เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 7
จินดารีบรุดมาที่โรงพยาบาล เปิดประตูเข้าไปในห้องพักฟื้นของลูกสาว พอหนูจ๋าเห็นแม่ก็อ้าแขนออกให้กอด จินดาถลาเข้าไปสวมกอดลูกด้วยความดีใจเหลือแสน สองคนกอดกันกลม
“แม่”
“จ๋าลูกแม่ ลูกแม่ตื่นแล้ว”
ระหว่างที่สองคนแม่ลูกกอดกันทั้งน้ำตา ท่ามกลางความยินดีของทั้งเจรมัย จรรยา และ จิตรา
จินดาละตัวเองมองหน้าลูกอย่างดีใจ “เป็นไงบ้างลูก รู้มั้ยว่าแม่ห่วงลูกแทบแย่”
“หนูรู้อยู่แล้วค่ะว่าแม่ต้องเป็นห่วง แม่...หนูฝันตั้งหลายเรื่องเลยค่ะ”
จินดามองฉงน “ฝันอะไรบ้างหรือลูก”
และแล้วหนูจ๋าก็พูดบางอย่างออกมา “หนูฝันถึงผู้หญิงน่ากลัวคนนึงจ้ะแม่ เขาเป็นใครก็ไม่รู้ น่ากลัวมากเลย”
จินดาคิดได้ในทันทีว่าน่าจะเป็นวิญญาณในตะลุงแน่แท้ จึงรีบกลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่มีอะไรแล้วลูก ไม่มีอะไรแล้วนะ”
“ค่ะ แม่”
หนูจ๋าหันมามองเจรมัยที่อยู่ไม่ไกลกันเหมือนมีบางอย่างจะบอกเขา เจรมัยมองตอบรับรู้ได้เช่นกัน
“แม่จ๋า ขอหนูคุยกับพี่เจนิดนึงได้มั้ยคะ”
จินดาไม่รู้ว่าลูกมีอะไรจะบอก แต่ก็ทำตามที่จ๋าขอ
เจรมัยขยับตัวเข้ามาใกล้ พร้อมๆ กับที่จินดาขยับตัวออกห่าง ไปยืนรวมกับพี่สาว
หนูจ๋าขยับตัวเข้าหาเจรมัยเพื่อบอกบางอย่าง ที่อยากให้เจรมัยรู้เพียงคนเดียว
“พี่เจ รู้จักพี่ผู้ชายชื่อเที่ยงมั้ย”
เจรมัยมองฉงน “อะไรนะ”
“คนชื่อเที่ยง พี่เจรู้จักมั้ย จ๋าเคยได้ยินพี่เจ พูดชื่อนี้ในห้องคุณตาเทียบ”
เจรมัยอึกอัก “ก็...จ๋ามีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า”
“จ๋าฝัน...ฝันเห็นผู้หญิงร้องไห้อยู่ในที่มืด แล้วก็เอาแต่พูดว่า ‘ไม่อยากอยู่ห่างพี่เที่ยงเลย’ จ๋าฟังแล้วก็ไม่เข้าใจเลย เลยอยากถามพี่เจ”
เจรมัยอึ้งไป “แบบนี้นี่เอง พี่ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่ถ้าพี่รู้เมื่อไหร่พี่จะรีบมาบอกจ๋าเลยนะ”
“จ้ะพี่”
“แต่ตอนนี้เด็กดีต้องพักเยอะๆ ก่อนรู้มั้ย อย่าเพิ่งคิดอะไรมากนะ”
หนูจ๋าพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เจรมัยลูบหัวอย่างเอ็นดู และในหัวยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่จ๋าเล่าให้ฟัง
“เที่ยงอีกแล้วเหรอ นายเป็นคนนิสัยยังไงกันแน่”
ตกกลางคืนของบรรยากาศบ้านตาเทียบเงียบสงัด เจรมัยยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับคำบอกเล่าของหนูจ๋า โดยเฉพาะคำพูด “ไม่อยากอยู่ห่างพี่เที่ยงเลย” ประโยคนี้
“นายเที่ยง ทำไมถึงทอดทิ้งผู้หญิงที่ดีกับเค้าแบบนั้น...ทำไม” เจรมัยพึมพำ
ในมุมมืดของห้อง ผีสร้อยพีเฝ้ามองเจรมัยไม่วางตา น้ำตาไหลพราก เจรมัยรับรู้ได้ว่าถูกมองอยู่ แต่เมื่อหันไปดูกลับไม่พบใคร
เมื่อในอดีต แสงตะเกียงสว่างขึ้นช้าๆ แลเห็นเงาของเที่ยงทอดยาวไปที่ผนังบ้าน เที่ยงกำลังง่วนเก็บเสื้อผ้า ลงหีบและย่าม เตรียมเดินทางไปพระนคร
“พี่เที่ยง เตรียมใกล้เสร็จหรือยัง ของพ่อโพนเสร็จแล้วนะ เนี่ยสร้อยพีทำเสร็จ ก็แวะมาดูพี่เที่ยงว่าเป็นไงบ้าง”
สร้อยพีเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับผ้าห่อหนึ่ง เจรมัยหันไปหา
“แล้วนี่เอาอะไรมาด้วย”
“นี่ก็หนังที่พี่ทำให้สร้อยพีไง สร้อยพีเลยอยากจะรู้ว่า พี่เที่ยงจะเอาไปพระนครด้วยมั้ย”
“สร้อยพี พี่จะเอาไปทำไมล่ะ ไม้ให้จับก็ยังไม่มี เอาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
เที่ยงแกล้งทำเป็นไม่สนใจตัวหนัง ลอบมองว่าสร้อยพีจะว่าอย่างไร
สร้อยพีหน้าเสียชัดแจ้ง จนเที่ยงต้องยิ้ม เลิกอำ
“โถ...พี่ล้อเล่น”
“พี่เที่ยงแกล้งกันแบบนี้ไม่ดีเลยนะ” สร้อยพีค้อนขวับ
“พี่ต้องเอาไปด้วยอยู่แล้ว ถึงไม่มีไม้จับก็ไม่สำคัญ เพราะเราสองคนเคยห่างกันซะที่ไหนเล่า”
“พี่เที่ยง พี่ช่วยบอกพ่อโพนให้พาสร้อยพีไปพระนครเป็นกลุ่มแรกพร้อมกับพ่อพร้อมกับพี่ ได้มั้ยพี่”
“อย่าเลยสร้อยพี พี่กับพ่อสร้อยพีไปกันก่อนก็เพราะนึกถึงทุกคน ไม่รู้ว่าหนทางจะยากง่ายยังไง คนว่าจ้างจะเป็นคนดีคนร้ายยังไงก็ไม่รู้ ขืนพากันไปพร้อมกันหมด เกิดผิดพลาดขึ้นมา พวกเราจะได้ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีพี่จะรีบโทรเลขมาบอกให้ตามขึ้นมา สร้อยพีมากับกลุ่มสองก็จะได้ช่วยพยอมดูแลคนอื่นๆ ขึ้นมาดีมั้ย เพราะอย่างพี่ทองพี่สน ไม่ต้องหวังจะพึ่งเลย ไปต่างอำเภอยังหลง”
“จ้ะ พี่”
ทั้งสองหัวเราะออกมา แต่ลึกๆ ในใจของสร้อยพีก็รู้สึกใจหาย ที่หัวเราะก็แค่เพื่อให้เที่ยงสบายใจ
“พี่เที่ยง พรุ่งนี้สร้อยพีจะไปตลาดหายามาเตรียมไว้ให้เอาติดกระเป๋าพ่อ...พี่เที่ยงอยากได้ยาอะไรมั้ย”
“พี่ขอแค่...มันมีอะไรที่ใช่มะขามไว้กินตอนเมาเรือมั้ย”
วันต่อมา ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่มุมหนึ่งของตลาด เห็นหมอดูเป็นยายแก่ๆ กำลังดูดวงให้กับพยอมกับสร้อยพีอยู่ตรงนั้น
ยายมองหน้าพยอม “อีหนูมีดวงต้องเดินทางไกลทั้งคู่เลยนะเนี่ย ยายเห็น จะนำพาชีวิตให้มีโอกาสพบจุดเปลี่ยน”
พยอมเนื้อเต้น “แล้วๆ มันจะดีมั้ยยาย เอาเข้าเรื่องเลย แบบหนูจะได้เจอหนุ่มพระนครมั้ย”
“ผัวรึ”
พยอมเขิน “อุ้ย ค่ะยาย คนรักก็พอ”
“ผัว”
“คนรัก”
“ผัว”
“อ่ะ ยายก็ตรงเกิ๊น อ่ะๆ ผัวก็ผัว” พยอมจำนน
ยายบอกออกมาหน้าตาเฉยว่า “ไม่มี”
พยอมฟังแล้วเซ็ง “อ้าว แค่เนี้ย ย้ำซะหลายที สรุปชวดงี้”
“ใช่ ก็ดวงมันฟ้องแบบนี้นี่หว่า”
พยอมค้อนควัก หันมาทางสร้อยพี “เสียอารมณ์ อ่ะ สร้อยพี แกดูบ้าง”
สร้อยพีขยับตัวเข้าไปใกล้ยายหมอดูอย่างสนใจ
“ยายจ๊ะ คือหนูอยากรู้...”
