กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 33
จื่อเหลียงหนีมาได้สักระยะก็จอดรถบนทางยกระดับ ออกจากรถมาเกาะราวเหล็กริมทางยกระดับนั้น หอบหายใจอย่างหนักหน่วงรุนแรง ปลุกปลอบตัวเองอยู่อย่างนั้น
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรๆ”
จื่อเหลียงนึกขึ้นมาได้ ล้วงหยิบยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม มองนิ่งๆ อย่างใช้ความคิด ก่อนจะเหลียวไปมองรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครผ่านมาเห็นแน่ จึงขว้างแฟลชไดรฟ์ทิ้งลงไปยังเบื้องล่างสุดกำลัง แล้วขึ้นรถขับออกไปโดยเร็ว
ทางด้านอี้หมิงในชุดรัดกุมเดินจับหมวกแก๊ปปิดใบหน้ามาหยุดชะงักมองที่หน้าห้องพักเยี่ยฉีอย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าประตูห้องเปิดอ้าทิ้งไว้เต็มบาน หมอเหลยตัดสินใจเคาะประตูเรียก
“เยี่ยฉีๆ”
เมื่อไร้การตอบรับประกอบกับเห็นห้องเปิดทิ้วไว้ เขาจึงเดินเข้ามาในห้อง แล้วต้องชะงักตกตะลึงเมื่อเห็นเยี่ยฉีนอนสลบอยู่ใกล้ๆ โต๊ะกลาง เขากระโจนเข้าไปดู
“เยี่ยฉีๆ”
ไวเท่าความคิดและในฐานะหมอ เขาหยิบมือถิอมาโทร.ออกโดยเร็ว
“ฮัลโหล 110 ใช่มั้ยครับ ผมจะแจ้งความ ตอนนี้ผมอยู่ในเมืองโรงแรมยิงจี๋เก๋อ ห้อง 810 ที่นี่มีคนหมดสติอยู่ ครับ”
หมอเหลยวางสายไปหันไปปลุกเรียกสติดีไซเนอร์สาว
“เยี่ยฉีๆ”
ระหว่างนี้เหลยอี้หมิงหันไปสำรวจข้าวของ ใกล้ๆ สะดุดตากับโน้ตบุ๊คที่ปิดพับลงมาอย่างผิดปกติ เมื่อเปิดดูก็พบว่าจอเพิ่งถูกเปิดใช้งาน แต่ถูกปิดเหมือนเกิดเหตุบางอย่าง
“ฮาร์ดดิสไม่ได้ออกทางปกติ แล้วแฟลชไดร์ฟหายไปไหน แฟลชไดร์ฟๆๆ”
อี้หมิงกวาดตามองหา ค้นหาทั้งจากกระเป๋าถือ และซอกของโซฤา ในที่สุดเขาก็เจอมันตกอยู่ที่พื้นมุมห้อง เขารีบเก็บมาทันที ก่อนที่เจ้าหน้าจะมาถึง
อี้หมิงเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่สองคนออกมา ในขณะที่เจ้าหน้าพี่ของหน่วยกู้ภัยช่วยกันหามร่างเยี่ยฉีไปส่งโรงพยาบาล เขาให้ข้อมูลแก่ตำรวจ 1 คร่าวๆ ไปหมดแล้วถึงการพาตัวเองมาอยู่ในที่เกิดเหตุ
“เราพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว คุณเหลย คุณกลับบ้านก่อนเถอะ ก่อนที่เรื่องราวจะคลี่คลาย คุณอย่าเพิ่งไปจากเซี่ยงไฮ้นะ เราจะติดต่อคุณมาอีกที”
อี้หมิงพยักหน้ารับ “ครับ ผมทราบแล้ว”
“เอาล่ะ เราจะตรวจสอบดูอีกทีว่ามีเบาะแสอะไรอีกบ้าง” ตำรวจ 2 บอก
ตำรวจ 1 พยักหน้ากับเพื่อนตำรวจ “ดี”
ตำรวจ 2 เดินกลับเข้าห้องไปบันทึกภาพสถานที่เกิดเหตุเพิ่ม
อี้หมิงกลืนน้ำลายลงคอ มือในกระเป๋ากุมแฟลชไดรฟ์แน่น ก่อนจะเดินออกไปขึ้นลิฟต์
อีกฟากหนึ่ง ซือหยวนในชุดนอนรีบร้อนออกมาจากห้องนอน เมื่อได้ยินเสียงกุกกักด้านนอก มองคู่ขาที่ยืนดื่มน้ำอยู่ด้วยท่าทีแปลกๆ
“ทำไมกลับมาดึกอย่างนี้ล่ะ คุณไปคุยกับเยี่ยฉีมาเป็นยังไงบ้าง”
จื่อเหลียงตกใจประสาวัวสันหลังหวะ หัขวับมาหา “ใครบอกว่าผมไปหาเยี่ยฉี”
“คุณเป็นคนบอกฉันเอง คุณบอกว่า วันนี้เยี่ยฉีนัดคุณ ให้ไปเจอเขา”
“ผมมีธุระเลยไม่ได้ไปเจอเขา ผมไม่ได้ไปหาเขา” จื่อเหลียงบอกไป
ซือหยวนจับตัวเขาหันมามองอย่างเป็นห่วง “สีหน้าคุณทำไมดูไม่ดีเลย ไม่สบายรึเปล่าคะ”
จื่อเหลียงกำชับเสียงเข้ม “ซือหยวน ห้ามบอกใครว่าผมกับเยี่ยฉีนัดเจอกัน ได้ยินมั้ย”
“ค่ะ ฉันรู้แล้วค่ะ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณบอกฉันได้มั้ย แบบนี้ ฉันรู้สึกกลัวมาก”
“เรื่องนี้คุณช่วยผมไม่ได้ ไม่มีใครช่วยผมได้ หยุดถามผมได้แล้ว ให้ผมสงบสติอารมณ์ซักพัก ผมอยากอยู่คนเดียว”
เห็นจื่อเหลียงเดินช้าๆ เข้าห้องไปอย่างเครียดเคร่ง ซือหยวนยิ่งไม่สบายใจหนัก
ฝ่ายเหม่ยลี่อยู่ที่ห้องพักรายวัน ต้องแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งที่อี้หมิงยื่นให้ตรงหน้าเป็นยูเอสบีแฟลชไดรฟ์
“นี่คืออะไร”
“ฉันเอามาจากห้องเยี่ยฉี ข้อมูลทั้งหมดของเธอรวมทั้งข้อมูลการศัลยกรรมด้วย”
เหม่ยลี่ตกใจ “นายไปหาเขาเหรอ เขาทำอะไรนายรึเปล่า”
อี้หมิงคว้าเก้าอี้ตรงโต๊ะอ่านหนังสือมานั่งตรงหน้าเหม่ยลี่ พูดปลอบ
“ตอนนี้ของอยู่ในมือเธอแล้วไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า เธอไม่ต้องกลัวอะไรอีกนะ”
เหม่ยลี่หน้าเศร้า “ถึงจะทำลายข้อมูลเหล่านี้ได้ แล้วเราสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้เหรอ”
“ทำไมล่ะ เธอต้องการหนีตัวตนของมี่เหม่ยลี่ไม่ใช่เหรอ”
“เมื่อก่อนฉันอาจเคยคิด แต่ตอนนี้คิดหรือไม่ฉันยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เยี่ยฉีให้ฉันเลือกระหว่างทำให้เซี่ยวเลี่ยงเสียใจ กับการให้ฉันทำลายตัวเอง ด้วยความสับสนทำให้ฉันคิดว่าสามารถปกป้องชีวิตของตัวเองได้ แต่พอช่วงเวลาที่ฉันเห็นเซี่ยวเลี่ยง ทำให้ฉันคิดถึงครั้งแรกที่หัวใจเต้นเมื่อเจอเขา มี่เหม่ยลี่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแอบรักเขา ฉันต้องการเป็นตัวแทนของมี่เหม่ยลี่ปกป้องเขา แต่สุดท้าย ฉันเลือกที่จะกลับมาเป็นมี่เหม่ยลี่ อาจเป็นเพราะว่าฉันเหนื่อยแล้ว หลังจากที่ฉันกลายเป็นมี่โตะ ฉันยุ่งทุกวัน ยุ่งกับการเอาใจเซี่ยวเลี่ยง ยุ่งกับการปกปิดความจริง แต่บางทีวันที่ฉันประสบความสำเร็จ ฉันคงไม่มีแม้แต่กำลังใจ”
