เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 2
มัลลิกาสะดุ้งสุดตัว ตื่นออกจากภวังค์ ความจริงแล้วเธอยังไม่ได้เคลื่อนรถออกจากบ้านตาเทียบด้วยซ้ำ เรื่องราวทั้งหมดหาสาเหตุไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มัลลิกาพยายามสลัดความคิดไร้สาระเรื่องผีสางออกจากหัว
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พาลให้มัลลิกาตกใจเพิ่มเข้าไปอีก เป็นสายจากเจนจิราเธอกดรับ
“ถึงไหนแล้วมะลิ ใกล้ถึงบ้านยัง”
“เอ่อ คือ...ยัง พี่”
“อ้าวเหรอ เห็นว่านานแล้วยังไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย อะๆ ง่วงมั้ยเนี่ย ให้พี่คุยเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรพี่ ขับได้ไม่ง่วง เดี๋ยวถึงบ้านจะ LINE ไปบอกนะ พี่อยู่ที่บ้านเถอะพี่ ขอบคุณนะพี่ที่เป็นห่วง”
“อ้อๆ ได้ๆ ไง LINE มานะ” เจนจิราวางสายไป
ขณะที่มัลลิกาค่อยๆ ถอยรถออกจากบ้านไปนั้น เธอไม่ได้สังเกตเลยว่ามีเงาผู้หญิงในชุดไทยปาเต๊ะ ยืนมองตามรถมัลลิกาที่แล่นห่างออกจากบ้านไปจนลับตา
ถึงวันเผาตาเทียบ แขกและญาติใกล้ชิดทยอยกลับกันจนบางตา จรรยาถือรูปตาเทียบแนบอก เงยหน้ามองกลุ่มควันพวยพุ่งแกจากปล่องเมรุลอยสู่อากาศ ส่งวิญญาณตาเทียบ มีจิตรา จิราและจินดายืนเกาะกลุ่มอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างกันนัก เห็นเจรมัยยืนนิ่งจับสังเกตความรู้สึกของแม่ และพี่น้องด้วยความเป็นห่วง
เวลาผ่านไป ณ มุมหนึ่งของวัด จรรยา จิตราและจิรา เดินมาส่งญาติอาวุโส สองฝ่ายร่ำลากัน ห่างไปทางด้านหลังเจรมัยกำลังยืนดูจรรยา และเป็นห่วงความรู้สึกแม่เหลือแสน
ในจังหวะนั้นเองจินดาจึงมีโอกาสเดินเข้ามาคุยกับเจรมัยอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
“น้าขอโทษ เจด้วยนะ ที่ทำให้ตกใจจนวุ่นวายไปหมด”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่ความผิดน้า...จินดาเลยครับ จริงๆ มันดีซะอีกครับ ที่เรื่องนี้ทำให้ผมกลับมาพบญาติๆ ในที่สุด”
อีกด้าน จิตรา จรรยาและจิรา พากันยืนมองเจรมัยอยู่ ทั้งสามคนมีความกังวลอยู่ในใจ
จรรยาเอ่ยขึ้นกับพี่และน้อง “ต่อไปนี้ชีวิตเจจะเป็นยังไง”
“ไม่มีอะไรแล้วมั้งเรื่องมันก็นมนานแล้วไม่มีไรแล้วหรอก คิดในแง่ดีไว้ดีกว่า” จิราบอก
“พี่ก็อยากภาวนาให้เป็นที่จิราว่า แต่จริงๆ ไอ้เป็นอะไรพวกเราก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เรามาคิดกันดีกว่า จะบอกเจ เค้ายังไงดี”
สามพี่น้องมองดูเจรมัยจากระยะไกล เห็นว่าเจรมัยดูจะเข้ากับน้าจินดาได้ก็โล่งใจ
ฝ่ายเจรมัยกับจินดา พูดคุยยิ้มหัวด้วยท่าทีสุภาพกับน้าสาว จนจินดามองไปเห็นว่าพี่สาวทั้งสามกำลังมองมาทางนี้จึงขอตัวหลานชายเดินไปสมทบพี่ๆ เจรมัยพยักหน้ารับทราบ
“อืม เดี๋ยวน้าเดินไปหาพี่ๆ เค้าก่อนนะ”
“ได้ครับๆ ตามสบายเลยครับน้าจินดา ไงฝากดูแม่ผมก่อนนะครับ ผมว่าจะไปคุยโทรศัพท์มุมโน้นซะหน่อย”
“จ้ะ” จินดายิ้มรับอย่างไมตรี
เจรมัยเดินปลีกตัวออกไปอีกทาง มีสายลมกรรโชกแรงวูบผ่านมาตรงที่เจรมัยเดินไป
เจรมัยเดินออกมาคุยโทรศัพท์กับภาคที่อยู่ทางปลายสาย แจ้งที่อยู่วัด
“ครับพี่ภาค ผมอยู่ตรงวัดหัวถนน...” เขาบอกชื่อถนนไป ภาครู้จักก็เลยโล่ง “ใช่ๆ พี่มาถูกแล้วพี่...อีกโค้งสองโค้งก็น่าจะถึงหละพี่ ได้ๆ พี่ เดี๋ยวพี่จะเอาคิวมาคุยที่ใช่มั้ย ได้ครับพี่ ครับ เอ๊ย”
เสียงร้องเอ๊ยตอนท้าย เพราะเจรมัยเห็นเงาใครบางคนวูบหายไปที่ด้านหลัง บรรยากาศรอบตัววังเวง ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ เจรมัยเดินคุยโทรศัพท์เพลินไปหน่อย จนหลงเข้ามาใกล้ศาลาร้างริมน้ำ บรรยากาศวังเวงและน่ากลัว
“แค่นี้ก่อนนะพี่ ไงเจอกัน”
พอวางสายแล้วเจรมัยก็เริ่มจ้องหาเจ้าของเงาที่วูบไปมาอย่างจริงจัง จนได้ยินเสียงก้าวเท้าของอีกคนที่ด้านหลัง เจรมัยมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวแน่นอน
“ใคร ออกมา ไม่ตลก ออกมาเดี๋ยวนี้”
ไม่นานเจ้าของเงาคนนั้นก็ออกมาจากที่ซ่อน เป็นเด็กหญิงอายุไม่น่าเกิน 12 ปี ในชุดและกระเป๋านักเรียน ม.ต้น
“พี่เจ หนูเป็นลูกน้องพี่” เธอแนะนำตัว
เจรมัยงง “ลูกน้อง...ไม่น่าใช่ พี่ไม่เคยเป็นหัวหน้าใครมาก่อนนะ”
“ฮึ้ย ไม่ใช่ลูกน้องแบบนั้น หนูเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่ หนูเป็นลูกแม่จินดา แม่จินดาเป็นน้าของพี่เจ ดังนั้นหนูจึงเป็นลูกน้องพี่”
“อ๋อเข้าใจซักที ลูกน้องลูกพี่นี่เอง แล้วลูกน้องไปโรงเรียนมาเหรอ”
หนูจ๋ามองดูชุดตัวเองแล้วทำหน้าเซ็ง มันก็แหงแหละซิ แต่งเต็มขนาดนี้จะไปไหนมาได้
“ก็ใช่ซิพี่เจ แต่งเต็มชุดซักขนาดนี้ ถามแปลก”
เจรมัยแอบขำกับความงงๆ ของการสนทนาระหว่างเค้ากับเด็กจ๋า
“เนี่ยพี่เจ คะแนน POPULAR VOTE ของพี่มี VOTE ของหนูด้วยนะ”
“เหรอ”
“จริง ดังนั้นพี่เจรมัย เป็นหนี้หนูแล้วนะ”
เจรมัยหัวเราะขำ “จริงดิ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น
“อะไรยัยจ๋า เจอพี่เค้าวันแรกก็อำเค้าซะแล้วงี้”
หนูจ๋าหันไปมองคนที่แซวเห็นเป็นเจนจิรา กำลังเดินเข้ามาหา
“พี่เจน...จ๋าไม่ได้อำนะ ก็โหวตจริงๆ นี่นา”
“จ้า เชื่อๆ แหม แซวแค่เนี้ยทำเสียงหลงเชียว”
เจรมัยทักเจนจิรา “อ้าว สวัสดีพี่ เจน”
หนูจ๋ารีบแนะนำเสริมให้
“นี่พี่เจน เจนจิรา ลูกป้าจิรา ป้าจิราเป็นน้องป้าจรรยาแม่พี่เจ ดังนั้นพี่เจจึงเป็น
“เป็นลูกน้องพี่เจน” เจรมัยหัวเราะ
หนูจ๋าหัวเราะคิกคัก “ใช่ๆ ลูกพี่ลูกน้องกัน เหมือนกะหนูเลย”
เจมัยหันมาหาเจนจิรา “ผมว่าจะคุยกับพี่อยู่ในคืนนั้น แต่ไม่มีโอกาส”
“อ้าวเหรอ เรื่องอะไรละ”
“ก็เรื่อง...ที่พี่น้องของแม่ผม มีคำพูดแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างอยากบอก หรือไม่กล้าพูดยังไงไม่รู้”
“อ้าว แล้วคิดว่าพี่จะช่วยได้หรือ”
“ก็ไม่รู้ แค่เดาๆ เผื่อพี่จะพอรู้ และอยากจะเล่า”
“ใช่เรื่องตะลุงผีสิงใช่มั้ยพี่เจน” หนูจ๋าว่า
“อะไรนะ”
“ก็ตัวตะลุงผีสิงไง พี่เจ ถ้าพี่ได้อยู่บ้านตา พี่จะรู้เอง”
เจนจิราชั่งใจว่าจะพูดต่อยังไงดี ในตอนที่เจรมัยหันมามองเธอเพื่อหวังว่าจะได้คำอธิบาย ก็มีเสียงป้าจิตราผ่าเข้ามาในวงสนทนา
“จ๋า แม่รออยู่นะ อย่าให้แม่เค้ารอนาน”
หนูจ๋าตกใจ “หะ ค่ะ ป้าจิต”
จรรยาเดินมาพร้อมๆ กับจิตรา
หนูจ๋ารู้ว่าที่ป้ามาเรียก ก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้เล่าเรื่องแปลกๆ ในบ้านให้เจรมัยฟัง ส่วนเจนจิราก็รู้เช่นกัน เธอหันมาพูดกับเจรมัยก่อนที่จะตามหนูจ๋าไป
“พี่ก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากเท่าไหร่หรอก เอาไว้ถึงเวลาป้าจิตราคงเล่าให้เจฟังเอง”
“เจไปกันเถอะ จะเอารูปคุณตากลับบ้านเสียที”
“ครับแม่...แต่ผมนัดพี่ภาคมาที่นี่ อืม...งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวให้ไปบ้านคุณตาก็ได้”
ภาพตาเทียบในกรอบงาม ถูกยกขึ้นวางประดับบนหิ้งที่โถงกลางบ้าน สี่พี่น้องยกมือไหว้รูปบิดาผู้ลาลับ
“ให้พ่ออยู่ตรงนี้ แทนที่จะอยู่ในห้องเดิมของแก ก็ดีเหมือนกันนะ” จรรยาว่า
“ก็ลองดู” จิตราบอก
จิราเห็นบรรยากาศเครียดๆ จึงเอ่ยขึ้น “ไม่เอาๆ อย่าพึ่งเครียด เรื่องมันยังไม่เกิดก็เอาตามนี้แหละ อย่างน้อยถ้าเจเค้าอยากไหว้คุณตา เค้าก็ไม่ต้องเข้าไปในห้องนั้น”
“เป็นอย่างนั้นก็ดี บ้านเราจะได้เป็นปกติเสียที” จินดาว่า
จรรยาเหลียวหา “อืม ว่าแต่ใครเห็นเจบ้างเนี่ย”
จิตรา มองตาม พูดทีเล่นทีจริงว่า “นั่นซิ หรือจะไปอยู่ในห้องคุณตาแล้ว”
“ไม่ ไม่ เราบอกให้ชัดไปล็อคแล้วนะ”
คำพูดของจิราไม่ได้ทำ จรรยาคลายวิตก
เจรมัยเดินมาตามทางเดิน ในใจยังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงคำพูดของหนูจ๋าที่บอกว่า “ตะลุงผีสิง”
เจรมัยเดินมาหยุดที่หน้าของห้องตาเทียบ เห็นประตูห้องเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย จึงบังเกิดความคิดว่าจะเข้าไปดูข้างใน ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไป ก็มีเงาของคนหนึ่งพรวดออกมา
