เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 6
จรรยาคุยสายอยู่กับเจรมัยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ขณะเดินแกมวิ่งตามเตียงรถเข็นผู้ป่วยที่มีหนูจ๋าอยู่บนนั้นไป มีจิตราวิ่งตามมาไม่ห่าง แต่ก็เหนื่อยจวนเจียนจะวิ่งไม่ไหวทำท่าจะเป็นลมเป็นแล้ง จิรารีบเข้าดูแลทันที
“เจ...เจ...จ๋าไม่ค่อยดี”
จินดาและภาคที่แขนเสื้อเต็มไปด้วยเลือด วิ่งตามไป หนูจ๋ามีเลือดกำเดาเปรอะเลอะที่หน้า อาการไม่สู้ดีเลย จินดากำขอบเตียงรถเข็นแน่น จนพยาบาลต้องเตือนให้ปล่อยมือเมื่อมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน
“คุณแม่ค่ะ ต้องปล่อยมือก่อนนะค่ะ เข้าไปไม่ได้นะค่ะ”
จินดาทรุดตัวลงร้องไห้ มองตามเตียงจ๋าที่หายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
จรรยารีบวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับพี่น้องของเธอ
“เจ ลูกอยู่ที่ไหน”
ที่บ้านตาเทียบ เสียงจิตราบ่นขึ้น
“อะไรนะ เจหายไปมาสองวันนี่จรรยาไม่รู้เลยเหรอ โธ่เอ๊ย”
จิตราเป็นกังวลหนัก หลังจากเพิ่งรู้เรื่องเจรมัย ข้างๆ มีจรรยานั่งคอตกอยู่กับภาคด้วย
“นี่ก็พูดแล้วนะ ว่าเจรมัยอยู่ไกลบ้านมากอาจจะเกิดเรื่องไม่ดี”
“หมายถึงเจ จะอันตรายหรือครับ เพราะอาถรรพ์หนังตะลุงรึเปล่าครับ” ภาคถาม
จรรยาพยักหน้ารับ “ไหนภาคลองโทร.หาน้องอีกซิ”
ภาคโทร.หาเจรมัย แต่ก็กลายเป็นไม่สามารถติดต่อได้ จึงหันมาส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับจรรยา
“แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ภาคถาม
“ไม่มีใครรู้หรอก” จิราว่า
“เจเนี่ยก็เหลือเกิน จะไปจะมาก็ไม่บอกแม่บ้าง”
“เจเค้าคงคิดว่า ถ้าบอกก็คงไม่ได้ไปแน่ๆ น่ะครับ”
แจ่มนั่งปอกผลไม้ใกล้ๆ โต๊ะที่หนูจ๋านั่งทำการบ้านอยู่ ปอกเสร็จสรรพก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ตายจริง ป้าแจ่มลืมเอาน้ำมาให้ เดี๋ยวไปหยิบก่อนนะ นี่ถ้าคิดการบ้านไม่ออก ก็หม่ำผลไม้ไปพลางๆ ก่อนนะคะ”
“จ้า...”
แจ่มลุกออกไปแล้ว เหลือแต่จ๋าอยู่เพียงลำพัง
ลมพัดเอาใบไม้แห้งมาทิ้งหล่นลงดังกราวใหญ่
หนูจ๋านั่งทำการบ้านอยู่โถงเรือนใหญ่ เด็กหญิง ไม่รู้ตัวว่า ผีสร้อยพี เฝ้ามองจากระยะไกล จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินบนเรือนเหนือจุดที่นั่งอยู่ หนูจ๋าแปลกใจกับเสียงนั้น
จ๋าป้าแจ่ม (คนรับใช้) ป้าแจ่มหรือค่ะ จะแกล้งหนูเหรอ
ไม่มีเสียงตอบ จ๋าจึงต้องลุกออกเก้าอี้ไปเดินดู มองไปที่มุมทางเดินก็เห็นหลังป้าแจ่มลับเข้าไปตรงมุม จ๋ารีบเดินตาม
จ๋าเดินมาตรงทางเดินแสงน้อยของบ้าน ..... จ๋าลังเลที่จะเดินตามเข้าไปในที่แรก แต่แล้วเธอก็เลือกที่จะเดินเข้าไปในความมืด เมื่อไปจนสุดท้าย จ๋าเห็นผู้หญิงที่น่าจะเป็นป้าแจ่ม นั่งคู้ตัวอยู่ที่สุดทางเดิน
จ๋าป้าแจ่ม เป็นอะไรคะ
ความกลัวก่อตัวในความคิดของจ๋าเสียแล้ว เธอเอื้อมมือเตรียมที่จะไปจับผู้หญิงที่เธอเข้าใจว่าป้าแจ่ม และนั้น เมื่อเธอคนนั้นหันมา จ๋าก็ได้กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว!!!!!!
มุมหนึ่ง ป้าแจ่มที่กำลังเตรียมน้ำ ตกใจที่ได้ยินเสียงร้องของหนูจ๋า
ป้าแจ่มคุณจ๋า?
