กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 28
สองคนคุยกันอยู่ในบรรยากาศอึมครึม เซี่ยวเลี่ยงจ้องหน้าคาดคั้น
“คุณรู้อะไรมาใช่มั้ย”
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่อยากปิดบังคุณ ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของคุณกับท่านรองหลิน ฉันรู้แล้วล่ะ ท่านรองหลินเป็นน้องชายของคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงโกรธจัด ลุกขึ้นเสียงดังใส่ “หลินจื่อเหลียงไม่ใช่น้องชายของผม คุณไม่ถามผมก่อนแต่ไปฟังคนอื่นพูด คุณเห็นผมเป็นอะไรมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม”
เหม่ยลี่ตกใจที่เห็นเขาโกรธมากขนาดนี้ ตามไปอธิบาย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจอยากรู้เรื่องของคุณ แต่เพราะว่าฉันเป็นแฟนคุณ และต้องเจอท่านรองหลินทุกวัน แต่ฉันไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงเขา ดังนั้นฉันเลยอยากรู้เรื่องของคุณบ้าง”
“หลินจื่อเหลียงบอกคุณเหรอ ออกไป ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินหนีไปที่โต๊ะทำงาน เหม่ยลี่ตามไปอธิบายต่อ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ ฉันแค่อยากปลอบคุณเท่านั้นเอง”
เห็นเซี่ยวเลี่ยงนั่งนิ่งไม่ตอบใดๆ อีก มี่โตะหน้าเสีย วางแฟ้มงานให้
“ขอโทษค่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงมองตามเหม่ยลี่เดินออกไป ถอนใจเฮือก มีเรื่องให้เครียดไม่ขาดสาย
ทางด้านซือหยวนนั่งจิตตกอยู่ที่โต๊ะทำงาน เครียดจัดหลังหลุดปากเรื่องสถานะหลินจื่อเหลียง
“ถ้าเขารู้ว่า ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกมี่โตะ ต้องไม่ปล่อยฉันไว้แน่”
ระหว่างนี้จื่อเหลียงเดินมาชงกาแฟตรงแคนทีนแผนกออกแบบ ซือหยวนตัดสินใจลุกไปหา ในจังหวะที่เซี่ยวเลี่ยงเดินเข้ามาพอดี ซือหยวนชะงักหยุดฟัง
“ท่านรองหลิน”
“คุณเซี่ยวหาผมเหรอ”
“หาความไร้ยางอายของนายน่ะสิ”
จื่อเหลียงยิ้มเยาะหันมาเผชิญหน้า “คุณกำลังล้อเล่นอะไรกับผมเนี่ย”
“เรื่องที่นายทำต้องให้ฉันเตือนสติด้วยเหรอ ระวังปากนายให้ดี อย่าเปิดเผยตัวตนให้คนทั้งโลกรู้ล่ะ”
ซือหยวนพูดออกไปเบาๆ “ขอโทษค่ะ”
สองคนหันไปทางเสียง จื่อเหลียงลุกพรวด เซี่ยวเลี่ยงมองจ้องหน้าซือหยวน เดาเรื่องราวออกทันที
“อ๋อ คุณนี่เอง รีบเก็บข้าวของออกไป ผมไม่อยากเห็นคุณในบริษัทอีก”
จื่อเหลียงออกโรงปกป้อง “คุณเซี่ยว หลิวซือหยวนเป็นคนของผม ถึงเธอจะทำอะไรผิด คนที่จัดการควรเป็นผม”
“งั้นนายก็ดูแลคนของนายให้ดีด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันไม่อยากเห็นพนักงานคนนี้อีก”
เห็นเซี่ยวเลี่ยงเดินหนี จื่อเหลียงโพล่งขึ้น “แล้วถ้าผมให้เธออยู่ต่อล่ะ” เซี่ยวเลี่ยงหันมาหา “พนักงานที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงไม่อยู่ภายใต้การยินยอมของผู้นำบริษัทก็ไม่สามารถขับไล่ออกได้ คุณเซี่ยวเรื่องแค่นี้คุณไม่ทราบเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงเหลียวไปมองซือหยวนแว่บหนึ่ง ยิ้มหยันน้องชายต่างมารดา
“ทำไมท่านรองหลิน เดี๋ยวนี้คุณมีคนที่อยากปกป้องแล้วเหรอ”
“ปกป้องเธอคงไม่ใช่ แต่ถ้าคุณไล่เธอออกไป ถ้าเธอเอาไปพูดเหลวไหล เราคงทำอะไรไม่ได้” จื่อเหลียงหาข้ออ้าง
“ในเมื่อนายยืนยัน งั้นฉันจะไม่บังคับ” เซี่ยวเลี่ยงขยับไปจนใกล้ จับไหล่จื่อเหลียงให้มองหน้าบอกชัดๆ ว่า “แต่ขอให้นายรู้ และเข้าใจเอาไว้ด้วยล่ะ ไม่งั้นคนที่ถูกไล่ออกไม่ใช่แค่เธอคนเดียวแน่”
เซี่ยวเลี่ยงเดินมาหยุดข้างๆ ซือหยวนที่ยืนหน้าซีดอยู่ หันกลับไปมองจื่อเหลียงอีกครั้งแล้วจึงเดินไป
สองคนกลับมาถึงห้องพัก จื่อเหลียงเดินไปรินเหล้าบนโต๊ะทานอาหารดื่มดับกลุ้ม ซือหยวนสารภาพว่าทำไปเพราะเกลียดเหม่ยลี่
“ฉันขอโทษ ท่านรองหลิน ฉันไม่ชอบท่าทางเสแสร้งของเธอ หลังจากที่เธอไปแล้ว ฉันรู้สึกไม่พอใจมาก เลยทำให้วู่วาม พูดความลับของคุณออกไป แต่ฉันไม่ได้ทรยศคุณเลยนะคะ”
จื่อเหลียงจิบเหล้า หันมามองหน้าคู่ขา “ผมเข้าใจความโกรธของคุณ แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว ก็อย่าไปสนใจมันอีก”
ซือหยวนแปลกใจ “คุณยกโทษให้ฉันแล้วเหรอ”
“คุณไม่ได้ผิดอยู่แล้ว เพราะผมเป็นลูกชาย ของตระกูลเซี่ยวจริงๆ นี่”
ซือหยวนยซาบซึ้ง “ฉันพูดความลับของคุณออกไปต่อหน้าคนอื่น ฉันยังมีเรื่องกับคุณที่ทำงานด้วย แต่คุณกลับปกป้องฉันต่อหน้าคุณเซี่ยว ทำไม ทำไมคุณต้องดีกับฉันด้วย”
“คุณมีเรื่องกับผม เพราะต้องการได้รับความห่วงใยจากผม ซือหยวน คุณไม่ต้องสงสัยความจริงใจที่ผมมีต่อคุณ เพราะว่าตั้งแต่คุณเลือกที่จะอยู่กับผม ผมก็ตัดสินใจจะปกป้องคุณ สิ่งที่ผมสัญญา ก็ต้องทำให้ได้”
ซือหยวนร้องไห้โฮ จื่อเหลียงคว้าร่างเธอมากอดเต็มแรง
“ร้องไห้ทำไม หืม ผมเคยพูดเหรอว่าจะไม่ปกป้องคุณ แล้วคุณกลัวอะไร”
“ฉันไม่ได้กลัว ตลอดที่ผ่านมา ไม่ว่าเรื่องอะไร ฉันต้องแบกรับเองทุกอย่าง แต่คุณรู้มั้ยคะ ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง และสู้ด้วยตัวเอง” ซือหยวนสะอื้นไห้ “เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ฉันไม่ไหวแล้วจริงๆ ฉันไม่มีครอบครัว ไม่มีที่พึ่งพา ฉันทำได้เพียงพึ่งตัวเอง แต่วันนี้มีคนบอกว่า เขาจะปกป้องฉัน ฉันขอเอาแต่ใจร้องไห้สักครั้งได้มั้ย ได้มั้ยคะ”
“งั้นก็ร้องให้เต็มที่เลย มีผมอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องทำเป็นเข้มแข็งหรอก”
ซือหยวนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น จื่อเหลียงกอดปลอบลูบผมอย่างอ่อนโยน
ที่บ้านเกาเหวินคืนเดียวกันนี้ เหลยอี้หมิงเปิดกล่องเครื่องประดับ ก้มๆ เงยๆ ค้นหาของบางอย่างตามลิ้นชักโต๊ะหัวเตียง เกาเหวินเดินดื่มน้ำเข้ามาในนั้น ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“ทำอะไร ค้นลิ้นชักทำไม”
“หะ สร้อยคอที่ผมเก็บได้ล่ะ สร้อยที่มี่โตะทำหายน่ะ”
“สร้อยเส้นนั้นเหรอ ฉันเอาไปคืนเธอแล้ว”
อี้หมิงอึ้งไป หันมาหา “เอาไปคืนเธอแล้วเหรอ”
เกาเหวินพยักหน้าให้ “อื้ม”
“แล้วมี่โตะพูดอะไรมั้ย”
“ไม่ได้พูดอะไร ฉันบอกเธอว่า คุณเป็นคนเก็บได้ท่าทางเธอดีใจมาก เธอบอกว่าเป็นอะไรน้า...เป็นเครื่องราง แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นของที่แฟนเก่าเธอให้”
อี้หมิงผสมโรงตามน้ำไป “อ้อจริงเหรอ เขาหวงมากอย่างนี้ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นแฟนเก่าเขาซื้อให้”
“ใช่มั้ย คุณก็คิดเหมือนฉันใช่มั้ย”
“ใช่”
“แต่เธอบอกฉันว่าไม่เคยมีความรักนี่ คุณว่าเธอจะมีคนที่...แอบชอบเธอรึเปล่า แต่เธอไม่ได้ชอบเขาแล้วทำไมต้องรับของเขาด้วยล่ะ ถ้าเป็นฉันไม่มีทางรับ”
อี้หมิงยื่นหน้ามามองใกล้ๆ “ผมเริ่มรู้สึกว่าคุณจะนินทาคนอื่นแล้วนะ”
“อย่างงั้นเหรอ” เกาเหวินยิ้มแหะๆ
ด้านเหม่ยลี่นั่งเหม่อจ้องตุ๊กตาเรนอยู่ในห้องนอนที่บ้าน กังวลใจที่เซี่ยวเลี่ยงโกรธใหญ่โต
“หลินจื่อเหลียงไม่ใช่น้องชายของผม คุณไม่ถามผมก่อนแต่ไปฟังคนอื่นพูด คุณเห็นผมเป็นอะไรมีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องส่วนตัวของผม”
พอจะโทร.ไปปรึกษาเหล่าเหลย ก็นึกได้ว่าอี้หมิงห้ามติดต่อกันอีก เพื่อตัดปัญหา “ฉันไม่อยากทำร้ายเกาเหวินอีกแล้ว ที่จริงชะตาของเราเหมือนกัน ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเชื่อใจเราแค่ไหน เราก็จะยิ่งรู้สึกผิด ตอนนี้เราต่างมีชีวิตใหม่เป็นของตัวเอง ถ้าไม่มีความจำเป็น เราอย่าเจอกันอีกเลย”
เธอวางสายไปในที่สุด
ระหว่างนี้เสียงกริ่งจากประตูหน้าบ้านดังขึ้น เหม่ยลี่เหลียวไปมองอย่างแปลกใจ
เป็นเซี่ยวเลี่ยงที่ตามมาง้อถึงบ้าน เวลานี้นั่งหน้าเครียดอยู่ตรงมุมรับแขก มี่เหม่ยลี่เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น ขณะมานั่งด้วย พร้อมแก้วน้ำดื่มมารับรอง
“ความจริง คุณไม่ต้องเสียเวลามาหาฉันถึงที่นี่หรอก เรื่องของท่านรองหลิน ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าคุณไม่อยากพูดล่ะก็ ฉันจะถือว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน และต่อไปจะไม่พูดให้คุณได้ยินอีก”
เซี่ยวเลี่ยงตัดสินใจเล่าเรื่องครอบครัวของเขาให้ฟังยาวเหยียด “ผมมาคิดดูแล้ว ในเมื่อเราตั้งใจจะคบกันต่อไป ผมก็ควรพูดความจริงกับคุณ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากพูดถึง ผมไม่อยากรับรู้ความจริงนี้ เพราะความจริง ทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อย เพราะว่าผมไม่มีแม่ จึงไม่สามารถรับความจริงเรื่องนี้ได้”
เหม่ยลี่รับฟังอย่างเห็นใจ เซี่ยวเลี่ยงเล่าต่ออีก “ถูกต้อง หลินจื่อเหลียงเขา...เป็นน้องชาย คนละแม่กับผม ตอนที่เขาเกิด แม่ของเขา กลัวผมจะยอมรับไม่ได้ จึงให้เขาใช้นามสกุลของเธอ ผมไม่รู้ว่าที่เธอทำแบบนี้เพราะสงสารที่ผมยังเด็ก หรือว่าต้องการเอาใจพ่อผมกันแน่ แต่พ่อผมรู้สึกพอใจมาก และสัญญากับผมว่า แม้ตอนนี้จะมีน้องชายแล้ว แต่ยังรักผมเหมือนเดิมสิ่งที่ผมได้รับจะไม่น้อยลงไป พ่อมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ท่านชอบใช้มาตรฐานของตัวเองมาตัดสินผม และกำหนดผม ไม่ว่ายังไงตั้งแต่เล็กจนโตผมมีทุกอย่าง ทุกคนต่างคิดว่าผมมีชีวิตเหมือนเจ้าชาย แต่หลินจื่อเหลียงมีแม่ที่รักเขา ส่วนผมกลับเป็นลูกที่ถูกแม่ทอดทิ้ง แม้ว่า หลินจื่อเหลียงจะเกลียดผมมาตลอด แต่เขาไม่รู้ว่า เพราะว่าการไม่มีแม่ ทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยมาก”
เหม่ยลี่ฟังแล้วสงสาร “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ควรถามเรื่องนี้กับคุณเลย แต่ว่าเรื่องพวกนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว คุณกับแม่คุณเข้าใจกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“มี่โตะคุณไม่ผิดหรอก ผมรู้ว่าความจริงคุณเป็นห่วงผม แต่ผมขอเตือนคุณไว้อย่าง หลินจื่อเหลียงไม่เคยคิดจะเป็นน้องชายของผมอย่างแท้จริง”
“เพราะงี้คุณถึงได้เกลียดเขาเหรอคะ”
“แม้ว่าพ่อกับน้าหลินจะแอบแต่งงานกัน แต่เรื่องนี้มีน้อยคนที่รู้ ผมไม่ได้เกลียดเขาสองแม่ลูกเพราะเรื่องนี้ ความจริงแล้ว เด็กจะอ่อนไหวง่าย ตั้งแต่เล็กจนโต เรามีเรื่องกันนับครั้งไม่ถ้วน แสดงว่าพวกเขาอดทนกับความอิจฉา และความเกลียดชังของผมมากแล้วล่ะ”
เหม่ยลี่เปลี่ยนเป็นเห็นใจและเข้าใจ “มิน่า กิริยาของท่านรองหลินถึงได้ดูแปลกๆ อ้อ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วล่ะ”
“มี่โตะ คุณยกโทษให้ผมได้มั้ย”
“คุณพูดอะไรคะยกโทษอะไรกัน ทุกคนต่างมีปัญหาที่ไม่ต้องการเผชิญเหมือนกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าฉันมีเรื่อง ที่ไม่เคยบอกคุณหรืออาจจะร้ายแรงกว่า เรื่องที่คุณกำลังเผชิญอยู่ คุณจะยกโทษให้ฉันมั้ย”
เซี่ยวโล่งยิ้มออกโล่งอก “เฮ้อ คนอย่างคุณจะปกปิดอะไรได้ ในสายตาของผม คุณเหมือนกระดาษสีขาวยังไงอย่างงั้น”
