เงาอาถรรพ์ ตอนที่ 1
วันหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2480 ทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวันแท้ๆ แต่สายฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว ตกไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ท้องฟ้าเหนือเรือนแถวหลังนี้ มืดครึ้มราวกับเป็นเป็นเวลายามค่ำคืน และคล้ายกับว่ามันจะเป็นค่ำคืนสุดท้ายของชีวิต “สร้อยพี” หรือ “สารภี” แห่งคณะหนังตะลุงนายโพน
หมอเดินห่างจากแคร่ที่บนนั้นมีร่างของสร้อยพีนอนหายใจรวยรินอยู่ ตรงมายัง “นายโพน” ที่ยืนรอฟังอาการอยู่ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่าลูกสาวจะปลอดภัย ข้างๆ มี “นายทอง” รอฟังอาการอยู่ใกล้ๆ
“มอร์ฟีนครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะครับนายโพน หมอขอแสดงความเสียใจด้วยครับ จะเล่นหนังตะลุงตามที่แม่สร้อยขอ หมอว่า...รีบหน่อยก็ดีนะครับ”
นายโพนพยักหน้ารับเอาคำ ยอมรับความเป็นไปที่สุดวิสัยจะแก้ไขอะไรได้ แล้วมองไปยังแคร่ของลูกสาวที่ตอนนี้มีจอหนังตะลุงขึงขึ้นแบบง่ายๆ อยู่ตรงข้ามเธอพอดี
ที่ด้านหลังฉากตะลุง มี “นายเที่ยง” นั่งร้องไห้เสียใจอยู่ลำพัง เขาอยากให้การสูญเสียสร้อยพี ที่เขารักดั่งน้องสาว เป็นแค่ฝันไปเท่านั้น พยอม เด็กสาวอีกคนในคณะกำลังเฝ้าดูแลสร้อยพีอยู่ใกล้ๆ ขยับตัวออกห่าง เมื่อเห็นนายโพน เดินเข้าไปหาสร้อยพี ตอนนี้บรรดาลูกคณะพากันขยับมานั่งดูใจอยู่อย่างพร้อมเพรียง
ลูกคณะมองดูนายโพนด้วยสีหน้าอาดูร บอกให้รู้ว่าเวลาของสร้อยพีเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
นายโพนพยักหน้าเบาๆ กับลูกคณะ แล้วเดินไปด้านหลังฉากตะลุง
นายทองเดินมาสมทบกับนายสน และเพื่อนนักดนตรี ที่อึกอักไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่นตอนไหนดี เพราะอาการของเขา “นายหนัง” ที่อยู่หลังฉากตะลุงเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมเริ่มร้องกลอนเสียที หนุ่มคนนั้นเป็น น้องชายของเขา “นายเที่ยง” นั่นเอง
“ข้าละสงสารทั้งสร้อยพี สงสารทั้งเจ้าเที่ยงจริงๆ” นายสนว่า
“อืม…น้องข้ากับสร้อยพี มันก็โตมาด้วยกันแต่เล็ก เป็นใครก็ทำใจลำบากทั้งนั้น”
นายทองมองไปยังหลังฉากเห็นเที่ยงก้มหน้าร้องไห้อยู่ ก่อนจะเห็นนายโพนเดินเข้าไปหาแตะบ่าเบาๆ เที่ยงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสภาพน้ำตานองหน้า
“เริ่มเถอะพ่อเที่ยง ช่วยเชิดตะลุงให้สร้อยพีดูเป็นครั้ง…สุดท้าย ตามปรารถนาสุดท้ายของสร้อยพีทีเถอะ”
ยิ่งได้ฟังคำพูดนายโพน เที่ยงก็ยิ่งเสียใจ เขามองดูรูปตะลุงฤาษี เทวดา ที่ปักอยู่ที่หยวกกล้วย แล้วนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกไป ทำเอาใครๆ ที่เห็นพากันประหลาดใจ
เที่ยงเดินไปหาสร้อยพีที่นอนรอการมาของเขาอยู่ เมื่อลงนั่งข้างๆ แคร่ เที่ยงได้พบว่าร่างของสร้อยพีถูกพันแผลไปครึ่งซีกและลำตัว บางส่วนแผลก็กว้างจนผ้าปิดไม่ได้ เที่ยงเห็นสภาพแล้วยิ่งสงสารจับใจ
“สร้อยพี…พี่จะขอเอาตัวตะลุงของน้อง ไปเชิดนะ”
“พี่เที่ยง ตะลุงตัวนั้นมันถูกไฟไหม้ ไม่สมบูรณ์แล้ว เล่นไม่ได้หรอกพี่”
“ไม่เป็นไร ไม่ว่าตัวตะลุงจะเป็นอย่างไร พี่ก็จะเล่น เพราะมันเป็นหนังตัวที่จะทำให้พี่ คิดถึงสร้อยพีตลอดไป”
“พี่เที่ยง...พี่เที่ยงดีกับฉันจริงๆ”
สร้อยพียิ้มออกมาด้วยความดีใจ แต่แล้วก็พลันหดหู่ขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่า ชีวิตของเธอจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว
เวลาไป เที่ยงเริ่มเชิดตะลุง ประกอบบทเพลงแสนเศร้าบอกเล่าความผูกพันและลาจาก ตัวตะลุงขยับเคลื่อนอย่างสวยงามด้วยความชำนาญของเที่ยง นักดนตรีต่างก็รู้สึกเศร้าไม่แพ้กัน สร้อยพีเห็นแล้วก็หวนคิดถึงครั้งที่เที่ยงทำหนังตะลุงตัวนี้ให้
ตอนนั้นเที่ยงทำสีหน้ากรุ้มกริ่มเข้ามาหา ยิ่งทำให้สร้อยพีอยากรู้ นายโพนเดินออกมาหยุดดูด้วยความสนใจ
เที่ยงค่อยๆ จับสร้อยพีให้ยืนตรง จับใบหน้าสวยคมของสร้อยพีอย่างพินิจพิจารณา มองซ้าย มองขวา ยิ่งทำให้สร้อยพี่งวยงง
“นี่ตาสร้อยพีสีน้ำตาลเนอะ ตาสวยนะเนี่ย”
สร้อยพีเขินที่เขาพูดชมซึ่งๆ หน้าแบบนั้น เที่ยงหันไปหยิบตัวตะลุงที่ยังไม่เสร็จดีขึ้นมาอวด
ไม่นานต่อมา เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่บ้านนายโพน เปลวไฟโหมกระพือแรงขึ้นทุกขณะ เงาของผู้หญิงคนหนึ่งทอดยาวไปบนกำแพงนั้น เธอคือ สร้อยพี ในชุดปาเต๊ะ ที่กำลังยืนตะลึงกับเหตุการณ์ไฟไหม้ตรงหน้า สร้อยพียืนนิ่งงันมองเหตุการณ์นั้นด้วยความสะพรึงกลัว
นายโพนพ่อของเธอ ถูกนายทองพยุงออกมาจากกลุ่มไฟ ลูกคณะคนอื่นๆ วิ่งหนีตายเอาตัวรอดสวนไปมา สร้อยพี ได้สติ วิ่งเข้าไปประคองนายโพน เอาผ้าคลุมบ่าเช็ดปัดเขม่าควันให้พ่อ
“สร้อยพี พ่อไม่เป็นไรแล้วลูก”
นายโพนหันไปมองไฟที่กำลังเผาโรงตะลุง อย่างสิ้นหวังและเสียใจ
สร้อยพีเสียใจจนน้ำตาคลอเบ้า และเริ่มเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ คำรามออกมาอย่างโกรธแค้น
“ทำไมมันถึงต้องทำกับคณะตะลุงของเราแบบนี้ด้วย ต้องเป็นฝีมือของคนบ้านคหบดีแน่ๆ อีมาลี”
“เอาเถอะลูก อย่าพึ่งโทษผิดใครเลย ไม่มีใครบาดเจ็บก็ดีถมไปแล้ว”
พยอมวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาสมทบ หอบหายใจถามอย่างเป็นห่วง
“อาโพน อาโพนปลอดภัยมั้ย สร้อยพีก็ปลอดภัยใช่มั้ย”
สร้อยพีเหลียวหาเที่ยงแต่ไม่เจอ “แล้วพี่เที่ยง พี่เค้าหายไปไหนพ่อรู้มั้ย พยอมรู้มั้ย ทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้”
“ไม่รู้เหมือนกัน...เห็นมีคนบ้านคหบดีมารับไปแต่เช้า” พยอมบอก
“บ้านคหบดีๆ คนพวกนั้นมีแต่พาเรื่องมาให้พวกเรา ไม่รู้ว่าทำไมพี่เที่ยงถึง...”