อีกมุมหนึ่ง จิตรา จินดา กับจรรยา ก็ได้ยินเช่นกัน ภาครีบออกตัววิ่งออกไปตามเสียง
“เสียงจ๋าหรือเปล่า ผมรีบไปดูก่อนนะครับ”
หนูจ๋าถลาตัวล้มลงกับพื้น พลางถดตัวถอยหลังหนีผู้หญิงในชุดปาเต๊ะ ที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาเธอ ในตอนที่จวนเจียนจะถึงตัวจ๋า
จ๋ามีโอกาสมองเธอที่กำลังเคลื่อนตัวมาหา เห็นเป็นร่างผู้หญิงกึ่งจะเป็นเงา มองใบหน้าไม่ออก เธอคนนั้นเคลื่อนตัวมาจ๋าพร้อมด้วยเสียงร้องสะอื้นไห้ จ๋าถอยไปจนชิดผนังท้ายทางเดินหมดทางที่จะไปต่อแล้ว จ๋ากรีดร้องสุดเสียง
“อร๊าย.....” เงานั้นหายวับไป
จ๋าคิดว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว แต่ในจังหวะที่จ๋ากวาดตามอง เสียงสะอื้นไห้ก็มาดังข้างๆ หูเธออีกทีเมื่อหันไปมอง ผู้หญิงคนนั้นก็มาอยู่ประชิดด้านข้างเธอแล้ว
ภาควิ่งเข้ามาเห็นจ๋านอนหมดสติอยู่ จิตรา จรรยา จินดา และแจ่ม วิ่งตามมาถึง ก็พากันกรูเข้ามาดูแลจ๋า
จินดาตกใจสุดขีด “จ๋า...จ๋า เป็นอะไรลูก”
“อิฉันแค่ไปเอาน้ำมาให้หนูจ๋าครู่เดียวเอง กลับมาก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ” แจ่มบอก
หนูจ๋าพูดด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรง ในสภาพคนใกล้หมดสติ
“จ๋าเห็นผี ผีบอกว่าจะให้พี่เที่ยงกลับมา ใครคือพี่เที่ยงเหรอคะ”
จรรยาประหลาดใจ “ปู่เที่ยงอีกแล้วเหรอ นี่มันอะไรกันเนี่ย”
พูดเท่านั้นแล้วหนูจ๋าก็หมดสติทันที ไม่เท่านั้นเลือดกำเดายังค่อยๆ ไหลออกจากจมูกเป็นสาย
แจ่มร้องลั่น “ตายแล้วๆ เลือดๆ ค่ะคุณผู้หญิง”
จรรยาหันมาหาภาค “ภาคอุ้มน้องไปโรงพยาบาลที ช่วยน้าหน่อยนะ”
จิตราสั่งการ “แจ่มเธอรีบโทรไปหาจิรา เลยนะ บอกว่าจ๋าเกิดเรื่อง”
“ค่ะๆ คุณผู้หญิง”
ภาคอุ้มร่างจ๋าวิ่งออกไป มีจินดาวิ่งติดตามไปไม่ห่าง
หนูจ๋าหายเข้าไปห้องฉุกเฉินเป็นเวลาเนิ่นนาน จินดาเดินไปมาด้วยความคิดที่สับสนอยู่หน้าประตูห้อง จิตราและจิรานั่งดูแลกันและกันอยู่ที่หน้าห้อง
จรรยาเดินเข้าปลอบจินดา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจการเสนอตัวของพี่สาว ซึ่งจรรยาก็เข้าใจในทีท่านั้น
ด้านภาคเช็ดเลือดที่เปรอะมือออกอยู่ตรงอ่างล้างหน้าในห้องน้ำโรงพยาบาล เลือดไหลเป็นทางตามน้ำจากก๊อก ภาคมองดูและคิดว่านี่มันคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย อาถรรพ์หนังตะลุง”
ภาคดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับเหตุการณ์นี้นัก
เจรมัยวิ่งมาตามทางเดิน จนมาพบทุกคนที่หน้าห้องฉุกเฉิน เห็นใบหน้าจินดาเต็มไปด้วยน้ำตา จิตรานั่งพักด้วยความอ่อนล้า มีจิรานั่งอยู่ข้างๆ
จิตราเหลียวมามองเชิงตำหนิและผิดหวังในตัวเจรมัย จนจิราต้องสะกิดเตือนพี่สาว
เจรมัยเดินเอื่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ ทุกคน ถึงไม่เห็นหนูจ๋า แต่เขาก็รู้ว่าน้องอยู่หลังประตูห้องฉุกเฉินนั่นเอง
“แม่พูดเนี่ยเจไม่เคยสนใจเลยใช่มั้ย ต้องให้เกิดเรื่องก่อนแบบนี้ใช่มั้ย”
จรรยาเดินตรงเข้ามาต่อว่าเจรมัย
“แม่...มันอะไรกันครับ ผมไปต่างจังหวัดแล้วมันเกี่ยวอะไรกับ...”
จรรยาเสียงดังใส่ “ยังมาพูดว่าไม่เกี่ยวอีกงั้นเหรอ”
เจรมัยงงใหญ่ “แม่...ก็ผมไม่รู้”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ เชื่อแม่หรือยังว่า...ครอบครัวเรา...เหมือนถูกสาป”
สีหน้าจรรยาหวาดหวั่นเหลือแสนในการจะพูดคำว่า “คำสาป” ออกไป เธอหยุดพูดลงราวกับกำลังยอมจำนนกับบางสิ่งนั้น เจรมัยรู้สึกสงสารแม่เหลือเกิน
“ผมขอโทษครับแม่”
เจรมัยกอดปลอบแม่ที่กำลังร้องไห้แทนคำขอโทษ ภาคเดินเข้ามาสมทบในตอนท้าย
สองคนมาหยุดคุยกันอยู่ตรงมุมปลอดคน เจรมัยทรุดอยู่กับพื้นทบทวนเรื่องต่างๆ ในชีวิต ภาคเอาน้ำส่งแบ่งให้
“นี่ดูเหมือนว่า เจ จะหมดสิทธิ์มีชีวิตในแบบของตัวเองเลยนะพี่ว่า แค่อยู่ห่างบ้านคุณตาแค่สามสี่วัน ก็ยังเกิดเรื่อง”
“ไม่ใช่อยู่ห่างบ้านคุณตาหรอกครับ แต่ต้องพูดว่าอยู่ห่างตัวตะลุงถึงจะถูก”
“ตัวตะลุง” ภาคทวนคำงงๆ
เจรมัยยกน้ำขึ้นดื่ม แล้วก็เหม่อมองไปสุดสายตา ภาคมองดูแล้วเข้าใจถึงภาวะของเจรมัย
“ตอนแรกก็เงาแปลกๆ ต่อมาก็ไฟล์งานทั้งภาพทั้งเสียงของเจ เสียหายอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนี้ก็จะไปไหนมาไหนนานก็ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีก”
