เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 3
มัลลิกาพยายามใช้ลูกไม้ต่างๆ ในการหลบหน้าเจรมัยโจทก์เก่า จนสายตามองไปเห็นประตูทางหนีไฟ มัลลิกาตัดสินใจผลักประตูตั้งใจจะหนีออกไปทางนั้น จู่ๆ เกิดแสงสว่างส่องเข้าไปในทางหนีไฟนั้น มัลลิกาเห็นเงาตัวเอง และไม่นานมีเงาของเจรมัยตามมา คว้าแขนเธอไว้ไม่ยอมปล่อย
“ว่าแล้วต้องเป็นเธอ แม่นักข่าวตัวแสบ”
“ฮึ้ย ปล่อยฉันนะ”
มัลลิกาสะบัดเต็มแรง เจรมัยไม่ยอมปล่อย เกิดการยื้อยุด จนทำให้เสียหลักทั้งคู่ เห็นเป็นเงาพัวพันกันก่อนที่จะล้มลงไปทั้งคู่
อา...มัลลิกากับเจรมัยไม่รู้ว่า ทุกครั้งที่เงาทั้งคู่ทาบทับสัมผัสพัวพันกัน จะทำให้คนทั้งสองคนกลับเข้าไปในอดีตชาติได้ และมันกำลังเกิดโมเมนต์นั้น
หนูจ๋าวิ่งตามร้องเสียงหลง เมื่อเห็นทั้งคู่ล้มลงไปต่อหน้าต่อตา
“พี่ ระวัง”
เจรมัยและมัลลิกาล้มกองมาทับกันอยู่ตรงพื้นปลายบันได ปากชนปาก สองคนสบตากันและกัน ก่อนจะผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“ออกไปเลย ไรเนี่ย ฉวยโอกาสเหรอ” มัลลิกาโวยวาย
“คิดเข้าข้างตัวเองตลอด ใครจะอยากไปโดนตัว” เจรมัยโวยมั่ง
มัลลิกาลุกยืนขึ้น แล้วต้องอึ้งอย่างหนัก เมื่อเห็นอะไรบางอย่าง ส่วนเจรมัยยังบ่นบ้าต่อว่ามัลลิกาเรื่องที่สัมภาษณ์มั่วๆ ไม่เลิก
“คนอะไรทำคนอื่นเสียหาย แทนที่จะสำนึก ยังมีหน้ามาสะกดรอยคนอื่นอีก”
มัลลิกานิ่งมองบางอย่าง ไม่ได้สนใจคำพูดเจรมัย
“อย่าพึ่งด่าเราเลยนะ ดูนี่ก่อน”
เจรมัยเกิดสงสัยจึงได้มองตามไป และเขาก็รู้แล้วว่า อะไรทำให้แม่นักข่าวจอมแสบนิ่งงันไป
เจรมัยและมัลลิกา รับรู้ว่าเขาและเธอตกจากบันไดหนีไฟของห้องอัด แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับพบว่า พากันมาอยู่ที่ปลายบันไดไม้ของบ้านไม้หลังใหญ่โบราณแห่งหนึ่ง ที่ทั้งคู่ไม่รู้จัก
“นี่เราตกมากี่ชั้นเนี่ย” เจรมัย
มัลลิกาตบหน้าเจรมัยเข้าให้หนึ่งฉาดใหญ่ เล่นเอาเจรมัยหน้าสะบัดและสะดุ้งสุดตัว
“โอ๊ย เจ็บ ตบกันทำไม ฮะ”
“เจ็บ ก็แสดงว่าไม่ได้ฝันไป”
“นี่อย่ามาไร้สาระ มาเลย มากับผมเลย จะพาไปเจอพี่ภาคว่าได้ตัวคนทำชีวิตผมป่วนไปหมดแล้ว”
เจรมัยคว้าแขนมัลลิกาหมับ แล้วพาขึ้นบันไดไป มัลลิกายังงวยงงไม่หายว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ยอมเดินตามแรงฉุดของเจรมัยไปโดยดี
เมื่อถึงชั้นบนของบันได ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้วว่า ทั้งสองคนอยู่ในบ้านโบราณหลังใหญ่ของคนร่ำรวยในสมัยก่อน เจรมัยปล่อยแขนมัลลิกา มองรอบๆ อย่างระแวดระวัง
“มันไม่ปกติแล้ว”
มัลลิกานั้นเห็นว่าไม่ปกติตั้งนานแล้ว “ความรู้สึกช้าจริง”
เจรมัยหงุดหงิดนิดๆ เหมือนถูกมัลลิกาหลอกด่า
มัลลิกาตัดสินใจเดินแยกออกไปอีกทาง กะจะหาใครสักคนที่พอจะบอกได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น
ยินเสียงใครบางคนคุยกันอยู่ที่ลานบ้านชั้นหนึ่ง มัลลิการีบเดินไปดูว่าเป็นใคร เจรมัยไม่มีทางเลือกจึงต้องตามไปด้วย
ทั้งคู่แลเห็นชายวัยกลางคนแต่งตัวดูดีมีฐานะด้วยเสื้อผ้าโบราณ แท้จริงท่านผู้นั้นคือ คหบดีโสภณ มีคนรับใช้อีกสองคนติดตามมาด้วย ท่านโสภณ เดินมาหาคนของทางการอีกสองท่านที่มารอพบอยู่ตรงลานบ้าน
“สวัสดีครับท่านโสภณ” คนของทางการทักทาย
ท่านโสภณทักตอบ “หามิได้ครับท่านนาธี ท่านคงมาถามไถ่เรื่องที่ไหว้วานใช่มั้ยขอรับ เรื่องการละเล่นที่จะเอามาต้อนรับพ่อค้าฝรั่ง ที่จะมาถึงอีกสองเดือนใช่มั้ย”
“ขอรับ”
“ไม่ต้องกังวลครับ ลูกสาวกระผมโทรเลขไปเชิญคณะตะลุงเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ดีเลยขอรับ ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตแจงใบกำหนดการที่ทางเจ้าท่าทำมาให้เลยนะครับ”
“อย่างนั้นหรือครับ งั้นเชิญด้านในก่อนดีกว่า”
“รบกวนหน่อยนะขอรับ”
“ขอรับๆ เชิญขอรับๆ” คหบดีโสภณ
เจรมัยยืนมองกลุ่มคนแต่งตัวโบราณอยู่ตรงระเบียงชั้นบน พยายามจะหาคำตอบว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่
ขณะที่ท่านโสภณเดินนำคนของทางการไปนั้น ท่านได้มองขึ้นมาทางที่เจรมัยกับมัลลิกายืนอยู่ สองคนแปลกใจมาก และดูเหมือนว่าคหบดีคนนั้นจะบอกอะไรเขาหรือเปล่า เพราะพยักหน้าเรียกให้ลงมา
เจรมัยมองหน้ามัลลิกาว่าเอาไงดี ระหว่างที่ทั้งคู่ลังเลอยู่นั้น ท่านคหบดีก็พยักหน้าย้ำอีกหน
จังหวะที่เจรมัยขยับตัวตามที่ถูกเรียก ก็มีหญิงสาวแต่งตัวโบราณอีกคน เข้ามายืนตรงระเบียงข้างๆ มัลลิกา
มัลลิกาหันไปมองถึงกับตกตะลึงพรึงเพริศ เมื่อพบว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาเหมือนเธอราวกับเป็นคนเดียวกันกระนั้น จะต่างก็เพียงแค่เสื้อผ้าทรงผมและเครื่องแต่งกายเท่านั้น
หญิงสาวคนนั้นพยักหน้ารับเอาคำของบิดาคหบดี เธอมีชื่อว่า มาลี
“ค่ะพ่อ...งั้นลูกจะไปเตรียมห้องทำงานให้ก่อนนะคะ”
มาลีวิ่งตัดด้านหลังมัลลิกากับเจรมัยไป เจรมัยจึงไม่เห็นหน้าว่าเธอคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ส่วนมัลลิกายังคงอึ้งตะลึงตะไลกับสิ่งที่เห็นอยู่
“เอ้าคุณ ทำไมไม่เรียกเค้าไว้ละ จะได้ถามว่าที่นี่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น”
“ฉัน...เห็น...”