สร้อยพีพูดไม่ทันจบคำ เสียงไฟปะทุดังออกมาจากกองเพลิง ผสมกับเสียงโวยวายของนายสน กับพยอม ที่ช่วยกันหอบเครื่องดนตรีออกมาจากไฟ บางตัวโดนไฟเสียหายก็มี ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ ร้องถามออกไป
“หนังตะลุง มีใครเอาออกมาได้บ้างมั้ย หนังตะลุงของพี่เที่ยง”
สร้อยพีคิดได้ดังนั้น ก็รีบลุกขึ้นเตรียมจะวิ่งฝ่าความร้อนเข้าไป นายโพนเห็นก็ร้องทักเอาไว้
“สร้อยพี ลูกจะทำอะไร”
“ลูกจะไม่ยอมให้ตัวตะลุงเป็นอะไรไป ลูกจะเข้าไปเอาตัวหนังออกมา”
นายโพนร้องห้ามสุดเสียง “อย่า ลูก”
สร้อยพีไม่ฟัง “ไม่ ไม่เป็นไรพ่อ ในเมื่อพี่เที่ยงเป็นที่พึ่งเราไม่ได้ สร้อยพีก็จะทำเอง”
“อย่าเข้าไป สร้อยพี”
พยอมคว้าแขนสร้อยพีไว้ได้ แต่ก็ถูกเธอสะบัดออก
“ไม่ไป สร้อยพี อย่าไป”
“ปล่อยฉันพยอม อย่ามาห้ามฉัน”
สร้อยพีสะบัดจนหลุด วิ่งเข้ากลุ่มควันไปอย่างไม่คิดชีวิต นายโพนอยากจะห้ามแต่ก็จนปัญญา
เปลวโหมรุนแรงเป็นภาพที่นายโพนเห็น
สร้อยพีวิ่งเข้าไปในโรงตะลุงที่ทำด้วยไม้ยกสูงระดับเอว ถึงพื้นไม้จะยังไม่ติดไฟแต่ความร้อนก็ระอุทั่วเนื้อไม้แล้ว มันแสบร้อนทุกก้าวที่เท้าเปล่าของสร้อยพีเหยียบย่ำลงไป เธอรีบรุดมาถึงมุมเก็บข้าวของ ไล่สายตาไปตามผนัง เห็นตัวตะลุงรูปเทวดา ฤาษี และตัวละครชั้นสูงต่างๆ รีบกางผ้าเตรียมห่อตัวหนัง
สร้อยพีรวบตัวตะลุงทั้งเทพ ตั้งตัวตลก ลงบนห่อผ้า เมื่อตรวจนับดูแล้วพบว่าตัวตะลุงยังขาดไปอีกหนึ่ง สร้อยพีกวาดตามองหา จนเห็นว่าตัวตะลุงตัวนั้นเสียบอยู่บนหยวกใกล้จอผ้าขาวที่กำลังติดไฟ
สร้อยพีหอบตะลุงวิ่งหลบไฟที่หล่นมาจากคานและชิ้นส่วนของหลังคา จวนจะถึงตัวตะลุงตัวสุดท้ายที่แกะเป็นรูปหญิงสาวอยู่รอมร่อ บังเอิญมาสะดุดของหกล้มหน้าคะมำเสียก่อน และนั่น มันทำให้เธอรู้ว่าบัดนี้เท้าสองข้างโดนไฟลวกเป็นแผลสาหัสเสียแล้ว แต่ความเจ็บปวดหรือจะหยุดยั้งความตั้งใจเธอไปได้ สร้อยพียังคงจับจ้องไปยังตัวตะลุงตัวนั้นอย่างมีความหวัง
มันเป็นตะลุงตัวผู้หญิงที่เที่ยงทำให้ รูปร่างมีเอกลักษณ์สวยงามเฉพาะตัว แต่ก็ดูออกว่ายังต้องทำเพิ่มอีกหน่อย สร้อยพีประหลาดใจ
“นี่ตัวตะลุงที่พี่ทำขึ้นเอง แรงบันดาลใจก็มาจากน้องสาวตรงหน้าที่แหละ ขาดแต้มสีน้ำตาลที่แววตา ก็เป็นอันเสร็จ”
สร้อยพีตื่นเต้น “พี่เที่ยงหมายถึง ตัวตะลุงตัวนี้ แทนตัวสร้อยพีเหรอ”
เที่ยงพยักหน้า “อืม...สร้อยพี ชอบมั้ย”
สร้อยพียิ้มปลื้ม “ชอบซิจ๊ะ”
เที่ยงยิ้มเต็มภาคภูมิที่ทำให้สร้อยพีมีความสุข แล้วก็หันไปทำตัวตะลุงต่อ
สร้อยพีดึงความคิดกลับคืนมา น้ำตาไหลรินออกมาด้วยความสุข จดสายตามองดูตัวตะลุงที่ขยับเคลื่อนไหวไปตามคำร้องของเที่ยง หากมองชัดๆ จะเห็นว่าเงาตะลุงตัวนั้น มีความเสียหายจากโดนไฟไหม้ครั้งนั้น เป็นช่องโหว่ที่กลางอก สร้อยพีคิดบางอย่างได้หันไปหาพ่อ พูดขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย
“พ่อ ตะลุงของพี่เที่ยงมันชำรุด พ่อต้องซ่อมให้พี่เที่ยงด้วยนะจ๊ะ”
“ไม่ต้องห่วง พ่อจะซ่อมให้นะ มันเป็นหน้าที่ของพ่ออยู่แล้ว”
นายโพนมองตามแล้วพยักหน้ารับเอาคำ แต่ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อพบว่าสร้อยพีบีบมือตนแน่น เพื่อจะบอกบางสิ่ง นายโพนขยับตัวเข้าใกล้เพื่อรอฟังว่าลูกสาวจะพูดอะไร
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว นายโพนถึงกับตะลึง หนักใจ และอยากจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน รับปากลูกสาวสุดที่รักไปในที่สุด
“หัวใจของเอ็งมันงดงามจริงๆ สร้อยพี”
อีกด้านหนึ่ง เที่ยงร้องกลอนห้องสุดท้ายจบลง แต่เขาก็ยังกำไม้เชิดตะลุงไว้แน่น พยายามหักห้ามใจจะไม่เสียใจไปกว่านี้ ซ่อนความรู้สึกตัวเองอยู่ที่หลังฉากตะลุง นายทองมองดูเที่ยง แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพยอมร้องเรียกชื่อ “สร้อยพี” ด้วยความใจหาย
รู้ได้โดยอัตโนมัติว่าสร้อยพีจวนเจียนจะสิ้นใจเต็มที เที่ยงรีบลุกไปหาด้วยความเป็นห่วง ทุกคนเลี่ยงทางให้เที่ยงเข้าไปอยู่ใกล้สร้อยพี ที่พยายามเผยอปากพูดบางอย่างด้วยเสียงที่แหบโหยแผ่วเบา
เที่ยงขยับเข้าใกล้ จนได้ยินคำขอสุดท้ายของสร้อยพี ถึงแม้จะเป็นคำขอที่เที่ยงได้ยินเพียงคนเดียว แต่ด้วยมีคนรายรอบไปหมด จึงเหมือนกับว่า ทั้งหมดร่วมเป็นสักขีพยานในการรับปากครั้งนี้โดยปริยาย
“พี่สัญญาได้มั้ย พี่เที่ยง พี่จะไม่แต่งงานกับมาลีใช่มั้ย”
เที่ยงหนักใจที่ได้ยินแบบนั้น มองดูแววตาจริงใจในคำขอของสร้อยพีแล้ว จึงยิ้มรับและให้คำมั่นออกไป
“พี่...สัญญา พี่จะไม่แต่ง สร้อยพีสบายใจเถอะ”
สร้อยพียิ้มให้ เที่ยงก็ยิ้มตอบ
นายโพนมองดูภาพสองคนก็รู้สึกอุ่นใจ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นพูดอะไรกันก็ตาม ก่อนจะหยิบตัวตะลุงรูปแม่หญิงไว้ในมือคิดถึงคำขอของลูกสาวเช่นกัน
แล้วลมหายใจของสร้อยพีก็หมดลง พร้อมกับรอยยิ้มสุดท้ายนั้น เที่ยงจมอยู่ในความเศร้าได้แต่นิ่งงันอยู่ตรงนั้น นายสนขยับเข้ามาหาใกล้ๆ ถามเที่ยงเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกับสร้อยพีเมื่อครู่
“เที่ยงเอ็งกับสร้อยพี คุยอะไรกันรึ”
คำถามของสนทำให้เที่ยงได้สติ หันกลับมาหาคนตั้งคำถาม
“อะไร พี่สน”
“เอ็งพอจะบอกได้มั้ยว่าคุยอะไรกับสร้อยพี”
“อืม...คือไม่มีอะไรหรอกพี่สน”
ว่าแล้วเที่ยงก็ขยับตัวหนีออกไปอีกมุม ถึงปากจะบอกไม่มีอะไร แต่สนก็รู้ว่าเที่ยงคงมีเรื่องปิดบังเอาไว้ เที่ยงเดินเลี่ยงมาอีกทาง ทองเดินเข้ามาหา
“เที่ยง คนจากบ้านคหบดีมาหา”
เที่ยงหันไปมองด้วยสีหน้าสงสัย ทำไมคนของบ้านคหบดีมาหาตน
เที่ยงเดินออกมามองไปก็เห็น เพ็ญกับใบ บ่าวหญิงชาย จากบ้านคหบดียืนรออยู่ที่มุมประตูบ้าน เนื้อตัวเปียกฝนเล็กน้อย เที่ยงเดินเข้าไปหา เพ็ญมองเลยเที่ยงเข้าไปข้างใน เห็นคนอื่นๆ ต่างตกอยู่ในความเศร้าที่เสียสร้อยพีไป
“ท่านโสภณกับคุณมาลี เป็นห่วงแม่สร้อย เลยให้ข้าสองคนวนมาดู...” เพ็ญถอนหายใจ “เสียใจด้วยนะเที่ยง เดี๋ยวข้าจะไปแจ้งให้ท่านคหบดีทราบ”
“ขอรับ...แล้วทางคุณมาลีเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ยังคงถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไว้” เพ็ญบอก
เที่ยงใจหาย “โถ...”
เพ็ญมองเที่ยงด้วยความเข้าใจ นิ่งทบทวนกับตัวเองชั่วครู่ว่าจะถามคำถามต่อไปดีมั้ย
“เที่ยง…ข้าถามหน่อยซิ”
“ขอรับ”
“เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว กำหนดการ...นายเที่ยงจะว่าอย่างไร”
“เรื่องแต่งงานหรือขอรับ”
เที่ยงนิ่งไป นึกถึงคำขอสุดท้ายของสร้อยพี
“พี่สัญญาได้มั้ย พี่เที่ยง พี่จะไม่แต่งงานกับมาลีใช่มั้ย”
เที่ยงหนักใจที่ได้ยินแบบนั้น มองดูแววตาจริงใจในคำขอของสร้อยพีแล้ว จึงยิ้มรับและให้คำมั่นออกไป
“พี่...สัญญา พี่จะไม่แต่ง สร้อยพีสบายใจเถอะ”
สร้อยพียิ้มให้ เที่ยงก็ยิ้มตอบ
เที่ยงนิ่งนึกทบทวนถึงคำรับปากกับสร้อยพีครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปว่า
“ข้าก็จะยังจะแต่งกับคุณมาลีเช่นเดิม แต่ขอเวลาจัดการเรื่องสร้อยพี ให้เรียบร้อยก่อนนะขอรับ อย่างไรฝากพี่เพ็ญเรียนท่านคหบดีให้ด้วยนะขอรับ ฝากบอกด้วยว่าข้าเป็นห่วง”
บ่าวเพ็ญพยักหน้ารับเอาคำ ก่อนที่หันตัวกลับออกไปพร้อมใบ
เที่ยงยืนมองสองคนเดินห่างออกไป แล้วหันกลับมามองร่างของสร้อยพีที่นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางความโศกาอาดูรของชาวคณะ
เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง! เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนผวากลัว
ปี พ.ศ. 2560 ในงานประกาศรางวัลยอดเยี่ยมของนิตยสารชื่อดัง แสงแฟลชสว่างวาบติดๆ กัน มาพร้อมกับน้ำเสียงอันน่าตื่นเต้นของพิธีกรผู้ประกาศผลรางวัลอยู่บนเวที
“และศิลปินเจ้าของรางวัล Popular Vote อันดับหนึ่ง สำหรับค่ำคืนนี้คือ...”