ยายโพล่งออกมาทันที “อีหนูอย่าไปพระนครจะดีกว่า”
สร้อยพีอึ้งไป
“ยายไม่เห็นอะไรในอนาคตเลย มันมีแต่ความมืดดำเหมือนกับเงาขนาดใหญ่ ปกคลุมไปหมด”
สร้อยพีหน้าเสียที่ได้ยินแบบนั้น พยอมเองก็พลอยใจคอไม่ดีไปด้วย
“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะยาย”
ยายไม่ยอมตอบ
สร้อยพีกับพยอมเดินมาตามโค้งหัวถนน ในใจสองสาวยังคงวนเวียนอยู่กับคำทำนายของยายหมอดูไม่วายเว้น
“แก เลิกคิดเรื่องหมอดึรูยัง”
“ถามทำไม แกยังไม่เลิกคิดใช่มั้ย”
“ฉันก็...จวนจะเลิกคิดแล้วล่ะ หมอดูก็คงเดาไปเรื่อยล่ะเนอะ”
“อืม...ฉันก็ว่า...” สร้อยพีพยายามสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไป และคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ่อ พยอม แกกลับไปบ้านก่อนดีกว่า ฉันว่าจะแวะไปหักไม้มาทำด้ามจับตะลุงให้พี่เที่ยงซักหน่อย เสร็จแล้วจะตามไปนะ”
พยอมพยักหน้า “อืม ได้ๆ รีบตามมานะ”
เย็นจวนค่ำ เห็นสร้อยพีใช้พร้าสับไม้ไผ่จากกอในป่าละเมาะข้างทาง เลือกขนาดพอเหมาะมือได้สองสามท่อน เธอยัดมันลงใส่ย่ามแล้วเดินต่อไป
ระหว่างทาง มีชาย 2 คน กำลังต้มเหล้าอยู่ที่เนินดินแถวป่าแห่งนั้น หม้อไหนสุกได้ที่ ก็กรอกใส่ไหปิดปากก่อนจะนำไปซ่อนไว้ในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ สร้อยพีบังเอิญเดินไปเจอเข้าก็ตกใจ ชายต้มเหล้าจ้องมองเธอเขม็ง สร้อยพีเห็นท่าจะไม่ดีจึงเลี่ยงเดินหลบไปอีกทาง
สร้อยพีเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วที่สุด โดยมีชายต้มเหล้าสองคนที่เดินติดตามเธอไปติดๆ
ด้วยความกลัวและรีบเร่ง สร้อยพีถึงกับก้าวพลาดสะดุดกิ่งไม้ล้มลง ชายต้มเหล้าสบโอกาสรีบตามไปยังจุดที่เห็นเธอล้ม แต่ต้องแปลกใจที่ไม่เจอแม้เงา พวกมันกวาดตามองหาไปทั่วบริเวณ
และจากจุดที่ไม่ทันมอง สร้อยพีพุ่งตัววิ่งออกจากที่ซ่อนวิ่งโดยไม่คิดชีวิต สองชายต้มเหล้าวิ่งไล่ไปติดๆ เมื่อจนมุมสร้อยพีหันพร้าในมือ ขู่ชายต้มเหล้าไม่เข้าใกล้
“โอ้ มีพร้าซะด้วย น่ากลัวจริงๆ แม่นี่” ชาย 1 ยิ้มขำ
“แม่คุณ...แม่คุณเป็นคนของทางการใช่มั้ยที่จะมาจับเหล้าเถื่อนของพวกฉัน ใช่มั้ย คุณเจ้าหน้าที่” ชาย2 หัวร่อร่า ชาย 1 หัวเราะชอบกันตามกัน
“พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ใช่เจ้าหน้าที่”
“พี่ดูไม่ออกจริงๆ ไหนๆ ต้องถอดเครื่องแบบให้พี่ดูก่อนถึงจะเชื่อ” ช่าง 1 ยิ้มหื่นให้
สร้อยพีคุยด้วยดีๆ “พี่ ปล่อยฉันไปเถอะ”
“ปล่อยไม่ได้ หุ่นขนาดนี้ปล่อยไปไม่ได้” ชาย1 มองรูปร่างสร้อยพีด้วยสายตาโลมเลีย
ชาย2 หัวเราะ “ช่าย ปล่อยไปก็เสียของซิน้อง”
ชายทั้งสองคนไม่แยแสพร้าในมือสร้อยพี พุ่งเข้าแย่งพร้ามาได้ และผลักสร้อยพีล้มลงหมายจะข่มขืนเธอ
ในจังหวะที่ใกล้จะพลาดท่า เที่ยงก็โถมตัวเข้ามาถีบสองชายชั่วออกไปพ้นจากตัวสร้อยพี
“พี่เที่ยง”
“สร้อยพีไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย” เที่ยงกอดปกป้องสร้อยพี่
“จ้ะ”
“พยอมบอกว่าสร้อยพีไม่ได้กลับมาด้วย พี่เลยออกมาตาม”
ในจังหวะที่สร้อยพีอ้ำอึ้งอยู่นั้น ชายต้มเหล้าสองคนก็ตั้งตัวได้เข้าจู่โจมเที่ยงพร้อมๆ กันจากสองทาง เที่ยงต่อสู้กับพวกมันด้วยมือเปล่า พลาดท่า ได้เปรียบตามจังหวะและโอกาส
จนในที่สุดคนร้ายสองคนก็สิ้นฤทธิ์สลบคาพื้น แต่เที่ยงก็อ่วมอรทัย โดนฟาดเข้าที่หัวจวนเจียนจะหมดสติ สร้อยพีเข้าประคองไว้ ใบหน้าตื่นตระหนกตกใจของสร้อยพี จึงเป็นภาพสุดท้ายที่เที่ยงเห็นก่อนหมดสติไป
เสียงฟ้าร้องฟ้าคำรณดังก้องขึ้น บอกให้รู้ว่าฝนใกล้ตกลงมาในไม่ช้านี้
ฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในขณะที่สร้อยพีพยุงร่างไร้สติของเที่ยง เข้าไปหลบฝนใต้ร่มไม้ใหญ่ สร้อยพีตัวเล็กกว่าเที่ยงมาก แต่ก็พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี พาเที่ยงเข้าหลบฝนได้สำเร็จ
สร้อยพีใช้ผ้ารองน้ำให้ชุ่มบีบน้ำใส่ปากเที่ยง แต่มันก็เปรอะออกนอกปากของเขาจนหมด สร้อยพีลูบหน้าเที่ยงด้วยเป็นห่วง พบว่าเที่ยงขยับตาไปมาภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท สภาพริมฝีปากและลำคอแห้งผากคล้ายคนกระหายน้ำ
สร้อยพีพยายามซับน้ำฝนด้วยผ้า แล้วบีบน้ำให้เที่ยงดื่ม แต่รูปการก็ออกมาเหมือนเดิม น้ำส่วนใหญ่ไม่ผ่านริมฝีปากเข้าไป
สุดท้ายสร้อยพีเลือกที่จะอมน้ำฝนไว้ในปากตัวเอง แล้วประกบปากเที่ยงรินน้ำผ่านปากเธอไปให้เที่ยงดื่ม
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ ฝนหยุดตกแล้ว สร้อยพีนั่งเฝ้าเที่ยงไม่ห่าง และเหลาทำด้ามไม้ไผ่ไปด้วย จนเสร็จแล้วสามชิ้น ไม่นานต่อมา เที่ยงก็ฟื้นคืนสติสร้อยพีรีบเข้าไปดูด้วยความดีใจ กำไม้ไผ่ด้ามตัวหนังไว้ด้านหลัง
“พี่เที่ยง เป็นไงบ้าง”
“สร้อยพี ปลอดภัยใช่มั้ย”
“จ้ะพี่ ปลอดภัย พี่สลบไปนาน สร้อยพีเป็นห่วงพี่แทบแย่”
เที่ยงยันตัวขึ้น อีกมือก็นวดท้ายทอยตัวเอง ด้วยความระบม เที่ยงมองอย่างหงุดหงิดใส่สร้อยพี
“พี่บอกทำไมไม่เคยจำ ว่าชายป่าแถวนี้อย่ามาคนเดียว โชคดีโชคร้ายเจอเรื่องจนได้ เตือนแล้วก็ไม่รู้ฟัง”
“สร้อย...”
