เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 5
ศพในสภาพดำเป็นตอตะโกของชัดถูกเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ย้ายออกจากสถานที่เกิดเหตุไปแล้ว เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน 2 คน กำลังสอบปากคำคนรับใช้ อันมี แจ่ม และบ่าวอีก 2 คน ในบ้าน
“ผู้ตายไม่เคยใช้ยาเสพติดครับ” ตำรวจ 1 ยิงคำถาม
แจ่มยืนยันหนักแน่น “ยืนยันค่ะ อย่าว่าแต่ยาเสพติดเลย เหล้าแกยังไม่กินเลย มีอย่างเดียวอย่างที่บอก... ผีค่ะ ผีแน่ๆ คุณตำรวจ”
ตำรวจ1 ยิ้มเก้อๆ มองหน้าตำรวจ 2 เชิงบอกกันว่าสอบปากแจ่มคงไม่ได้ความแน่
“ใช่ คุณตำรวจ ผีจริงๆ” แจ่มกระซิบกระซาบบอกตอนท้ายว่า “ผีตะลุง”
“อะๆ ขอบคุณมากนะครับสำหรับข้อมูล”
ตำรวจทั้งสองคนเดินหนี แจ่มยังเดินตามไปยืนยันความคิดตัวเอง
“คุณตำรวจไม่เชื่อเหรอ จริงๆ นะ”
จังหวะที่แจ่มเดินตามเซ้าซี้ตำรวจมานั้น ดันเดินผ่านมาทางจิตราพอดี จิตรามองตาเขียวปั้ดปรามว่าพูดเกินจำเป็นไปแล้ว แจ่มหุบปากสนิทเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของจิตรามองมา
ตำรวจ 1 เดินผ่านจิตรามาสมทบเพื่อน ที่เวลานี้กำลังคุยอยู่กับเจรมัย
“ช่วงสัปดาห์นี้บ้านคุณเจ ดูวุ่นๆ อยู่นะครับ วันก่อนก็ขโมยขึ้นบ้าน อีกวันก็มีคนตายในบ้าน” ตำรวจ 2 ว่า
“ครับ คุณตำรวจ”
เจรมัยมองจ้องหน้าผู้ถาม ค้นหาคำตอบที่ตำรวจพูดประโยคนั้นออกมา ตำรวจ 2 รับรู้สึกได้ถึงความไม่สบอารมณ์ของเจรมัย เลยต้องรีบตัดบทจบการสนทนา
“เอ่อ งั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณนะครับคุณเจ คุณจิตรา”
จิตราบอกว่า “ค่ะคุณตำรวจ เดี๋ยวดิฉันเดินไปส่ง”
จิตราเดินไปส่งตำรวจที่รถสน. เจรมัยยืนมองตัวบ้านอย่างไม่สบายใจนัก จนมีแสงแฟลชจากกล้อง ถ่ายรูปสว่างวาบใส่หน้า เจรมัยหันไปมองก็เห็นเป็นผลงานของนักข่าวสายอาชญากรรมคนหนึ่ง และนักข่าวคนนั้นกำลังจะกดชัตเตอร์ถ่ายเขาอีก แต่ภาคเดินเข้ามาขวางทางกล้องเอาไว้
“เดี๋ยวๆ คุณนักข่าว คุณนักข่าวอาชญากรรมไม่ใช่เหรอ ถ่ายที่เกิดเหตุดีกว่ามั้ยครับ” ภาคคุยดีๆ ด้วย
“ก็นี่น้องเจรมัยนี่ครับ นักร้องที่ชนะท็อปโหวตไม่ใช่เหรอครับ” นักข่าวย้อนแย้ง
“เอาน่ะ คนเค้ากำลังเครียด อย่าเพิ่งไปกวนเค้าเลย”
“ครับๆ”
นักข่าวเดินแยกไปเก็บรูปทางหนึ่ง ภาคครุ่นคิดบางอย่างอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงเดินเข้ามาหาเจรมัย ถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง”
“พี่ภาค...ช่วงนี้ไม่ค่อย อะไรก็ดูเกินคาดไว้ไปหมด”
“อืม...พี่เข้าใจ”
“คิวงานผมก็ยังไม่มีอะไรกระเตื้องใช่มั้ย”
“ก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละ เราทำงานเบื้องหน้าถ้าไม่มีกระแส อะไรก็ยากไปหมด หรือเจจะเปลี่ยนแนวตามที่ค่ายใหญ่ๆ เค้าแนะนำ”
“หมายถึง ร้องเพลงแบบไม่ที่ไม่ใช่ตัวเราหรือพี่ อย่าดีกว่า ทำไปก็เหมือนหลอกคนฟัง” เจรมัยว่า
“งั้น...ก็ รออีกหน่อย อะไรๆ อาจจะดีขึ้น แล้วเรื่องแคทเป็นไงบ้าง ช่วงนี้ตามมาที่นี่อีกหรือเปล่า”
“ก็หายๆ ไปนะครับ แคทเค้าคงเบื่อจะวอแวกับผมแล้วมั้งพี่”
คนรับใช้วัยป้าจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส ระหว่างทำครัว นำทีมโดยแจ่ม มน และ หน่อง
“ฉันเนี่ยบอกตำรวจไปหมดเลย บอกว่าไปตรงๆ”
“บอกว่าเป็นผีทำอะนะ” หน่องพูดเชิงถาม
“ก็ใช่น่ะซิ”
“แล้ว แกไม่กลัว ผีมาหักคอหรือไง” หน่องถาม
“เอ้าอีนี่ พูดให้กลัวเฉย” แจ่มยกผักในมือจะเขวี้ยงเอา แต่ไม่ได้ทำจริง
“ฉันว่าทุกวันนี้ยิ่งหนักข้อเข้าทุกทีแกว่ามั้ย ตั้งแต่คุณเจรมัยมาบ้านนี้” หน่องว่า
มนพยักพเยิดว่า “ใช่คิดว่าชั้นคิดคนเเดียวซะอีก”
จิตรากระแอมกระไอ ส่งเสียงปรามขึ้น “พวกเธอเบาๆ กันหน่อย”
สามป้าพากันสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปทางเสียงแล้วเห็นจิตราเดินมาหยุดที่หน้าครัว พร้อมกับจรรยาและเจรมัย คาดว่าคงได้ยินทุกอย่างที่พวกตนสุมหัวเมาท์
“จรรยาเธอเดินไปก่อนนะ ฉันขอคุยกับสามคนนี้ซะหน่อย” จิตราบอก
“ค่ะพี่จิต”
จิตราเดินเข้าไปในครัว ปล่อยให้จรรยาและเจรมัยเดินไปด้วยกัน
เจรมัยอึดอัดใจจนต้องถามคำถามออกไปหาแม่
