กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 29
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้าไปหาเจิ้นตง ที่ยืนหันหลังรออยู่แล้วในห้อง
“พ่อ หาผมเหรอครับ”
เจิ้นตงหันมาหายื่นคำขาด “ได้ยินว่าหลายวันนี้ แกไม่ได้เข้าบริษัทเลยเหรอ ฉันให้เวลาแกหนึ่งเดือน ขอให้แกกับมี่โตะ มีบทสรุปโดยเร็วเถอะ”
“เรื่องงานผมจะจัดการให้เรียบร้อย แต่ไม่เกี่ยวข้องกับมี่โตะ”
เจิ้นตงน้ำเสียงเข้มใส่ “ยังจะพูดว่าไม่เกี่ยวข้องอีก เพื่อผู้หญิงคนเดียว แม้แต่ควบคุมตัวเองแกก็ทำไม่ได้ แกจะให้ฉันมอบบริษัทให้แกได้ยังไง ระหว่างบริษัทกับมี่โตะ แกต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันไม่ได้พูดเพราะโมโหแกหรอกนะ เมื่อห้าปีก่อนฉันก็บอกแกแล้ว ถ้าแกยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนเดียว สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็ต้องทิ้งแก เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่แก แต่เป็นฐานะทายาทของฉัน จนตอนนี้แล้วแกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงพยายามข่มอารมณ์บอกออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว “พ่อ ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไปทั้งนั้น ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ สุดท้ายพ่ออยากจะพูดกับใครล่ะ คนสำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่เหรอครับ ตอนที่มี่โตะเกิดเรื่องเธอโทร.หาผม บอกว่าเธออยู่ในกองเพลิงแล้ว อาจจะออกมาไม่ได้อีก นี่คือเสียงครั้งสุดท้ายของเธอ ในเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เธอยังโทร.มาหาผม พูดขอโทษผมอย่างไม่ขาดปาก บอกรักผมอย่างไม่ยอมหยุด คนที่เผชิญกับความตายแต่ยังบอกรักผม ผมไม่เชื่อว่าเธอจะทิ้งผมเพราะเรื่องพวกนั้นหรอก และผมก็จะไม่ทิ้งเธอเพราะเรื่องนั้นเหมือนกัน เทซีโร่ มีความพยายามของผมมาห้าปี และเป็นงานที่ผมทุ่มเทให้ตลอดชีวิต แต่พ่อเห็นเทซีโร่เป็นเครื่องต่อรอง ให้ผมทิ้งมี่โตะเพราะมัน พ่อมองผมผิดไปแล้วล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินหุนหันออกไปเลยหลังพูดความในใจจบลง เจิ้นตงมองตามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เยี่ยฉีร้อนใจมากเดินทางไปขอภาพกล้องวงจรปิดด้วยตัวเองจากห้องรปภ.ของสตูดิโอ ที่ออฟฟิศบริษัทรักษาความปลอดภัย โดยแอบอ้างว่าเป็นคนจากเทซีโร่
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ คุณคือ...” พนักงานชายตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับยิ้มทัก
“อืม...ฉันคือผู้รับผิดชอบของสถานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ต้องการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในเวลาเกิดเหตุ ฉันแจ้งผู้จัดการของพวกคุณไว้แล้ว”
“อ้อ ผมรู้แล้วผมได้รับแจ้งแล้วครับ คุณเป็นคนของเทซีโร่ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ผมเตรียมข้อมูลไว้ให้คุณแล้ว อยู่นี่ครับ” พนักงานชายยื่นซองสีหน้าตาลที่เตรียมไว้ให้ไป
เยี่ยฉีรับมาด้วยความตื่นเต้น “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
เกาเหวินไม่พูดหรือถามอะไรอีกเลยกับสิ่งที่ได้เห็นมา ยังคงคอยดูแลอี้หมิงเป็นอย่างดี
“อ้ำ”
“ไม่ต้องหรอก ใช่ว่าผมไม่มีมือซักหน่อย”
“ไม่ได้ ได้ดูแลคุณทั้งทีก็ต้องทำให้เต็มที่หน่อยสิ อ้ำ อ้ำ...”
“อืม โอ๊ย”
“ร้อนเหรอ”
“ร้อนสิ”
“ร้อนจริงๆ ด้วย ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร”
“เป่าก่อน”
อี้หมิงเลียบๆ เคียงๆ ถามขึ้น “พูดถึงคุณแล้ว ผมได้ยินว่า ตอนนั้นคุณช็อกจนเป็นลมเลย คุณไม่เป็นไรแน่นะ”
“รู้ว่าฉันเป็นห่วงทำไมคุณต้องพุ่งเข้าไปด้วย”
เกาเหวินวางถ้วยซุปให้อี้หมิงตักกินเอง ส่วนเธอหยิบส้มมาปอกให้
“อืม...ผม...ผมเป็นหมอนี่ ช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของผม แม้จะเป็นคนแปลกหน้าผมก็ต้องช่วยเหมือนกัน และยิ่งไปกว่านั้นมี่โตะเป็นเพื่อนของเรา ผมมองดูเขาตายอยู่ในกองเพลิงไม่ได้หรอก จริงมั้ย” อี้หมิงบอกเหตุผล
“ฉันรู้แล้ว คุณไปช่วยเขาเพื่อฉัน แต่พฤติกรรมอย่างนี้อย่าทำเป็นครั้งที่สองอีกนะ สัญญากับฉัน ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไป ฉันคงต้องขึ้นคานตลอดชีวิตแน่”
“สมมุติว่ามีวันนั้นจริงๆ ถ้าคุณเจอคนที่เหมาะสม ผมอยู่บนสวรรค์แล้วก็รั้งคุณไว้ไม่ได้หรอก”
“อย่าพูดแบบนี้ได้มั้ย รีบกลับคำพูดเดี๋ยวนี้”
“กลับคำพูดเหรอ”
“ถ้าคุณทำให้ช็อกเป็นครั้งที่สอง เจอดีแน่”
“คุณสบายใจได้ ด้วยสภาพร่างกายของผมตอนนี้ จะทำให้คุณช็อกได้ยังไงล่ะ ผมไม่ยอมให้ตัวเองเป็นอะไรหรอก”