เจรมัยตกใจจนต้องถดตัวถอยหลัง แต่กลายเป็นว่าคนที่เดินออกมาก็คือนายชัดคนสวนของบ้าน และเป็นคนที่ช่วยยกศพของคุณตาเทียบนั่นเอง
“อ้าวคุณเจรมัยผมขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไร แล้วนี่คุณคือ”
“ผมชื่อชัดครับ ดูแลสวน แต่นี่จะมาล็อคห้องคุณตาตามที่คุณจิราสั่งไว้ครับ”
เจรมัยมองฉงน “ล็อคทำไม”
“ก็นั่นน่ะซิครับ ไม่รู้เหมือนกันครับ ในห้องคุณตาก็ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วง”
ระหว่างที่คุยชัดก็ล็อคประตูไปด้วย หลังจากนั้นยังถือวิสาสะเดินเข้ามาถามเบาๆ กับเจรมัย
“คุณเจรมัย อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะครับ คืนนั้นคุณได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเที่ยง ในห้องนี้ จริงๆ หรือครับ”
เจรมัยไม่อยากพูดถึงจึงปฏิเสธไปว่า “ช่างมันเถอะ”
“ผมว่าคุณอยู่ห่างๆ ห้องหน่อยดีกว่าครับ ห้องนี้คนบ้านนี้เองยังไม่ค่อยจะเข้าไปกันซักเท่าไหร่ นี่ยิ่งไม่มีคุณตาแล้ว ยิ่งไม่น่าเข้าไปอีก” ชัดบอก
เสียงใครคนหนึ่งแหลมดังขึ้น “เจ...เจ...เจ คะ”
ชัดและเจรมัย ตกใจที่ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกอยู่ไกลๆ
ชัดขนลุกเกรียวไปแล้ว หรือว่าจะโดนดีเข้าแล้ว
“มีเสียงคนเรียกชื่อคุณใช่มั้ย ผมไม่ได้ยินคนเดียวใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แต่ไม่ได้เรียกมาจากในห้อง และ ผมก็รู้ด้วยว่าใคร”
เจรมัยมีสีหน้ากังวล แล้วรีบเดินไปตามเสียง
ชัดลูบแขนตัวเองด้วยความกลัว
ด้านเจนจิราอยู่กับหนูจ๋า ได้ยินเสียงเรียก “เจ...เจ...เจคะ” นั้นเหมือนกัน นึกสงสัยจึงรีบพากันออกมาดูว่าใครกัน
พอทั้งคู่มาถึงจุดจอดรถหน้าเรือนคุณตา ก็เห็นผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังตะโกนเรียกเจรมัยอยู่ข้างๆ รถหรูของหล่อน
“เธอเป็นใคร ทำไมต้องมาตะโกนโวยวายในบ้านคนอื่นด้วย”
เจ้าของเสียงเรียกหันขวับกลับมาหาเจนจิรา
หนูจ๋าเห็นก็จำได้ทันทีว่าเธอคือใคร พูดเหมือนพูดกับตัวเอง
“นี่มันแคทลียา ไฮโซที่เค้าว่าเป็นแฟนพี่เจนี่นา”
“ฉันแคทลียา เธอน่าจะเคยเห็นฉันตามข่าวแวววงไฮโซบ้างหละ แล้วเธอเป็นใคร” สาวไฮโซแนะนำตัว
เจนจิรารู้สึกไม่เข้าตากับลีลาตอบอย่างไว้ตัวของแคทลียา เลยนึกสนุกอยากเอาคืนบ้าง โดยการดึงหนูจ๋าเข้ามาโอบแล้วตอกกลับไปว่า
“ฉันเจน เป็นภรรยาของเจรมัยและนี่...”
เจนจิราแอบบีบแขนหนูจ๋าให้เล่นตามหน่อย หนูจ๋าจอมแก่นเก็ตทันที รีบรับมุก พอเห็นเจรมัยกำลังรีบรุดเดินมาทางนี้ก็ร้องเรียกอย่างดีใจ
“พ่อ พ่อมาพอดีเลย”
แคทลียาได้ยินก็ถึงกับสะอึกอึ้งไป จากท่าทีของยัยไฮโซตัวแสบก็กลายเป็นชะนีผู้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เจรมัยมาถึงก็ตำหนิสาวไฮโซที่ตะโกนไร้มารยาทเมื่อครู่นี้
“แคทคุณตะโกนทำไมเนี่ย”
“ก็โทร.หาเจ เจไม่เคยรับสายเลย แล้วจะให้แคททำยังไง แต่ต่อไปแคทคงไม่ได้มากวนใจเจแล้วละ เพราะแคทรู้ความจริงหมดแล้ว ว่าทำไมเจถึงหลบหน้าแคท”
แคทลียาปรายตามองนำไปที่เจนจิรากับหนูจ๋า เจรมัยมองตามแต่ก็ไม่เข้าใจ เลยแนะนำให้ทั้งสามคนให้รู้จักกัน
“พูดอะไรผมไม่เข้าใจคุณอะ นี่นะแคท นี่พี่เจนจิรา กับ จ๋า ทั้งสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องผมเอง”
เมื่อความแตก เจนจิรากับหนูจ๋า ก็ได้แต่ตีหน้ามึนเยาะเย้ยสาวไฮโซ แล้วพากันเดินหนีอย่างลอยนวล ส่วนแคทลียาก็มีแต่สายตาคุมแค้นมองตาม ฝากเอาไว้ก่อน
“แล้วนี่แคทมาได้ยังไงเนี่ย”
“ก็แอบสะกดรอยตามพี่ภาค ผู้จัดการของเจมาอะ”
“แคท” แคทถอดหายใจ “แล้วนี่พี่ภาคอยู่ไหน”
“ก็เดี๋ยวก็คงถึงมะค่ะ คือแคทแซงแกมาตรงโค้งหน้าบ้านนี่เอง นั่นไงค่ะมาแล้ว”
เจรมัยมองตามเห็นรถของภาคแล่นเข้ามาจอดไม่ไกลจากตรงที่รถของเขาจอดอยู่
ภาคเป็นหนุ่มบุคลิกภาพดี แต่งตัวเนี้ยบ ดูเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ เขาลงรถเดินมาสมทบสองคน
“รถเธอนี่เองที่สะกดรอยตามพี่มาตลอด”
แคทลียายิ้มเขินๆ ที่ทำผิด ภาคมองอย่างเอือม
“โทษทีนะเจ พี่ทำให้ยัยแคทรู้จักบ้านแกจนได้”
“ไม่เป็นไรพี่ ไม่รู้วันนี้ เดี๋ยววันหลังแคทก็หาทางรู้จนได้”
“แล้วนี่เป็นไงบ้าง งานคุณตาเรียบร้อยดีใช่มั้ย พี่ขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้มาช่วยเลย”
“ไม่เป็นไรพี่ มันปุ๊บปั๊บ ผมเองก็ยังตั้งตัวไม่ทันเลย อยู่ๆ วันหนึ่งก็มารู้ว่ายังมีญาติพี่น้องอยู่”
“นั่นน่ะซิ พี่ได้ยินเจเล่าพี่ก็งงเลย ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงถูกปิดมาตั้งหลายสิบปี”
เจรมัยไม่ทันได้ตอบ เพราะแคทลียาถามแทรกขึ้น “แล้วต่อไปเจจะต้องมาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ”
“คงไม่หรอก เนี่ยเสร็จงานคุณตาแล้ว ก็ว่าจะรอให้แม่อยู่กับพี่น้องเค้าซักพัก แล้วก็จะกลับไปอยู่ที่เดิมตามปกติ ที่นี่เอาจริงๆ ก็ไปมาก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
“ไม่ๆ เจ ไม่ต้องห่วงแคทมาได้ แคทสะดวก”
ภาคหมั่นไส้ “เจเค้าหมายถึงแคทตอนไหน หึ”
แคทลียาค้อน เซ็งๆ โดนขัดตลอดคนจะอ้อนแฟนซะหน่อย ไฮโซสาวนึกอีกเรื่องออก เลยรีบพูดแทรกขึ้น
“เอ่อ...เจอย่าลืมว่าค่ำนี้ต้องไปถ่ายสัมภาษณ์ที่ช่อง8นะ”
ภาคฉุนกึก “นี่เธอรู้คิวได้ยังไง อย่าบอกนะว่ามาแอบดูคิวงานอีกแล้ว”
“แหมนีสนึงเอง ทำเสียงเข้มไปได้”
ภาคเริ่มจะเอือมระอาหนักขึ้น ส่วนเจรมัยเหมือนจะปลงๆ ได้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอ
“แต่น่าเสียดายคืนนี้แคทไปด้วยไม่ได้ติดงานกับคุณพ่ออ่ะ เสียดายอะ”
“อย่างนั้นเหรอ จริงๆ แคทก็ไม่น่ามาเสียเวลาตามเฝ้าผมก็ได้นะ”
“เจ...เป็นห่วงแคทใช่มั้ยละ ไม่เป็นไรแคททำได้ เอ่อ...อีกเรื่อง”
ภาคชักหัวร้อน มากขึ้น “เรื่องอะไรอีกเนี่ย...มาแอบดูตารางงานไรของพี่อีกหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่าน่า...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตารางพี่ มันเกี่ยวกับแม่นักข่าวผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ที่โผล่เข้ามาใส่ร้ายเจเรื่องคะแนนโหวตที่มั่วว่าแคท เป็นคนซื้อคะแนนน่ะ พี่ภาค กับ เจ พอจะรู้มั้ยว่า นักข่าวคนนั้นมาจากเล่มไหนอ่ะ แคทละเจ็บใจแทนเจจริงๆ นักข่าวอื่นเลยพากันมาสนเรื่องมั่วๆ แทนที่จะสนเรื่องรางวัลที่ได้”
“นั่นซิ พี่ภาคพอจะรู้มั้ยว่ามาจากสื่อไหน”
“ไม่รู้จริงๆ ถามพรรคพวกแล้วก็ยังไม่มีฟีคแบคกลับมา”
“ผมนะ จำหน้าได้ไม่ลืมเลย อย่าให้เจออีกทีล่ะ”
เจรมัยนึกถึงหน้ามัลลิกาแล้วหัวร้อนขึ้นมา
อีกฟากหนึ่ง ในห้องกองบอกอทีมสารคดีของสำนักพิมพ์ มัลลิกานั่งใจลอยมองดูจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ หน้าจอเป็นภาพชุดแต่งกายประจำชาติทางภาคใต้หลายแบบ เธอยังคงติดใจกับเหตุการณ์ประหลาดในความฝันเมื่อคืนนี้
ภาพผู้หญิงในชุดปาเต๊ะ ถูกไฟลุกท่วมทั้งตัวกำลังพุ่งตัวใส่เธอ ในทันใดนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มบุคลิกดีเดินหอบหนังสือเข้ามาหามัลลิกา เป็นหนังสือเกี่ยวกับชุดแต่งกายประจำชาติ ของภาคใต้ ตามยุคสมัยต่างๆ
มัลลิกาเงยหน้ามอง “ภวัตนี่เอง”
“ผมทำมะลิ ตกใจเหรอ ขอโทษทีนะครับ”
“ไม่หรอก มะลิเองก็ใจลอยด้วย นี่ภวัตได้อะไรมามั้ย”
ภวัตชี้บอก “นี่ไง จากที่เล่ามา ก็คงไม่พ้นชุดไทยทางภาคใต้แน่นอน ลักษณะเด่นๆ ของชุดก็จะประมาณนี้ ทุกวันนี้ก็มีปรับเปลี่ยนในรายละเอียดบ้าง และรูปทรงหลักไม่เปลี่ยนเท่าไหร่”
มัลลิกาพลิกหนังสือเกี่ยวกับชุดแต่งกายประจำภาคใต้ ในแบบต่างๆ พูดย้ำกับความคิดตัวเอง
“แล้วทำไมต้องตาฝาดเห็นผู้หญิงภาคใต้ด้วยนะ”
“อะไรนะ”
“เปล่า เปล่า ไม่มีไรต้องขอบคุณวัตจริงๆ รู้เยอะจริง สมแล้วกะตำแหน่ง บ.ก.สารคดีเชิงอนุรักษ์ ที่ดูแลทีมงานทั้งหมด...”