“ยังไงตอนนี้ก็เอาแฟลชไดรฟ์กลับมาได้แล้ว งั้นเธอไม่ไปได้มั้ย”
“ถึงจะเอาแฟลชไดรฟ์กลับมาได้ แล้วเหลยอี้หมิงคนเก่ากลับมาได้มั้ยล่ะ”
เธอย้อนถามเพื่อนรักคนเดียว ด้วยสีหน้าแสนเศร้า กล่าวต่อว่า “ฉันกับเซี่ยวเลี่ยงมีความสุขแล้ว เหลยอี้หมิงเพื่อนของฉันก็ต้องดีใจกับฉัน แต่ว่าเหลยอี้หมิงที่ชอบฉัน จะต้องเสียใจมากๆ ฉันไม่สามารถเห็นแก่ตัวกับนายได้”
อี้หมิงถอนใจเฮือก ขยับท่านั่งไขว่ห้างมาดเพลย์บอยตัวพ่อ ทำเป็นยิ้มหัว พูดติดตลก
“เฮ้อ นี่ ฉันว่าคำพูดของเธอ มั่นใจเกินไปแล้วใครว่าฉันจะชอบเธอตลอดไปล่ะ เมื่อเทียบกับความเจ้าชู้ของฉันแล้วอย่างมากก็ชอบเธอได้แค่ 8 ถึง 10 วัน ฉันต้องลืมเธอได้แน่ ถึงตอนนั้นเธอจะร้องไห้กลับมาขอร้องฉันก็ไม่มีทางกลับไปหรอก”
“ใช่แล้ว ทำไมฉันถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ นี่ งั้นนายคิดดูสิทำไมเมื่อก่อนต้องเจ้าชู้ นายบอกวิธีฉันได้มั้ย ทำไมนายถึงเกลียดฉันได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ล่ะ”
“เธอพูดแบบนี้ ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ ฉันมีวิธีจริงๆ”
“งั้นบอกฉันมา ฉันจะช่วยนาย”
“ในอดีต ฉันไม่ชอบผู้หญิงที่ทำตัวติดฉัน และการบังคับให้แต่งงาน เช่นพรุ่งนี้เธอไปจดทะเบียนสมรสกับฉันนะ จะทำให้ฉันกลัวหนีไปเลย”
เหม่ยลี่ไม่เชื่อ หลุดยิ้มออกมา “พอเลยน่า
อี้หมิงยิ้มตาม “จริงๆ นะ เธอยิ้มสวยมากเลยน้า”
เหม่ยลี่เขินใหญ่หัวเราะออกมา อี้หมิงมองเพลิน
รุ่งเช้า มีตำรวจอีกสองคนจากสน.ท้องที่เจ้าของคดี เดินทางมาพบอี้หมิงถึงบ้าน เขาเปิดประตูให้ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“สวัสดีครับ คุณเหลยอี้หมิงรึเปล่าครับ”
“ใช่ครับผมเอง
ตำรวจ 3 แจ้งข้อหาในฐานะผู้ต้องสงสัย “คุณตั้งใจทำร้ายเหยื่อ ช่วยไปปากคำที่โรงพักหน่อย”
อี้หมิงอึ้งนิดๆ “แต่ตรวจสอบแล้ว บอกว่าผมไม่ได้เป็นคนทำนะ”
ตำรวจ 4 เสริมพร้อมกับผายมือเชิญ “ไปกับเราก่อนค่อยว่ากัน”
อี้หมิงยอมไปแต่โดยดี ด้วยความบริสุทธิ์ใจ “ได้ครับ”
เหม่ยลี่รู้ข่าวจากอี้หมิง เรื่องที่เขาถูกตำรวจคุมตัวไป รีบลงมาเรียกแท็กซี่ตามไปทันที
“แท็กซี่ ช่วยไปส่งโรงพักหน่อย เร็วหน่อยขอบคุณค่ะ”
ทางด้านจื่อเหลียงถึงกับตกใจกับข้อมูลที่ซือหยวนมารายงาน
“คุณว่าไงนะ”
“เมื่อเช้าฉันได้ข่าวว่า เยี่ยฉีถูกเหลยอี้หมิงทำร้ายตอนนี้อยู่โรงพยาบาล เหลยอี้หมิงถูกตำรวจเอาตัวไปแล้ว”
จื่อเหลียงประหลาดใจ คิดไม่ถึง “เหลยอี้หมิงเหรอ”
“ใช่ ฉันก็รู้สึกแปลกใจมาก เขาไปเกี่ยวข้องกับเยี่ยฉีได้ยังไง”
“งั้น...เยี่ยฉีบาดเจ็บสาหัสมั้ย”
“ตอนนี้ยังหมดสติอยู่”
จื่อเหลียงยิ้มร้าย “ดี คุณให้คนเฝ้าให้ดี มีอะไรรีบรายงานผมทันที”
“ค่ะ”
ส่วนเหม่ยลี่ยืนคุยกับตำรวจ3 ที่บริเวณโถงทางเดินเข้าโรงพัก
“เหลยอี้หมิงเป็นยังไงบ้างคะ”
ตำรวจ3 บอกว่า “เขาต้องอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้แล้ว เราสงสัยเกี่ยวกับการโจรกรรมด้วย แต่เขาให้การปฏิเสธ ตอนนี้ทางเรากำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ครับ”
เหม่ยลี่หน้าเสีย “ถ้าอาการของเหยื่อร้ายแรง หรือถ้าเกิด...ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เหลยอี้หมิงจะเป็นยังไงคะ”
“ตอนนี้คดียังไม่ชัดเจน คุณกลับไปรอข่าวดีกว่าครับ”
ตำรวจเดินจากไป เหม่ยลี่เดินคอตกออกมา แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นเกาเหวินเดินเข้าโรงพักมา
สองสาวยืนจ้องหน้ากันนิ่งๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เกาเหวินจะเดินเข้ามาหา
“ทำไมเหลยอี้หมิงถึงไปบ้านเยี่ยฉี”
“เป็นเพราะฉัน” เหม่ยลี่บอกหน้าเศร้า
เกาเหวินของขึ้นทันควัน ตบเหม่ยลี่จนหน้าหัน
“เธอมีสิทธิ์อะไรให้เขาทำแบบนี้เพื่อเธอ เธอไม่ได้รักเขา แต่กลับหลอกใช้เขา ทำไมเธอเห็นแก่ตัวอย่างนี้”
“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้” เหม่ยลี่หันมาน้ำตาคลอเบ้า
“ถ้าเธอยังรู้สึกดีกับเขาก็ไปจากที่นี่ซะ ไม่ต้องมาให้เขาเห็นหน้าอีก เพราะเธอ มีแต่จะทำให้เหลยอี้หมิงเดือดร้อน เธอไม่คู่ควรจะอยู่เคียงข้างเขา”
เกาเหวินโกรธจัด เดินผลุนผลันเข้าโรงพักไป
ฉีหยูรีบร้อนมารายงานเซี่ยวเลี่ยงที่กำลังนั่งตรวจงานอยู่ที่โต๊ะในห้อง
“คุณเซี่ยว เกิดเรื่องกับคุณเยี่ยแล้ว”
“ถ้าเกี่ยวกับเรื่องการค้ำประกันมอบให้ทนายจัดการ”
“เยี่ยฉีได้รับบาดเจ็บอยู่ห้องฉุกเฉิน”
สองหนุ่มพากันมาอยู่ที่โรงพบาบาล เซี่ยวเลี่ยงมองผ่านกระจก เห็นว่าข้างในห้องมีพยาบาลดูแลเยี่ยฉีอยู่ เขาถามอาการกับหมอที่เพิ่งเดินออกมา
“เธอเป็นยังไงบ้างครับ”
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สมองได้รับการกระทบกระเทือนมาก บางที...”