เหม่ยลี่อดกังวลเรื่องตัวตนที่แท้ไม่ได้ “สมมุติ ฉันหมายถึงสมมุติ ถ้าฉันไม่ใช่กระดาษสีขาว คุณจะยกโทษให้ฉันมั้ย”
“ในเมื่อคุณยกโทษให้ผม ทำไมผมจะยกโทษให้คุณไม่ได้ล่ะ ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา คุณบอกผมมา ผมจะช่วยแก้ปัญหาให้ จงอย่าแบกรับเอาไว้คนเดียว แต่ถ้าผ่านไปแล้ว และไม่ได้ทำร้ายใคร งั้นก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ มีคำหนึ่งที่หลินจื่อเหลียงพูดถูก ทุกคนต่างมีสิ่งที่ตัวเองกลัว นั่นก็คือจุดอ่อน และเขาก็รู้จุดอ่อนของผมด้วย”
เหม่ยลี่ไม่สบายใจขึ้นมาอีก
มีงานถ่ายโฆษณาเทซีโร่วันนี้ เกาเหวินเป็นแบบ เยี่ยฉีเป็นคอสตูมโพรเจ็กต์นี้ ช่างภาพกำลังกำกับท่าถ่ายเกาเหวินอยู่ในโลเกชั่นสวยงามของสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ทุกอย่างราบรื่น เข้าขากันดีมาก แต่ถ่ายจนเกาเหวินเริ่มหน้าบูด
“มองทางนี้ครับ ยิ้มหน่อย ดีมากๆ เปลี่ยนท่าใหม่ เปลี่ยนท่าใหม่ ดีครับหวานมาก มา กระโดดหน่อยๆ กระโดดให้เหมือน ความโรแมนติกในฤดูใบไม้ผลิ มาๆๆ ดี ดี ดีๆ ขอบคุณมากไปพักผ่อนก่อนนะ”
เจสันยิ้มร่า เอาเสื้อมาให้ “ขอบคุณๆ ขอบคุณทุกคนครับ มาๆ คลุมเสื้อหน่อย เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
เกาเหวินเดินมานั่งพักบ่นใหญ่ จิบเครื่องดื่มไป “ไหนเธอบอกว่าเป็นโฆษณา ทำไมถ่ายนานอย่างนี้ ให้ฉันโพสท่าตลอดเมื่อไหร่จะถ่ายเสร็จ”
“ไม่ใช่นะ ที่รัก นี่เป็นโฆษณาตัวเดียวของเทซีโร่อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ถ่ายเสร็จแล้ว”
“เอามือถือให้ฉัน” เจสั้นยื่นให้ทันควัน เกาเหวินกดเปิดดู “มีใครโทร.มาบ้าง”
“ไม่มี แม้แต่ข้อความก็ไม่มี”
เกาเหวินแปลกใจไม่หาย พึมพำออกมา “แปลกมาก ทุกครั้งที่คนชื่อยัยอ้วนโทรมาเขาจะหายตัวไป”
เจสันไม่รู้เรื่อง “ยัยอ้วนคนไหน”
เกาเหวินตัดบท “ไม่มีอะไรเพื่อนเหลยอี้หมิงน่ะ เขายังถ่ายต่อมั้ย มันเลยเวลาแล้วนะ เธอไม่บอกเขาหน่อยเหรอ หนาวจะตายอยู่แล้ว”
“ไม่เป็นไรน่าอดทนหน่อยนะ”
เยี่ยฉีเดินยิ้มเข้ามาหา เกาเหวินมองหน้าอย่างไม่ไว้ใจ “คุณเกา พอจะมีเวลา คุยกับฉันหน่อยมั้ย”
สองสาวมาคุยกันในร้านกาแฟละแวกนั้น เยี่ยฉีทำเป็นพูดดีๆ ด้วย
“ช่างภาพของเราทำให้คุณเสียเวลาตั้งนาน ดูจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เรามาทำสัญญากันใหม่มั้ย”
“ฉันให้เจสันจัดการเรื่องเวลาให้แล้ว มีเรื่องอะไรคุณคุยกับเขาได้เลย”
“คุณรู้จักคนชื่อมี่เหม่ยลี่มั้ย”
เกาเหวินชะงักนิดๆ “มี่เหม่ยลี่เหรอ”
เยี่ยฉียิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำไมเหรอ เหลยอี้หมิงไม่เคยบอกคุณเหรอ เป็นเพื่อนของเขา ชื่อยัยอ้วน”
เกาเหวินอึ้งไปอีกเมื่อเจอคำพูดแทงใจดำ จ้องหน้าคู่สนทนาอย่างไม่พอใจ “ฉันรู้หรือไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อย่าบอกนะว่าคุณแอบสืบเรื่องเหลยอี้หมิงอยู่”
เยี่ยฉียิ้มอย่างเป็นต่อ “ฉันแค่ได้ยินเรื่องของเขามาโดยบังเอิญ”
“ไม่ว่าคุณจะได้ยินโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ฉันหวังว่าคุณจะหยุดการกระทำนี้ซะ เรื่องของมี่โตะฉันเคยเตือนคุณไปแล้ว ถ้ายังมีครั้งต่อไป คอยดูว่าฉันจะจัดการคุณยังไง”
เกาเหวินเดินหุนหันออกไป เยี่ยฉีมองตามยิ้มร้ายออกมา ก่อนจะกดโทร.หาลูกน้องทันที
“ฮัลโหล ฉันต้องการประวัติของมี่เหม่ยลี่อย่างละเอียด”
ทันทีที่หมอเหลยกลับถึงบ้านคืนนั้น เกาเหวินเดินตามต้อยๆ เซ้าซี้ถามเขาเรื่องมี่เหม่ยลี่
“คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลย คุณมีเพื่อนชื่อมี่เหม่ยลี่ใช่มั้ย”
“อืม...มีอะไร”
“ในโทรศัพท์ของคุณมีเพื่อนชื่อยัยอ้วนไม่ใช่เหรอ วันนี้เยี่ยฉีมาหาฉัน เขาบอกว่าคุณมีเพื่อนอ้วนชื่อมี่เหม่ยลี่ ฉันเลยคิดว่าจะเป็นคนเดียวกันรึเปล่า”
อี้หมิงชะงัก มือที่รินน้ำดื่มค้างอยู่ ก่อนจะวางลง ดูออกว่าไม่สบายใจ “เยี่ยฉีเหรอ เขายังพูดอะไรอีก”
“เขาไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่เห็นหน้าเขาก็โกรธแล้วเลยนั่งไม่ถึงห้านาที ทำไมคุณไม่แนะนำเพื่อนชื่อมี่เหม่ยลี่ให้ฉันรู้จักบ้างล่ะ”
“อย่าเลย โอกาสจะได้เจอเขามีไม่มาก ค่อยว่ากันเถอะ” อี้หมิงบ่ายเบี่ยง รินน้ำดื่มกลบเกลื่อนความกังวล
เกาเหวินนิ่งคิด แต่คิดไปอีกอย่าง “อ้อ แต่ฉันรู้สึกว่าเยี่ยฉีแปลกมาก คุณกับเขาไม่ได้บาดหมางกันทำไมเขาต้องสืบเรื่องคุณด้วย อย่าบอกนะว่าครั้งก่อนที่คุณทะเลาะกับเขาที่กองถ่าย เขาเลยจับตามองคุณ”
อี้หมิงตัดบท “คุณไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ผมจัดการเอง”
“จะปล่อยให้คุณจัดการเองได้ไงฉันจัดการให้เองคุณเป็นแฟนของฉันนะ”
“เพราะผมเป็นแฟนคุณ ดังนั้นผมจะไม่ยอมให้คุณถูกทำร้าย ต่อไปไม่ว่าเยี่ยฉีจะพูดหรือว่าทำอะไร คุณก็อย่าไปฟังอย่าไปถาม เพราะเราไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่”
เกาเหวินพยักหน้ารับเอาคำ “อืม”
หมอเหลยมีสีหน้าเครียดจัด เป็นห่วงยัยอ้วนของเขา
เจสันลงบันไดมา ยิ้มร่าร้องทักทายอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเกาเหวินควงอี้หมิงเข้ามาในสตูดิโอถ่ายโฆษณา
“โอ๊ะ”
เกาเหวินหัวเราะร่า
“ที่รัก วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ” เจสันไม่ยอมทักอี้หมิง เลยถูกเขาฟาดเผียะ “อ้าว คุณหมอเหลยวันนี้ว่างสินะ...”