“เห็นไร เห็นใคร”
“เห็น...ไม่แน่ใจ”
ในจังหวะที่รีบตามเธอคนนั้นไป เจรมัยก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกันดังมาจากอีกมุมของโถงทางเดินบนเรือน หญิงสองคนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบชาวตะวันตกประยุกต์ดูดี มีฐานะ สวยแปลกตา
เจรมัยหันไปสนใจเสียงนั้นแล้วเดินตามไป
“มานั่นอีกสองคนแล้ว เดี๋ยวผมไปถามเอง คุณตามมาแล้วกัน”
เจรมัยจะออกเดินไปตามผู้หญิงสองคน แต่มัลลิกากลับยังยืนคิดอะไรบางอย่างอยู่ และน่าจะเป็นเรื่องผู้หญิงที่เธอเห็นเมื่อครู่
“เป็นอะไรไปคุณ”
“คุณไปถามสองคนนั้นแล้วกัน ฉันขอไปตามผู้หญิงคนเมื่อกี้ก่อนนะ”
ว่าแล้วมัลลิกาก็แยกตัวไปอีกทาง
ผู้หญิงสองคนเดินไปอย่างเร่งรีบ
คนหนึ่งชื่อมณฑา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เห็นนังมาลีมั้ยศรี พอมีแขกมามันก็ไปเสนอหน้าหาพ่อทันที”
อีกคนชื่อ มารศรี ตอบว่า “เห็นจ๊ะพี่มณ แต่เหมือนพ่อเรียกมาลีนะ”
“ถึงเรียกก็ไม่ต้องแจ้นไปหาก็ได้ เร็วเดินเร็วหน่อย เดี๋ยวจะโดนมันเอาความดีไปหมด เห็นตอนที่ตะโกนข้ามระเบียงมั้ย ไร้มารยาท เป็นกันแบบนี้บ้านเมืองเรา เมื่อไหร่จะศิวิไลซ์เหมือนตะวันตกซะที”
มารศรีบ่นบ้าผสมโรงกันไป “อืม...พ่อก็ไม่รู้อะไร เราลูกบ้านใหญ่แท้ๆ ทำไมอะไรๆ ก็ประเคนให้นังมาลีมันหมดก็ไม่รู้”
“น่าจะชินนะ สมัยแม่เราแม่นังมาลีอยู่ แม่นังมาลีก็แย่งพ่อเราไป เลือดอีช่างแย่งนะพี่” มณฑาว่า
“จริงๆ มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องขจัดเลือดอีช่างแย่งออกจากบ้านโสภณเสียที ไปรอที่ห้องทำงานพ่อกัน” มารศรีบอก
“คุณครับ คุณครับ ผมถามอะไรหน่อยซิ คุณ”
เจรมัยร้องเรียกเสียงดัง แต่สองคนนั้นทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของเขา เจรมัยเดินไปขวางหน้าไว้
“นี่ไม่ได้ยินที่เรียกหรือไง” ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากทั้งคู่ เจรมัยไม่เชื่อ “ไม่มีทาง มันต้องพิสูจน์”
เจรมัยยืนขวางทางคนทั้งคู่ไว้ ถ้ายังแกล้งไม่เห็นกันอีก ยังไงก็ต้องเดินชนเขาแน่นอน สองคนเดินมาจะมาถึงตัวเจรมัยอยู่ร่อมร่อ ยินเสียงเรียกของภาคดังมาจากทางด้านหลัง
“เจ เป็นไงบ้าง เจ”
ก่อนที่สองคนจะเดินมาชน เจรมัยหันไปตามเสียงเรียกของภาค พอเขาหมุนตัวกลับมามองก็กลายเป็นว่า ภาคยืนอยู่บนบันไดหนีไฟของห้องอัด ซึ่งตัวเขาเองก็เพิ่งรู้ว่าไม่ได้ออกไปไหน ไม่มีบ้านเรือนไม้โบราณ ไม่มีหญิงแปลกหน้า
ข้างๆ กันตอนนี้มีมัลลิกา ซึ่งได้สติกลับมาช้ากว่าเจรมัยมาก และเวลานี้เธอก็มีสีหน้าตื่นตระหนกชัดแจ้ง เจรมัยสังเกตเห็น
มัลลิกายืนมองหน้าเจรมัย เหมือนสงสัยว่าเมื่อครู่เขาและเธอไปรู้ไปเห็นอะไรกันมา ไม่เท่านั้นมะลิจับหน้าตัวเองเหมือนว่าเธอเห็นบางอย่างในนิมิต
“คุณ คุณ เป็นอะไร สีหน้าดูไม่ดีเลย”
“ฉันว่า...ฉันเห็น”
ทั้งสองคนมองหน้ากันเพื่อหาคำตอบ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ภาคก็ขัดจังหวะขึ้นก่อน
“เจ แกมัวทำอะไรที่นี่ แล้วนี่ใคร”
“ก็...ไม่มีอะไรพี่ผม มาจับตัวนักข่าวที่สัมภาษณ์มั่วๆ ในคืนประกาศรางวัลน่ะพี่ คนนี้ไง”
“อ้าวเหรอ แล้วนี่มาที่นี่ตั้งใจจะทำอะไรอีกหรือเปล่า แล้วตกลงนี่อยู่สื่อไหนเนี่ย ทำกับใคร”
เสียงแจ๋วๆ ดังขัดขึ้นว่า “พี่เค้าทำงานกับ...”
หนูจ๋าเจ้าของเสียงรู้ตัวด้วยตัวเองว่า ยังไม่ควรพูดชื่อเจนจิราออกไป รีบเอามือปิดปากส่อพิรุธแบบน่าขัน
มัลลิกาโล่งอก
ภาคตัดบท “เอาเหอะๆ เอาเรื่องงานก่อนดีกว่าเจ มาฟังเสียงที่อัดเมื่อกี้ดีกว่า”
“มีปัญหาหรือพี่”
ภาคพยักหน้าแทนคำตอบ เจรมัยเกิดอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่ลืมหันมาจัดการมัลลิกา
“เธออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวเรามีเรื่องต้องคุยกัน จ๋า ดูป้านักข่าวคนนี้ไว้นะ”
มัลลิกาอย่างเคือง “โห.....ป้า”
“ค่ะพี่เจ หนูจะดูพี่มะลิเอง”
เจรมัยสะดุดหู “นี่รู้จักชื่อกันด้วย รู้จักกันงั้นเหรอ”
“อุ๊บ”
หนูจ๋าหลุดปากอีกจนได้ รีบเอามือปิดปากอีกหน
“ไปเหอะเจ”
เจรมัยรีบตามภาคไป
สองคนเดินพ้นตัวไปแล้ว มัลลิกาโล่งอก หันมานั่งลงแถวๆ นั้น คุยกับหนูจ๋าต่อ
“ไมพี่ไม่บอกว่าพี่ทำงานกับพี่เจนล่ะคะ”
“ก็พี่เจนน่ะซิ เยอะ สั่งพี่ให้ไปอำเจ แล้วก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็เลยไม่รู้ว่าพี่เจนเขาอยากให้บอกว่าแกอยู่เบื้องหลังหรือเปล่าน่ะสิ ไงก็เก็บความลับไปก่อนเนอะ”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ค่ะ พี่มะลิ”
เจรมัยเตรียมฟังเสียงที่ตัวเองอัดไปเมื่อครู่ ภาคบอกให้คนคุมเครื่องเปิดเสียงอีกหน เจรมัยสังเกตเห็นท่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างแล้ว ก็อดหนักใจไม่ได้ว่ากำลังจะได้ยินอะไร มองเลยไปก็เห็น หนูจ๋าจับมือเดินมากับมะลิ
เจรมัยเลือกหันกลับมาลุ้นเสียงที่จะฟังดีกว่าเจอหน้ายัยมะลิ คนคุมเครื่องเปิดสวิตช์เสียง
“เสียงเช็ค เช็ค หนึ่ง สอง หนึ่ง เชิญครับเจ ลองเทสต์ดูได้ครับ
เจรมัยงงๆ
“เรียบร้อยนะครับ งั้นเริ่มกันเลย”
คนคุมเครื่องปิดสวิตท์ลง เจรมัยยังไม่เข้าใจ
“แล้วไง”
ภาคหันมาบอก “อ้าวนี่แก ไม่สังเกตเหรอว่าไม่มีเสียงแก”
“อืม นั่นซิ”
“แล้วมันก็เป็นแบบนี้ทั้งคลิปเลย” ภาคว่า
“ไม่น่านะ เปิดไม่ครบไทม์ไลน์หรือเปล่า” เจรมัยพูดเชิงถาม
คนคุมเครื่อง “ผมเรคคอร์ดลงไลน์เดียวกันครับ ไลน์เดียวกับเสียงน้องที่เช็คไมค์เลย”
น้องผู้ช่วยที่เช็คไมค์พยักหน้ายืนยัน แถมสีหน้ายังฟ้องว่าเริ่มกลัวซะแล้ว
เจรมัยไม่เชื่อ “ไม่ๆ มันต้องมีสาเหตุ ไหนขอผมลองหน่อย”
พร้อมกับว่าเจรมัยแทรกตัวเข้าไปขยับมิกเซอร์เอง ปรับจูนบนบาร์บังคับ สเกลต่างๆ ขยับตามที่เจรมัยทำแล้วจู่ๆ มีเสียงหวีดแหลมจนทุกคนประหลาดใจ
ภาคสะดุดหูได้ยินบางอย่าง ยกมือให้หยุด
“เฮ้ย หยุดก่อนๆ แล้วกลับไปอีกนิด ขอเสียงดังขึ้นอีกหน่อย”
เจรมัยบอกว่า “ผมก็ได้ยินพี่”
เสียงนั้นก็ทำให้ทุกคนเริ่มใจคอไม่ดีเป็นทวีคูณ มันเป็นเสียงดนตรีไทยโบราณ แต่ไม่เหมือนเพลงของภาคกลาง เพลงนั้นจะปรากฎทุกครั้งในคลิปที่เป็นเสียงเจรมัยพูด เจรมัยย้อนกลับไปฟังอีกรอบ
“ชัดมากพี่ผมว่าไม่ปกติแล้วละมั้ง” คนคุมเครื่องว่า
“คิดไร ไร้สาระน่ะ ไหน เปิดอีกทีซิ อาจจะมีอะไรพลาด” ภาคบอก
เสียงมัลลิกาดังขึ้น “อย่าเปิดค่ะ เปิดอีกทีคลิปจะเสียทันที ฉันเคยเจอแบบนี้แล้ว ตอนที่ไปสัมภาษณ์ให้พี่เจนจิราคืนนั้น”