เที่ยงสวนออกมาอีก “ทำตัวเป็นเด็กไปได้ ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วง นี่ก็ไม่รู้จะผ่านมาแถวนี้ทำไม”
สร้อยพีโดนดุเสียใจจนน้ำตาคลอ
เที่ยงรู้ตัว ขยับตัวเข้าหาสร้อยพีด้วยเป็นห่วง
“สร้อยพี พี่ขอโทษ อย่าร้องไห้เลยนะ ที่พี่พูดก็เพราะเป็นห่วง”
สร้อยพีปล่อยโฮออกมา ซ่อนไม้ด้ามตะลุงไว้ที่ด้านหลังไม่กล้าบอก จนเที่ยงสังเกตเห็น จึงเอื้อมไปรับมาดูแล้วอึ้งไป
“สร้อยพีออกมาหาไผ่ทองเอาไปทำไม้ด้ามให้พี่เที่ยง สร้อยพีกลัวว่าถ้าตะลุงตัวนั้นไม่มีไม้ด้ามพี่เที่ยงจะไม่เอาไปพระนครด้วย”
“สร้อยพี”
เที่ยงสงสารโอบกอดสร้อยพีเอาไว้ เป็นการขอโทษที่เขาพลั้งปากใส่อารมณ์กับเธอ
เที่ยง นายโพน หอบข้าวของสัมภาระเตรียมตัวออกเดินทาง มีทอง เทียบ สน พยอม สร้อยพี และลูกคณะออกมายืนส่ง ซึ่งอยู่ในอาการกรึ่มๆ ยกของส่งให้นายโพน ถูกนายโพนบ่นว่าเข้าให้
“ไอ้ทองเมาแต่วันอีกแล้วนะ เป็นพี่ไอ้เที่ยงซะเปล่า แต่ทำตัวให้วางใจไม่ได้จริงๆ”
“แหม แค่นิดๆ หน่อยๆ น่ะอา อาก็ยังไม่ชินอีกเหรอ นี่ถ้าผมไม่ติดเมา ป่านนี้ผมเป็นหัวหน้าคณะไปแล้ว ไม่ถึงมือไอ้เที่ยงหรอก เนอะ”
ทองหันไปพยักพเยิดกับน้องชาย เที่ยงยิ้มรับเออออไปด้วย เพราะเข้าใจในตัวพี่ชายดี
“อาโพน แต่ถ้าห้ามพี่ทองไม่ให้เมา เดี๋ยวคณะเราจะไม่มือปี่ปลิวๆ นะอา”
“เอ่อ เอาๆ เอาที่สบายใจ แต่ข้าขอเลยนะ ถ้าวันที่ต้องออกเดินทางตามไปที่พระนคร ห้ามเมาเด็ดขาดนะ ไอ้ทอง เอ็งต้องพาทุกคนไปให้ได้น่ะ”
“โอย ได้อยู่แล้ว นี่ถ้าอาโทรเลขมาบอกให้ขึ้นไปปุ๊บ ข้าพาเด็กๆ เดินทางปั๊บเลย ส่วนเรื่องวิธีเดินทางขอให้เป็นหน้าที่สร้อยพีมันละกัน”
ทองพูดเหมือนรับผิดชอบเต็มที่ แต่หักมุมตอนท้าย นายโพนเข่นเขี้ยว
“อ้าว ไอ้นี่”
ทองรีบชิ่งหนีก่อนจะโดนถีบ เที่ยงมองขำพี่ชายจอมขี้เล่นตลอดเวลา สร้อยพีเดินเข้ามาเที่ยงพร้อมกับไม้ด้ามสำหรับตัวหนัง
“อะ ฉันลบเสี้ยนให้หมดแล้ว พี่เอาไปประกอบกับหนังเองนะ”
“ได้เลย ขอบใจมากนะสร้อยพี”
สร้อยพียิ้มให้ น้ำตารื้น เที่ยงสังเกตเห็น จึงเอื้อมมือไปลูบผมปลอบอย่างอ่อนโยน
“แกจะมีน้ำตาทำไม พี่กับอาโพนไปทำงาน ไม่ได้ไปรบ”
“พี่เที่ยง สร้อยพีไม่อยากอยู่ไกลพี่เที่ยงเลย”
เที่ยงยิ้มให้กำลังใจ
เวลาที่สร้อยพีไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ เมื่อเที่ยงและนายโพนออกเดินทางจากหมู่บ้านไปด้วยกัน สองอาหลานผ่านทิวไม้สองข้างทาง
เจรมัยเดินไปทิศทางเดียวกันนายเที่ยง เจรมัยเดินผ่านแนวต้นไม้ในสวนของบ้านตาเทียบ เค้าหยุดยืนคิดถึงเรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อต่างๆ
“พี่เจ...พี่เจ”
เจรมัยหันไปตามเสียงเรียกเห็นเป็นหนูจ๋ากำลังเดินเข้ามาหา
“ไงจ๋า หายดีแล้วออกมาซนเชียวนะ”
“เปล่าซนซะหน่อย หนูเห็นพี่เจหน้าเครียดๆ เลยเดินมาดู”
“พี่ดูเครียดเหรอ”
“ช่าย...หรือพี่เจช่วงนี้ไม่ค่อยได้เล่นดนตรี ลองเล่นดูมั้ยพี่ เผื่อจะหายเครียด”
“น่าสน แล้วจะเล่นยังไง”
“ก็เล่นกับจ๋านี่ไง จ๋าร้อง พี่เล่นกีต้าร์”
“เอาซี”
จินดายืนอยู่หน้าประตูห้องตาเทียบ ในหัวยังวนเวียนอยู่เรื่องที่เธอพบในห้องวันนั้น จู่ๆ ก็มีมือของจรรยามาจับบ่าทำให้เธอตกใจรีบหันกลับมา
“พี่จรรยา”
“ใจลอยอะไรอยู่เหรอ”
“ปะ เปล่า เปล่าค่ะพี่”
“อืม จินดา พี่สงสัยจังว่าวันนั้นเธอปุบปับออกจากโรงพยาบาลไปไหนเหรอ
“ก็...”
จินดานึกถึงตอนกลับมาที่บ้าน และทำข้อตกลงกับผีสร้อยพีในห้องตาเทียบ แต่ไม่ได้เล่าออกมา
“เธอน่ะ เธอเลยพลาดเห็นตอนที่จ๋าตื่นเลย พอจ๋าตื่นก็มองหาเธอใหญ่ น่าเสียดายจริงๆ” จรรยาบอก
“ค่ะ”
“ไปๆ ฉันมาตามให้เธอไปดูอะไร รีบตามมาล่ะ”
จรรยาเดินแยกไป
จินดายืนมองประตูห้องตาเทียบอยู่ครู่หนึ่ง พอขยับตัวหันกลับ จู่ๆ ก็มีเงาผีเคลื่อนเข้ามาหาใกล้ๆ แล้วพูดย้ำค้ำพูดเหมือนเดิมๆ
“พามาลีมาจับตัวหนัง ฉันจะได้เป็นอิสระกว่านี้”
จินดาสะดุ้งสุดตัว หันมองหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่พบอะไรหรือใครอยู่รอบๆ เลย ในที่สุดก็เดินตามจรรยาไป เมื่อจินดาพ้นร่างไป ผีสร้อยพีก็ปรากฏกายขึ้น จดสายตามองจ้องไปที่จินดาอย่างเลือดเย็น
มือถือถูกติดอยู่บนขาตั้ง ภาพในจอเห็นเจรมัยกำลังจูนกีต้าร์อยู่ พอเงยหน้าขึ้นมามอง เขาก็บอกให้ปัดกล้องเอาตัวเขาอยู่นอกเฟรม จนเมื่อได้คอมโพส จ๋าก็วิ่งจู๊ดมาเข้าประจำที่ในเฟรมภาพ
เจรมัยเริ่มเล่นกีต้าร์ ส่วนจ๋าก็เริ่มร้องเพลง
จรรยากับจินดาเดินมาถึง ก็เห็นจ๋าร้องเพลงอย่างเบิกบานมีความสุขอยู่กับเจรมัย
จรรยารับรู้ได้ว่า ลูกชายกำลังพยายามทำบางอย่างเพื่อชดเชยเรื่องที่ทำให้จ๋าต้องเข้าโรงพยาบาล เจรมัยเล่นกีตาร์ไปมองดูหนูจ๋าที่ร่าเริงมีความสุข ขณะที่จ๋าร้องเพลงไป บางจังหวะก็มองหน้าแม่ยิ้มให้อย่างสุขใจ
จินดาสบตาลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ต้องหลบตาวูบ เพราะความรู้สึกผิดกัดกินใจ
ที่ออฟฟิศสำนักพิมพ์ มัลลิกาคุยโทรศัพท์รับนัด
“ค่ะๆ ได้ค่ะ เป็นวันพุธนะคะ ขอบคุณค่ะ”
“นัดได้แล้วเหรอมะลิ” เจนจิราถามขึ้น
“เรียบร้อยค่ะ อาจารย์เค้ายินดีให้มะลิสัมภาษณ์”
เจนจิราแปลกใจ “หะ อาจารย์ นี่งานไหนเนี่ย”
“วัตให้มะลิลองงานสัมภาษณ์คนในวงการศิลปวัฒนธรรมดูน่ะค่ะ”
“โถ ไอ้เราก็นึกว่างานกอซซิปของเรา เชอะ เออ หนูจ๋าออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ พ้นขีดอันตรายแล้ว”
มัลลิกายิ้มดีใจไปด้วย “โห ดีจังค่ะ โล่งอกไปที”
“วันนี้แวะไปที่บ้านซิ ไปเยี่ยมจ๋ากัน”
มัลลิกาชะงัก ก่อนตัดสินใจบอกเลี่ยงไป
“ไม่ค่อยสะดวกล่ะค่ะพี่เจน ต้องเตรียมตัวจะสัมภาษณ์นัดที่จะถึงนี่ก่อนค่ะ”
เจนจิรารู้สึกว่าท่าทีมัลลิกาแปลกๆ ไป แต่ก็ไม่ได้ท้วงอะไร
“ตามใจ”
ทางด้านหนูจ๋า ร้องเพลงกับพี่เจเสร็จ ก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่โรงเรียน
“หมอให้หยุดดูอาการอีก 2-3 วัน น่า อืม ฝากจดงานให้ด้วย แล้วไลน์การบ้านมาให้ด้วยนะ”
จินดาเห็นลูกสาวคุยสายอยู่ จึงเดินไปจัดของว่างมาให้กิน แต่พอถือของว่างกลับมา จ๋าก็เงียบเสียงไปแล้ว จินดาเดินไปดู พบว่าจ๋านอนหลับอยู่ที่โซฟา จึงเรียกเบาๆ แต่จ๋าก็ไม่ขยับ จินดาใจเสียเขย่าตัวลูกอย่างแรง จิตราได้ยินเสียงรีบเข้ามาดู เห็นหนูจ๋าค่อยๆ ลืมตาขึ้นมางงๆ
“อะไรเหรอแม่”
“เป็นอะไรมั้ยลูก”
“เปล่าค่ะ กินยาโรงพยาบาลไป เลยง่วงน่ะค่ะ ทำไมเหรอแม่”
“ไม่มีอะไรจ๊ะ ขอโทษที ง่วงก็นอนต่อไปนะ”
จิตรามองจินดาอย่างเป็นห่วง
ไม่นานต่อมา จิตราเรียกจินดามาคุย สองพี่น้องนั่งอยู่ตรงที่มุมเงียบๆ นอกตัวเรือน
“เหมือนเธอกำลังกลุ้มใจอะไรอยู่นะจินดา” จิตราจ้องหน้าน้องสาว
“ก็ พอยายจ๋ามาเจ็บลง ด้วย...ด้วยเรื่องแปลกๆ ของครอบครัวเรา ดาเลยคิดว่า ยายจ๋ากำลังไม่ปลอดภัยน่ะค่ะ”
“ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทาง ต้นตระกูลเรา เค้าก็คงคุ้มครองเรามากกว่าที่จะทำร้ายเรานะ ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้เจอปัญหาอะไรมาก่อนนี่”
จินดาลำบากใจ แต่ก็จะพูด “แต่ ตั้งแต่พี่จรรยา...”