“อ้อ จริงสิ หมอบอกให้คุณไปฟื้นฟูสมรรถภาพ ขายังไม่หายดีเลย ฉันประคองคุณไปนะ”
“ได้ มาประคองผมทำไมล่ะ”
“งั้นต้องทำไง”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ไม่เชื่อก็ดูสิ คุณดูนะ” อี้หมิงประสานสองมือเข้าด้วยกัน ทำท่าเป็นจอมยุทธ์ “ปล่อยลำแสง...ดูสิไม่เป็นไรจริงๆ ใช่มั้ย เพราะงั้นคุณไม่ต้องห่วงนะ”
“คิดว่าฉันเป็นห่วงคุณเหรอ ฉันกลัวพยาบาลพวกนั้น มาๆ ฉันช่วย”
“ไม่เป็นไรๆๆ ผมเดินเองได้”
“ฉันกลัวพยาบาลพวกนั้นเกิดปิ๊งคุณขึ้นมา จะเอาตัวคุณหนีไป ฉันจึงต้องดูแลคุณทุกฝีก้าว” เกาเหวินบอก
“คุณใส่ร้ายผมแล้วนะ ในโรงพยาบาลนี้นอกจากแม่ลูกอ่อนแล้ว ใครจะมาสนใจผมล่ะ และอีกอย่าง ครึ่งหนึ่งในโรงพยาบาลมีแต่แฟนคลับของคุณ ถ้าเห็นว่าคุณประคองผมเดิมทีผมไม่เป็นไร แต่พอเจอคุณผมต้องถูกตีขาหักแน่สุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็คือคุณ”
“คุณเลยกลัวแฟนคลับของฉันเหรอ ไม่ต้องกลัวฉันจะปกป้องคุณเอง ไป”
เกาเหวินคล้องแขนประคองพาเขาออกไป
อี้หมิงร้องโอดโอย “โอ๊ย”
“เป็นอะไรเป็นอะไรอีกล่ะ เส้นเอ็นพลิกเหรอ”
“จะคลอดแล้ว โอ๊ย ค่อยๆ สิ”
“ไหวมั้ย”
เกาเหวินประคองอี้หมิงออกไปจนได้
สองคนเดินคุยกันมาตามโถงทางเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องทำกายภาพบำบัด
“ไม่เป็นไร วันนี้คุณเป็นอะไรไป หะ เมื่อก่อนคุณไม่เคยตามติดผมขนาดนี้นี่”
ระหว่างทาง หมอเอย พยาบาลเอย คนไข้เอย เห็นสองคนต่างหยุดมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง พยาบาลนางหนึ่งซุบซิบกับเพื่อนพยาบาล
“นั่นเกาเหวินไม่ใช่เหรอ”
“อืม...ถ้าพูดตามภาษาทางการแพทย์ของพวกคุณ น่าจะเป็นการตอบสนองต่อความเครียด ฉันอาจได้รับความสะเทือนใจมากเกินไปดังนั้น จึงอยากให้คุณมาชดเชยให้”
“ไฟไหม้น่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนเด็กคุณเคยถูกไฟลวกเหรอ”
“คุณเห็นหน้าฉันเหมือนเคยถูกไฟลวกเหรอ ความสะเทือนใจที่ฉันหมายถึง ไม่ใช่ทางร่างกายแต่เป็นทางจิตใจ เข้าใจมั้ย”
อี้หมิงพยักหน้า “อ้อ”
เยี่ยฉีเสียบยูเอสบีแฟลชไดรฟ์เข้ากับโน้ตบุ๊คบนโต๊ะทำงาน ดูภาพจากกล้องวงจรปิดวันเกิดเหตุไฟไหม้ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ภาพบันทึกไว้ทั่วทุกมุมของสตูดิโอ แต่ไม่มีเสียง เห็นตั้งแต่เธอวิ่งขึ้นบันไดไป เดินดูตามระเบียงชั้นบนรอบๆ บันไดทางขึ้น ท่ามกลางควันไฟคละคลุ้ง เยี่ยฉีร้อนรนใจคลิกฟอร์เวิร์ดดูเห็นตัวเองปิดประตูห้องหนึ่งที่มี่โตะอยู่ในนั้น เดินลงบันไดไปโดยไม่ยอมให้ความช่วยเหลือใดๆ ดีไซเนอร์สาวหลับตาลงช้าๆ เครียดจัดกระทั่งเผลอบีบแขนตัวเองอย่างแรง พึมพำออกมาเบาๆ
“อันตรายมาก ในกล้องมองไม่เห็นอะไรเลย”
มีเสียงเคาะประตูเชิงขออนุญาตดังขึ้น เธอร้องบอกไป พร้อมกับกดเล่นวิดีโอเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ
“เข้ามา”
เป็นลูกน้องหญิงคนเดิม ที่ยี่เฉียให้ไปสืบเรื่องมี่เหม่ยลี่เดินเข้ามา
“คุณเยี่ย ที่คุณบอกให้ฉันไปตรวจสอบประวัติของมี่เหม่ยลี่ได้เรื่องแล้วค่ะ”
“พูดต่อไป”
“อย่างอื่นไม่มีอะไรน่าสงสัย เพียงแต่ว่า มี่เหม่ยลี่ หลังจากถูกบริษัทเก่าไล่ออก ก็เกิดอุบัติเหตุกะทันหัน หลังจากนั้นเธอก็หายตัวไปค่ะ”
เยี่ยฉีคิดตาม “หายไปเหรอ หายไปได้ยังไง”
“ตรวจสอบไม่เจอข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเขาเลยค่ะ”
เยี่ยฉีหงุดหงิด เสียงดังใส่ “คนทั้งคนจะหายไปได้ยังไง เรื่องรายละเอียดของอุบัติเหตุครั้งนี้ ตรวจสอบเจอหรือยัง”
“ตอนนี้ยังไม่ค่ะ แต่กำลังเร่งความคืบหน้าอยู่ อ้อจริงสิ บริษัทที่มี่เหม่ยลี่เคยทำงานอยู่ กำลังร่วมงานเทซีโร่พอดีชื่อบริษัทโฆษณาแอล”
“ฉันเคยถามเหลยอี้หมิงแล้ว บางทีเขาอาจบอกได้ว่า มี่เหม่ยลี่กับบริษัทเทซีโร่ต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน”
“งั้นคุณเยี่ย จะให้ตรวจสอบเรื่องยัยอ้วนคนนั้นต่อไปมั้ยคะ”
“ไม่ต้องแล้ว ตวรจแค่มี่โตะกับเหลยอี้หมิงก็พอ”
เยี่ยฉีจ้องภาพวิดีโอในจอคอมที่เล่นมาถึงตอนเหลยอี้หมิงเอาตัวเองปกป้องมี่โตะจนถูกไม้ติดไฟหล่นทับอาการสาหัสแต่เขาไม่ท้อถอย
“ค่ะ” ลูกน้องหญิงยอดนักสืบ เห็นท่าทีของเยี่ยฉีจ้องจอคอมนิ่งนาน ก็แปลกใจ “มีอะไรคะคุณเยี่ย”
“ปากของเขาเหมือนไม่ได้เรียกมี่โตะ แต่เรียกว่าอะไรนะ” เยี่ยฉีนึกได้กดเล่นตอนอี้หมิงจ้องหน้าเรียกสติยัยอ้วนของเขาซ้ำไปซ้ำมา “เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เธอบอกว่าตรวจสอบใครนะ”
“ยัยอ้วนค่ะ”
“ยัยอ้วนเหรอ...ยัยอ้วน”
ลูกน้องงวยงงสงสัย ขณะที่เยี่ยฉียิ้มร้ายออกมา เมื่อพบความสัมพันธ์เร้นลับระหว่างมี่โตะกับเหลยอี้หมิง โดยบังเอิญ
หลังทำกายภาพเสร็จ อี้หมิงออกมานั่งพักอยู่บริเวณสวนบนดาดฟ้า ร้องโอดโอยไปมาเพราะร่างกายยังไม่เข้าที่
“เฮ้อ... โอย...”