หนูจ๋าพยายามดึงไม่ให้มะลิพูดถึงเจนจิรา แต่ไม่ทันซะแล้ว มัลลิกาได้แต่ร้อง “อุ๊ป”
เจรมัยไม่อยากเชื่อ “ไรนะพี่เจน พี่เจนจิราเราอะนะจ๋า”
หนูจ๋าพยักหน้าช้าๆ เชิงยอมรับว่า นั่นแหละคนนั้นเลย
“เดี๋ยวๆ ขอฟังเนี่ยให้เคลียร์ก่อน” เจรมัยเอ่ยขึ้น
“บอกว่าอย่าเปิด เดี๋ยวไฟล์เสีย” มัลลิกา
เจรมัยฉุนกึก “อะไรคุณ ตรงนี้คุณไม่มีสิทธิมาเสนอไอเดีย นี่มันงานผม”
“อย่า ถ้าเปิดอีกครั้งเดี๋ยวไฟล์เสีย เดี๋ยวจะหมดโอกาส เอาไปทดสอบแบบอื่นนะ”
เจรมัยปรับเสียงฟังอีกครั้ง โดยไม่สนคำทักท้วงของมัลลิกา
แรกๆ เสียงดนตรีก็ยังฟังได้อยู่ แล้วมันก็เป็นอย่างที่มัลลิกาว่า คลิปเสียงนั้นเริ่มเสียงหาย แล้วเปิดไม่ได้อีกเลย
คนคุมเครื่องบอกว่า “คลิปเสียแล้วจริงๆ พี่”
เจรมัยไม่ยอมแพ้ รีเวิร์สเสียงกลับไปกลับมา ด้วยหวังว่ามันจะใช้ได้อีก มัลลิกาส่ายหน้าด้วยความผิดหวังในตัวเจรมัย ภาคหันไปถามมัลลิกาอย่างสนใจ
“เธอชื่ออะไรนะ มะลิใช่มั้ย ขอคุยด้วยหน่อยซิ”
ภาคออกมาคุยกับมัลลิกาเป็นการส่วนตัว ตรงจุดที่ไม่มีคนผ่านมามากนัก
“ที่ว่าเหมือนกับคลิปของเจนมันเป็นยังไง”
“คือว่า...คลิปที่มะลิไปสัมภาษณ์เจ ในวันรับรางวัล ที่ทำเอาวุ่นวายกันทั้งคืนนั้นน่ะพี่”
“อืม จำได้ ทำเอายอดด้านลบพุ่ง จนคนลืมความสามารถของเจเลย พี่จำได้”
มัลลิกาหน้าซีด “อ้อ”
“เล่าเรื่องคลิปต่อเถอะ”
“ค่ะ คือมันเป็นคลิปภาพใช่มั้ยพี่ แต่ตลอดทั้งคลิปมีเงาดำพาดหน้าตลอดคลิปเลย พอดูซ้ำไปซักสามรอบ คลิปก็เสีย จะเก็บเป็นหลักฐานอะไรก็ไม่ได้”
ภาคนิ่งคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเจอที่สตูดิโอ มันเป็นเดียวกับที่มะลิเล่าเปี๊ยบ
“มีไรหรือพี่ หรือว่าพี่ก็เจอมาเหมือนกัน”
“อืม” ภาคอึนๆ งงๆ
“คือ...ที่มาที่นี่ก็คิดว่า เรื่องแบบนี้มันต้องมีใครแกล้งแน่ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แล้ว”
มัลลิกาพูดเป็นนัยว่า มันอาจเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
“มันชักจะยังไง”
เจรมัยเดินมาสมทบพร้อมกับหนูจ๋า
“พี่ คุยอะไรกับยัยนักข่าวมะลิ”
“คุยเรื่องนี้แหละ น่าเสียดายนะที่คลิปเสียงมันเสียไปแล้ว เลยไม่รู้ว่าไอ้เพลงที่ได้ยินมันเป็นเพลงอะไร”
“ผมจะมาบอกพี่เรื่องนี้แหละ คือ พี่คนคุมเครื่องบังเอิญเค้ามี Back up file พอดี เลยว่าจะเอาไปให้ใครซักคนที่สามารถช่วยบอกหน่อยว่ามันเป็นเพลงอะไร”
“อืมๆ ดีเลย” ภาคมีความหวัง
“ฉันช่วยได้นะ ถ้าพรุ่งนี้เราพากันไปที่ออฟฟิศของพี่เจน จะมี ภวัต บ.ก.สารคดี คนนี้ช่วยเราได้”
“จริงดิ ดีเลย งั้นพรุ่งนี้เราไปออฟิศพี่เจนกัน จะได้เฉ่งพี่เจนด้วยเลยทีเดียว”
มัลลิกานึกสยองแทนเจนจิรา
เจรมัยกลับถึงบ้านคุณตาเทียบ เดินเข้ามาในห้องด้วยความเหนื่อย ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา พึมพำกับตัวเอง ถึงเรื่องราวแปลกๆ ที่เจอมาตลอดทั้งวันมานี้
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน...มันเกิดขึ้นได้ยังไง...ทำไม”
ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เจรมัยไม่ทันสังเกตว่า ผีสร้อยพียืนมองอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนจะก้าวเดินมาหาเขาอย่างช้าๆ สร้อยพีอยากสัมผัสมือเจรมัยหรือพี่เที่ยงของนาง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ผีสาวร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด
เช้าวันต่อมา ต่อหน้าทุกๆ คน เจนจิราจนมุมด้วยพยาน ได้แต่หัวเราะเขินๆ ออกมา ท่ามกลางสายตาของภาค เจรมัย และหนูจ๋า ส่วนมัลลิกาแอบอยู่หลังทุกคน
“ก็นิดนึง พี่ขอโทษ พี่ก็กะแค่ให้ไปสัมภาษณ์ว่าเป็นแฟนกันจริงไหม แค่นั้นเองส่วนเรื่องซื้อคะนง คะแนน โหวต พี่...เปล่านะ”
มัลลิกาได้ยินชัด เธอต่อยอดเอง ความผิดวกมาหาตัวเธออีกรอบแล้ว เจรมัยหันมามองโจทก์ที่ทำตัวลีบเล็กอยู่ตรงมุมห้อง มัลลิกาอึกอักไม่รู้จะแก้ตัวยังไง
“คือ...ว่า เอ่อ...วันนั้นโทรศัพท์มันสายหลุด ก็เลยจำเป็นต้องมั่วถามๆ ไปอะ”
“มั่ว” เจรมัยทวนคำ ค่อยๆ เดินเข้าไปหามัลลิกาที่ถดตัวถอยหนีเข้ามุมไปเรื่อยๆ
ภาคส่ายหัวกับเรื่องโอละพ่อที่ได้ยิน
“ความมั่วของคุณ มันทำให้คนต้องสูญทั้งเงิน ทั้งโอกาส รู้มั้ย”
ในจังหวะนั้นมีใครบางคนก้าวเข้ามาในห้องทำงานเจนจิราพอดี
มัลลิการ้องขึ้นอย่างดีใจ “ภวัตมาช่วยแล้ว”
ภวัตยิ้มทักมัลลิกา เขาเข้ามาพร้อมกับโน้ตบุคในมือ ส่วนนายแว่นก็หอบหนังสือจำนวนหนึ่งตามเข้ามา
เจรมัยเลยต้องหยุดการคุกคามมะลิไว้ครู่หนึ่ง
“ขอบคุณวัตมากนะที่ช่วยหาข้อมูลให้”
“เรื่องเล็กน่ะมะลิ เรื่องนี้ผมถนัดอยู่แล้ว”
มัลลิกาชกเบาๆ ใส่แขนภวัตอย่างสนิทสนม
“แน่นอนจริงๆ”
เจนจิราเห็นว่ามัลลิกาซี้กับภวัตดีแท้ นี่ไม่รู้เลยหรือว่ากำลังชกแขนลูกเจ้าของบริษัท แว่นเห็นอาการเจนจิรา ก็รีบส่งซิกให้เงียบไว้
“ผมทำสำเนาเสียงไว้แล้วครับไม่ต้องห่วง เรามาฟังกันอีกทีนะครับ”
“ดีครับ” เจมัยตื่นเต้น
เสียงเครื่องดนตรีไทยดังขึ้น ในท่วงทำนองเดิม
ภวัตบอกว่า “เป็นเพลงตะลุงของภาคใต้เรานี่แหละครับ”
เจรมัยพึมพำออกมา “ตะลุงอีกแล้วเหรอ”
“อะไรนะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ฟังดูวังเวงแปลกๆ ยังไงไม่รู้” เจนจิราบอก
มัลลิกาสบตาเจนจิราสนับสนุนความคิดของเธอ
“มันเป็นเสียงเล่นสด และ ไม่ได้ผ่านเครื่องขยายเสียง ไม่ซิ อย่าว่าแต่ไม่ผ่านเครื่องขยายเสียงเลย เครื่องดนตรีเองผมว่าก็น่าจะเป็นของดั้งเดิม ไม่มีเครื่องดนตรีไฟฟ้าด้วยซ้ำ”
ภาคเอ่ยขึ้นมา ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า “สมัยนี้ยังมีใครเล่นแบบไม่มีเครื่องเสียงด้วยเหรอ”
“คุณเจ พูดถูกครับ เท่าที่ผมกับแว่นเช็คดูปัจจุบัน ตะลุงจะต้องมีคีย์บอร์ด เบสไฟฟ้า แต่ที่เราฟังกันอยู่ไม่มีเสียงจากพวกนั้นเลย”
ทุกคนพากันเงียบกับปริศนาที่เกิดขึ้น
“หรือเสียงมันจะมาจากอดีต”
เจรมัย ภาค และ มัลลิกา ต่างสนใจในสิ่งที่เจนจิราแชร์มา ภวัตกับแว่น ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมีท่าทีแบบนั้น ภวัตสังเกตเห็นมะลิดูกังวลไปด้วย เลยอยากทำให้บรรยากาศดีขึ้น
“เดี๋ยวนะครับๆ ก่อนที่จะวิตกไปกันใหญ่ เราค่อยๆหาคำตอบที่ดู บางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องผิดพลาดธรรมดาก็ได้ครับ”
