถูกมัลลิกาเหวี่ยงและปฏิเสธแน่นอน
“เรื่องสถานที่ ขอพี่อุ๊บไว้ก่อนนะ เดี๋ยวจะเซอร์ไพรส์ไปหน่อย”
ในตอนเช้าของวันต่อมา มัลลิกาถูกช่างแต่งหน้า และช่างทำผม มะรุมมะตุ้มวุ่นวายกับหัวและใบหน้าของเธออยู่
มัลลิกาชี้นิ้วตรงไปยังเจนจิราที่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม จำนนต่อความผิดของตน
“เซอร์ไพรส์มาก... พี่เจนทำกันได้” มัลลิกาชี้หน้าต่อว่าอย่างเลือดเย็น
“แหม.....น้องมะลิก็”
เจนจิราถลาเข้ามาใกล้ๆ มัลลิกา ยิ้มสู้เหมือนสำนึกผิดเต็มประตู และหวังว่าน้องจะให้อภัย
“คนบอกว่าไม่อยากยุ่งกับตาเจ พี่ก็จัดน้องมาบ้านเค้าซะนี่ มันใช่ ใช่มั้ยพี่”
“ก็แหม.....”
“หยุดแหมก่อนพี่ ถ้างานนี้ทำให้น้องเดือดร้อนนะพี่…หึๆ”
“ก็ แหม.....วันนี้พี่เช็คแล้ว เจรมัย ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เนี่ยก็ออกไปแต่เช้ากับพี่ภาคแล้วด้วย เรื่องเจอกัน สบายใจได้ นั่นไง คนดูลาดเลาพี่มาแล้ว” เจนจิราบอก
จ๋าวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาเจนจิรา พร้อมกับสวัสดีทักทายพี่มะลิมาแต่ไกล
“พี่เจนขา...พี่มะลิ หวัดดีค่า....”
“ว่าไงจ๋า พี่เจออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วใช่มั้ย บอกพี่มะลิให้ชื่นใจหน่อยซิ”
“พี่มะลิ พี่เจ เค้าออกจากบ้านไปแต่เช้าแล้วค่ะ ไปกับน้าจรรยา”
“เห็นมั้ยบอกแล้ว” เจนจิรายิ้มย่อง
“แต่ ตอนนี้พี่เจเค้ากลับมาแล้วค่ะ พี่เค้าบอกว่า เสร็จธุระเร็วกว่าที่คิดอ่ะพี่เจน ตอนนี้เห็นคุยกับป้าจิตอยู่ฝั่งโน้นอ่ะ”
มัลลิกาเซ็งโคตรๆ “ยังไงพี่เจน”
“งั้นเดี๋ยว พี่ไปจัดการเรื่องนี้ก่อนนะ น้องแต่งหน้าเสร็จเดี๋ยว ทีมจะพาไปหน้าเซ็ตนะจ๊ะ” เจนจิราหันมาทางจ๋า “จ๋าไปกัน สรุปพี่เจ อยู่ห้องป้าจิตใช่ป่ะ”
“พี่เจน พี่มะลิกับพี่เจ เค้าไม่ถูกกันเหรอพี่” จ๋าสงสัยเลยถาม
“แหม ก็ซักขนาดนี้เนอะ”
ว่าแล้วเจนจิรา ก็คว้าแขนหนูจ๋า พากันพุ่งตัวออกไปหาเจรมัยทันที
มัลลิกามองตามสองคนไป ทันใดนั้นเองก็มีใครบางคนเข้ามาประชิดตัวจนมัลลิกาตกใจ รีบหันมามองว่าเป็นใคร
“อุ้ย คุณน้า สวัสดีค่ะ”
เป็นจินดานั่นเอง “น้าจินดา เราเคยเจอกันครั้งหนึ่งแล้ว”
“ค่ะๆ หนูจำได้ค่ะ
จินดาอึกอักไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อน เพื่อโน้มน้าวให้มัลลิกาไปจับตะลุง ตามที่รับปากผีสร้อยพีไว้
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณน้า”
“คือ น้า อยากจะให้หนูช่วยอะไรซักหน่อย”
“ได้ซิคะ”
“คือน้าอยากให้ไปช่วยหยิบ...หนัง...”
จินดาไม่ทันจะได้พูดจบ ก็มีทีมงานกองแฟชั่นเข้ามาตามมัลลิกาให้ออกไปหน้าเซ็ตซะก่อน
“พี่มะลิ เสร็จแล้วใช่มั้ยครับ งั้นเชิญหน้าเซ็ตครับ”
“ค่ะๆ ขอโทษทีนะคะน้าจินดา ต้องไปหน้าเซ็ตแล้ว”
จินดานิ่งเงียบเหมือนคิดอะไรในใจ
มัลลิกาลุกตามทีมงานไป แต่จู่ๆ จินดาก็เดินไปฉุดแขนมัลลิกาไว้ สีหน้าของน้าจินดาดูขึงขังเอาจริงแปลกไปจนน่าสงสัย
“มะลิ ไปช่วยน้าก่อน น้าขอร้อง”
“น้าจินดา”
ทีมงานไม่ยอม “ต้องขอโทษนะครับ ผมขอตัวพี่มะลิไปก่อนนะครับ คือเดี๋ยวแดดมันเปลี่ยนน่ะครับ”
“มะลิ ไปกับน้าก่อน ช่วยน้ากับจ๋าที”
ระหว่างยื้อยุดกันอยู่นั้น จิราก็ผ่านมาเห็นพอดี ไม่เข้าใจในสถานการณ์
“อะไรกันเหรอ จินดา”
จินดาเห็นจิราเดินเข้ามา ก็รีบเก็บอาการ
“เปล่าๆ ฉันแค่จะชวนหนูมะลิไปช่วยอะไรซักหน่อย”
“งั้นให้พี่ไปช่วยแทนมั้ย หนูมะลิจะได้ไปทำงาน”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรพี่ มะลิ ไปทำงานเถอะน้าไม่กวนแล้ว”
จินดาตัดบทแล้วแยกตัวไปเฉย ทำเอามัลลิกากับจิราเกิดความสงสัย จิราตัดสินใจเดินย้อนตามจินดาไปห่างๆ ส่วนมัลลิกาเดินไปกับทีมงาน
จิราเดินตามจินดามาห่างๆ จนพบว่าจินดามาหยุดที่หน้าตาเทียบ เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง ก่อนที่ก้าวเข้าไปในห้องนั้น จิรามองสงสัย
จินดาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าหนังตะลุงอย่างจำนน
“ฉันพยายามอยู่ ขอให้รออีกไม่นาน อย่าเพิ่งทำอะไรจ๋าเลย”
จู่ๆ ก็ปรากฏร่างเข้ามากระซิบข้างๆ หูจินดา มันทำให้เธอผวา แต่เธอก็ไม่กลัวจะขยับตัวหนี
“พามะลิมาจับตัวหนัง เพื่อฉันจะได้เป็นอิสระ”
“ฉันพยายามอยู่”
เกิดกระแสลมกรรโชกอย่างรุนแรง พริบตาต่อมากลายเป็นว่าจินดานั่งอยู่เพียงลำพังในห้อง
ฝ่ายจิราเห็นประตูห้องตาเทียบถูกเปิดทิ้งไว้ จึงจะก้าวตามจินดาเข้าไป แต่จู่ๆ ประตูก็ปิดปังใส่หน้าเธออย่างรุนแรง ขณะที่จิรายืนสับสนอยู่นั้นเอง ประตูก็เปิดออกอีกครั้ง และเห็นจินดาเดินออกมา
“จินดา เธอเข้าไปทำอะไร”
“ไม่มีอะไรพี่”
จินดาเดินหนีไปเลย
ลีลาการโพสท่าของมัลลิกาที่หน้าเซ็ต ถูกใจช่างภาพและทีมงานอย่างเหลือเชื่อ ดูเผินๆ เกือบจะเป็นมืออาชีพเลยทีเดียว ทุกอย่างเกือบจะราบรื่นไปตลอดรอดฝั่ง จนกระทั่งเธอมองไปเห็นเจรมัยเดินมาแต่ไกล และมีเจนจิรากับจ๋าเดินมาดักหน้าดักหลังไม่ให้เขาเดินมาทางกองถ่ายแฟชั่น
เจนจิราดักหน้าดักหลังเจรมัย หวังจะเบี่ยงให้เขาเดินไปทางอื่น โดยมีหนูจ๋าเป็นผู้ช่วยอย่างแข็งขัน
เจรมัยไม่เข้าใจ ทำไมสองคนถึงต้องห่วงการเดินมาทางนี้ของตนขนาดนี้
“ทำไมล่ะพี่ ผมไม่ไปเกะกะกองถ่ายเค้าหรอก”
“ไม่ได้ๆ วันนี้เดินไปทางอื่นก่อน พี่ขอร้อง”
เจรมัยจ้องจับผิด “พิรุธแล้วเนี่ย”
“ช่าย วันนี้ผ่านไม่ได้” จ๋าผสมโรง
“งงอ่ะ ช่างภาพดุเหรอ แบบไม่ชอบเห็นคนอื่นในเซ็ตงั้น”
“ไม่ใช่ช่างภาพ แต่เป็นนางแบบต่างหากพี่เจ”
เจนจิราแหวใส่ “จ๋า...”