เมื่อเห็นเหม่ยลี่เดินออกมาจากมุมหนึ่ง หมอเหลยพยายามจะหลบแต่ไม่ทันเพราะสังขารไม่อำนวย
เหม่ยลี่เดินมาหาความสีหน้าประหลาดใจ “เหลยอี้หมิง นายนอนโรงพยาบาลด้วยเหรอ”
อี้หมิงทำเป็นหัวเราะกลบ “พวกเขาไม่ได้บอกเธอเหรอ”
เหม่ยลี่ลงนั่งใกล้ๆ “เกาเหวินบอกฉันว่า วันที่ไฟไหม้นายก็บาดเจ็บเหมือนกัน แต่เขาพูดเหมือนไมได้เป็นอะไรมาก ฉันคิดว่านายกลับบ้านแล้วซะอีก”
“เอ่อ...ใช่แล้ว ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกแค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น คือว่า...เพราะเพื่อนร่วมงานของฉันเป็นห่วงฉันมาก ชอบหาโอกาสช่วยฉันตลอด เลยได้โอกาสครั้งนี้ไง เขาให้ฉันอยู่ที่นี่ เพื่อพักผ่อนมากๆ”
“ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายจริงๆ ซะอีก”
อี้หมิงร้อง “โอย” ขึ้นมาอีกเมื่อถูกเหม่ยลี่ฟาดโดนตัว
“นายเป็นอะไร”
“ฉัน...ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ฉันแค่...อ้อ ไม่เป็นไรฉันแค่...ถูกก้อนหินแหลมๆ ทิ่มมือเท่านั้น ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว แค่เห็นเธอไม่เป็นไร ฉันก็วางใจแล้วล่ะ ดูสีหน้าเธอ อารมณ์ดีมากเลยน้า”
เหม่ยลี่ยิ้มได้ “ใช่แล้ว ฉันได้พูดความจริงทุกอย่างแล้วล่ะ”
อี้หมิงยิ้มให้ “จริงเหรอ เซี่ยวเลี่ยงยอมรับแล้วเหรอ”
“เฮ้อ ที่จริงเพราะฉันคิดมากไปเอง คิดมากไปเองจนทำให้ตัวเองหวาดกลัว เซี่ยวเลี่ยงบอกฉันแล้วว่า เขาบอกว่าต่อไปๆๆ อย่าๆๆๆ พูดถึงเรื่องในอดีตอีก นายก็อย่าพูดถึงอีกนะ ไม่งั้นข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่”
เหม่ยลี่ทำมือเป็นดาบคาดโทษ อี้หมิงเล่นบทตามน้ำไป “องค์หญิงไว้ชีวิตด้วย”
เหม่ยลี่ยิ้มหัวสีหน้าร่าเริง “เฮ้อ...ผ่อนคลายจังเลย ในที่สุดฉันก็ได้เป็นแฟนกับเซี่ยวเลี่ยงอย่างสบายใจแล้ว ไปเดินเล่นกัน เดินเล่นแถวนี้ซักรอบ”
“ไป”
“ไปสิ”
ต่างคนต่างเกี่ยวกันไป ไม่มีใครยอมลุก
“ไปสิ”
“ก็ไปสิ”
“ไปๆๆ”
เหม่ยลี่เซ็ง “นายก็ยืนขึ้นสิ”
อี้หมิง “เอ่อ...เธอก่อนสิ”
“แค่นี้ต้องให้ฉันทำก่อนอีกเหรอ นี่”
เหม่ยลี่ลุกเดินมาหา อี้หมิงรู้ตัวดีว่าเขายังเดินไม่ไหว หากลุกยัยอ้วนต้องสงสัยแน่ จึงอ้างขึ้นว่า
“ฉันนึกขึ้นได้ว่า ไม่อยากเดินแล้ว ฉันว่านั่งตรงนี้ก็สบายดีนะ ฉันขอนั่งรับแสงแดดซักหน่อย เธอไปก่อนสิ ไปเร็วๆ”
เสี่ยวก๋อเก็บที่นอนในห้องอี้หมิงอยู่ ขณะเกาเหวินเดินเข้ามา
“คุณกลับมาแล้วเหรอ”
“คุณหมอเหลยล่ะ เหล่าเหลยไม่ได้คลอดลูกซักหน่อย คุณอยู่แผนสูตินรีเวชมาอยู่ที่นี่ทำไม”
“แผนกนี้มีคนไข้เยอะ โรงพยาบาลจึงให้ฉันมาช่วย คุณหมอเหลยอยู่แผนกของเรา ฉันเลยมาเยี่ยมเขาค่ะ”
เกาเหวินหวง หึง เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มือข้างหนึ่งเท้าหัว อีกข้างลูบไล้เตียงนอนแสดงความเป็นเจ้าของ
“อ๋อ ฉันขอเป็นตัวแทนเหล่าเหลยขอบคุณคุณนะ ตอนนี้เขาทำกายภาพบำบัดอยู่ คงไม่ได้กลับมาตอนนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงคืนนี้ฉันก็อยู่เวร ดึกๆ ฉันจะมาเยี่ยมเขาอีกที”
เสี่ยวก๋อว่าแล้วเดินออกไป เกาเหวินเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน” เสี่ยวก๋อหยุดฟัง แต่ไม่ได้หันมาหา “ดึกๆ ฉันจะอยู่เฝ้าคุณหมอเหลยเอง เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างคุณงานยุ่งอย่างนี้ เราไม่รบกวนคุณจะดีกว่า”
เสี่ยวก๋อหันกลับมา “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณเจอคุณหมอเหลยฝากบอกเขาว่า มี่โตะไม่เป็นไรแล้ว บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นห่วง” เสี่ยวก๋อบอกจะเดินออกไป
เกาเหวินหูผึ่งลุกขึ้นนั่งโดยอัติโนมัติ “คุณว่าไงนะ”
“เพื่อนของคุณหมอเหลย มี่โตะไง พวกคุณสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ” เสี่ยวก๋อไม่รู้ตัวว่าหลุดปากบอกความลับของหมอเหลยออกไป
เกาเหวินลุกเดินมาหาเสี่ยวก๋อใกล้ๆ “คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน”
“เมื่อก่อนมี่โตะมาหาคุณหมอเหลยบ่อยๆ แต่ก็เป็นเรื่องก่อนที่พวกคุณจะคบกัน”
เบื้องแรกเสี่ยวก๋อไม่ได้คิดอะไร จนสังเกตเห็นสีหน้าเกาเหวินที่ตะลึงตะไล นิ่งงันไปเลย จึงรีบเดินออกไป
เกาเหวินหอบหายใจ ทั้งน้อยใจและเสียใจที่ถูกอี้หมิงกับมี่โตะทำร้ายความจริงใจของเธอหลอกต้มจนเปื่อย เดินกลับมานั่งที่เตียงอย่างคนหมดแรง
ค่ำแล้วขณะอี้หมิงเดินกลับเข้ามาในห้อง พบว่าเกาเหวินนอนหลับตะแคงอยู่บนเตียง ปลุกก็ไม่ยอมตื่น
“คุณ หลับแล้วเหรอ”
อี้หมิงถอนใจขยับลงนั่งถอดรองเท้าให้ กับขาขยับตัวเกาเหวินให้ขึ้นนอนดีๆ ในท่าสบายๆ ห่มผ้าห่มให้
“ดูสิทำไมไม่นอนให้ดีๆ นอนให้ดีนะ”
“หลับเถอะนะ” หมอเหลยกระซิบบอกเบาๆ แล้วลงนั่งเฝ้าที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกฝั่ง โดยไม่เห็นว่าเกาเหวินค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และนึกทบทวนเหตุการณ์ระหว่างอี้หมิงกับเหม่ยลี่
ครั้งหนึ่ง เกาเหวินเคยถามอี้หมิงกับมี่โตะด้วยความสงสัย
“ก่อนหน้านี้พวกคุณเคยรู้จักกันเหรอ”
“ไม่นี่” อี้หมิงกะเหม่ยลี่ตอบพร้อมกัน
เธอนึกถึงตอนมี่เหม่ยลี่ในคราบมี่โตะบอกเรื่องสร้อยผีเสื้อด้วยสีหน้าจริงจัง
“เพราะฉะนั้นสำหรับฉันแล้ว สร้อยเส้นนี้มีความหมายมาก เป็นเหมือนเครื่องรางของฉันก็ว่าได้”
เกาเหวินยังถามไปว่า “เพื่อนที่สำคัญที่สุดซื้อให้เหรอ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเขาเลย เขาคือใคร”
“น่าเสียดายตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว” นั่นคือคำตอบที่เธอได้รับจากมี่โตะ
เกาเหวินยังหวนนึกย้อนไปถึงตอนที่อี้หมิงออกอาการฉุนเฉียวชัดแจ้ง เมื่อเธอขอร้องให้เขาช่วยให้มี่โตะคืนดีกับเซี่ยวเลี่ยง
“ทำไมคุณถึงชอบให้ผมช่วยให้เขาคืนดีกับเซี่ยวเลี่ยง”