“พี่อยากจะพูดอะไรหรือเปล่า”
“ก็...เจเคยคิดถึงอนาคตมั้ย ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แล้วมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน”
เจรมัยเองก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน จึงได้แต่นิ่งเงียบ ภาคเริ่มเป็นห่วงความรู้สึกเขา จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“เฮ้ย ยังไม่ต้องคิดมากนะ แล้วคิดยังไงปุ๊บปั๊บไปต่างจังหวัด”
“ก็มันมีบางอย่างคาใจ เลยต้องออกไปหาความจริงซะหน่อยน่ะครับ”
“แล้วหายคาใจมั้ยล่ะ”
“ก็ประมาณนึงครับ”
“อ่ะ แล้วคืนนี้เอาไง จะนอนที่นี่มั้ย”
“ครับ ผมตั้งใจจะเฝ้าจ๋าที่นี่”
“อืม งั้นเดี๋ยวพี่จะแวะไปดูบ้านให้แล้วกัน ตะกี้ออกกันมาปุบปับ ไม่รู้ลืมอะไรไว้ที่ไหนหรือเปล่า”
“ขอบคุณมากพี่ เดี๋ยวผมหยิบกุญแจบ้านให้”
ในตอนที่เจรมัยกำลังหยิบกุญแจบ้าน บังเอิญหยิบเหรียญมงคลที่ได้มาจากนครฯ ติดมือออกมาด้วย ภาคมองสงสัย
“นั่นเหรียญพระเหรอ ได้มาจากไหน”
“ได้มาจากพี่คนหนึ่งที่นครฯ พี่ชอบเหรอ”
“ก็ดูแปลกตาดี”
เจรมัยยื่นกุญแจบ้านกับเหรียญให้ภาคไปพร้อมกัน
“งั้นผมยกให้พี่ อยู่กับผมพาลจะทำหายซะมากกว่า” เขาบอก
“เอางั้นเหรอ ได้ๆ ขอบใจนะ”
ภาคเก็บเหรียญลงกระเป๋าเสื้อ ส่วนกุญแจเก็บใส่กระเป๋ากางเกง
แจ่มเดินผ่านห้องชัดที่ตอนนี้ปิดสนิทอยู่ในภาวะความเงียบงัน แจ่มพยายามเดินเร็วที่สุดเผื่อจะผ่านห้องนี้ไป
ในทันที แจ่มก็ชนเข้ากับมน คนรับใช้อีกคนที่เดินผ่านมาเพราะไม่ทันระวังตัว
“ว้ายๆ”
“ว้าย ยายมน แกๆ ทำฉันตกใจหมด”
“แกนั่นแหละ ทำฉันตกใจ คนยิ่งระแวงๆ อยู่ ว่าผีที่เล่นงานนายชัด อาจจะยังวนเวียนอยู่ในห้องก็ได้”
“โหย ไม่มีอยู่หละฉันว่า ตอนนี้ก็ขึ้นไปเรือนแล้ว”
“แกรู้ได้ไง”
“ก็วันนี้คุณหนูจ๋าโดนเข้าแล้วไง อยู่ตรงนี้แหละปลอดภัย ดึกดื่นอย่าได้ขึ้นไปบนเรือนดีกว่า”
“เหรอแก เอ่อ แต่ฉันว่ายังไงเราสองคนก็ไม่ควรมายืนคุยตรงหน้าห้องนี้หรือเปล่าวะ”
ทันใดนั้นเอง ก็มีมือใครบางคนยื่นมาจับบ่าแจ่มหมับ
สองป้ากรี๊ดลั่นกอดกันกลม
“ว้าย ผีหลอก”
ภาคแสดงตัวออกมา “ผีที่ไหน ผมเอง ภาค ผมแวะมาดูบ้านให้เจรมัยน่ะครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ยครับ”
“เรียบร้อยดีจ้ะ คุณภาค แหมเล่นมาเงียบๆ งี้ ป้าหัวใจวายได้นะคะคุณ” มนว่า
“นี่ผมว่าจะไปดูบนเรือนหน่อย ป้าไปกับผมมั้ย”
มนทำหน้าสยอง “ฮึ้ย ไม่ไป หรอกค่ะ คุณภาคไม่ต้องไปดูหรอก บนเรือนปิดเรียบร้อยตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะคุณ”
แจ่มก็ด้วย “ใช่ค่ะคุณภาค”
ภาคทำหน้าล้อ “กลัวผีกันใช่มั้ยเนี่ย”
มนกะแจ่มพยักหน้าพร้อมกันหงึกๆ คอแทบหัก ภาคเห็นก็ขำ เลยปล่อยเลยตามเลยเดินเข้าคนเดียว
“งั้นผมขอเข้าไปคนเดียวแล้วกันครับ”
“คุณภา...ค” แจ่มตกใจ
ภาคเดินตรงไปยังเรือนใหญ่โดยไม่ได้บรรยากาศวังเวงใดๆ ด้วยเป็นเป็นคนไม่เชื่อว่าผีมีจริง
เขาก้าวขึ้นบันไดเรือนไปอย่างมั่นคง เดินมาตามทางเดินมองดูรอบๆ คล้ายมีใครบางคนมองเขา แต่ก็ไม่เห็นตัว ภาคขยับเข้าไปถึงหน้าห้องตาเทียบ ที่หน้าประตูล็อคเอาไว้แน่นหนา ด้วยความอยากรู้ภาคเอาตาแนบมองผ่านช่องตรงประตูเข้าไป
ขณะที่ภาคสอดสายตาสำรวจภายในห้องอยู่นั้นเอง ผีสร้อยพีก็ปรากฏตัวของหลังเค้า และกำลังเคลื่อนเค้าหาเค้าอย่างช้าๆ มีเสียงแกร็กดังจากด้านหลัง ภาคหันกลับมามองก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ เขาหันไปมองลอดช่องร่องรูอีกหน ผีสร้อยพีปรากฏตัวที่ด้านหลังอีกครั้ง ใกล้เขามากขึ้นๆ
เสียงแจ่มดังขึ้น “คุณภาค”
ภาคตกใจกับเสียงเรียก หันมาเห็นสองป้ามนกะแจ่ม จูงมือกันถือไฟฉายขึ้นเรือนมา
“โอย ป้าทำเอาผม...เฮ้อ ตกใจแทบแย่”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะคุณ คือเราสองคนอดเป็นห่วงคุณไม่ได้ค่ะ” แจ่มว่า
มนถามขึ้น “แล้วคุณภาค เจออะไร มั้ยคะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ อืม ห้องนี่ล็อคแต่แรกอยู่แล้วเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ป้าล็อคเอง ตอนที่คุณผู้หญิงพาคุณหนูจ๋าไปโรงพยาบาลน่ะค่ะ” แจ่มบอก
“ล็อคไว้อะไรๆ จะได้ไม่ต้องออกมา” มนบอก
แจ่มกระทุ้งเพื่อน “คงจะกันได้หรอกแก”