“แม่...แม่มีแผนว่าจะอยู่บ้านคุณตาอีกนานแค่ไหน”
“แม่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เจ ไม่ชอบที่นี่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับผม ผมมาคิดว่าบางทีถ้าเรากลับไปอยู่บ้านเดิม ทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ แม่ว่ามั้ย”
“แต่...แม่ว่า ถ้าเจไม่อยู่ที่นี่ หรือไม่ไปไกลจากตะลุง เรื่องน่าจะแย่กว่านี้นะ” จรรยาบอกด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“แม่เอาอะไรมาพูด ผมไม่เข้าใจ”
เจรมัยหยุดพูดเอาเสียดื้อๆ แล้วก็เดินแยกออกไป
เจรมัยจมอยู่กับความคิดตัวเอง นิ่งนึกทบทวนหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ รายรอบชีวิต สุดท้ายเขาคิดถึงภาพนิมิตครั้งที่ขังตัวเองอยู่ในห้องตาเทียบกับตะลุง มันพาเขาไปเห็นภาพอดีตครั้งที่เที่ยงไปเล่นตะลุง ที่บ้านยางนอน จ.นครศรีธรรมราช
ขณะเดียวกัน มัลลิกาอยู่ที่ออฟฟิศในมือถือเอกสารภาษามลายู คิดถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา เกิดภาพในความคิด ประดังเข้ามา ทั้งผู้หญิงไฟลุกท่วมตัว ภวัตเปิดเสียงดนตรีไทยภาคใต้ให้ฟัง ภาพสุดท้ายเป็นเหตุการณ์ตอนหลุดเข้าไปที่บ้านคหบดีโสภณ จนได้ยินการสนทนาว่าโสภณส่งโทรเลขไปยังบ้านยางนอน จ. นครศรีธรรมราช อีกเหตุการณ์ที่ค้างคาใจเป็นตอนที่ภวัตแปลเอกสารได้ความว่า “ตะลุงทำจากผิวหนังคน” เมื่อคิดทบทวนเรื่องราวต่างแล้วจนตกผลึกแล้ว นักข่าวสาวก็หุนหันลุกขึ้นเก็บข้าวของ ภวัตเดินเข้ามา ทักถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำอะไรอยู่ ดูรีบๆ จัง”
มัลลิกาเก็บของไปคุยไป “อ้อ ภวัต ฉันว่าฉันจะไป นครศรีธรรมราช”
“ไปทำไม แล้วต้องด่วนอย่างนี้เลยเหรอ”
“ก็แค่อยากไปให้เร็วที่สุด”
“ทำไม”
“ก็ไอ้เรื่องแปลกๆ ที่มันพัวพันชีวิตฉันอยู่ตอนนี้น่ะซิ วัต ไหนจะผู้หญิงที่ไฟลุก เสียงดนตรีตะลุง และก็คนในอดีตที่หน้าเหมือน…”
มัลลิกาหยุดพูดเอาดื้อๆ ตรงประโยคที่ควรจะพูดว่าหน้าเหมือนกันตัวเอง ภวัตสะดุดหูมองสงสัย
“เหมือนอะไรหรือครับ”
“ปะ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“อ๋อ ครับ แล้วนี่จะไปกับใคร”
มัลลิกานิ่งไปอีกครู่หนึ่ง ซึ่งภวัตเดาได้ว่าเธอคงจะต้องไปคนเดียวแน่ๆ จึงเป็นห่วง
“ไปคนเดียวเหรอ ให้ผมไปเป็นเพื่อนได้มั้ยครับ”
“ขอบคุณนะวัต ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก น้า”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง”
ภวัตพูดออกด้วยความรู้สึกที่มากกว่าเป็นห่วงตามปกติ ซึ่งมัลลิกาเองก็รับรู้ แต่ก็ไม่แน่ใจนัก
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร นี่มะลินะ”
“งั้นก็ได้... แต่ถ้ามีอะไรต้องให้ช่วย โทร.หาผมได้มั้ย” มีวี่แววเว้าวอนในคำพูดตอนท้ายของภวัต
มัลลิกาพยักหน้ารับเอาคำ “อืม”
ภวัตยิ้มออก “มะ งั้นผมช่วยลิสต์ว่าเอาของไปครบดีมั้ย”
“เอาซิ”
ภวัตกระตือรือร้นช่วยมัลลิกาหยิบข้าวของ จดรายการให้ และแอบยิ้มสุขใจที่ได้ใกล้ชิดกับมะลิมากขึ้น
ไม่นานต่อมา มัลลิกาสะพายเป้ในนั้นมีกล้องคู่ใจ เดินลากกระเป๋าสัมภาระมาตามทางเดินของสนามบินดอนเมืองอย่างกระฉับกระเฉง มาหยุดยืนมองที่ตารางเที่ยวบิน ซึ่งพบว่ายังพอมีเวลาเหลืออีกราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนเครื่องออก
นักข่าวสาวห้าวเป้งเดินมานั่งที่เก้าอี้รอเวลา มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากภวัต
“สวัสดีวัต ถึงสนามบินแล้ว สบายใจได้ เครๆ ถ้าถึงโน้นแล้วว่ากันอีกทีนะวัต”
มัลลิกานั่งอยู่เพลินๆ จนได้ยินเสียงคุ้นหูของใครบางคนคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ เมื่อหันไปมองเห็นเป็นเจรมัยก็สะดุ้งตกใจร้อง “อุ๊ย” เบาๆ โดยที่เขายังไม่เห็นเธอ
“ใช่แคท ผมไม่ได้อยู่บ้าน ขอไม่บอกแล้วกันนะว่าอยู่ที่ไหน กำลังจะไปไหน ก็เดี๋ยวคุณก็ทิ้งการทิ้งงานเสียเวลามากับผมอีก ขอบคุณที่เป็นห่วง ครับๆ แค่นี้ก่อนนะครับ”