มัลลิกาหยุดพูดแล้วก็กวาดตามองไปรอบๆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยข้อมูล แต่มีแค่เธอ ภวัต และนายแว่น หนุ่มเนิร์ดอีกคนเดียว ภวัตยิ้มเขินๆ ที่กองฯ สารคดีของเขา มีแค่เขากับนายแว่น
“ทั้งทีมมี 2 คน”
“เอ่อน่า เดี๋ยวก็มีเพิ่มเอง อย่างน้อยก็มีมัลลิกาก็กำลังจะย้ายมาร่วมทีมไม่ใช่เหรอ คราวนี้ก็สามคนแล้ว”
แว่นเหลือกตามองเพดานกับลูกหยอดที่ไม่ค่อยเอาไหนของหัวหน้า แล้วก้มหน้าทำงานต่อดีกว่า
มัลลิกาก็ยังอยากมาทำอยู่เหมือนเดิม ภวัตยิ้มมีหวัง แว่นเองก็เด้งตัวขึ้นมาด้วยความหวัง
“แต่...”
คำว่าแต่ทำเอาทั้งแว่นทั้งภวัตรู้ว่าหมดหวังทันที
“แต่...ฉันเองยังอยากจะรับผิดชอบ ที่มีส่วนทำให้เจรมัย กลายเป็นประเด็นเรื่องโกงคะแนนโหวตจนกระแสนิยมตกทันตาเห็น คือ อยากรับผิดชอบอ่ะ คือเราก่อเรื่อง เราก็ควรใช่ป่ะวัต ใช่ป่ะคุณแว่น
“อืมๆ เข้าใจ ก็จะทำงานกับพี่เจนไปก่อนใช่มั้ย เข้าใจๆ เอาเลยสนับสนุน เสร็จตรงนั้นแล้วค่อยมาทำที่นี่ก็ได้”
“ตามนี้ ขอยืมหนังสือไปดูก่อนนะ ไงจะรีบเอามาคืน”
มัลลิกาออกไปแล้วภวัตมองตามไป แว่นขยับเก้าอี้เข้ามาหาสอบถามด้วยความสงสัย
“ทำไมคุณภวัตไม่บอกน้องมะลิไปเลยว่าคุณเป็นลูกท่านประธาน จะปล่อยให้มะลิเข้าใจว่าเป็นพนักงานธรรมดาอีกนานมั้ยเนี่ย”
“การเป็นลูกท่านประธานมันไม่สำคัญสำหรับมะลิหรอก ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบอกความจริงใช่มั้ย”
ภวัตยิ้มอย่างใจดีให้แว่น
มัลลิกาเปิดหนังสือดูภาพเครื่องแต่งกายภาคใต้แบบต่างๆ ในขณะที่เดินบนทางเดินที่ตอนนี้มีเธอเพียงคนเดียว ด้วยความเงียบของทางเดิน ทำให้อดคิดถึงภาพน่ากลัวที่เธอพบที่บ้านเจรมัยไม่ได้ เธอมองไปสุดทาง เกิดไม่วางใจกับบางอย่างที่ขยับอยู่ตรงมุมมืดของทางเดิน
ไม่มีทางเดินเลี่ยงเธอจึงต้องเดินเข้าไปหามันมากขึ้น เห็นชัดว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่นั้น คือรปภ. กำลังเช็คห้องต่างๆ อยู่
มัลลิกาโล่งอก เมื่อสิ่งที่พบไม่ใช่สิ่งที่คาดว่าจะเจอ!
บรรยากาศการเตรียมการในสตูดิโอวุ่นวายได้ที่ ทีมงานช่างไฟ ทีมกล้อง ทีมเสียง พากันเช็คอุปกรณ์ใครมัน โปรดิวเซอร์ยืนทวนสคริปต์กับผู้ช่วย เจรมัยยืนให้ทีมเสียงซ่อนเครื่องบันทึกเสียงไว้ใต้เสื้อ
ภาคเดินเข้าไปทักโปรดิวเซอร์มาดเด็กนอก มีความเป็นอินเตอร์สูง ขอดูสคริปต์
“น้องโปรดิวซ์ฯ พี่ขอดูคำถามก่อนหน่อยซิ”
โปรดิวเซอร์บอกว่า “นี่พี่ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องคำถามเกี่ยวกับแคทลียาหรอกครับ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ผมไม่สนหรอกครับ ผมสนแต่เรื่องฝีมือน้องเค้าเป็นหลักอยู่แล้ว เรื่องแบบนั้น เอาไว้ให้พวกสื่อที่คิดงานไรไม่ออกเล่นดีกว่าพี่”
“ซึ่งไอ้สื่อแบบนั้น บ้านเราเยอะซะด้วย” ภาคว่า
โปรดิวซ์ฯ กับ ภาค ขำในลำคอทำนองปลงๆ กับวิถีของสื่อในทุกวันนี้ ผู้ช่วยเข้ามาแจ้งโปรดิวซ์ฯ ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว
“พี่พร้อมแล้ว เดี๋ยวเรียงจากถ่ายภาพนิ่งก่อน แล้วค่อยสัมภาษณ์ต่อตามที่คุยกันนะพี่”
โปรดิวซ์ฯ พยักหน้า “อือ เอาเลย”
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
เจรมัยทำได้ดีตามที่ช่างภาพบอก แสงแฟลชสว่างวาบเป็นห้วงๆ และเริ่มสว่างมากขึ้นอย่างประหลาด เจรมัยหลบตาออกจากแสง เห็นว่ามีเงาของใครบางคนกระทบอยู่บนผนังใกล้ๆ เงาของตน
เหมือนทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่น จนเมื่อช่างภาพโหลดรูปลงคอมและกำลังเช็คงานอยู่ที่หน้าจอ
ปรากฏว่า ทุกภาพของเจรมัยมีเงาพาดอยู่บนตัวเขาอยู่ทุกภาพ จนเรียกได้ว่าภาพเสียทั้งหมด ทุกคนที่เห็นพากันงวยงงไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ช่างแต่งหน้าที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มรู้สึกกลัว
“น้องเจรมัย เล่นของหรือเปล่า”
โปรดิวซ์ฯได้ยินก็หันไปมองปรามด้วยสายตา
เจรมัยนิ่งมองสีหน้าจริงจัง ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา เพราะเขาเห็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะซีเรียสอะไร ก็แค่เรื่องผิดพลาดทางเทคนิคเท่านั้นเอง
“ไม่มีพี่...ของเขิงอะไร ถ่ายใหม่มั้ยพี่ ผมไหว”
ช่างภาพก็ยังคาใจอยู่ดี แต่เมื่อเห็นเจรมัยเสนอตัวจึงลองกดชัตเตอร์รีเช็คดู ตอนที่ยังไม่คนอื่นอยู่ในเฟรมเดียวกับเจรมัย
ภาพจากกล้องไปโชว์บนหน้าจอคอมฯ และเงาประหลาดก็ยังเกิดที่รูปเจรมัยอยู่ดี แต่ตรงคนอื่นไม่มีปัญหาอะไร
ช่างแต่งหน้าหันขวับไปหาโปรดิวเซอร์ เพื่อจะบอกว่ามันไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เจรมัยที่เคยเห็นว่ามันไม่มีอะไร ก็เริ่มหวั่นไหวในความมั่นใจของตัวเอง
ธูปกำใหญ่ที่พนมอยู่ในมือของช่างแต่งหน้า ชูขึ้นเหนือหัว เพื่อบอกกล่าว เจ้าที่เจ้าทาง และ คนที่ยืนติดกันก็โปรดิวเซอร์มาดเด็กนอกพนมธูปกำใหญ่กว่าอีก
"ชัดมั้ยหละ บอกแล้วว่าไม่ธรรมดา"
"เอ่ออออ รู้แล้วว แล้วทำแบบนี้ผีสางไปหมดใช่มั้ย"
"ก็ไม่แน่ ก็แล้วแต่อารมณ์ผีเค้านะพี่โปรดิวซ์ ว่าจะโอไม่โอ"
ทันทีที่ปักธูปลงกระถางไฟทั้งสตูดิโอก็กระพริบ
ช่างแต่งหน้ารีบหนีบแขนโปรดิวเซอร์เอาไว้
"รู้แล้วนะ ว่าพี่เค้าไม่โอ"
แล้วหม้อแปลงไฟก็ช็อตลัดวงจร จนเป็นประกายไฟ
ภาคกับเจรมัยเกิดสับสนอยู่ในสถานการณ์แปลกๆ และหลีกทางให้คนที่เกี่ยวข้องรีบแก้ไข เกิดสะเก็ดไฟพุ่งออกจากโคม ทำเอาทีมงานพากันวิ่งหลบ มีคนหนึ่งเสียหลัก จนพลาดเตะสายไฟจนกระชากเอาโคมไฟโค่นไปใส่ทางเจรมัย
เจรมัยกระโดดหลบได้ทัน โคมไฟกระแทกพื้นจนเกิดปะทุเป็นเปลวไฟลุกลามไฟลามผ้า ไปจนจะถึงคอมพิวเตอร์ที่มีไฟล์งานทั้งหมด
"เฮ้ย! ไฟล์งาน"
"จะทำอะไร"
"ผมจะไปเอาคอมฯออกมา ถ้าไม่งั้นจ็อบนี้เสียหายแน่"
"เฮ้ย ไม่ต้อง"
เจรมัยเข้าไปคว้าคอมฯที่อยู่ในกองไฟ แต่แล้วก็มีโคมไฟอีกดวงโค่นมาใส่จังๆ ร่างเจรมัยล้มอยู่ที่พื้นกำลังหมดสติลงอย่างช้าๆ
พาเขาเข้า สู่ พ.ศ. 2470
นายเที่ยง หรือ เจรมัยในชาติก่อนนอนหลับนึกคำกลอนอยู่ในสวนยาง กลอนเล่าเรื่องอดีตปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง เขาค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อมีคนมาเรียก
