เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 4
เสียงของจิตราดังผ่าความเงียบสงบยามเช้าของบ้านหลังใหญ่ขึ้น
“ตามทุกคนมาที่เร็ว”
จรรยากับจินดารีบเร่งมาตามที่พี่สาวเรียก คนใช้ในบ้านสองป้า มน กะ ป้าแจ่มก็รีบตามมา หนูจ๋า เจนจิราตามมาติดๆ นายชัด โผล่เข้ามาสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ แถวบันไดเรือน ตามประสาวัวสันหลังหวะ ที่ด้านหลังมีเจรมัยเดินแซงบ่าวขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นพี่จิต” จรรยาถามทันทีที่มาถึง
จิตรายืนอยู่ในห้องตาเทียบแล้ว พยักหน้าเรียกให้จรรยาเข้าไปดู คนอื่นๆ ขยับตัวเข้าไปด้วยความตื่นเต้น เจรมัยมาทีหลังมองผ่านประตูเข้าไป เห็นหนูจ๋ากุมแขนเจนจิราไว้แน่น บอกชัดว่าเด็กสาวกำลังกลัวอะไรบางอย่าง เมื่อมองเลยไปที่จรรยา ก็ดูออกว่าแม่กำลังใจคอไม่ดี เจรมัยรีบแทรกตัวเข้าไปในห้อง
เจรมัยพบว่า บนผนังห้องที่เคยมีตัวตะลุงแขวนอยู่ ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ตะลุงหายไป! จิตราไล่สายตามองทีละครก่อนจะถามขึ้นว่า
“ใครเข้าห้องนี้เป็นคนสุดท้าย”
“เมื่อคืนจรรยากับเจ ก็ยังเห็นว่ามันล็อคเรียบร้อยอยู่เลย” จรรยาบอก
“เมื่อเช้าพี่มาเปิดห้องเอง กะจะมาเช็ดปัดซะหน่อย ก็ถึงได้รู้ว่าหายไปแล้ว หายไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีใครตามนายชัดมาถามหรือยัง นายชัดเป็นคนสุดท้ายที่ล็อคประตูนี้”
“ค่ะๆ เดี๋ยวรีบไปตามให้นะคะคุณ” มนรีบรับอาสาแล้วเดินออกไป
เจรมัยกำลังจะพูดบอกว่าเมื่อครู่ตนเห็นชัดอยู่ตรงบันได แต่พอมองไปดูอีกทีก็ไม่เห็นชัดแล้ว เขาอดสงสัยไม่ได้
“ไม่เป็นไรมั้งแม่ ถ้าของที่หายมีแค่ตะลุงตัวเดียว”
“เจ”
จิตราตวาดใส่เจรมัย มันพอทำให้ทุกคนรู้ว่าจิตรามีความจริงจังขนาดไหน และยิ่งทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นไปอีกทบทวี
“ตะลุงอยู่คู่ตระกูลเรามาตลอดไม่เคยหายไปไหน” จรรยาว่า
จินดาคิดตาม “คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรอีก”
“มาแล้วค่ะ มาแล้วนายชัดมาแล้ว” มนหันไปเร่งชัด “เร็วๆ แก คุณเค้ารอ มันใช่เวลาไปห้องน้ำมั้ยเนี่ย”
จิตราถามเสียงเข้ม “ชัด เธอเห็นใครเข้าออกห้องนี้มั้ย”
ชัดแม้จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็อดประหม่าไม่ได้ “ไม่...มีครับ เมื่อคืนผมก็มาตรวจดูก็ยังล็อคดีอยู่เลย”
จรรยาพยักหน้าเห็นด้วย “ก็นั่นซิ”
“หรือตะลุงจะหายไปเอง” หนูจ๋าโพล่งขึ้น
จิตรามองดุ “จ๋าอย่าพูดซี้ซั้ว ป้าว่าต้องมีใครเอาไปแน่ๆ”
“งั้นเราไปแจ้งความมั้ยครับ ว่ามีขโมยขึ้นบ้าน”
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าชัดหลบตาทุกคนวูบ อย่างมีพิรุธ
ตอนสายวันเดียวกันนี้ จิตราเซ็นเอกสารสองสามฉบับที่ตำรวจ 1 หัวหน้าทีมยื่นให้มา ส่วนตำรวจอีกสองคนแยกกันไปทำงาน นายหนึ่งถ่ายภาพโดยรวมของห้องและบ้านตาเทียบ ส่วนอีกนายสอบปากคำคนรับใช้สองป้า มน แจ่ม เจรมัย จรรยา กับเจนจิรามองดูอยู่ห่างๆ
“ตลกดีนะแม่ เราแจ้งความว่าขโมยขึ้นบ้าน แต่เราไม่กล้าพูดว่าของหายเป็นตัวตะลุง”
จรรยาติง “แล้วเราจะพูดแบบนั้นทำไม”
เจรมัยยังคะนองปาก “ก็ถ้าพี่น้องแม่บอกว่าตะลุงเฮี้ยนนักเฮี้ยนหนา ทำไมแค่หาทางกลับบ้านเองแค่นี้ทำไม่ได้ซะนี่”
เจนจิราเองก็ต้องปราม “เจ เอาใหญ่แล้วนะ”
เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ ตำรวจก็พากันขอตัวกลับ จิตรายกมือรับไหว้แล้วเดินมาส่งตำรวจใกล้ๆ จุดที่เจรมัยยืนอยู่ เสียงวิทยุสื่อสารของตำรวจดังขึ้น ตำรวจ1 หัวหน้าทีม หยิบมาคุยสาย
“ใช่ผมกับอีกสองนายยังอยู่ตรงนี้ครับ นี่ทางคุณอยู่ตรงไหนแล้ว...ครับ ได้ครับ...งั้นมาเรื่องรับแจ้งว่ามีคนร้ายขึ้นบ้านคุณจิตรา เข้ามาถูกใช่มั้ยครับ...ครับ พบกันครับ”
สิ้นเสียงวิทยุ ก็มีรถตำรวจอีกคันขับแล่นเข้ามาจอดพอดี พร้อมกับตำรวจนอกเครื่องแบบอีกสองคนเดินลงมา ทุกคนในบ้านเห็นก็พากันสงสัยทั้งแถบ
เจนจิราพูดเหมือนบ่น “เอ้า มากันใหญ่แล้ว นี่แค่ขโมยขึ้นบ้าน”
ตำรวจ1 ได้ยินก็หันมาบอกเจนจิรา
“ไม่ใช่ครับ หน่วยนี้เค้ามาเรื่องอื่น เค้าอยากมาพบคุณเจรมัย...ทางผมเลยบอกพิกัดให้มาเจอหนะครับ”
เจรมัยงวยงง นึกไม่ออกว่าตนไปทำอะไรผิดที่ไหนจึงได้แต่ยืนรอ
คนที่ถามคือจรรยา “เรื่องอะไรหรือคะคุณ”
“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจครับ”
ตำรวจ1 เดินไปหาตำรวจนอกเครื่องแบบที่เดินมาหา แล้วพูดคุยอะไรกับบางอย่าง ก่อนที่จะเดินมาหาเจรมัย ตำรวจ 4 นอกเครื่องแบบ เอ่ยขึ้น
“คุณเจรมัยใช่มั้ยครับ”
“ครับ ผมเอง”
“ผมเอานี่มาให้ครับ” พร้อมกับว่า ตำรวจ 4 ส่งห่อผ้าให้
เจรมัยรับมา เมื่อเปิดออกดู ทุกคนตรงนั้นถึงกับผงะ โดยเฉพาะเจรมัย ที่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก กระแสลมหอบใหญ่พัดผ่านมากระทบตัวเจรมัย จนเขารู้สึกหนาวขึ้นมา
มันเป็นตัวตะลุงหญิงที่หายไปนั่นเอง ทุกคนในบ้านที่เกี่ยวข้องต่างสะพรึง กลุ่มตำรวจไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะจู่ๆ ทุกคนของบ้าน ก็เงียบงันไปหมด
“สรุปว่าตัวตะลุงตัวนี้ของคุณเจรมัยใช่มั้ยครับ” ตำรวจ 4 ถาม
จิตราเป็นคนตอบ “ใช่ค่ะ เป็นของบ้านเราเอง”