จิตราตัดบท “ไม่เอาน่า อย่าให้ความผิดไปตกกับพี่น้องเราเลย เราได้กลับมาพบกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง น่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่เหรอ”
จินดายอมรับเอาคำที่จิตราบอก และจะแยกกลับไปดูลูก แต่ก็หยุดชั่งใจ ก่อนจะตัดสินใจถามบางอย่างออกไป
“พี่รู้จักคนที่ชื่อ มาลี หรือพอได้ยินใครที่ชื่อนี้บ้างหรือเปล่าคะ”
จิตรานิ่งคิด “ ไม่มีนะ ทำไมเหรอ”
“เปล่าค่ะ พอดีเหมือนเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหน ขอบคุณค่ะ”
จินดาเดินพ้นตัวไปแล้ว จิตราถึงเพิ่งนึกขึ้นได้พึมพำออกมา
“ชื่อจะหมายถึงยายทวด หรือเปล่านะ”
จินดามองซ้ายแลขวา จนแน่ใจว่าปลอดคน จึงค่อยๆ ไขกุญแจเข้าไปในห้องตาเทียบ เมื่อเข้ามาได้ก็รีบค้นหาข้าวของเก่าๆ ตลอดจนรูปภาพที่พอจะเกี่ยวกับมาลี
“ขอให้เจออะไรบ้างเถอะ”
ในขณะที่กำลังรื้อค้นอยู่นั้น จินดารู้สึกเหมือนมีใครบางคนค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้เธอทีละก้าวๆ จินดาหนาวยะเยือกทั้งกายรู้ทันทีว่าเป็นใคร จึงพูดออกไปโดยไม่กล้าหันกลับไปมอง
“อย่าทำอะไรลูกฉันเลย ฉันพยายามแล้ว แต่...มาลีที่ว่า...”
“เอามาลีมาหาฉัน...”
“ฉันพยายามแล้ว แต่ฉันไม่รู้จะไปหาคนที่ชื่อมาลีมาได้ยังไง ให้ฉันทำอย่างอื่นแทนได้มั้ย”
จินดาขอร้องทั้งน้ำตา แต่ไม่มีการโต้ตอบกลับมา เสมือนปฏิเสธคำขอร้อง
“ช่วยบอกได้มั้ยคะ...ว่าเค้าคือใคร ช่วยบอกฉันหน่อย ฉัน...”
“ให้มันจับตะลุง เพื่อฉันจะได้เป็นอิสระ...ไม่อย่างนั้น”
เหมือนมีแรงลมพัดมาวูบใหญ่ตอนสร้อยพีออกจากห้องไป จินดาโล่งอก แต่ก็นึกสังหรณ์ใจขึ้นมารีบออกไปโดยไม่ได้อะไรติดมือไปเลย
จินดาเดินเข้ามา เห็นจ๋าจดการบ้านทางโทรศัพท์มือถืออยู่ เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง จึงเห็นว่าที่ผนังห้องเงาของจ๋าขยายแผ่ออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหา จินดาก็เหลือบเห็นว่าจิตราจับสังเกตอยู่อีกมุมหนึ่ง พอเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของน้องสาว จิตราจึงเดินเข้าไปชวนหนูจ๋าคุย เพื่อกันไม่ให้จินดามาทำอะไรประหลาดๆ ต่อหน้าลูกอีก จินดาทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายเดินออกไป
หลังมื้อเย็น ขณะช่วยกันเก็บโต๊ะอาหาร เจรมัยถามจิตราขึ้นว่า
“ป้าจิตครับ คุณตาเทียบเคยเล่าเรื่องคุณตาทวดเที่ยงให้ฟังมั่งมั้ยครับ ว่าสมัยนู้นแกเป็นยังไง”
“ก็เคยเล่าให้ฟังอยู่นะ แต่ก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำไมเหรอ” จิตราย้อนถามในตอนท้าย
“อ๋อ ผมก็แค่อยากรู้จักคุณตาทวดของเรามากขึ้นน่ะครับ ผมว่าท่านกับผมเป็นนักร้องนักแต่งเพลงคล้ายๆ กัน เลยอยากรู้เรื่องของท่านน่ะครับ” เจรมัยบอก
จรรยานึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เออ แม่เอาของบางอย่างมาจากบ้านด้วย รับรองว่าเป็นของที่หลายคนลืมไปแล้ว เดี๋ยวแม่เอาจานไปเก็บแล้วจะเอามาให้ดูนะ”
ไม่นานต่อมา ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงชั้นล่าง รูปถ่ายเก่าในมือจรรยา เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคน
“รูปพวกนี้แม่เอามาจากโต๊ะทำงานของคุณตาเทียบ ก่อนที่เราจะออกจากบ้านนี้ไป เชื่อว่าหลายคนจำไม่ได้ว่ามีรูปนี้อยู่ในบ้านเรา”
รูปแรก รูปตาเทียบ กับ ลูกสาว 4 คน
รูปสอง เป็นรูปเที่ยงกับมาลีถ่ายในบ้านคหบดีโสภณ แต่เป็นภาพระยะไกล มองหน้าไม่ชัดนัก
รูปสาม เป็นรูปติดบัตรหน้าตรงของเที่ยง
รูปสี่ เป็นรูปเที่ยงกับมาลีถ่ายคู่กัน
เจรมัยเห็นปู่ทวดเที่ยงก็ไม่ได้แปลกใจเหมือนคนอื่นๆ
จรรยาชี้รูปเที่ยง “นี่ไง รูปคุณทวดเที่ยง”
จิตรามองเที่ยงในรูปเทียบกับเจรมัยตัวจริง
“เออ จะว่าไปคุณปู่ก็หน้าตาเหมือนเจของเราเนอะ เท่าที่ป้าจำได้ คุณตาเทียบ เล่าให้ฟังว่าคณะตะลุงของคุณทวดเที่ยง เป็นคณะตะลุงที่มีชื่อที่ไม่ได้ดังที่สุด แต่ก็มีคนชื่นชอบไม่น้อย…จนวันหนึ่งมีคนว่าจ้างให้มาแสดงที่กรุงเทพฯ แต่ปีนั้นกรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่า บางกอกอยู่เลย”
จิตราถือโอกาสเล่าเรื่องราวในอดีตของต้นตระกูลซึ่งรับรู้มาจากตาเทียบให้น้องๆ และหลานๆ ฟัง
เที่ยงกับนายโพนลงรถไฟ หิ้วข้าวของสัมภาระพะรุงพะรัง ของในมือร่วงบ้าง หล่นบ้าง สองอาหลานช่วยกันเก็บให้วุ่น เลยตกเป้าสายตาคนไปทั่ว
“อา คนมองเราใหญ่แล้ว”
“ไม่มองซิแปลก ก็เราสองคนดูบ้านนอกซะขนาดนี้”
นายโพนหัวเราะขัน เที่ยงก็พลอยหัวเราะอารมณ์ดีไปด้วย
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ เที่ยงแวะถามทางกับคนที่เดินสวนมา
“คุณครับ บ้านคหบดีโสภณ ไปทางนี้หรือเปล่าครับ”
ชาย1 ตอบว่า “ไม่รู้จักหรอกคุณ”
เมื่อไม่ได้ความก็พากันเดินต่อ นายโพนหน้าเครียด กังวลมากเอาการ
“เอาแล้วไง เราสองคน”
“แล้วเราจะทำยังไง”
สองอาหลานหาที่นั่งยองๆ ข้างทางพักเอาแรง พอจะลงนั่งสายตาก็มองเห็นรถยนต์คันงามจอดอยู่ข้างทางใกล้ๆ นายโพนกับเที่ยงเห็นรถสวยก็ตื่นเต้นยกใหญ่ พากันปรี่เข้าไปดู
“อาโพน รถ...รถยนต์คันนี้มันสวยหยดจริงๆ”
เที่ยงอยากจะเอามือสัมผัสรถแต่ก็เกรงใจ ได้แต่ยกมืออังไปทั่วรถ
นายโพนร้องห้าม “เฮ้ยๆ อย่าไปโดนรถเค้าเลยนะเอ็ง เดี๋ยวเป็นไรขึ้นมา จะเป็นหนี้หัวโตกันพอดี”
“รู้ครับ ผมไม่พลาดไปโดนแน่นอน เนี่ย ถ้าสร้อยพีมาเห็น จะต้องตื่นเต้นแน่ๆ”
“นั่นซิ อย่าว่าแต่สร้อยพีเลย อาว่าทั้งคณะนั่นแหละ พอแล้วๆ มาห่างๆ ข้าเห็นเอ็งเข้าไปใกล้ๆ แล้วหัวใจจะวาย