มนยิ้มเขินๆ เห็นด้วยกับเพื่อน
ภาคหันกลับไปมองที่ประตูอีกที
“ดีแล้วครับ งั้นผมกลับเลยดีกว่า”
“ดีเลยค่ะ คุณ พรุ่งนี้กลางวันๆ ค่อยมาใหม่ดีกว่าเนอะ” มนว่า
ภาคแกล้งสองป้าเล่นอีก “อะไรนะ ให้เข้าไปไวๆ”
“โหย คุณภาค ทำเป็นเล่นไปได้” มนค้อนควัก
“ป้ารู้มั้ย” ภาคเอ่ยขึ้น
แจ่มหน้าตาเหลอหลา “อ่ะอะไรเหรอคะ”
“ผีมันชอบหลอกคนที่กลัวมัน ป้ารู้มั้ย” ภาคว่า
แจ่ม กะ มนค้อนขวับ “คุณภาค พูดไปเรื่อย เดี๋ยว เค้าก็ไม่พอใจหร๊อก”
ภาคยิ้มขำท่าทางลุกลนของสองป้า
ระหว่างที่ลงเรือนไปนั้น ก็ได้ยินเสียงดนตรีตะลุงแว่วมาไกลๆ ภาคได้ยินแต่ก็ไม่แน่ใจนัก
โดยไม่มีใครรู้ ผีสร้อยผียืนมองทุกคนอยู่ในมุมมืดจากในห้องตาเทียบ
อีกฟาก หนูจ๋านอนหลับสนิทอยู่บนเตียงผู้ป่วย พยาบาลตรวจวัดไข้และลงบันทึกในประวัติ
“ความดันปกติแล้วนะคะ ให้นอนพักมากๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอน่าจะให้กลับบ้านได้แล้วค่ะ”
เจรมัยมองดูจรรยา จิตรา จินดาที่พากันโล่งอก โดยเฉพาะจินดาเริ่มยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
“ดีแล้วเนอะจินดา เดี๋ยวหนูจ๋าก็จะได้กลับบ้านแล้ว” จิรายิ้มบอก
“จ้ะพี่”
“งั้นเดี๋ยวคืนนี้ พี่จะพาพี่จิตราไปพักที่คอนโดพี่ก็แล้วกัน แล้วไงตอนเช้าเจอกันตอนจ๋าออกจากโรงพยาบาลแล้วกันเนอะ”
“ได้พี่ กลับไปพักเถอะค่ะ โทษทีนะคะที่ทำให้ทุกคนวุ่นวาย” จินดาว่า
“ไม่เอาจินดา พวกเราพี่น้องกันก็ต้องช่วยกันซิ อะนี่ก็ดึกแล้ว พักๆ กันได้แล้วนะพวกเธอ พรุ่งนี้เจอกัน” จิตราบอก
“ไปก่อนนะพี่จรรยา”
จิราโบกมือให้จรรยากับเจรมัย ก่อนที่จะออกจากห้องไปพร้อมกับจิตรา
“สวัสดีครับ”
จรรยาเดินไปหาเจรมัยที่นั่งมองจ๋าอย่างใกล้ชิด จรรยาจับบ่าลูกชายเบาๆ
“ตกลงคืนนี้จะค้างที่นี่จริงๆ ใช่มั้ยลูก”
“ครับ”
เจรมัยลูบไรผมของจ๋าให้เข้าที่เรียบร้อย
“พี่ขอโทษนะจ๋า พี่จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก พี่สัญญา”
จรรยามองดูลูกชายอยู่ห่างๆ และคนอื่นๆ ก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของเขา
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นปุ๊บ เดี๋ยวลูกพี่จะพาลูกน้องไปเที่ยวให้สุดเหวี่ยงเลย”
เช้าวันใหม่ เจรมัยเดินมากับจรรยาพร้อมกับขนมสองสามถุงทั้งคู่ยิ้มแย้ม มีความสุข
“นี่ถ้าจ๋าตื่นมาเจอบราวนี่ เจ้านี้ละก็ต้องถูกใจแน่ๆ” จรรยาว่า
“เหรอครับแม่ งี้ขนมของผมก็มีแววจะตกกระป๋องน่ะซิครับ”
“ก็มีโอกาสอยู่นะ”
“แม่โกงนะเนี่ย รู้อินไซด์แล้วไม่ยอมบอกผม”
จรรยาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เจรมัยยิ้มไปด้วย
บริเวณปลายทางเดินเป็นห้องพักของหนูจ๋า มีพยาบาลสองคนเข็นอุปกรณ์เข้าห้องไปอย่างร้อนรน เจรมัยและจรรยาร้อนใจกว่ารีบติดตามไปดู
มองผ่านประตูเข้าไป เห็นจินดายืนสับสนอยู่ที่ปลายเตียง มีหมอและพยาบาล ช่วยกันตรวจวัดความดัน กับอุณหภูมิร่างกายของหนูจ๋าที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง จรรยาดิ่งเข้าไปหาน้องสาว
“มีอะไรเหรอ จ๋าเป็นอะไร”
“ไม่รู้เลยพี่ ตั้งแต่เช้าจ๋าไม่ยอมตื่นเลย”
จรรยาตกใจมาก “อะไรนะ”
“ลองเขย่าตัวก็ไม่ตื่น จนต้องเรียกหมอเข้ามาดู” จินดาบอก
เจรมัยมองดูหมอพยาบาลที่กำลังตรวจอาการหนูจ๋า แต่ไม่มีทีท่าจ๋าจะรู้สึกตัวอะไรเลย
“นี่มันอะไรกันอีกเนี่ย”
เวลาผ่านไป หมอยืนคุยกับจินดา จรรยาและเจรมัย
“ทั้งความดัน ทั้งชีพจร อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนสาเหตุที่จ๋ายังไม่ตื่น หมอเองก็ยังไม่รู้สาเหตุ”
“แล้วแบบนี้หมอจะทำไงต่อครับ”
“หมอจะต้องขออนุญาตคุณแม่ พาน้องจ๋าไปสแกนสมองก่อนที่จะวินิจฉัยเพิ่มเติมครับ”
เจรมัยมองร่างแบบบางของหนูจ๋าที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง เหมือนว่าหลับสนิทอยู่
“น้องจ๋า อยู่ในภาวะ Vegetative state ก็สภาวะเจ้าหญิงนิทราระยะแรก” หมอแจ้งอาการผู้ป่วย
จินดาร้องไห้โฮ ด้วยความวิตกในอาการป่วยหนักของลูกสาว
“แล้วจะหายมั้ยคะ หมอต้องช่วยลูกจ๋านะคะ”
จรรยาขยับตัวเข้าไปโอบน้องสาวไว้ เจรมัยอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องตรงหน้าเป็นความผิดของเขานั่นเอง
“เป็นไปได้ว่าอาจจะ วันสองวัน หรือบางเคสก็อาจจะนานกว่านั้นครับ” หมอบอก