ตำรวจ 5 นอกเครื่องแบบอีกคนมีท่าทีโล่งอก “ครับถูกเจ้าของก็ดีแล้วครับ”
จรรยาถามไปว่า “แล้วคุณตำรวจได้มาจากไหนเหรอคะ”
“เมื่อวานมีคนคลุ้มคลั่งที่บ้านเช่าย่านธนบุรีครับ เจ้าของบ้านเป็นนักข่าว แต่เพื่อนบ้านว่าแกจะติดเพี้ยนๆหน่อย หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องไสยศาสตร์น่ะครับ”
ตำรวจเล่าว่าเมื่อตอนเช้ามืดวันนี้ รถตำรวจพุ่งเข้ามาจอดประชิดบ้านเช่าของนายสิญจน์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าคุมเชิงดูอยู่หน้าบริเวณบ้าน เจ้าหน้าที่กู้ภัยตามมาติดๆ พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตครบครัน เพื่อนบ้าน 3-4 คน กรูเข้ามาหาตำรวจทันทีที่เห็น
เพื่อนบ้าน1 ชี้บอก “บ้านนี้ล่ะค่ะคุณ แกร้องโหยหวน น่ากลัวมากเลย”
เพื่อนบ้าน2 ช่วยเสริมว่า “ใช่ครับ ร้องมาจะชั่วโมงแล้วครับ นี่เงียบไปพักใหญ่แล้ว ไม่รู้ตายหรือยัง
ตำรวจท้องที่ทุบประตูเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ชาวบ้านมุงดูด้วยความสนใจมากขึ้น ตำรวจกับกู้ภัยตัดสินใจงัดประตูบ้านเข้าไป
เมื่อก้าวเข้ามา ทุกคนพบว่าภายในห้องค่อนข้างมืด และมีเรื่องน่าสนใจก็ตรงที่ว่า บนโต๊ะกลางห้องมีตัวตะลุงปักอยู่เหนือกระทงหยวกกล้วยใส่ใบพลู ซึ่งมีเทียนไขปักอยู่ในกระถางดอกไม้แห้ง ข้างๆ กันมีหนังสือโบราณบนปกและเนื้อหาด้านในเขียนด้วยตัวอักษรที่คนทั่วไปไม่รู้จัก บ่งบอกว่าผู้ตายประกอบพิธีกรรมประหลาดล้ำบางอย่าง ตำรวจคนหนึ่งในกลุ่มกดเปิดสวิตช์ไฟ ทันทีที่แสงไฟในห้องสว่างขึ้น ทุกคนก็ต้องอกสั่นขวัญผวาเมื่อเห็น ร่างของนายสิญจน์แขวนคอร่างห้อยต่องแต่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงมุมห้อง
เจ้าหน้ากู้ภัยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อช่วยเช็คดูชายคนนี้ ยังไม่ชีวิตอยู่หรือไม่ ฉับพลันทันใดนั้นเองร่างสิญจน์ก็กระตุกและดิ้นรนอย่างรุนแรงขึ้นมา ทุกคนพากันตื่นตกใจ คนที่ได้สติก่อนรีบเข้ามาพยุงดันร่างสิญจน์ไว้ แล้วรีบพาลงมาจากเชือกที่ผูกรัดคออยู่
สิญจน์ซึ่งถูกกู้ภัยปฐมพยาบาลอยู่ เอาแต่พูดเพ้อออกมาซ้ำๆ คำเดิมว่า
“เอาตะลุงผีไปส่งคืนเจรมัย...เอาตะลุงผีไปส่งคืนเจรมัย...เอา...”
ประโยคสุดท้ายไม่ทันขาดคำดี สิญจน์ก็ตาเหลือกลานขึ้นๆ จนเหลือแต่ตาขาวและขาดใจไปในที่สุด
ในมิติอันเร้นลับ ไม่มีใครเห็นว่าผีสร้อยพียืนจ้องตาสิญจน์อย่างอาฆาตแค้น และนั่นทำให้สิญจน์ช็อกและสิ้นใจไปในที่สุด ภาพสุดท้ายในสำนึกเป็นภาพตะลุงบนโต๊ะที่ต้องแสงเทียนอยู่
เมื่อเล่าจบ ตำรวจ4 ยังได้หยิบของอีกอย่างออกมาด้วย เป็นหนังสือเก่าโบราณ ที่เขียนด้วยอักษรมลายู จิตรารับหนังสือนั้นขึ้นมาดู ตำรวจ 4 บอกว่า
“ทั้งตะลุงกับหนังสือเนี่ยมาจากที่เกิดเหตุ เราสืบค้นแล้วไม่มีมูลเกี่ยวกับการตาย จึงรวบรวมมาส่งคืนให้ครับ”
“แต่เหมือนว่าหนังสือจะไม่ใช่ของบ้านเรานะ คุณตำรวจ” จิตราบอก
“เหรอครับ”
ขณะที่ตำรวจ4 อึนๆ งงๆ อยู่นั้น เจรมัยบอกขึ้นมาว่า
“ไม่เป็นไรครับๆ คุณตำรวจคงไม่ว่าถ้าผมจะขอเอาไว้ดูซักพัก”
“ครับ ได้ครับ งั้นพวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
จิตราและคนอื่นๆ เห็นเจรมัยสนใจหนังสือ ต่างก็แปลกใจว่าเจรมัยคิดอะไรอยู่ในใจแน่ ตำรวจแยกตัวสลายตัวกลับสน.ไปหมดแล้ว
ด้านชัดที่อยู่ใกล้ๆ เกิดความไม่ไว้วางใจขึ้น เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของตำรวจ มันลอบมองตัวตะลุงที่เจรมัยถืออยู่ และรับรู้ได้ว่าตะลุงตัวนั้นกำลังมองมายังเขาเช่นกัน คนสวนหน้าเงินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินหนีไป แต่เมื่อหยุดหันกลับมามองอีกที ก็เห็นผีสร้อยพียืนปะปนอยู่ในกลุ่มเจรมัย และจ้องมาที่ตนอย่างอาฆาตพยาบาท ครั้นเมื่อเขม้นมองให้แน่ใจอีกครั้ง ก็ไม่มีร่างของสร้อยพีแล้ว
มันช่างเป็นภาพตาฝาดที่น่ากลัว น่าสยดสยอง ชวนขนลุกขนพองเป็นอย่างมาก สำหรับคนทำผิดอย่างนายชัด
เจรมัยสบตากับจิตรา และจรรยา อ่านออกว่าทั้งป้าและแม่เชื่อหมดใจ ต่อการที่ตะลุงกลับมาได้ เป็นเพราะอาถรรพ์ของตระกูล
ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ ของเจรมัยจะคล้อยตามความเชื่อของคนในครอบครัวไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีข้อกังขาอีกไม่น้อยต่อเรื่องนี้ เจรมัยเดินมาถึงหน้าห้องตาเทียบพร้อมกับป้าและแม่ที่ด้านหลัง
เจรมัยเดินเข้าไป และ ปักยึดตัวตะลุงไว้ตรงที่เดิม จิตราและจรรยาดูสบายใจขึ้น ที่เห็นเขายอมทำโดยดี
“ดีแล้วลูก ให้เค้าอยู่ที่เดิมน่ะดีที่สุดแล้ว”
“คำถามที่เจเคยถามตอนที่ตะลุงหายไป ตอนนี้หลานได้คำตอบแล้วใช่มั้ย” จิตราบอก
เจรมัยนิ่งเงียบเฝ้ามองตัวตะลุงที่ผนัง แล้วหันกลับมามองป้าและแม่ เชิงบอกว่าเราออกจากห้องนี้กันเถอะ จรรยาและจิตราขยับตัวเดินพ้นประตูห้องไปแล้ว แต่จู่ๆ เจรมัยกลับปิดประตูดังปัง! ขังล็อคตัวเองไว้ในห้องเพียงลำพัง จรรยาและจิตราใจหายใจคว่ำ สองคนตื่นตระหนกตกใจรีบหันกลับมาหา
“เจ ทำไรลูก เปิดประตู เจ อย่าล้อเล่นแบบนี้ซิ” จรรยาร้อนใจ
เจรมัยร้องบอกว่า “ไม่เป็นหรอกแม่”
“ไม่เป็นได้ยังไง มันอันตรายหรือเปล่าก็ไม่รู้” จรรยาเป็นห่วงไม่คลาย