“คุณเป็นตัวตลกทำให้พวกเขามีความสุขก็พอ คุณดูสิพวกเขาเดินด้วยกันมีความสุขแค่ไหน”
“ให้เป็นตัวตลกต่อหน้าใครก็ได้ แต่ผู้ชายคนนี้ผมทำไม่ได้”
“ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ คุณชอบมี่โตะใช่มั้ย” เกาเหวินถามออกไปด้วยความโมโห
กระทั่งเหตุการณ์ที่เธอเห็นต่อหน้าต่อตาว่าอี้หมิงเป็นห่วงมี่โตะมากเพียงใด ขนาดๆ รวบรวมกำลังหลังฟื้นไข้ใหม่ๆ มาแอบดูอาการยัยอ้วน แต่ต้องมองเห็นภาพเซี่ยวเลี่ยงที่คอยดูแลเหม่ยลี่ ด้วยความปวดร้าว
คำพูดของพยาบาลเสี่ยวก๋อตอนบ่ายวันนี้ ทำให้เธอตระหนักรู้ว่าถูกสองคนหลอกมาโดยตลอด
“เมื่อก่อนมี่โตะมาหาคุณหมอเหลยบ่อยๆ แต่ก็เป็นเรื่องก่อนที่พวกคุณจะคบกัน”
เกาเหวินน้ำตารื้นเสียใจสุดจะประมาณ โดยไม่เห็นสายตาที่มองมาอย่างรู้สึกผิดของเหลยอี้หมิง
เช้าวันต่อมา เซี่ยวเลี่ยงอยู่ในห้องทำงานที่เทซีโร่ บอกกับฉีหยูที่รอรับคำสั่งอยู่ตรงหน้า
“คืนนี้ฉันจะไปโรงพยาบาล ยกเลิกโปรแกรมอื่นให้หมด”
“ได้ครับ”
เซี่ยวเลี่ยงพยักหน้าให้
เยี่ยฉีถือวิสาสะเปิดประตูเดินตรงเข้ามาหา พูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง
“เซี่ยวเลี่ยง ไม่ว่าตอนนี้คุณมีเวลาหรือไม่ฉันมีเรื่องหนึ่งจะบอกคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงไม่สน “เรื่องงานให้ไปคุยกับผู้ช่วยฉี”
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน มันเกี่ยวกับมี่โตะ”
พร้อมกับว่าเยี่ยฉีหยิบฮาร์ดไดรฟ์บันทึกไฟล์วิดีโอกล้องวงจรปิดลงบนโต๊ะ ฉีหยูเดินออกไปอย่างรู้งาน
เซี่ยวเลี่ยงมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะรับมาเปิดดู เป็นไฟล์ตอนที่เหลยอี้หมิงปกป้องมี่โตะอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะถูกไม้คานติดไฟหล่นลงมาทับก็ตาม เห็นปากของเขาที่พยายามตะโกนเรียกสติ “ยัยอ้วนๆๆ” ไม่หยุดหย่อน
เยี่ยฉีลงนั่ง พูดสร้างภาพแสนดีทันที “ฉันพบเห็นโดยบังเอิญ มี่โตะกับแฟนของเกาเหวินมีความสัมพันธ์ดีอย่างมาก”
“ผมเคยบอกแล้ว อย่ามายุ่งเรื่องผมกับมี่โตะอีก คุณคงไม่ลืมหรอกนะ”
“งั้นคุณรู้มั้ยว่า ระหว่างมี่โตะกับยัยอ้วนเกี่ยวข้องกันยังไง”
เซี่ยวเลี่ยงอดหวั่นไหวไม่ได้ “ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด คุณจะทำอะไรกันแน่”
“ฉันไม่ต้องการเห็นคุณถูกทำร้าย มี่โตะที่คุณรักมาก เธอไม่เหมือนกับที่คุณคิดไว้ เธอไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คุณคิดไว้นะคะ”
เซี่ยวเลี่ยงถามขึ้นไม่พอใจ “คุณเอาเทปวิดีโอนั่นมาได้ไง”
“ห้อง รปภ.”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มเยาะจ้องหน้าเยี่ยฉี “คนที่มีสิทธิ์ดูกล้องวงจรปิด นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็มีแค่บริษัทของเรา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องดูกล้องวงจรปิด”
“ไฟไหม้ครั้งนี้ก็สร้างความสูญเสียให้บริษัทฉันไม่น้อย ฉันต้องตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้อยู่แล้ว” เยี่ยฉีคิดคำตอบไว้แล้ว
เซี่ยวเลี่ยงหัวเราะอย่างรู้ทัน และไม่เชื่อ “เฮ้อ คุณเป็นคนรอบคอบขนาดนี้เชียวเหรอ เอาตัวรอดคนเดียวยังอยากตรวจสอบกล้องวงจรปิดอีก หรือว่าทำเรื่องไม่ดีไว้ เลยกลัวกล้องวงจรปิดบันทึกภาพได้”
“ในสายตาของคุณฉันไม่เคยดีเลยใช่มั้ย”
เซี่ยวเลี่ยงยกปากกาในมือชี้หน้าอดีตคนรัก อย่างรู้เท่าทัน “คุณทำอะไรลงไปย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้าย อย่าปรากฏตัวต่อหน้ามี่โตะ และอย่าพยายามตรวจสอบเธออีก ไม่งั้นถ้าเกิดเรื่องกับเธออีก ผมจะคิดว่าคุณคือฆาตกร”
เยี่ยฉีทั้งเสียใจทั้งน้อยใจ สุดท้ายกลายเป็นแค้นใจ “สักวันคุณจะต้องเสียใจ ที่กล้าพูดแบบนี้กับฉัน”
เซี่ยวเลี่ยงมองตามเยี่ยฉีที่ผลุนผลันออกไป แล้วถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาเองก็เคลือบแคลงใจเรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่น้อย
เจสันตกอกตกใจเมื่อเห็นเกาเหวินดื่มเหล้าจนเมาแอ่นคอพับคออ่อนอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ในผับดังกลางเซี่ยงไฮ้
“โธ่เอ๊ย ที่รัก ทำไมหนีมาดื่มเหล้าที่นี่ ถ้าถูกนักข่าวถ่ายรูปแล้วพูดว่าชีวิตของเธอวุ่นวายจะทำยังไง”
“ก็ให้พวกเขาพูดไปสิ ยังไงมันก็ไม่จริงอยู่แล้ว” เกาเหวินพูดออกไปอย่างคนปลงชีวิต
เล่นเอาเจสันงง “เอ่อ...”
“มันก็น่าตลกดีนะ ความจริงที่พวกเขาคิด ที่จริงคือเรื่องโกหก แต่ความจริงที่ฉันคิดไว้ กลับเป็นเรื่องโกหก”
เจสันงงไม่หาย “เธอพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่รู้เรื่องเลย”
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เธอไม่ต้องรู้หรอก และฉันก็หวังว่าจะไม่เข้าใจ ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น” เยี่ยฉีคว้าแก้วเหล้าตรงหน้ามาดื่มอีก
“นี่ๆ พอแล้วๆๆ” เจสันห้ามแต่ไม่เป็นผล “พูดมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอมีเรื่องในใจอะไรใช่มั้ย พูดกับฉันสิ”
เกาเหวินถอนใจเฮือกตบไหล่ผู้จัดการ ท่าทีซีเรียส “เฮ้อ เจสัน...” เจสันรอฟัง “ถ้าคนที่เธอไว้ใจมาตลอด เขาหลอกเธอล่ะ เธอจะทำยังไง”
เจสันเครียดตามถอนใจเฮือก “เฮ้อ ต้องดูว่าเขาหลอกเรื่องอะไร หากโกหกเพื่อให้สบายใจ ฉันยอมรับได้ แต่ถ้ารุนแรงมากล่ะก็”
เกาเหวินสวนออกมาว่า “รุนแรงมาก”
“งั้นก็ตัดขาดไปเลย ไม่ต้องคบหากันอีกต่อไป” เจสันประหลาดใจที่เกาเหวินนิ่งไปเลย “เอ๊ะ”
“ฉันทำไม่ได้” เกาเหวินสารภาพพร้อมกับดื่มไปอีกอึกใหญ่จนหมดแก้ว
เจสันคาใจมาก “เดี๋ยวๆ ที่รัก เธอโดนหลอกอีกแล้วใช่มั้ย หานปิงกลับมาอีกแล้วใช่มั้ย ฉันบอกแล้วว่าเขาเป็นสิบแปดมงกุฎ เธออย่าไปเชื่อเขาครั้งก่อนเขาทำร้ายเธอมากแค่ไหนล่ะ เธอก็อย่า...”