โพนดึงมือเที่ยงออกมาให้พ้นรถ แล้วพากันมานั่งที่ข้างถนน ไม่นานนักก็มีเด็กซนสองคน เดินถือขนมถังแตกมาแย่งกันกินข้างรถ และพาลทำให้เศษขนมกระเด็นไปติดที่ท้ายรถ โดยเด็กไม่รู้ตัว เที่ยงหยิบขนมต้มจากห่อขึ้นมากินกับนายโพน แต่แล้วก็มีเสียงโวยวายเป็นภาษาฝรั่งจนทั้งสองคนเหวอไปเลย
ฝรั่ง1 ตะโกนขึ้นว่า “เฮ้ย ใครมาทำรถกูเลอะวะเนี่ย”
ฝรั่ง2 บอกเพื่อนว่า “กูเจอตัวการแล้ว ไอ้ลิงเหลืองสองตัวนั้นไง”
เที่ยงกับนายโพนรู้ตัวว่า กำลังถูกพูดถึง แต่ไม่รู้ว่าฝรั่งมันพูดอะไร จึงได้แต่พยักหน้ารับยิ้มๆ ยังผลให้ฝรั่งสองคนยิ่งเดือดดาล
“แม่งยังยิ้มกวนตีนอีก” ฝรั่ง1 โมโห
“เล่นแม่งเลย ไอ้พวกด้อยพัฒนา”
พร้อมกับว่า ฝรั่ง 2 ปรี่เข้ากระชากคอนายโพนลากมาที่รถ เที่ยงตกใจรีบถลันตามไปผลักฝรั่งล้มกลิ้งไม่เป็นท่า นายโพนหลุดออกมาได้ในสภาพคอเสื้อขาดวิ่น แต่ยังมีสติรีบกันเที่ยงกับฝรั่งเอาไว้
“ใจเย็นๆ มีเรื่องอะไรกัน”
ฝรั่ง 1 ไม่รู้เรื่อง “มึงพูด อะไรวะ”
“ใจเย็นก่อนเที่ยง ใจเย็นพ่อฝรั่ง” นายโพนพยายามคุยดีๆ
ชาวบ้านร้านตลาด ต่างพากันมามุงดู แต่ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วย
ฝรั่ง 1 ด่าลั่น “พวกมึงแม่งมาแดกของเลอะรถกู เห็นมั้ย”
“ใครรู้มั้ย มันพูดอะไรครับ” เที่ยงพยายามถามหาคนที่รู้ความหมาย
ฝรั่งสบถวกวน แล้วชี้ไปที่เศษขนมติดตรงท้ายรถ นายโพนหันไปเห็นแล้วก็เก็ททันที
“หรือเค้าเข้าใจว่าเราทำรถเค้าเลอะล่ะมั้ง”
ฝรั่ง 1 ยิ้มเยาะ “เห็นมั้ย ฝีมือมึง”
“พ่อฝรั่งใจเย็น เดี๋ยวผมเช็ดให้นะขอรับ”
นายโพนรีบหาผ้ามาเช็ดขนมให้ แต่หาไม่ได้ก็เลยเอาชายเสื้อตัวเองเช็ดให้
เที่ยงขัดใจ “อา เราไม่ได้ทำ เราไม่ต้องเช็ดให้มันก็ได้”
“เอา เถอะๆ เรื่องเล็ก มันจะได้จบ”
นายโพนบอกเชิงปราม แล้วเช็ดรถอย่างตั้งใจ ส่วนฝรั่งสองคนก็สะใจ มองดูสภาพโพน และก็มองไทยมุงที่ไม่มีใครกล้ามีปัญหากับพวกมัน เที่ยงเห็นแล้วก็เจ็บใจ
ฝรั่ง 2 นึกลำพอง ถุยน้ำลายรดใกล้ๆ จุดที่นายโพนอยู่
“เฮ้ย มันเลอะอีกที่แล้วมึง เช็ดซะด้วย”
ฝรั่ง 1 เสริมว่า “ให้ไว ไอ้แก่”
นายโพนมองดูน้ำลายที่เลอะอยู่แล้วหนักใจ เที่ยงมองนายโพนถูกย่ำยีก็ยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นใจไปด้วย
“อา ไม่ต้องทำ”
“อืม กูไม่เช็ดแล้ว ชกมันเลย”
ขาดคำนายโพนก็โถมหมัดเข้าใส่ฝรั่งทั้งสองคน เที่ยงกระโจนเข้าตะลุมบอนช่วย
ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ห้ามสองฝ่ายแยกออกจากกัน ตำรวจสองคนช่วยกันล็อกนายโพนกับเที่ยงเอาไว้แน่นหนา แต่กับฝรั่งแค่จับๆ ไม่กล้าทำอะไรมาก
“หยุดๆ ชกต่อยในที่สาธารณะมันผิดร้ายแรงนะครับ”
“พวกฝรั่งมันแกล้งพวกผม มันดูถูกผม” เที่ยงแจง
“เอ้า คุณฝรั่งมีอะไรจะพูดมั้ย” ตำรวจ 1 ถาม
ฝรั่ง 1 ฟ้องว่า “พวกแม่งทำรถกูเลอะ...มันต้องกราบรถกู”
“เอาแล้วไง มันพูดอะไรวะ” ตำรวจ 1 ฟังไม่รู้เรื่องหันมาทางตำรวจลูกน้อง
“ผมก็ไม่รู้ครับลูกพี่”
ฝรั่งเหมือนจะโถมเข้ามาหาเรื่องอีก แต่ถูกตำรวจกันไว้ นายโพนกับเที่ยง เห็นว่าจะมีเรื่องอีกก็พร้อมสู้ ตำรวจก็ต้องรีบกันเอาไว้ ฝรั่งทั้งสองยิ่งหงุดหงิด หันมาด่าตำรวจ
ฝรั่ง 2 ด่าว่า “หลบไป ไอ้ลิงใส่ชุดตำรวจ”
ฝรั่ง 1 ชอบใจ “พี่แม่ง หาคำได้สะใจโคตร ลิงใส่ชุดตำรวจ”
“ก็มึงดูดิ รอบๆ เรา อยากกับเราอยู่ในละครลิง”
ฝรั่งสองคนพากันขำก๊าก
“งั้นเราเรียกพวกแม่ง เป็นลิงดีกว่า”
“เอาดิ พวกห่างไกลความเจริญ มันไม่รู้เรื่องหรอก”
ตำรวจสองคน เที่ยง นายโพน และชาวบ้าน ต่างไม่เข้าใจว่าสองฝรั่งมันพูดอะไรกัน
ฝรั่ง 1 บอกว่า “เอ่อ ไอ้พวกลิง เรื่องรถกู ไม่ต้องขอโทษแล้วก็ยกโทษให้พวกลิงทั้งฝูง”
ฝรั่ง 2 ร้องบอก “หลบๆ คนจะขึ้นรถ ลิงหลบไป”
ตำรวจหลบทางให้ แม้ไม่เข้าใจทั้งหมด
“ตกลง เจ๊ากันใช่มั้ย ไม่ถือโทษกันแล้วใช่มั้ย” ตำรวจ1หันมาทางเที่ยง “ทางคุณว่าไงพ่อหนุ่ม เหมือนฝรั่งมันจะถอยแล้ว”
“ผมกับอา ก็ไม่ติดใจ ว่าแต่มันพูดอะไรกัน”
ฝรั่ง 1 มองเหยียด “พวกล้าหลัง”
มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น “นี่ถ้ายังไม่เลิกปากเสียง ฉันจะเอาความไปแจ้งทางการ”
ฝรั่ง 2 หันไปทางเสียง เผลอปากเสียไม่เลิก “เฮ้ย ลิ...ง”
เจ้าของเสียงเป็นหญิงแต่งกายในชุดสาวชาวบ้านธรรมดา เธอคือ มาลี และเดินดิ่งเข้ามาพร้อมกับชี้นิ้วใส่ฝรั่งทั้งสองคน ด้านหลังมีหญิงอีกคน คือเพ็ญ บ่าวคนสนิท
เที่ยงรับรู้ว่าผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ และเขารู้สึกประทับในตัวเธอตั้งแต่วินาทีนั้น
มาลีพูดแทบเป็นตวาด “หุบปาก เดี๋ยวนี้เลย ชั้นเอาจริง ถ้ายังปากดี ฉันจะไปฟ้องท่านกงสุล จะบอกให้เค้ารู้ว่าประเทศเค้ามีคนสองคนที่จ้องทำลายชื่อเสียงประเทศตัวเอง”
ชาวบ้านแถวนั้นเห็นคาตาว่าผู้หญิงคนนี้ จัดการฝรั่งอยู่หมัดก็เลยยิ่งทึ่ง พากันมาสมทบช่วยเป็นกองหนุน
“เอาเลย อีหนู ด่ามันเลย”
“พวกฝรั่งต้องดูถูกพวกเราแน่ๆ ด่ามันเลยอีหนู”
ฝรั่ง 1 กะฝรั่ง 2 มองหน้ากันว่าจะเอาไงดี สุดท้ายก็พยักหน้าบอกกันให้ถอย
“โอเค พวกเราไปก็ได้”
สองฝรั่งก้มหน้าก้มตา ดิ่งจะไปขึ้นรถ แต่มาลีร้องเรียกไว้
“เดี๋ยว ลืมพูดอะไรหรือเปล่า”
สองฝรั่งนักเลง อึดอัดที่จะทำ แต่ก็ทนแรงกดดันไม่ไหวจึงต้องหันกลับมาพูดขอโทษ
“ผมขอโทษ คุณหนู”
“ผมขอโทษ”
จากนั้นฝรั่งทั้งสองคนก็ขึ้นรถ ขับรถออกไปทันที ตำรวจรีบเข้าไปขอบคุณมาลีกับเพ็ญ
“ขอบคุณคุณหนูมากนะครับ ไม่ได้คุณหนูสงสัยจะยาว”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณเจ้าหน้าที่”