“ก็เพราะไม่รู้น่ะซิแม่ ผมอยากรู้ ถ้าผมจะต้องกลัว ผมขอกลัวในสิ่งที่ผมรู้ดีกว่า”
จิตราจับบ่าจรรยาปลอบ ให้ใจเย็นลง
“เห็นมั้ยพี่จิต นิสัยของเจ...นิสัยที่ทำตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องอันตราย ฉันกลัวจริงๆ”
“ตอนนี้คงต้องยอมปล่อยให้เจทำในสิ่งที่เค้าคิดไปก่อน สิ่งที่เค้าพูดก็มีเหตุผล คงไม่เป็นอะไรหรอก พวกเราก็ค่อยดูเค้าไว้ตลอดแล้วกันช่วงนี้”
จรรยาพยักหน้ารับเอาคำของจิตรา ทั้งสองคนเดินห่างจากห้องไป ปล่อยให้เจรมัยขังตัวเองอยู่ในห้องแบบที่เค้าต้องการ
อีกฟากหนึ่ง หน้าจอคอมพิวเตอร์ รีวิวภาพหน้าจอ Searching บ้านสไตล์โคโลเนี่ยนในไทย รีวิวภาพ มีหลายหลังรีวิวว่าปีที่สร้างอยู่ในยุค 2470 เป็นต้นมา และ สร้างกันในภาคกลาง
มัลลิกานั่งจดจ่ออยู่หน้าจอ และ กำลังประมวลภาพเหตุการณ์ต่างๆ
“บ้านแบบนี้อยู่ที่ภาคกลางแล้วผู้หญิงในชุดภาคใต้ จะเกี่ยวกันยังไง แล้วมาลีเป็นใคร”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัลลิกาหยิบมาดู เป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่ก็ยอมรับสาย
“สวัสดีค่ะ...ใครนะคะ” มะลิตกใจ “หะ แล้วเอาเบอร์ฉันมาได้ยังไง”
เป็นสายจากเจรมัย เขาโทร.จากห้องตาเทียบ “ผมเอาเบอร์มาจากพี่เจน นี่คุณ คือตอนนี้ที่บ้านผมมีเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับหนังตะลุง เหมือนว่าจะมีคนตายเพราะมันแล้ว”
มัลลิกาตกใจ “อะไรนะ มีคนตาย”
“ใช่...คือเรื่องมันเป็นแบบนี้”
เวลาผ่านไป เจรมัยเล่าเรื่องนักข่าวชื่อสิญจน์ให้มัลลิกาฟังจนจบแล้ว
“แล้วตำรวจเอาตัวตะลุงมาส่งคืนที่บ้าน พร้อมกับเอกสารภาษา ที่ผมไม่รู้จัก ผมเลยจะขอความช่วยเหลือจากคุณกับเพื่อนของคุณหน่อย ว่าพอจะดูออกมั้ย มันเขียนว่ายังไง”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันกับเพื่อน”
“ก็...เราเจอเรื่องประหลาดมาด้วยกัน บางทีมันอาจจะทำให้เราเจอทางออกของเรื่องนี้ด้วยกันก็ได้นะ”
มัลลิกาคิดตามและเห็นด้วย “อืม...งั้นคุณส่งรูปเอกสารนั้นมาทางไลน์ แล้วกัน ส่วนคุณจะทำยังไงต่อกับเรื่องนี้”
“ผมก็จะทดลองอะไรบางอย่างกับตัวหนังตะลุงซะหน่อย คือ...คืนนี้ผมจะนอนในห้องเดียวกับตะลุงผีสิง”
มัลลิกาอึ้งไป
“จะได้รู้ไปเลยว่า ผีหน้าตายังไง”
ขณะพูดเจรมัยจดสายตามองจ้องตัวหนังตะลุงที่ติดอยู่ตรงผนังอย่างไม่วางตา
บ้านตาเทียบจากตอนกลางวันล่วงเลยเข้าสู่เวลากลางคืน ลูกจ้างในเรือนเริ่มเข้านอนในห้องพักตัวเอง ชัดยืนมองยอดไม้ที่ไหวตามแรงลม เจือมาด้วยเสียงหมาหอนเบาๆ ชัดเข้าห้องพักตัวเองใส่กลอนประตูเรียบร้อย
บานหน้าต่างสั่นเคาะกับวงกบ คล้ายเสียงคนเคาะเรียก ชัดใจไม่ดีเดินไปปิดหน้าต่างกระชับบานให้สนิทขึ้นจะได้ไม่มีเสียง พอเดินมาปิดไฟเพื่อจะเข้านอน พลันที่ไฟดับก็ปรากฏเงาผีสร้อยพียืนอยู่กลางห้องทันควัน
ชัดสะดุ้งรีบเปิดไฟอีกครั้งเพื่อมองให้ชัดๆ แต่เมื่อไฟสว่างภาพที่เห็นก็หายไป ชัดลองปิดไฟอีกครั้ง เงาผีก็ปรากฏอีกหน ชัดรีบเปิดไฟขึ้นทันทีความกลัวแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ จนไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้เงาของมันเอง มีเงาผีสร้อยพีซ้อนอยู่และยืดตัวยาวขึ้นอยู่ทางข้างหลัง
ชัดมารู้ตัวอีกทีก็เหมือนว่าจะสายไปแล้ว เมื่อมันหันมาร่างผีก็พุ่งเข้าใส่อย่างมุ่งร้าย แต่แล้วจู่ๆ ร่างผีนั้นก็หายไปในอากาศ ชัดรอดตายอย่างหวุดหวิด มันรีบสำรวจรอบตัวรอบห้องว่าปลอดภัยอยู่หรือไม่
เหตุเป็นเพราะเจรมัยดึงหนังตะลุงออกจากหยวกตรงผนัง แล้วเอามาวางตรงเตียงนอน หยุดยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะขยับตัวเอนหลังนอนอยู่ใกล้ๆ เจรมัยหยิบตะลุงขึ้นมาดูอีกหน คิดสารพัดว่าอะไรคือสาเหตุทั้งหมด
“ตะลุงผีสิง มันจะจริงหรือแค่เรื่องไร้สาระกันแน่”
ว่าแล้วเจรมัยก็เลิกสนใจตัวตะลุงเตรียมนอนหลับ ในจังหวะที่เขาวางตะลุงลงนั่นเอง เงาผีสร้อยพีมายืนมองเจรมัยด้วยความห่วงหาอาทร เพียงแต่เจรมัยไม่ได้เห็นภาพนั้น
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เหมือนจะเช้าแล้ว เจรมัยตื่นนอน มองสำรวจดูรอบๆ แล้วต้องรู้สึกผิดหวังที่ไม่มีอะไรแปลกประหลาดอย่างที่คาดคิด เขาเพ่งมองดูตัวตะลุงที่วางแหมะอยู่ใกล้ๆ เจรมัยลุกลงจากเตียงเดินออกไปที่ประตู
เมื่อออกมานอกห้องก็ต้องประหลาดใจเมื่อไม่พบใครเลย เช้าวันนี้บ้านทั้งหลังดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
“วันนี้เงียบกันจัง หรือไปไหนกันหมด”
เจรมัยย้อนกับมาที่ห้องอีกครั้ง และนั่นมันทำให้เขาต้องตะลึงตะไล เมื่อเห็นว่าบนเตียงยังมีตัวเขานอนอยู่
เจรมัยตกใจกับสิ่งที่เห็น และอะไรบางอย่างนำเขาเข้าไปสู่อดีตทันที
ลมพัดเอื่อยๆ โน้มต้องยอดหญ้า สร้อยพีหอบไม้และวัสดุทำตะลุงเดินฮัมเพลงสำเนียงใต้มาอย่างมีความสุข เดินมาอีกซักระยะก็รับรู้ว่ามีใครบางคนเดินตามหลังมา และแล้วใครคนนั้นก็จู่โจมจากด้านหลัง พาลทำให้ของที่หอบอยู่หลุดจากมือไป
ใครคนนั้นเป็นเที่ยงนั่นเอง ตอนนี้เขาเอาแต่หัวเราะชอบใจที่แกล้งสร้อยพีได้สำเร็จ ขณะที่สาวตาคมสีน้ำตาลค้อนควัก งอนใส่เที่ยง
“พี่เที่ยง เอาแต่หัวเราะช่วยเก็บเลย”