เจรมัยวางสายไปด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า จนรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ และก็จริงเมื่อหันมาอีกทางก็เจอมัลลิกานั่งจ้องหน้าเขาอยู่ ต่างคนต่างอึกอักอึกอัก ก่อนที่ทั้งคู่จะอุทานขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“คุณ” / “คุณ”
“นี่คุณแอบตามผมมาอีกแล้วเหรอ” เจรมัยโวยลั่น
มัลลิกาขึ้น “จะบ้าเหรอ นี่ฉันมานั่งก่อนด้วยซ้ำ คุณนั่นแหละตามฉันมา”
“แล้วนี่จะไปไหน” เขาถาม
เธอค้อนเข้าให้ วางท่าปั้นปึ่งใส่ “ไมต้องบอกคุณ แล้วคุณล่ะจะไปไหน”
“อ้าว ผมต้องบอกคุณเหรอ”
มัลลิกาอ้าปากค้าง แบบเถียงไม่ออก เจรมัยยักคิ้วเย้ยเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น
“ผมไปนั่งไกลคุณน่าจะปลอดภัยกว่า”
มัลลิกาแค้น “หน็อย ทีจะให้ภวัตเพื่อนฉันแปลเอกสารให้ ไม่เห็นพูดแบบนี้”
คราวนี้เป็นทีเจรมัยเถียงไม่ออกบ้าง สุดท้ายเขาเลยลงนั่งที่เดิม
“อะ หายกัน งั้นนั่งต่อก็ได้”
มัลลิกาบ่นพึมพำ “ไม่นั่งก็ไม่ได้ว่าไรซะหน่อย”
มีเสียงประกาศดังขึ้น “เที่ยวบินไป นครศรีธรรมราช ตอนนี้พร้อมเดินทางแล้ว”
เจรมัยลุกขึ้นทันที และเป็นจังหวะเดียวกับมัลลิกาลุกขึ้น ต่างคนต่างประหลาดใจ
“อย่าบอกนะว่าเธอจะไปนครฯ เหมือนฉัน”
“จะไปนครฯ เหมือนฉัน”
มัลลิกาหยิบตั๋วสายการบินขึ้นมาระบุที่นั่งว่า A22 เจรมัยหยิบตั๋วของตัวเองออกมาระบุที่นั่งว่า A23
“ฮึ้ย นั่งติดกันอีก” เจรมัยบ่น
มัลลิกาฮึดฮัด “นั่งติดกันอีก”
สองคนกลอกตาเหลือกมองบน ที่เป็นแบบนี้
เครื่องบินบินลอยลำขึ้นเหนือท่าอากาศยานดอนเมือง ทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า เพียงไม่นานต่อมาก็ร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช
จากนั้นก็เห็นเจรมัยนั่งรถสองแถวมาคันเดียวกับมัลลิกา ตอนแรกนั่งห่างกันแต่ถูกผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่ขึ้นมาภายหลังเบียดเอาจนต้องมานั่งติดกัน สุดท้ายลงรถไปต่อสามล้อถีบในตลาด
บังเอิญจริงจริ๊งที่สามล้อถีบดันเหลือคันสุดท้าย ยึกยักกันอยู่คูรหนึ่งสุดท้ายสองคนก็ต้องยอมนั่งคันเดียวกัน คราวนี้เบียดกันหนักกว่าเก่า
เจรมัยและมัลลิกาลิ นั่งหัวโยกหัวคลอนมาในสามล้อถีบ ผ่านมุมสวยงามตามชุมชนเล็กๆ ของเมืองนครฯ จู่ๆ สองคนก็หัวเราะออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน จากนั้นต่างฝ่ายก็ต่างเขินกันเอง ลุงสามล้อหันมามองยิ้มๆ ก่อนจะหันไปถีบสามล้อจนน่องปูดต่อ
เจรมัยบอกว่า “แปลกดีเนอะ”
“ก็ว่า...นี่ถ้าเป็นละครกระเป๋าเราต้องสลับกันด้วยนะเนี่ย ถ้าจะอย่างนั้นอีก ก็...”
มัลลิกาพูดพลางมองดูกระเป๋าบนตักตัวเอง นั่นไงใช่เลย เจรมัยมองตามก็พบว่ากระเป๋าเขาและเธอสลับกันจริงๆ ซะด้วย
“นั่นไง”
สองคนสลับกระเป๋ากันเบาๆ อย่างสงวนท่าที ต่างฝ่ายต่างหันหน้าออกไปนอกรถแอบขำ หัวเราะให้ชะตากรรมตัวเอง โดยไม่ให้เสียลุค เจรมัยลอบมองมัลลิกาเห็นมุมน่ารักมุ้งมิ้งของเธอ เวลานี้มันกลบความห้าวจนมิด
เจรมัยนึกจั๊กจี้ในใจ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอมองมัลลิกาอยู่เป็นนาน
สองคนลงรถที่บ้านยางนอน จุดหมายปลายทางของทุลักทะเลทริป เจรมัยเดินคุยมากับมัลลิกาท่าทีสนิทใจต่อกันมากขึ้น
“นี่สรุป คุณกับผมต้องไปด้วยกันทั้งทริปแล้วซินะ”
“ไม่ต้องทั้งทริปก็ได้มั้ง นี่แค่ไปบ้านยางนอนแล้วก็แยกย้ายก็ได้มั้ง”
“อืม...เหรอ”
“อืมซิ ไป เดินอีกหน่อยก็ถึง อย่างที่พี่คนนั้นว่าแล้วละมั้งน่ะ นั่นไง”
เจรมัยดูจะเสียดายยังไงไม่รู้ ที่ทริปนี้จะจบซะแล้ว สลัดความคิดแล้วรีบตามมัลลิกาไป
มัลลิกา ยืนคุยอยู่กับครูชายวัยอาวุโสท่านหนึ่ง เจรมัยยืนฟังอยู่ด้วยข้างๆ
“ก็เคยได้ยินจากปากคนเฒ่าคนแก่เท่านั้นแหละ ว่าแต่ก่อนย่านนี้เป็นบ้านคณะตะลุง ก็ 70- 80 ปีแล้วนะ ที่ดังๆ ก็มีคณะนายเที่ยง ที่ดังขนาดสาวๆ ต่างบ้านหลงเสียง ตามมาดูตัวจริงกันถึงบ้านคณะเลย”
“หลงเสียง หลงเสียงคืออะไรครับ” เจรมัยสงสัย
“โอ้ว หลงเสียงก็ คณะตะลุงเวลาแสดง เราจะไม่เห็นหน้าคนเชิด ได้ยินแต่เสียงร้องใช่มั้ย ขนาดได้ยินแค่เสียงก็หลงรักซะแล้ว นั่นแหละหลงเสียง” ครูอธิบาย
มัลลิการ้องขึ้น “อ้อ เข้าใจละ โห...ได้ยินแต่เสียงยังหลงรัก แล้วเวลาเจอตัวจริง เกิดไม่หล่อขึ้นมา สาวๆ ไม่ผิดหวังกันเหรอค่ะ”