แสงตรงฉากหลังของเวทีดับวูบลงกะทันหัน เพียงไม่นานเฟรมภาพหลังเวทีก็ฉายภาพเงาชายคนหนึ่งยืนอยู่ มาพร้อมกับเสียงดนตรีเร่งเร้าความสนใจให้กับทุกคนในหอประชุมแห่งนี้หันมามอง
“ชายหนุ่มที่เมื่อปีที่แล้ว เรารู้จักเค้าในฐานะ ศิลปินโนเนมในโลกโซเชียล ซึ่งวันนี้เขาพิสูจน์แล้วว่า เขาทำได้”
เงาบนเฟรมจางลง เริ่มเห็นใบหน้าหล่อเหลาคมสันของเจ้าของเงานั้น
“เขาคือ คุณเจ เจรมัย”
ภาพเงากลายเป็นภาพเจรมัยในลุคศิลปินมาดเท่ เจรมัยเดินออกมากลางเวทีท่ามกลางเสียงกรี๊ดไม่หยุดของเหล่าแฟนคลับ พิธีกรมอบรางวัลนั้นให้เจรมัย เขารับมาด้วยความยินดีและเตรียมพูดบางสิ่ง
“คืนนี้เป็นคืนที่สำคัญมากในชีวิตผม ผมขอบคุณทุกๆ โหวต ที่สนับสนุนผมด้วยนะครับ ขอบคุณพี่ภาค รุ่นพี่ที่คอยช่วยผมในทุกๆ ด้าน”
ข้างๆ เวที ภาค ผู้จัดการส่วนตัว ฉีกยิ้มกว้างพยายามพรีเซ็นต์ให้คนข้างๆ รู้ว่าเจรมัยพูดถึงตน
“และที่สำคัญ ผมขอบคุณ แม่จรรยาของผม ถึงแม้ครอบครัวเราจะมีกันแค่สองคน แต่แม่ก็ทำให้ผมมีวันนี้ครับ”
การมอบรางวัลเสร็จสิ้นลงแล้ว เวลานี้แสงแฟลชกระหน่ำใส่เจรมัยที่ยืนอยู่ตรงแบ็คดร็อปงานมอบรางวัล ท่ามกลางไมค์รวมของกลุ่มนักข่าวจากสื่อทุกสำนัก นักข่าว1 ยิงคำถามแรกขึ้นว่า
“จริงหรือเปล่าคะ ที่ครอบครัวคุณเจรมัย มีแค่คุณเจกับคุณแม่เท่านั้น”
“จริงครับ คือผมเสียคุณพ่อไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ผมเด็กๆ ญาติพี่น้องแม่หรือพ่อก็ไม่มีครับ คุณแม่ก็เลยเป็นทุกสิ่งของผมหนะครับ”
นักข่าว2 ซักถามต่อว่า “ญาติๆ ก็ไม่มีด้วยอย่างนั้นหรือคะ ชีวิตตอนเด็กคงลำบากน่าดูเลยนะคะคุณเจ คิดอย่างไรที่ตอนนี้คุณกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ได้ไม่น้อย เกี่ยวกับการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคจนประสพความสำเร็จคะ”
เจรมัยยิ้ม ย้อนถามกลับ “จริงเหรอครับ”
“จริงซิคะ สื่อต่างๆ เขาวิเคราะห์ว่า ที่คะแนนโหวตพุ่งสูงจนเป็นอันดับหนึ่ง ก็เกิดจากความเป็นไอดอลของเจ ในมุมนี้ล่ะค่ะ” นักข่าว1 ฉอเลาะ
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็คงภูมิใจมากๆ เลยนะครับ”
มีนักข่าวหญิงคนหนึ่งกำลังมองจ้องเจรมัยผ่านกลุ่มนักข่าวสำนักอื่นๆ ที่ขวางหน้าอยู่ เธอชื่อ “มัลลิกา” หรือ “มะลิ” นักข่าวจำเป็นผู้มาด้วยความไม่พร้อมใดๆ มีแค่โทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวและกำลังคุยสายกับหัวหน้าง่วนอยู่
“ถึงแล้วพี่เจน จะให้สัมภาษณ์อะไรนะ เรื่องแฟนของเจใช่มั้ย ได้ๆ ชื่ออะไรนะ แคท ลี ยา ใช่มั้ย ไฮโซใช่มั้ย หา เป็นดาราด้วย แล้วพี่อย่าลืมสัญญานะพี่ สัมภาษณ์อันนี้ให้แล้วพี่จะเปิดคอลัมน์ท่องเที่ยวให้มะลิ เครๆ แฟนเจชื่อไรนะ ขออีกทีลืม เป็นไฮโซนะ พี่เจน ส่งไลน์มานะ จำไม่ได้”
ระหว่างเบียดเสียดกับนักข่าวอยู่นั่นเอง มือถือเจ้ากรรมก็ดันหลุดมือซะนี่ มัลลิกาตกใจอุทานออกมา
“ว้ายๆๆ ตกๆๆ”
เสียงดังมากจนดึงความสนใจของนักข่าว และ เจรมัย พากันหยุดสัมภาษณ์หันมามองทางมัลลิกากันหมด มัลลิการีบก้มเก็บมือถือพอเงยหน้ามาอีกที ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าทุกคนหลบเธอเป็นวงกลมซะแล้ว และตรงหน้าเธอบัดนี้ก็เป็นเจรมัยที่กำลังยืนงงว่าเธอกำลังทำอะไร
มัลลิกากับเจรมัยมองหน้ากัน มัลลิกาอึกอักไปไม่เป็น จนมี นักข่าว2 ถามขึ้นว่า
“ดูเหมือนน้องจะอยากสัมภาษณ์ เจ ใช่มั้ย”
“คือ จะขอถามเรื่องเกี่ยวกับ แฟนไฮโซของคุณเจค่ะ ที่ชื่อ คอลีน”
นักข่าว1 ท้วงว่า “แคทลียา”
มัลลิกายิ้มขอบคุณ แบบเอือมความจำตัวเอง แล้วก็ลุยถามต่อ
“ใช่ ไม่ใช่ คอลีน แต่เป็นแคทลียา ไฮโซที่เป็นทุกอย่างให้คุณเจรมัย ตอนนี้พร้อมประกาศว่าเป็นแฟนกันรึยังคะ
เจรมัยอึกอักไปมา ในขณะที่นักข่าวแวดล้อมก็รู้สึกว่าประเด็นคำถามน่าสนใจเลยพากันยื่นไมค์ขอคำตอบ
“มันยังไงบ้าง พร้อมประกาศหรือยัง ครับ”/ “คะ”
“คือผมกับแคทก็สนิทกันครับ แต่ว่าเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ครับ ผมรับรองตอนนี้ผมเองก็โฟกัสแต่งานมากกว่าเรื่องอื่นๆ ครับ เรากลับมาสัมภาษณ์เรื่องงานกันดีกว่านะครับ”
มัลลิกาเบียดตัวเข้าไปประชิดด้วยอีกคน พร้อมกับยื่นโทรศัพท์เข้าไปบันทึกวิดีโอเอาไว้ด้วย
ภาคยืนดูอยู่มุมนอก รับรู้ถึงความวุ่นวายแปลกๆ ในการสัมภาษณ์
มัลลิกาฟังแล้วคิดสรรคำถามมาถามต่อ
“แล้วคะแนนโหวตที่ว่าเนี่ย โหวตจริง หรือ คุณคอลีน เอ๊ย แคทลียา เค้าทุ่มทุนเหมาให้ จริงใช่มั้ยคะ”
เจรมัยรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที จนไม่ตอบอะไรออกไป นักข่าว 1 ที่อยู่ข้างๆ มัลลิกา รู้สึกอึ้งกับการตั้งคำถามที่ทั้งแรงทั้งไม่ให้เกียรติคนตอบ
“โห น้องถามไม่ยั้งจริงๆ”
มัลลิการู้ตัว “คือ แรงไปหรือคะ ซวย...ซวยแล้วไง”
“มาจากสื่อไหน ไปทำงานกับพี่มั้ย” นักข่าว 1 เหน็บ
เจรมัยมองหน้ามัลลิกาด้วยความไม่พอใจ มัลลิกามองเจรมัยอย่างรู้สึกผิด แต่ก็ทำไงได้ ตีมึนไม่แคร์ใส่ดีกว่า ยังไงก็ไม่ยอมเสียลุค ก่อนที่จะหาโอกาสขยับตัวออกจากกลุ่มนักข่าวที่ยิ่งโถมเข้าไปเอาคำตอบจากเจรมัย
“คุณเจ มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้มั้ยคะ” นักข่าว2 ซัก
“คือ ผมกับแคท เป็นเพื่อนกันจริงๆ ส่วนเรื่องโหวต ผมมีศักดิ์ศรีพอครับ ผมไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอนครับ”
เจรมัยพยายามเก็บอารมณ์โกรธไว้ ภาคดูแล้วเห็นว่าหากปล่อยไว้สถานกาณ์จะยิ่งแย่ เลยรีบแทรกตัวเข้ามากันนักข่าวแล้วให้เจรมัยหลบออกไป
“เดี๋ยวๆๆๆ น้องๆ ครับ หมดเวลาแล้วนะครับ ตอนนี้พี่ขอพาตัวเจไปถ่ายรูปกับผู้ใหญ่ทางด้านโน่นก่อนนะครับ ไว้ค่อยสัมภาษณ์ใหม่งานหน้านะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
ภาคพาเจรมัยออกจากกลุ่มนักข่าวได้สำเร็จ
ทางด้านมัลลิกาเดินเลี่ยงมาอย่างมีฟอร์ม จนมาถึงจุดลับตาคนก็โล่งอก ที่เกือบเอาตัวไม่รอด มัลลิกา บ่นบ้าสาละวนกับมือถือตัวเอง เพื่อเช็คดูไฟล์ที่อัดวิดีโอไว้
สีหน้าเจรมัยในคลิปวิดีโอ มัลลิกาทำฟอร์เวิร์ด รีเวิร์ด หาจังหวะตอนหน้าเจรมัยฮาๆ แล้วกดส่งไฟล์ออกไปให้เจนจิรา พี่บอกอของเธอ
“โทษทีนะคุณเจรมัย โดนถามซะทำหน้าไม่ถูกเลย ส่งไฟล์ จบงาน”
มัลลิกากดโทรศัพท์หาเจนจิรา
“พี่เจน งานของมะลิเสร็จแล้วนะคะ ส่งไฟล์ให้แล้วด้วยค่ะ”