เที่ยงหัวเราะไม่หยุด “พี่ชายจะแกล้งน้องสาว นิดหน่อยเอง ทำเป็นงอนไปได้”
สร้อยพีสะดุดหูกับคำว่าน้องสาว เที่ยงเองก็ไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไรกับคำพูดจากใจตน
“ง้อๆ ไปๆ เดี๋ยวพี่จะพาไปดูอะไร พี่ว่าสร้อยพีเห็นแล้วน่าจะถูกใจ”
“ได้ แต่ถ้าไม่ถูกใจละก็...พี่เที่ยงโดนดีแน่”
“โดนอะไร ฮะ”
ว่าแล้วเที่ยงก็ยีหัวสร้อยพีก่อนจะวิ่งนำออกไป สร้อยพีวิ่งกวดเอากิ่งไม้หวดเที่ยงไปตลอดทาง
มีจังหวะที่เที่ยงเกือบหกล้ม ได้สร้อยพีคว้าแขนช่วยเอาไว้ทัน แต่ก็ต้องถลาล้มกลิ้งด้วยกันทั้งคู่
ก่อนที่หัวสร้อยพีจะโขกเข้ากับก้อนหินแถวนั้น เที่ยงก็รีบเอามือเข้าไปบังซ้อนประคองหัวของเธอไว้ทัน นั่นทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ก็เกือบจะสัมผัสกัน ทั้งสองคนสบตากันในระยะประชิดใกล้มากที่สุด
“โอย เจ็บๆ”
เที่ยงเริ่มโอดโอยทำลายความโรแมนติกขึ้นมา เนื่องเพราะมือไปกระแทกกับก้อนหิน และทนเจ็บอยู่ตั้งนาน
สร้อยพีเป็นห่วง “เป็นไรพี่เที่ยง”
เจะ...เจ็บมือ”
สร้อยพีรีบคว้ามือเที่ยงมาดู พอเห็นว่าเป็นแผลก็รีบเป่าปัดให้หายเจ็บ เที่ยงทำเป็นหายเพื่อเอาใจเธอ จากนั้นสองคนก็หยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน
“ไป...อยากเห็นของที่พี่ว่ายัง”
สร้อยพีพยักหน้ายิ้มๆ
ที่เรือนแถว บริเวณที่ชาวคณะเอาไว้สร้างหุ่นตะลุง นายโพนอยู่กับลานตากตัวหนังตะลุงใกล้ๆ กัน ขณะที่สร้อยพีกับเที่ยงเดินมาถึง
“เอ้าสองคนไปไหนกันมา”
“พาสร้อยพีมาดูอะไรซักหน่อยน่ะอาโพน” เที่ยงบอก
นายโพนฟังแล้วก็รู้ว่าเที่ยงหมายถึงอะไร
“โน้นอยู่ตรงมุมนั้นแหละ”
“อะไรกันเนี่ย พ่อก็รู้กับพี่เที่ยงด้วยเหรอ” สร้อยพีค้อนพ่อพองาม
เที่ยงทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม ยิ่งแกล้งให้สร้อยพีอยากรู้ นายโพนเดินมาหยุดดูด้วยอย่างสนใจ พอมาถึงมุมที่นายโพนว่า เที่ยงก็จับไหล่สร้อยพีให้ยืนตรง แล้วจับใบหน้าสร้อยพีอย่างพินิจพิเคราะห์ มองซ้าย แลขวา นั่นก็ยิ่งทำให้สร้อยพี่งงใหญ่
“นี่ตาสร้อยพีสีน้ำตาลเนอะ ตาสวยนะเนี่ย”
สร้อยพีเขินที่เที่ยงพูดชมแบบนั้น เที่ยงหันไปหยิบตัวตะลุงที่ยังไม่เสร็จขึ้นมาอวด มันเป็นตะลุงตัวผู้หญิง รูปร่างสวยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็ดูออกว่ายังต้องทำอะไรเพิ่มอีกหน่อยจึงจะสมบูรณ์ สร้อยพีมองตะลุงตัวนั้นด้วยความประหลาดใจ
“นี่ตัวตะลุงที่พี่ทำขึ้นเอง แรงบันดาลใจก็มาจากน้องสาวตรงหน้าพี่นี่แหละ ขาดแต้มสีน้ำตาลที่แววตา ก็เป็นอันเสร็จ”
“พี่เที่ยงหมายถึง ตัวตะลุงตัวนี้ แทนตัวสร้อยพีเหรอจ๊ะ” สร้อยพีตื่นเต้น
“อืม...สร้อยพีชอบมั้ย”
“ชอบซิจ๊ะ”
เที่ยงยิ้มภูมิใจที่ทำให้สร้อยพีมีความสุข จากนั้นก็หันไปทำตัวตะลุงต่อ ใกล้ๆ มีนายโพนกำลังตัวตะลุงตัวอื่นอยู่ด้วย
นายโพนทำไปก็เล่าเกี่ยวกับวิถีความเชื่อของตะลุงไปด้วยทุกขั้นตอนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เริ่มตั้งขึงหนัง แช่น้ำยา จากนั้นนำหนังไปตาก พอแห้งดีก็นำมาตอกลาย แล้วแต้มแต่งสี
“ความรักในตะลุงของคนเก่าคนแก่น่ะสุดจะคณานับ อยากเห็นตะลุงอยู่กับลูกหลานไปนานๆ เป็นไปได้ก็อยากสนับสนุนให้ลูกๆ หลานไ รุ่นต่อๆ ไปกันกันรักษาตะลุงเอาไว้ ว่ากันว่าคนโบราณทำได้ถึงขั้นยอมสละผิวหนังตัวเอง ประกอบเป็นตัวตะลุงได้เลยนะ”
สร้อยพีมองความเห็นความตั้งใจของเที่ยง และ ประทับใจเรื่องที่พ่อเล่าให้ฟัง มีคนคณะ ทอง สน และพยอม ผ่านมาเห็นเที่ยงกับสร้อยพีใกล้ชิดกันก็ออกอาการเอ็นดู
“โห กูว่าอีกไม่นาน สงสัยพี่ทองจะได้น้องสะใภ้แหง” สนว่า
“ไม่ม้าง ไอ้เที่ยงกับสร้อยพี มันเล่นมาด้วยกันแต่เด็ก มันก็สนิทกันเป็นธรรมดา” ทองบอก
พยอมแย้งว่า “อันนี้ไม่แน่ใจ จากสายตาผู้หญิงด้วยกันแล้ว รู้สึกว่าแววตาแบบนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ต้องดูกันยาวๆ”
ผู้ชมในหมู่บ้านล้อมวงกันเข้ามาดูตะลุงของนายเที่ยงเนืองแน่น
กลุ่มนักดนตรี นายทอง และ นายสน ประโคมดนตรีตามกลอนร้องของเที่ยง พยอมเตรียมส่งตัวตะลุงให้เที่ยงอยู่ใกล้ๆ นายโพนยืนดูภาพรวมทั้งหลังเวทีและหน้าเวที เห็นผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาดู แถมส่งเสียงชื่นชมในเสียงร้องของเที่ยง ก็เป็นปลื้ม
นายโพนมองเลยไปเห็นสร้อยพีกำลังมองดูเที่ยงอย่างชื่นชม ไม่ไกลกันนักยังมีกลุ่มสาวๆ ที่กำลังระริกระรี้พูดถึงเที่ยงอย่างชื่นชม ทั้งเสียงร้องและหน้าตาน่ากิน
ฉวีหัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้น “ร้องดีที่สุดแล้วคณะนี้ ฉันตามมาดูทุกวิกเลยนะเนี่ย”
สาว2 เคลิ้ม “อืม เพราะจัง ร้องก็สนุกเนอะ”
สาว3 เห็นด้วย “ใช่ๆๆ”
ฉวีระริกระรี้หูตาแพรวพราว “ไม่ได้หล่อแค่เสียงนะ หน้าตาก็หล่อด้วย จะบอกให้”
“หูยยย จริงนะเธอ” สาว2 ว่า
สาว3 เชียร์ใหญ่ ให้ฉวีจัดการนายหนังตะลุงรูปงามเสียงทอง
“คนนี้ล่ะหายห่วง เอางี้ คืนนี้ฉันไม่เห็นว่าเพื่อนฉันไม่ได้ผัวกลับบ้าน ฉันไม่กลับ”
สาว2 เชียร์ “ชอบๆ”
“ฉันจะทำให้ดู” ฉวีบอกอย่างมาดมั่น
สร้อยพีได้ยินได้เห็นแล้วไม่สบอารมณ์เอาเลย
เวลาผ่านไป ตะลุงแสดงจบลงแล้ว เที่ยงกับส่งกล่องดนตรีชุดสุดท้ายให้พี่ทองเพื่อเก็บใส่ท้ายรถบรรทุก นายสนโดดขึ้นจัดแจงให้เข้าที่ พยอมกับสร้อยพีหอบผ้าจอกับนับเงินทิปที่เที่ยงส่งให้ ซึ่งเงินทั้งหมดได้มาจากแม่ยกที่ตอนนี้ทยอยกันกลับแล้ว