เที่ยงเห็นแดดสวยที่ลอดผ่านยอดต้นยางลงมา และเห็นเป็นบุรุษไปรษณีย์กำลังปลุกเรียกเขาอยู่
ไปรษณีย์หนุ่ม หนุ่ม หนุ่มอยู่คณะตะลุงของนายโทน ใช่มั้ย
เที่ยงใช่ครับ นายโทนเป็นพ่อผมเอง แต่ท่านเสียไปแล้ว มีอะไรหรือ
ไปรษณีย์อ่าวงั้นหรือ แล้วตอนนี้ใครดูแลคณะละ
เที่ยงผมเอง ผมเที่ยง มีจดหมายมาถึงพ่อหรือครับ
ไปรษณีย์ใช่มีโทรเลข มาถึงคณะของพ่อนายเที่ยงนี่แหละ
เที่ยงรับโทรเลขมาดูแล้วก็เก็บความตื่นเต้นไม่ไหวจนต้องออกวิ่งกลับบ้านทันที
เที่ยงขอบคุณพี่ไปรษณีย์มากนะพี่ ขอบคุณมาก ในที่สุด..... พวกเราก็มีโอกาสแล้ว เที่ยงกำใบโทรเลขวิ่งตามแนวต้นยางอย่างมีความหวัง
เที่ยงวิ่งผ่าน พี่ทอง(พี่ชายของเค้า) ที่กำลังซ้อมดนตรีอยู่ พร้อมกับกลึบเหล้าดองไปด้วย
เที่ยง พี่ทองๆ มีโทรเลขมาหาพ่อเรา
ทองเวรแล้วไง .... พ่อตายแล้ว แกจะอ่านยังไง หรือมันต้องมีคนตามไปอ่านให้พ่อฟัง
สนก็มึงไง ลูกคนโตใช่มั้ย ไอ้เที่ยงมันน้อง ดังนั้นมึงจึงเหมาะสุด รีบๆดื่ม จะได้รีบตามไปอ่านให้อาโทนฟังไวๆ
ทองเอ่อ ไอ้สนเพื่อนรัก มึงพูดถูก เฮ้ย เล่นด้วยชักเคลิ้มนะมึง
เที่ยงคมความเพี้ยนของสองคนตรงหน้า ทองเข้าโหมดคุมสติ ไม่เล่นมุก
ทองไหนๆ เอามาดูซิ เขียนว่ายังไง
ทองรับโทรเลขมาดู พลิกไป พลิกมา
สนยื่นหน้าเข้ามาอีกทีด้วยสงสัย
สนอ่านออกรึ
ทองไม่ออก
สนแล้วเอามาถือไม
ทองก็จะเอามาให้ เอ็งอ่านไงไอ้สน เอ้า!!! อ่านเลย ดังๆ กวนประสาทรู้ว่าอ่านไม่ออก ก็ดันถามอยู่ได้ ให้ไวเลย
สนอ่านโทรเลข แต่อ่านไม่ออกเสียง พออ่านจบก็ดีใจสุด หันไปมองหน้าเที่ยงเพื่อย้ำว่านี่มันเรื่องจริงใช่มั้ย
เที่ยงพยักหน้ารับ ทองอยู่ตรงกลางระหว่างสองคน ก็ยิ่งงงว่า มันเขียนว่าอะไร
ทองเอ้ยๆ อย่ารู้กันสองคนซิ บอกข้าบ้างเอ้ย ยังไงไอ้สน ยังไงไอ้เที่ยง
เที่ยงรีบไปบอกพวกเรากันเถอะ
สนกับเที่ยงพากันออกวิ่ง ทิ้งให้ทองยังงงอยู่ กว่าจะได้สติวิ่งตามสองคนก็วิ่งกันไปไกลแล้ว
ทองแล้วโทรเลข มันว่าไงเล่า
"อยากรู้ใช่มั้ย งั้น วิ่งตามมาให้ทันนะพี่ทอง"
มีเด็กลูกคณะอีกสองวิ่งตามไปด้วย ส่งเสียงแกล้งกันโหวกเหวก สนุกสนาน
นายโพนกำลังช่วยกันขึงหนังซ่อมตัวตะลุงอยู่กับนายสน ทั้งสองคนได้ยินเสียงโหวกเหวกของเที่ยงมาแต่ไกล จนต้องหยุดมือหันไปดู
“ลีลานักไอ้เที่ยง ไหนอ่านหน่อยซิ เร็วๆ” ทองบอกเร่งยิกๆ
“ยอมแล้วๆ”
ทองคว้าตัวเที่ยงมาล็อคคอเอาไว้จนได้
นายโพนเดินเข้ามาปรามด้วยความเป็นอาวุโสของคณะ สมทบมาด้วยนายสน
“เอาเบาๆ สนุกกันใหญ่ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว”
“ก็ไอ้เที่ยงมันลีลา มันบอกมีโทรเลขมาถึงคณะเรา แน่ะอาโพน เขียนว่าไรก็ไม่บอกมันจะอะไรนักหนา” ทองว่า
“ไหนๆ มาอ่านซิ”
ทองดึงโทรเลขจากเที่ยงได้ ก็ส่งให้นายโพน
“อะอา ไงอา อ่านออกเสียงหน่อยนะ ข้าอยากรู้”
นายโพนอ่านแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป เป็นสีหน้าที่เป็นความตื่นเต้นดีใจ ทองลุ้นจนเยี่ยวเหนียว ให้อาโพนน่าจะบอกอะไรบางอย่างซะที
“อะ อะ ไร อ่ะอา อ่านให้ฟังหน่อยซิ”
“นี่มันถือว่าเป็นข่าวดีเลยนะเนี่ย”
“ครับอา” เที่ยงยิ้มรับ
ทองงงใหญ่ “แล้วมันอะไรละ อ่านออกเสียงมันยากตรงไหนกันเนี่ย”
เที่ยงขำเมื่อเห็นหน้าทองเป็นแบบนั้น นายโพนเห็นก็ขำหัวเราะกับอาการของทอง
“อ่ะๆ มาๆ ข้าจะอ่านให้ฟัง เอ้า พวกเรามาๆ เดี๋ยวจะอ่านโทรเลขให้ฟัง” นายโพนอ่านเสียงดังฟังชัด “ขอเชิญคณะตะลุงนายโทน ไปแสดงที่บ้านคหบดีโสภณ ศิรินุรักษณ์ ที่บางกอกน้อย พระนคร”
ลูกคณะคนอื่นๆ พากันตื่นเต้น
ทองกระพริบตาถี่ๆ ไม่อยากจะเชื่อ เหมือนเรื่องที่ได้ยินเป็นความฝัน เที่ยงหันไปมองพี่ชายที่ตอนนี้ถึงกับอึ้งไปเลย
“เป็นไงพี่ทอง ไม่ตื่นเต้นเหรอ”
“สุดๆ เรื่องนี้สุดจริงๆ ข้าดีใจ”
พยอมเองก็ตื่นเต้น “ชีวิตนี้ไม่คิดเลยว่าจะไปพระนครอย่างคนอื่นเค้า ว่าแต่ พยอมเคยได้ยินมาว่า คนพระนครเค้าชอบดูภาพยนตร์กันไม่ใช่หรือ แล้วเค้าจะไม่มองพวกเราเป็นเรื่องล้าสมัยหรือเที่ยง”
“อย่าพึ่งกลัวซิ อย่างน้อยเค้าเชิญพวกเรา แสดงว่าเค้าก็เห็นคุณค่าของเราแล้ว”
พยอมพยักหน้ามั่นใจกับเหตุผลของเที่ยง
“แต่เที่ยง อาว่าอย่าเพิ่งดูอะไรง่ายไปหมดซิ ทั้งชีวิตตั้งแต่พ่อของเที่ยงอยู่คณะเรา ไม่เคยไปไกลพ้นชุมพรด้วยซ้ำ การตัดสินใจรับคำเชิญ อาว่ายังไงมันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ของพวกเราแน่ๆ ซึ่งพวกเราอาจจะรับมือไหวหรือรับมือไม่ไหวก็ได้...อย่าว่าข้าหัวเก่าเลย”
คำพูดของนายโพนทำให้บรรยากาศดูจริงจังขึ้นมาทันที ทุกคนเริ่มตระหนักว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจะเป็นอย่างไร
“นี่ข้าทำทุกคนเครียดกันหมดเลยเหรอ ที่พูดเนี่ยไม่ได้ปฏิเสธการรับคำเชิญ แค่พูดเตือนสติจะก้าวไปข้างหน้ามันต้องระวัง ไม่ใช่สนุกสนานจนลืมระวังอนาคต แต่ถ้ามัวกลัวที่ก้าวไปข้างหน้า ก็อาจจะปิดโอกาสพบเจอสิ่งใหม่ได้เหมือนกัน”
นายโพนพูดแล้วก็เดินเข้าไปจับบ่าเที่ยงเพื่อให้กำลังใจ
“ยังไงการติดสินใจก็เป็นของเที่ยง ในฐานะหัวหน้าคณะอยู่แล้ว อาเชื่อว่าเที่ยงจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเรา”
ทุกคนเฝ้ารอการตัดสินใจของเที่ยงอย่างจดจ่อ เที่ยงทบทวนเรื่องราวที่พูดคุยกันเมื่อครู่แล้วมองเลยไปที่ตัวตะลุงที่ผึ่งแดดอยู่ ตัวตะลุงต้องแสงแดดสวยงามยามสาย เที่ยงยิ้มออกแล้วตัดสินใจอย่างมั่นใจ
“พวกเราจะไปพระนครด้วยกัน เราจะทำให้คนพระนคร รักตะลุงด้วยกัน”
นายโพนยิ้มยินดีกับความเป็นผู้นำของเที่ยง คนอื่นๆ ก็พากันมีความสุขไปด้วยพากันมาขอดูโทรเลขอีกหน เที่ยงแทรกตัวออกมาแล้วถามหาสร้อยพีกับนายโพน
“พอจะเห็นสร้อยพีมั้ย”
“นั่นซิ ไปไหนนะ ไอ้ลูกคนนี้” นายโพนมองหา ท่าทีหงุดหงิดนิดๆ
เที่ยงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อืมม...พอจะรู้หละว่าอยู่ที่ไหน เดี๋ยวผมจะไปบอกข่าวดีนี่กับสร้อยพีเอง”
นายโพนได้ยินก็ยิ้มสุขใจ เที่ยงเดินแยกออกมาจากทุกคน ตรงไปยังที่หนึ่ง
ที่สะพานปลาหมู่บ้าน คนเรือกำลังส่งปลาที่มัดเป็นพวงให้กับสร้อยพี หญิงสาวรับมาแล้วยกขึ้นตรวจดูมีปลาอะไรบ้าง
“ไม่ต้องห่วงหน้า ข้าคัดที่มันก้างน้อยๆ ให้อยู่แล้ว ไม่ต้องตรวจหรอก”
“อย่าว่าหนูจุกจิกเลยนะ ก็เพราะ...”