ทันใดนั้น สายตามัลลิกาก็สังเกตเห็นผู้หญิงวัยกลางคนในชุดดำ ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ในมุมมืด มองดูเจรมัย กำลังคุยกับภาคอยู่ มัลลิกาเกิดความสงสัย เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงดูสนใจเจรมัยแปลกๆ
“พี่เจน แค่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวว่ากัน”
มัลลิกาวางสายไปพอเงยหน้าขึ้นอีกที ก็ไม่เห็นผู้หญิงชุดดำคนนั้นแล้ว มองหารอบๆ จึงเห็นว่าหญิงคนนั้นน่าจะหลบไปที่มุมทางเดิน
เจรมัยคุยกับภาคอย่างมีอารมณ์ “พี่ไม่เห็น ผมไม่รู้ว่านักข่าวคนนั้นมาจากไหน เค้าพูดจาดูถูกผมเกินไป”
“เอาน่า เดี๋ยวพี่จะไปสืบให้ว่านักข่าวคนนั้นมาจากสื่อไหนกัน ถึงได้กล้าถามคำถามอะไรแบบนั้น แต่ว่าตอนนี้แกกลับบ้านไปพักก่อนเถอะ ทางนี้พี่จัดการเอง”
มัลลิกาเห็นจากระยะไกล ว่าเจรมัยเดินแยกตัวจากภาคเข้าไปในอาคารจอดรถจึงตัดสินใจแอบตามไป
ไฟอาคารจอดรถดวงหนึ่งกระพริบดับๆ ติดๆ เมื่อดูดีๆ จะเห็นว่ามันเป็นลานจอดรถค่อนข้างกว้าง มีแสงสว่างจากนีออนเป็นจุด และทั้งชั้นก็เต็มไปด้วยเสาขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นตัวสร้างมุมมืดเงาหนาให้ลานจอดรถมีมุมมืดเต็มไปหมด จนไม่น่าไว้วางใจ
เจรมัยเดินเข้ามาในลานจอด ตอนนี้ทั้งลานมีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่ทำให้ลานนี้ไม่เงียบสงัดเกินไป
มีสายตาคู่หนึ่งของใครบางคน มองดูเจรมัยจากมุมมืด ตลอดเวลาที่เขาก้าวเดินเข้ามาในนี้
เกิดเสียงเหมือนมีขอหล่น ทำให้เจรมัยต้องหยุดเดิน แล้วหันไปมองหาต้นเสียง เมื่อไม่พบเขาจึงออกเดินต่อ อีกไม่กี่ล็อคก็ถึงรถแล้ว
หากสังเกตดีๆ เจรมัยจะเห็นว่าผู้หญิงในชุดดำซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของเสาต้นหนึ่ง รอให้เขเดินผ่านไปจังหวะที่เจรมัยเปิดประตูเข้าไปในรถ โดยไม่ทันตั้งตัวเขาก็ถูกจู่โจมโดยผู้หญิงชุดดำถูกฉุดแขนเอาไว้ พร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือ ราวกับเป็นคนรู้จักกันมาเป็นอย่างดี
“เจรมัย...เจรมัย นี่น้าจินดา น้าของเธอนะ ช่วยน้ากับป้าด้วย เจรมัย”
เจรมัยตกใจรีบปัดป้อง ขยับตัวหลบจนไปพิงกับรถตัวเอง
“อะไรคุณ ผมไม่มีน้าเน้อ ที่ไหน คุณจะเอาอะไรกันกันแน่”
“ช่วยบ้านเราด้วย คุณตาเสียแล้ว ช่วยกลับไปช่วยพวกเราด้วย”
หญิงชุดดำ ยิ่งพูดก็ยิ่งร้องไห้ ดูเธอสับสนเรียงคำพูดไม่ถูก และยิ่งดูไม่น่าไว้วางใจสำหรับเจรมัย เขาระวังตัวแจ และพยายามดูท่าทีของหญิงคนนั้น หญิงชุดดำปริศนา มองดูเจรมัยด้วยความอึดอัดอยากจะพูดให้เจรมัยเชื่อแต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง
“น้าจำคนผิดแล้ว ผมไม่มีญาติที่ไหน”
“มี เจรมัยมี น้ามีเครื่องพิสูจน์”
พร้อมกับว่าหญิงชุดดำ ก็ก้มหน้าไปค้นหาของในกระเป๋าถืออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเมื่อหยิบขึ้นมาได้ ก็พบว่าเจรมัยหนีขึ้นรถและขับออกไปแล้ว หญิงชุดดำเห็นแบบนั้นก็เสียใจ หมดแรงทรุดตัวลงร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ห่างออกมาพอประมาณ มัลลิกาแอบถ่ายภาพเหตุการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้น ชั่งใจตัวเองอีกครู่หนึ่ง ว่าจะเอาอย่างไรดีกับหญิงปริศนาผู้น่าสงสารคนนี้
หญิงกลางคนในชุดดำก้มหน้าร้องไห้อย่างหมดหวัง จนมีเสียงเรียกดังขึ้น
“คุณน้า คุณน้า เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
หญิงชุดดำหันไปมองคนเรียก เห็นเป็นมัลลิกากำลังยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ พร้อมกับแนะนำตัว
“หนูชื่อ มะลิ นะน้า มีไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ แล้วน้า จะเอาอะไรกับเจรมัยหรือคะ”
“น้าชื่อจินดา เป็นน้าแท้ๆ ของเจรมัย” หญิงชุดดำบอก
มัลลิกาไม่เชื่อ “อะ อะไรนะคะ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเจรมัยไม่มีญาติอีกแล้วนี่คะ มีแต่แม่เค้าคนเดียว”
หญิงชุดดำที่ชื่อ จินดา หยิบของที่พยายามจะให้เจรมัยดู ส่งให้มัลลิกาดู
มันเป็นภาพถ่ายเก่า ของผู้หญิงวัยยี่สิบต้น 4 คนยืนด้วยกัน หนึ่งในสี่อุ้มทารกเอาไว้ อีกคนยืนกับเด็กหญิงตัวน้อย มัลลิกายังไม่แน่ใจ จินดาชี้นิ้วให้เธอดูตามภาพพร้อมคำอธิบาย
“เรามีสี่คนพี่น้อง น้าเป็นคนเล็กสุด ส่วนเด็กที่อยู่ในรูปก็คือเจรมัย ส่วนคนนี้คือ พี่จิรากับลูกสาวชื่อเจนจิรา”
มัลลิกาคิดตามแล้วรับรู้ได้ว่า จินดา น่าจะพูดความจริง
มัลลิกามองดูรูปผู้หญิงอีกคนที่ชื่อจิรากับลูกสาวที่ชื่อเจนจิราอย่างสนใจ ว่าจะใช่เจนจิราคนเดียวกับที่เป็นเจ้าของนิตยสาร Jane Mag และเป็นหัวหน้าของเธอหรือเปล่า
“อย่าบอกนะว่า เจนจิราคนนี้ จะเป็นพี่เจนของเรา เรื่องมันยังไงกันแน่เนี่ย”
มัลลิกามองดูมือถือตัวเองอยู่ครู่เดียว ก่อนจะตัดสินใจโทร.หาเจนจิรา
“ฮัลโหล พี่เจน…คือจะขอถามอะไรหน่อยซิ คือ พี่เจนมีแม่ชื่อจิราใช่มั้ย”
“อืมใช่” เสียงเจนจิราดังลอดออกมา
“แล้วมีน้าชื่อจินดาหรือเปล่า”
“อืม ใช่ มะลิ เธอเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน”
“แล้วงี้ พี่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจรมัย ใช่มั้ย”
“คือ ใช่ มะลิเธอรู้ได้ไง ใครบอกเธอ”
“ก็น้าที่ชื่อจินดาอยู่กับมะลิน่ะสิ”
บ้านของเจรมัยเป็นบ้านหลังเล็กๆ ไม่หรูหราแต่ดูอบอุ่นด้วยเครื่องเรือน ที่หน้าบ้านมีรถของเขาจอดอยู่ เจรมัยเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่ม คุยกับคุณจรรยาผู้เป็นมารดา และกำลังทำครัวให้เขาทานอยู่
“เรื่องรางวัลก็โอเคเลยครับแม่ แต่ว่า...หลังได้รางวัลแล้วก็มีแต่เรื่องแปลกๆ”
จรรยาหันมามองอย่างสนใจ คิดว่าลูกชายคงเจอเรื่องอะไรมาที่ไม่น่าซีเรียสนัก
“เรื่องอะไรเหรอลูก”
“ผมเจอนักข่าวถามอะไรก็ไม่รู้ ถามแต่เรื่องแคทลียา ไม่เห็นเกี่ยวกับงานเลย”
“ลูกของแม่จะดังแล้วมั้ง เลยเจอถามแต่เรื่องนี้” จรรยาหัวเราะ “ทำใจเถอะลูก ศิลปินส่วนใหญ่แม่เห็นเขาก็โดนแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ”
เจรมัยยังคิดเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงที่อ้างว่าเป็นน้าอยู่ ลังเลว่าจะถามแม่ดีไหม แต่ก็บ่ายเบี่ยงเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวแทน
จรรยาสังเกตเห็น หยิบจับ จาน ชาม เตรียมนำออกไปที่โต๊ะอาหาร
เจรมัยนั่งดื่มน้ำเพื่อตั้งหลักจะตั้งคำถามกับแม่ที่ยังอยู่ในครัว
“แม่ครับ แล้วเรื่องที่เราไม่มีญาติ นี่มันจริงใช่มั้ยครับ”