นายโพนกวักมือเรียกเที่ยงให้มนหาตนซึ่งกำลังคุยอยู่กับเจ้าภาพคนว่าจ้าง
“นี่แหละครับพ่อเที่ยง ลูกชายเจ้าของคณะคนเก่า”
ลุงเจ้าภาพมองชื่นชม “โอ้ หล่อทั้งเสียงทั้งหน้าเลยนะเนี่ย ขอบใจมากนะเที่ยง วันนี้คนบ้านนี้เค้าชื่นชอบกันยกใหญ่เลยนะ”
“ครับ ขอบคุณมากๆ ครับคุณลุงที่ให้โอกาสคณะตะลุงเล็กๆ อย่างเรา”
“โอย ไม่ต้องๆ ไม่ต้องเกรงใจ อืม นี่เที่ยงมาก็ดีแล้ว หลานลุงเค้าอยากจะรู้จักเที่ยงพอดีเลย อ่ะ รู้จักกันไว้นะ”
ลุงเจ้าภาพหันไปเรียกหลานสาวกับเพื่อนอีกสองคนเดินเข้ามาหา ซึ่งก็คือสามสาวที่ซุบซิบๆ ตอนเที่ยงแสดงนั่นเอง
ฉวียืนบิดแนะนำตัวเขินๆ “สวัสดีจ๊ะพ่อเที่ยง ฉันฉวี จริงๆ เราเคยเจอกันแล้วนะ”
เที่ยงยิ้มแก้เก้อ “หรือครับ”
“ก็ตอนวิกก่อน ที่พ่อเที่ยงไปเล่นที่บ้านยางนอนไง”
เที่ยงจำได้ว่าเคยไปเล่นที่นั่นจริง “ใช่ๆผมไปเล่น...แต่ต้องขอโทษทีนะครับ ผมจำไม่ได้จริงๆ คุณ...ฉวี”
ระหว่างนี้สร้อยพีเดินเข้ามาเห็นพอดีในจังหวะที่ฉวีบีบแขน และแอบสัมผัสมือเที่ยง และไม่ชอบใจนัก รู้สึกว่าฉวีทำเกินไปแล้ว เธออยากเดินเข้าไปในกลุ่ม แต่มีเหตุว่าต้องไปช่วยพยอมเก็บของ เลยต้องเดินตามไป พยอมมองจับสังเกตเห็นท่าทีของสร้อยพีก็พอดูออก
สาว2 จ๊ะจ๋ากับเที่ยงต่อ “แล้วพ่อเที่ยงจะไปเล่นอีกทีที่บ้านไหน เมื่อไหร่ พวกฉันจะได้ตามไปดู”
“จะอีกทีก็เดือนหน้าครับ คณะตะลุงเล็กๆ อย่างเรามีงานเดือนละสองสามงานเท่านั้นแหละครับ” เที่ยงบอก
สาว3 ยิ้มแย้ม “ดีแล้ว เดี๋ยวถ้าวันไหนคณะนายเที่ยงดังกว่านี้ เดี๋ยวพวกฉันสามคนจะเข้าไม่ถึง”
เที่ยงอึกอักและอึดอัด “เอ่อ”
“อย่าว่าอย่างงี้อย่างงั้นเลยนะ พ่อเที่ยงเนี่ยโสดอยู่หรือเปล่าจ๊ะ” ฉวีถาม
เที่ยงงง “หะ”
สาว3 ถามย้ำว่า “เพื่อนฉันถามว่าพ่อเที่ยงนี้โสดอยู่หรือเปล่า”
เที่ยงบอกตามตรง “โสด...ครับ”
“อ๊าย....” สามสามกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่แทบเสียจริต จนลุงเจ้าภาพต้องปราม
“เอ้าๆ สาวๆพวกนี้ ให้มันเบาๆ หน่อย”
สามสาวหัวเราะกันกิ๊กกิ๊ก ชอบใจในคำตอบ เที่ยงชักรู้สึกว่าการคุยจะเลยเถิดไปใหญ่เลยขอตัวกลับก่อน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวกลับไปเก็บของก่อนนะครับ”
“จ้ะๆ พ่อเที่ยง”
กลุ่มฉวีเดินมาถึงหัวมุมตลาด และกำลังคุยฟุ้งเสียงเล็กเสียงน้อยเรื่องที่ได้คุยกับเที่ยง
“เป็นไงล้า ฉันว่าแล้ว ว่าโสด” สาว2 เปิดประเด็น
“จ้า แม่คนเก่ง แต่ฉันว่า คนที่หน้าบานที่สุดต้องนี่เลยฉวี” สาว3 ว่า
ฉวีทำเป็นเล่นตัว “เปล่า บานเบินอะไรยะ ปกติจะตาย”
“แหมๆๆ พอได้ยินว่าโสดเนี่ย ฉันก็ได้ยินเสียงหัวใจแกเต้นจะออกมานอกอกอยู่แล้วเนี่ย”
พร้อมกับว่า สาว 2 เอานิ้วอุดหูแกล้งเพื่อน สาว 3 สมทบแกล้งด้วยอีกคน ฉวีทำเป็นเขิน บรรยากาศสนุกสนานกันใหญ่
ความระรื่นนั้นในหมู่สามสาวก็ต้องมีอันหยุดลง เมื่อมีใครบางคนมาขวางทางพวกเธอไว้ เป็นสร้อยพีนั่นเอง
“พวกผู้หญิงบ้านนี้ ปากมันดีกันจริงๆ ระริกระรี้อยากได้พี่เที่ยง”
ฉวีแหวใส่ “แกเป็นใคร”
สร้อยพีอึกอัก “ฉัน...”
ฉวียิ้มเยาะพูดสวนออกไปว่า “อ๋อ... แกก็คงพวกทึกทักเอาเองว่าเป็นเจ้าของพ่อเที่ยงหละซิ แกมันก็ไม่ต่างกันหรอกว้า”
สร้อยพีโกรธจัดอยากจะด่ากลับแต่ก็คิดคำพูดไม่ออก
สาว2 ตะเพิดส่ง “หลบๆ ไปอีขี้จุ๊”
ฉวีกลับพวกเดินเบียดสร้อยพีให้พ้นทาง สร้อยพีเสียหลักเกือบล้ม
“โอ๊ย” ความแค้นทำให้คิดคำด่ามาได้ “ยังไงพี่เที่ยงเค้าก็ไม่เลือกผู้หญิงอย่างพวกเอ็งหร๊อก ผู้หญิงบ้านตลาด ที่ร่านอยากมีผัว”
ฉวีกับพวกหันขวับ พากันปรี่เข้าไปตบหน้าสร้อยพีจนหน้าชา สร้อยพีเดือดดาด โถมเข้าใส่ฉวีกับพวก จนเป็นการตบตีอันชุลมุน เที่ยงเดินผ่านมาเห็นก็ตกใจรีบร้องห้าม แต่ไม่มีใครฟัง เอาตัวกันสร้อยพีไว้ และทำให้เขาพลอยโดนตบไปด้วย
เที่ยงกันสร้อยพีออกจากสามสาวได้สำเร็จ
“พอแล้ว พอแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ฉวีฟ้องอย่างโกรธแค้น “พ่อเที่ยง อีนังนี่มันเป็นอะไรไม่รู้ เป็นเดือดเป็นร้อน ห่วงพ่อเที่ยงเหลือเกิน ถามจริงๆ นังนี่มันเป็นใครกันน่ะ เป็นอะไรกับพี่เที่ยงพูดมาซิ”
เที่ยงได้ยินก็หันไปหาสร้อยพี
“มันยังไงสร้อยพี”
“ก็นังสามคนเนี่ยมัน ระริกอยากได้พี่เที่ยงเป็นผัว สร้อยพีรับไม่ได้ ที่มันเอาพี่เที่ยงไปพูดเล่นแบบนั้น”
เที่ยงเข้าใจว่าสร้อยพีเป็นห่วงตนกลัวเสียชื่อ “โถ สร้อยพี”
“เอ้า ยังไง ตกลงเป็นอะไรกัน หรือเปล่าพ่อเที่ยง ตอบฉันหน่อยซิ” ฉวีซักเค้น
เที่ยงอึกอัก หนักใจที่จะตอบ สร้อยพีเองก็ลุ้น อยากรู้ว่าเที่ยงจะตอบอย่างไร
“ใช่ สร้อยพีเป็นคนพิเศษของผม” เที่ยงตัดสินใจบอกไปแบบนี้
ฉวีไม่พอใจคำตอบ “พิเศษยังไง ทำไมไม่พูด”
“พิเศษกว่าที่พวกคุณจะเข้าใจ”
สร้อยพีประทับใจมาก ที่ได้ยินแบบนั้น
ฉวีและพวกเจ็บใจที่โดนตอกกลับแบบไม่ไว้หน้า จึงได้แต่สะบัดสะบิ้ง ตะบึงตะบอนใส่ลมใส่แล้งไปมา เที่ยงพยุงสร้อยพีกลับออกไป ในจังหวะหนึ่งที่เที่ยงไม่เห็น สร้อยพีหันมามองสามสาวอย่างเยาะเย้ย
มีมือเที่ยงประคองมือสร้อยพีกุมเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