ไม่ทันได้เหน็บอะไรอีก เจสันถูกเกาเหวินแฉยับ “เธอพูดอะไรน่ะ เธอยังลงข่าวในเน็ตเลยว่าเขาเป็นผู้ชายอบอุ่น ทำไมเจอหน้าต้องแขวะเขาด้วย อ้อ อย่าบอกนะว่าเธอชอบเขา โอ๊ะ”
เจสันโดนเม้าท์เผาหนเลยไปไม่เป็น “คุณ...”
อี้หมิงฟาดอีกสองเผียะ “ผมว่าแล้ว ช่วงนี้ทำไมที่โรงพยาบาลมีแฟนคลับมาเยอะมาก ที่แท้เป็นแผนการของคุณใช่มั้ย”
“เธอสองคนพอได้แล้วน่า พวกเธอไปสวีทกันให้พอเลย อย่ามายุ่งกับฉันได้มั้ย” เจสันโวยวาย
“เอาล่ะๆ ผมไม่คุยกับพวกคุณแล้ว ผมไปหาเยี่ยฉีก่อน”
เกาเหวินชี้ที่แก้ม “แอ๊ะ”
“อืม” อี้หมิงมองซ้ายแลขวา ทำเป็นยื่นแก้มให้เกาเหวินจุ๊บ แต่กลับชักหนี
เกาเหวินหัวเราะคิกคักมองตามอี้หมิงที่เดินไปทางหนึ่งอย่างเบิกบาน
เจสันแปลกใจ “เอ๊ะ เขามาหาเยี่ยฉีทำไม”
“เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย เธอรักเขาจริงเหรอ” เกาเหวินเดินหน้าตูบหนีขึ้นชั้นบนไปเลย
“ใครรักเขาล่ะ ฉันรักตัวเองคนเดียว” เจสันบ่นบ้าแล้วตามขึ้นไป
สองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ เยี่ยฉียิ้มเยาะรู้ทัน เหน็บแนมเชือดเฉือนด้วยความพูดทันที
“ดูเหมือนคนชื่อมี่เหม่ยลี่เสน่ห์แรงไม่เบา ฉันแค่ถามเกาเหวินไม่กี่คำ คุณก็มาหาฉันถึงที่นี่ซะแล้ว”
อี้หมิงมองไปรอบๆ ไม่อยากให้ใครมาได้ยิน “อย่าพูดมาก ทำไมต้องสืบเรื่องของผม”
เยี่ยฉียิ้มอย่างเป็นต่อ “ฉันต้องถามคุณมากกว่า ถ้าคุณไม่มีปัญหาอะไร ทำไมต้องกลัวว่าฉันจะตรวจสอบด้วย”
“คุณตรวจสอบผม ผมไม่สนใจ แต่อย่ารังควานเพื่อนของผมโดยเฉพาะแฟนของผม”
เยี่ยฉีกลั้นหัวเราะ “ฉันไม่ได้สนใจเรื่องของคุณกับเกาเหวินเลย แต่ถ้าเป็นมี่เหม่ยลี่ คงไม่เกี่ยวข้องกับมี่โตะใช่มั้ย”
อี้หมิงยิ้มเยาะกลับ มองอย่างรู้ทัน “อ้อ คุณจะสืบเรื่องมี่โตะนี่เอง คุณจะแย่งผู้ชายของมี่โตะ ก็เป็นเรื่องของพวกคุณ จะทำยังไงก็ไปตกลงกับเธอเอาเอง แต่ผมจะพูดอีกครั้ง ขอให้คุณอย่ามารังควานเพื่อนของผม อย่าเอาเพื่อนของผมไปยุ่งเกี่ยวกับเธอ” หมอเหลยขยับเดินเข้าไปจนใกล้ บอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“คนอย่างผมน่ะ ไม่ชอบรังแกคนอื่นอยู่แล้ว แต่สำหรับคนอย่างคุณ ผมอาจจะทำก็ได้”
เยี่ยฉีไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเย้ยยั่วกลับอีก “คุณคิดว่าพูดอย่างนี้แล้ว จะไม่เกี่ยวข้องกับมี่โตะอย่างงั้นเหรอ คุณสองคน ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ”
“แล้วแต่คุณจะคิดสิ” อี้หมิงยิ้มเยาะในสีหน้าแล้วเดินหนีไป เยี่ยฉีขึงตามองตามอย่างเคืองขุ่น
เกาเหวินบรีฟงานกับผู้กำกับอยู่ตรงโถงหน้าบันได อี้หมิงก็นั่งอยู่ด้วยข้างๆ
“งั้นเราต้องถ่ายตั้งแต่ประตูจนถึงตรงนี้เหรอ อ้อ ฉันว่ารู้สึกแปลกๆ” เกาเหวินหัวเราะเบิกบาน
เหม่ยลี่เดินหิ้วถุงเข้ามา เห็นสองคนยิ้มหัวใกล้ชิดกันเลยไม่อยากรบกวน เดินขึ้นชั้นบนไปเลย
“เหลยอี้หมิงก็อยู่ด้วย เราตกลงว่าจะไม่เจอกันอีก ฉันไม่รบกวนพวกเขาดีกว่า”
“ดีนะที่ชุดของฉันโอเคช่วยปกปิดหุ่นได้” เกาเหวินหัวเราะ
“ใช่ ถ้าใส่น้อยเกินไป เขาจะหนาวได้ หนาวใช่มั้ย เดี๋ยวก็ถ่ายเสร็จแล้ว”
“ก็จริงเนอะ”
เหม่ยลี่หยุดตรงขั้นบันได คิดไม่ตก “ฉันเป็นอะไร หรือว่าฉันจะรู้สึกผิด ต่อเกาเหวินเหรอ”
เกาเหวินหัวเราะค้าง เมื่อหันไปมองที่บันไดเห็นหลังเหม่ยลี่ไวๆ ก่อนจะเห็นเยี่ยฉีเดินตามขึ้นไปอีกคน
อี้หมิงมองตามด้วยสีหน้าสงสัย “คุณมองอะไร”
เกาเหวินไม่แน่ใจว่าเป็นเหม่ยลี่ “เอ่อ ไม่มีอะไร ดูเหมือนฉันจะจำผิดคน”
เยี่ยฉีหยุดมองมายังเกาเหวินกับอี้หมิง คิดในใจ “อย่างที่คิดสายตาไม่สามารถปิดบังได้”
ทีมงานหญิงแปลกใจที่เห็นเหม่ยลี่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ตรงประตู ห้องแต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“อ้อ คุณคือ...”