“คุณหมอคะ ฉันจะต้องทำยังไงคะ จ๋าจะได้ตื่น” จินดาถามเสียงสั่น
“ขอหมอรอผลทีซีสแกนสมองก่อนนะครับ แล้วจะวินิฉัยได้แม่นยำกว่าตอนนี้ ขอคุณแม่อดทนรอก่อนนะครับ หมอจะพยายามให้คำตอบให้เร็วที่สุดนะครับหมอขอตัวก่อนนะครับ”
หมอกับพยาบาลเดินแยกไปแล้ว จินดามองดูเจรมัยมันสายตาที่ไม่ได้มีความไม่พอใจ แต่เธอมองเค้าเพื่อหาคำตอบจากเค้าหรือจากใครก็ได้ ที่จะช่วยลูกสาวเธอ ในภาวะมืดแปดด้านแบบนี้
หนูจ๋ายังคงหลับอยู่บนเตียง ขณะจรรยากดโทรศัพท์หาจิรา
“ฮัลโหลจิรา”
เกิดสองเหตุการณ์จากสองสถานที่สอดรับการกระทำของอีกฝ่าย
จิรากับจิตรา เดินตรงมาที่หน้าห้องตาเทียบ โดยมีมนกับแจ่มเดินถือขันน้ำมนต์ตามหลังมา
“นี่พี่จิตรา พอพี่จรรยาโทร.มาว่าหนูจ๋ายังไม่ตื่น น้องก็ไปหาน้ำมนต์เลย”
“มันจะถูกต้องเหรอ” จิตราทักท้วง
“ก็ไม่รู้ซิ บางที่อาจจะช่วยปัดเป่า แบบให้หนักเป็นเบาได้นะพี่”
มนกะแจ่มเดินตัวเบียดกันตามจิราเข้าไปในห้องพร้อมขันน้ำมนต์ จิราจุ่มน้ำมนต์สะบัดพรมไปบนตัวตะลุง
“พี่ว่าไม่ได้ผลหรอก ถ้าทำได้แบบนี้ พ่อของเราคงทำไปนานแล้ว” จิตราว่า แต่ไม่กี่อึดใจก็คว้าตอกน้ำมนต์จากน้องสาวมาจุ่มน้ำศักดิ์สิทธ์จากขันมาพรมใส่ไปทั่วห้อง
หยดน้ำมนต์ไหลเป็นทางตามผนังห้อง ทุกอย่างดูเป็นปกติ
ที่โรงพยาบาลจินดานั่งกุมมือหนูจ๋าไว้แน่น พอเงยหน้ามองลูกก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นเลือดไหลเป็นทางออกจากปากลูก
ที่บ้านตาเทียบ จิตราสะบัดตอกน้ำมนต์พรมอีกหน
ส่วนในห้องพักฟื้นผู้ป่วย หนูจ๋ากระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง จินดาใจจะขาดรอนๆ ร้องเรียกพยาบาลให้วุ่น จรรยารีบโทร.หาจิตราที่บ้าน
จิรารับสาย แล้วรีบร้องห้ามพี่สาว จิตราได้ยินเสียงร้องห้าม และได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับอาการหนูจ๋าถึงกับมือไม้อ่อน ตอกน้ำมนต์ร่วงหลุดมือ มนเองก็ทิ้งขันน้ำมนต์ตกลงพื้นเช่นกัน
ตัวตะลุงยังติดนิ่งอยู่ที่เดิม
ที่โรงพยาบาล เจรมัยวิ่งไปเปิดประตูให้พยาบาลแล้วพุ่งตัวมาหาจ๋า จินดาใจเสียสงสารลูกและควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ถึงกับร้องไห้โฮออกมา ร่างหนูจ๋าบนเตียงถูกเข็นออกจากห้องไปยังห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
ฝ่ายมัลลิกานั่งพักอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศสำนักพิมพ์ของเจนจิรา ในหัววนเวียนอยู่แต่เรื่องที่ไปต่างจังหวัดกับเจรมัย
บนโต๊ะเห็นเป็นแจ็กเก็ตของเจรมัยที่คลุมให้เธอคืนก่อน ข้างๆ เป็นเหรียญมงคลที่ได้มาจากนครฯ ดึงออกมาดูก็ทำให้คิดถึงเรื่องตลกๆ ในคืนนั้น
ซักครู่หนึ่งเจนจิราก็เดินเข้ามาด้วยความกังวลบางอย่าง มัลลิการีบยัดเสื้อลงถุง แล้วลุกเดินไปหาเจนจิรา
“พี่เจน วันนี้พี่จะเจอเจมั้ยคะ คือมะลิอยากจะฝา...ก”
มัลลิกาเพิ่งจะสังเกตเห็นความกังวลบนสีหน้าเจนจิรา
“ว่าไงนะ”
“พี่เป็นไรหรือเปล่า สีหน้าพี่ไม่ค่อยดีเลย”
“อืม...ก็หนูจ๋าน่ะซิ ตอนแรกก็คิดว่าวันนี้หมอจะให้กลับบ้านแต่เมื่อเช้า จ๋ากลับไม่ยอมตื่น จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้สติเลย”
มัลลิกาพลอยใจเสียไปด้วย “ทำไมเป็นแบบนั้นไปได้ หมอเค้าว่ายังไงบ้าค่ะ”
“หมอบอกว่าต้องรอผลแสกนสมองก่อนถึงจะวินิจฉัยอีกที เอ่อ มะลิ เดี๋ยวอีกซักชั่วโมงพี่ว่าจะออกไปเยี่ยมจ๋า โทษทีนะที่ต้องกลับก่อน”
“พี่เจนคะ คือ มะลิขอไปเยี่ยมจ๋าด้วยคนซิคะ”
ที่กองละครช่อง 8 แคทลียาส่งเสื้อคืนฝ่ายเสื้อผ้า แล้วก็รีบเช็คข้าวของตัวเอง แล้วก็เดินแยกออกมาตรงทางเดินไร้ผู้คน และนั่นเอง มีใครบ้างคน เฝ้ามองเธอจากระยะไกล
แคทลียารีบเดินจ้ำเร็วขึ้นๆ แต่ในที่สุดใครคนนั้นก็มาประชิดตัวเธอแล้ว ไม่ใช่ใครคือ บอย เมคอัพขาเมาท์คนเดิม
“น้องแคท”
“โหย เล่นไรเนี่ยพี่บอย”
“ก็พี่มีอะไรจะบอก”
“อยู่กันทั้งวันละไม่บอก พอจะกลับบ้านดันจะอยากมาบอกอะ เรื่องไรว่ามาเลยขอให้อย่าให้น้องผิดหวังล่ะ”
“ไม่ผิดหวังหรอก ที่พี่ไม่เล่าให้ฟังในกองก็กลัวคนอื่นจะได้ยินน่ะ”
แคทลียาหมั่นไส้ “แล้วมันอะไรเนี่ย อย่าลีลา”
“น้องแคทจำนักข่าวที่น้องแคท บอกที่อยู่ของพี่เจไปได้มั้ย”
“เอ่อ จำได้ เนี่ยแคทเองก็อยากจะเจอตัวอยู่เหมือนกัน รับปากจะเขียนเชียร์แคท แลกกับบอกที่อยู่พี่เจ จนป่านนี้ไม่เห็นมีข่าวชงเชียร์อะไรเลย ผิดหวังที่สุด”