แว่นถามขึ้น “แต่คุณภวัต เอ๊ย พี่ภวัตครับ แล้วเรื่องคลิปที่ฟังแล้วจะเสียนี่มันยังไงครับ ผมยืนยันครับว่ามันไม่ใช่ไวรัสแน่นอน”
“คุณแว่น บางทีคุณอาจจะไม่ได้รู้จักไวรัสทุกตัวก็ได้ นี่ก็เครียดไปอีกคน”
“ค..ครับ”
โทรศัพท์ของเจรมัยสั่น เป็นเบอร์ของแคทลียาโทร.มา เจรมัยถอนหายใจ แต่ยังไม่ยอมรับสาย ภาคดูออก เดินเข้าไปหาอย่างรู้ทัน
“แคทโทรมาใช่มั้ย นี่ดูนี่ โทร.เข้าเบอร์พี่จะ 30 มิสคอลล์ แล้วเนี่ย”
แคทลียาที่ภาคพูดถึง เดินด้อมๆ มองๆ รอบบ้านตาเทียบ สแกนสายตามองหาเจรมัยไปทั่วทุกพื้นที่ ในมือหอบของมาด้วยฝากจำนวนหนึ่ง มืออีกข้างถือโทรศัพท์แนบหูรอสายไปด้วย
“พี่เจนะพี่เจ ไม่รับสายอีกแล้ว”
จินดากับหนูจ๋าเดินเข้ามาหาด้วยความสงสัย
“คุณมาหาเจหรือคะ”
“อ๋อ ใช่ค่ะคุณน้า” แคทลียาไหว้จินดา “แคทเอาของฝากจากฝรั่งเศสมาให้ค่ะ พี่เจอยู่มั้ยคะ โทร.หาก็ไม่รับสาย”
“เจออกไปทำงานกับพี่ภาคแต่เช้าแล้วค่ะ”
“อ้าว แล้วทำที่ไหนคะ แคทจะได้ไปหา”
“อืม เจไปที่...อุ๊ย”
จินดาไม่ทันได้บอก หนูจ๋าแอบกระตุกเสื้อแม่ไม่ให้พูด จินดาไม่เก็ตจะพูดต่อ หนูจ๋าทั้งกระตุกคิ้ว ทั้งขยิบตา เบ้ปาก อยู่พักใหญ่กว่าแม่จะเก็ต
“อ้อ ไปที่ไหนนี่ไม่รู้จริงๆ จ๊ะหนู”
“แลดู ไม่พิรุธเลยนะค่ะหนูน่ะ ค่ะ งั้นแคทรบกวนฝากของไว้ให้เจด้วยละกันนะคะ”
แคทลียาส่งของฝากจากนอกให้จินดา แต่กั๊กไว้ถุงหนึ่ง
“ส่วนนี้ของฝากหนูนะ ชุดเครื่องสำอางสำหรับทีนเอจ”
หนูจ๋าตาโตที่ได้ของฝากกับเขาด้วย แต่จู่ๆ แคทลียากลับดึงกลับไม่ให้ซะดื้อๆ
“แต่พี่เปลี่ยนใจ เก็บไว้ใช้เองดีกว่า งั้นหนูลากลับก่อนนะคะคุณน้า สวัสดีค่ะ”
หนูจ๋าหน้าเหี่ยว อดได้ของฝาก จินดาขำที่เห็นลูกสาวออกมาการผิดหวัง แคทลียาแกล้งเดินไปแค่สองก้าว แล้วก็หยุดหันกลับมาหาหนูจ๋าอีกที
“อ่ะ สาวน้อย พี่เปลี่ยนใจละ อ่ะพี่ให้ ไม่อยากเห็นสาวน้อยขี้มูกโป่ง”
หนูจ๋ายิ้มรับหน้าบาน
“ขอบคุณมากๆ นะ หนูแคท” จินดาบอก
“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า แคทไม่ได้อำน้องแรงไปใช่มั้ยคะ” แคทลียายิ้มขำๆ “งั้นแคทกลับก่อนนะคะ”
จินดาขำความขาดๆ เกินๆ ของไฮโซสาว
ระหว่างที่แคทลียาเดินกลับไปยังรถ ก็ไม่วายสำรวจบ้านคุณตาเทียบไปด้วย
“ดูท่าจะหวงพี่ชายไม่เบา ดีเลย Challenge แบบนี้ชอบ แต่ว่าถ้าในวันหนึ่งพี่เจเป็นของเราจริงๆ ขึ้นมา จะต้องมาอยู่บ้านนี้มั้ยน้า”
แคทลียากวาดตามองรอบๆ รู้สึกวังเวงพิกล พยายามบอกตัวเองว่าคิดไปเอง
ในจังหวะนั้นเอง มีประตูห้องหนึ่งระหว่างทางเปิดออก แคทลียาเกิดสนใจ เพราะได้ยินเสียงคนเรียก “คุณแคทๆ” ดังแกมาจากห้องนั้นจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
ด้านในห้องยามนี้ มีวิญญาณสร้อยพีเฝ้ารออยู่ในร่างอันรางเลือน แคทลียาเดินเข้ามาใกล้ประตูมากขึ้นๆ
ร่างวิญญาณร้ายชัดเจนขึ้นๆ เป็นร่างเงาสีดำดวงตาโพลนขาวมีจุดสีขาวเล็กๆตรงกลาง เล็บยาวงุ้มโค้งและคม ส่งเสียงแหบแห้งเรียกชื่อ “คุณแคทๆ”
แคทลียาใกล้จะก้าวเข้าไปในนั้นอยู่รอมร่อ ฉับพลันทันใดนั้นเอง มีเสียงเรียกไว้
“ครับคุณ...คุณแคทลียา”
เป็นนายชัดคนสวน เข้ามาทักด้วยความสงสัย ส่งผลให้สาวไฮโซต้องหยุดท้าวที่ก้าวเข้าไปในห้อง แล้วหันมาหาชัดแทน
วิญญาณผีร้ายชะงัก ค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในเงามืดของห้อง แคทลียารอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด
“น้าเรียกหนูเหรอคะ”
“ครับ”
แคทลียามองฉงน “หมายถึงเรียกจากในห้องอ่ะนะ”
ชัดเป็นฝ่ายงง “ในห้องอะไรครับ ผมเดินมาจากตรงโน้นนะครับแล้วห้องนี้ก็ล็อคอยู่นะครับ คงไม่มีใครอยู่ข้างใน”
แคทลียาหันไปดูประตูที่เมื่อครู่เปิดรอเธออยู่ ตอนนี้มันกลับปิดล็อคอย่างที่นายชัดว่า สาวไฮโซเกิดงุนงงกับตัวเอง หรือว่าเธอตาฝาดไปเองทั้งหมด
“คุณแคทจะเอาอะไรในห้องนั้นหรือครับ”
“ไม่มี ไม่มีจ๊ะ นี่น้า... รู้จักแคทด้วยเหรอ”
“รู้ซิครับ...ไฮโซและนางเอกคนดัง ตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีกนะครับ”
แคทลียายิ้มปลื้ม “นี่ขนาดแต่งเบาๆ นะเนี่ย ยังสวยอีกเหรอ นี่น้าพี่เจเค้าไปไหนพอจะรู้มั้ยอะ”
“เรื่องนั้นไม่ทราบจริงๆ ครับคุณ”
“เฮ้ย ผิดหวังที่สุด”
ไฮโซสาวบ่นบ้าเซ็งๆ เมื่อไม่มีใครให้คำตอบที่ต้องการได้
เจรมัยนั่งคุยอยู่กับภาคตรงมุมหนึ่งในออฟฟิศสำนักพิมพ์ เขาสังเกตเห็นว่าผู้จัดการส่วนตัวมีสีหน้ากังวลมั่นคงตั้งแต่ลงนั่งจนบัดนี้
“พี่เครียดอะไร”
“ไม่เครียดได้ไง เจแกนี่ก็ถามแปลก พี่ว่ามันมีเรื่องแปลกๆ พัวพันอยู่กับแกหนักขึ้นๆ ทุกที”
“พัวพันกับผม ผมต้องเครียดซิ พี่นี่แซงผมไปแล้วนะเนี่ย”
“ก็มันหน้าที่พี่นี่ที่ต้องคิดแผนงานแทนแกนี่นา ถ้าเรื่องบ้าๆ นี่รุนแรงขึ้น ไฟล์งานต่างๆ พากันหายหมดนั่นก็หมายความว่าตัวแกจะถูกทำให้หายไปจากวงการนี้ในไม่ช้า เข้าใจมั้ย แกก็จะสาบสูญไปจากวงการนี้”
“ครับพี่”
“พี่ไปเอากาแฟดีกว่า เผื่อจะคิดออกว่าจะเอายังไงกับชีวิตเราสองคนต่อดี จะเอาอะไรมั้ย”
“ไม่ครับ ขอบคุณพี่”
ภาคลุกเดินออกไป ทำให้เจรมัยมองไปทางภวัต พบว่าภวัตกำลังเก็บข้าวของอยู่ที่โต๊ะทำงาน มองห่างออกไปเห็นมัลลิกากำลังวิตกคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และครู่ต่อมาภวัตก็เดินเข้าไปหา
เจรมัยพอมองออกว่าสองคนนี้มีอะไรพิเศษต่อกัน
“กังวลเหรอ” ภวัตถาม
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
“ผมสังเกตเห็น”
มัลลิการู้ว่าภวัตให้ความสนใจในทุกๆ เรื่องจริงๆ เธอนิ่งเงียบด้วยเรื่องที่คิดไม่ตก
“คุณกำลังคิดว่า เรื่องเสียงดนตรีตะลุง กับ ผู้หญิงชุดทางใต้ที่ไฟท่วมตัว เรื่องสองเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องยังไงกันหรือเปล่า ใช่มั้ยครับ ทำไมเรื่องทำนองนี้ถึงมาเกิดขึ้นใกล้ๆ กัน”
มัลลิกาแปลกใจ “อ้าว วัต ก็เมื่อครู่เหมือนว่า วัตจะบอกว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดธรรมดา”
“ครับผมพูด...ที่พูดก็เพราะผมสังเกตเห็นคุณกังวลใจ ก็...เผื่อว่ามันจะทำให้มะลิสบายใจขึ้น”
มัลลิกายิ้มให้ “ขอบใจนะ”
“แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่า เรื่องแปลกนี้จะไม่มีคำตอบนะ ยังไงผมจะหาคำตอบต่อไป”
ภวัตยิ้มจริงใจในน้ำเสียงหนักแน่น
มัลลิกามองเลยภวัตไป เห็นเจรมัยกำลังยืนรอจังหวะเหมือนอยากจะเข้ามาหา แต่ติดตรงที่ภวัตอยู่นั่นเอง มะลิรู้สึกเหนื่อยใจ ต้องโดนเจรมัยต่อว่าต่อแน่ๆ