“เพราะว่าเดี๋ยวพี่เที่ยงกินไปก้างติดคอ ร้องตะลุงไม่ได้ เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันทั้งคณะ เอ็งย้ำจนข้าจำขึ้นหัวแล้วเนี่ย” คนเรือบอก
สร้อยพีเขิน “อ้าวเหรอพี่ ย้ำบ่อยเหรอ”
คนเรือพยักหน้าขำๆ ก็มันบ่อยจริงจริ๊ง
“เอ่อ...ฝากบอกเที่ยงมันด้วยนะ คืนก่อนที่ไปเล่นที่บ้านใต้ สาวๆ แถวนั้นคงหลงเสียงกันหมดเลยนะ พากันอยากจะเห็นหน้าว่าจะหล่อเท่าเสียงหรือเปล่า มาขอให้ข้าพาไปหาที่บ้านเชียวนะ”
“แล้วพี่จะพามางั้นเหรอ”
“โอ ไม่ไม่ ไม่ได้พามา ขืนพามาเดี๋ยวจะมีสาวๆ แถวนี้ฉีกอกข้าพอดี”
สร้อยพียิ้มเขินๆที่คนเรือพูดแซวเธอแบบนั้น
ห่างออกมาเที่ยงเดินมาเห็นคนเรือกำลังเดินแยกกับสร้อยพีพอดี เที่ยงจึงรีบวิ่งไปหา สร้อยพีตกใจที่เที่ยงโผล่มาตัดหน้าโดยไม่ให้ตั้งตัว
“ว่าแล้ววันนี้เรือเข้า เอ็งต้องมาอยู่ที่นี่แน่ๆ”
“พี่เที่ยง เล่นไร ฉันตกใจหมด”
“ไหนดูซิว่าวันนี้บ้านเราจะได้กินไร โห... ต้องอร่อยแน่เลย ยิ่งเป็นฝีมือสร้อยพีแล้วหายห่วง”
“เกินไปละ ไม่ต้องยอขนาดนั้น ยังไงก็ได้กินอยู่แล้ว วันนี้คิดยังไงถึงตามมานี่”
“จะมาชวนไปพระนคร”
สร้อยพีไม่อยากเชื่อหู แต่ก็ดีใจที่เที่ยงชวน
“ไปกันยังไง ไปกัน...สองคนเนี่ยนะ”
“ไปกันทั้งคณะเลย มีคหบดีที่พระนครเชิญเราไปแสดง ไปนะ ไปกัน”
“จริงซิพี่ คณะเราจะได้ไปเล่นให้คนพระนครดูเหรอพี่ ดีใจจัง พี่ไปสร้อยพีก็ไปด้วยอยู่แล้ว”
“ยอดไปเลย งั้นพรุ่งนี้เราไปส่งจดหมายกัน ไปบอกว่าเรารับปากว่าจะไปกันนะ”
สองคนยืนคุยกันอย่างมีความสุขในแสงพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
เที่ยงกับสร้อยพี ยื่นจดหมายให้นายไปรษณีย์ที่โต๊ะงาน จดหมายจ่าหน้าซองว่า บางกอกน้อย พระนคร นายไปรษณีย์ทำงานเชื่องช้าจนดูผิดสังเกต
เที่ยงหันไปมองสร้อยพี พบว่าตอนนี้เธอก็ดูเป็นภาพช้าจนน่าฉงน เมื่อหันไปมองคนอื่นๆ ทุกคนก็กลายเป็นภาพช้าจนหมด
เที่ยงสะดุ้งตัวออกจากที่นั่ง แล้วก็พบว่าตัวเองไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัวแบบเดิมแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคย นั่นก็คือตอนนี้เที่ยงกลายเป็นเจรมัย แต่ยังอยู่ในบรรยากาศของ ปี พ.ศ. 2470
เจรมัยยิ่งสับสนหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกวาดตามองไปทั่วพบว่าไม่เหลือใครแล้ว ไม่มีนายไปรษณีย์ ไม่มีคนอื่นๆ มีเพียงสร้อยพี ที่กำลังเดินห่างจากเขาไป
เจรมัยหันไปมองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะงาน ยื่นมือจะหยิบมา จู่ๆ จดหมายฉบับนั้นก็ลุกติดไฟ ถูกเผาเป็นจุลต่อหน้าต่อตา เมื่อหันกลับไปหาสร้อยพี เธอก็ยิ่งเดินห่างออกไปมากกว่าเดิม เจรมัยวิ่งตาม
สร้อยพีเลี้ยวหายเข้าไปที่ช่องทางเดินเล็กๆ เจรมัยวิ่งตามไปก็กลับไม่พบ ทั้งๆ ที่เป็นทางเดินตัน แล้วสร้อยพีหายไปไหน
เจรมัยไม่ทันระวังตัวเมื่อที่ด้านหลังของเขา มีวิญญาณร้ายเห็นเป็นเงาดวงตาแดงกล่ำเต็มไปด้วยความแค้นพุ่งตัวเข้ามาหาพร้อมกับตวาดเสียงใส่อย่างเคียดแค้น
“พี่ไม่น่าไปอยู่พระนครเลย”
เจรมัยเสียหลักล้มลง แล้วรีบขยับตัวหนี แต่ผีร้ายก็ไม่ลดละ กระโจนตาม เวลานี้เจรมัยถูกต้อนเข้าสู่ทางตัน
เจรมัยสะดุ้งตื่นขึ้น มองโดยรอบว่าความจริงแล้วเขาอยู่ที่ไหนกันแน่ เมื่อสำรวจแล้วถึงรู้ว่าตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงนอนของตาเทียบ ตรงหัวนอนก็ยังมีตัวตะลุงตัวนั้นติดอยู่ เจรมัยพินิจคิดว่า เรื่องที่เค้าฝันกับตัวตะลุงตัวนี้น่าเกี่ยวข้องกัน
จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เขาเห็นภาคกับจรรยาและจิตราเดินเข้ามา
“ห้องตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมต้องเลือกห้องนี้” จิตราบ่นบ้าจนเห็นว่าหลานมองอยู่ “อ้าว เจ รู้ตัวแล้วเหรอ”
“ครับ”
“ป้าเอาน้ำมาให้ ดื่มซะนะ”
เจรมัยดื่มน้ำพลางชำเลืองมองดูแม่ ที่ไม่ค่อยพอใจภาคในบางเรื่อง
ในมุมที่ไม่มีใครสังเกต มีผีสร้อยพี ยืนมองเจรมัยอย่างไม่วางตา
“ทำไมภาคถึงพาเจเข้ามาในห้องนี้ แล้วห้องนี้มันก็ล็อคอยู่ ใครมาไขให้ นายชัดคนสวนเหรอ”
“ผมไม่รู้ครับแม่ คือพอเจเป็นลมที่สตูฯ ผมก็พามาพักที่บ้าน พอมาถึงก็มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกให้พามาห้องนี้ครับ ห้องก็ไม่เห็นล็อคนี่ครับ”
จิตราใจหล่น “ผู้หญิงที่ไหน คนไหน”
“คนที่สวยๆ ใส่ชุดเหมือนชุดทางภาคใต้น่ะครับ”
พอได้ยินทั้งจิตราและจรรยาต่างก็อึ้งไป หรือจะเป็นผี แต่ทั้งคู่เลือกที่จะไม่พูดต่อ
ในมุมที่เคยปรากฏร่างผีสร้อยพี ตอนนี้ไม่มีแล้ว กลายเป็นที่วางเปล่า
จรรยารีบเปลี่ยนเรื่อง
“เอาอย่างงี้ ต่อไปจะยังไง ต้องถามแม่ก่อน ถ้าจะทำอะไรในบ้านนี้”
“ครับ...คือมันมีอะไร ที่ผมต้องรู้หรือเปล่าครับ”
จรรยาเริ่มเล่าความหนักใจให้กับภาคฟัง
“มันฟังดูเหมือนเรื่องงมงาย แต่ว่าบ้านแม่เชื่อว่ามันจริงนะภาค”
“ครับ”
“อืม...ห้องนั้นพวกแม่ไม่อยากให้เจเข้าไปในนั้น ตั้งแต่สมัยเจเด็กๆ แล้ว เพราะบ้านเราเชื่อว่ามีวิญญาณใครบางคน”
ภาคตกใจ “อะไรนะครับ...วิญญาณ”
“ใช่แล้วจ้ะ วิญญาณ หรือ...สิ่งที่มองไม่เห็น หรือ ภาคจะเรียกว่า ผี ก็ได้ สิ่งสิ่งนั้นรอจะติดต่อกับเจ ตลอดเวลา”
ภาคงวยงง “คือ...แล้วเค้าจะอยากติดต่อกับเจทำไม”
“พวกแม่ไม่รู้เลย มันคงเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยทวด ซึ่งพวกแม่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวสมัยนั้นเลย”
ภาคอึ้งหนัก “คือ ไม่รู้เหตุผล...แล้ว”
“ถ้าภาคเป็นแม่ รู้ว่ามีวิญญาณใครก็ไม่รู้ เฝ้ารอจะติดต่อลูกตัวเอง ภาคจะทำยังไง”
ภาคแตะบ่าจรรยาอย่างแผ่วเบา บอกออกไปโดยไม่ต้องคิดว่า
“ผมก็ขอไม่เอาลูกผมไปเสี่ยงแน่นอน แล้วนี่ เจ รู้หรือยังครับ”
“คือ แม่ยังไม่รู้ว่าพูดยังกับเจดี ภาคก็รู้ว่าเจเค้าไม่เชื่อเรื่องทำนองนี้ แม่กลัวว่าพอบอก จะกลายเป็นให้ เจ เค้าอยากท้าทาย ยิ่งเข้าใกล้เรื่อง พวกนี้มากขึ้นไปอีก แม่เลยอยากให้เจรู้เรื่องให้น้อยที่สุดไปก่อน น่าจะทำให้เค้าปลอดภัยที่สุด”
“พอแม่พูดประเด็นนิสัยเจแล้วผมเห็นภาพเลย ตอนนี้ผมก็ว่าเอาอย่างที่แม่สบายใจก่อนก็ดีเหมือนกันครับ”