“บางทีทำไมครับ”
“บางทีเธออาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”
ฉีหยูเดินเข้ามาขัดจังหวะ “คุณเซี่ยว”
“มีอะไร” เซี่ยวเลี่ยงหันมา
“มี่โตะครับ”
เหม่ยลี่เดินหน้าเสียเข้ามาหา “เมื่อกี้ที่หมอพูดเป็นความจริงเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงประหลาดใจมาก “คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลายวันนี้คุณหายไปไหนมา”
“ถ้าเยี่ยฉีไม่ฟื้น จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราจริงเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงไม่ตอบเรื่องเยี่ยฉี “ทำไมคุณต้องไปจากผม”
“หมอสามารถช่วยเธอได้มั้ยคะ” สาวโลกสวยแสนดีถามแต่เรื่องเยี่ยฉี
เซี่ยวเลี่ยงหงุดหงิดมากขึ้น “ผมตามหาคุณเหมือนคนบ้า ผมรอข่าวคราวของคุณทุกวัน พอคุณเจอผมกลับถามเรื่องพวกนี้ ‘คุณชอบผม คุณจะไม่มีวันทิ้งผมไป คุณจะไม่มีทางมีใจให้ผู้ชายอื่น’ นี่คือสัญญาที่คุณเคยให้ผม หรือว่าคุณลืมไปแล้วเหรอ”
“เซี่ยวเลี่ยงอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องพวกนี้ได้มั้ย ไว้ฉันจะอธิบายให้คุณฟัง ตอนนี้เยี่ยฉีหมดสติ เหลยอี้หมิงถูกตำรวจจับไปเพราะเรื่องนี้ ถ้าเธอไม่ฟื้นก็ไม่มีใครเป็นพยานช่วยเหลยอี้หมิงได้ คุณรู้จักหมอหลายคนไม่ใช่เหรอ คุณหาหมอเก่งๆ มาช่วยเธอเร็วๆ ได้มั้ยคะ”
เซี่ยวเลี่ยงอึ้งไป นี่แหละมี่โตะของเขา คว้าร่างของเธอมากอดและยอมรับปาก
“ผมรับปาก ผมจะหาทางช่วยเธอ ผมต้องทำให้เธอฟื้นขึ้นมา ขอแค่คุณกลับมาก็พอแล้ว”
อี้หมิงหันไปขอบคุณตำรวจเวรที่พาเขามาส่งในห้องเยี่ยมญาติ
“ขอบคุณครับ”
เกาเหวินร้องไห้ ครางหงิงๆ ด้วยความสงสาร
“คุณมาที่นี่ได้ยังไง ถ้าถูกถ่ายรูปจะทำยังไง มารีบนั่งลงก่อน”
เกาเหวินลงนั่งตรงข้ามอี้หมิง “ใครจะถ่ายก็ช่างมันฉันเป็นห่วงคุณแทบแย่”
“เป็นห่วงอะไร ผมไม่ได้ทำร้ายเยี่ยฉีสักหน่อย คุณไม่ต้องห่วงที่นี่มีตำรวจ เขาต้องตรวจสอบอย่างยุติธรรมแน่ ผมอยู่ที่นี่มีกินมีดื่มสบายดีออก”
“แล้วทำไมคุณต้องไปเอาของของเขาด้วย คุณอยากได้อะไร บอกฉันก็ได้ฉันจะไปขโมยมาให้แบบนี้คุณอาจติดคุกได้นะ”
“พูดอะไร ที่นี่สถานีตำรวจนะ เอ่อ คุณตำรวจขอโทษด้วยครับเธอ เธอพูดเหลวไหลน่ะ อย่าเก็บไปใส่ใจเลย” อี้หมิงตำหนิเกาเหวิน “ถึงคุณจะคิดแบบนี้ก็ไม่ควรพูดออกมา ที่นี่สถานีตำรวจนะ”
“ถ้าคุณมีความผิด ฉันจะหาทนายมาช่วยคุณ ถึงจะช่วยไม่ได้ฉันก็จะรอจนกว่าคุณออกมา ไม่ต้องห่วงนะ”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ต้องคลี่คลายได้แน่นอน นะ ผมไม่ผิด ต้องไม่เป็นไรแน่นอน” เขาบอกอย่างมั่นใจ
“นอกจากเรื่องนี้ คุณไม่มีอะไรจะถามฉันแล้วเหรอ”
“ไม่มี ผมแค่ต้องการ ให้คุณอย่าไปโทษมี่โตะเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าผมทำอะไรเพื่อเธอ มันเป็นสิ่งที่ผมเต็มใจทำ ได้มั้ย”
“เหมือนที่ฉันทำกับคุณสินะ” เกาเหวินว่า
เหม่ยลี่พาเซี่ยวเลี่ยงมายังห้องพักของเธอ เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามามองสำรวจอย่างอึ้งๆ เมื่อเห็นสภาพห้องเล็กเท่ารูหนู
เหม่ยลี่ลงนั่งที่ริมเตียง เอ่ยขึ้น “คุณจะไม่ถามฉันเหรอ...ว่าทำไมฉันถึงรู้เรื่องที่เหลยอี้หมิงไปบ้านเยี่ยฉี”
เซี่ยวเลี่ยงคว้าเก้าอี้มานั่งมองจ้องหน้าคนรัก “เหลยอี้หมิง ไปเพราะคุณรึเปล่า”
“คุณรู้เรื่องแล้วเหรอ”
“ครั้งก่อนที่คุณเจ็บขา เหลยอี้หมิงออกมาจากบ้านคุณ ผมก็รู้แล้ว เพราะคุณแล้วเราสองคนมีเรื่องชกต่อยกัน”
“งั้น...งั้นทำไมคุณไม่ถามฉันเลย” เหม่ยลี่แปลกใจ
“ผมถามแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเหลยอี้หมิง จะเปลี่ยนแปลงได้มั้ยล่ะ สิ่งที่ผมต้องการคือคุณรักผม อ้อ ก่อนหน้านี้ เยี่ยฉีไปหาเรื่องคุณใช่มั้ย”
เหม่ยลี่ไม่ตอบ พูดไปเรื่องอื่น “ถ้าหากว่า ฉันไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิด คุณจะรู้สึกยังไง”
“คุณคิดว่าในสายตาผมคุณเป็นคนไม่รู้อะไรเลยเหรอ มี่โตะ คุณเป็นคนมีความสามารถรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นคุณจะสู้ให้ถึงที่สุด แม้ว่าบางครั้งคุณอาจจะดูแรงไปบ้าง แต่นั่นเป็นเพราะว่าคุณชอบผม ผมไม่เคยคิดจะดูถูกคุณเลย เพราะว่าในโลกนี้ไม่มีใครสมบรูณ์แบบ ผมชอบคุณไม่ใช่เพระคุณสมบรูณ์แบบ แต่เพราะคุณคือมี่โตะ แม้ผมจะไม่ค่อยแสดงความรักให้เห็น แต่ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณเหมือนเดิม อาจมีมากกว่าคุณด้วยซ้ำ”
เซี่ยวเลี่งถอนหายใจ ขยับมานั่งข้างๆ พร้อมกับยิ้มให้ “เฮ้อ คุณยังคิดว่าผมไม่รู้จักคุณดีพออีกรึเปล่า”