มัลลิกาแซวพราะคิดว่าตรรกะนี้น่าขำดีเหมือนกัน เจรมัยได้ยินก็รีบขัดขึ้นมา
“แต่นายเที่ยงหล่อนะ สาวๆไม่ผิดหวังหรอก”
ทั้งครูกับมัลลิกา แทบจะหันมามองเจรมัยพร้อมๆ กัน ว่าไหงออกตัวแทนนายเที่ยงแรงซะขนาดนี้เจรมัยเขินเลยต้องมองลมฟ้าแก้เขินไป
“นี่ คุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าเค้าหล่อ หะ”
“เอ่อ คือ เอ่อ รู้แล้วกันน่า แล้วหล่อใช่มั้ยครับครู”
“อันนี้ไม่รู้จริง ก็บอกแล้วว่าเกิดไม่ทัน”
“เอ่อ จริงด้วย” เจมัยหัวเราะ
มัลลิกางงกับอาการของเขา ขณะที่เจมัยแอบชำเลืองมองมัลลิกา ว่าเห็นอาการเป๋อๆ ของตัวเอง
หรือเปล่า
“แล้วนอกจากเรื่องเล่าที่ว่าแล้ว มีข้อมูลอะไรอีกมั้ยคะ แบบญาติพี่น้องพวกเค้ายังอยู่ที่บ้านนี้หรือเปล่าหรือแบบ อะไรที่มันเกี่ยวกับ เกี่ยวกับ...เกี่ยวกับ...อืม” มัลลิกาพยายามคิดคำถาม
เจรมัยโพล่งเสริมขึ้นมาว่า “เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพี พอมีมั้ยครับ”
การที่เจรมัยพูดชื่อ สร้อยพีออกมา ทำเอามัลลิกาฉงนไปเหมือนกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้ ครูนิ่งคิด ในที่สุดก็ตอบออกมา
“ไม่เคยได้ยินครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ครับ”
ทั้งเจรมัยและมัลลิกา ต่างรู้สึกผิดหวังที่ได้ความคืบหน้าน้อยมาก
“ผมขอบคุณมากนะครับครู”
“ครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรมากนัก”
ในจังหวะ ที่เจรมัยกับมัลลิกากำลังจะแยกกับครูไปนั้น ก็มีนักเรียนชั้น ป.6 คนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
“ครูครับๆ วันนี้ครูวิชาขับร้องเค้าท้องเสีย ครูไปสอนแทนได้มั้ยครับ”
“อ้าวงั้นรึ เอาไงดีหละ”
เจรมัยได้ยินก็เกิดไอเดียบรรเจิด หาอะไรทำซะหน่อยดีกว่า
“ครูครับ ผมช่วยได้นะครับ”
“จริงเหรอครับ”
มัลลิกาไม่เข้าใจ
ไม่นานต่อมาเจรมัยหยิบกีต้าร์โปร่งของครูประจำวิชามานั่งกลางวงนักเรียนป.6 มัลลิกากับครูอาวุโสมองดูอยู่นอกวงไม่ไกลนัก เจรมัย เล่นกีต้าร์นำแล้วให้เด็กๆ ร้องเพลงพร้อมกัน เด็กๆ ดูตื่นเต้นที่มีคนแปลกหน้ามาเป็นครู เจรมัยเองก็ดูมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ครูดูออกเลยหันมาถามมัลลิกา
“เค้าเป็นนักดนตรีงั้นเหรอ”
“อืม ใช่ค่ะ แต่ช่วงหลังๆ ไม่มีโอกาสได้เล่นดนตรีเลย”
“ทำไมล่ะ”
“อืม อธิบายยากอะค่ะ”
“งั้นหรือ ดูมีความสุขเนอะสามีหนู”
มัลลิกาสะดุ้ง “ฮึ้ย ไม่ใช่ค่ะ”
“แฟน”
มัลลิกา “ฮึ้ย” อีก
“กิ๊ก”
“โอย ไปกันใหญ่ เพื่อนค่ะ เพื่อนดีกว่า”
ครูยังไม่เลิกซัก “เพื่อนสนิท”
“เพื่อนเฉยๆ ให้รอดก่อนดีกว่ามั้ยค่ะครู”
ชายสูงวัยหัวเราะ เมื่อเห็นมัลลิกาเขิน เกาหู จับผม ดึงเสื้อ พัลวัน
มัลลิกามองดูรอยยิ้มที่เจรมัยมีให้กับเด็กๆ คนอื่นๆ เดินผ่านมาต่างหยุดหันมาดูเจรมัยร้องเพลงกับเด็กๆ อย่างชื่นชม
“จริงๆ เค้าก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะคะ ชีวิตจะได้เดินตามฝัน ที่อยากประสพความสำเร็จในด้านดนตรี แต่กลับต้องมาสะดุดด้วยเรื่อง...ที่หาคำตอบไม่ได้”
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ครูฟังแล้วก็ไม่คิดถามต่อ
มัลลิกาปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปกับการเฝ้ามองเจรมัยร้องเพลง
เจรมัยนั่งรอรถรับจ้าง อยู่ตรงจุดนัดพร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือนัดแนะกันไปด้วย
“พี่ครับ ผมรอตรงที่นัดแล้วนะพี่ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผมมาเร็วเอง ไงก็เวลาเดิมได้พี่ไม่ต้องห่วง”
มัลลิกาเดินถือมาน้ำขวดมาให้
“อะ ซื้อมาเผื่อ พี่รถรับจ้างเค้าว่าไงบ้าง”
“ขอบคุณนะ เราคงต้องรอหน่อยพี่เค้าขยับเวลาเร็วขึ้นไม่ได้”
“อืม ไม่มีปัญหา”
ครู่หนึ่งก็มีผัวเมียตัวกลม ขับรถเครื่องพ่วงข้างเข้ามาหา
“สวัสดีครับ คุณสองคน” หลวง ชายผู้เป็นสามีเอ่ยทัก
เจรมัย มัลลิกา รับไหว้แบบงงๆ
บัว ผู้เป็นภรรยาชวนคุยว่า “ฉันได้ยินครูใหญ่ว่า คุณสองคนมาตามหาบ้านคณะตะลุงใช่มั้ยค่ะ”
มัลลิกายิ้มให้ “ค่ะ พี่”
“ใช่ครับ พี่พอจะรู้อะไรอย่างงั้นหรือครับ”
“ไม่รู้หรอกครับ” หลวงว่า
มัลลิการ้อง “อ้าว”