ต่อมาเที่ยงได้ใช้ผ้าชุบน้ำในขันเช็ดหน้าที่เปื้อนของสร้อยพีอย่างอ่อนโลยทะนุถนอม พยอมเดินเข้ามาพร้อมด้วยผ้าแห้งอีกผืนยื่นให้
“อะ นี่ผ้าแห้งมาแล้วพี่เที่ยง”
“ขอบใจพยอม” เที่ยงรับมา “พยอมๆ ไปดูต้นทางให้ทีว่า ถ้านายโพนผ่านมารีบมาบอกเลยนะ เดี๋ยวจะมาเห็นลูกสาวตัวแสบไปมีเรื่องมาแล้วจะ พากันโดนด่ายกคณะ”
“ได้ๆ”
เที่ยงเอาผ้าแห้งเช็ดหน้าให้สร้อยพีอย่างระวัง อบรมไปด้วย
“สร้อยพีโตจนป่านนี้แล้ว ต้องใจเย็นๆ นะ เรื่องลมปากคนมันก็แบบนี้แหละ เอามาถือสาก็มีแต่เรื่อง
“แล้วลมปากพี่ล่ะ”
“พี่เนี่ยนะ”
“ใช่ ไหนพี่พูดใหม่ได้มั้ย”
เที่ยงหยุดมือทันที สร้อยพีสงสัย
“เอ้าพี่เที่ยงนิ่งเลย อะไม่ตอบก็ไม่ตอบ เอ่อ พี่เที่ยงตอนที่อีคนนั้นมันจะตบสร้อยพีแล้วพี่เที่ยงมาขวางพี่น่ะเจ็บมั้ย”
“พี่ว่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า”
ความจริงคือเที่ยงเห็นนายโพนมายืนอยู่ข้างหลังสร้อยพีแล้ว และได้ยินเรื่องที่ลูกสาวไปตบตีกับคนดูมาแล้ว สร้อยพีแปลกใจ หันไปมองที่ด้านหลังก็ต้องตกใจ
“พ่อ”
นายโพนถามเสียงขุ่น “ไปก่อเรื่องมาอีกแล้วหรือ”
เที่ยงเผลอปาก “ครับ เอ๊ย เปล่าครับ”
พยอมวิ่งทะเล่อทะล่ามาอีกทาง ก้มหน้าพูดโดยไม่ทันมอง
“พี่เที่ยงๆ พยอมไปยืนดักอาโพนตั้งนานไม่มีวี่แววจะผ่านมาเลย พยอมว่าอาโพนคงไปดูพี่สนตรงโน้นแล้วหละมั้ง คงไม่มาแล้ว”
สร้อยพีชี้นิ้วบอกใบ้ พยอมหันไปมองถึงกับเข่าอ่อน นายโพนได้ยินหมดแล้ว
“ว้าย ไม่ได้ยินที่หนูพูดเลยใช่มั้ยค่ะ”
“ได้ยิน แกมันก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิดอีกคน”
พยอมสะดุ้งร้อง “อุ๊ย”
“เดี๋ยวขอหาไม้เรียวเหมาะๆ ซักหน่อย บอกกี่ครั้งเตือนกี่ครั้งแล้ว ก็ยังก่อเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่นั่น คืนนี้ขอหวดให้น่องลายซะหน่อย”
นายโพนง่วนอยู่กับการหาไม้เรียว พอหันมาอีกทีก็พบว่าพวกเที่ยงพยอมและสร้อยพีเผ่นแน่บหายไปหมดแล้ว
กระดาษที่ปรินต์ออกมาเป็นภาพตัวอักษรที่เจรมัยส่งมาให้ มัลลิกา ภวัต และ แว่นอยู่ด้วยกัน
“เป็นภาษามลายูครับ เป็นหนังสือประวัติของตะลุง ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ” ภวัตบอก
“แล้วที่ขีดเส้นใต้เนี่ย มันมีความสำคัญยังไงหรือเปล่าล่ะวัต”
“อืมๆ ว่าไปก็สำคัญนะ เค้าเขียนไว้ว่า แต่ก่อนตะลุงจะมีการทำจากหนังคนด้วย”
มัลลิกาฟังแล้วตกใจ “เฮ้ย หนังคน”
แว่นฟังแล้วสยอง “น่ากลัว”
“ไม่ๆ ไม่น่ากลัว ในเจตนาของคนสมัยก่อน การทำแบบนี้เป็นเพราะความเจตนาดี เป็นความรักที่มีต่อนักเล่นตะลุง รุ่นต่อๆไป คือว่ากันง่ายๆ การมีของแบบนี้มันเป็นสิริมงคล มีแต่จะทำให้เจริญก้าวหน้า ผิวหนังส่วนใหญ่ก็เป็นของครูบาอาจารย์ คนที่เคารพ คนที่รักที่จะติดตามชีวิตชาวตะลุงต่อๆ ไป”
“หรือว่าตะลุงตัวที่อยู่กับเจรมัย จะเป็นตะลุงหนังคน และเป็นหนังใครอะ ไม่เป็นไร ยังไงก็ขอบคุณมากเลยนะวัต”
“ไม่เป็นไร เพื่อมะลิเราเต็มที่อยู่แล้ว แล้วนี่ ที่เจรมัยมีหนังตะลุงเหรอ”
“อืม...เราก็ไม่เคยเห็นหรอกว่าหน้าตายังไง ได้ยินเขาเล่ามา”
“ว่าไปพักหลังๆ ผมเห็นคุณกับเจ พัวพันอยู่กับเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับภาคใต้ มาซักระยะแล้ว มีอะไรอยากเล่าให้ฟังบ้างมั้ย”
“ยังดีกว่า ตอนนี้เราก็ยังงงๆ อยู่กับเรื่องนี้ ไหนจะเรื่องผู้หญิงที่ไฟลุก เสียงเพลงตะลุง และก็เรื่อง...”
มัลลิกาชะงัก หยุดคำพูดลง ไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่เธอไปเห็นคนในบ้านคหบดีโสภณพร้อมกับเจรมัย
“เออ เอาเป็นว่าไว้พร้อมเมื่อไหร่จะเล่านะ อ่ะ...ขอตัวไปโทร.บอกเจรมัยเรื่องตะลุงหนังคนก่อนนะ”
มัลลิกาโทร.หาเจรมัย พลางลุกออกไปคุยสาย ภวัตมองตามมัลลิกาไม่วางตา จนกระทั่งเสียงแว่นดังขึ้น
“คุณภวัตๆ ผมอ่านได้แล้ว บรรทัดนี้ที่ตัวอักษรลางๆ ผมอ่านได้แล้วว่า นครศรีธรรมราช”
ภวัตคิดตามที่แว่นบอก แล้วเดินตามมัลลิกาไปห่างๆ
“ประเด็นนี้น่าสนใจคุณแว่น ผมเดินไปบอกมะลิเค้าดีกว่า”
แว่นเหน็บอย่างรู้ทัน “แหมะ หาเรื่องซะมากกว่า ส่งไลน์ก็ได้มั้ย”
ภวัตชะงักที่โดนขัดลำ ลูกน้องก็รู้ทัน แต่ก็ทำเป็นเฉไฉไม่สนใจ
มัลลิกากดโทรศัพท์หาเจรมัยแต่เขายังไม่ยอมรับสาย
“ทำไม นายเจ ไม่รับสายนะ” บ่นพร้อมกับสั่งกาแฟไปด้วย “มัชชะลาเต้ร้อนค่ะ”
ภวัตเดินตามมาดูอยู่ห่างๆ อยากจะเข้าไปพูดกับเธอ แต่ในจังหวะนั้นเอง แคทลียาก็ผ่านมาพอดี หล่อนจำภวัตได้รีบปรี่เข้าไปหาทันที นั่นทำให้ภวัตไม่ได้เข้าไปคุยกับมัลลิกา
“ภวัตๆ จริงๆ ด้วย นี่แคทนะ”
“อ้าวแคท เป็นไงบ้าง”
“สบายดี แหมกลับมาไทยเมื่อไหร่ไม่เห็นส่งข่าวเลยนะ”
“เรากลับมาได้ยังไม่ถึงปีเลย”
“แล้วนี่กลับมาเป็น CEO ให้แมกกาซีนตัวเองอยู่ใช่มั้ย”
“ก็ประมาณนั้น”
แคทลียายิ้มร่า “ดีจังมีเพื่อนเป็นสื่อ นี่ไง ฝากเชียร์ข่าวชั้นบ้างนะ”
“ข่าวไร ระดับแคทนี่ไม่ต้องแล้วมั้งเราว่า”
“ก็ข่าวชั้นกับเจรมัยไง”
ภวัตงงๆ เซ็งๆ “เจรมัย อีกแล้วเหรอ”
“อ้าว รู้จักกันเหรอ”
“ก็ ก็เฉียดๆ กันน่ะ” แคทลียาบอก
มัลลิการับกาแฟมาแล้วเดินออกจากร้านไปเลย เฉียดฉิวที่แคทลียาเกือบจะเจอเธออยู่แล้ว
“เหรอ... ยังไงอย่าลืมเชียรข่าวเรากับเจรมัยนะ เออ แล้วนี่จะเดินไปไหนล่ะ”
“ก็ว่าจะเดินไปหา...”