จ๋าคอหดที่เผลอหลุดปากไป เจรมัยเลยยิ่งสงสัยหนัก
“นางแบบเป็นใคร ถึงเยอะขนาดไม่ให้คนในบ้านเราเดินผ่าน”
เจรมัยเงยหน้ามองก็เห็นเป็นมัลลิกาที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากันและกัน
เจรมัยรู้สึกว่า วันนี้มัลลิกาแต่งหน้าทำผมแต่งตัวสไตล์ย้อนยุคแบบนี้ ดูเธอสวยจนทำให้เขานึกถึง มาลีผู้หญิงในนิมิตขึ้นมา
เจรมัยพึมพำออกมา “คุณมาลี”
มัลลิกาเห็นเจรมัยจ้องเอาๆ ก็รู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก
เจนจิราเห็นเจรมัยนิ่งไปนานจนผิดปกติ เลยต้องเรียกให้ได้สติ
“เจ...เจ เป็นไร จ้องซะเหมือนไม่เคยเจอกัน”
“อ๋อ...อ้อ...เอ่อ นั่นซินะ เรื่องนางแบบเหวี่ยงเนี่ย อำผมใช่มั้ย มะลิเค้าไม่เหวี่ยงผมหรอกพี่”
“ไม่ใช่เรื่องแกหรอกเจ แต่เป็นเพราะวันก่อนยัยแคท เข้าไปเม้งมะลิ ถึงออฟฟิศ มะลิประกาศเลยว่าจะไม่เข้าใกล้แก เพราะไม่อยากซวยฟรีอีก”
“แคท นะ แคท งั้นยิ่งต้องเข้าไปหา ผมจะได้เคลีย์เรื่องแคทกับมะลิ ให้เธอสบายใจ”
เจรมัยดึงดันจะไปอธิบายให้ได้ เจนจิราเลยต้องขอร้องดีๆ
“เจๆๆ งั้นขอให้ถ่ายเสร็จก่อนได้แล้วกันนะ ขอให้งานฉันเสร็จก่อนแล้วกันนะเจ พี่ขอ”
เจรมัยนั่งแอบอยู่มุมหนึ่ง คอยชะเง้อมองมัลลิกาอยู่ตลอดเวลา พอจะลุกไปก็ถูกเจนจิราฉุดเอาไว้ จ๋าขำกับท่าทีสนใจพี่มะลิจนออกนอกหน้าของพี่เจ
ส่วนมัลลิกาฟังช่างภาพบรีฟท่าโพส แต่สายตาก็คอยแอบชำเลืองมองไปดูเจรมัยเหมือนกัน เธอเผลอยิ้มหัวเราะขำเมื่อเห็นเจรมัยถูกเจนริราตีเอา เหมือนเขาเป็นเด็กๆ
เมื่อเห็นมัลลิกาหัวเราะ เจรมัยก็ยิ้มออก พลอยรู้สึกดีไปด้วย
ช่างภาพกดชัตเตอร์ช็อตสุดท้าย
“อ่ะ โอเค พักกันก่อน เดี๋ยวของพี่เช็คไฟล์ภาพก่อน”
“ค่ะพี่”
ช่างหน้า ช่างผม มาดูหน้าดูผมนางแบบ ทีมงานของเจนจิราเข้าไปดูแลมัลลิกา เสิร์ฟน้ำให้ ยืนคอยพัดวีให้
เจรมัยเห็นเช่นกันว่ามัลลิกาถ่ายเสร็จ พักกองแล้ว
“อืม เจ เหมือนว่าเค้าจะพักกองแล้วนะ”
เจนจิราไม่ได้ยินเสียงตอบ จึงหันไปมอง ปรากฏเจรมัยหายหัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เห็นอีกทีเขาก็อยู่ตรงจุดที่มัลลิกานั่งพักอยู่แล้ว
มัลลิกาเงยหน้ามา ก็พบว่าเจรมัยยืนจ้องหน้าเธออยู่แล้ว ประจวบเหมาะกับทีมงานอื่นๆ พากันแยกตัวออกไปจนเกลี้ยง เวลานี้เหลือแค่เขาและเธอสองคน
“ไม่ต้องมาใกล้ฉันเลย เดี๋ยวจะพาซวยอีก”
เจรมัยอธิบาย “เรื่องแคทอ่ะนะ ผมไม่เกี่ยวซิ”
มัลลิกาไม่เชื่อ “โห...ไม่ต้องเลย ไปบอกแฟนคุณเลยว่าฉันไม่เกี่ยวทึกทักเอาเอง แล้วมาฟาดงวงฟาดงาใส่ฉันเฉย”
“ผมกับแคท ไม่ได้เป็นแฟนกัน คุณก็รู้…เอาน่ะ เอาเป็นว่าต่อไปผมจะกันแคทออกจากคุณคุณจะไม่ต้องเดือดร้อน ดีมั้ย”
“แล้วแต่ แล้วกัน …ฉันไปดีกว่า อยู่ใกล้นานๆ เดี๋ยวจะซวยอีก”
“โธ่ คุณ ไม่ซวยหรอกน่ะ”
ไม่ทันขาดคำ ในตอนที่มัลลิกาเดินผ่านเจรมัยนั้นเอง ความซวยก็มาเยือน เพราะดันสะดุดเท้าเจรมัยที่ขยับตัวพอดี พาให้มัลลิกาเสียหลักจวนเจียนจะล้มรอมร่อ เจรมัยรีบเข้าคว้าตัวไว้ ทำให้ทั้งสองคนเสียหลักล้มไปด้วยกัน เจรมัยหมุนเอาตัวเองให้มัลลิกาทับกันบาดเจ็บ ยังผลให้ปากอิ่มๆ ห้อยๆ ของมัลลิกาก็ประกบเข้ากับปากของเจรมัยเสียแล้ว ทุกอย่างชะงักงันนิ่งนาน
มัลลิการู้ตัวรีบผลักเจรมัยออก ทั้งสองคนยังคงนั่งเขินกันอยู่ที่พื้น ต่างฝ่ายต่างไม่กล้ามองหน้ากัน
ที่ด้านหลังของทั้งคู่ มีดวงไฟของทีมงานส่องมา จนเกิดเป็นเงาพาดยาวลงตรงผนังตัวเรือน เจรมัยเห็นก่อน จึงทำทีชี้ชวนให้ดูและคุยแก้เขิน
“เงา เราสองคน ดูสิ”
“อืม...”