“สวัสดีค่ะฉันเป็นพนักงานที่บริษัทส่งมา นี่คือเครื่องประดับที่ใช้ในการถ่ายทำ”
เหม่ยลี่ยื่นถุงใส่กล่องเครื่องประดับให้ ทีมงานหญิงรับมา
“อ้อ ใช่แล้ว ฉันจะรีบส่งไปให้เกาเหวินทันที คุณรออยู่ตรงนี้ก่อน เราถ่ายเสร็จแล้วจะเอากลับมาให้คุณ”
“อืม ขอบคุณค่ะ”
“รีบลงไปกันเถอะ” ทีมงานหญิงหันไปเรียกทีมงานชายอีกคนในห้อง
“ครับ”
สองคนพากันเดินออกไป ปิดประตูลง
งานถ่ายโฆษณาเริ่มรันแล้ว เกาเหวินอยู่ในชุดจีนสวมสร้อยสวยของเทซีโร่ โพสท่าไม่มีซ้ำ ทุกอย่างราบรื่นไปหมด เจสันมองเพลิน หันมาคล้องแขนอี้หมิงที่ถูกข้างๆ ถูกเขาไล่ตีอย่างน่าขบขัน พอเกาเหวินเปลี่ยนท่ามาโพสที่บันไดทางขึ้น กลายเป็นอี้หมิงที่มองเพลิน เกาะแขนเจสัน เลยถูกผู้จัดการหนุ่มใจสาวฟาดเข้าให้
ด้านเหม่ยลี่ รอนานจึงลุกไปเดินดูข้าวของในห้องแต่งตัว มีสายเรียกเข้าดังขึ้น เป็นเซี่ยวเลี่ยงโทร.หา
“ฮัลโหล เซี่ยวเลี่ยง”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มกริ่มคุยสายจากในรถที่ฉีหยูขับมาตามทาง “ฮัลโหล”
“ฉันอยู่กองถ่ายค่ะ”
“คุณอยู่กองถ่ายเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงแปลกใจ
“ค่ะ”
“คุณไปทำอะไร”
“อืม...ฉันเอาเครื่องประดับมาให้เกาเหวินค่ะ” เหม่ยลี่แปลกใจที่จู่ๆ ไฟในสตูฯ ก็ดับพรึ่บ “เอ๊ะ”
เซี่ยวเลี่ยงร้อนใจเป็นห่วงคนรัก “เกิดอะไรขึ้น ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ดูเหมือนที่นี่จะไฟดับน่ะ”
เกาเหวิน อี้หมิง เจสัน แปลกใจ แต่ไม่ได้คิดอะไร ผู้กำกับตะโกนเรียกทีมงาน “เสี่ยวหวัง”
“ครับ”
“รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ครับ” เสี่ยวหวังรับคำจะรีบออกไป
“อย่าชักช้า เอ๊ะ ทำไมมีกลิ่นไหม้ล่ะ เอ๊ะ ไฟไหม้รึเปล่า”
เสี่ยวหวังมองไปทางหม้อแปลงไฟของสตู เห็นควันพวยพุ่งออกมาเป็นสาย
“ไฟไหม้แล้ว ผู้กำกับ หม้อแปลงระเบิดไฟไหม้แล้ว”
เยี่ยฉี เหลียวไปมองทางเสียง ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจสันกับอี้หมิงเริ่มตกใจ ชวนเกาเหวินที่นั่งเล่นมือถืออยู่ให้ออกไปด้านนอก
“ที่รัก ที่รักไปกันเถอะ ที่นี่ไฟไหม้”
“ไฟไหม้แล้ว ไฟไหม้ตรงไหน” เสียงผู้คนร้องเซ็งแซ่ และพากันวิ่งออกไปด้าน
เยี่ยฉีเดินตามไป จู่ๆ ก็ชะงัก เหลียวขึ้นไปมองชั้นบน ก่อนจะเดินขึ้นไปเพียงลำพัง
มองจากด้านนอกเห็นควันสีดำลอยออกมาจากในสตูดิโอ อี้หมิงประคองเกาเหวิน วิ่งออกมาด้านนอกแล้ว พากันสำลักควัน ไอโขลกๆ ตามมาด้วยเจสัน
“เป็นยังไงบ้าง คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไร คุณบ้ารึเปล่าคุณบาดเจ็บขนาดนี้ คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“แค่โดนไฟนิดหน่อย คุณเป็นห่วงขนาดนี้เชียวเหรอ อีกอย่างถ้าไฟไหม้หนักผมคงไม่ช่วยคุณหรอก คงหนีไปแต่แรกแล้ว” อี้หมิงพูดทีเล่นทีจริง
เกาเหวินใจหายใจคว่ำ สวมกอดอี้หมิงแน่น เจสันยืนตื่นตกใจอยู่ใกล้ๆ
เปลวเพลิงโหมไหม้หนักยิ่งขึ้นทุกทีๆ เยี่ยฉีวิ่งขึ้นบันไดมา ยกมือปิดปาก เพราะเริ่มสำลักควัน
เหม่ยลี่ยังไม่รู้ชะตา คุยสายกับเซี่ยวเลี่ยงสีหน้าเบิกบาน “ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ต้องมาหรอก”
เช่นเดียวกับเซี่ยวเลี่ยงยิ้มไปคุยกับคนรักไป
“ผมอยากเจอคุณเดี๋ยวนี้นี่ ถ้ามีเรื่องอะไรขึ้นกับคุณล่ะก็ ผมก็ต้องไปช่วยคุณอยู่ดี”
“โธ่เอ๊ย ฉันเป็นใครล่ะ ฉันเป็นแฟนของคุณเซี่ยวเลี่ยงนี่นา ฉันจะไม่ทำให้คุณเป็นห่วงแน่ ไม่ต้องห่วงฉันไม่ทำให้คุณขายหน้าหรอก จุ๊บุ จู๊บุ อืม งั้นคุณทำงานของคุณไปเถอะ”
เยี่ยฉีเปิดประตูผลัวะเข้าไป เห็นเหม่ยลี่คุยสายหวานแหววหัวเราะหัวใคร่อยู่ในนั้น ก็ชะงักอึ้งไป ความริษยาแล่นเป็นริ้วๆ เข้าสู่หัวใจ ตัดสินใจถอนตัวออกมา ปิดประตูลง แล้ววิ่งลงบันไดไปทันที พบว่าบัดนี้ไฟโหมไหม้ขึ้นมาถึงชั้นสองบริเวณห้องแต่งตัวแล้ว
สักครู่ต่อมาเหม่ยลี่ได้ยินเสียงเอะอะ หันไปมองทางประตู
“เอ๊ะ แค่นี้ก่อนนะคะ คุณทำงานไปเถอะ ดูเหมือนข้างนอกจะมีเสียงฉันไปดูก่อนนะ บ๊ายบาย”
เหม่ยลี่วางสาย เปิดประตูออกไป แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นไฟไหม้ ตัดสินใจใช้มือปิดปากปิดจมูก แล้ววิ่งลงบันไดไป แต่ไม่สามรถออกไปด้านนอกได้แล้ว เนื่องจากไฟไหม้ปิดทางออกหมดแล้ว