เหม่ยลี่ยิ้มออกมาเงยหน้าขึ้นมามองเขา แต่แล้วสายตากลับเศร้าลงอย่างเก่า เมื่อมองไปเห็นแฟลชไดรฟ์ของเยี่ยฉี วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
“บางทีวินาทีต่อไปคุณอาจไม่พูดแบบนี้ แต่ช่วงเวลานี้ฉันอยากจะเชื่อคุณอีกสักครั้ง”
เธอลุกไปหยิบมาชูให้เขาดู พลางอธิบาย
“ข้างในนี้มีข้อมูลที่ฉันปกปิดคุณ และความลับของฉัน และเหตุผลที่ฉันไปจากคุณ หลังจากที่คุณดูมันแล้ว คุณยังสามารถยกโทษให้ฉันได้ ฉันจะดูอีกทีว่าเราสามารถเริ่มกันใหม่ได้มั้ย เพราะสำหรับฉันแล้ว ฉันไม่รู้ว่าหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ฉันจะสามารถรักคุณเหมือนเดิมได้มั้ย และจะไม่หวั่นไหวกับผู้ชายคนอื่นที่รักฉัน ถ้าฉันสามารถทำได้ล่ะก็ จะไม่มีใครกีดกันเราสองคนได้อีก”
เหม่ยลี่ยื่นแฟลชไดรฟ์ไปให้ เซี่ยวเลี่ยงรับมาด้วยสีหน้าใคร่ครวญ
กลับถึงห้องเซี่ยวเลี่ยงนั่งเครียดจ้องแฟลชไดรฟ์ในท่าทีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเสียบเข้ากับโน้ตบุ๊คตรงหน้า ข้อมูลที่แสดงผลขึ้นมา ทำให้เขาถึงกับกลับไปสู่โหมดเครียดเคร่งอีกจนได้
เช้าวันต่อมา ภายในห้องประชุมเทซีโร่ ในนั้นมีกรรมการบริหารของเทซีโร่นั่งอยู่แล้วครบครัน พร้อมกับหลินจื่อเหลียง สักครู่จึงเห็นซือหยวนเดินเข้ามากระซิบรายงานจื่อเหลียง
“ท่านรองหลิน ท่านประธานกำลังไปสนามบินแล้ว อาทิตย์นี้อาจจะไม่กลับมา”
“ได้ ผมรู้แล้ว คุณออกไปได้”
สาวใหญ่ขี้อิจฉาบอกให้กำลังใจท่านรองคู่ขา “ไม่ว่าผลออกมายังไง ฉันจะยืนอยู่ฝ่ายคุณ สู้ๆ ค่ะ”
ฉีหยูรายงานการข่าวต่อเซี่ยวเลี่ยงด้วยท่าทีซีเรียส ขณะพากันเดินขึ้นไปยังห้องทำงาน
“ท่านรองหลินเปิดประชุมระหว่างที่ท่านประธานไม่อยู่ ตอนนี้สิทธิ์ของคุณอยู่ในมือของเขา การประชุมครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่”
เซี่ยวเลี่ยงไม่สนใจ “ช่างเขาสิ อยากประชุมก็ปล่อยเขาไป”
“แต่เรื่องค้ำประกันให้คุณเยี่ยยังจัดการไม่เรียบร้อย ถ้าเขาเอาเรื่องนี้มาข่มขู่คุณ คุณไม่มีทางเอาชนะเขาได้เลยนะ”
“ถ้าคณะกรรมทุกคนพึ่งพาเขาเพราะเรื่องค้ำประกัน การสนับสนุนจะไม่คุ้มค่าเลย ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมเรื่องนี้กับฉันอีก ฉันไม่มีทางหนีแน่”
ฉีหยูพยายามทักท้วงอย่างหนักใจ “คุณเซี่ยว”
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาในที่ประชุม จ้องหน้าจื่อเหลียงเชิงตำหนิ “รองประธานมีสิทธิ์อะไร มาเปิดการประชุมคณะกรรมข้ามหัวผมกับท่านประธานล่ะ”
“คุณเซี่ยวเข้าใจผิดแล้ว ครั้งนี้เรื่องที่คุณเป็นผู้ค้ำประกันให้ธนาคาร ทำให้บริษัทสับสนไปหมด ผมเลยเรียกให้ทุกคนมา เพื่อต้องการคุยเรื่องนี้เท่านั้น”
เซี่ยวเลี่ยงหันมาทางบรรดากรรมการที่นั่งหน้าสลอนอยู่ในนั้น “แล้วคณะกรรมการมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างล่ะ”
จื่อเหลียงยิ้มบอก “ทุกคนมีอะไรพูดมาได้เลย”
กรรมการชาย1 เอ่ยขึ้น “เดิมที คุณเซี่ยวเป็นผู้ค้ำประกันให้คนอื่น เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว เรื่องนี้พวกเราไม่ควรมายุ่งเกี่ยวด้วย แต่ว่า เพราะสถานะของคุณเป็นประธานของบริษัทเรา กรณีค้ำประกันจึงเกี่ยวข้องกับบริษัทของเราโดยตรง ชื่อเสียงบริษัทของเรากับธนาคารก็ดีเสมอมา แต่ตอนนี้เกิดเรื่องเพราะคุณ ทำให้เรารู้สึกกดดันมาก”
กรรมการชาย2 เสริมว่า “อีกอย่าง ลูกค้าและผู้ลงทุน จะสงสัยในความสามารถของบริษัทเรา ธุรกิจของบริษัทเรา ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย”
“พูดถูกต้อง แล้วความเห็นของทุกคน ควรจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงล่ะ” เซี่ยวเลี่ยงถาม
“ความจริงท่านประธาน ไม่เชื่อในความสามารถของคุณเซี่ยวมาแต่แรก ท่านจึงมอบอำนาจทั้งหมดให้ผม และครั้งนี้คุณเซี่ยวเป็นคนสร้างปัญหาร้ายแรงขึ้น ดังนั้นผมคิดว่า เราควรจะเลือกประธานคนใหม่จริงมั้ยครับ” จื่อเหลียงบอกที่ประชุมอย่างลำพองใจ
เซี่ยวเลี่ยงมองอย่างรู้เท่าทัน “ดูสถานการณ์แล้ว ทุกคนคงจะออกคะแนนเสียงก่อน แต่ท่านประธานยังไม่ทราบเรื่องนี้ ผมคิดว่าควรจะรายงานท่านก่อน”
จื่อเหลียงโต้ทันควัน “แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็น”
“งั้นก็ดี แต่ว่า ก่อนจะตัดสินใจ ผมอยากให้ทุกคนฟังนี่ก่อน”
พร้อมกับว่าเซี่ยวเลี่ยงหยิบมือถือขึ้น กดเล่นไฟล์เสียงยกขึ้นให้ในที่ประชุมฟังทันที ทุกคนได้ยินเสียงจื่อเหลียงคุยกับเยี่ยฉีชัดเจน