ภวัตมองตามสายตามะลิไป เจรมัยได้จังหวะเดินเข้ามาหาพอดี
“ผมอยากถามอะไรคุณหน่อย”
ภวัตรับรู้ได้ว่า เจรมัยคงมีอะไรที่อยากคุยเป็นส่วนตัว จึงขอตัวแยกไป
“งั้นผมไปทำงานต่อนะครับ เชิญคุณตามสบายนะครับ คุณเจ”
เจรมัยกับมัลลิกาอยู่กันลำพัง มีคนเดินผ่านไปผ่านมาตรงจุดที่สองคนอยู่ เจรมัยอยากพูดแต่ก็กลัวคนแถวนี้จะได้ยิน จึงขยับตัวเข้ามาใกล้มัลลิกามากขึ้น เลยเจอโวยเข้าให้
“เฮ้ย จะเข้ามาเบียดไมเนี่ย”
ภวัตเดินห่างออกไปแล้วชะงักหันกลับมามอง เมื่อเห็นก็อดคิดไม่ได้ว่า เจรมัยอาจเป็นคนพิเศษของมัลลิกา สุดท้ายภวัตก็ตัดใจเดินจากไป
“อยากจะถามอะไรเธอหน่อย”
“ถามมาดิ ไมจะต้องทำท่าแปลกๆ ด้วย”
“ก็เรื่องที่จะถาม ถ้าคนอื่นได้ยิน เค้าอาจจะคิดว่าเราสองคนบ้าก็ได้”
“เรื่องอะไร”
“เธอเห็นเหมือนกันใช่มั้ย ตอนที่ตกบันไดที่ห้องอัด”
มัลลิกานิ่งไป
“บ้านโบราณ กับเจ้าของบ้านและลูกสาวของเค้า”
“ก็...ไม่เชิง” มัลลิกายักท่า วางฟอร์ม
“อะไร เชิง ไม่เชิง มันหมายความว่าอะไร เห็นก็เห็นซิ”
มัลลิกาเม้ง “นี่ จะมาคาดคั้นอะไรกัน ฉันจะรู้สึกแบบไหนมันก็ความรู้สึกฉันมั้ย”
“ก็แค่...อยากรู้มากไปหน่อย”
“ถอยไปก่อนเลย ไม่มีใครเดินผ่านมาแล้วนะ”
“อ้อ โทษที”
เจรมัยมารู้ตัวอีกทีตัวก็เกือบจะติดกับมะลิไปแล้ว
“ค่อยยังชั่วแล้วก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นเค้าจะคิดยังไงกับเรื่องนี้หรอก ถึงพูดไปคนที่นี่ไม่มีใครสนใจฟังหรอก”
มัลลิกาสาธิตให้เจรมัยดู โดยการเดินไปพูดกับเจรมัยทำเสียงให้ดัง กะให้คนเดินผ่านมาได้ยิน
“ใช่ๆ แบบนี้น่าจะเรียกว่าพวกเราทะลุมิติเลยนะเนี่ย”
คนที่เดินผ่านไปเลยโดยไม่มีใครสนใจหยุดมองหรือฟัง
“เห็นมั้ยล่ะ คนที่นี่เค้าไม่สนใจกันหรอก วันๆ มีแต่เรื่องบ๊องๆ บวมๆ ผ่านมาทุกวัน เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะว่าเราอยู่กองข่าวบันเทิง วันๆ มีแต่ข่าวมีประโยชน์ทั้งน้าน” มะลิเสียงสูง “แต่มีเรื่องประเภทนึงนะพูดตรงนี้ไม่ได้เลย ไม่เชื่อดูนะ แต่ช่วยตามน้ำหน่อยละกัน”
เจรมัยมองไปที่ป้ายกองบรรณาธิการข่าวบันเทิง
“เฮ้ยจริงดิ ตกลงพระนางคู่นี้เตียงหักแล้วจริงดิ ดูดิๆ นี่ในไอจีเนี่ย”
มัลลิกาทำเป็นเอามือถือให้เขาดู เจรมัยตามน้ำไป แต่ไม่ค่อยเนียนนัก มัลลิกาส่งซิกให้หันไปดูในห้องทำงานกองบันเทิง จึงเห็นว่าคนข้างในหันมาฟังมัลลิกากันสลอน และมองดูโทรศัพท์ท่าเดียวกันหมด
“เห็นมั้ยล่ะ” มะลิหัวเราะ “เราชิ่งกันก่อนดีกว่า ก่อนที่ความแตก พวกนั้นจะพากันมากินหัวพวกเรา”
ว่าแล้วมะลิก็ชิ่งไปก่อน เจรมัยอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็หนีตามไป
มัลลิกาโพล่งขึ้นหลังได้ฟังเขาบอก “อะไรนะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายเห็นภาพแบบนี้เหรอ”
“ก็ใช่...เธอพอจะมีไอเดียอะไรมั้ย ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง”
“ไม่มีหรอก...หรือว่า”
เจรมัยตื่นเต้น “หรือว่าอะไร”
“หรือที่ฉันเห็นภาพแปลกๆ พร้อมกับนาย ก็เพราะเป็นนายนั้นแหละ ที่ทำให้เกิด อุ๊ย ไม่เอาละ ไม่อยู่ใกล้นายฉันน่าจะปลอดภัยกว่า” มัลลิกาขยับหนีห่างออกมา
“ก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ งงเหมือนกันว่าเรื่องแปลกๆ พวกนี้มันหมายถึงอะไร แล้วจะทำยังไงเพื่อให้รู้คำตอบ...ช่างมันเถอะ อะไรมันจะเป็นยังไงอีกก็ปล่อยมันไปละกัน”
“ไม่รู้จะช่วยยังไงเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็บอกมาแล้วกันนะ”
มัลลิกาพูดอย่างจริงใจ แม้ไม่รู้จะช่วยยังไง และก็จริงใจเหมือนกันที่รับปากว่าจะช่วย เจรมัยหันไปมองตาเธอเชิงขอบคุณ
“แล้วพี่ผู้จัดการนายเขาอยู่ไหนหล่ะ ดูเขากังวลกับเรื่องนี้ไม่เบาเหมือนกันนะ”
“พี่ภาคน่ะเหรอ พี่เค้ากังวลว่า ถ้าขืนปล่อยให้คลิปที่เกี่ยวกับเราเสียหายหมดแบบนี้ ต่อไปก็คงอยู่ในวงการนี้ลำบาก แล้วก็ยังคิดต่อไปอีกว่า ถ้าพวกสื่อหันมาสนใจเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้แล้ว ก็จะมีผลกับชีวิตในวงการของเราแน่ๆ”
มัลลิกาอึ้งไป
“เราไม่ได้อยากเป็นเซเลบดาราอะไรหรอกนะ แต่การเป็นนักร้องมันเป็นฝันมานาน ความฝันที่สามารถเป็นอาชีพ อาชีพที่เลี้ยงดูแม่ได้”
“เอาน่ะ การที่คลิปเสียก็อาจจะเป็นความโชคดีก็ได้ว่า คงไม่มีสื่อไหนได้เอาประเด็นนี้ไปเล่นได้”
“คุณพูดถูก”
เห็นมัลลิกานิ่งเงียบไปเฉยๆ เจรมัยอดแปลกใจไม่ได้
“อืม แล้วคุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่า ตรงบันไดหนีไฟ ทำไมคุณถึงสีหน้า ไม่ค่อยดีเลย คุณเห็นอะไรที่ไม่เหมือนผมงั้นเหรอ”
“มะ ไม่หรอก ฉันไปทำงานก่อนละ”
มัลลิกาตอบปฏิเสธออกไปทั้งๆ ที่ในใจยังวนเวียนคิดเรื่องนั้นอยู่ไม่วายเว้น
มัลลิกากลับเข้าออฟฟิศ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน วนเวียนอยู่กับหนังสือเก่าๆ ที่ภวัตเอามาให้ ในหนังสือยังมีภาพพระนครเมื่อครั้งอดีตอยู่หลายรูป มัลลิกาย้อนไปคิดถึงตอนที่ถูกเจรมัยถาม
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่า...คุณเห็นอะไรที่ไม่เหมือนผมงั้นเหรอ”
“มันยังไงกันนะเนี่ย”
มัลลิกาหวนคิดถึงตอนที่ตกอยู่ในนิมิตร่วมกับเจรมัย มีหลายเรื่องที่เธอพบเจอมาและไม่ได้บอกเขา
ในตอนนั้นมัลลิกาอยู่ตรงทางเดินบ้านคหบดีกับเจรมัย เจรมัยหันไปสนใจเสียงคุยของสองสาว แล้วรีบเดินตามไป
“มานั่นอีกสองคนแล้ว เดี๋ยวผมไปถามเอง คุณตามมาแล้วกัน”
เจรมัยจะออกเดินตามผู้หญิงสองคนไป แต่มัลลิกากลับยังยืนคิดเรื่องผู้หญิงที่เห็นเมื่อครู่อยู่
“เป็นไรไปคุณ”
“คุณไปถามสองคนนั้นแล้วกัน ฉันขอไปตามผู้หญิงคนเมื่อกี้ก่อนนะ”
ว่าแล้วมัลลิกาก็แยกตัวไปอีกทาง
มัลลิกาเดินตัดมาตามทางเดินในบ้าน พยายามมองหาผู้หญิงคนดังกล่าว ในจังหวะนั้นมีบ่าวในบ้านหอบผ้าเดินผ่าน มัลลิกาฉากหลบ เพราะไม่แน่ใจว่าหากพวกนั้นเห็นเธอ อาจจะพาลให้ไม่ได้เจอผู้หญิงคนนั้น มัลลิกาได้ยินบ่าวสองคนคุยกัน
บ่าว 1 บอกว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำมารับรองแขกคุณโสภณก่อน ส่วนแกก็รีบตามคุณมาลีไป เผื่อท่านจะอยากได้อะไร”
“จ้ะๆ คุณมาลีไปห้องหนังสือใช่มั้ย” เพ็ญถาม
“อืม เร็วๆ เลย”
“จ้ะๆ เดี๋ยวเอาผ้าไปเก็บแล้วจะรีบไปเลยจ้ะ”
มัลลิการู้แล้วว่าผู้หญิงคนที่เธอตามหาชื่อ มาลี มัลลิกาออกจากที่ซ่อน แล้วเดินหาห้องหนังสือตามที่บ่าวพูดกัน