มัลลิกาพนักหน้าน้อยๆ เพราะยังเขินกับเมื่อครู่ มือแอบเช็ดปากตัวเองเบาๆ
“เรานั่งห่างกัน แต่ในเงาก็เหมือนเราสองคนหน้าเบียดกันเลย” เจรมัยว่า
“อืม จริง ดีนะไม่ได้เป็นจริง”
มัลลิกาและเจรมัยมองตามเงาของตัวเอง ในจังหวะหนึ่งภาพในเงาก็เหมือนว่า จมูกของเจรมัยกับมัลลิกาสัมผัสกัน และวินาทีนั้นเอง ทั้งสองคนต่างรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ทั้งเจรมัยและมัลลิการู้สึกปวดหัวขึ้นมาฉับพลัน และเกิดภาพไม่ปะติดปะต่อ ไหลเวียนเข้ามาในความคิดของทั้งสองคนราวกับสายน้ำไหล
เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านคหบดีโสภณ เห็นภาพท่านโสภณมาดน่าเลื่อมใส ตามด้วยภาพเที่ยงหัวเราะอยู่กับนายโพน ยังภาพตอนมาลีทำอาหาร รวมทั้งภาพมณฑา และมารศรี
ที่บ้านคหดีโสภณ เห็นผู้คนเดินผ่านหน้าบ้านไปมา บอกเล่าถึงความเป็นชุมชนใหญ่ของพระนคร
นายโพนยืนงงๆ อยู่หน้าประตูเหล็กบ้านท่านโสภณ มองหาการกลับมาขอใครคนหนึ่ง ไม่นานนักก็เห็นเที่ยงวิ่งกลับมา ทั้งคู่ดูตื่นเต้น
“อาๆ ตรงโน้นไม่มีไปรษณีย์ สงสัยจะต้องไปทางนี้ ถามเด็ก มันบอกว่าต้องไปตรงตลาดฝั่งโน้น”
“เอ็งก็ไปซะนานเลย อาก็คิดว่าหลงซะแล้ว”
“ไม่หลงๆ ข้าเดินเป็นเส้นตรงอย่างเดียวไม่เลี้ยวไหน ก็ไม่มีพลาด”
“เอ่อๆ งั้นเอาไงต่อ จะได้ส่งโทรเลขมั้ยเนี่ย”
“อารอผมตรงนี้ ขอไปดูฝั่งโน้นหน่อยว่ามีตลาดจริงหรือเปล่า อารอเนี่ยแหละ ถ้าหลงจะได้หลงคนเดียว”
“เออๆ แล้วอย่าไปเลี้ยวไหนล่ะ ตรงอย่างเดียวเน้อเที่ยง”
“ครับๆ ไปละ เดี๋ยวสาย”
เที่ยงออกวิ่งไปอีกทาง ทิ้งนายโพนให้ยืนเด๋อด๋าท่าทีน่าขันรออยู่ตรงประตู ไม่กล้าออกไปไกล เพราะตัวเองก็กลัวหลงเหมือนกัน
ไม่นานนักท่านโสภณก็เดินออกมาเห็น มองนายโพนที่ทำท่าแปลกๆ อยู่ตรงประตูบ้าน
“เอ้า นายโพน ทำอะไรดูแปลกๆ”
“ท่านโสภณ คือมายืนรอเที่ยงขอรับ เที่ยงออกไปหาที่ทำการไปรษณีย์ขอรับ”
“แล้ว นายโพนทำไมไม่ไปด้วยล่ะ”
“คือ...เอาจริงๆ นะขอรับ คือ…กระผมสองคนกลัวหลง ไปสองคนหลงสองคนน่าจะเป็นเรื่องอยู่ แต่ถ้าหลงทางคนเดียวอีกคนอยู่ตรงนี้ ก็ยังมีคนคอยเรียนท่านให้ช่วยเหลือได้น่ะขอรับ”
ท่านโสภณยิ้มขำ “พวกเธอนี่คิดอะไรน่าขำดี แล้วจะไปรษณีย์ทำไมไม่บอก เดี๋ยวฉันให้คนพาไปง่ายกว่า อ่ะ เดี๋ยวฉันไปดูก่อนนะว่าจะมีใครพาไปได้มั้ย”
พร้อมกับว่า ท่านโสภณเดินย้อนกลับเข้าไปในเรือน ในจังหวะเดียวกับที่เที่ยงวิ่งกลับเข้ามาจากประตูหน้าบ้านด้วยสีหน้าผิดหวัง
“อา...อา ตรงโน้นมีตลาด แต่ไม่มีที่ทำการ เอาไงดี”
“ไม่ต้องห่วงแล้วละ เมื่อกี้ท่านโสภณเดินมาถามแล้ว เดี๋ยวท่านจะหาคนมาพาไป” นายโพนบอก
“งั้นเหรออา ตั้งแต่เรามาเนี่ย มีเรื่องกวนเจ้าของบ้านเค้าตลอด ชักเกรงใจแล้วซิ” เที่ยงว่า
ขณะที่สองอาหลานทำหน้าตาเกรงใจเจ้าของบ้านอยู่นั้น คหบดีโสภณเดินออกมาพร้อมกับมาลี มีเพ็ญตามมาด้วย
“มาแล้วๆ ได้คนพาไปแล้ว พอดีอยู่บ้านพอดี อ่ะ โพน อ่ะ เที่ยง นี่ มาลี ลูกสาวคนเล็กของฉัน เดี๋ยวมาลีกับเพ็ญจะพา พวกเธอไปไปรษณีย์”
นายโพนยกมือไหว้ “สวัสดีขอรับคุณหนูมาลี”
เที่ยงก็ไหว้ทักทาย “สวัสดีขอรับ คุณมาลี”
เห็นมาลียิ้มรับให้กับเที่ยง ท่านโสภณก็รู้สึกว่า ตะหงิดๆ ยังไงในใจ
“นี่ไม่ใช่ สองคนเคยเจอกันแล้วไม่บอก มาให้ฉันปล่อยไก่ให้ดูนะ”
“จริงๆ เคยเจอคุณหนูแล้วครับ ตอนที่มาถึงพระนครวันแรก แล้วคุณหนูมาช่วยกระผมกับอาตอนที่มีรื่องกับฝรั่งน่ะครับ คุณหนูมาลี นี่พูดปะกิดได้เก่งจริงๆ นะขอรับ”
“อืม งั้นรึ อ่ะๆ ตามสบาย เดี๋ยวลูกพาพวกเค้าไปแล้วสงสัยต้องพากลับมาด้วยนะ ดูท่าสองคนน่าจะต้องใช้เวลาอีกพักกว่าจะเลิกกลัวถนนในบางกอก” ท่านโสภณหัวเราะเบิกบานใจ
“ค่ะคุณพ่อ” มาลีหัวเราะตาม “งั้นลูกขอตัวเลยนะคะ”
มาลีค้อมตัวให้พ่อแล้วเดินนำทุกคนออกจากรั้วบ้านไป
เพ็ญ เที่ยงและนายโพนเดินตามหลังคุณหนูมาลีไปด้วยกัน
“นี่เดินช้าไม่ทันคุณหนู แล้วหลงขึ้นมาไม่ช่วยด้วยนะจ๊ะ” เพ็ญแซวเอา
“ขอรับ แซวกระผมแบบนี้ ถ้าพี่เพ็ญมีโอกาสได้ไปนครฯ บ้านกระผม อย่ามาร้องไห้ให้ช่วยนะขอรับ” เที่ยงว่า ยิ้มๆ
“เที่ยง ไม่ธรรมดานะยะ”
เที่ยงยิ้มให้เพ็ญ แล้วจากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินตามมาลีไป
ระหว่างรอ เพ็ญนั่งเลือกกระจับคั่วจากพ่อค้าริมถนน นายโพนอยู่ใกล้ๆ เอาแต่คอยชะเง้อมองเข้าไปในที่ทำการไปรษณีย์ เพ็ญเลือกกระจับได้แล้วก็มองตามไปด้วย
“นี่ถ้าจะมาชะเง้อแบบนี้ ไม่เข้าไปกับคุณหนูเลยล่ะ”
“เกรงใจ เราบ้านนอกบ้านนา เดี๋ยวไปปล่อยไก่เสียคุณหนูเปล่าๆ ปล่อยเที่ยงมันตามเข้าไปคนเดียวน่ะดีแล้ว มันประสาสุดในคณะแล้ว”
“อ๋อ ตอนแรกคิดว่าอากับพ่อเที่ยงเป็นพ่อลูกกันซะอีก”