“นี่คือโปรเจ็กต์ที่ผมหาให้คุณ” จื่อเหลียงที่นั่งเชิดวางท่าอยู่หันมาทางเสียงด้วยอาการคาดไม่ถึง และลุกพรวดขึ้นเมื่อจำได้แม่นว่าเป็นเหตุกาณ์ตอนที่เขาคุยกับเยี่ยฉีตรงท่าเรือริมแม่น้ำคืนนั้น บอร์ดกรรมการหันมามองจื่อเหลียงเป็นตาเดียวกัน
“แต่คุณต้องจำไว้ ห้ามติดต่อกับฝ่ายตรงข้ามเอง ต้องผ่านคนกลางอย่างผมเท่านั้น”
เยี่ยฉีถามว่า “ทำไม”
“เพราะบิลที่หามาได้อย่างเร่งด่วน จะทำอย่างเปิดเผยได้ยังไงล่ะ พวกเขาต้องการเติมสินค้าล็อตหนึ่งอย่างเร่งด่วน จึงมาหาผมเป็นการส่วนตัว เยี่ยฉี คุณต้องจำไว้ ถ้าจะรับบิลนี้เองล่ะก็ ค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นจะเป็นของคุณทั้งหมด”
จื่อเหลียงช็อก นิ่งงันไป ทำอะไรไม่ถูก เซี่ยวเลี่ยงกดปิดเสียงลงเพียงเท่านั้น บอกต่อที่ประชุมว่า
“ทุกคนคุ้นเคยกับเสียงของท่านรองหลิน คนที่คุยกับเขาก็คือคุณเยี่ยที่ให้เราเป็นผู้ค้ำประกัน กรณีค้ำประกันเกิดเรื่องได้ยังไงเชื่อว่าทุกคนคงรู้ดี ถึงในมือผมจะไม่มีหลักฐาน แต่คะแนนเสียงฉันไม่มีทางยอมแพ้นาย”
บอร์ดกรรมการพยักพเยิดเห็นด้วยกับเซี่ยวเลี่ยงหมดสิ้น
จื่อเหลียงโวยวายลั่น ชี้หน้าด่าอ้างว่าตนถูกใส่ร้าย
“เซี่ยวเลี่ยง นายไม่มีหลักฐานนายใส่ร้ายฉัน”
เซี่ยวเลี่ยงลุกขึ้นควักยูเอสบีออกมาชูให้ดู จื่อเหลียงช็อกหนักกว่าเก่า เพราะคิดว่าทำลายมันทิ้งไปแล้ว
“อยากครอบครองเทซีโร่ ก็ต้องใช้วิธีที่ถูกต้องสิ ใช้วิธีสกปรกแบบนี้ รังแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน”
“มันไปอยู่ที่นายได้ยังไง อยู่ที่นายได้ยังไง นี่มัน...”
เซี่ยวเลี่ยงหันไปทางประตู มีตำรวจสองนายเดินเข้ามา “การลงคะแนนเสียงสิ้นสุดแล้วสินะ”
ตำรวจ 1 แสดงตัว “คุณคือหลินจื่อเหลียงใช่มั้ยครับ เราเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอเชิญคุณไปให้ปากคำที่โรงพัก”
ตำรวจ 2 เดินมารับยูเอสบีแฟลชไดรฟ์กับมือเซี่ยวเลี่ยง “ขอบคุณคุณเซี่ยวที่ให้ความร่วมมือ”
จื่อเหลียงหันมาขึงมองหน้าเซี่ยวเลี่ยงอย่างโกรธแค้น ผลของแผนการทำลายเซี่ยวเลี่ยงมันได้ย้อนกลับมาทำลายเขาเต็มๆ ขณะที่เซี่ยวเลี่ยงมองอย่างน้องชายต่างมารดาสมเพชเวทนา
ตำรวจสองนายคุมตัวหลินจื่อเหลียงออกไป
ฉีหยูวิ่งเข้ามารับเซี่ยวเจิ้นตรงที่ประตูโถงล็อบบี้เทซีโร่ รายงานไปหอบไป
“ท่านประธาน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว รองประธานหลินเรียกประชุมคณะกรรมเพื่อต้องการขับไล่คุณเซี่ยว”
“ว่าไงนะ”
เจิ้นตงตกใจรีบรุดเดินมา ในจังหวะที่ตำรวจสองนายคุมตัวจื่อเหลียงออกจากลิฟต์มาพอดี ท่านประธานขวางไว้
“ช้าก่อน ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมพวกคุณต้องเอาตัวเขาไปด้วย”
“หลินจื่อเหลียงเป็นผู้ต้องสงสัยคดีทางธุรกิจ เราต้องเอาตัวไปสอบสวนที่โรงพัก” ตำรวจ1 บอก
“คดีทางธุรกิจเหรอ พวกคุณเข้าใจผิดรึเปล่า” เซี่ยวเลี่ยงและคนอื่นๆ ตามมา หยุดมองดูเหตุการณ์
“หลินจื่อเหลียงเป็นรองประธานของบริษัท พวกคุณเอาตัวเขาไป ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนะ”
“คุณคือ...” ตำรวจ 2 สงสัย
จื่อเหลียงไม่มีทางเลือกแล้ว ตะโกนก้อง “พ่อ ช่วยผมด้วย พ่อ พ่อช่วยผมด้วย พ่อช่วยผมด้วย”
“ผมคือเซี่ยวเจิ้นตง”
ในที่สุดเพื่อช่วยลูก เจิ้นตงถึงกับยอมเปิดเผยความลับที่ปิดบังมานาน 30 กว่าปี
“เป็น...พ่อของเขา” เซี่ยวเลี่ยงตกใจนิดๆ ขณะที่จื่อเหลียงยิ้มออกมาในสีหน้า จีนมุงคนอื่นๆ ต่างอึ้งไปทั้งแถบ
เจิ้นตงแนะนำตัวต่อ “และเป็นท่านประธานของบริษัทนี้”
ตำรวจ1 แจ้งรายละเอียดทางคดี “สวัสดีครับท่านประธานเซี่ยว ถ้าไม่มีหลักฐานเราไม่มีทางจับกุมแน่ คดีนี้บุคคลสำคัญที่สุดคือคุณเยี่ยฉี แต่สองวันก่อนได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังคงหมดสติอยู่ แต่ทางเรามีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า ก่อนเยี่ยฉีได้รับบาดเจ็บนัดเจอกับหลินจื่อเหลียง ตอนนี้เราสามารถเปิดเผยได้เท่านี้ หากคุณยังมีข้อสงสัยใดๆ สามารถส่งทนายความติดต่อมาได้”
ประสาพ่อ เจิ้นตงเอาตัวเองปกป้องลูกชายทันที “สองวันก่อนเหรอ ไม่ใช่หรอก กลางคืนสองวันที่ผ่านมา เขาทานข้าวกับผมอยู่ที่บ้าน จะออกไปทำร้ายคนอื่นได้ยังไงล่ะ ผมว่าพวกคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงฟังแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ ขณะที่จื่อเหลียงคาดไม่ถึง บรรดาจีนมุงน่ะหรือ บัดนี้จับกลุ่มกันซุบซิบๆ ไปตามระเบียบ
ตำรวจ2 ไม่เชื่อ “อยู่กับคุณเหรอ คุณแน่ใจเหรอว่าเป็นความจริง เรื่องแบบนี้โกหกไม่ได้นะ”