จะออกอีกทางก็ไปไม่ได้ ตัดสินใจโทร.หาคนรักทันที เธอเริ่มสำลักควัน รอจนเขารับสาย “เซี่ยวเลี่ยง”
เซี่ยวเลี่ยงแปลกใจในน้ำเสียง “คุณเป็นอะไร”
“วันนี้ฉันคงออกไปไม่ได้แล้ว” เหม่ยลี่สำลักควัน
เซี่ยวเลี่ยงงงใหญ่ “คุณว่าไงนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ฉันถูกขังอยู่ในที่เกิดเหตุไฟไหม้”
เซี่ยวเลี่ยงตกใจมาก “มี่โตะ คุณอดทนไว้ ผมจะรีบไป” เซี่ยวเลี่ยงตบบอกฉีหยูให้ซิ่ง “เร็วหน่อยๆ มี่โตะเกิดเรื่องแล้ว”
กลางเปลวเพลิงที่โหมไหม้ และในความเป็นความตาย เหม่ยลี่ตัดสินใจสารภาพความจริงออกไป
“เซี่ยวเลี่ยงฉันมีเรื่องปกปิดคุณเรื่องหนึ่งฉันไม่เคยบอกคุณเลย ในอดีตฉันเคยเกิดอุบัติเหตุ” เหม่ยลี่เริ่มร้องไห้ และสำลักควันจากการคุยสาย ไอโขลกๆ
“ฮัลโหล ฮัลโหล มี่โตะ มี่โตะ คุณเป็นอะไร” เซี่ยวเลี่ยงได้ยินไม่ถนัด พอดูมือถือพบว่าแบตจะหมด ร้องบอกฉีหยู “สายชาร์จ เร็วหน่อยๆ”
ฉีหยูหาจ้าละหวั่น แต่ไม่เจอ เซี่ยวเลี่ยงร้อนรนใจ เขาเลยได้ได้ฟังที่เหม่ยลี่สารภาพตอนนี้
“โอย...หลังจากนั้น ฉันเกือบตาย หน้าตาเสียโฉม ฉันเลยผ่าตัดศัลยกรรม และเปลี่ยนชื่อเป็นมี่โตะ ความจริงเรารู้จักกันมานานแล้ว ฉันเป็นผู้ช่วยของบริษัทแอล มี่เหม่ยลี่คนที่คุณเคยช่วยเหลือ ฉันก็คือ มี่เหม่ยลี่ที่คุณไม่ต้องการจะนึกถึง ขอโทษเซี่ยวเลี่ยง ฉันไม่ควรปกปิดคุณเลย”
ฉีหยูหาสายชาร์จเจอรีบส่งให้ เซี่ยวเลี่ยงรับมาเสียบ คุยกับเหม่ยลี่ต่ออย่างร้อนรนใจ
“มี่โตะ มี่โตะ คุณพูดอะไร คุณตอบผมสิ มี่โตะ อดทนไว้ อย่าหมดสติก่อนนะ มี่โตะ”
เหม่ยลี่หมดแรง สำลักควัน ล้มลงไปนอนกับพื้น เริ่มหายใจไม่ออก ตัดสินใจสั่งเสียเป็นคำพูดสุดท้ายว่า
“อย่าลืมฉันนะ ฉันรักคุณจริงๆ” พูดได้เท่านั้น เหม่ยลี่ก็แน่นิ่งสิ้นสติไป มือถือวางอยู่บนมือ
“ผมก็รักคุณ ได้ยินมั้ย ผมก็รักคุณ”
เซี่ยวเลี่ยงลนลาน แทบคลั่ง ตกใจสุดขีดที่จู่ๆ เสียงเหม่ยลี่ก็ขาดหายไปเลย
“ฮัลโหล มี่โตะ มี่โตะ คุณได้ยินมั้ย มี่โตะ มี่โตะ”
ด้านผู้กำกับตะโกนถามทีมงาน “ข้างในยังมีคนมั้ย”
เกาเหวินโวยวาย “ทำไมต้องตีเขาด้วย”
“เช็คดูสิว่าออกมาหมดรึยัง” ผู้กำกับร้องถาม
เยี่ยฉีเครียดจัด แต่ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ว่าเหม่ยลี่ติดอยู่ในนั้น
ทีมงานหญิงนึกได้เขย่าตัวเพื่อนชายอย่างตื่นตระหนก
“อ้อ ดูเหมือนยังมีคนหนึ่ง เมื่อกี้มีพนักงานของเทซีโร่มาส่งเครื่องประดับ ดูเหมือนเธอยังไม่ออกมา”
เยี่ยฉีหน้าเสีย ที่มีคนรู้ว่าเหม่ยลี่ติดอยู่ด้านใน
เกาเหวินหูผึ่ง ตกใจสุดขีด “อย่าบอกนะว่าเป็นมี่โตะ เมื่อกี้ฉันเห็นคนเหมือนเธอมากแต่ไม่แน่ใจว่าใช่เธอมั้ย”
ผู้กำกับร้องบอก “รีบไปพาคนออกมา ตรวจเช็คให้ดีด้วย”
“เอาเสื้อให้ผม” อี้หมิงเหลียวไปมองตัวตึก คว้าเสื้อคลุมคืนมา กระโจนเข้าไปในกองเพลิงไปโดยไม่กลัวความตาย
เกาเหวินร้องลั่น จะตามไป “ฉันยังพูดไม่จบเลย เหลยอี้หมิงคุณออกมานะ เหลยอี้หมิง”
เจสันรีบคว้าเกาเหวินกอดไว้
“เธอทำอะไร ข้างในไฟไหม้อยู่นะ”
เยี่ยฉีอึ้งสุดขีด
อี้หมิงวิ่งเข้ามาเจอเปลวเพลิงกลุ่มใหญ่ปิดทางไว้ เขาสำลักควัน แต่ไม่ยอมแพ้เอาเสื้อคลุมตัววิ่งลุยไฟเข้าไปตะโกนเรียก
“ยัยอ้วน”
เกาเหวินโวยวายไม่หยุด จะเข้าไปช่วยอี้หมิงให้ได้
“ไม่ได้ ไม่ได้ฉันจะเข้าไปช่วยเขา ฉันไม่สามารถรอเขาอยู่ตรงนี้ได้”
เจสันกอดไว้ไม่ให้ไป “เธอทำอะไร”
“ปล่อยฉันนะ”
“ข้างในไฟไหม้อยู่นะ” เจสันไม่ยอมปล่อย
เกาเหวินร้องไห้คร่ำครวญ อย่างคนเสียขวัญ
“ข้างในมีผู้ชายที่ฉันรักที่สุดและเพื่อนที่ฉันรักที่สุด จะให้ฉันดูพวกเขาถูกไฟคลอกตายเหรอปล่อยฉันนะ”
เยี่ยฉีเหลียวขวับมามองเริ่มหงุดหงิด
อี้หมิงวิ่งขึ้นไปชั้นบนตะโกนเรียกไม่หยุด แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาเหลียวมองรอบตัว จนสายตามองลงไปข้างล่างเห็น ร่างเหม่ยลี่หมดสติอยู่ที่โถงบันไดชั้นล่าง
“ยัยอ้วน ยัย...ยัยอ้วน”
อี้หมิงกระโจนลงบันไดไปโดยเร็ว
“ยัยอ้วน”
อี้หมิงจะวิ่งไปช่วยเหม่ยลี่ แต่ถูกคานหล่นใส่หลังจังๆ ร่างกระเด็นไป
ส่วนที่ด้านนอก เกาเหวินโวยวายไม่หยุด ดึงดันจะเข้าไปในกองเพลิง “ฉันจะเข้าไปช่วยเขา”