เมื่อได้ยินคำถาม ทำให้จรรยาต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างที่ทำ ตอบเจรมัยด้วยเสียงเรียบๆ
“ทำไมเจถามแบบนั้นล่ะลูก หลังจากคุณพ่อของเจเสียไปแล้ว เราก็มีกันแค่สองคนมาตลอด ไม่มีญาติที่ไหน เจก็เห็นอยู่”
เจรมัยชะโงกมองเข้าไปในครัว เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่เงียบไปเฉยๆ เขาเริ่มถามต่อ
“คือคืนนี้ที่ว่ามีเรื่องแปลกก็คือ...มีน้าผู้หญิงคนนึงมาฉุดผม แล้วอ้างว่าเป็นน้าแท้ๆ ของผม เค้าบอกว่าเค้าชื่อจินดาน่ะครับ”
พอได้ยินชื่อ จินดา จรรยาก็ถึงกับตัวชาไป
“ไม่มีใช่มั้ยแม่ ผมว่าน้าเค้าก็เอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเลย บอกว่าคุณตาเสียแล้ว ต้องให้ผมกลับบ้าน”
เสียงแก้วแตกเพล้งดังออกมาจากห้องครัว เจรมัยรีบหันกลับไปมอง เห็นแม่ยืนน้ำตาคลออยู่ในนั้น ร่างโงนเงนหมดแรงที่จะประคองตัวเอาไว้ได้ เจรมัยพุ่งตัวเข้าไปประคองไว้ทัน จรรยาจะลุกไม่ไหว เจรมัยโอบกอดให้แม่อุ่นใจอยู่ตรงนั้น แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“แม่ แม่เป็นอะไรครับ แม่”
จรรยาร้องไห้สะอึกสะอื้น เงยหน้ามองหน้าลูกชายด้วยน้ำตาอาบสองแก้ม เหมือนมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูด แต่ไม่รู้จะเรียงลำดับมันออกมาอย่างไรดี เจรมัยมองแม่ด้วยความเป็นห่วง และรับรู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาลที่แม่แบกรับไว้
“แม่มีอะไรจะบอกเจ ใช่มั้ยครับ”
จรรยาร่ำไห้สับสนไปหมด รู้สึกห่วงใยลูกชายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก จรรยาสบตาลูกชายนิ่งนานเพื่อทบทวนว่าควรจะพูดออกไปอย่างไรดี
“แม่พาลูกหนีเขาไม่พ้นจริงๆ”
“หนี...หนี ผมต้องหนีใครหรือแม่”
อีกฟากหนึ่ง ที่ออฟฟิศ Jane Mag
ภาพถ่ายที่จินดาพกมา ในรูปเป็นสี่พี่น้อง มีเจนริรากับเจรมัยอยู่ในนั้นด้วย และภาพถ่ายที่บ้านคุณตาเทียบ บิดาของทั้งสี่สาว เจนจิราไล่นิ้วชี้ไปตามลำดับการอธิบายให้มัลลิกาฟังอีกรอบ
“คนนี้พี่คนโต ชื่อป้าจิตรา คนนี้คนรองชื่อป้าจรรยาแม่เจรมัย และเด็กที่อุ้มเนี่ยก็เจรมัย ถัดมาเป็นฉันกับแม่จิรา ส่วนนี้น้าจินดา เข้าใจตรงกันนะมะลิ”
มัลลิกานั่งดูรูปแล้วคิดอะไรในหัวไป ส่วนเจนจิราหันไปให้ความสนใจกับจินดาที่คุยโทรศัพท์อยู่ตรงมุมห้อง
“ค่ะพี่จิรา งั้นเราพบกันที่บ้านนะคะ ขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวาย ค่ะ...เดี๋ยวหลานเจนจะพาไปคืนนี้เลย ค่ะ ฝากพี่เป็นธุระ เรื่องโทร.หาพี่จรรยาด้วยนะคะ...ค่ะ”
เจนจิรามองจินดาเห็นมีแต่ความโศกเศร้าก็อดห่วงไม่ได้ เดินเข้าไปหา สัมผัสแขนน้าเชิงเป็นกำลังใจ
“ไม่ต้องกังวลมากไปนะคะน้าจินดา อะไรๆ มันอาจจะไม่แย่อย่างที่เราๆ กลัวก็ได้”
“น้าก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น”
เสียงมัลลิกาพูดแทรกเข้ามาเชิงตั้งคำถามว่า “ทุกคนไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอค่ะ ที่เจรมัยทอดทิ้งทุกคนในครอบครัว แล้วก็มาหลอกแฟนคลับว่า ตัวเองไม่มีญาติไม่มีพี่น้อง”
จินดากับเจนจิราหันมามองมัลลิกาเกือบจะพร้อมๆ กัน
“เจรมัยเค้าไม่ได้โกหกใคร แต่แค่เขาไม่รู้ความจริงว่าญาติๆ ยังมีอยู่ ต่างหาก” เจนจิราว่า
มัลลิกาสับสนเมื่อหันไปหาจินดาเชิงถาม ผู้เป็นน้าสาวก็พยักหน้ายืนยันคำพูดดังกล่าวของเจนริจา
“ทำไมเป็นอย่างนั้นละคะ ทำไมให้เค้ารู้ไม่ได้”
จรรยาอยู่ในความเศร้าโศก คุยโทรศัพท์อยู่ที่ข้างประตูรถกับน้องสาวของเธอ
“จ้ะจิรา...พี่เสียใจที่ไม่ได้กลับไปดูใจพ่อเลย...เจรมัยรู้เรื่องแล้วว่าจริงๆ เค้ายังมีญาติๆ อยู่...ได้ๆ พบกันที่บ้านคุณพ่อนะ”
จรรยาวางสายจากจิราไปแล้ว แต่ยังยืนนิ่งอยู่ที่ประตูรถ ความกลัวแล่นเป็นริ้วๆ เข้าสู่หัวใจ หวาดหวั่นว่าการเดินทางกลับบ้านพร้อมลูกชายครั้งนี้ คงเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของลูกอย่างแน่นอน
เจรมัยมองดูแม่จากอีกมุมหนึ่งอย่างเป็นห่วง เขาเดินเข้าไปโอบหลังแม่อย่างแผ่วเบา
“ขึ้นรถเถอะแม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นหรอกครับ คิดแต่เรื่องกลับไปหาคุณตาอย่างเดียวก็พอ”
จรรยามองหน้าเจรมัยอย่างซาบซึ้งใจที่ลูกชายคอยเป็นห่วง
“เจ แม่ขอโทษ...ที่โกหกลูกมาตลอด”
ซุปตาร์ป๊อปปูลาร์โหวตหมาดๆ โอบกอดมารดาไว้ทันทีที่เธอพูดขอโทษออกมา
“ไม่เป็นไรครับแม่ ไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าแม่ต้องมีเหตุผลที่ทำไปแน่ๆ”
จรรยามองตาเจรมัยด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกชาย ผู้ไม่เคยทำให้เธอเสียความรู้สึกเลย ตั้งแต่เล็กจนโต
รถเจรมัยแล่นไปตามถนนในเมืองด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด รถมุ่งหน้าออกนอกกรุงเทพฯ ไปสู่บ้านตาเทียบที่ชานเมือง จรรยานั่งข้างลูกชาย บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ฟังไปตลอดทาง
“การที่แม่พาเจกลับบ้านวันนี้ มันคล้ายๆ กับวันแรกที่แม่พาเจเข้าบ้านคุณตาเทียบครั้งแรก วันนั้นแม่ยังจำได้ไม่เคยลืม”
จรรยาเล่าว่า ในปี พ.ศ. 2534 จรรยาอุ้มทารกเจรมัยไว้กับอก รอบๆ ตัว มี จิตรา จิรากับเจนจิราวัย 12 ปี และ จินดา ออกมาต้อนรับ พ่อของเจรมัย เป็นคนต้อน 4 สาวพี่น้อง ให้ยืนหน้ากระดานเพื่อถ่ายรูป
“ตอนนั้นพี่น้องแม่ตื่นเต้นกันมากเลย เพราะเจรมัยเป็นลูกชายคนแรกของบ้าน ทุกๆ อย่างดูดีไปหมด แต่แม่ก็สังเกตเห็นท่าทีของตาเทียบที่ดูเหมือนมีบางอย่างในใจ”
จรรยามองเห็นตาเทียบอยู่ใกล้ๆ จุดที่ถ่ายรูปกัน ก็รีบปรี่ไปหา เพื่ออวดหลานชาย
“พ่อนี่หลานชายคนแรกของบ้านนะ พ่ออวยพรหลานหน่อยซิคะ”
ตาเทียบลูบแก้มของทารกเจรมัย
“ทุกข์ โศก เจ้ากรรม ผู้จองเวร โปรดละเว้นหนูน้อย เจรมัยด้วยเถอะ”
จรรยาและสามพี่น้อง คลางแคลงใจกับคำอวยพรของพ่อ
ฉับพลันทันใดนั้นเอง ได้เกิดกระแสลมโหมผ่านเข้าบ้าน และตาเทียบก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่า
“จรรยา พ่อว่าถ้าเป็นไปได้พาหลานชายไปให้พ้นบ้านนี้ อาจจะดีกับเด็กก็ได้”
ตาเทียบพูดเหมือนเป็นการทำลายน้ำใจของลูกสาว แล้วก็หันหลังเดินขึ้นเรือนไปเลย จรรยา และ พี่น้องยืนตัวชาที่ได้ยินแบบนั้น จิตราพี่สาวคนโตรีบวิ่งตามพ่อไปเพื่อหาคำตอบ
“พ่อทำไมพูดแบบนั้น”
ตาเทียบนิ่งคิด แล้วก็หันมาพูดกับจิตรา
“ตระกูลเรามีอาถรรพ์ จิตราก็รู้ ปล่อยให้ลูกจรรยาที่เป็นผู้ชายอยู่ที่นี่...พ่อกลัวว่า...”