“คุณมาลีคะ เราต้องรีบแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเรือ” เพ็ญเร่ง
“ได้ๆ ไปซิ”
มาลีมองดูอาหลาน ที่กำลังสาละวนเก็บของอยู่แว่บหนึ่ง เที่ยงอยากจะลุกมาหาแต่ก็ติดพันเก็บของ จนเมื่อเก็บของเสร็จเงยหน้ามาอีกที ก็พบว่ามาลีเดินลับตาไปเสียแล้ว เที่ยงจึงเดินไปถามตำรวจ
“คุณผู้หญิงคนนั้นไปไหนแล้วครับ”
“ไปโน้นแล้ว เห็นว่ากลัวจะไม่ทันเรือ” ตำรวจ1 บอก
“อ้าว ยังไม่ได้ขอบคุณเลย เค้าชื่ออะไรคุณตำรวจรู้มั้ยครับ”
“เห็นว่าชื่อ มาลี นะได้ยินคนที่มาด้วยเรียก” ตำรวจคนเดิมบอก
เที่ยงรำพึงคล้ายจะจดจำให้ขึ้นใจ “มาลี”
นายโพนตามมาสมทบ “เอ่อ คุณตำรวจพอจะรู้จักบ้าน คหบดีโสภณ มั้ยครับ”
“โอ้ ไม่แน่ใจนะ ส่วนใหญ่บ้านคหบดีจะอยู่แถวๆ ไม่บางกอกน้อย ก็ประเวศน์ น้ามีที่อยู่หรือแผนที่มั้ยล่ะ”
“มีๆ นี่ครับ”
“อืม นั่นไง อยู่แถวฝั่งประเวศน์ นี่มาผิดฝั่งแล้ว นี่ข้ามเรือไปก็น่าจะเจอเลยมั้งเนี่ย”
“ข้ามเรือ เหรอครับ งั้นทางเรือก็ไปทางนี้ใช่มั้ย”
เที่ยงยิ้มได้ แล้วออกวิ่งไปทันที นายโพนทำหน้าเหลอหลารีบวิ่งตามไปอย่างทุลักทุเล มีเสียงเร่งของเที่ยงคอยกระตุ้น
“ไปเร็วอา เผื่อจะทันคุณผู้หญิงคนนั้น”
เมื่อเที่ยงวิ่งมาถึงท่าเรือกลับไม่มีใครแล้ว เห็นแต่คนงานท่าเรือกำลังเก็บของอยู่ เที่ยงผิดหวัง ที่มาไม่ทันเรือ แถมยังไม่ทันผู้หญิงน้ำใจงามคนนั้น
“เรือออกไปแล้วเหรอครับ”
“ใช่ครับ คลาดไปนิดเดียว รอหน่อยแล้วกันนะพ่อหนุ่ม” ชาย1 ตรงท่าเรือบอก
“ครับ...แล้วท่าเรือนี้ ข้ามไปฝั่งประเวศน์ใช่มั้ยครับ”
“ใช่เลย รอหน่อยนะ”
เที่ยงหงุดหงิดตัวเองที่มาไม่ทันเรือ นายโพนวิ่งกวดมาก็ถึงกับหอบเลยทีเดียว
“เรามาทันเรือมั้ย”
ชายคนเรือขำ “โอ๊ย นี่ถึงกับหอบกันเลยรึ เรือยังไม่หมด รอแป๊บ นี่มาจากไหนแล้วจะไปไหนกันละ”
“พวกเรามาจากนครศรีธรรมราช จะไปบ้านท่านคหบดีโสภณ” นายโพนบอก
ที่บ้านคหบดีโสภณ บ่าว 1 เดินนำหน้า นายโพนกับเที่ยงมาจนถึงชานเรือนหลังใหญ่
“ทางนี้จ้ะ ทางนี้ เดี๋ยวเธอสองคนรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปเรียนคุณโสภณให้นะ”
“ขอรับ” นายโพนบอก
บ่าวเดินเข้าบ้านไป นายโพนกับเที่ยงแหงนคอตั้งบ่ามองดูบ้านที่ทั้งสวยงามและใหญ่โต มันยิ่งย้ำให้ทั้งสองต้องเจียมตัวมากขึ้นเป็นทวี
“บ้านหรือวังเนี่ยอา”
“บ้านแต่มันสวยอย่างกับวัง” นายโพนว่า
“แล้วเค้า สนใจคณะตะลุงเราจริงๆ หรืออา” เที่ยงแปลกใจไม่หาย
“เดี๋ยวก็รู้”
บ่าว1 วิ่งกลับมาเรียก สองอาหลานให้เข้าไปในเรือน
“อ่ะ ท่านโสภณทราบแล้ว ให้มาตามเธอสองคนเข้าไปได้”
“ครับๆ” นายโพนรับเอาคำ
ต่อมานายโพนกับเที่ยงก้มกราบกับพื้น ตรงหน้าท่านโสภณนั่ง มีบ่าว 1 นั่งรอปรนนิบัติอยู่ใกล้
“กระผมกับหลาน มาตามจดหมายที่ท่านโทรเลขไปหา ขอรับ”
โสภณยิ้มใจดีและดูเป็นมิตรให้ “สวัสดี แล้วนี่จะไม่แนะนำตัว ให้รู้จักกันเลยรึ ฉันชื่อโสภณ”
นายโพนนึกได้ “โอ๊ะ ข้าน้อยๆ ลืมๆ ขอโทษที่ต้องเสียมารยาท กระผมชื่อโพน ส่วนนี่หลานชายผม ชื่อเที่ยงเป็นนายหนังและก็เป็นหัวหน้าคณะขอรับ”
“เที่ยงเป็นนายหนัง และ ก็เป็นหัวหน้าคณะด้วย เก่งจริงๆ อายุยังน้อยอยู่เลย เก่งๆ ข้าชื่นชม”
“ขอรับ กระผมรบกวนขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับงานแสดงได้มั้ย ขอรับ” นายโพนถาม
“อืม ไฟแรงจริงๆ คนหนุ่มๆ เนี่ยก็อย่างนี้ อีกสามเดือน ที่สโมสรเดินเรือ จะมีพ่อค้าฝรั่งเศส อังกฤษ ที่ขึ้นมาจากปีนัง เพื่อมาคุยสัญญาการเดินเรือเส้นทางใหม่ ทางผู้ใหญ่ก็เลยให้ทางฉันรับผิดชอบเรื่องการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ก็เลยตัดสินใจว่าจะ เป็นเล่นตะลุง”
“ขอประทานโทษนะขอรับ แล้วทำไมถึงไม่เอา วงดนตรีฝรั่งหรือ ภาพยนตร์ แบบ...แบบ ที่ฝรั่งเค้าชอบ ไม่ดีกว่ารึขอรับ”
คำถามพาซื่อของเที่ยงทำเอาท่านโสภณเงียบไป นายโพนกับเที่ยงก็พลอยใจคอไม่ดี ที่เห็นเป็นแบบนั้น
“กระผมทำอะไรเสียมารยาทหรือเปล่าครับ”
“งั้นฉันถามนายเที่ยงหน่อยละกันนะ”
“ขอรับ”
“หนังตะลุงของนายเที่ยงเนี่ย เล่นดีมั้ย”
“กระผมไม่กล้าบอกว่าตนเองดีขอรับ”
“อ้าว อย่างนั้นรึ”
“แต่กระผม มั่นใจว่า การแสดงของคณะกระผม จะทำให้ผู้ชมรู้จักและชื่นชมวิถีคนใต้อย่างที่เราเป็น”
โสภณชอบใจ “นั่นไง มันต้องแบบนี้ เที่ยงคิดเหมือนลูกสาวฉันเลย”
เที่ยงมองหน้านายโพน รู้สึกดีใจที่คำตอบจากใจจริงของตนเป็นที่ยอมรับของท่านคหบดี
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวฉันให้กิ่ง พาเธอไปทานข้าวทานน้ำกันดีกว่ามั้ย เดินทางกันมาเหนื่อยๆ พักก่อนๆ เดี๋ยวเหมาะๆ ฉันจะพาไปรู้จักลูกๆ ของฉันแล้วกัน”
“ขอบคุณขอรับ”
เที่ยงกับนายโพนรับเอาคำพร้อมๆ กัน แล้วเดินตามกิ่งออกนอกเรือนใหญ่ไป
เสียงจิตราเล่าเรื่องราวต่อ
“ความตั้งใจเดิมที่แค่มาแสดงในกรุงเทพฯ แค่งานเดียว ทวดเที่ยงไม่รู้ล่วงหน้า ว่าจะต้องลงหลักปักฐานที่กรุงเทพฯ ไปจนสิ้นอายุขัย”
บรรดาคนในบ้านล้อมวงฟังเรื่องเล่าจากความทรงจำของจิตรา
“ว่ากันว่า การขึ้นมากรุงเทพฯ ครั้งนั้น ทำไห้...ไม่ได้กลับไปบ้านเกิดอีกเลย จนมาถึงรุ่นพ่อของเราอย่างที่เห็นทุกวันนี้” จิตราบอก
เจรมัยฟังแล้วพยายามรวบรวมเรื่องราวเข้ากับข้อมูลที่ตัวเองเห็นจากนิมิต
“ต้นตระกูลเราเป็นแบบนี้นี่เอง ฟังดูน่าตื่นเต้นดีจัง”
พร้อมกับว่า หนูจ๋าพลิกดูรูปชี้รูปนั้นรูปนี้ไปเรื่อย
“อุ๊ย แล้วนี่ๆ พี่มะลินี่นา” หนูจ๋าชี้รูปคู่เที่ยงกับมาลี
จิตราทักท้วง “มะลิไหน คนนี้ก็ย่าทวดของหนูต่างหาก ทวดมาลี ไม่ใช่มะลิ”