เยี่ยฉีทั้งรำคาญและเสียขวัญ ถลันมาพูดใส่หน้าเกาเหวิน
“เธอพอได้รึยัง เธอโง่รึเปล่า เธอไม่เห็นเหรอ ผู้ชายที่เธอรักเขาไปช่วยผู้หญิงอีกคนแล้ว”
เกาเหวินชะงัก นิ่งงันไป
อี้หมิงไม่ยอมแพ้ ตะเกียกตะกายไปช่วยเหม่ยลี่ อุ้มร่างเธอขึ้นมา ทั้งที่ตัวเองเริ่มสำลักควัน
“ยัยอ้วน ยัยอ้วน ยัยอ้วน มา ยัยอ้วน ฉันจะช่วยเธอออกไปเอง”
เกาเหวินโกรธจัดตะโกนใส่หน้า ถลาเข้าไปเอาเรื่องเยี่ยฉี
“เธอพูดอะไร เวลาแบบนี้เธอยังมีหน้ามาพูดเรื่องแบบนี้เรอะ”
เจสันกอดห้ามอย่างทุลักทุเล “ที่รัก โธ่เอ๊ย”
“พวกเขากำลังจะตายอยู่ข้างในนะ”
เจสันตะโกนห้าม “พอแล้วๆๆ”
อี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ไม้ติดไฟหล่นใส่ร่าง ล้มลงไปทั้งคู่
เกาเหวินใจจะขาดตะโกนเรียก “เหลยอี้หมิง” ดังกึกก้อง
อี้หมิงไม่ยอมแพ้ตะเกียกตะกายอุ้มเหม่ยลี่ลุกขึ้นอีกครั้ง
“ยัยอ้วน เธอเคยพูดว่า ฉันเป็นผู้ชายที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ เธอไม่ต้องห่วง ฉันต้องพาเธอออกไปให้ได้ มา”
โชคร้าย ไม้ท่อนใหญ่หล่นโครมลงมาทับร่างสองคน ทุกอย่างดับวูบไป
รถดับเพลิงมาถึงในจังหวะนี้ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงถือสายฉีดน้ำแรงสูงวิ่งเข้าไปในสตูดิโอ เร่งดับไฟอย่างขะมักเขม้น
สักครู่ก็เห็นเปลหามร่างเหม่ยลี่กับอี้หมิงออกมาขึ้นรถ ขับออกไป
“ฉันขอเข้าไปด้วยคนได้มั้ยพาฉันเข้าไปด้วย” เกาเหวินร้องไห้โฮ จะขึ้นรถไปด้วยให้ได้
เจสันต้องคอยปลอบ “หมอมาก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“ทำยังไงดี”
เยี่ยฉียืนใจคอไม่ดีอยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
เซี่ยวเลี่ยงกับฉีหยูวิ่งเข้ามาข้างเตียงเหม่ยลี่ในห้องพักฟื้น ถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ฟื้น
“มี่โตะ ผมขอโทษ เวลาที่คุณต้องการผม ผมกลับไม่ได้อยู่ด้วย ผมขอโทษจริงๆ”
เซี่ยวเลี่ยงรำพึงรำพัน กุมมือเธอแน่น นึกถึงคำพูดสั่งเสียบอกลาก่อนหน้านี้
“อย่าลืมฉันนะ ฉันรักคุณจริงๆ”
สองคนเฝ้าไข้อี้หมิงอยู่ในห้องพักฟื้น เกาเหวินคอยเอายาทาแผลพุพองเล็กๆ น้อยๆ ไม่ห่าง เจสันลูบหลังลูบไหล่ปลอบ
“ที่รัก ทำตัวให้ร่าเริงหน่อย หมอบอกว่าเหล่าเหลยของเราปลอดภัยแล้ว ขอบคุณฟ้าดิน เขากับมี่โตะไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ นะ”
“ตอนนี้มี่โตะเป็นยังไงบ้าง”
“เธอมีเซี่ยวเลี่ยงดูแลอยู่ และอีกอย่าง คุณหมอต้องช่วยเขาเต็มที่แน่ เขาไม่เป็นไรหรอก สบายใจได้”
“ฉันไปดูมี่โตะหน่อย เธอช่วยดูแลเขาก่อนนะ”
“ได้ฉันจะเฝ้าให้”
เกาเหวินลุกเดินออกไป
เซี่ยวเลี่ยงกุมมือเหม่ยลี่ ก่อนจะละมือข้างหนึ่งไปเกลี่ยผมที่ระใบหน้าให้ ทอดถอนใจ จนเห็นมี่โตะของเขาเริ่มขยับตัว
เหม่ยลี่ลืมตาขึ้น พอเห็นเซี่ยวเลี่ยงก็ยิ้มเนือยๆ มาให้ อย่างคนอ่อนแรง
“ฉันคิดว่าจะไม่ได้เจอคุณแล้วซะอีก”
“รู้สึกยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนมั้ย” เซี่ยวเลี่ยงเป็นห่วงเป็นใย
“ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกังวลหรอก”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ต่อไปอย่าทำให้ผมตกใจอีกนะผมจะไม่ยอมให้คุณเกิดเรื่องอีก อีกอย่าง คุณห้ามโทร.บอกลาผมอีกนะ”
เหม่ยลี่ยิ้มให้ “ดูท่าทางกังวลของคุณสิ ไม่เหมือนพระเอกของฉันเลย”
เซี่ยวเลี่ยงจูบหอมมือเหม่ยลี่ที่เขากุมอยู่ “เป็นอะไร”
เหม่ยลี่นึกได้ ยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าตัวเองเป็นการใหญ่ “ใบหน้าฉันเป็นยังไงบ้าง”
เซี่ยวเลี่ยงขำ “เฮ้อ...ปกติคุณไม่ค่อยสนใจเรื่องหน้าตาไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นห่วงเรื่องนี้ล่ะ”
“ฉันกลัวหน้าฉันจะมีบาดแผลกลายเป็นคนขี้เหร่ แล้วคุณจะไม่ต้องการฉันอีก”
“ไม่ว่าคุณขี้เหร่ยังไง ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ผมไม่มีทางปล่อยคุณไป”
เหม่ยลี่ยิ้มให้ เข้าใจผิดคิดว่าเขาได้ยินคำสารภาพที่เธอบอกไปจนหมด
“ค่ะ งั้น สิ่งที่ฉันพูดในโทรศัพท์ คุณได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย คุณ งั้นคุณ...”