“อย่างเพิ่งอ้าวซิ” บัวหันไปตวาดผัว “ตาหลวง แกก็พูดจาไม่รู้เรื่อง มาฉันเล่าเอง คือที่รีบมาหาเนี่ย ก็จะมาบอกว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็มีคนมาตามหาผู้หญิงชื่อ สร้อยพี เหมือนกับพวกคุณเลย”
ชื่อนี้วนเวียนเข้ามาอีกแล้ว มันอดทำให้ทั้งสองคนหยุดคิดเรื่องอื่นไม่ได้ และฟังอย่างตั้งใจ
“หรือครับพี่ แล้วใครเหรอครับ”
“เป็นลุงตาบอด” หลวงบอก
มัลลิกาพึมพำ “คนตาบอด”
“ก็ไม่ได้บอดสติหรอก แกเป็นต้อหิน มองเห็นแต่แสง ไม่เห็นรูปร่าง” บัวว่า
“ครับ เป็นนักดนตรีตาบอดครับ แกมาคนเดียว ถามคนมาเรื่อยๆ มา...ก็มาค้างแรมตรงวัดใกล้ๆ โรงเรียนที่คุณไปนั่นแหละ”
หลวงกล่าวเสริม แล้วเล่าเรื่องเรื่องลุงพัฒน์ให้สองคนฟัง
ลุงพัฒน์ เป็นชายแก่ตาบอด ซึ่งที่แท้ก็คือนายโพนกลับชาติมาเกิด แต่งตัวมิดชิดด้วยเชิ้ตแขนยาวติดกระดุมคอ กางเกงสีเข้มทรงกระบอกขายาว ถือกระเป๋าเดินทาง อีกมือก็เป็นไม้เท้านำทาง และสวมหมวกแก๊ป กำลังหันรีหันขวางอยู่แถวๆ วัด หลวงเห็นเข้าก็เดินเข้าไปถามไถ่ แล้วพาลุงมานั่งพักที่แคร่ในวัด
ลุงพัฒน์ถามขึ้นว่า “หนุ่มพอจะรู้เรื่องคนชื่อสร้อยพีมั้ย”
“แถวนี้ไม่มีใครชื่อนั้นหรอกลุง มาผิดบ้านหรือเปล่า”
“มาไม่ผิดหรอก บ้านนี้แหละ แล้วสร้อยพีที่ลุงว่า ลุงหมายถึงคนตาย สร้อยพีน่าจะเสียไปซัก 80 ปีแล้วละมั้ง”
“โอ๊ยลุง เล่นอะไรเนี่ย ถามซะผมขนลุกเลยเนี่ย”
“ก็มันเรื่องจริงนี่”
“แล้วลุงจะมาถามหาคนตายที่ชื่อสร้อยพีทำไม”
“ลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หลวงร้อง “อ้าว”
“แค่ตลอดหลายปีมาเนี่ย ลุงฝันเห็นสร้อยพีตลอด และ ถี่ขึ้นทุกที”
ชายตาบอดก้มหน้าลงด้วยท่าทีหนักใจ ดำดิ่งไปสู่ภาพในความคิดของแก
“ลุงเห็นภาพชาติที่แล้วของลุงเอง มาตลอดเวลาตั้งแต่เป็นหนุ่มๆ แต่ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้เลย รู้แค่ว่าชาติที่แล้วแค่เป็นคนในคณะตะลุง ที่หมู่บ้านนี้”
ลุงพัฒน์สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา ด้วยสีหน้าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ชายชรายังหวนคิดถึงเรื่องที่ฝันเมื่อครู่
เป็นภาพในอดีต ตอนสร้อยพีกำลังตัดผมให้นายโพน
“ถึงเรื่องจะไม่ปะติดปะต่อ แต่ลุงก็มั่นใจว่า เมื่อชาติที่แล้วลุงมีลูกชื่อสร้อยพี”
เมื่อตัดเสร็จสร้อยพีก็หยิบกระจกให้นายโพนส่องตรวจความเรียบร้อย
“เรียบร้อยแล้วพ่อ หล่อมาก”
นายโพนยิ้มพอใจในทรงผมที่ลูกสาวตัดให้ ในฉับพลันทันใดนั้นเอง ภาพทั้งภาพก็เต็มไปด้วยเปลวไฟโหมไหม้อย่างรุนแรง
สร้อยพีกรีดร้องเสียงดังลั่น “พ่อ”
หลวงยังรอฟังอย่างจดจ่อ
ลุงพัฒน์เล่าว่า จากนั้นทุกอย่างที่แกเห็นก็เต็มไปด้วยเปลวไฟโหมไหม้อย่างรุนแรง กลายเป็นฝันร้ายทุกครั้ง จนทำให้ลุงต้องสะดุ้งตื่นเสมอ ชายสูงวัยบอกว่าอาจเพราะตนเคยทำบาปกรรมอะไรไว้กับสร้อยพีแน่ๆ
“ลุงก็เลยมาที่นี่ เผื่อจะได้รู้ว่า เคยทำอะไรไว้ใช่มั้ย” หลวงถาม
“ใช่แล้วหนุ่ม”
“ผมหมดปัญญาจะช่วยลุงเรื่องนี้จริงๆ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องของลุงมันก็เกินกว่าจะหาคำตอบได้ ลุงเข้าใจ ลุงรบกวนอีกเรื่องได้มั้ย คืออยากจะค้างที่นี่ หนุ่มพาลุงไปขอเจ้าอาวาสหน่อยได้มั้ย”
“ได้นะ เดี๋ยวผมไปพาเจ้าอาวาสหาน่าจะง่ายกว่า”
“ขอบใจนะหนุ่ม” ลุงพัฒน์ยิ้มอย่างซาบซึ้งในน้ำใจของหลวง
เวลาผ่านไปลุงพัฒน์อยู่ลำพัง เริ่มเป่าขลุ่ยในบทเพลงที่เต็มไปด้วยความเศร้าอย่างมาก
ในวันอื่นต่อมา ชายตาบอดก็เดินถามเรื่องสร้อยพีกับชาวบ้านคนอื่นๆ ถามจากพระชราบ้าง ลุงพัฒน์ยืนนิ่งคิดถึงอะไรในใจลำพัง
“ลุงแกค้างแรมอยู่ในวัดสองสามวัน เทียวถามคนนั้นคนนี้แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบแกได้ผมดูแล้วก็น่าสงสาร จนในที่สุดแกก็ตัดใจกลับกรุงเทพฯไป วันนี้ละครับ”
เจรมัยกับมัลลิกาฟังที่หลวงเล่าอย่างสนใจ
ทั้งสี่คน เดินอยู่ในบริเวณวัด ที่ลุงตาบอดเคยอยู่
บรรยากาศวัดร่มรื่น ดูเหมือนจะคงสภาพนี้มาช้านานแทบไม่มีอะไรบอกถึงความเป็นวิถีสมัยใหม่เลย หลวงเล่าทุกอย่างจบแล้ว เจรมัยเองในหัวก็เต็มไปด้วยคำถาม
“แล้วรู้มั้ยว่า ลุงแกไปไหน”