จินดาได้ยินชื่อมาลีก็หูผึ่ง เอะใจขึ้นมา
“เกือบลืมไปเลยว่า มาลี เป็นชื่อของย่าทวด”
จินดา นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนที่ผีสร้อยพีพูดว่า
“พามาลีมาหาฉัน แล้วฉันจะได้เป็นอิสระ”
“แล้วทำไมหน้าเหมือนพี่มะลิจัง ป้าจิต ถ้าป้าจิตเจอพี่มะลิ นะ ป้าจิตก็ต้องว่าเป็นคนเดียวกัน” หนูจ๋ายืนยัน
“เหมือนอย่างนั้นเลยเหรอ” จิตราแปลกใจ
จินดารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“มะลิไหนเหรอลูก”
“พี่มะลิที่หนูเจอที่ทำงานพี่เจน่ะซิคะ”
จินดาพอได้คำตอบแล้วว่า มาลี ก็คือ มัลลิกา บอกตัวเองในใจอย่างมีหวัง
“หรือว่า มาลีที่ว่าก็คือมะลิคนนี้นั่นเอง”
เจรมัยย้อนนึกถึง ตอนที่มัลลิกาเข้าไปเห็นอดีตพร้อมๆ กับเขา และกลับออกมาด้วยท่าทีแปลกๆ เจรมัยเริ่มสงสัยว่ามัลลิกาต้องเห็นบางอย่างเกี่ยวกับยายทวดมาลีแน่ๆ
มัลลิกาลงจากรถเดินเข้าสำนักพิมพ์มา โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้น แต่ก็กดรับ
“สวัสดีค่ะ”
เป็นเสียงหนูจ๋า “พี่มะลิเหรอ นี่จ๋าเองนะ”
“อ้าวหนูจ๋า เป็นไงบ้าง น้าเจนบอกหนูดีขึ้นแล้ว”
“ปกติดีแล้วค่ะ แต่คุณแม่ยังให้หยุดเรียนไปก่อน อยู่บ้านนานๆ เหงาจังเลย เรียนตามเพื่อนก็ไม่ทัน เลยโทร. มาขอความช่วยเหลือพี่มะลิหน่อยนะค่ะ”
มัลลิกาพยายามจับน้ำเสียง
“น้าเจนบอกว่าพี่มัลลิกาเก่งเรื่องประวัติศาสตร์ จ๋าเลยอยากให้พี่มาสอนการบ้านหน่อยน่ะค่ะ จ๋าหยุดเรียนซะหลายวัน เจอการบ้านที่เพื่อนส่งมาให้ กุมหัวเลย ยากอ่ะ”
มัลลิกาฟังแล้วขำ “น้าเจนก็พูดเกินไป ที่พี่สนใจเป็นเรื่องศิลปวัฒนธรรมมากกว่าจ้ะ มันเป็นแค่เสี้ยวเดียวของประวัติศาสตร์เอง คงไม่ถึงขั้นไปสอนหนูจ๋าได้หรอก”
“ว้า นึกว่าจะได้ติวเตอร์ส่วนตัวซะแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ ไว้จ๋าปรึกษาคุณครูก็ได้”
“จ้ะ ดูแลสุขภาพดีๆ นะ อย่าไปป่วยซ้ำอีกล่ะ”
หนูจ๋ารับคำแล้ววางสายไป
มัลลิกาวางสายด้วยสีหน้าหนักใจ
“พอตั้งใจจะห่างๆ เหมือนอะไรๆ จะดึงเข้าไปใกล้ให้ได้เลยแฮะ”
พอจ๋าวางสาย ก็เดินมาหาแม่ที่รออยู่ จินดาถามขึ้นอย่างร้อนรนใจ
“พี่มะลิ เค้าจะมาหาลูกใช่มั้ย มาวันไหนหรือจ๋า”
“พี่เค้าไม่มาค่ะ พี่เค้าบอกว่าไม่เก่งประวัติศาสตร์อ่ะแม่”
จินดาหน้าม่อย ผิดหวังและพาลโมโหลูก
“ไม่มาเหรอ ทำไมลูกไม่พยายามซะหน่อยละ ไหนบอกว่าพี่เค้าใจดีไม่ใช่เหรอ”
“แม่...มีอะไรหรือเปล่า แม่ทำไมต้องให้หนูโกหกด้วยอ่ะ”
จินดาเงียบลงเมื่อถูกลูกสาวย้อนถามกลับซื่อๆ
อีกฟากหนึ่ง มัลลิกาเดินเข้ามาให้กองบอกอทีมสารคดี ยื่นกล้องให้ภวัต
“มาแล้วค่ะ บ.ก. งานชิ้นแรก ส่วนบทสัมภาษณ์ เดี๋ยวมะลิถอดจากที่อัดเสียงเขียนเป็นต้นฉบับส่งให้ภายในวันนี้นะ ช่วยพิจารณาด้วยค่ะ”
“เรื่องบทสัมภาษณ์ มะลิเรียบเรียงมาได้เลย ลองตัดทอนกับบรรยายเสริมมาได้เต็มที่”
ภวัตเปิดกล้อง คลิกดูภาพในกล้องถ่ายรูปจากหน้าจอ
“ดีนี่ ยังกะตากล้องมืออาชีพแน่ะ ได้บุคลิกของอาจารย์ดี”
“ก็แหงละ กดไปเกือบร้อยรูป มันก็ต้องมีดีมั่งซิถ่ายจนอาจารย์เค้าทักเลย”
“อ้าว หมดแล้ว ไม่ได้เซลฟี่คู่อาจารย์มามั่งเหรอ อาจารย์แกขึ้นชื่อว่าให้คนเข้าพบยากนะจะบอกให้”
มัลลิกาเง็ง “อ้าว ต้องถ่ายรูปคู่ด้วยเหรอ”
“ก็ใครๆ เจอคนดังระดับประเทศยังงี้ ต้องถ่ายรูปคู่ตัวเองไปโพสต์ลงโซเชียล ให้คนอื่นๆ อิจฉาไง”
“ทำตัวเป็นคนโบราณกลัวถูกถ่ายรูปไปได้”
มัลลิกาค้อนขวับ “นี่”
“อ้าว ไม่เคยได้ยินเหรอ ว่าคนสมัยก่อนกลัวว่าถูกถ่ายรูปแล้วจะอายุสั้นนะ เค้าเชื่อว่ารูปจะดึงวิญญาณในตัวเค้าไปเรื่อยๆ”
“ฉันไม่ขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวเถอะวัต”
“บางทีวัดความโบราณไม่โบราณ ได้จากภาพมือถือนะคุณ” เขาว่า
มัลลิกามองฉงน “ไง”
“เอามือถือมานี่ เดี๋ยวพิสูจน์ให้”
มัลลิกาส่งมือถือให้ภวัตดู
“ผมเปิดรูปดูหน่อยนะ ไม่มีความลับนะ”
“ไม่มีหรอก ไหนพิสูจน์ซิ”
ภวัตเปิดดูรูปในแกลลอรีไปเรื่อยๆ เห็นมีแต่ภาพวิว ทิวทัศน์ข้างทาง หลากหลาย แต่ไม่มีภาพมัลลิกาเลย ภวัตแกล้งหัวเราะเบาๆ
มะลิงง “ไหนว่ามาซิ”
“อ่ะ ก็นี่ก็เกือบจะเป็นคนโบราณแล้วนะ”
มัลลิกางง “ไม”
“ก็มะลิ ไม่เคยมีภาพเซลฟี่เลยน่ะซิ เซลฟี่นี่มันพิสูจน์ความเป็นวัยรุ่นวันนี้เชียวนะ”
“โหย แค่นี้เอง ติ๊งต๊องเปล่าเนี่ยเธอ”
เห็นบรรยากาศของการสนทนาดูร่าเริงเป็นกันเอง จนแว่นอดดีใจไม่ได้ที่เห็นว่าแนวโน้มของหัวหน้ากับมะลิท่าจะไปได้ดี จังหวะนี้มือถือมัลลิกาที่ภวัตถืออยู่ก็มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น ภวัตเห็นชื่อ “เจรมัย” โทร.มา ก็รู้สึกอิจฉานิดๆ ภวัตส่งมือถือคืนเจ้าของ
“คุณเจรมัยโทร.มาครับ”
“เหรอ ขอบคุณนะ”
มัลลิการับมือถือมา แล้วเดินเลี่ยงออกไปสร้างระยะห่างกับภวัตพอประมาณจึงรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไง”
“คือ...ผมเจอภาพย่าทวดของผม แล้วนะ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ”
“เกี่ยวซิ เพราะเธอหน้าเหมือนคุณ”
มัลลิกาประหลาดใจพอๆ กับ ตกใจ “อะไรนะ”
“ใช่ เหมือนกับผมที่หน้าเหมือนทวดเที่ยงไง”
เมื่อในอดีต
เที่ยง กับ นายโพน เดินตาม กิ่งบ่าวในบ้านท่านโสภณ ลัดเลาะมาตรงมุมสวนของบ้าน ระหว่างทางเดินเที่ยงได้ยินเสียงผู้หญิงกับผู้ชายสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ ดังมาจากหัวโค้งของสวน
“ฉันเบื่อใบชาจากอินเดียเต็มที คุณเลิกนำเสนอได้แล้ว”
“ขอรับ งั้นเป็นว่าคุณผู้หญิงจะเลือกชาจากอังกฤษไว้ใช่มั้ยครับ”
“ก็ไม่น่าจะให้พูดซ้ำ”