มัลลิกาเห็นมาลีกำลังรวบสมุดจดกับดินสอในตลับ โดยหันหลังให้กับประตูอยู่ มัลลิกาตัดสินใจเรียกออกไป “มาลี”
มาลีง่วนอยู่หยุดมือลงแล้วหันมามองที่ประตู แต่มองไม่เห็นมัลลิกา และเข้าใจว่าหูฝาดไป จึงหันกลับไปจัดของต่อ
มัลลิกาเห็นจังๆ ว่า มาลี มีหน้าตาเหมือนตัวเองทุกอย่าง ถึงกับตัวชาไป และเสียงเจื้อยแจ้วของมณฑามารศรี ก็ดังใกล้เข้ามา จนมัลลิกาต้องรีบหาที่หลบ
“ทำไมยังใส่ชุดนี้” มณฑาตำหนิ
มารศรีเสริมว่า “ไม่คิดจะไว้หน้าพ่อหรือไง”
“แล้วนี่คนของทางการมาเห็นเข้า จะไม่เอาไปว่าบ้านนี้มีลูก บ้านเล็ก เป็นพวกล้าหลัง ผิดนโยบายของทางการ แล้วจะทำยังไง”
มาลีโกรธที่โดนดูถูก แต่ก็อดกลั้นเอาไว้
มณฑาฉุน “เอ๊ะ ยังจะยืนนิ่งอีก ไปเปลี่ยนชุดซิ มายืนรออะไรอีก”
เพ็ญและบ่าว1 ถือน้ำเข้ามาพอดี เห็นสองคุณหนูมองคุณหนูมาลีอย่างหาเรื่องอยู่ เพ็ญปรี่เข้าไปหามาลี
“มีอะไรกันหรือเจ้าคะ พี่สองคนแกล้งคุณหนูอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
บ่าว1 ยืนถือถาดน้ำอึกอักอยู่ไม่ไกลจากมณฑา
“มาลีทำไมเธอถึงชอบขัดพี่มณฑาเสียจริง ไปทำตามพี่เค้าบอกเถอะ”
มารศรีพูดติมาลีเอาใจมณฑา ซึ่งมณฑาก็ยิ่งได้ใจ
“แต่นี่มันในบ้านเราเอง คงไม่ต้องสวมชุดแบบตะวันตกหรอกมั้ง” มาลีบอก
เพ็ญเสริมว่า “ใช่เจ้าค่ะ เราก็ใส่กันมาแบบนี้ตั้งนมนาน คนของทางการเองก็แลดูจะไม่ถือสานะคะคุณหนูมณฑา”
มณฑาขึงตามองเพ็ญที่เสนอความคิดเห็นที่ไม่เข้าหู “สะเออะ”
เพ็ญหน้าเสียที่ถูกมณฑาตำหนิ มาลีแตะแขนเพ็ญหวังให้เธออุ่นใจขึ้น มารศรีไม่พอใจกับสิ่งที่มาลีทำ
“มาลี ทำแบบนี้กับเพ็ญไม่ถูกต้องนะ เดี๋ยวบ่าว จะทำตัวตีเสมอพวกเรานะมาลี”
“ชั่งเถอะศรี แม่ของมาลี ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเพ็ญ ศรีจำไม่ได้รึ”
“จ้ะพี่”
“ก็ไม่ต้องแปลกใจ ที่สองคนเค้าจะคุยภาษาเดียวกัน” มณฑาเหน็บแนมในสีหน้ายิ้มเยาะ
มาลีเสียใจ แต่เลือกที่จะเดินหนี เพ็ญรีบติดตามไป
ในจังหวะที่มาลีจะเดินผ่านมณฑาไป เธอก็ถูกเรียกไว้
“เดี๋ยวซิ จะไปไหน”
“มาลีเลือกจะไปดีกว่า ที่จะปล่อยให้พี่พูดจาดูถูกแม่ของมาลี”
“แล้วนี่จะไม่เปลี่ยนชุดรึไง แขกของท่านพ่อจะมาถึงแล้วนะ”
“มาลีขอไปเรือนหลังดีกว่า จะได้ไม่ต้องขัดหูขัดตา คนคลั่งตะวันตก”
มณฑาโกรธ หยิบแก้วน้ำจากบ่าวมาสาดใส่มาลีโดนหน้าจังๆ มาลีอยากจะเอาเรื่อง บ่าว และเพ็ญพากันตกใจ แต่แล้วมารศรีมองปรามเชิงบอกให้ทุกคนหยุด เมื่อเห็นบิดาเดินมาทางนี้พร้อมกับคนของทางการ
“มีอะไรกันหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะพ่อ แค่พี่มณฑาเข้ามาเตือนให้น้องมาลีเปลี่ยนชุดให้เหมาะให้ควรกับกาลเทศะ หนำซ้ำบ่าวก็มาทำน้ำหกใส่อีก นี่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะยังไม่ยอมไปเปลี่ยนอีก” มารศรีบอก
“ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ ดิฉันขออนุญาตไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ”
“ถูกต้องแล้วมาลี”
มณฑาพูดอย่างผู้ชนะ มาลีได้แต่อดกลั้นข่มความรู้สึกไม่พอใจไว้ลึกๆ ในใจ
“อืม...ดีแล้วลูก” ท่านโสภณยิ้มให้ลูกสาวคนเล็ก
“เชิญตามสบายนะขอรับ” คนของทางการบอก
โสภณรับรู้ได้ว่า มีอะไรมากกว่าที่มารศรีบอก ส่วนมัลลิกาที่อยู่ตรงมุมห้อง ยืนมองอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“วันนี้ท่านนาธีมาก็เพื่อจะหารือเรื่องงานต้อนรับ พ่อค้าตะวันตกใช่มั้ยเจ้าคะ”
คนของทางการดูพอใจกับการวางตัวของมณฑา ที่จัดแจงกระดาษดินสอไว้รอจนเรียบร้อย
“มณฑานี่ เป็นหน้าเป็นตาของบ้านท่านโสภณเลยนะขอรับ ฉลาด เก่ง และ ยังประพฤติตัวตามสมัย แบบที่ท่านผู้นำวางนโยบายไว้ด้วย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะท่าน ที่ได้แบบนี้ก็เพราะท่านพ่อเป็นคนชี้แนะนำสนับสนุนเจ้าค่ะ”
มณฑาพยักหน้าเรียกมารศรีให้มาหาใกล้ๆ กระซิบบอกว่า
“ศรี พี่วานเธอไปใส่กลอนประตูห้องมาลีให้ที กักไว้ซักพักจนกว่าแขกของคุณพ่อจะกลับ
“จ้ะพี่”
มัลลิกามองจ้อง ไม่เข้าใจว่า สองพี่น้องทำไมถึงได้ดูรังเกียจเดียดฉันท์มาลีมากมายขนาดนั้น
ระหว่างนั้นเองมัลลิกาก็ได้ยินเสียงของเจรมัย เธอหันไปมองตามเสียงเรียก และนั่นทำให้เธอกลับมาสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน อยู่ตรงบันไดหนีไฟ และเจรมัยถามเธอว่า
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
มัลลิกาอยู่ลำพังในห้องทำงาน ในหัวยังคงคิดวกวนอยู่แต่เรื่องที่ไปรับรู้มา
ที่กองละครช่อง 8 แคทลียากำลังเข้าฉากถ่ายทำอยู่ ในบทนางเอกแสนดี ถูกนางอิจฉาราวี
“นี่พจผิดอะไร ทำไมถึงต้องจองล้างจองผลาญกันขนาดนี้”
“ก็เรื่องที่มายุ่มย่ามกับพี่วิศรุธของฉันไง” นางอิจฉาตบผลัวะ
“โอ๊ย เอาซิ ตบเลย ตบอีก”
“หน็อย...คิดว่าฉันไม่กล้าหรือไง” นางอิจฉาจัดให้อีกผลัวะ
“ตบอีก ตบเลย ถ้าคิดว่าการได้ตบพจ จะทำให้วิศรุธรักเธอ”
แคทลียาในบทบาทนางเอกถูกนางอิจฉาทำร้าย ตบสะบัดซ้ายสะบัดขวา จนกระทั่งเธอถลาเสียหลักล้มลงไปก็มีเสียง ผกก. สั่ง “คัท”
นักแสดงพากันแยกย้ายออกจากหน้าเซ็ต ปล่อยให้ทีมอุปกรณ์เข้าจัดเซ็ตฉากต่อไป
นก ธุรกิจกองถ่าย แถเข้ามาดูแลคัทลียา สมกับเป็นเซเลบนางเอกคนดัง
“เมื่อกี้แคทเล่นได้แบบ...”
แคทลียาตอบอย่างภูมิใจ “น่าตบใช่มั้ย”
“ใช่เลย น้องที่เล่นด้วยเลยอินไปด้วยเลย”
“ดีแล้วที่น้องเค้าอิน แต่ถ้าน้องมันตบโดนแคทจริงๆ มีได้อินกันจริงแน่ เมื่อกี้เฉียดจมูกแคทไปจิ๊ดเดียว เย็นวูบเลย”
“อ๋อ ค่ะๆ น้องแคทงั้นพี่ไปทำงานต่อนะ เดี๋ยวถึงคิวแคท พี่จะมาตามใหม่นะคะ”
“ได้พี่ เอ๊ะ”
แคทลียามองไปเห็นช่างแต่งหน้ากำลังเม้าท์มอยอยู่กับนักข่าวสองสามคน ที่เธอไม่ค่อยคุ้นหน้านัก
“กลุ่มนั้นใครอะ ที่คุยกับเมคอัพอยู่น่ะ นักข่าวเหรอ”
“ใช่ๆ ค่ะ นักข่าว” นกบอก
“มีคิวสัมภาษณ์ไมไม่บอกแคทก่อน จะได้เตรียมของติดไม้ติดมือมาฝากนักข่าวเค้าหน่อย” แคทลียาตำหนิ
“คือ...พวกเค้ามาสัมภาษณ์น้องดาราใหม่ที่เข้าฉากกับแคท คนเมื่อกี้อะค่ะน้องแคท”
แคทลียาเหวี่ยงใส่ทันที “ผิดหวังที่สุด”
ธุรกิจกองยิ้มเจื่อนๆ กังวลว่าระเบิดจะลงมั้ยหว่า? แคทลียานิ่งขึงตั้งหลักที่เสียฟอร์มไปนิดหน่อย
“ดี จะได้ไม่ต้องเปลืองของฝาก แล้วนี่สัมภาษณ์เสร็จแล้วทำไมไม่กลับๆ กันไปซะละ รอไรอีก”
“อ๋อ ก็อยู่เม้าท์มอยเห็นว่าเม้าท์เรื่องพี่คุณเจ...”