จิตราพยักหน้ารับทันที
“เพราะหนังตะลุงตัวนั้นใช่มั้ยคะ”
แววตาของตาเตียบที่มองมายังจิตรา มันเต็มไปด้วยความกังวล
ระหว่างนี้ ผ้าม่านหน้าต่างห้องชั้นบนปลิวเบาๆ ที่ผนังห้องนั้นมีตัวหนังตะลุงรูปแม่หญิงยึดไว้ตรงนั้น
จรรยาเล่าต่ออีกว่า “วันนั้นแม่กับพ่อก็ยังไม่เข้าใจว่าคุณพ่อหมายถึงอะไร แต่แล้วเรื่องแปลกๆ ก็เกิดขึ้น”
ใกล้ค่ำ จรรยา วางทารกเจรมัย วัย 6 เดือน ลงบนเบาะปูอยู่กับพื้นห้องโถง ทาแป้งแต่งเนื้อแต่งตัวไป ทารกน้อยเอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ
จรรยาเริ่มสังเกตเห็นว่ามีเงาใครบางคนทอดยาวอยู่ข้างเบาะเจรมัย ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าของเงาก็จะต้องยืนอยู่ด้านหลังเธอ แต่พอเธอหันกลับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า จรรยารู้สึกฉงน แต่คิดเอาว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป
จากนั้นจึงหันกลับมาใส่เสื้อผ้าให้ลูกชายต่อ แต่ไม่นาน เงานั้นก็ปรากฏขึ้นอีกที จรรยาเริ่มมั่นใจแล้วว่าทั้งหมดไม่ได้เกิดจากตาฝาด
ทารกเจรมัยหัวเราะยิ้มหัวกับใครบางคนที่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นมารดา
จรรยายังไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลัง จนเริ่มสังเกตได้ว่าเงานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นๆ
ในเวลาจวนตัวนั้นจรรยาหันไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว และไม่พบอะไรอีกเช่นเคย เธอกวาดตามองไปทั่วห้องโถง ก็ไม่พบอะไร จรรยาพยายามปลอบตัวเองว่า ไม่มีจริงหรอกเรื่องผีสาง ก่อนจะหันกลับมาหาลูกน้อย
ซึ่งปรากฏว่าพบแต่เบาะปูนอนว่างเปล่า ทารกเจรมัยหายไปชั่วพริบตา จรรยาใจหายวาบ ลุกตามหาลูกชายไปทั่วโถง พ่อของเจรมัยรีบเข้ามาช่วยหา จิรากับจินดา ก็เข้ามาช่วยหาอีกแรง รวมทั้งเด็กหญิงเจนจิราอีกคน
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน และไม่นานนักทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของจิตรา จึงพากันยกโขยงวิ่งไปดูตรงนั้น
ทุกคนวิ่งมาที่ห้องตาเทียบ และพบว่าที่หน้าห้อง จิตรายืนขวัญเสียอยู่ที่หน้าประตู มองจ้องบางสิ่งที่อยู่ในห้อง ทุกคนที่มาถึงมองตามเข้าไป และได้เห็นว่า ทารกน้อยเจรมัยนั่งอยู่ยิ้มเล่นอยู่หน้าหนังตะลุงรูปแม่หญิง สี่สาวอึ้ง ตะลึงตะไลไปกับภาพที่เห็น จนเมื่อผู้เป็นพ่อของเจรมัยตามมาถึง ก็พุ่งเข้าไปอุ้มลูกน้อยออกมา
“และวันนั้นเองที่พ่อของลูกตัดสินใจว่า ต้องพาลูกออกจากบ้านหลังนี้ทันที ซึ่งทุกคนในครอบครัวก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น”
ในรถที่แล่นมาตามทาง จรรยาอุ้มทารกเจรมัยไว้ในอ้อมอก จนสังเกตเห็นว่าสามีมักจะมองกระจกหลังบ่อยๆ
“มองอะไรเหรอพ่อ”
“ตอนที่ขับรถออกมาจากบ้าน...พ่อเห็นผู้หญิงใส่ชุดทางใต้ยืนอยู่ด้านหลังรถ”
จรรยาอึ้งไป ก่อนจะเหลียวมองไปทางข้างหลังด้วยความหวาดกลัว
“พ่อไม่เห็นหน้าตาผู้หญิงคนนั้น แต่รู้สึกได้ว่าเธอเอาแต่จ้องมาที่ลูก...”
ผู้เป็นพ่อพูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นรถบรรทุกพุ่งเข้ามาใส่รถ เกิดเสียงเบรคล้อลากยาวเท่าที่เคยได้ยินมา
จรรยาตกใจที่เห็นรถพุ่งเข้ามาใส่อย่างเร็ว มือกระชับกอดทารกเจรมัยอย่างปกป้องเต็มที่ ดวงตาของจรรยามองเห็นอุบัติเหตุตรงหน้าพร้อมกับแสงจ้าของไฟหน้ารถที่พุ่งเข้ามาเกิดเสียงชนกันดังสนั่นหวั่นไหว
รถเจรมัยแล่นมาบนถนนที่มืดสลัว วังเวง จรรยาหยุดเล่าด้วยสะเทือนใจเมื่อคิดถึงวันที่ต้องสูญเสียสามี และพ่อของลูกไป เจรมัยรับรู้ถึงความรู้สึกของจรรยาจับมือแม่มากุมไว้
จรรยาเช็ดน้ำตาแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวต่อ
“เหตุการณ์วันนั้นมันยิ่งย้ำว่า อาถรรพ์ที่มีตั้งแต่สมัยคุณทวด น่าจะเป็นจริง แม่บอกกับตัวเองว่า จะต้องให้ลูกรู้น้อยที่สุดเกี่ยวเรื่องนี้ เพราะมันจะทำให้ลูกปลอดภัยที่สุด”
“ครับแม่ ผมไม่ถือโทษโกรธอะไรเลยครับแม่ แม่ไม่ต้องกังวล”
“เรื่องที่น้าจินดามาพบลูกเองโดยไม่บอกแม่ ก็เพราะ คงกลัวว่าแม่จะไม่อนุญาต ให้ลูกกลับมาบ้านเดิม” จรรยาเริ่มร้องไห้ออกมาอีก “แต่วันนี้คุณตาเสียแล้ว มันคงมีบางอย่าง เกิดขึ้นที่เกินกำลังที่พี่น้องแม่จะรับมือได้”
เจรมัยฟังแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องที่แม่ว่าคืออะไร
รถเจรมัยแล่นทะยานไปตามถนนด้วยความเร็วและแรงในอัตราความเร็วที่กฎหมายกำหนด
ที่ออฟฟิศ เจน แมก. จินดารีบเดินไปยังที่จอดรถกับเจนจิราและมีมัลลิกาเดินตามหลังมา จู่ๆ เจนจิราก็หยุดกึก เมื่อได้ยินบางอย่างที่น้าสาวพูดออกมา ฟังแล้วไม่อยากเชื่อหู
“อะ อะไรนะน้าจิน พูดอีกทีซิหนูงง”
“มีบางอย่าง ไม่ยอมให้เอาร่างคุณตาออกจากห้อง”
“คือ น้าจิน จะหมายถึง ผีในหนังตะลุงตัวนั้น”
“ตอนเจนเด็กๆ เจนก็เคยเห็นมาแล้วไม่ใช่เหรอ” จินดาว่า
ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเชื่อหรือปฏิเสธดี ระหว่างที่อึกอักอยู่ก็หันไปเห็นมัลลิกายืนฟังอยู่ห่างๆ
“มะลิกลับก่อนได้นะ คืนนี้เหนื่อยมามากแล้วนี่”
“คือ ขอมะลิไปด้วยดีกว่าค่ะ มะลิรู้สึกว่าเรื่องคืนนี้ มะลิมีส่วนเกี่ยวไงไม่รู้ ตั้งแต่ไปกวนประสาทนายเจรมัยตอนสัมภาษณ์ ใครสั่งให้ทำล่ะคะ”
เจนจิรารู้เลยว่ามัลลิกาหมายถึงตัวเอง และแอบรู้สึกผิด
“อ่ะ ก็ได้ๆ ถ้างั้นมะลิก็ขับรถให้พี่หน่อยละกันนะ”
กลางดึกคืนนั้น รถเจรมัยเคลื่อนเข้ามาจอดบริเวณลานจอดหน้าของตาเทียบ มีรถจอดอยู่เกือบเต็ม
บ้านตาเทียบ เป็นบ้านโบราณขนาดใหญ่ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ต้นขนาดใหญ่จำนวนมาก การเข้ามาที่นี่เหมือนกับหลุดเข้ามาอีกโลก โลกที่เป็นอดีต พอคนบนเรือนเห็นรถเจรมัยเข้ามาจอดก็พากันออกมายืนมอง แต่ด้วยความที่เป็นเวลากลางคืน และทุกคนสวมชุดดำยืนมองจากมุมต่างๆ ของบ้าน บางคนก็เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ มันจึงเป็นภาพที่สร้างความขนลุกได้ไม่น้อย สำหรับคนขวัญอ่อน แต่สำหรับเจรมัยไม่เป็นแบบนั้น เขาเห็นอีกอย่าง
“แม่ครับ บ้านคุณตาเทียบไม่มีผู้ชายเลยเหรอครับ”
“ถ้าไม่นับลูกจ้างในบ้าน ก็ไม่มีแล้วละลูก”
“ทำไมหละแม่”
“ผู้ชายตระกูลเรา เหมือนถูกสาปให้...อายุสั้น”