ภวัตมองไปตรงเคาน์เตอร์ ซึ่งตอนนี้ไม่มีมัลลิกาอยู่แล้ว แคทลียามองตามไม่เห็นใคร แต่ก็พอเดาได้ว่าต้องเป็นคนพิเศษของภวัตแน่นอน
“อ๋อ มาหาแฟนล่ะซิ เค้าไปไหนแล้วล่ะ”
“เอ๊ยๆ ยังๆ ไม่ใช่แฟน” ภวัตปฏิเสธพัลวัน
แคทลียายิ้มเย้า “แหม อย่ามาทำเขิน กี่ปีกี่ชาติฉันไม่เคยเห็นภวัตจะปิ๊งใครซักที เสียดายจัง อดเจอหน้าว่าที่แฟนของภวัตเลย”
โทรศัพท์มือถือเจรมัยวางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงมีสายเรียกเข้า เจรมัยยังหลับอยู่บนเตียงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์นั้นเลย เพราะกำลังจมจ่อมอยู่ในอดีต
ในอดีตตอนนั้น นายโพนบริกรรมคาถาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำคณะมีตะลุงที่เป็นที่นับถือตั้งอยู่บนแท่น ตะลุงตัวที่เที่ยงทำให้สร้อยพี เสียบอยู่ที่ผนังห้อง ไม่ได้นำมาบูชาด้วย เที่ยงคอยดูแลอยู่ข้างๆ สน พยอม ทอง สร้อยพี เด็กชายเทียบ และ ลูกคณะอีกสามคน พนมมือตั้งใจทำพิธี
“ข้าพเจ้ากับลูกคณะ มีเหตุต้องเดินทางไปพระนคร เพื่อทำการแสดงตะลุงที่บ้านคหบดีโสภณ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยดลบรรดาลให้การเดินทาง และการแสดงของพวกข้าพเจ้าลุล่วงด้วยดี การแสดงเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่นิยมของผู้ชมพระนครด้วยเถิด”
นายโพนกล่าวนำ และคนอื่นก็กล่าวตาม บรรยากาศงานพิธีเป็นไปอย่างจริงจังขรึมขลัง และ ทุกคนที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
โทรศัพท์ที่หัวเตียงดังขึ้นถี่ๆ เจรมัยยังหลับอยู่อย่างนั้น จนสายของมัลลิกาหลุดไป
เจนจิราคุยโทรศัพท์อยู่กับผู้ช่วยที่โทร.เข้ามา
“ไม่เอา ไม่เอาแบบนอก สปอนเซอร์เค้าไม่เอา ก็บอกแล้ว ลองดูอีกทีนะเธอ ไงก็ทยอยส่งรูปมาล่ะ เดี๋ยวพี่จะเอาไปแชร์กับลูกค้าต่อ ไงงานที่ว่าก็รีบๆ หน่อยนะเธอ จ้ะๆ”
เจนจิราวางสายแล้วออกเดินมองสำรวจ รอบๆ บ้าน ยกมือถือถ่ายรูปมุมต่างๆ ไปด้วย
“นางแบบก็ยังหาไม่ได้โลเกชั่น ก็ยังไม่มี โอ๊ยฉันจะบ้าตาย”
จิราผู้เป็นแม่เดินตามด้วยความสงสัย “ทำอะไรน่ะลูก”
“หนูไปรับจ๊อบงานแฟชั่นมาน่ะค่ะ แต่ดูๆ อะไรก็ติดขัดไปโหม้ด”
“งั้นเหรอ”
เสียงเรียกเข้าในมือถือเจนรินราดังขึ้น เป็นเบอร์มะลิ โทร.มา
“ว่าไงมะลิ”
“พี่เจน...พี่เจนอยู่กับเจหรือเปล่าคะ คือน้องโทร.หาเจมาหลายชั่วโมงแล้ว เขาไม่รับสายเลย”
“อ้าวเหรอ” เจนจิราหันมาทางแม่ “เจอยู่บ้านหรือเปล่าคะแม่”
“อยู่นะ เห็นพี่จรรยาบอกว่าอยู่ในห้องคุณตา”
มัลลิกาได้ยิน “อยู่เหรอคะ แต่ทำไมไม่รับสาย หรือจะเกิดอะไรขึ้น เห็นว่าเมื่อคืนเจเขา ขังตัวเองในห้องที่มีหนังตะลุงด้วย”
เจนจิราตกใจ “ตายแล้ว”
“อะไรลูก” จิราพลอยตกใจไปด้วย
“แม่ เมื่อคืน เจ ขังตัวเองในห้องที่มีตะลุงเหรอแม่”
“ทำไมทำแบบนั้นล่ะ แม่ไม่รู้เรื่องเลย เรารีบไปดูกันเถอะ”
จิราและเจนจิรารีบร้อนเดินมาตามทางเดิน จนพบจรรยายืนเคาะประตูห้องตาเทียบอยู่ พร้อมลูกจ้างที่ถือสำรับอาหารว่างอยู่ในมือ
“พี่ เจยังอยู่ในห้องเหรอค่ะ” จิราถาม
“อยู่ซิ แต่เนี่ยเคาะเรียกให้มากินข้าว ก็ไม่ตอบ ได้ยินแต่เสียงโทรศัพท์ก็ไม่เห็นรับ”
“สงสัยจะเป็นสายของมะลิโทร.เข้ามาน่ะค่ะ” เจนจิราว่า
ลูกจ้างอีกคนวิ่งเข้ามา พร้อมกับกุญแจ
“มาแล้วๆ กุญแจค่ะคุณจรรยา”
จรรยาประหลาดใจ “อ้าวแล้วชัดล่ะไปไหน”
“นายชัดไม่ยอมมาค่ะ บอกว่าไม่อยากเข้าใกล้ห้องคุณตา แถมก็ดูกระวนกระวายแปลกๆ ด้วยค่ะ” ลูกจ้าง 1 คนที่ไปเอากุญแจบอก
จรรยาไม่สบอารมณ์ แต่ต้องรีบไขกุญแจเข้าไป
“นายชัด นี่แย่จริงๆ เดี๋ยวเสร็จเรื่องเจ จะต้องไปจัดการ” จิราบ่น
จรรยาพุ่งตัวนำเข้าไปตามด้วยคนอื่นๆ จรรยารีบปลุกลูกซึ่งตอนนี้เหมือนว่าการหลับของเจรมัยดูน่าเป็นห่วง
“เจๆ ตื่นซิลูก เจ”
“แล้วนี่ทำไมยอมให้เจเข้ามานอนในนี้ละพี่” จิราถาม
“เจๆ ตื่นลูก ก็นิสัยของเจน่ะซิ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ถ้าเค้าอยากรู้อะไร เค้าจะต้องรู้ให้ได้”
เจรมัยในนิมิตอดีต มองดูสร้อยพีที่อยู่ริมน้ำลำพัง และมองดูตัวตะลุงที่เที่ยงทำให้อย่างมีความสุข ระหว่างนั้นเองเจรมัยก็ขยับตัวเข้าไปเฝ้ามองใกล้ๆ ด้วยความสงสัย
“สร้อยพี เธอมีความสำคัญยังไงนะ ทำไมฉันถึงเห็นเธอตลอด”
เจรมัยก้าวเท้าเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ทันระวังตัว เขาก้าวพลาดจนตกน้ำดังตูม ทำเอาสร้อยพีหันมามองแต่ก็ไม่เห็นอะไร
เจรมัยสำลักอากาศ แล้วสะดุ้งตื่น จรรยา จิรา เจนจิรา และบ่าวอีกสองคน ต่างก็ประหลาดใจ
“เจ ตื่นแล้ว เป็นไงบ้างเจ ปล่อยให้แม่ใจคอไม่ดีตั้งนาน”
เจนจิรามองเป็นห่วง “เป็นไงบ้าง”
จิราเองก็โล่งใจ “โล่งอกซะที”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับแม่ ไม่ต้องห่วงนะครับ”
เจรมัยหยิบตะลุงขึ้นมาดู ในจังหวะที่คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เห็นมา ทวนชื่ออย่างรำลึกจดจำ
“สร้อยพี”
จรรยามองฉงน “อะไรเหรอสร้อยพี”
“ตะลุงตัวนี้ ถูกทำขึ้นให้ผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพีครับแม่”
เจนจิราประหลาดใจ “เอาแล้วไง”
บ่าวสองคนกอดกันกลมเพราะกลัวผี
“แม่กับน้าจิรา พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อสร้อยพีมั้ยครับ” เจรมัยถามน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่นะ” จิราตอบทันที