คำสนทนาภาษาที่เที่ยงฟังไม่ออก แต่เขาก็อดหวังลึกๆ ไม่ได้ว่า ขอให้เจ้าของเสียงนั้นเป็นผู้หญิงที่ช่วยเขาที่ตลาด นายโพนเองก็รู้สึกเช่นกัน เที่ยงตัดสินใจถาม กิ่ง ขึ้น
“คุณขอรับ กระผมรบกวนถามหน่อยครับ เสียงคนพูดปะกิต ที่ได้ยินอยู่นี่เป็นใครครับ”
“เป็นลูกสาวของท่านโสภณจ้ะ ไงเราอย่าเดินเฉียดไปดีกว่า คุณหนูไม่ค่อยชอบเห็น…”
นายโพนสงสัย “เห็น... อะไรหรือขอรับ”
“นั่นซิขอรับ” เที่ยงก็ด้วย
“ก็อย่าว่าฉันไม่สุภาพนะ คือคุณหนูไม่ชอบเห็นคนบ้านนอกน่ะจ้ะ”
เที่ยงหันไปถามนายโพน
“อาว่าจะเป็นเดียวกับที่ช่วยเราที่ตลาดมั้ย”
“ไม่รู้ซิ”
เที่ยงนิ่งคิด สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ขอเสี่ยงไปดูให้เห็นกับตา กิ่งตกใจรีบเดินตามไปห้าม
“ว้าย ตายแล้วว่าไม่เชื่อ เดี๋ยวก็เป็นเรื่อง”
เที่ยงเดินมาถึงหัวโค้งพอดี ได้เห็นกับตาว่าผู้หญิงที่คุยภาษาอังกฤษไม่ใช่คนที่เขาวาดหวังไว้ เธอคือมณฑา ลูกสาวคนโตของคหบดีโสภณ เวลานี้กำลังคุยเรื่องใบชากับพ่อค้าต่างชาติอยู่ ทันทีที่มณฑาเห็นเที่ยงปรากฏตัวเข้ามา เธอก็มีสีหน้าไม่พอใจทันที
“เธอเป็นใคร เข้ามายุ่งย่ามอะไรในบ้านฉัน”
“เอ่อ คือ กระผม...” เที่ยงทั้งผิดหวังและตกใจเลยไปไม่เป็น
กิ่งรีบแทรกตัวเข้ามาแก้สถานการณ์
“พวกเค้าเป็นคณะตะลุงที่ท่านโสภณ ว่าจ้างมาค่ะ คุณมณฑา”
มณฑาไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังไม่อยากเปลืองเวลาตอนนี้
“นี่เธอ พาพวกนี้ไปให้พ้นตรงนี้ให้เร็ว พวกนี้กำลังทำให้แขกของฉันมองฉันไม่ดี”
“ค่ะๆ คุณหนู ดิฉันขอประทานโทษด้วยนะคะ”
สีหน้าเที่ยงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับประโยคต่างๆ ที่มณฑาพูดกระทบกระเทียบเขา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะความต่างศักดิ์ ต่างฐานะนั่นเอง
กิ่งฉุดแขนเที่ยงกับโพนให้รีบเดินออกจากบริเวณนั้น
“ไปๆ บอกไม่เชื่อ พาลให้ฉันโดนว่าไปด้วยเลยเนี่ย”
มณฑามองจนแน่ใจว่าทั้งหมดพ้นสายตาไปแล้ว หล่อนจึงหันกลับมาสนทนากับพ่อค้าชาต่อ
“เราพูดถึงไหนกันแล้วนะ”
“คือกระผมอยากจะนำเสนอ ใบชาจากแคว้นเวลส์”
มณฑารับตลับชานั้นขึ้นเพื่อจะสูดดม แต่ในใจยังคงคิดวนเวียนเกี่ยวกับการมาถึงของพวกตะลุง เลยวางตลับนั้นลงอย่างหงุดหงิด
พ่อค้าแปลกใจ “คุณผู้หญิงไม่ชอบกลิ่นนี้หรือขอรับ”
“ฉันไม่รู้...เพราะตอนนี้ฉันได้กลิ่นพวกบ้านนอกวนเวียนไปหมดแล้วเนี่ย”
พ่อค้าสองคนมองหน้ากัน รับรู้ได้ว่า มณฑาไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะคุยเรื่องค้าขายใบชาอีกแล้ว
เที่ยงคับข้องใจกับการพูดการจาของมณฑา จนต้องเอ่ยขึ้น
“คุณผมขอโทษนะขอรับ ที่ทำให้เดือดร้อน”
“อืมๆ ต่อไปฉันทักฉันเตือนอะไร ก็คอยทำตามแล้วกัน”
เดินอยู่ จู่ๆ กิ่ง ก็บอกว่าให้หยุดเดินแล้วพาหลบเข้าข้างทาง เมื่อเห็นคุณหนูมารศรีเดินสวนมาอีกทาง
“พวกเธอหลบๆ เร็วคุณหนูรองเดินมา”
เที่ยง นายโพน รีบหลบทางอย่างว่าง่าย
มารศรีเดินผ่านไปราวกับไม่มีบ่าวสักคนอยู่แถวนั้น แต่แล้วก็มองเห็นเที่ยงที่ก้มหลบสายตาเธออยู่ข้างนายโพน มารศรีรู้สึกสนใจเที่ยงขึ้นมาทันที จนเดินผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังหันกลับมามองเที่ยง ซึ่งกิ่งกำลังพาเดินออกไป
“นี่เธอหยุดก่อน”
กิ่งหยุดกึก ในใจคิดว่าเอาอีกแล้ว กูโดนอีกแล้ว
“ค่ะคุณหนูมารศรี”
“เธอพาใครมา แล้วนี่ไม่มีมารยาทหรือไง ไม่แนะนำให้เค้ารู้จักว่าฉันเป็นใคร”
“อ๋อ ค่ะๆ คุณหนู” กิ่งหันไปบอกเที่ยงกับนายโพน “นี่เธอสองคน นี่คุณหนูมารศรี เป็นคุณหนูรองของบ้านนี้นะ รู้แล้วก็กราบคุณท่านซะ แล้วก็บอกชื่อบอกนามไป”
“สวัสดีครับคุณหนู กระผมโพนครับส่วนนี้ก็หลานชายกระผม ชื่อเที่ยงครับ”
มารศรีพึมพำ “ชื่อเที่ยงนี่เอง”
เที่ยงก้มกราบแล้วเงยหน้ามอง “ขอรับ”
มารศรีมองเที่ยงอย่างสนใจ
“แล้วนี่เที่ยงมาทำอะไรที่นี่”
“กระผมเป็นคณะตะลุง มาตามที่ท่านโสภณว่าจ้างมาขอรับ”
มารศรีพยักหน้า “อ๋อ พวกเธอนี่เอง อืม งั้นก็ไปเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว”
กิ่งรีบฉุดเที่ยงกับนายโพนให้รีบเดินพ้นๆ ออกจากตรงนั้น เพราะกลัวตัวเองจะถูกหวยโดนด่าอีกหรือเปล่า
เที่ยงเดินห่างไปไกลแล้ว มารศรีก็ยังหันกลับมามองตามด้วยความรู้สึกพิเศษในใจ
เที่ยง นายโพน และกิ่งเดินพ้นตัวมาจากมารศรีพอสมควรแล้ว นายโพนจึงได้มีโอกาสถามบางอย่าง
“ท่านโสภณมีแต่ลูกสาวหรือขอรับ”
“ใช่ มีอยู่สามคน”
“มีสามคนดอกรึ คิดว่ามีแค่สองคนซะอีก”
“แล้วคนที่สามเป็นแบบพี่คนโตหรือเปล่าขอรับ แบบรังเกียจพวกบ้านนอกอย่างเรา” เที่ยงถาม
กิ่งหยุดเดิน หันมาสนทนาอย่างคันปาก
“คนที่สามเป็นคนเล็ก เป็นคนละคนกับพี่พี่เลยล่ะ ชื่อคุณหนูมาลี เป็นคนใจดีมากเลยละ”
“เหรอขอรับ ค่อยยังชั่ว” เที่ยงโล่งใจ
“อุ๊ย ว่าแล้วก็เดินมาพอดี”
เที่ยงหันไปมองตามกิ่ง และนั่นทำให้เขาได้เห็นคุณหนูมาลีชัดๆ และยิ่งดีใจเป็นทวีคูณเมื่อพบว่าเธอคือผู้หญิงคนที่ช่วยเขากับอา จากสองฝรั่งนักเลงที่ตลาดนั่นเอง
“อ่ะ พวกเธอ นี่คุณหนูมาลี กราบคุณหนูซะซิ” กิ่งบอก
เที่ยงกราบเสร็จก็เงยหน้าขึ้นบอก “คุณ…คือ…คนที่ช่วยพวกผม”
กิ่งงง “อะ อะไรนะ”
มาลีเพ่งมองชัดๆ จนจำได้ “คุณ คนที่มีเรื่องกับฝรั่งนี่”
“เอ๊ะ เคยเจอกันแล้วเหรอ” กิ่งแปลกใจ
มาลียิ้มให้ “จ้ะ ฉันชื่อมาลี สวัสดีนะ”
“กระผม ชื่อเที่ยงครับ”
เที่ยงมองคุณหนูมาลี แววตาเต็มตื้นด้วยความรู้สึกประทับใจสุดจะประมาณ
อ่านต่อ ตอนที่ 8
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่7 #thaich8 #ละครออนไลน์