ระหว่างนี้ แจ่ม คนรับใช้เก่าแก่ของบ้านเดินเข้ามารับด้วยความดีใจและกระตือรือร้น
“คุณจรรยามาแล้ว คุณหนูเจรมัยก็ยอมมาด้วย ไปๆ เราขึ้นเรือนไปหาคุณจิตรากันนะคะ”
“แล้วจินดา กับจิราล่ะมาถึงหรือยัง”
“เห็นโทร.มาว่ากำลังจะถึงแล้ว ไปๆ ขึ้นเรือนก่อนนะคะ คุณเจรมัยโตเป็นหนุ่มผิดหูผิดตาเลยนะคะ”
เจรมัยพยักหน้ารับ ถึงแม้ว่ายังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตาม
แจ่มเดินนำหน้าไป ทำให้เจรมัยได้มีโอกาสคุยกับแม่ขณะเดินตามไป
“คนนั้น เค้ารู้จักแม่”
“ใช่ ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีมานี้ แม่แวะเวียนมาที่นี่เสมอ โดย...ที่เจไม่รู้”
“แม่...ทำไม”
“ทางนี้นะค่ะ คุณ”
เสียงเรียกให้เดินตามของแจ่ม ทำให้แม่ที่ไม่รู้จะหาคำตอบใดมาตอบคำถามลูกชาย ได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา
เมื่อขึ้นบันไดก้าวเข้าไปในเรือน เจรมัยก็พบว่าบ้านหลังนี้อบอวลไปด้วยความหมองหม่น ชวนให้รู้สึกหดหู่ เบื้องแรกเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะวันนี้มีคนเสียชีวิต แต่ก็ไม่น่าใช่เสียทั้งหมด เพราะเจรมัยเคยไปงานศพมาบ้างก็ไม่เคยเห็นที่ไหนเป็นแบบนี้ หรือเป็นเพราะทุกคนรู้ว่า มันมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ทำให้เป็นแบบนี้
เจรมัยมองไปรอบๆ เห็นญาติพี่น้องแม่ นับได้ไม่เกิน 10 คน ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้หญิง มองผ่านไปที่ท้ายโถงมี คุณป้าอายุมากท่านหนึ่งกำลังเดินตรงมาหาเขาและแม่
หญิงวัยป้าท่านนี้มีความอาวุโสที่สุดในบ้าน สังเกตได้ว่าสมาชิกคนอื่นๆ ให้ความเคารพนบนอบต่อป้าท่านนี้เป็นอย่างมาก ป้ามีสีหน้าเศร้าปนกังวลตลอดเวลา คอยมองกลับไปกลับมาระหว่างจรรยาและเจรมัย คล้ายกับว่าอยากจะพูดกับเจรมัยแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
“สวัสดีพี่จิตรา” จรรยาไหว้พี่สาว
“จรรยามาแล้ว...พี่ขอโทษที่ต้องวุ่นวายจรรยากับเจรมัย พี่ขอโทษจริงๆ”
“ไม่ต้องพูดขนาดนั้นหรอกพี่” จรรยาหันมาทางลูกชาย “เจรมัย นี่ป้าจิตรา พี่สาวของแม่”
เจรมัยไหว้ทักทายผู้เป็นป้า จิตรารับไหว้แล้วมองหน้าหลานชายด้วยสีหน้าท่าทีแปลกๆ น้ำตาคลอตลอดเวลาที่มองมาราวกับรู้สึกผิดเหลือแสน
“โตขึ้นมากเลยนะเจรมัย คงจะจำบ้านนี้ไม่ได้แล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“พี่จิต นอกจากเรื่องพ่อแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คำถามของจรรยา ทำให้จิตรายิ่งวิตกหนักขึ้น ก่อนที่จะเล่าให้ฟัง เจรมัยสงสัยอยากฟังเช่นกัน
ป้าจิตราเล่าว่า ตนและจินดา เฝ้าไข้พ่อเทียบที่นอนโคม่าอยู่บนเตียง ท่ามกลางญาติพี่น้องคนอื่นๆ
“พ่อนอนนิ่งโคม่ามานานหลายสัปดาห์ หมอแนะนำให้ดูแลใกล้ชิด พ่อไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไร แต่แกอายุเยอะแล้ว ร่างกายก็ใกล้จะหยุดทำงาน หลายวันพ่อไม่สามารถสื่อสารอะไรได้ และก็หลับไปส่วนใหญ่ จนเมื่อเช้า จู่ๆ พ่อเทียบก็ลืมตาขึ้น แล้วเหลือกมองไปที่เพดานหัวเตียง”
จิตราเล่าจนเห็นเป็นภาพ ตาเทียบเริ่มขยับปาก พูดออกไปอย่างกระท่อนกระแท่น ด้วยความเกร็งและทรมาน
“ไม่...ไม่ ปล่อยหลานผมไป ผมขอร้อง ปล่อย หลานชาย ผมไป”
พอได้ยินว่าหลานชาย ทุกคนก็รู้สึกได้ว่านั่นคือ เจรมัย แล้วพ่อเทียบก็สิ้นใจตายหลังจากสิ้นคำนั้น
“ทีแรกก็คิดว่าเป็นแค่อาการหลงของคนแก่ ที่พูดเพ้อไม่เรื่อย แต่เมื่อตอนที่จะย้ายร่างคุณพ่อใส่โลง...กลับยกร่างออกจากห้องไม่ได้ ทำยังไงก็ไม่ได้ มันเหมือนมีใครยื้อร่างพ่อไว้ในนั้น...ที่สำคัญตาของพ่อ ...พ่อตาเหลือกขึ้น เหมือนกับว่าแกกำลังมองตัวหนังตะลุงที่ติดอยู่ตรงหัวเตียง” จิตราว่า
จิตราและ คนอื่นๆ เห็นร่างตาเทียบดวงตาเหลือกโพลงอยู่จริงๆ และกำลังมองตัวหนังอยู่ จินดาเป็นคนสังเกตเห็นคนแรก แล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาจนทำให้จิตรามองตาม
“พ่อพูดกับตัวหนังตะลุง” จินดาร้องไห้ “หลานชายที่พ่อพูดก็มีแต่ เจรมัย คนเดียวเท่านั้น
จินดามองจิตราแล้วก็วิ่งออกไปนอกห้อง คนอื่นๆ ในห้องเริ่มเบียดตัวเข้าหากันด้วยความกลัว
เจรมัยฟังเรื่องเล่าของป้าจิตราอย่างตั้งใจ เขามองดูแม่ เผื่อจะใช้ท่าทีของแม่เป็นตัวยืนยันว่าเรื่องที่ฟังดูเกินจริงนี้ มันจริงหรือไม่จริง แค่ไหนในความคิดของแม่ แต่พบว่าแม่ไม่ได้มีทีท่าปฏิเสธเรื่องที่ได้ฟังแต่อย่างใด เสียงใครบางคนเรียกหาจรรยา ทำให้เจรมัยต้องหันไปมองตามเสียง
“พี่จรรยา พี่จิต พอรู้เรื่องก็รีบดิ่งมานี่เลย มีไรทำไมไม่บอกกันบ้างเลย” จิราทักถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“อ้าวจิรา มาแล้ว” จรรยาหันมาทางลูกชายซุปตาร์ “นี่น้าจิราน้องของแม่”
เจรมัยยกมือไหว้ทักทายนอบน้อม และสังเกตรอยยิ้มทักทายตอบของน้าจิรา ดูคล้ายกับว่ากำลังซ่อนงำความกังวลบางอย่างไว้ จิตรามองดูนาฬิกาแล้วหันมาพูดกับจรรยา
“เหลือแต่จินดาแล้วซินะ รออีกหน่อยมั้ย เดี๋ยวจะได้เข้าไปไหว้พ่อพร้อมๆ กัน”
“อืม ดีเหมือนกัน เข้าไหว้พร้อมๆ กัน เห็นเจนบอกว่าใกล้จะมาถึงแล้วนะคะ” จิราเห็นงามด้วย
จรรยาพยักหน้ารับเอาคำ แล้วมองเลยไปที่ประตูห้องนอนของพ่อ เห็นเพียงผ้าม่านหน้าต่างปลิวเอื่อยๆ ตามแรงลมเท่านั้น
รถของมัลลิกาแล่นเข้ามาจอดข้างๆ รถของเจรมัย ตรงบริเวณลานจอดรถหน้าเรือน
“แม่ไลน์มาบอกว่าถึงแล้วค่ะน้าจินดา” เจนจิราบอก
“จ้ะ…แล้วนี่รถแม่หนูหรือเปล่า”
“เปล่าๆ ค่ะ รถแม่คันโน้น”
“คันนี้รถเจรมัยค่ะ หนูจำได้” มัลลิกาว่า
“อ๋อเหรอ งั้นน้าขอขึ้นเรือนก่อนนะ ขอบใจมากๆ นะหนูมะลิ ที่มาส่ง”
จินดาขยับตัวลงจากรถไป มัลลิกามองตามไปแล้วคิดอะไรบางอย่าง
“ไม่ธรรมดา เก่งนะจำรถโจทก์ได้ แล้วนี่เข้าไปในบ้านกับพี่มั้ย” เจนจิราถาม
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเจอโจทก์ พาลจะยุ่งไปใหญ่”
“จริงสินะ อ้อ แล้วเรื่องสารคดีท่องเที่ยว เดี๋ยวว่ากันนะ พี่ไม่ผิดสัญญาแน่ ขอบใจมะลิมากนะ ขับรถกลับดีๆ ถึงบ้านแล้วโทร.มาบอกด้วยละ”
มัลลิกาโบกมือลาเจนจิราที่กำลังรีบเดินจ้ำให้ทันจินดาขึ้นเรือนไป ก่อนจะมองเลยไปที่มุมหนึ่งบนเรือน เห็นมีเงาผู้หญิงคนหนึ่งเดินมามองเธอแล้วไม่ขยับไปไหน มัลลิกาพยายามเพ่งตามองให้ชัด เพราะดูเหมือนว่าเงานั้นยืนโดยไม่มีเงาขา