“เค้าจะเขียนเชียร์น้องได้ไงละ เพราะพี่เค้าตายแล้ว”
แคทลียาไม่อยากเชื่อ “เฮ้ย พูดบ้าๆ พี่”
“เค้าตายแบบปริศนาด้วยนะ เค้าว่ากันว่า ตานักข่าวนั้นไปขโมยของจากบ้านพี่เจ แล้วผีในของนั้น เล่นงานตานักข่าวนั้นจนตายเลย”
แคทลียาสะดุ้ง “ของอะไรพี่รู้มั้ย”
“อ้าว นี่น้องก็ไม่รู้เหรอ เห็นว่าเป็นแฟนกันคิดว่าจะรู้ซะอีก”
แคทลียาแถ “แหมพี่ เอ่อ...คือของบ้านเจ ไม่ได้มีชิ้นสองชิ้นนะ ใครจะไปรู้ล่ะ”
“จริงด้วย พี่นี่ก็ไม่น่าถาม แล้วพีคอยู่ตรงนี้ คือลุงคนใช้ในบ้านเจ ที่รวมหัวกันขโมยของกับตานักข่าว ตอนนี้ก็โดนเล่นงานตายอีกคนด้วย”
“แล้ว...แล้ว พี่เจเป็นไงบ้าง พี่พอจะรู้ข่าวพี่เจมั้ย” แคทลียาปล่อยไก่อีกตัว
“คือ ถ้าน้องไม่รู้ก็คงไม่มีใครรู้แล้วละ ที่พี่มาเล่าก็อยากจะรู้เหมือนกัน”
“แย่ละ สองสามวันนี้โทร.ติดต่อพี่เจไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ไม่ได้การ ต้องรู้ให้ได้ว่าตอนนี้พี่เจอยู่ไหน”
แคทลียาเอาสีข้างแถไปอีกหน
ด้านเจรมัยและคนอื่นๆ ต่างเป็นห่วงหนูจ๋าที่เวลานี้อยู่ภายในห้องฉุกเฉิน
“มันทำใจเชื่อยาก แต่ตัวผมเองก็หาเหตุผลอื่นมาลบล้างเรื่องนี้ไม่ได้เลย” เจรมัยปรารภขึ้นกับผู้เป็นมารดา
“มันคงเป็นคำสาปที่คนรุ่นก่อน ทำไว้”
“คงจะเป็นรุ่นของทวดเที่ยง ผมว่า”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาจริงๆ ปู่ทอง กับพ่อของแม่ ก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังซักเท่าไหร่”
“มันจะมีอะไรมั้ยแม่ ที่จะมาช่วยไขปริศนานี้”
แม่ลูกมองหน้ากันด้วยสีหน้าเป็นทุกข์กันทั้งคู่
อีกฟากหนึ่ง มือใครบางคนถือกระเป๋าบรรจุขลุ่ย อีกมือถือไม้เท้าคนตาบอด ปัดแกว่งไปตามทางเดิน เขาคือชายชราตาบอด คนที่หลวงเคยพูดถึงที่บ้านยางนอน จนเห็นมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานของโรงพยาบาล เดินเข้ามาต้อนรับทักทายและช่วยถือของให้
“สวัสดีครับลุงพัฒน์ มาตรงเวลาเหมือนเดิม ได้ข่าวไปต่างจังหวัดมาสนุกมั้ยครับ
“ก็ดีครับคุณ”
“มาๆ ผมช่วยถือ แล้วได้ไปเจอคนที่ตามหาหรือเปล่าครับ”
“ไม่เจอใครเลยซักคน แล้วนี่สมาชิกคนอื่นมาถึงหมดแล้วหรือยังครับ”
“ครับ มากันเกือบหมดแล้วครับ”
“งั้นก็ขึ้นเล่นเลยเนอะ วันนี้ฟังดูเหมือนโรงพยาบาลคนจะเยอะเหมือนกันนะ”
บนเวทีวงดนตรีจิตอาสาเริ่มบรรเลงเพลง ลุงพัฒน์เล่นเพลงขลุ่ยประสมเครื่องดนตรีแดนใต้อย่างเพราะพริ้ง สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้ชม ผู้ฟัง ทั้งผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และผู้มาติดต่อโรงพยาบาล
ขณะที่เล่นดนตรีอยู่นั้นเอง จู่ๆ ลุงพัฒน์ก็เห็นภาพนิมิตขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำเอาแกเล่นต่อไม่ได้สมาชิกในวงก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครสังเกตเลยว่าที่นิมิตบังเกิดก็เป็นเพราะ เจรมัยเดินผ่านเข้ามาใกล้บริเวณนี้ ลุงพัฒน์พยายามหันหน้าฟังเสียง เพื่อจะได้คำตอบว่า ใครกันทำให้แกเกิดนิมิต จนเจ้าหน้าที่เห็นเร่งรุดเข้ามาดูแลใกล้ๆ อย่างเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างลุง เวียนหัวเหรอครับ”
“ลุง...ลุง รู้สึกไม่ค่อยดี”
“งั้นหรือครับ”
จังหวะที่เจรมัยหันกลับมา แต่เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นลุงอยู่ดี ส่วนลุงพัฒน์เองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเจรมัยอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
ทันใดนั้น ลุงพัฒน์ก็ลุกขึ้นทันทีทันใด ปัดป่ายไม้เท้าไปตามทางด้วยหวังว่าจะเจอคนที่แกรู้สึกไม่ค่อยดี และสังหรณ์ใจแปลกๆ
เจรมัยเดินไปที่เคาน์เตอร์ตรงบริเวณโถงเพื่อชำระเงิน
“ผมมาถามยอดค่าใช้จ่าย ห้อง A1079”
แคชเชียร์พยักหน้ารับ “อืม...” แล้วคีย์ข้อมูลค้นหาในคอมพ์ตรงหน้า
ลุงพัฒน์เดินเข้าใกล้เจรมัยมากขึ้น
“อืม เอกสารยังไม่ได้ถูกส่งมาค่ะ ยังไงช่วงบ่ายรบกวนลูกค้ากลับมาอีกทีนะคะ”
“ได้ครับ”
เจรมัยเดินออกไป ซึ่งเป็นตอนที่ลุงพัฒน์เดินมาถึงพอดี ทั้งสองคนคลาดกันอย่างน่าเสียดาย
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ดิ่งมาทัน จับตัวลุงพัฒน์ไว้
“ลุง...ลุงตามใครอยู่เนี่ย”