จรรยานิ่งคิด “แม่ก็ไม่รู้ เพิ่งจะเคยได้ยินก็วันนี้แหละ”
เจนจิราหยิบโทรศัพท์เจขึ้นมาดู เห็นว่ามีมิสคอลล์จากมะลิ 6 สาย
“อืม เจ มะลิ โทรมาหละ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญอะไรซักอย่างนะ ลองโทรกลับซิ”
เจรมัยพยักหน้า แล้วโทร.หามัลลิกาทันที
“ฮาโหล ผมเอง ขอโทษนะที่ไม่ได้รับสาย มีอะไรคืบหน้ามั้ย”
เสียงมัลลิกาดังออกมาว่า “มีซิ เอกสารที่ส่งมาน่ะ เป็นแค่ประวัติความเชื่อเกี่ยวกับตะลุงเท่านั้น”
เจรมัยผิดหวัง “แค่นั้นเองเหรอ ไม่มีอะไรพิเศษเลยเหรอ”
“แต่ที่น่าสนใจที่สุด ก็เห็นจะเป็นเรื่องของตะลุงที่ทำจากหนังคนน่ะ เจเคยรู้เรื่องนี้มั้ย”
เจรมัยอึ้งไป ทวนคำออกมา “ตะลุงทำจากหนังคน”
ทุกคนในห้องได้ยินคำนั้นก็อกสั่นขวัญแขวน มองไปที่ตัวตะลุงที่เจรมัยถืออยู่เป็นตาเดียวกัน
“เคย ผมเคยได้ยินเรื่องการเอาหนังคนมาทำตะลุง”
เสียงมัลลิกาถามด้วยความสงสัย “จากที่ไหนเหรอ”
“ในฝันของผม”
“แล้วตะลุงที่คุณมีอยู่ที่บ้าน ทำจากหนังคนหรือเปล่า”
ขาดคำไฟในห้องตาเทียบก็ดับพรึ่บลงทันที
ลูกจ้างสะดุ้ง ร้องกรี๊ดๆ กอดกันกลม
“ทำไมไฟดับเนี่ย พวกเธอไปดูซิ” จิราสั่ง
“ค่ะ ค่ะคุณ”
ลูกจ้างสองคนแจ้นออกไปนอกห้องทันที
เจรมัยคุยสายต่อ “มะลิขอบคุณมากนะที่ช่วยแปลให้ เดี๋ยวผมโทร.กลับ ที่บ้านไฟดับ ขอไปช่วยแม่ดูก่อนเผื่อจะทำไรได้บ้าง”
“เครๆ”
วางสายไป จรมัยก็ตามกับคนอื่นออกไปนอกห้อง พอดีเจอลูกจ้าง 1 ใน 2 วิ่งกลับเข้ามารายงาน
“คุณจิรา ตาชัด ทำไฟดับค่ะคุณ”
ทุกคนพากันพุ่งไปที่ห้องท้ายเรือน พบลูกจ้างอีกคนยืนคุมเชิงอยู่หน้าห้องชัด
“เกิดอะไรขึ้น แล้วไหนที่ว่าชัททำไฟดับ”
“นั่นค่ะคุณ เจ” ลูกจ้าง ชี้บอก “ตาชัดแกต่อสายไฟเข้าไปในห้องแก ไม่รู้กี่สายต่อกี่สาย ดูนั่นซิคะ”
เจรมัยมองตามจากช่องหน้าต่างห้องที่ปิดล็อก มีสายพ่วงจำนวนมากเรียงรายไปยังเสาไฟฟ้าใกล้ๆ ห้อง
ลูกจ้างเสริมว่า “แถมแกก็เอาดวงไฟที่หาได้เข้าไปในห้องตั้งหลายดวงน่ะ ดูแกท่าจะบ้าอะค่ะคุณ”
เจรมัยพยายามทุบประตูเรียก ก็ไม่เป็นผล
“ชัด เป็นอะไร เปิดประตูที ตาชัด”
“ตายหรือเปล่าเนี่ย”
มองจากด้านนอกเห็นว่ามีแสงสว่างจ้าลอดออกมานอกห้องชัด มีบางครั้งที่ไฟตกไฟกระพริบก็จะได้ยินเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของชัดดังมาจากด้านในได้
“อ๊าก กลัวแล้ว กลัวเงาผี อย่าเข้ามา”
พอไฟติดชัดก็เงียบเสียงลง
“แกยังไม่ตายนี่ แต่ใครทำอะไรแก” เจนจิรางวยงงสงสัย
เจรมัยมองไล่ไปตาม ทุกซอกมุมของเรือนเพื่อหาทางเข้า จนเจอช่องหน้าต่างแคบๆ เขารีบปีนแทรกตัวเข้าไป
เมื่อเข้ามาในห้องชัดเจรมัยก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าภายในห้องสว่างจ้าเอามากๆ ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยดวงไฟหลายดวง เจรมัยมองหาจนเห็นว่าชัดคู้ตัวอยู่ท่ามกลางหลอดไฟที่วางอยู่ตามพื้นห้อง ที่ด้านนอกเบรคเกอร์กำลังทำงานเกินกำลัง เกิดควันจางขึ้นบนสายไฟ ไฟตกกระพริบเป็นจังหวะ
ทุกครั้งที่ไฟกระพริบ ชัดจะเห็นร่างของผู้หญิงปรากฏขึ้น มันดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งด้วยความกลัวสุดขีด เจรมัยเข้าไปดูชัดใกล้ๆ
“เป็นไร ร้องทำไม”
“คุณเจ...คุณเจ อย่าให้ไฟดับนะครับเดี๋ยวผีเงามันจะมา”
เจรมัยงง “พูดไรไม่รู้เรื่อง ผีเงาอะไร”
“ผมเองคุณเจ ผมเองที่เอาตะลุงไปให้นักข่าวเอง ผีเงามันไม่พอใจมันเลยจะเล่นงานผม คุณเจช่วยผมด้วยนะคุณเจ”
“ผมช่วยอยู่แล้ว เราออกจากห้องนี้กันก่อนดีกว่า”
ชัดดึงเหนี่ยวเจด้วยความกลัวจนลุกกันไม่ขึ้น
เบรกเกอร์ไฟที่ด้านนอกเกิดควันหนาขึ้นแล้วไฟก็ตกหนักขึ้น
ในความมืดในห้องตาชัทยิ่งหวาดกลัวจนเหตุการณ์วุ่นวายไปกันใหญ่เอาแต่ชี้ไม้ชี้มือบอกว่าผีเงามาแล้วมันมาแล้ว
เจรมัยมองตามไป พยายามเพ่งมองในความมืด จนเห็นเงาดำของผู้หญิงกำลังเคลื่อนเข้าหาชัดใกล้มากขึ้นแต่ก็ยังไม่ใกล้พอที่จะเห็นว่าหน้าตาอย่างไร
ในจังหวะสุดท้ายพอที่จะเห็นหน้าผีตนนั้น ไฟก็ติดขึ้นมาอีกหน ทุกอย่างหายไปจนสิ้น เจรมัยฮึดฮัดเกือบจะเห็นหน้าอยู่แล้วรอมร่อ
เมื่อไฟดับอีกหน เจรมัยกับชัดได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งวนอยู่ใกล้ๆ ชัดรีบดึงแขนเจรมัยไว้เป็นที่ยึดเหนียว
“มันมาแล้ว...มันมาแล้ว คุณเจช่วยผมด้วย”
มีบางสิ่งในความมืดกระชากร่างชัดอย่างแรก เจรมัยรู้สึกได้ถึงแรงดึงจึงรีบฉุดมือชัดเอาไว้ เขาเห็นแววตาอันตื่นตระหนกของชัดอย่างชัดเจน ชัดหมดแรงที่จะเหนี่ยวเจรมัยไว้ได้ ร่างชัดถูกกระชากหายเข้าไปในความมืดพร้อมกับเสียงร้องสุดท้าย
“อ๊าก”
เจรมัยมองหาชัดแต่ไม่เจอ เขารีบเดินไปปิดล็อกประตู เป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟฟ้าติดขึ้นอีกครั้ง คนอื่นๆ ทั้ง จิรา จรรยา เจนจิรา และ ลูกจ้างอีก 2 คน พากันเข้ามาในห้อง เจรมัยมองหาชัด และพบว่าบัดนี้ชัดกลายเป็นศพร่างถูกเผาจนดำเป็นตอตะโกอยู่ตรงมุมห้อง ทุกคนพากันช็อก ผวากลัว
“มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง” เจนจิราถามทั้งที่ช็อกๆ
“ผมก็ตอบไม่ถูกจริงๆ มันเป็นฝีมือของผีเงา”
เจรมัยตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อ่านต่อ ตอนที่ 5
#เงาอาถรรพ์ #ตอนที่4 #thaich8 #ละครออนไลน์