ในช่วงจังหวะหนึ่งเงานั้นก็หายวับไป มัลลิกาตีว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง จึงค่อยๆ ขับรถออกนอกบริเวณบ้านไป
เจรมัยก้มกราบร่างตาเทียบตามที่แม่ของเขาบอก ใกล้ๆ กันนั้นมีป้าจิตรา แม่จรรยา น้าจิรา และ น้าจินดาที่เพิ่งเข้ามาพร้อมกับเจนจิรา ต่างรีบก้มลงกราบตามกัน เจนจิราโบกมือทักเจรมัยเบาๆ ถึงจะไม่รู้จัก แต่เจรมัยเชื่อว่าเธอต้องเป็นญาติเขาแน่นอน
จิตราบอกกล่าวกับบางสิ่ง บางคน ขึ้นว่า
“หลานชายกลับมาแล้ว ขอนำร่างคุณตาไปทำตามประเพณีเถอะนะคะ”
ลูกจ้างชายสามคนได้ยิน ก็พยักหน้าเป็นสัญญาณกันว่า ควรจะเริ่มยกร่างคุณตาอีก จิตราขยับตัวหลบให้ ลูกจ้างเข้าไปหาร่างคุณตาเทียบ ลูกจ้างสองคนเข้าช้อนมือเข้าใต้เอว อีกคนประคองหัวโดยใช้มือจับชายผ้าคลุมหมอนเตรียมยก แต่ไม่มีใครยกขึ้น ร่างตาเทียบหนักราวกับมีของหนักกดทับอยู่ มือลูกจ้างชื่อ นายชัท จับชายผ้าใต้หมอน พยายามดึงยกจนผ้าคลุมหมอนตึงเกือบขาดก็ยกไม่ขึ้น
ในมิติที่ไม่มีใครเห็น และเป็นสาเหตุที่ยกร่างตาเทียบไม่ขึ้น เนื่องเพราะ มีเงาดำทะมึนยืนเหยียบร่างตาเทียบเอาไว้นั่นเอง
เหตุการณ์ประหลาดประจักษ์ต่อสายตาทุกคนบนเรือน เจนจิรา และ เจรมัย เองก็เช่นกัน จรรยายิ่งร้องไห้เสียใจหนัก จิราเข้ามาโอบพี่สาวไว้
“นี่มันอะไรกัน”
จรรยาร้องไห้สะอึกสะอื้น กวาดสายตามองไปที่ตัวตะลุงรูปแม่หญิงที่ปิดอยู่บนผนังหัวเตียง เป็นตัวหนังตะลุง ที่เที่ยงทำให้สร้อยพี ร่องรอยชำรุด ตอนนี้ถูกซ่อมจนสมบูรณ์สวยงามแล้ว จรรยาบอกลูกชายขึ้นว่า
“เจรมัย ลองบอกกล่าวกับตัวตะลุงตัวนั้นทีว่า ขอร่างคุณตาไปทำพิธิตามประเพณีเถอะ”
แม้จะสงสัยว่าทำไมแม่ถึงดูงมงายขนาดนั้น แต่เขาก็ทำตามโดยง่าย เมื่อไล่สายตามองไปที่คนอื่นๆ ก็เหมือนกับว่า ทุกคนกำลังขอให้เขาทำในสิ่งเดียวกัน เจรมัยเปิดปากบอกกล่าวตามที่แม่บอก
“ผมเจรมัย หลานชายคนเดียวของตระกูล มาขอให้ท่านช่วยให้เรานำร่างคุณตาเทียบไปทำพิธีตามประเพณีด้วยเถิด”
ทุกอย่างดูปกติไม่มีแม้ลมพัดสักวูบ เจรมัยยังแคลงใจกับสิ่งที่ทำลงไป เขาลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือออกไปจับตะลุงแม่หญิงนั้นมาดูใกล้ๆ สงสัยว่าทำไมทุกคนถึงให้ความสำคัญกับตะลุงธรรมดาๆ ตัวนี้กันนัก
การกระทำของเจรมัย สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับทุกคนบนเรือน เพราะไม่เคยมีใครกล้าไปจับตะลุงตัวนั้นเลย
เจรมัยไม่รู้เลยว่าการจับตัวตะลุงนั้น เท่ากับเป็นการเปิดประตูให้วิญญาณของ สารภี หรือ สร้อยพี ได้กลับมาเจอ “พี่เที่ยง” ของเธอ ที่มาเกิดเป็น “เจรมัย” เป็นครั้งแรกเช่นกัน
จู่ๆ เกิดภาพนิมิตแทรกเข้ามาในความคิดเจรมัย เขาเห็นภาพนายเที่ยงกำลังแก้หนังรูปแม่หญิงคนนี้แล้วเอ่ยชมว่า
“สีตาตัวตะลุงสีเดียวกับตาเจ้าเลยสร้อยพี"
ในขณะที่เจรมัยกำลังสับสนกับภาพนิมิตนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งแว่วเข้ามาในโสตสำนึก
“พี่เที่ยง พี่เที่ยงกลับมาแล้ว” เขาไม่รู้ว่า นั่นเป็นเสียงผีสร้อยพี
เจรมัยรีบหันตามเสียงเรียกนั้นโดยเร็ว จนคนอื่นๆ พากันตกใจไปด้วย
“ได้ยินกันมั้ยครับ เสียงผู้หญิง”
ทุกคนตอบแบบเดียวกันคือ “ไม่ได้ยิน” เจรมัยหันไปถาม เจนจิรา ที่อยู่ใกล้ๆ
“พี่ พี่ได้ยินมั้ย”
“ได้ยินอะไร เสียงผู้หญิงเหรอ”
“ใช่ เสียงผู้หญิงเรียก คนชื่อเที่ยง บอกว่าเที่ยงกลับมาแล้ว” เจรมัยว่า
“ไม่ได้ยินนะ แต่เธอกำลังทำให้พวกแม่ของเรากลัวนะ” เจนจิราบอก
เจรมัยหันไปมองแม่กับพี่น้อง พบว่าทุกคนกำลังมีสีหน้าวิตก โดยเฉพาะน้าจินดาที่ตอนนี้กอดแขนของป้าจิตราไว้แน่น
“เรียกชื่อเที่ยงอย่างนั้นเหรอเจรมัย” จิตราถาม
“ใช่ครับ บอกว่าคนชื่อเที่ยงกลับมาแล้ว”
จินดาบอกว่า “ชื่อเที่ยง เป็นชื่อของคุณทวด ท่านเป็นคนแกะหนังตะลุงตัวที่หลานถืออยู่นั่นแหละ”
คราวนี้ทุกอย่างยิ่งนิ่งงัน ไม่มีใครกล้าจะพูดหรือทำอะไรให้เกิดเสียง เพราะต่างก็งุนงงกับเรื่องที่เผชิญอยู่ จิรา รีบแก้สถานการณ์ โดยเปลี่ยนเรื่อง เบนความสนใจ
“มา มา เราลองมายกร่างคุณตาอีกทีดีมั้ย อย่ามัวเสียเวลาเลยเนอะ”
พร้อมกับว่าจิราหันไปโบกมือให้ลูกจ้างช่วยกันยกร่างของตาเทียบอีกหน
ในมิติที่ไม่มีใครเห็น เงาดำที่เหยียบร่างตาเทียบอยู่นั้นได้จางหายไปอย่างช้าๆ ลูกจ้างชายทดลองยกร่างคุณตาอีกหน และ ครั้งนี้ยกได้สำเร็จ
ทั้งจิตรา จรรยา จิรา และ จินดา พากันร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน มันเป็นความเสียใจที่ไม่ได้เกิดจากความสูญเสียเท่านั้น หากแต่มันมีความกังวลใจต่ออนาคตเจรมัยอยู่ในนั้นด้วย ร่างตาเทียบถูกวางลงในโลงศพเรียบร้อย
ระหว่างเคลื่อนศพออกจากห้อง เจรมัยแอบสังเกตเห็นหญิงสาวหน้าตาคมเข้ม เดินจดสายตาจ้องมองมายังเขาด้วยแววตาโกรธแค้น จากอีกมุมหนึ่งของบ้าน ไม่นานร่างนั้นก็หายไป
เธอคือวิญญาณ สร้อยพี นั่นเอง
เจรมัยปรายตาไปเห็นแม่กำลังมองดูศพตาเทียบ ทำให้เค้าเลิกสนใจหญิงสาวคนนั้น เดินไปโอบบ่าแม่เชิงปลอบและให้แรงใจกัน จรรยากุมมือลูกชายไว้แน่น ในระหว่างที่กำลังเคลื่อนร่างคุณตาลงเรือนไป
“ทุกอย่างจะเรียบร้อยแล้วครับแม่”
เจรมัยมองดูแววตาของแม่ ซึ่งยังคงมีวี่แววความกังวลใจซ่อนอยู่เต็ม
บนความมืดของถนนสายต่างจังหวัด ตอนนี้มีเพียงรถของมัลลิกาคันเดียวที่แล่นอยู่บนถนน จู่ๆ ก็มีหญิงสาวในชุดปาเต๊ะทางภาคใต้ มายืนหันหลังขวางรถมัลลิกาไว้ตรงสี่แยกพอดิบพอดี โชคยังดีที่รถเบรคได้ทันเวลา
มัลลิกาลองกดแตรให้ผู้หญิงคนนั้นหลบทางไป แต่เธอก็ยังนิ่งเฉย มัลลิกาใจคอไม่ดี เริ่มเป็นห่วงว่า ผู้หญิงคนนั้นอาจจะมีปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า จึงตัดสินใจลงรถเดินไปดูใกล้ๆ มัลลิกาก้าวเดินอย่างระวังตัว สืบเท้าเข้าไปหาจากด้านหลังช้าๆ และเมื่อเข้าใกล้จึงร้องเรียกถามขึ้น
“เธอ เธอ เป็นอะไรหรือเปล่า อยากให้ช่วยอะไรมั้ย”
เธอคนนั้นไม่ตอบอะไร แต่ค่อยๆ หันตัวกลับมาหาอย่างช้าๆ มัลลิกาหยุดเท้าไว้ตรงนั้น รอให้เธอคนนั้นหันมาหา
เมื่อเธอคนนั้นหันกลับมา ฉับพลันทันใดนั้นเองร่างทั้งร่างก็ลุกติดไฟลุกไหม้จนท่วมตัว มัลลิกายืนตะลึงตะไลช็อกคาที่ ร่างที่ไฟลุกท่วมตะโกนก้องใส่หน้า แล้วโถมร่างใส่มัลลิกาอย่างเคียดแค้นชิงชังสุดจะประมาณ
“แกทำทุกอย่างลุกเป็นไฟ”
อ่านต่อ ตอนที่ 2
#เงาอาถรรพ์ #thaich8 #ละครออนไลน์