“ถ้าเป็นเขาจริงๆ ก็คงดี บริกร ขออีกแก้ว”
“อย่าๆๆ ขออีกแก้วอะไรกัน” เจสันร้องห้ามแต่บาร์เทนเดอร์ฟังเกาเหวินมากกว่า จัดให้อีกแก้ว “เธอบอกฉันสิว่าใครกันแน่ เอางี้ เธอบอกฉันสิ ฉันจะได้บอกเหล่าเหลยไปจัดการเขา”
เกาเหวินถอนใจเฮือก หัวเราะแค่นๆ คว้าแก้วมาดื่ม “เฮ้อ เหล่าเหลยเหรอ”
เจสันไม่อยากเชื่อ “คงไม่ใช่เหล่าเหลยหรอกนะ”
ยากที่เธอจะยอมรับได้เกาเหวินบอกไปว่า “จะเป็นไปได้ยังไง เหลยอี้หมิงจะโกหกฉันได้ยังไงล่ะ”
เจสันถอนใจเฮือก “เฮ้อ”
“ฉันชอบเขาอย่างจริงใจ เขาจะหลอกฉันลงได้ยังไงล่ะ” เกาเหวินบอกหน้าเศร้า
“ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหละ ถึงฉันจะไม่ชอบเขาเท่าไหร่แต่เขาก็เป็นคนดี เขาไม่มาหลอกเธอแน่นอน แล้วถ้าไม่ใช่หานปิง ไม่ใช่เหล่าเหลย งั้นคือใครกันล่ะ”
เจสันคิดหัวแทบระเบิด งวยงงสงสัยขนานใหญ่
เช้าวันต่อมา เจิ้นตงเรียกประชุมวิสามัญ เซี่ยวเลี่ยง หลินจื่อเหลียง บอร์ดกรรมการและผู้บริหารเทซีโร่ร่วมประชุมครบครัน
“ที่เปิดประชุมอย่างเร่งด่วนวันนี้ ผมเป็นตัวแทนของคณะกรรมการ ขอประกาศการตัดสินใจหนึ่ง เกี่ยวกับประธานเซี่ยว”
ระหว่างที่เจิ้นตงพูด ที่ประชุมมองหน้ากันเหลอหลา จื่อเหลียงแปลกใจ เซี่ยวเลี่ยงรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“ใช้ความเป็นส่วนตัวไม่สามารถตอบสนอง การดำเนินงานที่บริษัทมอบหมายได้ คณะกรรมการตัดสินใจว่าจะมอบงานทั้งหมด ที่ประธานเซี่ยวทำอยู่ รวมทั้งโพรเจ็กต์ทั้งหมด ให้รองประธานหลิน ทำหน้าที่แทน ทุกคนมีความเห็นว่าอย่างไร”
กรรมการ 1 ทักท้วง ขึ้นว่า “ท่านประธานครับ แต่งานทั้งหมดเกี่ยวข้องกับคุณเซี่ยว ตัดสินกะทันหันอย่างนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะนะครับ”
จื่อเหลียงลุกขึ้นคัดค้าน สร้างภาพแสนดีทันที “ท่านประธานครับ ผมก็คัดค้านการตัดสินของคุณ หน้าที่ประธานบริษัท คุณเซี่ยวเป็นผู้รับผิดชอบมาโดยตลอด ผมไม่สามารถแทนที่เขาได้หรอกนะครับ”
เซี่ยวเลี่ยงกลับบอกโดยไม่สะทกสะท้านว่า “การตัดสินใจนี้ คือการหารือของผมกับท่านประธาน แม้ทุกคนจะมีคำถาม ก็โปรดให้ความร่วมมือกับบริษัท ผมก็สนับสนุนการตัดสินใจของท่านประธาน”
“แน่นอนว่า ถ้าประธานเซี่ยวมีความรับผิดชอบมากขึ้น บริษัทจะคืนตำแหน่งให้เขาโดยเร็วที่สุด”
เจิ้นตงจบการประชุมโวยการลุกเดินออกไปในทันที
ออกจากเทซีโร่ เยี่ยฉีไม่ล้มเลิกแผนการ ทำเป็นผ่านมาเยี่ยมมี่โต๊ะ เหมือนหวังดีแต่ประสงค์ร้ายเต็มๆ
“มี่โตะ ฉันมาทำธุระแถวโรงพยาบาล เลยแวะมาเยี่ยมคุณ ดีขึ้นบ้างแล้วยัง”
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณมาก”
“ฉันมีอะไรให้น่าขอบคุณล่ะ คนที่คุณควรขอบคุณคือเหลยอี้หมิง เขาเป็นคนเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยคุณออกมา”
เหม่ยลี่อึ้งไปเลยชั่วขณะหนึ่ง “เหลยอี้หมิงเหรอ”
“อื้ม ใช่แล้ว ฉันก็อยู่ในที่เกิดเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยคุณ เขาจะบาดเจ็บได้ไงล่ะ” เยี่ยฉียิ้มเยาะ “ทำไม คุณไม่รู้เหรอ เซี่ยวเลี่ยงไม่ได้บอกคุณเหรอ”
“ฉันยังไม่ได้ถามเขา”
เยี่ยฉีทำเป็นไม่สบายใจ “อ้อ งั้น...ต้องขอโทษด้วยฉันปากไวไปหน่อย ทางที่ดีคุณอย่าให้เซี่ยวเลี่ยงรู้ ว่าฉันเป็นคนบอกคุณ ไม่งั้นเขาจะไม่พอใจอีก”
“ฉันไม่มีทางพูดกับเขาหรอกค่ะ”
“งั้นก็ดี พักผ่อนเยอะๆ ล่ะ วันหลังฉันจะมาเยี่ยมคุณอีก”
เยี่ยฉีหันหลังยิ้มสมใจเดินออกไป เหม่ยลี่บ่นออกมา ขณะลงนั่งที่เตียง
“เจ้าโง่เหลยอี้หมิง เอ๊ย”
เหม่ยลี่หิ้วกระเป๋าสัมภาระลงมารออี้หมิงอยู่ที่โถงล็อบบี้ เมื่อเขาไม่มาสักทีจึงโทร.หาอย่างร้อนรนใจ
“ฮัลโหล เหลยอี้หมิง นายบอกว่าจะออกพร้อมฉันไม่ใช่เหรอ นายอยู่ที่ไหน”
อี้หมิงเก็บของอยู่ในห้องพักฟื้น “โอเค รออีกห้านาทีฉันใกล้จะเสร็จแล้ว นะ”
“โอเค เร็วๆ นะ บ๊ายบาย”
“อื้ม เฮ้อ...” อี้หมิงฮัมเพลงอย่างเบิกบานใจ
เสี่ยวก๋อเดินเข้ามาเห็นอี้หมิงฝืนสังขารเก็บข้าวของอยู่ ก็ร้องโวยวายขึ้น
“คุณหมอเหลย คุณลุกขึ้นทำไมคะ คุณเก็บเสื้อผ้า จะไปไหนคะเนี่ย”
“ผมขอออกโรงพยาบาลก่อน จะกลับวันนี้”
“แผลของคุณยังไม่หายดี จะกลับแล้วได้ยังไงคะ”
“โธ่เอ๊ยคุณไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าผมเป็นอะไรไป จะมีคนส่งผมกลับมาทันที คุณไม่ต้องห่วงหรอกน่า” อี้หมิงบอก
“นี่มันเวลาไหนแล้วยังมีอารมณ์ขันอีก” เสี่ยวก๋อนึกขึ้นได้ “อ้อ จริงสิ เรื่องของมี่โตะ เกาเหวินพูดกับคุณหรือยัง”
อี้หมิงหันมาย้อนถามงงๆ “มี่โตะเหรอ เกาเหวินพูดอะไร”
เสี่ยวก๋อหน้าเสียเหลือขีดเดียว “เรื่องนี้ต้องโทษฉัน เมื่อวานตอนฉันมาเยี่ยมคุณ เผลอพูดเรื่องที่คุณกับมี่โตะรู้จักกัน เกาเหวินเลยมีท่าทางแปลกๆ เธอยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย คุณหมอเหลย ฉันไมได้ตั้งใจจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าเกาเหวิน...”