“งั้นเหรอ”
“แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าไม่น่าใช่”
“ทำไมละ”
“ก็พอมาดูดีๆ ถ้าเป็นพ่อลูกกัน ทำไม๊ลูกถึงรูปหล่อไม่ไว้หน้าพ่อขนาดนี้”
นายโพนค้อนท่าทีน่าขัน “เอิ่ม…นี่เราสนิทกันแล้วใช่มั้ยครับ”
เพ็ญเห็นแล้วยิ้มแหะๆ “อุ๊ย แหะ แหะ ฉันพูดเล่น อาโพนก็หล่อแบบของอา แล้วมีลูกมีเมียมั้ย แล้วจะขึ้นมากับคณะตะลุงที่เหลือรึเปล่า”
“ฉันมีลูกสาว แล้วก็เป็นคนที่จะพาทุกคนขึ้นมา หลังรับโทรเลขนี่แหละ”
เพ็ญพยักหน้ารับหงึกๆ “อ้อ”
“แล้วอยากรู้มั้ยว่าลูกสาวอา สวยหรือไม่สวย”
“อืม อยากรู้ซิ พอจะสู้ฉันได้มั้ย
นายโพนหันมามองเล็งแลเพ็ญอย่างพิจารณา มองขวา มองซ้าย แล้วก็คิดคำตอบได้
“ตอบไปเดี๋ยวจะมีคนเสียใจ”
“เจ็บ...เจ็บกว่าโดนด่าว่าไม่สวยซะอีก”
ไม่นานนักเที่ยงกับมัลลิกาก็เดินออกมาจากที่ทำการไปรษณีย์พอดี
“คุณมาลีมาล่ะ ไม่คุยกับอาแล้ว”
เพ็ญดิ่งมาหาคุณมาลี ส่วนนายโพนก็หัวเราะร่าเดินตามเพ็ญมา
มาลีกับเที่ยงสงสัย เหมือนสองคนมีประเด็นอะไรกัน
“เหมือนมีอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย เพ็ญ”
“ก็ อาน่ะซิ เค้าบอกว่า ลูกสาวของอา ที่จะขึ้นมากับคณะตะลุงน่ะ สวยกว่าเพ็ญ”
“งั้นเหรอ” มาลีหัวเราะ
“ถามเที่ยงดีกว่า ลูกอาเค้าสวยเหรอนายเที่ยง” เพ็ญหันมาถามเที่ยง
“ก็สวยอยู่นะขอรับ น้องเค้าชื่อสร้อยพี”
เพ็ญสะเตือนใจ ไม่สบอารมณ์ในคำตอบ มาลีได้ยินก็รู้สึกได้ว่าเที่ยงพูดถึงสร้อยพีอย่างจริงจัง นายโพนก็ยิ้มให้เพ็ญ แววตาแอบทับถมเพ็ญนิดๆ หน่อยๆ
“สร้อยพี ชื่อแปลกจัง” มาลีว่า
“สร้อยพีเป็นภาษาใต้ครับ ถ้าเป็นภาษากลางเค้าเรียกว่าอะไรนะอาโพน”
“เรียก สารภี ชื่อของต้นไม้ขอรับคุณมาลี” นายโพนตอบ
“อย่างนี้นี่เอง...อ่ะพี่เพ็ญ ใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวไม่เกินสัปดาห์หน้า ก็จะได้รู้แล้วนะ ว่าสร้อยพี เค้าสวยกว่าพี่หรือเปล่า”
“คุณมาลี ก็เป็นกับเค้าไปด้วย”
มาลีหัวเราะขำที่ได้แกล้งเพ็ญ
เที่ยงลอบมองรอยยิ้มสดใสของคุณมาลีของมัน ด้วยความประทับใจ ส่วนมาลีพอรู้ตัวว่าถูกมองก็ขวยเขินจนต้องหลบสายตาคู่นั้นของเที่ยง
จากนั้นทุกคนก็พากันออกเดินไปด้วยกัน
ไกลออกไป เห็นเจรมัยกับมัลลิกายืนมองเหตุการณ์นั้นอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็รู้สึกแปลกๆ ว่าคนทั้งสองคนที่เห็นก็คือตนเอง และ เป็นโมเมนต์เดียวกับที่เจรมัยมองมัลลิกาในชุดย้อนยุคตอนถ่ายแบบ
เจรมัยหันมองมัลลิกาสีหน้าเป็นคำถามว่าจริงเหรอเนี่ย ที่ตัวเขาในอดีตก็แอบสนใจมัลลิกาในอดีต มาแต่ไหนแต่ไร มัลลิกาทั้งงง ทั้งเขิน มือไม้ไม่รู้จะเอาไว้ไหน
“อะไร ยังไง”
เจรมัยเสียงสูง “อะไร๊ ยังไม่ได้ว่าไรซะหน่อย”
เสียงเรียกของเจนจิราดังแว่วมา และดังชัดขึ้นๆ
“มะลิๆ เป็นไร เจ เป็นไร เฮ้ย”
ไม่ทันไรทั้งสองได้สติขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ยังนั่งอยู่กับพื้นสนามท่าเดิม แต่มีคนมาล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด
“เป็นไงมั่งมะลิ ล้มกันเหรอ แล้วเจ็บตรงไหนกันหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรแล้วนี่พี่เจน”
“อ้าว แล้วทำไมมัวแต่นั่งจ้ำเบ้าอยู่ได้ ไม่ลุก ไอ้เราก็เป็นห่วง เอาๆ มาไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว ช่างภาพเค้าโอเคหมดแล้ว แล้วแกล่ะเจ นั่งยิ้มอยู่ได้ ลุกๆ”
เจรมัยลุกตามที่เจนจิราเรียกไม่วายแอบยิ้มให้กับมัลลิกา แต่มัลลิกาทำหน้าดุให้เขาเลิกป่วนเธอได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะสงสัย
มัลลิกาเดินตามเจนจิรามา เจรมัยก็เดินตามมาด้วย จนเจนจิรารู้สึกว่าไม่ใช่เรื่อง
“นี่เจ แกจะตามมาทำไม ฉันจะพาน้องไปเปลี่ยนชุด”
ขณะที่มัลลิกาจะแยกไปเปลี่ยนชุด เจรมัยกระซิบบอกเบาๆ
“มะลิ...คุณคือมาลีจริงๆ ด้วย”
มัลลิกายิ้มเขิน ก่อนเลี่ยงเดินไป เจนจิราไม่รู้เรื่องบ่นบ้าว่าน้องชาย
“พูดไรของเค้าเนี่ย ตานี่ชักจะเพี้ยน”
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง มัลลิกาเปลี่ยนชุดเสร็จสรรพแล้ว เดินมากับเจนจิรา ในมุมหนึ่งของบ้านมีจินดายืนมองมัลลิกาอย่างน่าสงสัย
เจนจิราพามัลลิกาขึ้นมาพักบนบ้าน
“ขอบใจมากน้องสาว เหนื่อยเลยนะวันนี้”
“ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ”
“แล้วก็ไม่เจ็บใช่มั้ยที่ล้ม”
“ล้มน่ะไม่เจ็บเท่าเจ็บใจ ที่โดนพี่เชื้อหักหลังพามาถ่ายแบบ” มัลลิกามองค้อน
“อุ๊ย ยังแค้นอยู่ เอางี้ เดี๋ยวให้พี่ไปส่ง เป็นการไถ่โทษแล้วกันนะ”
มัลลิกามองค้อน “ไม่ต้องเลย เดี๋ยวกลับเอง”
“เอางั้นเหรอ...แหม เกรงใจจัง” เจนจิรามองไปทางหนึ่ง “อ่ะนั่นน้าดาเตรียมน้ำขิงไว้ให้ ทำเองกันเลยนะ คนบ้านเนี่ย”