“ลุงตามคนที่ลุงตามหาเค้ามานาน คนที่อยู่ในฝันร้ายของลุง”
“คนไหนล่ะลุง คนเต็มไปหมดเลย”
เจ้าหน้าที่กวาดตามองหาคนที่ลุงพัฒน์ว่า ในท่ามกลางผู้คนมากมาย ดูไม่ออกว่าคนไหนเป็นคนไหน
“ผมดูไม่ออกเลยว่าคนไหนอ่ะลุง เอางี้ๆ ผมพาลุงไปพักก่อนน่าจะดีกว่า เดี๋ยวจะไปหกล้มหกลุก เจ็บตัวเสียเปล่าๆ”
ลุงพัฒน์ขยับตามแรงพยุงของเจ้าหน้าที่ไป แต่ยังไม่วายพยายามมองหาคนที่พูดถึงอยู่ดี
มองจากระยะไกล เห็นมัลลิกาเดินเข้าโรงพยาบาลมาในจังหวะนี้ โดยที่สองคนไม่เห็นกัน
มัลลิกาเดินหิ้วถุงแจ็กเก็ตมาถึงหน้าลิฟต์พร้อมกับเจนจิรา จู่ๆ เจนจิราก็หยุด ไม่ยอมเข้าลิฟต์
“แย่จัง พี่ลืมมือถือไว้ในรถ มะลิขึ้นไปชั้นแปดก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”
พร้อมกับว่าเจนจิราก็เดินกลับไปยังลานจอดรถเลย ทิ้งให้มัลลิกาเดินเข้าไปในลิฟต์งงๆ ก่อนที่ลิฟต์จะปิด ก็มีผู้หญิงแต่งตัวเท่ถือดอกไม้ช่อโตบังหน้าแทบมิดเดินเข้าในลิฟต์ มัลลิกาถามจะกดลิฟต์ให้
“ชั้นไรคะ”
หญิงคนที่หอบช่อดอกไม้เข้ามา ขยับดอกไม้ออกนิดๆ เพื่อคุยกับมัลลกิกา ซึ่งเผยให้เห็นว่าเธอคนนั้นก็คือแคทลียานั่นเอง
“ชั้นแปด” แคทลียามองเลขที่ชั้น “อุ๊ย ชั้นเดียวกันเลย ขอบคุณค่ะ”
มัลลิกาลอบมองการ์ดในช่อดอกไม้ มันเขียนไว้ว่า “ขอเป็นกำลังใจให้พี่เจรมัย และ ครอบครัว” แคทลียารู้ตัวว่าถูกมองเลยเล่าอย่างภูมิใจ
“อ๋อ ดอกไม้เอามาให้เจรมัยกับจ๋าน้องสาวของเค้าน่ะค่ะ พี่เจที่เป็นนักร้องท๊อปโหวตอันดับหนึ่งปีนี้ รู้จักมั้ยคะ”
“ก็รู้จักอยู่ค่ะ งั้นคุณก็คือ คลอ...คลอ เอ๊ย แคทลียาใช่มั้ยคะ”
“ใช่เลยค่ะ แคทเอง คือคุณรู้จักแคทจากผลงานแสดงใช่มั้ยคะ”
“จริงๆ ก็ไม่ค่อยได้ดูทีวีเท่าไหร่ แต่ที่รู้จักเพราะข่าวเรื่องที่คุณเป็นแฟนกับเจรมัยมากกว่า”
“อุ๊ย งั้นเหรอคะ นักข่าวก็เขียนไปเนอะ” แคทลียายิ้มเขินๆ
“แล้วสรุปเป็นแฟนกันตามข่าวใช่มั้ยคะ”
“แหม ตอบยากจัง แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวถ้าอะไรๆ มันชัดเจน รับรองเปิดแถลงข่าวแน่นอนค่ะ”
“ดีค่ะ อืม คุณแคทคะ ฉันรบกวนฝากถุงนี้ให้เจด้วยนะคะ” มัลลิกายื่นถุงแจ๊กเก็ตให้
“อ้าว นี่รู้จักกับพี่เจ แล้วก็ไม่บอก ปล่อยให้แคทปล่อยไก่อยู่นานเลย” แคทลียารับถุงมา “ได้ค่ะๆ เดี๋ยวเจอเจจะส่งให้นะคะ”
ลิฟต์เปิดออกพอดี แคทลียาเดินออกไปเลย มัลลิกากดลิฟต์ลงซึ่งทำให้เธอคลาดกับการที่จะเจอเจรมัย นักข่าวสาวสับสนในใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากที่เจอแคทลียา มันทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเจรมัยห่างออกไปอีกหน มัลลิกาหัวเราะเยาะตัวเองที่แอบเผลอคิดไปไกลกับผู้ชายที่มีแฟนแล้ว
ลิฟต์เปิดที่ชั้น1 มัลลิกาก้าวออกมาสวนกับเจนจิราพอดี
“อ้าวมะลิ ไปไหน”
“คือ มะลินึกขึ้นมาได้ว่ามีนัดกับภวัตน่ะพี่ ลืมสนิทเลย มะลิไปก่อนนะพี่”
“อ้าว แล้วนี่เจอเจรึยังเนี่ย”
มัลลิกาตัดบทแล้วรีบเดินหนีไปดื้อๆ ทิ้งเจนจิราไว้กับความงุนงง ว่านัดอะไรปุบปับเบอร์นี้
ด้านแคทลียาเดินหอบช่อดอกไม้ พร้อมกับหิ้วถุงเสื้อที่มัลลิกาฝากมาให้ เดินมาตามโถงทางเดิน พอเห็นเจรมัยเบื้องหน้า ก็วางถุงไว้ตรงที่นั่ง เพื่อจะได้เดินถนัดๆ แล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปหาเจรมัย
“เจคะ”
“อ้าวแคท คุณเอง มาได้ยังไงครับ”
“แคทก็เอาดอกไม้มาเป็นกำลังใจน้องจ๋าน้องของเจนะ ซิคะ”
“ขอบคุณมากครับแคท แล้วนี่รู้ได้ไงว่าพี่อยู่ที่นี่”
“นี่แคทนะคะ”
“อ้อ ลืมไป”
“เอ่อเจ เมื่อกี้มีแฟนคลับละมั้ง เอาของมาฝากเจด้วย แต่ดูเค้ารีบๆ ไงไม่รู้ เลยฝากของมากับแคท เพราะรู้ว่าแคทจะมาหาเจเหมือนกัน”
แคทลียาเดินไปหยิบถุงแจ๊คเก็ตมาส่งให้ เจรมัยรับมางงๆ
“ผมเนี่ยนะมีแฟนคลับ เข้าใจผิดละมั้ง”
พอเจรมัยดึงแจ๊คเก็ตออกมาก็จำได้ว่าเป็นเสื้อของตน และมั่นใจว่าแฟนคลับที่แคทลียาบอก ต้องเป็นมัลลิกาแน่ๆ เขาเหลียวมองหาเธอทันที
“แล้ว คนที่ฝากมาอยู่ไหนแล้วล่ะแคท”
“แยกกันนานแล้วค่ะ ป่านนี้ไปไกลแล้วมั้ง เอ๊ะ เจ นี่มันเสื้อเจนี่ ทำไมเสื้อเจ ถึงไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นหละ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ”
เจนจิราเดินผ่านมาสมทบพอดี
“โวยวายอะไรกันจ๊ะ เสียงดังเชียว”