จรรยามองดูภาคนิ่งๆ ประเมินว่าภาคเชื่อในเรื่องแปลกๆ ที่เล่ามั้ย
ภาคถามขึ้นว่า “แม่สงสัยว่าผมเชื่อเรื่องที่เล่า ใช่มั้ยครับ”
ภาคพยักหน้าให้จรรยา แล้วเริ่มเล่าเรื่องในมุมของตัวเอง
“คือตอนนี้ เจ ไม่มีข่าวไม่มีกระแสใดๆ เลย เพราะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับภาพและเสียงของเจ ที่อยู่ในสื่อต่างๆ จนทำให้พวกสื่อไม่มีข่าวไปออกเลย”
“แม่ไม่เข้าใจ”
ภาคเอาโทรศัพท์มือถือเปิดภาพเจรมัยให้จรรยาดู เป็นภาพเจรมัยที่ถูกเงาดำพาดใบหน้าเอาไว้
“ยังไม่ใช่แค่นี้ครับ ผมได้ยินมาจากเพื่อนในแวดวง เค้าก็เจอเหมือนกัน”
ภายในห้องตัดต่อแห่งหนึ่ง ภาพเจรมัยก็มีเงาแปลกๆ พาดอยู่เช่นกัน ไหนจะภาพจากสตูดิโออีกแห่งก็ปรากฏเงาลึกลับเหมือนกัน จรรยาเห็นยิ่งวิตก
“แล้วแบบนี้ งานเจกับภาคจะเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ต้องลุ้นว่า อย่าให้สื่อเอาเรื่องแปลกๆ นี้ไปเล่น เดี๋ยวภาพลักษณ์ของเจจะเป๋ไปหมด คราวนี้งานร้องเพลงที่เจชอบจะแกว่งไปด้วย”
เจนจิราเดินไปตามทางเดินในสำนักพิมพ์อย่างร้อนรนกำลังมองหามัลลิกา ในที่สุดก็เจอมัลลิกาเดินสวนมาพอดี
“มะลิ มะลิ มากับพี่หน่อย”
“พี่เจน หนูมีเรื่องจะคุยกับพี่พอดีเลย”
เจนจิราจูงมัลลิกาเดินมาตามทางเดิน มัลลิกาเดินตามโดยดี แล้วก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่อยากพูด
“พักหลังๆ เห็นกระแสของเจรมัยเงียบๆ ไป มะลิว่าน่าจะมาจากที่ไปสัมภาษณ์มั่วๆ เรื่องซื้อคะแนนโหวต ที่มะลิทำไปแน่เลย”
“อืม...”
มัลลิกาดูเจนจิราใจลอย ไม่ค่อยจะตั้งใจฟัง เหมือนมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอยู่ข้างหน้า
“อืม ถึงห้องละ เดี๋ยวจะให้ดูคลิปที่น้องไปสัมภาษณ์มา”
“งานน้องมันทำเจเสียชื่อใช่มั้ยพี่ เพราะความเวรของเราแท้ๆ อะไรที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ มะลิก็พร้อมจะแก้ไขนะพี่ คือ โคตรรู้สึกผิดเลยอ่ะพี่”
เจนจิราเปิดคอมพิวเตอร์ให้ดู เป็นคลิปวันที่มัลลิกาไปสัมภาษณ์ในคืนที่เจรมัยได้รางวัล
“มะลิดูคลิปนี่ซิ คือพี่ก็ไม่เข้าใจวันก่อนยังไม่เป็น แต่พอเมื่อคืนนี้มันเริ่มมีอะไรแปลกๆ”
เห็นเจนจิรากำลังออกอาการหนักใจกับบางอย่างบนจอคอมพิวเตอร์
มัลลิกามองฉงน “คือ”
“อันนี้ก็อปปี้สุดท้ายที่เรามีแล้ว”
ที่จอคอมปรากฏว่า ทุกๆ ภาพของเจรมัยมีเงาดำพาดทับตลอดเวลา จนดูเหมือนไฟล์งานจะเสีย และ ในที่สุดไฟล์นั้นก็เปิดไม่ได้อีกเลย
“เห็นใช่มั้ย”
“เห็น....แต่อาจจะตาฝาดก็ได้นะพี่ ขอดูอีกทีซิพี่”
“เปิดไม่แล้ว ไฟล์มันเสียแล้ว เป็นแบบนี้ทุกเทป ทุกคลิป”
มัลลิกาทดลองคลิกเม้าส์หลายที คอมพิวเตอร์ก็ฟ้องว่า Error ทั้งสองสาวถึงกับฉงน
“ที่น้องบอกว่า ตอนนี้กระแสของเจ เงียบไปจนผิดสังเกต พี่ว่า...ทุกสื่ออาจจะเจอปัญหาเดียวกับเราก็ได้ แบบทุกคนไฟล์เสียหมดจนไม่มีใครเอาภาพออกสื่อได้ กระแสเลยค่อยๆ หายไป”
“หรือมีใคร แอบใส่ไวรัสลงในไฟล์คลิปของเจ”
เจนริราฟังแล้วก็รู้ทันทีว่ามัลลิกาไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
“อยากจะลองตามติดเจ้าเจดู ถ้าเป็นแบบน้องว่า เราอาจจะเจอตัวคนร้าย เจจะได้กลับมามีกระแสอีกที
แต่ถ้าสิ่งที่ทำไม่ใช่คนแหละ”
“ฮึ้ยพี่...พี่หมายถึงเรื่องผีๆ สางๆ เหรอ ไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีหรอก น้องว่าไวรัสคอมพิวเตอร์แน่นอน งั้นมิชชั่นนี้ เดี๋ยวน้องขอตามติดเจเอง ดูซิว่าใครเป็นคนแกล้ง”
เจนจิราหันมาสนับสนุนมัลลิกา ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองยังฝังใจว่า เรื่องที่เกิดมันต้องเกี่ยวข้องกับอาถรรพ์ของตระกูล มัลลิกาฉุกคิดขึ้นมาได้บางอย่าง
“พี่เจน พี่ว่าถ้าเจ เจอน้องอีกทีเนี่ย จะเป็นยังไง เจเค้าจะโอมั้ย”
“คงโอหรอก ไปฉีกหน้าเค้าขนาดนั้น”
“ซวยแล้ว ทำไงดีเนี่ย”
ภาพความคิดของเจรมัยยังวนเวียนอยู่กับฝันร้าย ที่มีเงาดำของหญิงสาวตามติด และตวาดใส่เขาว่า
“พี่ไม่น่าไปพระนครเลย”
เจรมัยถอนหายใจยาว คิดไม่ตกว่ามันเกี่ยวข้องอะไรยังไงกับชีวิตของตน
ตรงหน้า เห็นชัดกำลังล็อคประตูห้องตาเทียบอีกหน มีป้าจิตราและแม่จรรยา ยืนกำกับไว้ให้แน่ใจว่าล็อคจริง
“ชัดเก็บกุญแจไว้ ที่เดิมนะ ขอบใจมาก”
“ครับ” ชัดเดินแยกไปทางหนึ่ง
จรรยาเดินมาถามเจรมัย เมื่อเห็นเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“คิดถึงฝันร้ายน่ะครับแม่ ที่ผมฝันเห็นเงาผู้หญิงมาตวาดใส่ว่า “ไม่น่าไปพระนครเลย” มันฟังดูแปลกๆ ผมจะเอาคำว่า พระนคร ที่ไหนมาฝัน ทุกวันนี้ไม่มีใครเค้าเรียกกันแล้ว มันอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ ผมมาจากต่างจังหวัดหรือเปล่า”
“ไม่จ้ะ เจ เกิดที่กรุงเทพฯ และก็อยู่กรุงเทพฯมาตลอด”
“ผมนี่น่าจะฝันเพ้อเจ้อไปเอง”
จิตรานิ่งนึกทบทวนกับตัวเองว่าจะพูดต่อดีมั้ย จรรยาก็พูดเสริมขึ้นมา
“แต่ต้นตระกูลเราเดิมอยู่ที่นครศรีธรรมราชมาก่อนที่จะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กัน พ.ศ.ที่ขึ้นมาอยู่ที่นี่ กรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่า พระนคร อยู่ ทวดเที่ยงเป็นรุ่นแรกที่ย้ายรกรากมา”
“ทวดเที่ยง”
เจรมัยสะดุ้งกับชื่อที่ได้ยิน แต่ก็ยังไม่พูดอะไรออกไป
จิตราพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเห็นด้วยที่จรรยาจะเริ่มเล่าเรื่องราวของตระกูลให้เจรมัยรู้ทีละน้อย
“สมัยก่อนตระกูลเราเป็นคณะหนังตะลุง อยู่นครศรีธรรมราช เป็นอาชีพที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น จนตกมาถึงรุ่นของคุณทวดเที่ยง”
“ตาเทียบก็คือลูกของทวดเที่ยงหรือแม่” เขาถาม
แต่จิตราชิงตอบ “ไม่ใช่ ทวดเที่ยงไม่มีลูก เพราะเมียแกเสียชีวิตไปหลังอยู่กินด้วยกันไม่นาน ส่วนตาเทียบเป็นลูกของพี่ชายทวด ศักดิ์ก็เท่ากับหลาน...คนเดียวของตระกูล จึงต้องรับช่วงทุกๆ สิ่งของตระกูลต่อไป ในฐานะผู้ชายคนเดียวในสายเลือด”
จิตราพูดออกไปโดยหวังว่าเจรมัยจะรับรู้ว่าเขาเองกำลังอยู่ในฐานะหลานชายคนเดียวเช่นกัน
เจรมัยเอะใจกับคำว่าหลานชายคนเดียว นี่หมายความว่า เราคือทายาทคนต่อไปงั้นหรือ