แคทลียาสวนออกมาหน้าตาเฉย “พี่เจแฟนแคทอ่ะนะ”
“เหรอ” นกพึมพำเสียงเบาหวิว “ค่ะๆ เจรมัย นั่นแหละค่ะ เห็นว่าตอนนี้มีข่าวลือเรื่องแปลกๆ แบบผีๆสางๆนี่แหละค่ะ พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกันหรือน้องแคทพอจะรู้อะไรมั้ย แต่ใกล้ชิดกันก็น่าจะรู้อยู่แล้ว พี่ว่า”
“ถูกต้องที่สุด เออ แคทไปดีกว่า พี่ไปทำงานเถอะ”
ว่าแล้วแคทลียาก็ฉีกตัวไปโดยไม่เห็นหัวนก
เป็ดผู้ช่วยนก รอจังหวะอยู่เดินเข้ามาสมทบเม้าท์แคทลียา
“ตะกี้หนูแอบได้ยินพี่คุยกัน พี่ว่าพี่แคทเค้ารู้จริงๆ เหรอ”
“ฮึ้ย แกก็จะไปเอาอะไรกับแคทเค้า ขนาดเรื่องเป็นแฟนเจรมัย ยังทึกทักเอาข้างเดียว”
เป็ดงงเด้ “อ้าวเค้าไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”
“อ้าว อีนี่ก็เชื่อสื่อง่ายเกิ๊น อ่านบ้างหนังสงหนังสือเรียน เอาแต่อ่านข่าวดาราก็งี้แหละ”
นกอารมณ์เสีย รีบเดินหนี ปล่อยให้เป็ดยืนงงที่ถูกหลอกด่า
นักข่าว 2 คนนั่งอยู่กับช่างแต่งหน้าตรงจุดพักของกองถ่าย นักข่าวคนหนึ่งเป็นผู้หญิงรูปร่างอ้วนพีสวมแว่นมาดเนิร์ดๆ กำลังตั้งใจฟังเรื่องเล่าของนักข่าวรุ่นพี่อีกคนอย่างสนใจ
นักข่าวคนนี้ เป็นชายวัยสี่สิบต้นๆ แต่งตัวเรียบร้อยเกินไปในบางทีที่มอง รวบผมตึงมัดเป็นจุกเล็กๆ ที่ด้านหลัง หน้าตาซีดเซียว สวมเสื้อผ้าทอมือสีแข่นขนุนซีดๆ และสวมประคำสองสามทบที่ข้อมือขวา ถ้าไม่ได้มีกล้องกับบัตรสื่อมวลชน ก็จะอดคิดไม่ได้ว่าพี่แกเป็นพราหมณ์หรือเปล่า เขาชื่อ “สิญจน์”
ส่วนช่างแต่งหน้าชายใจหญิงก็เป็นอีกคนที่ขนลุกไปกับเรื่องที่สิญจน์เอามาเล่าสู่กันฟัง
แคทลียาเลียบๆ เคียงๆ ไปแอบฟังใกล้ๆ ว่าสามคนคุยอะไรกัน
“กับเพื่อนพี่ที่ทำสตูดิโอถ่ายภาพ ก็เจอเหมือนกัน ทุกภาพที่ถ่ายเจรมัยมีเงาแปลกๆ ทาบบนตัวหมด”
“แล้วเพื่อนพี่เก็บภาพนั้นไว้หรือเปล่า” ช่างแต่งหน้าถาม
“จะเก็บได้ยังไง ก็พอดูซ้ำๆ ไฟล์ภาพนั้นก็เสียเลย เปิดอีกไม่ได้”
นักข่าวอ้วนพีคิดตาม “เหมือนกับที่อื่นๆ งั้นเหรอพี่ มิน่าล่ะพักหลังไม่มีสื่อไหนทำข่าวพี่เจเลย”
“ใช่ ขนาดพี่ติดต่อขอไปสัมภาษณ์เอง ภาคผู้จัดการก็บอกว่าไม่มีคิว พี่ว่าไม่ใช่ไม่มีคิวหรอก แต่กลัวเรื่องนี้จะเป็นข่าวมากกว่า” สิญจน์ว่า
“น่ากลัวเนอะ ไม่ให้คิดเรื่องผี ไม่รู้จะให้คิดเรื่องอะไรเลยเนี่ย” ช่างหน้าทำหน้าตาสยองขวัญ
“ว่าแต่น้องทำงานกับแคทลียาแฟนของเจรมัย น้องไม่เคยได้ยินอะไรบ้างเลยเหรอครับ”
แคทลียาได้ยินนักข่าวเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนเจรมัย ก็ยิ้มย่อง รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างซะแล้ว
“ไม่รู้เลยฮ่ะพี่ แคทเค้าไม่ค่อยพูดถึงเจให้ฟังหรอกค่ะ หรือว่าเค้าก็ปิดบังเรื่องนี้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะฮะ”
“สงสัยจะใช่เนอะพี่” นักข่าวอ้วนพีเห็นด้วย
แคทลียารู้ว่าถึงเวลาต้องออกโรงแสดงตัวแล้ว เลยทำทีเป็นว่าคุยโทรศัพท์กับเจรมัยผ่านมาทางนี้พอดี
“ค่ะๆ พี่เจ เดี๋ยวแคทไปทำงานก่อนนะคะ...ค่ะๆ พี่ ดูแลตัวเองนะคะ” พอวางสายแล้วก็พูดพึมพำให้ใครแถวนั้นได้ยิน “พี่เจเนี่ยนะโทร.หาได้ไม่ขาดจริงๆ อะไรจะหวงเราขนาดนั้นเนอะ”
แคทลียาเดินผ่านหน้าคนทั้งสามไปช้าๆ สิญจน์มองชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรีบเดินตามสาวไฮโซไป
“คุณแคทครับคุณแคทรบกวนหน่อยครับ”
แคทลียาทำเป็นไม่ได้ยินในทีแรก ดึงจังหวะสวยๆ ก่อนจะทำเป็นหันมา
“ค่ะพี่ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”
“ผมสิญจน์นะครับ อันนี้นามบัตรผม ผมอยู่ฝ่ายข่าวของเว็บไซต์ ทไวไลทอล์ค เป็นเว็บวาไรตี้วงการบันเทิงเปิดตัวเมื่อต้นปีน่ะครับ ผมเขียนอยู่คอลัมน์...”
แคทลียาหาข้อมูลมาแล้ว ชิงตอบไปว่า “คอลัมน์ เรื่องลึกลับใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ คุณแคททราบด้วยหรือครับ” สิญจน์ยิ้มเรี่ยราด
“โลโกในนามบัตรมันฟ้องน่ะค่ะ”
“ครับๆ ใช่ครับ”
แคทยื่นนามบัตรให้ดู ในนั้นมันมีรูปดวงดาวดูคล้ายพวกลัทธิบูชาของฝรั่ง
“แนวแต่งตัวพี่นี่มันใช่กับคอลัมน์นี้จริงๆ” แคทลียาอวยไส้แตกผูกมิตร
“ผมจะรบกวนถามเกี่ยวกับเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับแฟนคุณแคทน่ะครับ คุณพอจะทราบบ้างมั้ย”
“ไม่ค่อยทราบหรอกค่ะ เพราะเจเค้าเป็นคนเงียบๆ เรื่องแบบนี้เค้ายิ่งไม่ค่อยพูดหรอกค่ะ”
“แล้วเวลาคุณอยู่บ้านกับคุณเจ คุณแคทสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ บ้างมั้ยครับ หรือคนในบ้านมีพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ยครับ”
แคทลียาอึกอัก ทำเป็นไม่อยากนินทาแฟน “ที่บ้านหรือค่ะ เอิ่ม...”
“หรือว่าคุณแคทไม่เป็นแฟนคุณเจจริงๆ อย่างที่มีกระแสอยู่หรือครับ งั้นผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมก็ไปเชื่อตามข่าว คิดว่าเป็นแฟนกันแบบยังไม่เปิดตัวมิน่าเรื่องข้อมูลเกี่ยวคุณเจคุณแคทเลยไม่ค่อยทราบ ต้องขอโทษจริงๆนะครับ”
แคทลียาเดือดดาลในใจ หน็อยมาจับทางฉันได้ แต่ยังไงหล่อนก็ไม่ยอมเสียฟอร์มแน่ๆ
“ก็ตามใจคุณถ้าจะคิดแบบนั้น ฉันถามหน่อยซิ เคยไปเฝ้าบ้านของเจเค้าหรือยัง หึ”
“เคยแล้ว แต่ไม่เห็นกลับมาบ้านเลย ไม่รู้เดี๋ยวนี้ไปอยู่ที่ไหน”
แคทลียายิ้มอย่างผู้ชนะ
“เหรอคะ ก็ไม่แปลกนะที่จะไม่เจอเพราะช่วงนี้เจเค้าย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่ที่มีคนรู้อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”
สิญจน์ยิ้มกระหยิ่ม “หมายถึงคุณแคทรู้ รบกวนหน่อยได้มั้ยครับ”
“มันก็ต้องขึ้นกับว่า ข่าวของแคทกับพี่เจ ในเว็บไซต์คุณ มันจะออกมายังไง”
“ได้เลย ผมจะเขียนเชียร์เต็มที่เลย แล้วคุณแคทลียารู้จักใครบ้านนั้นหรือครับ”
ค่ำนั้นสิญจน์นับเงินสามพันส่งให้นายชัดจากนอกรั้วบ้าน ชัดรับเงินแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ
“ขอบคุณครับคุณ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่เสียเวลามานั่งคุยกับผม นี่ก็เหมาะสมที่สุดแล้วครับ”
“แต่เรายังไม่ได้เริ่มคุยด้วยซ้ำนะครับ คุณนี่ใจดีจริงๆ”
สิญจน์เริ่มจริงจังกับการพูดคุยขึ้นมาทันที และเริ่มเบื่อกับการช่างเจรจาของนายชัด ซึ่งชัดก็เริ่มรู้สึกว่าสิญจน์ไม่ค่อยพอใจ
“เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ไหนลองเล่ารายละเอียดอีกหน่อยสิครับ เกี่ยวกับคืนงานศพวันนั้น”
“คืนนั้นแหละครับ ผมเองนึกแล้วยักขนลุกไม่หาย”
ชัดทำท่าขนลุกขนพองเป็นเครื่องการันตีความสยองขวัญ
อ่านต่อตอนต่อไป
ชัดเล่าเหตุการณ์ชวนสยองขวัญในวันย้ายศพตาเทียบ เขาพยายามยกศพตาเทียบแต่ก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเจรมัยเดินเข้ามา แล้วบอกกล่าวกับบางสิ่งบางคน จนในที่สุดก็ยกศพลงโลงได้สำเร็จ
“แล้วมีอะไรแปลกๆ อีกมั้ย แบบได้ยิน ได้เห็น อะไรแบบนั้นน่ะ”
สิญจน์เร่งเร้าชัดราวกับว่า กำลังจะได้สิ่งที่เขาตามหา จนชัดรู้สึกแปลกๆ
“ก็ไม่มีแล้วนี่ครับ”
“มีซิ คิดดีๆ มีใครพูดอะไร หรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรในห้องนั้นหรือเปล่า”
ชัดค่อยๆ นึก “ก็เห็นมีนะ มีตัวหนังตะลุงเก่าแก่อยู่ตัวหนึ่ง ติดอยู่ตรงฝาห้อง พอคุณเจรมัยไปหยิบมา ก็เห็นท่าทางของพี่น้องคุณผู้หญิงกังวลกันยังไงไม่รู้ อืมจะว่าไป ตัวหนังตะลุงเนี่ยก็เคยได้ยินคนเก่าคนแก่ในบ้านบอกว่ามีวิญญาณสิงอยู่ในนั้นนะคุณ ตัวผมเองก็ไม่เคยเจออะไรกับใครเค้าหรอก ฟังเค้ามาอีกที”
โดยไม่ลังเลสิญจน์ควักเงินออกมานับอีกสามพัน “เอาตะลุงมาให้ผมหน่อย”
นายชัดร้องลั่น ไม่ยอม “เฮ้ย นี่มันขโมยแล้วคุณ ไม่เอาแล้ว”
“ผมไม่ได้ขโมย กะเอาไปสองสามวันก็เอามาคืนแล้ว ผมจะเอาไปเก็บไว้ทำไม ผมแค่อยากเห็นเฉยๆ ผมจะให้อีกห้าพัน ถ้าเอามาได้”
ชัดยื่นข้อเสนอ “คืนเดียวตกลงมั้ย”
สิญจน์พยักหน้ารับเอาคำ
ในซอยแคบๆ ของถนนย่านธุรกิจ สิญจน์เร่งฝีเท้าเดินลัดเลาะมาตามซอยนี้ หลบหน้าผู้คนที่สวนทางมา มือจับกระเป๋าสะพายใบใหญ่ไว้แน่น บ่งบอกว่ามีของสำคัญอยู่ในนั้น
เกิดเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนจะเทสายลงมาแล้ว
สิญจน์เข้าบ้านมา จัดการล็อคประตูปิดหน้าต่างลงกลอน อย่างร้อนรน ภายในห้องเช่าค่อนข้างมืด มีหนังสือกองอยู่ตรงมุมห้องจำนวนมาก คอมพิวเตอร์สองตัวตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ถัดมามีรูปสิญจน์ในชุดพราหมณ์สีดำ เจิมหน้าผากด้วยแป้งสีดำ ข้างๆ มีแท่นบูชารูปสักการะที่ไม่ได้บ่งบอกศาสนา
สิญจน์จัดแจงเคลียร์โต๊ะกลางห้องให้โล่ง เปิดกระเป๋าหยิบห่อผ้าในนั้นออกมาคลี่ออก เขาได้ตัวหนังตะลุงมาแล้ว สิญจน์ส่องไฟใส่ตัวตะลุงเพื่อมองให้ชัด เงาตัวตะลุงทอดยาวไปที่ผนังห้อง
สิญจน์พนมมือไหว้ บริกรรมคาถาบางอย่าง เอาพานวางยาเส้น และขี้ผึ้งมาไว้ตรงหน้าตัวตะลุง
“ใช่แน่ รู้สึกได้เลย” สิญจน์ออกอาการตื่นเต้น “วิญญาณที่อยู่ในร่างตะลุง ช่วยตอบรับข้าที ข้าจะเลี้ยงดูอย่างดี ถ้าเอ็งเป็นคุณ”
สิญจน์เอาขี้ผึ้งเขียนลงใบพลู วางไว้บนหยวกแล้วเสียบตะลุงลงไปอีกที จดจ่อที่ตัวตะลุง ด้วยรู้ว่าในไม่ช้าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น
เสียงโทรศัพท์ภายในห้องดังขึ้น สิญจน์หันขวับไปมอง ยกหูรับสาย
“ครับ บ.ก.ธิติ เรื่องต้นฉบับไม่ลืมครับ ครับ ครับ เรื่องบ้านร้างวัชรพล ขอรีไรท์อีกหน ก็พร้อมส่งแล้วครับครับ ตอนนี้ก็เดี๋ยวว่าจะพักผ่อนแล้วครับ บ.ก.”