เจนจิราบอกกับจินดาที่ถือแก้วเครื่องดื่มมาให้มัลลิกา
“กินน้ำขิงก่อนซิมะลิ แก้อ่อนเพลียได้นะ”
“ขอบคุณน้าดามากๆ เลยค่ะ ได้ยินว่าทำเองด้วยเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ บ้านน้า ชอบทำอะไรๆ พื้นบ้านอย่างนี้ มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าแล้วละจ้ะ อาจจะดูเชยๆ โบราณๆ หน่อยนะมะลิ”
“ไม่หรอกค่ะ ดีออก ความรู้ที่สืบทอดต่อๆ กันมาแบบนี้แหละดีเลย ปู่ย่าบรรพบุรุษจะได้ภูมิใจ ที่ความรู้ไม่ได้หายไปไหน แถมมีประโยชน์ต่อลูกหลานเสียอีก”
เจนจิราแกล้งกระซิบบอกมัลลิกา เป็นการอำน้าจินดาของตัวเอง
“เชยก็บอกเชย ไม่ต้องเกรงใจ บ้านนี้เชยกันจะตาย”
“พี่เจนมีความผิดแล้ว ยังจะกล้าอำคนอื่นอีกนะ”
เจนจิราโดนมัลลิกาเบรกซะเสียอาการ ก็เลยหาโอกาสชิ่งไปทำงานอื่นดีกว่า
“โห มะลิ ไม่ตลกกับพี่เลยนะ อ่ะๆ งั้นพี่ขอไปหาทีมก่อนนะ น้าดาฝากมะลิด้วยนะคะ พาเที่ยวบ้านก็ได้นะ”
“จ้ะ”
เจนจิราแยกไปแล้ว มัลลิกาเดินมาใกล้ถึงหน้าห้องตาเทียบ จินดาก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะสบโอกาสที่จะทำตามคำสัญญาอีกครั้ง
มัลลิกาเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างไม่ได้เอะใจอะไร แต่แล้วจินดาก็ตัดสินใจเรียกไว้
“หนูมะลิ ห้องนี้เป็นห้องที่คุณพ่อเทียบเคยใช้ทำงาน พอคุณพ่อเสีย ก็ปิดไม่ได้ใช้อะไรอีก แต่ก็เก็บของใช้คุณพ่อไว้เหมือนเดิมเลยนะ มะลิสนใจของเก่านี่ เดินดูได้นะ”
มัลลิกายืนอึกอักๆ อยู่ แต่สุดท้ายเป็นเพราะลูกเกรงใจจินดา เลยเดินเข้าประตูห้องตาเทียบไป
จินดาเดินนำเข้ามา และมารออยู่ที่อีกประตูที่ปลายทางเดินแล้ว
“ของหลายชิ้นในห้อง อายุก็ไม่ต่ำกว่า 80 ปีแล้วนะ”
“ค่ะ”
มัลลิกาเดินดูของใช้ไปรอบๆ ห้อง จนมาถึงหนังตะลุงของสร้อยพีที่ปักอยู่ตรงหัวเตียง มัลลิกาชะงัก จำกิตติศัพท์ของมันได้ หันไปมองจินดาเหมือนจะถาม แต่จินดารอจังหวะอยู่แล้ว
“หนังตะลุงนี้แหละ ที่เป็นมรดกของตระกูลเรา คุณปู่เป็นนายหนังที่นครศรีธรรมราช เลยมีหนังตะลุงเป็นมรดกจากรุ่นสู่รุ่น จะลองถือดูก็ได้นะ”
มัลลิกาย้อนคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตะลุงจากคำบอกเล่าของเจรมัย มันทำให้เธอรู้สึกหวาดๆ ในใจ
“ตะลุงตัวนี้ทำไมถึงบิดเบี้ยว ไม่เหมือนอย่างที่มะลิเคยเห็นมาเลย”
“หนูมะลิเคยเห็นตัวตะลุงนี้แล้วเหรอ ที่ไหนเหรอ”
มัลลิกาบอกอายๆ “ใน…ความฝันค่ะ จะเรียกแบบนั้นก็ได้”
“น่าแปลกจัง”
มัลลิกาเดินเข้าไปดู และจำได้ว่าเป็นตัวเดียวกับที่สร้อยพีให้เที่ยงมา พอเข้าไปใกล้ๆ เธอชักรู้สึกหวาดๆและสุดท้ายก็เปลี่ยนใจ
“จะค่ำแล้ว เดี๋ยวมะลิขอตัวกลับก่อนดีกว่าค่ะ”
จินดาผิดหวังที่มัลลิกาไม่ยอมจับ คิดปราดเดียว ร้องทักไว้ก่อนเธอจะออกไป
“เอ่อ เดี๋ยวมะลิ คือ ไหนๆ ก็เห็นตะลุงมาก่อน ถ้างั้นมะลิฝากเนื้อฝากตัวไว้ซะหน่อยก็ดีนะ คราวหน้าไปมาบ้านนี้ จะได้ไม่ใช่คนแปลกหน้า”
มัลลิกาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยกมือขึ้นจับหนังตะลุงออกจากผนัง จินดารอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มัลลิกายกหนังตะลุงขึ้นเหนือหัว
“ถ้าหนูทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขอให้อภัย และขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกหลานด้วยนะคะ ทวดสร้อยพี”
จินดากวาดตามองรอบๆ ห้องด้วยสีหน้าหวาดระแวง แต่ทุกอย่างดูปกติจนน่าประหลาด จนมัลลิกาเอาหนังตะลุงยึดไว้ที่ผนังเหมือนเดิม
“สร้อยพี ชื่อของตะลุงงั้นเหรอ”
“อ๋อ...ก็รู้จากเที่ยง เอ๊ย เจรมัยล่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ น้าก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าชื่อ สร้อยพี”
“งั้น หนูขอตัวก่อนนะคะ”
“ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเหรอมะลิ”
“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณค่ะน้าจินดา”
“ขอบคุณมากๆ นะมะลิ”
มัลลิกาประหลาดใจ และไม่เข้าใจในคำขอบคุณของอีกฝ่าย เดินออกจากห้องไป
ทุกอย่างในห้องปกติจนจินดาวิตกไปว่าทำอะไรไม่ครบขั้นตอน ได้แต่มองหนังตะลุงพึมพำกับตัวเอง
“ทุกอย่างดูเป็นปกติ หรือว่าจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
จินดาเดินออกจากห้องตาเทียบมาหยุดหน้าห้อง และไม่ทันได้เห็นว่า ที่ผนังห้องตรงจุดที่ติดตัวหนังตะลุงไว้ ได้เกิดกลุ่มเงาสีดำแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างมากขึ้นๆ พร้อมๆ กับเกิดกระแสลมพัดตามหลังจินดาไป