เจิ้นตงยืนกรานหนักแน่น “ผมไม่ได้โกหกแน่นอน ผมรับประกันกับพวกคุณได้ กลางคืนเมื่อสองวันก่อน เขาอยู่กับผมจริงๆ คุณตำรวจ ผมเห็นเขาตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่มีทางทำร้ายคนอื่นแน่ ถ้าต้องการตรวจสอบล่ะก็ผมหวังว่าจะสามารถเป็นพยาน ให้ลูกชายผมได้”
“ถ้าอยู่กับคุณจริงล่ะก็ คงไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้แน่ ถ้างั้นในเวลาที่เหมาะสม เราจะติดต่อมาหาคุณอีกครั้ง” ตำรวจ1 บอก
เจิ้นตงต้องยอมจำนน “เฮ้อ งั้นก็ได้ ถ้ามีสถานการณ์อะไร รบกวน รีบแจ้งให้ผมทราบด้วย”
ตำรวจ 1 พนักหน้ารับ ในท่าทีนอบน้อม “ได้ครับ”
จื่อเหลียงหน้าเสียร้องโวยวายขึ้นมาอีก ขณะถูกตำรวจคุมตัวไป
“พ่อ เซี่ยวเลี่ยงทำร้ายผม พ่อช่วยผมด้วยพ่อ”
ตำรวจคุมตัวจื่อเหลียงออกไป
เจิ้นตงเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับลูกชาย ตบเปรี้ยงจนเซี่ยวเลี่ยงหน้าสะบัด แล้วตะโกนใส่หน้าเขาต่อหน้าประชาชนชาวเทซีโร่ที่พากันยกมือปิดปาก
“ทำไมแกต้องทำแบบนี้ ทำไม หะ”
“เขาทำตัวเขาเองต่างหาก ผมรู้ว่าพ่อรักผมและรักหลินจื่อเหลียง แต่ต้องรักอยู่บนความถูกต้อง ในเมื่อเขาทำผิดก็ต้องยอมรับความผิด”
“เพราะผู้หญิงคนเดียว แกมีเรื่องเพราะเรื่องผู้หญิงทุกครั้ง แกสามารถยอมทิ้งครอบครัว ทิ้งน้องชายของตัวเองได้ แกทำให้ฉันผิดหวังมาก สักวันหนึ่ง แกจะต้องเสียใจ”
เจิ้นตงโกรธจัด เดินผลุนผลันขึ้นตึกไป มีฉีหยูวิ่งตามไปด้วย
ส่วนเซี่ยวเลี่ยงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายตาประชาทัณฑ์ของจีนมุงหลายสิบคนในนั้น
ซือหยวนใจหาย วิ่งตามออกมาหน้าตึก ร้องเรียกตำรวจไว้
“รอเดี๋ยวค่ะ รอเดี๋ยว” เธอหันมาขอร้องตำรวจ1ใน2 อย่างอ่อนน้อม
“สวัสดีค่ะ ฉันขอคุยกับเขาหน่อยได้มั้ยคะ” ตำรวจพยักหน้าอนุญาต “ขอบคุณค่ะ”
จื่อเหลียงถามอย่างไม่พอใจ “คุณมาทำไม”
“คุณเป็นคนทำร้ายเยี่ยฉีจริงเหรอ”
จื่อเหลียงไม่ยอมตอบ ซือหยวนเข้าใจได้คำตอบแล้ว บอกอย่างเด็ดเดี่ยวจริงใจว่าจะรอเขาออกมาจากคุก
“คุณไปเถอะ ไม่ว่าคุณไปนานแค่ไหน ฉันก็จะรอคุณ”
จื่อเหลียงน้ำตารื้น ไม่คิดว่าเธอจะห่วงเขาขนาดนี้ หันตัวขึ้นรถไปในทันที มีตำรวจสอบคนขนาบซ้ายขวา รถเคลื่อนไปทันที
ทางด้านเหม่ยลี่นั่งรออยู่ตรงโซนเอาต์ดอร์ของร้านกาแฟ พร้อมกาแฟสองแก้ว ถามขึ้นทันทีที่เซี่ยวเลี่ยงนั่งลงตรงหน้า
“ข้อมูลที่ฉันให้คุณดูรึยัง”
“ทำไมคุณต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อผมด้วย”
“เพราะการได้อยู่กับคุณ เป็นความฝันของฉัน ตอนนั้นฉันไม่มีทางเลือก แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณนะ”
“คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าเยี่ยฉีกับหลินจื่อเหลียงร่วมมือกันทำร้ายผม”
เหม่ยลี่งุนงง “หลินจื่อเหลียงกับเยี่ยฉีเหรอ คุณกำลังพูดอะไร”
“ผมรู้ว่าคุณกังวล แต่คุณไม่ควรไปขอให้เหลยอี้หมิงช่วย เพราะนั่นเป็นเรื่องภายในครอบครัวของผม คุณควรบอกผมจึงจะถูก”
“คุณดูข้อมูลที่ฉันให้คุณไปแล้วเหรอ”
“ผมดูแล้ว เป็นหลักฐานที่หลินจื่อเหลียง ปลอมแปลงสัญญาของบริษัทใช่มั้ย”
เหม่ยลี่แปลกใจ “ว่า...ว่าไงนะ”
“ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก แม้ว่าผม...จะไม่ชอบหลินจื่อเหลียง แต่ผมไม่เคยคิดเอาชนะเขาด้วยวิธีนี้”
เหม่ยลี่อึ้ๆ งงๆ “ฉัน...ข้อมูลในแฟลชไดรฟ์ ฉัน...ฉันไม่รู้จะอธิบายกับคุณยังไง
เซี่ยวเลี่ยงตัดบท “คุณไม่ต้องอธิบายแล้ว สิ่งที่คุณบอกผมในวันนั้น ผมลองทบทวนดูแล้ว ถึงแม้ คุณจะไม่ไร้เดียงสาอย่างที่คิด แต่ว่า เรื่องนี้ไม่มีผลต่อความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณ ยิ่งไปกว่านั้น คุณทำแบบนี้เพื่อปกป้องผม ผมแค่อยากถามคุณว่า คุณกับเหลยอี้หมิงเคยรักกันรึเปล่า”
เหม่ยลี่ตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่เคย”
“งั้นก็ดีแล้ว” เซี่ยวเลี่ยงยิ้มให้ ขยับไปจับมือเธอมากุม ถามซึ้งๆ
“มี่โตะ คุณยินดีคบกับผมต่อไปมั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มรอคำตอบ เหม่ยลี่ในคราบมี่โตะยิ้มตอบ แต่มีวี่แววกังวลอยู่เต็ม
แยกจากเซี่ยวเลี่ยงเหม่ยลี่พาตัวเองมาอยู่ที่บ้านเหลยอี้หมิง มองไปรอบๆ ด้วยความคิดถึง ก่อนจะมาลงนั่งที่บันไดขึ้นชั้นลอย บอกตัวเองอยู่ในใจ
“ฉันกลับมาที่นี่ได้ยังไง ใช่ ฉันกลับมาที่นี่อีกแล้ว แท้จริงแล้วสำหรับฉัน ที่นี่ถึงจะเป็นบ้านอย่างแท้จริง แล้วเซี่ยวเลี่ยงล่ะ ฉันเห็นเขาเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็ดีแล้ว เหลยอี้หมิงจะได้ออกมาแล้ว ถึงจะไม่ได้เจอกัน ขอแค่เขาปลอดภัยก็ดีแล้ว”
อี้หมิงได้รับการปล่อยตัววันนี้ เกาเหวินมายืนรออยู่หน้าโรงพักถอนใจเฮือกๆ “เฮ้อ...”