อี้หมิงขึงตามองตำหนิเสี่ยวก๋อที่หน้าจ๋อยสนิท
เกาเหวินปรากฏตัวขึ้นทักเหม่ยลี่ที่นั่งใจลอยอยู่
“ไฮ้”
เหม่ยลี่สะดุ้ง ลุกขึ้นมาทักอย่างดีใจและแปลกใจ “เกาเหวิน เธอมาที่นี่ได้ไง”
มีวี่แววประชดประชันในน้ำเสียงเกาเหวิน “แฟนฉันนอนโรงพยาบาลนี้ ฉันมาไม่ได้รึไง”
เหม่ยลี่อึ้งไป “อ้อ ฉันแค่คิดไม่ถึงว่า จะเจอเธอที่นี่นี่”
เกาเหวินไม่ยอมเก็บความรู้สึกแล้ว โพล่งออกไปทันทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะหลอกฉัน เธอกับเหลยอี้หมิงรู้จักกันตั้งนานแล้ว”
เหม่ยลี่ในคราบมี่โตะตัวแข็งทื่อตั้งแต่คำแรกแล้ว
“เฮ้อ ฉันนึกมาตลอดว่าฉันเป็นนักแสดง แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเธอจะแสดงเก่งกว่าฉันซะอีก ถ้าเธอยังเห็นฉันเป็นเพื่อน งั้นเธอบอกฉันมา ระหว่างเธอกับเหลยอี้หมิงยังมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอีก”
เหม่ยลี่ตกใจมาก “ไม่ใช่เกาเหวิน ฉัน...ฉันๆๆ ฉันกับเขารู้จักกันนานแล้วก็จริง แต่ที่เราปิดบังเธอเพราะมีเหตุผล ตอนนั้นคิดไม่ถึงว่าฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ และฉันกับเซี่ยวเลี่ยงจะคบกัน”
เกาเหวินสวนออกไป “อย่าพูดคำว่าเพื่อนกับฉัน ฉันแค่อยากรู้ว่าเธอกับเหลยอี้หมิงเกี่ยวข้องกันยังไงหรือว่าเขาเคยรักเธอ”
เหม่ยลี่ปฏิเสธยกใหญ่ “เปล่าๆๆ เราเป็นเพื่อนกันธรรมดาเท่านั้น เราไม่เคยคบกันเป็นแฟน และเขาก็ไม่ได้รักฉันด้วย”
เกาเหวินไม่เชื่อ “จนตอนนี้แล้วยังโกหกอีกเหรอ”
“ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ เกาเหวิน คนที่เหลยอี้หมิงชอบมาตลอดคือเธอนะ”
เกาเหวินไม่ทันได้พูดอะไรอีก มีสายจากอี้หมิงโทร.หา เธอกดรับคุยสายต่อหน้าเหม่ยลี่
“ฮัลโหล ฉันเพิ่งถึงโรงพยาบาล ทำไมไม่เจอแป๊บเดียวคิดถึงฉันแล้วเหรอ”
อี้หมิงโทร.ลงมาจากห้องพักฟื้น “ขึ้นมาเถอะ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ”
“อืม ได้ บ๊ายบาย” เกาเหวินวางสายไป หันมาเชือดเหม่ยลี่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาสั่งลา “สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือถูกคนที่ไว้ใจหลอก ถ้าเธอหลอกฉันมาตลอด เมื่อกี้คือโอกาสสุดท้ายของเธอ ฉันยอมยกโทษให้เธอได้ แต่อย่ามารบกวนเหลยอี้หมิงอีก”
เกาเหวินเดินเชิดจากไป เหม่ยลี่เครียดจัด
เกาเหวินเดินมาหยุดหน้าห้อง เห็นอี้หมิงแล้วถอยกลับไม่กล้าเข้า กลัวไปหมดทุกอย่าง ผ่อนลมหายใจรวบความกล้าแล้วปั้นหน้ายิ้มเดินเข้าไปหา
“เป็นอะไร ไม่เจอฉันแต่เช้าเลยรีบเรียกฉันขึ้นมาเหรอ”
อี้หมิงหันมาหา ถอนหายใจ “เฮ้อ ผมมีเรื่องหนึ่ง ปิดบังคุณมาตลอด ผมอยากจะอธิบายกับคุณ นั่งสิ อย่ายืนอยู่เลย”
เกาเหวินลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
“เรื่องอะไร ทำไมต้องทำเป็นลึกลับ ไหนบอกว่าจะไม่ทำให้ฉันช็อก ไม่มีอะไรใช่มั้ย ยังเจ็บเหรอคะ”
“ที่จริงผมกับมี่โตะ เรารู้จักกัน”
มือเกาเหวินที่จับแผลเขาอยู่ชะงักค้าง วางมือลงถามไปว่า “พวกคุณเคยคบกันมั้ย”
“เปล่า ไม่เคยแน่นอน” เกาเหวินนิ่งฟัง บังคับตัวเองไม่ให้น้ำตาไหล “ผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ก่อนรู้จักคุณผมรู้จักเขาอยู่แล้ว เราผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากมาย เธอลำบากมามาก แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ ดังนั้นผมจึงไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ แต่ที่ผมอยากบอกคุณคือผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น จริงๆ นะ”
“ฉันรู้ว่าเขาชอบเซี่ยวเลี่ยง แล้วคุณล่ะ คุณชอบเขามั้ย” เกาเหวินเห็นอี้หมิงเงียบไปนานจึงถามย้ำ “ได้ยินที่ฉันถามรึเปล่า คุณชอบเขามั้ยคะ”
อี้หมิงอึดอัดเหลือเกิน ที่จะตอบออกไปเพราะสงสารเกาเหวิน ลงนั่งตรงหน้าจะสารภาพ “อืม...”
เกาเหวินชิงพูดขึ้นก่อน “งั้น...ฉันขอเปลี่ยนคำถามดีกว่า ถ้าวันนั้นคนที่อยู่ในกองไฟคือฉัน คุณจะวิ่งเข้าไปช่วยฉันแบบที่ช่วยเขารึเปล่า”
“ช่วยสิ ช่วยแน่นอน”
เกาเหวินยิ้มพอใจ บอกออกไปว่า “ไม่ว่าคุณกับมี่โตะจะมีอดีตยังไง ฉันต้องการให้คุณมองไปข้างหน้าแล้วเดินต่อไปด้วยกัน ดังนั้น...”