จินดาหันกลับมาปิดประตูล็อคกุญแจ จังหวะนั้นเองที่เธอเห็นว่าห้องทั้งห้องได้กลายเป็นสีดำมืด ผ้าม่านประตูหน้าต่างปลิวไสว เมื่อหันไปมองในห้องอีกครั้ง จินดาพบว่าที่ปลายเตียงปรากฏร่างผีสร้อยพีแสยะยิ้มมาให้
จินดาตัวชาก้าวขาไม่ออกดวงตาเบิกกว้าง ความกลัวแล่นเป็นริ้วๆ ขึ้นจับขั้วหัวใจ ผีสร้อยพีก้าวเดินมาหาช้าๆ จินดาปิดประตูลง ก่อนที่ผีสร้อยพีจะเดินมาถึง ทุกอย่างหลังประตูสงบลงแล้วใช่มั้ย เป็นคำถามในใจของจินดา โครม! ประตูถูกบางสิ่งกระแทกจนเปิดออกมาอีกครั้ง
“ฉันทำอะไรไปเนี่ย”
จินดาแทบล้มทั้งยืน เมื่อเห็นเห็นผีสร้อยพีก้าวพ้นประตูออกมา จดสายตาจ้องเขม็งมายังตัวเธอ
“ต่อจากนี้ ฉันจะไปไหนก็ได้ ใครที่เคยทำฉันไว้ มันต้องชดใช้”
สิ้นคำนั้น ผีสร้อยพีก็หายไปต่อหน้าต่อตา จินดายังหวาดผวากับสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นคาตา
“ไป ไหน แล้ว”
เมื่อในอดีต สร้อยพีอ่านโทรเลขที่เพิ่งได้รับมา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ที่ทางเรียบร้อย เดินทางมาได้เลยพวกเรา จะได้เจอพี่เที่ยงกับพ่อแล้ว”
พยอมยิ้มให้สร้อยพี รู้ดีว่าที่เธอดีใจ เป็นเพราะจะได้เจอเที่ยงมากกว่าเจอพ่อเป็นแน่
สร้อยพีหันไปตะโกนบอกทุกคนด้วยความดีใจ
“พ่อกับพี่เที่ยงถึงพระนครเรียบร้อยแล้ว พวกเราเก็บของ เย็นนี้ออกเดินทางได้”
“เหย จะรีบไปไหนสร้อย พรุ่งนี้ค่อยออกก็ได้” ทองบอก
“พี่ทอง เราต้องเผื่อเวลาเจออะไรติดขัดด้วย แบบหลงทาง ตกรถด้วยนะไปไม่ทันงาน เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันไปหมด”
“จะเก็บของไงทันฮึ สร้อยพี พรุ่งนี้ค่อยออกแหละ ใจร้อนไปได้ ไอ้เที่ยงไม่หนีไปไหนหรอก” สนรู้ทัน
“เอ่อ...งั้นก็พรุ่งนี้ทุกคนต้องพร้อมนะ”
สร้อยพียิ้มเขิน ดีใจจนออกนอกหน้า
ภาพนั้นแจ่มชัดในความจำของชายตาบอด ขณะเก็บเครื่องดนตรีลงกล่อง ลุงพัฒน์นั่งกุมขมับด้วยอาการปวดหัว เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกับเพื่อนนักดนตรีจิตอาสาเห็น พากันเดินเข้ามารุมถามอาการด้วยความเป็นห่วง
“ลุงปวดหัวอีกแล้วเหรอ ลุงพัฒน์”
“ครับ นับวัน ภาพอดีต มันยิ่งชัดขึ้นทุกที”
“ยาหมอลุงยังกินอยู่มั้ย”
“ขาดมาสองสามวันแล้ว แต่จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวหรอก กินยาไปก็ไม่ช่วยอะไร”
“แล้วเอาไงดีล่ะ ลุง”
“ไม่รู้ซิ แต่มีบางอย่างบอกลุงว่า ถ้าลุงเจอกับคนที่เป็นแบบลุงคนที่มีอดีตร่วมกันมา มันจะทำให้ลุงรู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหายจากอาการนี้ได้”
“เหรอคะ”
“แต่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ลุงเริ่มดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวขอนั่งพักซักพักแล้วกัน”
“ค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ”
ลุงพัฒน์นั่งอยู่ลำพังกับความคิดวุ่นวายในหัว
ฟากมัลลิกาเดินมาตามทางเดินตรงไปที่จอดรถ เจรมัยบังเอิญเดินมาเห็น เลยเดินเข้ามาหา
“คุณเห็นภาพอดีตเหมือนผมใช่มั้ย”
“อืม”
“เรื่องพวกนี้ เมื่อไหร่เราสองคนจะหลุดพ้นมันไปได้ก็ไม่รู้”
“ไม่มีใครรู้หรอก...บางทีก็อาจจะเป็นเวรกรรมแต่ก่อนทำไว้ ชาตินี้เลยต้องเจอกันอีก”
“คุณไม่ได้หมายถึงว่า เจอผมมันเป็นเวรกรรมใช่มั้ย”
“อันนี้ฉันไม่ได้พูดนะ แต่ว่าไปฉัน เจอคุณทีไร เป็นต้องเดือดร้อนทุกที”
“อ้าว พูดมาซะขนาดนี้”
“แล้วถ้าเรื่องมาถ่ายที่บ้านคุณ แล้วคุณแคทนั่นมาเอาเรื่องฉันอีกคุณต้องรับผิดชอบด้วย”
“ผมก็จะทำแบบที่ผมพูดนั่นแหละ คุณไม่ต้องห่วง”
ระหว่างที่พูดกันอยู่นั้นเอง จู่ๆก็เกิดลมฝนพัดมาอย่างรุนแรง มัลลิกาเลยขอตัวกลับเพราะกลัวจะติดฝน
“ฝนมาแล้ว งั้นฉันไปละ”
“ครับ”
พอมัลลิกาแยกตัวไป จู่ๆ ฟ้าก็ใสสว่าง ไม่มีลมเหมือนเมื่อครู่ จนเจรมัยเองก็ประหลาดใจ
รถมัลลิกาวิ่งออกมาตามถนนในซอยบ้านเจรมัย อา...เป็นเส้นทางเดิมที่เธอเคยเห็นผู้หญิงในชุดปาเต๊ะไฟลุกท่วมตัวนั่นเอง และวันนี้เธอก็ต้องเจอกับเหตุการณ์เดิมอีกหน เมื่อมีผู้หญิงในชุดปาเต๊ะสาวชาวใต้ ยืนนิ่งอยู่กลางถนน มัลลิกาหน้าเครียดค่อยๆ จอดรถลงข้างทาง ใจเต้นตึกตักเมื่อภาพที่เคยเห็นมันชัดเจนอยู่ตรงหน้า
มัลลิกามองผู้หญิงในชุดปาเต๊ะ ก่อนจะนึกบางอย่างได้ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือก้าวลงจากรถ หวังว่าจะถ่ายรูปผู้หญิงคนนั้น แต่พอลงรถเหลียวมองหาก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว
มัลลิกากวาดตามองหาโดยรอบ แต่ก็ไม่พบจนชักเกิดความกลัว จึงตัดสินใจกลับขึ้นรถไป และนั่นเองที่ทำเธอพบกับผีสร้อยพีตะโกนก้องใส่หน้าแล้วหายวับไป
“แกทำทุกอย่างลุกเป็นไฟ”