อี้หมิงเดินออกมา ตกใจเห็นเธอมาโผล่ที่โรงพักโดยไม่พรางตัวใดๆ
“เกาเหวิน”
เกาเหวินหัวเราะทั้งน้ำตา “โอ๊ะ”
อี้หมิงเป็นห่วง “คุณมาอีกทำไม ไม่กลัวถูกถ่ายรูปเหรอ”
“ฉันมารับคุณไง ฉันมาเพื่อให้พวกเขาถ่ายถึงได้แต่งตัวมาสวยอย่างนี้ ฉันคิดพาดหัวข่าวให้พวกเขาแล้ว ‘แฟนของเกาเหวินออกจากเรือนจำ คู่รักร้องไห้ฟูมฟายเมื่อเจอหน้ากัน’ เป็นยังไงน่าสนใจมากใช่มั้ย”
“เฮ้อ ผมรู้สึกอิสระมาก”
เกาเหวินถอนใจ “ทำไมคุณพิลึกคนจริงๆ คิดว่าความรักของคุณยิ่งใหญ่นักเหรอ ทำเพื่อมี่โตะยังพอฟังได้ทำไมต้องทำเพื่อเซี่ยวเลี่ยงด้วย ยอมเข้าไปขโมยหลักฐานอะไรก็ไม่รู้ โชคดีที่รอดมาได้ ไม่งั้นต้องอยู่ในนี้อีกนานเท่าไหร่ล่ะ”
อี้หมิงถอนใจ “โลกนี้มีเรื่องราวบังเอิญมากมายให้คนเราตื่นเต้นเสมออยู่แล้ว”
เกาเหวินหมั่นไส้ “บังเอิญบ้านคุณสิ ถ้าฉันไม่จ้างทนายคุณจะออกมาได้เหรอ ยังไงก็เลี้ยงข้าวฉันหน่อยเถอะน่า”
“ได้ ผมเลี้ยงเองคุณอยากกินอะไรล่ะ”
“แต่วันนี้ไม่นับ วันนี้ฉันจะเลี้ยงฉลองที่คุณออกมา ถ้าจะให้คุณเลี้ยงข้าวฉันครั้งเดียวก็เสียเปรียบน่ะสิ ไม่มีนักข่าว ไปกันเถอะ คิดอะไรอยู่”
“เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไร ไป”
เกาเหวินหัวเราะ “เร็วสิ”
เหม่ยลี่จ่อมจมอยู่กับความรู้สึกผิดมากมายต่อเหตุการณ์และผู้คนในชีวิต เริ่มจากเซี่ยวเลี่ยงที่ยืนยันความรู้สึกที่มีต่อเธอไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณไม่ต้องอธิบายแล้ว สิ่งที่คุณบอกผมในวันนั้นผมลองทบทวนดูแล้ว ถึงแม้คุณจะไม่ไร้เดียงสาอย่างที่คิด แต่ว่าเรื่องนี้ไม่มีผลต่อความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณ”
เธอถูกเกาเหวินตบเปรี้ยงด่าเสียๆ หายๆ “เธอมีสิทธิ์อะไรให้เขาทำแบบนี้เพื่อเธอ เธอไม่ได้รักเขาแต่กลับหลอกใช้เขา ทำไมเธอเห็นแก่ตัวอย่างนี้” เธอถูกเกาเหวินด่าว่าเรื่องไม่ยอมไปเยี่ยมอี้หมิง
และยังถูกเยี่ยฉียิ้มเยาะ เย้ยหยัน ตั้งคำถามอย่างแสบสันต์ “เห็นเขาเชื่อเธอเหมือนคนโง่แบบนี้แล้ว ฉันสงสารเขาจริงๆ ฉันเป็นศัตรูยังไม่กล้าทำร้ายเขา แต่ตอนนี้เธอเป็นแฟนของเขา เธอทำได้ยังไง”
คำพูดตัดรอนของเกาเหวินที่เธอรักดั่งเพื่อน “เธอหลอกฉันได้ ก็ใช่ว่าเธอจะโกหกได้ดี แต่เป็นเพราะว่าฉันเต็มใจเชื่อเธอต่างหาก เธอทำร้ายฉันแต่เป็นเพราะว่าฉันเห็นเธอเป็นเพื่อนจึงให้โอกาสนี้กับเธอ”
เหม่ยลี่คิดถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของอี้หมิงอย่างปวดร้าว “เมื่อก่อนตอนที่ฉันยังเป็นมี่เหม่ยลี่ แม้ว่าฉันจะเป็นยัยอ้วนที่ขี้เหร่ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังมีนายอยู่ แต่ว่าตอนนี้ นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่จอมปลอมนี้ ฉันก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
มี่เหม่ยลี่มองโบรชัวร์สถาบันออกแบบอัญมณีในมืออย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
เช้าวันนี้ เซี่ยวเลี่ยงขับรถสปอร์ตมาที่บริษัทเอง ฉีหยูมารอรับคว้ากุญแจที่เขาโยนให้แทบไม่ทัน รีบเปิดประตูให้ พร้อมรายงานเจ้านาย
“คุณเซี่ยว มี่โตะโทร.มาหาผม”
“เธอว่ายังไงบ้าง”
“เธอบอกว่า เธอจะไปแล้วไม่กล้าบอกคุณด้วยตัวเอง บอกให้คุณดูแลตัวเองให้ดี คุณเซี่ยว ผมตรวจสอบเที่ยวบินของมี่โตะแล้วล่ะ เราจะรีบไปจองตั๋วกัน”
เซี่ยวเลี่ยงขัดใจ แต่ทำทีเป็นไม่สนใจ “ยังมีประชุมไม่ใช่เหรอ เข้าบริษัทก่อนเถอะ”
สองนายบ่าวเดินเข้าตึกไป
สองคนอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง เกาเหวินบรรจงเซ็นชื่อลงในโปสเตอร์ขนาดครึ่งตัวให้แฟนคลับคราวป้าซึ่งเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ จนเรียบร้อย
“เรียบร้อย”
“ขอบคุณๆ ขอบคุณค่ะ สวยมากเลย” หญิงวัยป้าปลื้มปลิ่ม
“ขอบคุณค่ะ”
“ฉันจะเอาไปแขวนในห้องนอน”
เกาเหวินยิ้มให้ “ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“มื้อนี้ฉันเลี้ยงค่ะ เชิญตามสบายนะคะ สวยมากจริงๆ” หญิงสูงวัยเดินหอบโปสเตอร์กลับเคาน์เตอร์ไป
เกาเหวินดี๊ด๊ายกใหญ่ “เห็นมั้ย ไม่นานฉันจะกลายเป็นที่ชื่นชมของคนวัยกลางคนแล้ว ต่อไปฉันไม่ต้องพึ่งพาข่าวฉาวเสียหายหาเงินกินข้าวแล้ว”
อี้หมิงยิ้มบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง “ผมเห็นแล้ว ดูทางโน้นสิมีคุณตาคนหนึ่งนั่งชื่นชมคุณอยู่ อย่าหันไปมองล่ะ ถ้าเขาเห็นคุณหันไปมอง เกิดโรคหัวใจกำเริบต้องลำบากส่งโรงพยาบาลอีก”
“แล้วคุณล่ะ คุณจะทำยังไงต่อ”
“ผมเหรอ ผมไม่มีอะไรมากหรอก แค่ต้องไปทำงานที่โรงพยาบาล ช่วยเหลือผู้คน และเป็นที่รักของเพื่อนพยาบาลเท่านั้น”