“แล้วอะไรคือสิ่งที่ ผู้ชายบ้านนี้ต้องสืบทอดต่อครับ แล้วถ้าไม่รับมันจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือครับ ผมเหมือนถูกมัดมือชกไงไม่รู้”
จรรยาใจหายวาบ นึกตกใจที่ลูกชายพูดจาท้าทายขนาดนั้นออกไป
จิตราเองก็วิตกไม่ต่างกัน จึงตัดสินใจเล่าเรื่องในอดีตของครอบครัวต่อ
เป็นเหตุการณ์ในคราครั้งที่ป้าจรรยายังเป็นสาวรุ่น
"ในตอนนั้นป้าอายุราวๆ 20 เห็นพ่อกำลังเก็บของอยู่ในห้องของแก”
ตาเทียบในวัย 60 ปี ถือหนังตะลุงไว้ในมือ มีจิตรา และน้องสาว3 คนมองดูอย่างสนใจอยู่ใกล้ๆ จรรยาอายุราวๆ 19-20 ปี
“พอกันที จะปิดผนังไว้หรือจะเก็บใส่ลัง ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ป่านนี้คงไปผุดไปเกิด ไหนถึงไหนแล้ว”
จิตราท้วง “แล้วที่พ่อสัญญากับปู่ทองไว้ละค่ะ ว่าจะเก็บไว้อย่างดี”
“ปู่เสียไปหลายปีแล้วนะลูก แค่ความเชื่อของคนแต่ก่อน ไม่มีอะไรหรอก”
พร้อมกับว่าตาเทียบโยนตัวตะลุงลงในหีบ ปะปนกับข้าวของอื่นๆ แล้วปิดล็อค แต่พอยกก็ยกไม่ขึ้น หรือจะเป็นเพราะของในหีบหนักเกินไป ตาเทียบหงุดหงิดจึงถีบหีบนั้นให้เคลื่อนที่ไป
แต่ยังไม่ทันที่กล่องจะลงไปถึงไหน ก็ได้ยินเสียงเบรครถดังสนั่นจากหน้าบ้าน และเห็นคนงานวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาตาเทียบ
“คุณ คุณ เมียคุณถูกรถชนที่หน้าประตูบ้าน เห็นว่าไม่รอด”
ตาเทียบช็อก
จิตราเล่าอีกว่า “แม่ของป้าเสียชีวิตตรงนั้น ทุกอย่างมันปุบปับไปหมด ตอนที่กำลังเตรียมเรื่องศพของแม่ พวกป้าสี่พี่น้องจู่ๆ ก็หมดสติพร้อมๆ กัน”
สาวๆ ทั้ง 4 จิตรา จิราและจรรยา วิ่งมาดูจินดาที่กำลังล้มทั้งยืน
จิตราอาสาจะวิ่งไปตามพ่อกับจิรา ให้จรรยาเฝ้าน้องจินา
ระหว่างที่จิตรากำลังวิ่งไปนั่นเอง จู่ๆ จิราก็เกิดอาการเจ็บที่หน้าอก มีเลือดกำเดาไหลเต็มไปหมด แล้วก็ล้มลงคาที่
จิตราตกใจกลัวหันกลับไปมองจรรยา ซึ่งตอนนี้ก็ล้มฟุบลงไปกับจินดาแล้ว จิตรากลัวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตะโกนเรียกหาพ่อทั้งน้ำตา ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงไป
“หลังเหตุการณ์ประหลาดนั้น พ่อก็ต้องเอาตะลุงตัวนั้นขึ้นไปไว้ที่ผนังเหมือนเดิม แล้วป้ากับพี่น้องก็เริ่มรู้สึกตัวแทบจะทันที”
เจรมัยฟังแล้วดูเหมือนจะเชื่อในทุกๆ เรื่องที่ได้ยิน แต่ผิดคาด เขาไม่เชื่อ
“เรียกว่าถ้าไม่สืบทอดก็จะมีอันเป็นไปอย่างนั้นเหรอป้า หนังตะลุงในห้องคุณตานั้นเหรอครับ” เจรมัยส่ายหัว “เรื่องบังเอิญเสียมากกว่าครับ”
จิตราจ้องหน้าหลานถามออกไปว่า “แล้วเรื่องที่จู่ๆ เจก็เข้าไปนอนในห้องตาเทียบ ทั้งๆ ที่มันล็อค”
เจรมัยอึกอัก “ไม่...รู้ซิครับ อันนั้นต้องไปถามพี่ภาค อืม ตอนนี้ผมขอตัวไปทำงานก่อนครับป้า นะแม่”
จรรยารับรู้ได้ว่าจิตราเริ่มไม่พบใจกับท่าทีของเจรมัย จึงเข้าไปแตะแขนพี่สาวให้ใจเย็นลง จิราผ่านเข้ามาตอนที่เจรมัยขอแยกตัวออกไป
“อะไรกันเหรอ”
“ก็พี่จิต พยายามจะบอกให้เจรู้ตัวว่า ต้องเป็นคนรักษาหนังตะลุงต่อไป ก็กลายเป็นว่า เจ คิดว่ามันไร้สาระ”
“อืม...หรือมันจะเป็นอย่างที่หลานมันพูด นี่ก็ทุกอย่างก็ดูดีแล้วนี่ งานคุณพ่อก็จบแล้ว พวกเราก็ดูปกติ เอาน่ะทุกอย่างมันจบแล้วล่ะ ปล่อยหลานให้เค้าไปมีทาง อย่างที่เค้าอยากมีเถอะพี่”
จิตราถอนหายใจ
ระหว่างเดินไปยังจุดจอดรถ เจรมัยหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องที่คุยกับป้าจิตราเมื่อครู่ ถึงปากจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่มันก็อดคิดถึงไม่ได้ มีใครบางคนเดินตามมาที่ด้านหลัง เจรมัยไม่แน่ใจ หลังกดรีโมทรถแล้วจึงหันกลับมามองตรงที่เดินผ่านมาอีกที แต่ก็ไม่พบอะไร
จนพอขึ้นรถแล้วสตาร์ตเครื่อง นั่นเองที่เขาได้รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ในรถกับเขาแล้ว
“จ๊ะเอ๋ พี่เจ”
เจรมัยโล่งอกที่เห็นว่าเป็นหนูจ๋า
“อ้าว ไงจ๋า”
“พี่เจ ไม่สบอารมณ์ป้าจิตใช่เปล่า อย่างไปถือป้าแกเลย แกชอบบังคับๆ ไงไม่รู้ จ๋าโดนประจำ”
เจรมัยยิ้มขำๆ “เหรอ”
“จ๋าแอบได้ยินพี่เจคุยเรื่องตะลุงในห้องคุณตาใช่มั้ย”
“อืม”
หนูจ๋าทำเป็นกระซิบบอก “มันเป็นตะลุงผีนะพี่”
เจรมัยเซ็ง “เอาอีกคนแล้ว”
“พี่ไม่อยากรู้เหรอ”
“ไม่หละ ฟังมาเยอะแล้ว”
“หมดกัน เลยไม่รู้จะอ้างอะไรดีเลย”
เจรมัยงง “อ้างไร”
“ก็ตอนแรกกะว่าจะเล่าเรื่องผีให้พี่ฟังแลกกับติดรถไปทำงานกับพี่ด้วยอ่ะ”
“อะ งั้นไม่ต้องอ้าง งั้นไปเลย”
หนูจ๋าจอมแก่นหูผึ่ง “อย่ามาพูดเล่นเชียว”
“จะไปมั้ย”
“ไป ไป”
เจรมัยออกรถไปทันที
ในรถของเจรมัยที่วิ่งมาตามท้องถนน หนูจ๋าดีใจลิงโลดสุดๆ ที่ได้ไปกับพี่เจคนดัง ส่วนเจรมัยซึ่งหงุดหงิดเรื่องที่คุยกับป้าจิตรามาก่อนหน้า ได้ความสดใสของหนูจ๋าเยียวยา ช่วยให้เขาผ่อนคลายลง
ภวัตเดินมาถึงที่หน้าตึกห้องอัดเสียง พร้อมกับมองหามะลิไปด้วย พอไม่เห็นก็เลยกดโทรศัพท์หา
“นัดแล้ว ไปอยู่ไหนหว่า ฮัลโหลมะลิ”
มัลลิกาแต่งตัวเป็นทอมบอย สวมหมวกใส่แว่นพรางตัวเต็มคราบ
“ฮัลโหล วัต วัตอยู่ไหน ฉันปลอมตัว วัตอาจจะไม่เห็นเรา เดี๋ยวเราเดินไปหาวัตเอง”
เสียงเรียกของภวัตดังขึ้น “มะลิ”
“ฮึ”
มัลลิกาแปลกใจ หันตามเสียง เจอภวัตมายืนอยู่ข้างหลังเรียบร้อยแล้ว มัลลิกาสะดุ้งโหยง
“ฮึ่ย วัต นายจำเราได้เหรอ นี่เราปลอมตัวแล้วนะ”
ภวัตกลั้นขำ “จำได้ซิ จำไม่ได้จะเรียกถูกได้ไง”
“จริง โอย ล้มเหลวๆ ไม่เห็นเหมือนในละคร แต่งแบบนี้ไปไหนใครๆ ก็จำไม่ได้แล้วนะเนี่ย”
มัลลิกาอย่างเซ็ง ถอดแว่นถอดหมวกคืนสภาพเดิม
“อืม ถ้ามีหนวดปลอมน่าจะจำไม่ได้นะ” ภวัตยิ้มขำ
“โห อำว่ะ”
ภวัตยิ้มมองดูความเป็นธรรมชาติของมัลลิกาเพลินๆ ยิ่งดูยิ่งรู้สึกประทับใจ มัลลิกางงๆ ที่เห็นอีกฝ่ายมองเธอแปลกๆ ส่วนภวัตรู้ตัวว่าถูกจับได้จึงรีบเก็บอาการ
“เอ่อๆ แล้วไมต้องปลอมตัวด้วย”
“คืองี้ วันนี้จะมาแอบสังเกตการณ์ เผื่อจะเจอคนที่ปล่อยไวรัสใส่ไฟล์งานสัมภาษณ์เจรมัย คราวก่อน แล้วไอ้คนต้องสงสัย...มันอาจจะอยู่ใกล้ๆ เจรมัยก็ได้”
“ก็ยังงงอยู่ดี ว่าทำไมต้องปลอมตัว”
“อ๋อ ก็เราเคยไปฉีกหน้าตาเจรมัยอะดิ ถ้าเจอกันจังๆ มีหวังโดนตาเจเล่นงานแน่เลย”
“อ๋อ เป็นโจทก์กันนี่เอง แล้วนี่จะให้ช่วยอะไรบ้าง”
“ง่ายมาก แผนเอ คอยดูว่าตาเจรมัยมายัง ตอนที่เราเข้าไปข้างใน แล้วถ้าเจรมัยมาแล้วรีบโทร.บอกเลยนะ”