เกาเหวินคว้ามือเขามากุม “คุณสัญญากับฉันได้มั้ย ว่าคุณจะลองมารักฉัน”
อี้หมิงลุกขึ้นนั่ง ตาแดงๆ เหมือนคนจะร้องไห้ออกมาเร็วๆ นี้ ตัดสินใจเปิดอก บอกความรู้สึกไปจนสิ้น
“ที่จริงผมเอง ลองมาโดยตลอด เกาเหวิน พูดตามตรงคุณไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย คุณเป็นคนจิตใจดี มั่นใจในตัวเองเป็นคนที่จริงใจ อยู่ข้างนอก คุณทำงานภายใต้แสงแฟลชเป็นดาราดัง แต่อยู่ในบ้านคุณสามารถยุ่งอยู่ในครัวทั้งวันได้ เพราะต้องการทำอาหารให้ผม คุณบอกว่าชอบรถสปอร์ตหรู แต่เพราะคำพูดเดียวของผม คุณยอมเปลี่ยนเป็นรถเก่ามือสองได้ โดยไม่สนใจเลยว่าคนอื่นจะมองคุณยังไง คุณสนใจแค่มุมมองที่ผมมีต่อคุณ อยู่ข้างนอกคุณแข็งแกร่งเสมอ แต่ผมรู้ว่าในความเป็นจริง คุณคือผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอ คุณชอบพูดกับคนอื่นว่า ให้พวกเขาเข้มแข็ง แต่ในเรื่องความรัก คุณก็เหมือนแมลงเม่าตัวหนึ่ง คนที่บาดเจ็บมักจะเป็นตัวเอง ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่คุณทำดีกับหานปิง”
เกาเหวินน้ำตารื้น ทึ่ง และ ปลื้ม ที่เขารู้จักเธอหมดจดปานนี้ อี้หมิงถอนใจเฮือกใหญ่ “เกาเหวิน ผมขอพูดความในใจ เวลาที่ผมมองหน้าคุณ ผมจะรู้สึกปวดใจมาก เพราะคุณเป็นผู้หญิงที่ดี อย่าไปคิด เรื่องที่ผมชอบติคุณเลยนะ เพราะนั่นไม่ใช่ความในใจของผม ที่ผมจะพูดคือความในใจของผม คุณเป็นคนดีมาก”
เกาเหวินซาบซึ้ง น้ำตาไหลริน “เฮ้อ ในเมื่อฉันดีอย่างนี้ ทำไมคุณไม่ลองมารักฉันล่ะ”
“ผมเคยลอง ผมเคยลองแล้ว ผมเคยลองที่จะรักคุณจริงๆ ผมพยายามมาตลอด เพียงแต่ผมไม่เคยบอกคุณเท่านั้น ผมพยายามที่จะลองรักคุณมาตลอด”
เกาเหวินลุกเดินไปหา โอบคอเขาซบลงกับร่างของเธอด้วยความรักสุดหัวใจ พูดทั้งน้ำตาอย่างคนไม่ยอมแพ้
“เฮ้อ งั้นก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว ไม่ว่าในใจของคุณ ยังรักหรือคิดถึงใครอยู่ ต่อจากนี้ฉันเดินไปพร้อมคุณโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น ฉันจะรอคุณ ฉันจะไม่รีบร้อน ไม่ว่านานแค่ไหนฉันก็จะรอคุณ”
“ผมขอโทษ” อี้หมิงแกะมือเกเหวินออก จับให้เธอลงนั่งขอโทษไม่หยุด “ผมไม่อยากให้คุณเจ็บปวดอีก ผมขอโทษจริงๆ”
“คุณอย่าพูดคำว่าขอโทษได้มั้ย” เกาเหวินไม่ยอมคว้ามืออี้หมิงมากุม จ้องตาเขา ฝืนยิ้มร่าเริงให้ “ฉันไม่อยากได้ยินคุณพูดคำนี้อีก ฉันอยากได้ยินคำว่า ผมรักคุณ ไม่ว่าจะหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งปี หนึ่งร้อยปี ฉันก็จะรอคุณ”
อี้หมิงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ มองเกาเหวินอย่างหนักใจ
เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาหยุดมองเหม่ยลี่นิ่งๆ เห็นเธอจ้องจอมือถือเหมือนจดจ่อรอสายใครอยู่ เขาถอนใจเบาๆ ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มเดินไปหา กระแอมกระไอแล้วจับกระเป๋าออก ลงนั่งข้างๆ เหม่ยลี่หันมามองอย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ คุณไม่มีเวลาไม่ใช่เหรอ มาได้ยังไง”
“โรงพยาบาลบอกว่า คุณทำเรื่องออกแล้ว ทำไมไม่บอกผมล่ะ”
“ฉันกลัวคุณไม่มีเวลา เลยไปทำเรื่องก่อนล่วงหน้าค่ะ”
“แต่ไม่จำเป็นต้องรออยู่ตรงนี้นี่ คุณอยากเจอผมมากเลยเหรอ”
เหม่ยลี่พยักหน้าบอก “ค่ะ”
“จริงสิ ผมเห็นคุณจ้องมือถืออยู่ตลอด กำลังรอสายของใครอยู่เหรอ”
เหม่ยลี่รีบเปลี่ยนเรื่องคุย “เปล่านี่ อ้อจริงสิ วันนี้คุณงานยุ่งมากไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ มารับฉันล่ะ”
“ผมกลัวคุณอยู่โรงพยาบาลนาน ถ้าหากคุณ หลงรักหมอผู้ชายขึ้นมาผมก็แย่สิ”
เหม่ยลี่ขำ “ไม่มีทางหรอก”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มตาหยี ดูออกว่ามี่โตะมีเรื่องปิดบังเขา “ผมล้อเล่นน่า คุณออกจากโรงพยาบาล แฟนมารับเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ คุณมีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่ใช่มั้ย บอกผมได้นะ”
“ไม่มีอะไร อืม...อาจเป็นเพราะเพิ่งออกโรงพยาบาล เลยยังปรับตัวไม่ค่อยได้ คุณแน่ใจเหรอว่าวันนี้ไม่ต้องไปบริษัท”
“ไม่ต้องไปบริษัท ช่วงนี้ผมอาจจะว่างซักระยะหนึ่ง” เซี่ยวเลี่ยงบอกความจริงไม่หมด
เหม่ยลี่แปลกใจ “ทำไม ช่วงนี้มีงานเยอะมากไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าผมต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง บริษัทก็ไม่ต้องจ้างพนักงานแล้วล่ะ และคุณเพิ่งจะหายป่วย ผมอยากอยู่กับคุณมากๆ”
“อย่าบอกนะว่าคุณทิ้งงานทั้งหมดเพราะฉัน” เหม่ยลี่ไม่สบายใจ
“คุณคิดว่าตัวเองสำคัญมากเลยเหรอ ผมว่าคุณดวงดีมากกว่า”
“เอาล่ะๆ ดวงดีก็ไม่เป็นไร แค่ทำให้ฉันได้อ้อนคุณก็พอแล้วล่ะ”
“งั้นก็อ้อนตลอดไปเลยนะ อุบัติเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ผมกลัวจะสูญเสียคุณไปมาก”
“ฉันไม่ป็นอะไรหรอกน่า” เหม่ยลี่อิงหัวลงกับไหล่เขาอ้อนๆ
“ไปเถอะ” เซี่ยวเลี่ยงชอบใจ สองคนเดินควงแขนกันออกไป
อี้หมิงเดินมากับเกาเหวินเห็นภาพบาดใจนั้นพอดีถึงกับชะงัก เกาเหวินรู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“เป็นอะไร ไปกันเถอะ ให้ฉันช่วยถือมั้ย”
“ไม่เป็นไร” อี้หมิงว่า และเดินออกไปกับเกาเหวิน
กลับถึงบ้านคืนนั้น ยิ้นเสียงเกาเหวินแหกปากร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด
“อ๊าย ทำไงดี แย่แล้วๆ เหลยอี้หมิงแย่แล้ว พุดดิ้งดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว”
ไม่นานต่อมาอี้หมิงกับเกาเหวินอุ้มพุดดิ้งเข้ามาในคลินิกสัตวแพทย์ด้วยสีหน้าท่าทีตื่นตกใจทั้งคู่
“คุณหมอ...คุณหมอ...คุณ...คุณหมอ”
“มีอะไรครับ”
“รีบดูมันเร็วเข้าว่าเป็นอะไร ทำไงดี” เกาเหวินวางพูดดิ้งลงบนโต๊ะอย่างร้อนใจ