มัลลิกาสะดุ้งสุดตัว เหลียวมองหาแต่ไม่เจออะไร เธอตั้งสติรีบสตาร์ตเครื่อง แต่ต้องสะดุ้งขวัญกระเจิงอีกหนเมื่อเห็นจากกระจกมองข้าง ว่าผีสร้อยพีในสภาพไฟลุกท่วมตัว ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นๆ
มัลลิกาตัดสินใจหนีออกไปทางประตูอีกด้าน แต่มือเกี่ยวโดนกระเป๋าถือของกระจายเต็มเบาะ ผีสร้อยพี ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
มัลลิกาเห็นเครื่องรางตกอยู่ตรงเบาะ แต่ก็ลนลานจนปัดตกลงไปใต้ที่นั่ง มัลลิกาพยายามควานหา แสงไฟจากผีสร้อยพีทำให้ภายในรถสว่างขึ้น มัลลิกาเจอเครื่องรางยกขึ้นชูใส่หน้าผีสร้อยผีจังๆ วิญญาณอาฆาตผงะถอยหนีหายในความมืด
รอบตัวรอบรถเงียบสงัด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มัลลิกามองเครื่องรางในมือด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ห้องตาเทียบ มีเงาดำเคลื่อนออกมาจากตัวหนังตะลุง ลอยลงมาที่พื้นก่อนที่เงาดำจะรวมตัวเป็นร่างของผีสร้อยพี
“อีมาลี มึงรอดไปได้”
ผีสร้อยพีหอบหายใจอย่างโกรธแค้น มองดูที่แขน ซึ่งมีร่องรอยความบาดเจ็บจากของขลังที่มาลีใช้ป้องกันตัว เป็นหยดเลือดสีดำแดงไหลมาตามแขนอย่างน่ากลัว
วิญญาณร้าย แปรความเจ็บปวดรวดร้าวเหล่านั้น ให้เป็นความโกรธเกรี้ยว สะบัดหน้าไปมองที่ประตูห้อง ด้วยดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทอย่างรุนแรง
“แต่มึงจะรอดได้อีกไม่นาน”
เช้าวันต่อมา หนูจ๋านั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือมุมเดิมในห้องโถง จินดาเดินมาสังเกตทั่วๆ ห้อง แม้ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในใจจินดาก็ยังไม่คลายความระแวงเกี่ยวกับภาพผีสร้อยพี หันไปมองรอบๆ ห้องโถงจนจ๋ารู้สึกสะดุดตากับท่าทีของผู้เป็นแม่
“แม่...แม่ มองอะไร”
“หะ เปล่าๆ ลูก”
“เปล่าแล้วแม่ทำไมเหม่อนานจัง”
จินดาอึ้งไป
ห่างออกมาอีกหน่อย จิตรายืนมองอยู่ตั้งแต่ต้น รู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป และเกิดความสงสัยในทีท่าแปลกๆ ของจินดา
ด้านเจรมัยเดินออกมาสูดอากาศที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ก่อนจะเดินเตร่ๆ มาจนถึงจุดที่เขากับมัลลิกาล้มทับกันเมื่อวาน และทำให้หวนคิดถึงโมเมนต์นั้น
ทั้งตอนที่เขาหกล้มไปแล้วปากเจรมัยไปจุ๊บปากมัลลิกา และตอนที่เขาและเธอหลุดเข้าไปเห็นนิมิตเมื่อชาติที่แล้วของทั้งคู่
เจรมัยคลี่ยิ้มระบายลงในสีหน้า รู้สึกดีเล็กๆ แต่ก็ยังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองนัก เขาตัดสินใจโทร.หามัลลิกา แปลกใจที่สายติด แต่ไม่มีคนรับสาย
“ทำไมมะลิยังไม่รับสายนะ หรือยังไม่ตื่น”
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือของมัลลิกาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ภายใต้บรรยากาศห้องทำงานกองบ.ก. อันว่างเปล่า และแสงในห้องที่ไม่สว่างมากนักนั้น มัลลิกานั่งคู้ตัวอยู่ตรงมุมห้อง ในหัวยังวนเวียนคิดแต่เรื่องถูกผีหลอกเมื่อคืน เธอปล่อยโทรศัพท์ให้ดัง จนสายตัดไปเอง
ไม่นานนักเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง และยังคงเป็นสายจากเจรมัย มัลลิกาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจรับสาย
“ฮัลโหล”
“ยังไม่ตื่นเหรอ”
“เปล่า”
“คุณโอเคมั้ย” เจรมัยถามเสียงนุ่ม
“ไม่โอเค” มัลลิกาเหมือนอยากจะระบายให้เขาฟัง “คือ...ช่างมันเถอะ”
เจรมัยคาใจ “คืออะไรเหรอ เกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมพอจะช่วยได้มั้ย”
“คือ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้นอนทั้งคืนเลย”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อคืน…เมื่อคืน พอฉันออกจากบ้านคุณ ฉันผ่านถนนนึง ฉันเจอกับ…ผู้หญิง…ช่างมันเถอะ ฉันว่าฉันเพ้อเจ้อ”
เจรมัยยิ่งอยากรู้ “ไม่ๆๆ เล่ามาเถอะ ผู้หญิงคนนั้นทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่นี้ก่อนนะ” มัลลิกาวางสายไปเลย
เจรมัยวางสายจากมัลลิกาไปแล้ว รู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาครามครัน
ภวัตนั่งรอการมาถึงของใครคนหนึ่งอยู่ที่ร้านกาแฟแถวออฟฟิศ จนเห็นแคทลียาเดินเข้ามาหาพร้อมถุงของฝากในมือ
“เอ้า คุณพ่อฝากมาให้คุณลุงน่ะ”
ภวัตเปิดดูแล้วยิ้มเผล่ “โห คุณลูกเอาไปแทนได้มั้ย”
“ห้ามนะ ถ้ารู้ว่าไม่ถึงมือคุณลุงล่ะก็โดนแน่”
“โอเค นี่ฝากขอบคุณพ่อแคทด้วยนะ จริงๆ ไม่ต้องลำบากมาก็ได้ ให้เราไปรับเองน่าจะสะดวกแคทกว่า”
“แคทก็ว่างั้น ไม่ค่อยอยากจะเฉียดมาแถวออฟฟิศภัตเท่าไหร่หรอก”
ภวัตยิ้มขำ “ทำไมล่ะ เกลียดหน้าเพื่อนเหรอ”
“ไม่ใช่ แต่เป็นแม่มะลงมะลินั่นต่างหาก เห็นแล้วไม่สบอารมณ์”
“โถแคท เธอก็...”