“ไม่รู้เลย รู้แค่ว่าแกไปกรุงเทพฯ”
“แล้วแกบอกมั้ยว่า จะกลับมาหาคำตอบที่นี่อีกมั้ย” มัลลิกาซักถาม
“ก็ไม่เห็นแกพูดอะไรเลย”
“แกมีฝากเบอร์ หรือ อะไรไว้บ้างหรือเปล่าคะ”
“ก็ไม่มีอีกนั่นแหละครับ”
“น่าเสียดายจริงๆ เกือบจะได้เจอคนที่เป็นเหมือนเราแล้วเชียว” เจรมัยบ่น
หลวงจำได้ “เฮ้ยๆ คุณพูดแบบเดียวกับลุงเลย แกพูดว่า แกมาที่นี่ ก็หวังว่า จะเจอคนแบบเดียวกัน”
“แบบไหนคะ”
“คนที่ระลึกชาติได้น่ะคุณ นี่พวกคุณก็ระลึกชาติเหมือนกับแกเหรอ” บัวเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง
“อ๋อ ไม่ อย่างนั้นหรอกครับ” เจรมัยไม่อยากให้เป็นเรื่องขึ้นมา
“ก็ว่า พวกคุณดูหัวสมัยใหม่ ไม่น่าจะเชื่อเรื่องแบบนั้นหรอกผมว่า”
“แล้วกะจะอยู่ที่ซักกี่วันหรือครับ” หลวงว่า
เจรมัยนึกขึ้นได้ “เฮ้ย ลืมเลย เราตกเครื่องแล้วคุณ”
“ตายจริง...ป่านนี้เครื่องก็หมดแล้วด้วย คงต้องหาที่พักก่อนละคืนนี้”
หลวงกับบัว พากันหน้าเหวอไปที่ได้ยินดังนั้น
สุดท้ายหลวงพาเจกับมัลลิกามาพักที่บ้านตัวเอง เป็นบ้านไม้ริมหาดหลังเล็กๆ มีห้องจำกัด เลยทำให้เจรมัยกับมัลลิกาจำเป็นต้องนอนห้องเดียวกัน เจรมัยนอนตัวเกร็งไม่กล้ากระดุกกระดิก มัลลิกานอนตะแคงด้านหลังเป็นกำแพงหมอนข้างสามขั้น
หลวง กับ บัว นั่งถักอวนอยู่ตรงลานก่อกองไฟนอกบ้าน
“แกแน่ใจเหรอ ว่าสอนคนเค้าเป็นผัวเมียกัน ถึงได้จับให้ไปนอนห้องเดียวกัน” บัวถาม
“ฮึ! ไม่แน่ใจหร๊อก ข้าเดา”
“เวรแล้วไงผัวกู”
มัลลิกาขดตัวเข้าใต้ผ้าห่มที่หนาถึงสองชั้นเหงื่อแตกแต่ก็ยอม เจรมัยคุยกับมัลลิกาผ่านกำแพงหมอนข้าง
“คุณ คุณหนาวเหรอ”
“ใช่ๆ หนาวมากเลย เลยต้องห่มหนาๆ คุณไม่หนาวเลยเหรอ”
“ไม่นะ แต่มันนอนไม่หลับ”
มัลลิกาตาโต ตกใจ กลัวว่าเขาจะทำอะไรเธอ เจรมัยขยับหมอนหนุนให้เข้าที่ เกิดเสียงดังก๊อบแก๊บ มัลลิกายิ่งระแวง
“เฮ้ย ทำไร”
“ขยับหมอน”
“ขยับไม”
“ผมก็ชักจะหนาวๆ เหมือนกันแล้วน่ะซิ แบ่งผ้าห่มหน่อยซิ”
เจรมัยยันตัวขึ้นทำเอากำแพงหมอนข้างล้ม มัลลิกาตาเหลือก เอาแล้วไงไอ้หมอนี่
เจรมัยพยายามกอบหมอนข้างคืนที่ แต่กรรมดันไปดึงผ้าห่มออกจากตัวมัลลิกาเข้า เจ้าหล่อนเดือดสุดๆ ถึงเวลาป้องกันตัวแล้ว เธอตวัดจระเข้ฟาดห่างจากท่านอน เข้าปลายคางเจรมัย
“โอ๊ย”
เสียงดังมาถึงลานนอกบ้าน ที่หลวงกับบัวนั่งถักอวนกันอยู่ ทั้งสองคนสะดุ้ง
ไม่นานต่อมา หลวงกับบัวนั่งติดกันมองจ้องไปยังเจรมัยที่กำลังนวดปลายคางอยู่มัลลิกาเองก็หัวเราะแก้เก้อ
“จิ้งจกค่ะ มันเกาะขา ไอ้เราก็ตกใจ สะบัดขาแรงไปหน่อย”
หลวงกับเมียหัวเราะกันยกใหญ่
“ขำกันใหญ่เลยนะ” เจรมัยค้อนท่าทางน่าขัน
“นี่แค่จิ้งจก น้องผู้หญิงยังสะดุ้งซะเข้าปลายคาง ถ้าเป็นตุ๊กแกสงสัย...”
บัวเสริมว่า “เข้าทัดดอกไม้ฉันว่า”
มัลลิกาหัวเราะ “ก็เป็นคนขี้ตกใจหนะค่ะ โทษทีนะคุณ”
เจรมัยมอง “จ้ะ แม่จิ้งจก คนมันดวงตกต้องเอาให้สุด”
ลมพัดโหมไฟให้กระพือแรงขึ้น หลวงกะบัวซ่อมอวนไปอย่างขะมักเขม้น
“แล้วคุณสองคนทำมาหากินอะไรกัน” หลวงถาม
“ตอนนี้ทำงานอยู่สำนักพิมพ์ค่ะ”
บัวไม่รู้จัก “พวกไหนเหรอ”
“ตั้งใจจะทำพวกสารคดี แต่ตอนนี้หัวหน้าให้ทำข่าวบันเทิงไปก่อน”
บัวหูผึ่งเลย “เหรอๆ งี้ก็เจอดาราประจำเลยซิ น่าอิจฉาจังเลยเนอะ”
“ไม่มีไรน่าอิจฉาหรอกค่ะ ดาราก็คนเราๆ นี่แหละ” มัลลิกาว่า
“แล้วงานลำบากมั้ย” หลวงสงสัย
“ก็ไม่ค่อยนะ หนูว่า ข่าวดาราเล่นงานแค่เป็นข่าวฉาว ดาราคบกันเลิกกันแค่นี้ก็พอ ขายได้แล้วคนอ่านเค้าชอบ”
เจรมัยแทรกขึ้นว่า “บางทีคนอ่านอาจจะไม่ได้ชอบ แต่เป็นเพราะพวกนักข่าว เอาแต่ข่าวสำเร็จรูป ยัดให้คนอ่านเองก็ได้นะ”
บัวยิ้มแซว “ดูจะไม่ได้มีประเด็นส่วนตัวกันใช่มั้ยค่ะน้อง”
“เปล๊า” สองคนปฏิเสธเสียงสูงพร้อมๆ กัน
หลวงแอบกระทุ้งเมีย เชิงบอกให้ดู หนุ่มสาวอำกันน่ารักเชียว
มียุงวนเวียนอยู่แถวๆ มัลลิกา เธอปัดป้องไปมา เจรมัยเห็นจึงส่งเสื้อแจ็คเก็ตให้ มัลลิกาประหลาดใจนิดๆ แต่ก็ยิ้มขอบคุณรับเสื้อแจ๊คเก็ตนั้นไว้โดยดี
“แล้วอะไรทำให้พวกเราสนใจเรื่องเก่าเรื่องแก่ตั้ง 70 - 80 ปี ล่ะ บอกได้มั้ย แล้วผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพี นี่เป็นใครกันแน่” หลวงถาม