“คุณรู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”
“เขาไม่ได้มาเยี่ยมผมเลย มันแสดงให้รู้ว่า เขายังไม่รู้จะเผชิญหน้ากับผมยังไง”
“ที่เขาไม่มาเยี่ยมคุณเพราะฉันน่ะสิ หลังจากที่คุณถูกจับตัวไปฉันโมโหมาก เลยพูดจาแทงใจดำเขาไปหลายคำ”
อี้หมิงหน้าเศร้าลง “ไม่หรอก เพราะเขารู้สึกเสียใจต่างหาก ไม่อย่างงั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลบหน้าผมเพราะคุณ ในเมื่อเขาเลือกจะจากไปแล้ว ถึงเราจะเจอหน้ากัน เขาก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนผมต่อไป”
“แล้วคุณทำเพื่ออะไรล่ะ คุณยอมทิ้งฉันเพื่อเขานะ ตอนนี้คุณจะยอมแพ้ง่ายๆ เหรอ” เกาเหวินบอกอย่างขมขื่น
“เพราะผมเคยทิ้งคุณ ผมจึงรู้ว่า คนที่ผมรักเขาเสียใจมากแค่ไหน ถ้าเราสองคนเลิกกันคุณอาจจะเจ็บปวดมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดของคุณจะค่อยๆ หายไป และผมจะมีแต่รู้สึกผิด รู้สึกผิดกับความเจ็บปวดไม่เหมือนกัน พอเวลาผ่านไปนาน จะยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดมากขึ้น ดังนั้นระหว่างผมกับมี่โตะ ถูกลิขิตมาให้ผมต้องเจ็บปวด แล้วทำไม ผมต้องทำให้เขารู้สึกผิดอีกล่ะ ถูกมั้ย”
“ถ้าเป็นฉันไม่ว่ายังไงฉันต้องอยู่กับคุณให้ได้”
อี้หมิงหัวเราะ “ล้อเล่นอะไรอีกล่ะ คุณคิดว่าชีวิตนี้ผมจะอยู่กับคุณและเขาสองคนเหรอ ผมจะบอกให้ ผมเหลยอี้หมิงเป็นที่ชื่นชมของคนในเซี่ยงไฮ้มากมาย อย่าว่าแต่ตอนนั้นเลยขนาดตอนนี้ ผมออกไปข้างนอกยังมีสาวๆ ล้อมรอบตลอด คุณสองคน เฮอะ ยังต้องต่อแถวเลย”
“ถึงจะต้องต่อแถว ฉันเกาเหวินจะต้องอยู่ข้างหน้าสุด ชีวิตนี้ฉันแพ้ให้ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีทางแพ้ให้ใครอีก เนอะ กินเถอะ อันนี้อร่อยมาก”
เกาเหวินชี้ชวนให้กิน อี้หมิงมองสงสาร
เหม่ยลี่รอเหมือนรอใครบางคนนานแล้ว แต่เขาไม่มา ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่ไปเอง
“ไปสนามบินค่ะ”
ในรถที่แล่นมาตามท้องถนน มุ่งหน้าสู่สนามบิน เหม่ยลี่มองตึกสูงของมหานครเซี่ยงไฮ้ด้วยความอาวรณ์
เธอนึกถึงหลายๆ เหตุการณ์ที่ทิ้งไว้ในเมืองใหญ่แห่งนี้
เริ่มจากตอนที่ยืนรออี้หมิงมารับ แต่อี้หมิงมาสาย จนถูกเหม่ยลี่ที่ยังอวบอ้วนมหึมาด่าทอ กระแทกกระเป๋าเดินทางสีชมพูหวานแหววขู่เอา
“ยัยอ้วน ยัยอ้วน” อี้หมิงหัวรีบยกมือไหว้ “ฉันมาสายๆ ฉันกำลังผ่าตัดคนไข้อยู่”
“ไหนบอกว่าจะรอฉัน กลายเป็นฉันรอนายซะงั้น”
“ใช่ก็ฉันผ่าตัดคนไข้อยู่”
“นายไปเที่ยวผู้หญิงอีกแล้วใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้ไปจริงๆ นะ”
มี่เหม่ยลี่บ่นบ้าด่าเอาไม่หยุดหย่อน พร้อมกับไล่ตีหมอเหลยพัลวัน
“อะไรของนายเนี่ย บอกแล้วว่าจะไม่มาสาย บอกว่าอย่ามาสายไงเล่า”
อี้หมิงร้องโอดโอยหลบหลีกท่าทีน่าขัน “ฉันผิดไปแล้วๆ พอๆ โอ๊ย..อย่าโกรธสิ อย่าโกรธๆ โอ๊ยๆๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน ค่อยๆ พูดกันก็ได้”
เหม่ยลี่กระโดดกอดคอขี่หลัง “แบกฉันๆ”
“รอเดี๋ยว รอเดี๋ยวๆๆ เธออย่าดิ้นสิ โอ๊ย..ฉันเอาเองๆ กอดฉันไว้เดี๋ยวก็ร่วงหรอก”
“นายยังกล้ามาสายอีกมั้ย”
“เบาหน่อยๆๆ ไปล่ะนะ”
“ดูสิว่าคราวหน้ายังกล้ามาสายอีกมั้ย” เหม่ยลี่ขี่หลังลงโทษ แล้วหลุดหัวเราะออกมา
“ลูกพี่ว่ายังไงก็ว่าตามนั้น”
อี้หมิงประคองสังขารแบกยัยอ้วนบนหลัง หิ้วกระเป๋าเดินออกไปอย่างทุลักทะทุเล
เหม่ยลี่นึกถึงตอนเจอเซี่ยวเลี่ยงครั้งแรก และปิ๊งเขาทันที อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เธอต้องทำศัลยกรรมทั้งตัว อี้หมิงเปิดผ้าคลุมหน้าออก เมื่อครบกำหนด เธอเกิดใหม่ในชื่อใหม่ว่า มี่โตะ และได้มาทำงานกับชายในฝันกระทั่งเป็นแฟนกับเขาอย่างเหลือเชื่อ
ภาพสุดท้ายที่เธอจารจำในใจคือ เซี่ยวเลี่ยงสวมสร้อยเพชรราชินีของฉัน ให้เธอด้วยตัวเอง
เหม่ยลี่มาถึงสนามบิน เดินตรงเข้าไปหยุดทางขึ้นเครื่อง หันไปมองด้านหลังอีกครั้ง ด้วยใจหวังลึกๆ ว่าเขาจะมาส่งเธอจู่ๆ มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาง้อหญิงคนรักที่เข้าคิวอยู่ก่อนเหม่ยลี่ ฝ่ายชายงอนง้อขอคืนดี สุดท้ายขอแต่งงาน
“รอเดี๋ยว ที่รัก ผมคิดดีแล้ว คุณอย่าไปเลยนะ เราแต่งงานกันเถอะ”
ฝ่ายหญิงตอนตกลงทันที “ค่ะ”
“ไปเถอะ”
สองคนควงแขนกันออกไป
เหม่ยลี่เหลียวมองตามคู่รักสีหน้าเศร้า ก่อนจะตัดใจเดินเข้าประตูผู้สารขาออกไป โดยไม่รู้ว่าเซี่ยวเลี่ยงเดินตามเข้าไปติดๆ กัน
อ่านต่อ ตอนที่ 34
#กะรัตรัก #DiamondLover #NOW26 #ละครออนไลน์