สิญจน์วางสาย แล้วก็จะหันไปดูตัวตะลุงต่อ แต่กลายเป็นว่ามีโทรศัพท์เข้าอีกทางมือถือ
สิญจน์หงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะงาน กะว่าจะตัดสาย แต่พอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครคนนั้น บุคคลปริศนา ที่แจ้งข้อมูลเรื่องตัวตะลุง เขาก็รีบรับสาย พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพมากขึ้น
“ครับคุณ ขอบคุณมาที่แนะนำ ได้เรื่อง ผมสัมผัสได้ว่า มีบางอย่างอยู่ในนั้น
สิญจน์คุยมือถือเพลิน จนไม่ทันสังเกตว่า ที่ด้านหลังของเขา วิญญาณสร้อยพีปรากฏขึ้นอยู่ในห้อง เตรียมเล่นงานสิญจน์อยู่แล้ว
ทันทีที่สิญจน์วางสาย และไม่ทันได้ตั้งตัว ผีสร้อยพีเข้าเล่นงานสิญจน์อย่างจู่โจมจนเสียชีวิตอย่างน่ากลัว เงาทอดบนผนังอย่างน่าสยดสยอง บอกเล่าความน่ากลัวของผีสร้อยพีชัดแจ้ง
ก่อนสิ้นใจ สิญจน์กระเสือกกระสนพยายามติดต่อบุคคลปริศนาที่เขาคุยด้วยด้วยเมื่อครู่ เพื่อแจ้งว่าตะลุงตัวนี้อันตรายมาก แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว
อีกฟาก จรรยายืนมองรถลูกชายวิ่งเข้ามาตรงจุดจอดรถของบ้าน ด้วยสีหน้ากังวลใจ เจรมัยลงรถเดินมาหา ดูออกว่าแม่ไม่สบายใจ
“เป็นไรไปแม่”
“เจ มีเรื่องทำไมไม่บอกแม่”
“เรื่อง...เรื่องอะไรเหรอแม่ ไม่มี”
“จะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ ก็เรื่องเงาแปลกๆ ที่จะอยู่บนภาพของลูกไงล่ะ ไหนจะเสียงแปลกๆ อีก”
“ใคร...พี่เจนใช่มั้ย
“ทำไมไม่บอกแม่หะ ทำอะไรเป็นเล่นไปหมด เรื่องแบบนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้นะเจ” จรรยาเสียงเขียวขุ่น
เจรมัยเข้าไปโอบแม่ของเขาไว้ให้อุ่นใจขึ้น
“แม่อย่ากังวลมากเลยครับ เจก็อยู่นี่แล้วไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย เงามันก็แค่เงา ไม่เห็นจะทำอะไรได้เลย ที่เจไม่บอกแม่ ก็ไม่อยากให้แม่เป็นห่วงน่ะ เพราะเจรู้ว่าแม่เจเป็นสายเครียดง่ายซะด้วย”
ตอนท้ายเจรมัยแกล้งยั่วให้แม่หัวเราะ จรรยาเบาใจขึ้น เมื่อเห็นลูกชายยังมีกำลังใจดีอยู่
ป้าแจ่ม กะ ป้ามน สองคนเดินถือพระเครื่อง กับไฟฉายเดินด้อมๆ มองๆ ตรงโถงหน้าห้องตาเทียบ
“แก่แล้วแก่เลยจริงๆ โถ...แว่นติดอยู่กับตากับหูแท้ยังทำหายได้” แจ่มบ่น
“แกจะบ่นทำไมเนี่ย ทีคราวก่อนแกลืมแว่นในแท็กซี่ ไม่ใช่ฉันหรอกหรือไง ที่วิ่งไล่กวดแท็กซี่เอามาคืนจนได้”
“เรื่องนั้นไม่เถียง แต่แกน่ะ ดันมาลืมแถวหน้าห้องคุณตา แล้วก็ตอนกลางคืนดึกดื่นอีก เข้าใจยัง” แจ่มแจง
“แหม ต่างกันนิดหน่อยเอง”
“นิดหน่อยกับผีละซิ” แจ่มพลั้งปากอย่างมีอารมณ์
“เฮ้ย พูดถึงผีทำไม”
“ผีอ่ะนะ”
“เอ่อ ผี โอย ล่อกันไปสามผีแล้วเนี่ย”
“เดี๋ยวผีจริงก็ออกมาหรอก” แจ่มว่า
มนสยองพองเกล้า “โอย พอ จะผีกันอีกนานมั้ยเนี่ย”
“เอ่อ...จริง”
“ว้ายๆๆ” มนร้องลั่น
“เฮ้ยๆๆ ผีมา ผีมาใช่มั้ย” แจ่มผวา
“เจอแว่นแล้ว ดีใจจังเลย”
“ยัยบ้า เจอแว่นร้องอย่างกับเจอผี” แจ่มขำ
“เฮ้ย พูดผีอีกแล้ว” มนเซ็ง
ไม่ทันขาดคำ เสียงหมาหอนดังแผ่วๆ มาจากมุมใดมุมหนึ่ง สองป้าหันไปดู เห็นประตูห้องตาเทียบที่ยังปิดล็อคปกติ แต่เสียงหมาหอนยังดังอยู่ เลยพากันกอดกันกลม
“เอาแล้วไงแก” มนผวา
“ประตูมันล็อคอยู่ใช่มั้ยแก” แจ่มถามเสียงสั่น
“เอ่อ ล็อคอยู่แก”
“แล้วแกว่า กุญแจมันจะกันผีได้มั้ยแก”
“หรือแกจะไขล็อคมั้ยล่ะ” มนประชด
มีเสียงจรรยาร้องห้ามดังขึ้น “อย่านะ”
มน กะแจ่ม สะดุ้งจนเสียจริตที่ได้ยินเสียงสั่งห้าม
“คุณจรรยา”
สองป้า หันไปมองทางเสียงเห็นจรรยาเดินเข้ามากับเจรมัย
“นี่ยังไม่ไขล็อคใช่มั้ย” จรรยาถาม
“มันแน่อยู่แล้วค่ะคุณผู้หญิง” แจ่มบอก
“ดีแล้ว อย่าคิดทำอะไรพิเรนละ”
“ค่ะๆ ดิฉันขอตัว ไปก่อนนะคะคุณ อยู่นานไป เดี๋ยวจะไปปลอดภัย” มนบอก
“จ้ะ ไปพักผ่อนเถอะ”
สองป้าคู่หูพากันจูงไม้จูงมือลงเรือนไป เจรมัยยืนดูอยู่ห่างๆ เดินเข้ามสมทบกับแม่
“แม่ว่ามันเมกเซ้นส์เหรอกับที่กุญแจจะขังผีไม่ให้ออกมาได้”
“ไม่รู้ซิ...มันคงเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ ในตอนนี้หละลูก” จรรยาว่า
เจรมัยไม่สบอารมณ์นักในคำตอบของแม่ จึงเดินเลี่ยงไป จรรยาพูดบางอย่างที่ติดค้างในใจออกมา
“ในใจลึกๆ แม่รู้สึกว่า การที่บางสิ่งในตะลุงไม่ไปไหนไกลจากตัวหนัง หรือจากบ้านคุณตา ก็อาจจะเพราะมีเหตุผลบางอย่างที่เรายังไม่รู้”
เจรมัยหยุดฟังแม่ ตอนนี้เสียงมีแต่ความหนักใจ
“ตอนนี้เจอาจจะมองว่ามันไม่เป็นเรื่อง แม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่ทั้งหมดแม่ก็ทำเพื่อ ครอบครัวเราและเจ จะอยู่กันอย่างปกติ”
เจรมัยฟังแม่พูดแล้วก็หันไปมองกุญแจล็อคที่ห้องตาเทียบครู่หนึ่ง จรรยาเดินเข้ามาใกล้ๆ ลูกชาย
“ครับแม่ เจ เข้าใจแล้วว่าแม่เป็นห่วง”
“จ้ะลูก ไปพักผ่อนกันดีกว่า”
เจรมัยมองดูประตูอย่างไม่วางใจ
“คิดอะไรอยู่หรือเจ”
“เปล่าครับแม่”
เจรมัยมองตามแม่ไป เห็นว่าห้องยังล็อคเรียบร้อยดีอยู่ ทั้งคู่เดินผ่านไป
อ่านต่อ ตอนที่ 4
#เงาอาถรรพ์ #thaich8 #ละครออนไลน์