“ได้ซิ”
“แผนบี ช่วยสตาร์ตรถรอตรงนี้หน่อยซิ เผื่อต้องวิ่งหนีออกมา วัตก็พาเราหนีนะ”
“ได้”
“แผนซี”
ภวัตอย่างอึ้ง “ยังมีซีอีกเหรอ”
“มีซิ อันนี้เลยที่มีแต่ภวัตที่เหมาะที่สุดจะช่วยเราได้ คือ ภวัตมีเงินสดมั้ย ซัก 2 หมื่น”
“มีซิ”
“นั่นไง เรานี่ตาถึงใช้ได้ เราว่าแล้วภวัตดูมีเงินๆ ไงไม่รู้”
“แล้วจะเอาเงินไปทำไร”
“ไม่ไช่เราจะเอา แต่อยากยืมไว้ประกันตัวเราหน่อยอ่ะ เผื่อจะโดนจับฐานบุกรุก”
ภวัตเอ๋อไปเล็กน้อยที่ได้ยิน มัลลิกายิ้มแหยๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำสำเร็จหรือเปล่า
เจ้าหน้าที่เทคนิคบันทึกเสียง กำลังพามัลลิกาเดินไปยังห้องอัดเสียงพร้อมกับอธิบาย
“ห้องนี้เป็นห้องอัดนะ แบบนักร้องจะอยู่ในนี้ แล้วผมก็จะอยู่อีกห้องตรงนี้ คอย Record กับ Mix เสียงให้สมบูรณ์ ว่าไปตำแหน่งในห้องนี้ก็สำคัญใช้ได้เลยนะ”
มัลลิกาอวยไส้แตก “ก็ว่าอยู่ ไม่มีพี่นักร้องไม่ได้เกิดแน่เลย”
“ก็นิดหน่อยนะครับ นี่ถ้าไม่มีแฟนคลับอย่างน้อง นักร้องก็ไม่เกิดเหมือนกันนะครับ ว่าแต่ปกติแฟนคลับเข้าจะมารอกันเป็นกลุ่มๆ ไม่ใช่เหรอครับ ไงมีน้องมาคนเดียว” เจ้าหน้าที่นึกสงสัย
มัลลิกาคิดปราดเดียว “ก็...ก็ มันวัดกันตรงนี้แหละว่า ตัวจริงมันต้องกล้ามาเดี่ยว”
“อ้อ อ๋อ อะ พี่พาน้องทัวร์เท่านี้ก่อน ถ้าไม่มีอะไร พี่ไปเตรียมเครื่องรอเจรมัยก่อนนะ”
“เหรอพี่...พี่ๆ แถวนี้นอกจากคนในออฟฟิศพี่แล้ว พี่พอจะเห็นใครที่พิรุธๆ ไม่น่าไว้ใจบ้างมั้ยพี่”
“ก็ดูไม่มีนะ ถ้าไม่ใช่คนในออฟฟิศนี้ ก็มีแต่น้องคนเดียวนี่แหละ”
มือถือของมัลลิกาสั่น ตอนที่เธอคุยกับเจ้าหน้าที่เทคนิคเปี่ยมน้ำใจ เธอเลยจะหาทางชิ่ง
ฝ่ายภวัตยืนร้อนรนกระวนกระวาย เป็นคนรอสายดังกล่าว ลุ้นให้มัลลิการับไวๆ
“รับซิ เจรมัยเดินเข้าไปแล้ว”
“อุ๊ย งั้นพี่ตามสบายนะค่ะ เดี๋ยวแฟนคลับขอนั่งรอพี่เจตรงนี้นะคะ” มัลลิกายิ้มเรี่ยราดบอก
เจ้าหน้าที่เทคนิคผู้เข้าใจหัวอกติ่งอย่างดี พยักหน้าอนุญาต
“อืม ตามสบาย เดี๋ยวเจมาพี่จะมาเรียกนะ”
เจ้าหน้าที่ฯ ลับตัวไปแล้ว มัลลิการีบรับสายของภวัตทันที
“ว่าไงวัต”
ภวัตคุยสายไปพร้อมๆ กับมองเข้าไปในตึก
“เจรมัยเข้าไปแล้ว ป่านนี้น่าจะถึงชั้นของมะลิแล้วมั้ง”
มัลลิกาได้ยินแล้วก็รู้เลยว่างานเข้าซะแล้ว เตรียมชิ่งดีกว่า แต่นั่นดันเป็นจังหวะเดียวกับที่ เจรมัยกับหนูจ๋าและภาคเดินเข้ามาในนั้นพอดี
มัลลิกาขาแข็งรีบหาช่องทางหนี มองซ้ายมองขวา หลบได้เฉียดฉิวก่อนที่กลุ่มที่เจรมัยจะเห็น เจรมัยเดินผ่านไปแล้วตรงไปที่ห้องอัด
ตอนนี้เจรมัยยืนอยู่หลังไมค์กำลังวอร์มเสียงอยู่ ผู้ช่วยมิวสิคไดเร็กเตอร์ 1 ใน 2 เปิดไมค์แล้วเช็คเสียง
“เช็คๆ ครับ หนึ่ง สอง สาม เช็ค”
ทุกอย่างเรียบร้อย ผู้ช่วยก็ให้เจรมัยเข้ามายืนแทนตำแหน่ง แล้วเริ่มวอร์มเสียง
ช่างเทคนิคคนเดิม เดินมาตรงยังมัลลิกาที่นั่งรออยู่ กลายเป็นว่าไม่เจอแล้ว
“อ้าว แฟนคลับไปไหนซะนี่”
ระหว่างที่วอร์มเสียงอยู่ หนูจ๋ารู้สึกว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ มองพี่เจแล้วเดินวนไปวนมาตามประสาเด็ก
มิวสิคไดเร็กเตอร์ยกมือเชิงบอกขอเวลาสักครู่หนึ่ง หลังจากรีเวิร์ดเสียงของเจรมัยมาฟัง เขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เจรมัยเลยได้พักอยู่ข้างๆ หนูจ๋าวิ่งเข้ามาหาพี่เจ
“พี่เจ จ๋าไปห้องน้ำก่อนนะค่ะ เดี๋ยวมา”
“อืม ไปถูกมั้ย”
“ถูกๆ ถามพี่เค้าแล้ว”
แล้วหนูจ๋าก็วิ่งจู๊ดออกจากห้องไป ภาคเดินเข้ามาหา เป็นทีเปิดโอกาสให้เจรมัยคุย
“พี่เค้าทำอะไรกันเหรอครับ”
“ที่ห้องมิกซ์อ่ะเหรอ”
ภาคมองไปในนั้น พบว่าเริ่มมีคนเข้าไปสมทบในห้องนั้นมากขึ้นๆ เพื่อช่วยกันดูความผิดปกติที่เกิดขึ้น
“เทคนิคมีปัญหานิดหน่อย เหมือนเสียงเจไม่เข้าล่ะมั้ง” เขาว่า
“ช่วงนี้ผมไปจ็อบไหน จ็อบนั้นเป็นต้องสะดุดตลอด”
ภาคนิ่งฟัง เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน
ไดเร็กเตอร์ในห้องอัด กำลังงุนงงสงสัย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ช่วยอีกสองคนก็เกาหัวแกรกๆ หาคำตอบให้ไม่ได้ ว่าทำไมเสียงเจรมัยไม่เข้า
ผู้ช่วย1 ยืนยันหนักแน่น “เช็คแล้วพี่ ไมค์เปิดแล้ว เสียงผมเข้าแต่เสียงเจไม่เข้าอ่ะ”
ไดเร็กเตอร์บอก “ไหนเร่งอีกทีซิ แล้วปรับแหลมลงอีก ลงอีก มึง...ได้ยินมั้ย ทุกคนเงียบๆ ฟังซิ...เสียงดนตรีไทย”
ลูกน้องอีกสองคนได้ยินชัด จนต้องเอามือออกจากเครื่องมิกซ์ด้วยความขนลุกจนพอง
หนูจ๋าล้างมืออยู่ที่อ่าง จู่ๆ เกิดรู้สึกถึงบ้างอย่างที่ด้านหลัง เหมือนมีเงาใครบางคนวูบวาบไปมา จ๋าเริ่มใจคอไม่ดี นอกจากเงาแล้วยังตามมาด้วยเสียงสั่นเหมือนโลหะเคาะกันดังมาจากห้องนั้น คราวนี้จ๋าถึงกลืนน้ำลายลงคอ
ที่แท้ เจ้าของเงาเป็นมัลลิกาที่นั่งยองๆ อยู่บนฝาชักโครก นั่งนานจนขาสั่น ทำเอาน็อตฝาชักโครงสั่นไปด้วย จนเกิดเป็นเสียงโลหะเคาะกัน
หนูจ๋าเห็นท่าไม่ดีเตรียมจะขยับหนี ฉับพลันทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโครมใหญ่ดังออกมา มัลลิกาเสียหลักล้มลง ร่างพุ่งออกมานอกห้องน้ำ พอเห็นว่าอะไรเป็นไรจากที่ตกใจอยู่หนูจ๋าเปลี่ยนเป็นขำก๊ากกับท่าทางดูไม่จืดของมัลลิกา
“สวัสดีจ้ะหนู” มัลลิกาทักทายกลบความเขินอาย
เวลาผ่านไปมัลลิกากับจ๋าตกลงบางอย่างกันเรียบร้อยแล้ว
“ตามนี้นะ ช่วยพี่หน่อยนะ ในฐานะพี่เป็นลูกน้องของพี่เจน ลูกพี่ลูกน้องของหนูจ๋า”
“ได้ค่ะพี่มะลิ นี่ดีนะพี่เจนโทร.มายืนยัน ไม่งั้นหนูต้องว่าพี่เป็นคนร้ายแน่เลย”
“อ่ะ อย่ามัวเสียเวลาเลย ไปกันดีกว่า เดี๋ยวพี่เจของหนูมาเจอ มีหวังระเบิดลง”
ภาคเห็นผิดสังเกตที่ห้องมิกซ์เสียงเลยขอตัวลุกไปดู ส่วนเจรมัยก็เลยถือโอกาสขอตัวออกไปดูหนูจ๋าซะหน่อย
“พี่ไปดูพวกเค้าหน่อยดีกว่า”
“งั้นผมจะขอไปดูน้องผมหน่อย”
การหลบหน้าของมัลลิกาเฉียดฉิวไปมา มีจ๋าคอยเป็นกำลังเสริมที่มีแต่พิรุธ และเกือบจะถูกจับได้หลายที แต่ในที่สุดมัลลิกาก็เข้าตาจนหมดทางหนี ต้องเผชิญหน้ากับเจรมัยแบบนี้ไม่ได้ มัลลิกายิ้มเขินๆ อย่างอารมณ์ดี เผื่อเจรมัยจะไม่เล่นงานเธอ
“นักข่าวตัวแสบ เจอกันอีกทีจนได้”
อ่านต่อ ตอนที่ 3
#เงาอาถรรพ์ #thaich8 #ละครออนไลน์