“คือมันพูดยากนะครับ”
ในจังหวะนั้นเอง บัวก็สุมฟืนเข้าไปเพิ่ม จนทำให้ไฟกระเพื่อม มัลลิกาขยับตัวส่งฟืนที่กลิ้งออกมากลับคืนกองไฟ และพอเธอเงยตัวขึ้นก็เป็นจังหวะที่เงาเธอกับเงาเจรมัยสัมพันธ์กัน
เจรมัยและมัลลิการู้สึกถึงความไม่ปกติ ทุกอย่างสว่างเจิดจ้าไปหมด อา...สองคนหลุดเข้าสู่เหตุการณ์ในนิมิตอีกครั้ง
ทิวต้นยางโดนแสงแดดและต้องสายลมยอดโยนตัวไปมา เจรมัยกับมัลลิกาพากันมายืนอยู่ในทุ่งหญ้าเสียแล้ว มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับที่ทั้งคู่เคยเห็นและหลุดไปอยู่บ้านคหบดีโสภณพร้อมกันเมื่อคราวก่อน เจรมัยกับมัลลิกามองไปเห็นชายคนหนึ่งเดินมาจากอีกด้าน
มัลลิกามองไปรอบๆ “นี่มันที่ไหน”
“ไม่รู้ซิ แต่แน่ๆมันไม่ปกติซะแล้ว”
ชายคนดังกล่าวคือนายเที่ยงที่เดินย่ำไปบนหญ้า มือหนึ่งถือกระดาษมือหนึ่งถือดินสอ สองคนมองเห็นเขาจากทางด้านหลัง
แต่เจรมัยจำได้ “นั่นนายเที่ยง ผมเคยเห็นภาพเค้ามาก่อน ที่คุณอยากรู้ว่านายเที่ยงจะรูปหล่อเหมือนเสียงที่สาวๆ พากันหลงหรือเปล่า ก็ลองไปดูเอาเองนะ”
มัลลิกางง “พูดจาแปลกๆ”
เที่ยงเดินท่องกลอนไป คิดกลอนไปด้วย เป็นกลอนบอกรักเกี้ยวพาราสีสาว แต่ส่วนใหญ่เที่ยงจะคิดไม่ค่อยออก
มัลลิกาตัดสินใจเรียกชื่อเที่ยงออกไป
“คุณเที่ยง...คุณเที่ยง รอด้วย”
แต่เที่ยงไม่ได้ยิน มัลลิกาเลิกเรียก แล้วรีบเดินตาม เที่ยงเดินนำหน้าไป พร้อมกับร้องกลอนไป
เที่ยงจดๆ ลบๆ ไปบนกระดาษ แล้วก็บ่นกับตัวเอง
“แย่จังเที่ยง วันนี้หัวไม่ค่อยแล่นเลยเรา”
เจรมัยตามสมทบกับมัลลิกา ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เหมือนเราเข้ามาอยู่ฝันเลยว่ามั้ย”
“ใช่”
ไม่นานก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องกลอนเดินเข้ามา เธอคือสร้อยพี เที่ยงยินเสียงหันไปหาอย่างดีใจ
“เฮ้ย สร้อยพีนี่เอง ดีเลยๆ ช่วยพี่ได้มากเลยเมื่อกี๊ ไหนๆ ร้องต่อซิ”
สร้อยพีออกจากที่ซ่อน เดินผ่านเจรมัยและมัลลิกาไป
มัลลิกาตกใจที่เห็นสร้อยพีครั้งแรก
“คนนี้แหละสร้อยพี” เจรมัยบอก
“เธอคนนี้เองเหรอ เธอดูเหมือนผู้หญิงที่ฉันว่าถูกไฟไหม้ทั้งตัว”
“อะไรนะ”
“เดี๋ยวค่อยว่ากันขอตามไปดูก่อนดีกว่า”
สร้อยพีไปยืนขนาบข้างเที่ยง
“โอ๊ย ไม่ได้แล้ว ร้องมั่ว ทำได้แค่รอบเดียว”
“อะไรกันเนี่ย ช่วยหน่อยก็ไม่ได้ วันนี้หัวพี่ไม่แล่นเลย”
“จะแต่งกลอนเกี้ยว มันต้องเจอคนที่ถูกใจก่อนหรือเปล่า”
“อาจจะจริง แล้วนี่ที่สร้อยพีแต่งได้เมื่อกี้ ก็เพราะเจอคนถูกใจแล้วละซิ” เที่ยงย้อนถาม
“ก็อาจจะจริง”
สร้อยพีหัวเราะทำท่าล้อเลียนเที่ยง เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกภายในใจที่มีต่อเขา และคอยลอบมองเที่ยงที่กำลังจดจ่อกับการคิดกลอนตลอดเวลา จนเที่ยงหันมาเจอสายตาสร้อยพีซึ่งเผลอมองจ้องหน้าเขาเข้าพอดี
“มีอะไรหรือเปล่าสร้อยพี”
“เปล่าซะหน่อย แค่มองหาจังหวะจะบอกว่า เย็นนี้ไปกินข้าวให้ตรงเวลาล่ะ อย่ามัวแต่คิดงานเพลิน ฉันไปเตรียมสำรับดีกว่า ไปละ”
สร้อยพีเดินผ่านเจรมัยและมัลลิกาไป
“ผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพี เป็นคนรักของนายเที่ยงนั่นซินะ”
“ผมก็คิดแบบนั้น”
จังหวะนั้นเองที่เที่ยงหันกลับมาทางมัลลิกา และทำให้เธอรู้ว่าเที่ยงหน้าตาเหมือนเจรมัยราวกับแกะ
“นายเที่ยงหน้าเหมือนคุณ”
“ใช่”
“คุณ...คุณน้อง”
เสียงเรียกนั้นของหลวงนำสองคนคืนมาสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน
สองคนรู้สึกตัวจากการเรียกของหลวง เจรมัยยิ้มกลบเกลื่อนไม่ให้หลวงกับเมียสงสัย แต่ก็ไม่เป็นผลเต็มร้อย หลวงมองสงสัย
“คุณ...คุณน้อง เป็นอะไรหรือเปล่า คุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็หยุดพูดซะงั้น”
“อ๋อ ไม่มีอะไรครับ”
มัลลิกากับเจรมัยมองหน้ากันและกัน เพื่อหาคำตอบ
อีกฟากหนึ่ง ที่บ้านตาเทียบเงียบสงบจนสงัดในตอนกลางคืน ลมกรรโชกหอบเอาใบไม้แห้งปลิวไปในที่หน้าห้องตาเทียบ ยินเสียงสะอื้นไห้ของใครบางคนดังออกมาจากห้องนั้น
ผีสร้อยพีนั่งร้องไห้อยู่ที่ปลายเตียงท่ามกลางความมืดมิด
“พี่เที่ยง พี่เที่ยงไปอยู่ไหน หรือพี่เที่ยง พี่เที่ยงคิดจะหนีฉันไปอีกแล้วใช่มั้ย พี่บังคับให้น้องต้องทำแบบนี้เองนะ