หมอใช้ไฟตรวจดูม่านตาแล้วหันมาถามสองคนว่า “พวกคุณไม่ได้ดูแลเขากี่วันแล้ว”
“ประมาณสี่วันได้แล้วค่ะ” เกาเหวินบอกทั้งน้ำตา
หมอตกใจ อารมณ์ขึ้นเลย “สี่วันเหรอ คุณเกาเหวิน คุณเลี้ยงหมาประสาอะไร ถึงผมเป็นแฟนคลับของคุณ แต่การเลี้ยงหมาแล้วไม่ดูแลตั้งสี่วันคุณคิดว่าฟังขึ้นเหรอ สัตว์เลี้ยงก็เหมือนคนอย่างเรา ถ้าคุณเลี้ยงเขาแล้วก็ต้องดูแลให้ดีด้วย คุณทิ้งเขาเอาไว้แบบนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนเวลาคุณถูกแฟนทิ้งนั่นแหละ”
“คุณหมอครับ อย่าเพิ่งโมโหสิ ช่วยรักษาลูกเราก่อนเถอะครับ”
เกาเหวินร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด
อี้หมิงคอยปลอบ “ไม่เป็นไร อย่ากังวลๆ”
เกาเหวินร้องไห้ไม่หยุด “ทำไงดี”
หมอตรวจอาการคร่าวๆ แล้วเงยหน้าบอก “อาการของเขาค่อนข้างรุนแรง พวกคุณรอซักครู่ผมจะพยายาม”
“ครับ”
สองคนนั่งรอหน้าห้องตรวจอย่างกระวนกระวาย เกาเหวินสะอื้นไห้ไม่หยุด อี้หมองได้แต่คอยปลอบ
ทันทีประตูห้องตรวจรักษาเปิดออกอี้หมิงพุ่งไปหาหมอ “คุณหมอ เป็นยังไงครับ”
“พวกคุณไปดูเขาครั้งสุดท้ายเถอะ”
เกาเหวินเปิดเข้าไปเห็นพุดดิ้งนอนลิ้นจุกปากอยู่บนโต๊ะตรวจ ดูออกว่าตายแน่แล้ว ถึงกับร้องไห้โฮ ถลาเข้าไปลูบไล้เนื้อตัว ก้มลงกอดจูบอย่างรู้สึกผิด
“พุดดิ้ง พุดดิ้งลูกฟื้นขึ้นมาได้มั้ยพุดดิ้ง แม่ขอโทษจริงๆ แม่ไม่ได้ดูแลลูกให้ดี ลูกรีบฟื้นขึ้นมาสิ แม่ขอโทษ แม่ขอโทษๆ ฮือๆๆ แม่ขอโทษ”
อี้หมิงกอดปลอบ ด้วยความสงสาร สะท้อนใจไม่น้อยที่อีกชีวิตต้องจากไป
“พอแล้วๆๆ เขาไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว”
สองคนกลับถึงบ้าน อี้หมิงพาเกาเหวินเข้านอน
“เอาล่ะหลับให้สบาย อย่าคิดมากล่ะ นะ”
“คุณอยู่เป็นเพื่อนฉันได้มั้ย ฉันไม่กล้านอนคนเดียว” เกาเหวินจับแขนเขาไว้เชิงขอร้อง อี้หมิงลงนั่งที่หัวเตียง
“นอนนะ”
เกาเหวินกอดแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “คุณจำที่สัตวแพทย์พูดเมื่อกี้ได้มั้ย”
“เรื่องอะไร”
“เขาบอกการทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ ก็เหมือนที่เราถูกคนรักทอดทิ้ง และอาจเป็นสาเหตุทำให้เขาเสียชีวิต คุณจะจากฉันไปมั้ยคะ”
อี้หมิงปลอบแกมดุ “คุณคิดฟุ้งซ่านอะไรกัน ผมจะไปจากคุณได้ไงล่ะ”
เกาเหวินทอดถอนใจ “ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่หลังจากพุดดิ้งตายฉันมักรู้สึกว่าคุณจะไปจากฉัน ถึงคุณจะรับปากแล้วแต่ฉันก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเลย เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันเป็นนางฟ้า อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นราชินี แต่ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าจะกลัวการสูญเสียคุณมากขนาดนี้ ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันขาดคุณไปไม่ได้จริงๆ”
“ผมสัญญากับคุณแล้ว ผมบอกว่า ผมจะพยายามก็จะพยายาม ผมก็หวังว่าจะได้อยู่กับคุณตลอดไป”
“ฉันก็หวังอย่างนั้น”
“ผมหวังว่าในโลกของผมจะมีเพียงคุณ ผมหวังอย่างยิ่งว่าจะไม่มีใครทำให้ผมคิดถึงได้ เพราะต่อไปผมจะคิดถึงแต่คุณคนเดียว”
ปากบอกไปอย่างนั้นสุดท้ายภาพในความคิดของเขาก็มีแต่ยัยอ้วนๆๆ และ ยัยอ้วน
“ยัยอ้วน เฮ้ย ยัยอ้วน เฮ้อ...”
อี้หมิงดึงตัวเองออกมา ก้มมองร่างแบบบางที่หลับไหลอยู่ในวงแขนของเขานี้ด้วยความสงสาร
ฉีหยูเดินยิ้มเข้ามาทักเหม่ยลี่ที่เช้านี้กลับมาทำงานที่ช็อปสาขาเป็นวันแรก หลังออกจากโรงพยาบาล
“โอ้โห ใครกันเนี่ย มี่โตะที่น่ารักของเราไม่ใช่เหรอ”
เหม่ยลี่แปลกใจ “ฉีหยูคุณมาได้ยังไง”
ฉีหยูอ้ำอึ้ง
เหม่ยลี่เหลียวหา “คุณเซี่ยวล่ะ”
“อืม...คุณเซี่ยวเหรอ คุณเซี่ยวเขา...ช่วงนี้บริษัทมีการปรับเปลี่ยน วันนี้ผมก็เลยมาเยี่ยมคุณคนเดียว”
“บริษัทมีการปรับเปลี่ยนเรื่องอะไรบ้างล่ะ”
ฉีหยูลำบากใจ พูดอึกๆ อักๆ กระท่อนกระแท่น “เฮ้อ คืออย่างนี้ ช่วงนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลง และต้องเผชิญกับการปรับผู้ถือหุ้น คุณก็รู้นี่นา ทางด้านคณะกรรมการอคติกับคุณเซี่ยวอยู่แล้ว ฉะนั้น ท่านประธานเลยมอบหมายงานทั้งหมดของคุณเซี่ยวให้ท่านรองหลิน และมอบการทำงานของฝ่ายบริหารให้คุณเซี่ยว”
เหม่ยลี่คิดตาม หน้าเสีย “ก็เท่ากับลดทอนอำนาจของเขาน่ะสิ”
ฉีหยูชูว์กระแอมบอกเบาๆ “นี่คือ การปรับโครงสร้างของภายในบริษัท ตามกฎแล้วผมไม่ควรบอกคุณ คุณเซี่ยวก็ไม่ให้บอก เอาล่ะ ตั้งใจทำงานนะ ดูแลสุขภาพด้วย”
“ค่ะ”
ฉีหยูเดินออกไปแล้ว เหม่ยลี่ไม่สบายใจคิดหนัก “ฉันว่าเรื่องนี้ ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันแน่ เซี่ยวเลี่ยง คุณมาคบกับฉัน ต้องได้รับความกดดันจากคนในครอบครัวมากแน่ๆ”
เย็นนั้นเจิ้นตงนัดมี่โตะมาพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พูดขึ้นทันทีที่เธอนั่งลง ยื่นข้อเสนอให้ แลกกับการไปจากชีวิตเซี่ยวเลี่ยง
“นั่งสิ มี่โตะ ฉันได้ยินว่าเธออยากเป็นนักออกแบบเครื่องประดับมืออาชีพมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอยังต้องการอยู่มั้ย”
“แน่นอนค่ะ ฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลงความฝันของฉันเลย” มี่เหม่ยลี่ในคราบมี่โตะยิ้มบอก
“งั้นก็ดี” เซี่ยวเจิ้นตงยื่นเอกสารไปให้ตรงหน้า “นี่คือสถานบันสอนการออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเกาหลี ฉันสามารถให้โอกาสเธอใช้สถานะพนักงานของบริษัทไปเล่าเรียนได้”
เหม่ยลี่แปลกใจ “ท่านประธาน อืม ทำไมคุณต้อง...”
เจิ้นตงบอกต่อว่า “นอกจากนี้แล้ว ในนี้มีเช็คเงินสดหนึ่งใบ เป็นค่าชดเชยที่จะให้เธอ ไปจากเซี่ยวเลี่ยง”
เหม่ยลี่ถึงกับอึ้ง นิ่งงันไปในทันที
อ่านต่อ ตอนที่ 30
#กะรัตรัก #DiamondLover #NOW26 #ละครออนไลน์