มีเสียงข้อความไลน์เข้าดังขึ้น ภวัตเปิดโทรศัพท์ดูแล้วยิ้มๆ อารมณ์ดี แต่คอยเบี่ยงมือถือหลบเหมือนไม่อยากให้แคทลียาเห็น
“มีข่าวดีแต่เช้าเหรอวัต”
“ไม่มีๆ”
แคทลียาไม่เชื่อ “มี วัตเธอไม่เนียน มีไรบอกมา”
“ไม่มี”
แคทลียาทำเป็นไม่สนใจแล้ว “อืม ไม่มีก็ไม่มี”
ภวัตดูรูปในไลน์ต่อ ยิ้มขำอยู่อย่างนั้น จนเป็นจังหวะทีเผลอให้แคทลียาฉกเอามือถือมาดู สาวไฮโซเห็นเป็นภาพมัลลิกาถ่ายแบบ ก็หงุดหงิด
“แม่นี่อีกแล้ว นี่ภาพจากไหนเหรอ”
“ไลน์กลุ่มออฟฟิศ เค้าแชร์กันภายใน”
แคทลียาหมั่นไส้ “เป็นนางแบบด้วยเหรอเนี่ย”
“นางแบบจำเป็นน่ะ เห็นว่าหานางแบบไม่ทัน”
“ก็...ไม่เลวนะ สำหรับมือใหม่” ภวัตบอก
แคทลียาเลื่อนภาพดู จนเริ่มเอะใจ เมื่อเห็นภาพมุมกว้างจำได้ว่าเป็นบ้านของตาเทียบ
“เฮ้ย นี่มันบ้านพี่เจ ทำไมมันต้องไปบ้านพี่เจด้วย คราวที่ที่แล้วนี่ยังไม่เก็ตใช่มั้ย”
แคทลียาคุมแค้นนึกถึงตอนมัลลิกาฝากคืนเสื้อให้เจรมัยในลิฟต์โรงพยาบาล และตอนที่หล่อนตามมาเล่นงานมัลลิกาถึงออฟฟิศ
แคทลียาเลื่อนรูปดู ยิ่งเห็นก็ยิ่งแน่ใจ คืนโทรศัพท์ให้ภวัตถามเสียงขุ่น
“วันนี้มะลิมาทำงานใช่มั้ย”
แคทลียาลุกพรวด ผลุนผลันลุกออกจากร้านไป
ภวัติตกใจ พยายามเรียกไว้แต่ไม่เป็นผล วางเงินค่ากาแฟแล้วรีบตามออกไป
มัลลิกาทำงานอยู่ที่โต๊ะครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกไปชงกาแฟตรงแคนทีน พอกลับมาก็เจอเจรมัยรออยู่ในออฟฟิศแล้ว มัลลิกาทำตัวไม่ถูก และไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี
“มาเร็วจัง”
เจรมัยเป็นห่วง “เมื่อกี้น้ำเสียงคุณไม่ค่อยดีเลย”
“ก็แค่...มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว”
“ผมพอจะช่วยอะไรได้บ้าง”
มัลลิกาลังเลที่จะเล่าความคิดของตัวเองออกไป
“ชั้นเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่าอยู่ใกล้ๆ คุณแล้วทำให้คุณมีปัญหา หรือคุณทำให้ชั้นมีปัญหากันแน่”
“ถ้าผมทำให้คุณลำบากใจ บอกผมมาเถอะ”
“มันไม่ทั้งหมดหรอก”
“คงไม่ใช่เรื่องที่เราได้เจอได้คุยกันบ่อยๆ ใช่เปล่า ที่ผ่านมา เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องการทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันนี่”
ไม่ทันที่มัลลิกาจะได้พูดอะไรออกมา แคทลียาก็โผล่พรวดพราดเข้ามาในนั้น ถามคาดคั้นเจรมัยเสียงเขียว
“หมายความว่ายังไงเจ ที่เจบอกว่าทำอะไรด้วยกันน่ะ”
ภวัตตามแคทลียาเข้ามา ท่าทีเขายังงงๆ ตามเหตุการณ์ไม่ทัน
“แคท คุณมาทำไม” เจรมัยถาม
“แคทอยากมาถามเรื่องที่มีนางแบบไปถ่ายแฟชั่นที่บ้านเจหน่อยน่ะ ทำไมแคทไม่รู้เรื่องนี้ก่อน”
เจรมัยอึกอัก “ก็…”
“แล้วทำไมต้องเป็นที่บ้านเจด้วย”
“บ.ก.เล่มข่าวบันเทิง เค้าเป็นคนเลือกที่นั่น” มะลิบอก
แคทลียาจ้องหน้ามัลลิกาเขม็ง “เธอก็เลย ตีปีกรีบรับงานเพราะจะได้หาเรื่องอยู่กับพี่เจใช่มั้ย”
“เธอเข้าใจผิดหมดแล้ว”
“ไม่ผิด ไม่ผิดแน่นอน ไม่ผิดตั้งแต่เธอเอาเสื้อผ้าของพี่เจเก็บไว้กับตัวด้วย เธอมันพวกโกหก”
“แคท คุณหยุดเหอะ”
ภวัตเข้ามาปรามแคทลียา แต่หล่อนไม่ฟังเสียงใครแล้ว ยิ้มหยันมัลลิกาอย่างดูแคลน
“พวกนักข่าวกระจอก ที่อยากจะดังอยากจะเกิดล่ะซิ ถึงพยายามทำแบบนี้”
“ชีวิตฉันมีเรื่องที่มีสาระต้องทำอีกเยอะ ไม่มาคิดแผนแย่ๆ แบบที่เธอคิดได้แบบนั้นหรอก”
“พวกปากแข็ง ทำตีหน้าเป็นคนดี”
เจรมัยเห็นสีหน้ามัลลิกา เต็มไปด้วยความอึดอัด และเก็บอารมณ์โกรธเอาไว้ จนเขาต้องตัดสินใจฉุดแคทลียาเอาไว้
“พอเถอะแคท เรื่องไปกันใหญ่แล้วไปเถอะ ผมจะพาคุณกลับบ้าน”
มัลลิกามองเจรมัยที่โอบประคองแคทลียาไว้แล้วใจหาย
จู่ๆ แคทลียาก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง สะบัดตัวจนหลุดจากเจรมัย คว้าแฟ้มเอกสารบนโต๊ะใกล้ๆ ขว้างใส่มัลลิกาเต็มแรง เจรมัยเห็นแต่ก็แก้ไขอะไรไม่ทัน
แฟ้มเอกสารอัดเข้าใส่หน้าภวัตที่เอาตัวเข้ามาขวางมัลลิกาจังๆ จากนั้นเขาโอบกอดปกป้องมัลลิกาเอาไว้ ไม่ให้ถูกทำร้ายอีก มัลลิกาตกใจ
ส่วนแคทลียาถึงจะรู้สึกผิด แต่ก็หักห้ามอารมณ์โกรธไม่ได้
“อะไร ของเธอภวัต”
มัลลิกาตรวจดูอาการภวัตด้วยความเป็นห่วง เจรมัยเห็นก็อดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เขาโอบแคทลียาไว้หลวมๆ และพาเธอออกจากห้องไป
“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะอธิบายให้ฟัง”
มัลลิกาเหลียวมองตามเจรมัยที่โอบประคองพาแคทลียาออกไปจนลับตา ด้วยความน้อยใจ
อ่านต่อ ตอนที่ 9
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่8 #thaich8 #ละครออนไลน์