แคทลียายกมือไหว้ “อ้อ สวัสดีค่ะพี่”
“สวัสดี นี่คุณแคท มาเยี่ยมจ๋าเหมือนกันเหรอ”
“ค่ะ แหมก็ต้องมาซิคะพี่ น้องเจทั้งคน ไงแคทก็ต้องมา”
เจนจิรายิ้มให้ “ขอบใจนะ อ้าว นี่เจอกับมะลิแล้วเหรอ”
เจนจิราถามออกไปเมื่อเห็นว่าเสื้อแจ๊คเก็ตอยู่ในมือเจรมัยแล้ว
แคทลียาสงสัย “มะลิ”
“ไม่ได้เจอกันครับพี่เจน เค้าฝากของมากับแคทน่ะพี่”
“อ๋อ งี้นี่เอง ก็ว่าอยู่ ตะกี้สวนกับพี่ที่ลิฟต์บอกว่าลืมไปว่ามีนัดที่ออฟฟิศพี่ เลยต้องรีบกลับ”
แคทลียานึกสงสัย เลียบๆ เคียงๆ ถาม “มะลินี่ ทำงานที่เดียวกับพี่เจนเหรอคะ”
“อืม ใช่ ทำไมเหรอ” เจนจิราย้อนถาม
“นี่คุณคิดอะไรอยู่ หะ แคท” เจรมัยก็สงสัย
“นั่นซิ ทำไมต้องอยากรู้” เจนจิราแปลกใจ
“ป่าวๆ ไม่มีอะไรค่ะ แค่อยากทำความรู้จัก” แคทลียารีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วตอนนี้เราเข้าไปเยี่ยมน้องจ๋าได้มั้ยคะ”
“ตอนนี้ยัง หมอเขาไม่อยากให้คนเข้าไปเยอะ อนุญาตให้แค่แม่จ๋ากับแม่พี่เท่านั้น”
หนูจ๋านอนแบบแน่นิ่งราวกับหลับสนิท เครื่องมืออุปกรณ์แพทย์ระโยงรยางค์รอบเตียงมากกว่าทุกครั้งที่เข้ามาในห้องนี้ จินดานั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆ ด้วยมืดแปดด้านกับอาการลูกสาว จรรยามองอย่างเข้าใจแต่ตัวเองก็หมดหนทางเช่นกัน
ในความเงียบงัน จินดาก็เปรยความคิดออกมา หลังจากคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องอาการป่วยของลูกและเรื่องประหลาด ยกศพตาเทียบออกจากห้องไปได้ จนกระทั่งเจรมัยกลับมา หรือว่า ผีในหนังตะลุงต้องการอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
“ที่จ๋าเป็นแบบนี้ ต้องเป็นเพราะตะลุงตัวนั้นแน่ๆ”
จรรยาอึ้งไป
“ตะลุงตัวนั้น เค้าต้องการอะไรกันแน่”
จรรยาเป็นห่วงน้องจับใจ มองดูหลานบนเตียงก็อดสงสารเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คนนี้ที่ต้องมารับเคราะห์ไปด้วย
จะเป็นวิญญาณร้าย หรือผีร้ายตนใด จินดาก็พร้อมจะยอมแลก กลับจากโรงพยาบาล จินดาพาตัวเองเข้ามาใอยู่ในห้องตาเทียบผู้เป็นบิดา มองจ้อง ตะลุงผี นิ่งนาน
“หากอะไรที่จะทำให้จ๋าตื่นขึ้นมาช่วยบอกฉันที”
ตัวตะลุงยึดนิ่งอยู่ตรงผนัง
จินดายิ่งร้องไห้หนักขึ้น เพราะอับจนปัญญาจะแก้ปัญหาเรื่องอาการเจ็บป่วยของลูกสาว
“ทำไม ทำไมต้องเป็นลูกฉันด้วย หรือ...จะให้ฉันทำอะไรบอกเถอะ ฉันจะยอมทำทุกอย่าง ขอให้จ๋าตื่นซักที”
เมื่อสิ้นคำจินดาสังเกตเห็นเงาดำเป็นคลื่น แผ่ลอยออกมาจากหลังตัวตะลุง เงานั้นปกคลุมผนังห้องและแผ่ขยายกว้างขึ้นๆ อย่างช้าๆ จนในที่สุดทุกอย่างในห้องก็กลายเป็นสีดำ
จินดากลัวจนจับจิต แต่ความกลัวไหนก็ไม่สามารถทำลายความตั้งใจที่จะเห็นลูกสาวอาการดีขึ้นได้ จินดาพนมมือไหว้โดยไม่รู้ตัว กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เหมือนรอคอยการมาของใครบางคน
ตรงพื้นกลางห้องจินดามองดูเงาตัวเองที่ทอดยาวไปตามพื้นนั้น ซึ่งตอนนี้เงาของเธอกลับยืดยาวขึ้นจากพื้นเลาะไปที่ผนัง ดูเหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น
ไม่ถึงอึดใจ ร่างสีดำอันน่าสยดสยองก็เคลื่อนตัวออกจากเงานั้นคืบคลานเข้ามาจินดาใกล้ๆ
จินดากลัวจนไม่กล้าเงยหน้ามอง ได้แต่พนมมือด้วยอาการสั่นเทา ยินเสียงแหบโหยเบาหวิว มากระซิบข้างๆ หูของจินดา
“เอามาลีกลับมาหาฉัน ให้มันจับตัวหนัง เพื่อฉันจะได้เป็นอิสระ”
จินดารีบรับเอาคำ “ค่ะๆ ฉันรับปาก”
“ถ้าเธอทำไม่สำเร็จ เรื่องมันจะแย่ลงกว่านี้” ผีสร้อยพีบอก
“ค่ะ แล้วมาลีเป็นใคร เค้าอยู่ที่ไหน”
ผีสร้อยพีไม่ตอบเอาแต่พูดย้ำคำเดิม “เรื่องมันจะแย่ลงไปกว่านี้”
สิ้นเสียงนั้นจินดาถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น และพบว่าตัวเองอยู่ในห้องตาเทียบ ทุกอย่างเป็นปกติ
คนรับใช้สองป้า มายืนมองจ้องจินดาอยู่นอกประตูห้อง ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณจินดาคะ” มนถาม
แจ่มถามตามว่า “คุณทำอะไรอยู่คะ”
จินดาหันไปตามเสียงเรียก แต่ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงเรียกเข้าจากมือถือดังขัดขึ้น เมื่อกดรับเป็นเสียงร้อนรนใจของจิตราดังลอดออกมา
“จินดาเธออยู่ไหน หนูจ๋า...”
อ่านต่อ ตอนที่ 7
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่5 #thaich8 #ละครออนไลน์