สายตาสร้อยพีกลายเป็นเกรี้ยวกราด จนน่ากลัว
เจรมัยท่องและจดกลอนที่จำมาจากนิมิตเมื่อคืน มัลลกิาเดินเข้ามาใกล้อย่างสนใจ เจรมัยร้องกลอน สำเนียงใต้ออกมา
“จำขึ้นใจเลยเหรอ”
“อืม เพราะดีเหมือนกันนะ กลอนตะลุง”
“นี่คุณพูดสำเนียงใต้ได้ด้วยเหรอ”
“ก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน อยู่ๆ มันก็เข้าปากขึ้นมาซะงั้น แปลกดี”
“หรือเพราะคุณก็คือนายเที่ยง”
“เรื่องนั้นไม่น่าถาม หน้าเหมือนกันซะขนาดนั้น”
“นั่นซิ เหมือนกันมากเลย”
เจรมัยนึกสนุก อยากจะแกล้งมัลลิกาขึ้นมา
“แล้วนี่คุณได้คำตอบแล้วใช่ปะ ที่ผมว่านายเที่ยงไม่ได้เสียงหล่ออย่างเดียว”
มัลลิกาหมั่นไส้ “อะ เอาที่สบายใจเลยคุณ”
“ไม่ดิ ตกลงคุณได้คำตอบแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าไม่ได้หล่อแต่เสียง”
มัลลิกาค้อนไปทีแล้วเดินแซงนำหน้าไป เจรมัยยิ้มขำที่ได้แกล้งมัลลิกาก่อนที่จะเดินตามไป
มัลลิกาหยุดยืนมองทอดสายตาไปสุดแนวหาด เจรมัยมาสมทบและสังเกตได้ว่ามัลลิกากำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“ดูคุณกังวลๆ อยู่นะ”
“จะไม่ให้คิดก็คงทำไม่ได้”
เจรมัยรู้สึกได้ว่าเขาควรจะสัมผัสบ่ามัลลิกาเบาๆ เพื่อเป็นกำลังใจ แต่ใจอีกด้านก็เตือนว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะทำแบบนั้น
“ผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพี คงจะเป็นคนรักของนายเที่ยง คุณว่ามั้ย”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น แต่ดูนายเที่ยง...ไม่ค่อยคิด”
“รักเค้าแต่อีกฝ่ายไม่คิดแบบเดียวกัน เรื่องแบบนี้มันจะลงเอยด้วยความเศร้ามั้ย”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้น สร้อยพีก็น่าสงสารไม่น้อย”
เสียงหลวงดังขึ้น “คุณ คุณ สองคน”
เจรมัยกับมัลลิกาหันมามองตามเสียงเรียก คนที่วิ่งมาเป็นหลวงนั่นเอง
“คุณ รถสนามบินมาจะมารับแล้วนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะ”
“อ้อ แล้วนี่ครับ หลวงพ่อรู้เรื่องคุณสองคน เลยฝากให้เอาเหรียญนาฏสองเหรียญมาให้”
เจรมัยกับมัลลิการับเหรียญนั้นมาดูอย่างสนใจ
“ขอบคุณมากๆ เลยนะค่ะพี่หลวง”
“ไม่เป็นไรๆ ครับ พวกผมคนบ้านนอกไม่มีอะไรจะให้ พอจะมีก็ของที่พวกเราเคารพนับถือนี่แหละครับ ที่เอาไว้ให้คุ้มภัยในการเดินทาง”
“ขอบคุณครับพี่”
“ครับๆ งั้นเดี๋ยวผมไปบอกคนรอให้รอก่อนนะ พวกคุณไปเตรียมตัวเถอะนะ เดี๋ยวจะตกเครื่องกันอีก”
หลวงส่งข่าวแล้วก็ย้อนกลับเข้าบ้านไป
เจรมัยกับมัลลิกาเก้อๆ นิดหน่อย เหมือนรู้ตัวหมดเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว
“เดี๋ยว ก็ต้องไปเก็บกระเป๋าแล้วซินะ”
“อืม...ใช่”
เครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินดอนเมือง บรรยากาศอาคารผู้โดยสารภายในประเทศขาเข้าคึกคัก เจรมัยกับมัลลิกาถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว เตรียมที่จะแยกจากกัน
“เอาเป็นว่า ถ้ามีอะไรคืบหน้าจะติดต่อไปนะคุณ”
“อืม เช่นกัน”
เจรมัยจะเดินแยกไป มัลลิกามองตามเขาอย่างเป็นห่วง
“เจ”
“ว่าไง”
“คุณเล่นกีต้าร์เพราะดีนะ”
“ขอบคุณ”
“สู้ๆ อย่าทิ้งฝันเรื่องงานเพลงนะ บางทีคุณอาจจะเอาดีทางเพลงสำเนียงใต้ก็ได้นะ ฉันว่ามันเพราะทีเดียว”
“ขอบคุณ คุณก็เหมือนกันนะ อย่าทิ้งฝันที่จะเป็นนักเขียนสารคดีนะ”
“ฮึ้ย รู้ได้ไง...พี่เจนใช่มั้ย”
“ใช่ คนเดียวเลย” เจรมัยหัวเราะ
สายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือเจรมัยดังขึ้น เป็นจรรยาโทร.มา เขารีบรับ
“สวัสดีครับแม่ อะไรนะครับ หนูจ๋าเป็นอะไรนะครับ...ครับ...เดี๋ยวผมจะรีบไปครับแม่”
มัลลิกาได้ยินก็นึกเป็นห่วง
“จ๋าเป็นอะไรเหรอ”
“ตอนนี้หมดสติ เดี๋ยวผมไปโรงพยาบาลก่อน แล้วเจอกันนะคุณ”
“ให้...ฉันไปด้วยมั้ย”
“ไม่เป็นไรๆ ขอบคุณนะ ผมไปก่อนละ”
มัลลิกามองดูเจรมัยที่ดูเป็นห่วงหนูจ๋าอย่างมา เขาแยกไปอย่างเร่งรีบ มัลลิกานึกขึ้นได้ว่าในมือยังมีแจ็กเก็ตของเจรมัย
จะคืนให้แต่ก็ไม่ทันแล้ว
อ่านต่อ ตอนที่ 6
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่5 #thaich8 #ละครออนไลน์