เซี่ยวเลี่ยงตัดบท “ผมไม่อยากได้ยินอีก เรื่องอุบัติเหตุ ปล่อยให้มันเป็นอดีตไปเถอะ ต่อไปห้ามพูดเรื่องนี้กับผมอีก ช่วงเวลาที่ผมต้องเสียคุณไป ผมแทบทำอะไรไม่ถูกจริงๆ ดังนั้น ต่อไปจากนี้ผมจะดูแลคุณอย่างดี จะไม่ยอมให้คุณไปไหนอีก อีกอย่าง ทางบริษัทมีฉีหยูดูแลอยู่ สองสามวันนี้ผมจะอยู่ดูแลคุณที่นี่ คุณต้องพักผ่อนให้มากๆ รู้รึเปล่า”
“ขอบคุณที่คุณรักฉัน แค่รู้ว่าคุณรักฉันมากอย่างนี้ ถึงตายฉันก็ไม่เสียใจ” เหม่ยลี่บอก
“ต่อไปอย่าพูดถึงเรื่องตายอีกนะ”
เหม่ยลี่ยิ้มออก “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เลยไม่กลัวแล้วล่ะ”
เกาเหวินมาเยี่ยมเหม่ยลี่ เคาะผนังห้องเชิงขออนุญาต
“คงไม่รบกวนพวกคุณนะ เป็นยังไงบ้าง”
“เกาเหวิน” เหม่ยลี่ยิ้มให้
“ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย ดีขึ้นแล้วเหรอ ลืมตาก็ได้เจอเซี่ยวเลี่ยงแล้ว เลยดีขึ้นมากใช่มั้ย” เกาเหวินแซวยกใหญ่ มองหน้าเซี่ยวเลี่ยงแว่บหนึ่งเชิงบอกให้ออกมาคุยกัน “งั้นฉันออกไปก่อนนะ เดี๋ยวจะกลับมาเยี่ยมเธอใหม่”
“เอาล่ะไม่เป็นไรแล้ว ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อยสิ ร้องเพลงน่ะ”
เหม่ยลี่ออดอ้อน เซี่ยวเลี่ยงขยับปากทำเป็นร้องเพลง ยิ้มจนตาหยี สองคนหัวเราะให้อย่างอย่างมีความสุข
เซี่ยวเลี่ยงตามเกาเหวินออกมา สองคนคุยกันอยู่มุมหนึ่งของโถงโรงพยาบาล
“แฟนคุณเป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย”
“อืม มีฉันอยู่ทั้งคนเขาต้องฟื้นขึ้นมาแน่ อืม...ฉันไม่อยากให้มี่โตะรู้เรื่องที่เหล่าเหลยของฉันเข้าไปช่วยเขา”
“อืม...แต่ว่า ยังไงเขาก็บาดเจ็บ เพราะไปช่วยมี่โตะ ผมควรจะขอบคุณเขา”
“ขอบคุณเขาน่ะได้ แต่ฉันไม่อยากให้มี่โตะรู้สึกผิดเพราะเหล่าเหลยของฉัน อีกอย่างเรื่องบางเรื่องถ้าไม่รู้ มันดีสำหรับเรา ไม่ใช่เหรอ”
เกาเหวินพูดเป็นนัย เซี่ยวเลี่ยงนิ่งคิดก่อนจะยอมรับปาก
“ผมรับปากคุณ”
“งั้นฉันก็วางใจแล้ว ฉันไปก่อนนะ” เกาเหวินยิ้มให้แล้วเดินออกไป
ด้านเกาเหวินนอนกะสับกระส่ายเหมือนคนฝันร้ายอยู่บนเตียง “ยัยอ้วน ยัย...ยัยอ้วน ยัยอ้วน”
อี้หมิงพยายามแบกเหม่ยลี่ขึ้น แต่โดนไม้ติดไฟหล่นลงมาใส่จังๆ แต่ก็ไม่ยอมแพ้
“เธอเคยพูดว่า ฉันเป็นผู้ชายที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ เธอไม่ต้องห่วง ฉันต้องพาเธอออกไปให้ได้ มา”
อี้หมิงสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง
“ยัยอ้วน...ยัยอ้วนล่ะ ยัยอ้วน”
เสี่ยวก๋อแปลกใจที่เห็นอี้หมิงในสภาพเพิ่งฟื้นไข้ ดูไม่จืด เดินเซซังมองเข้าไปในห้องโน้นห้องนี้
“คุณหมอเหลย คุณหมอเหลยออกมาคนเดียวได้ยังไง ฉันจะมาดูคุณพอดี”
“มี่โตะล่ะ เขาไม่ได้อยู่กับฉันเหรอ เขาไม่ได้ถูกส่งมาโรงพยาบาลเหรอ”
เสี่ยวก๋อมองสงสาร “คุณบาดเจ็บอย่างนี้แล้วยังเป็นห่วงคนอื่นอีกเหรอ”
“ฉันกำลังถามเธอนะ เขาอยู่ที่นี่มั้ยเขาได้รับบาดเจ็บมาก เขาบาดเจ็บสาหัสตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
เสี่ยวก๋อได้แต่ปลอบ “คุณอย่าเพิ่งใจร้อน เรื่องนี้ฉันไม่แน่ใจ เดี๋ยวฉันไปถามเพื่อนก่อน คุณรอฉันอยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนนะคะ”
เกาเหวินร้อนรุ่มใจ เมื่อพบว่าอี้หมิงหายไปจากเตียง
“หายไปไหน เหลยอี้หมิงหายไปไหน”
“ฉันออกไปโทรศัพท์เขาก็หายไปแล้ว” เจสันบอก
“เหลยอี้หมิง” เคาะห้องน้ำดูก็ไม่มี
“เหล่าเหลย เหล่าเหลย” เจสันช่วยหา
“ไม่ต้องหาแล้ว ใครจะไปอยู่ในนั้นรีบไปแจ้งทางโรงพยาบาลสิ”
“ได้ๆๆ”
เกาเหวินกังวลไม่คลาย “หายไปไหนล่ะ”
เกาเหวินเดินผ่านเคาน์เตอร์ พยาบาล 1 เห็นเข้า “เกาเหวินรึเปล่า”
พยาบาล 2 จำได้ “ใช่แล้ว เธอจริงๆ ด้วย”
“ไม่ทราบว่าพวกคุณเห็นแฟนของฉันมั้ยคะ” เกาเหวินถาม
พยาบาล 2 งง “แฟนคุณเหรอ”
“คนไข้ชื่อเหลยอี้หมิงอยู่ห้อง 518 เมื่อกี้เขายังอยู่แต่...”
เกาเหวินนึกบางอย่างขึ้นมา ทั้งคำเตือนของเจสัน และพฤติกรรมแปลกๆ พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
“ฉันจะบอกให้ ผู้ชายนอกใจมีอยู่สามประเด็น รับโทรศัพท์ไม่หยุด แล้วอยู่ๆ ก็หายไป แล้วก็ที่บ้านเขาจะมีของของผู้หญิงโผล่ออกมา”
อีกเหตุการณ์ตอนเธอนำสร้อยผีเสื้อไปคืนเหม่ยลี่ “เพื่อนที่สำคัญที่สุดซื้อให้เหรอ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเขาเลย เขาคือใคร”
“น่าเสียดายตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว เขามีชีวิตของเขาแล้ว ฉันเลยไม่อยากไปรบกวนเขา”
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนเธอพูดถึงแฟนเก่าเลยล่ะ”
“เพราะผมเป็นแฟนคุณดังนั้นผมจะไม่ยอมให้คุณถูกทำร้าย ต่อไปไม่ว่าเยี่ยฉีจะพูดหรือว่าทำอะไร คุณก็อย่าไปฟังอย่าไปถาม”
สุดท้ายสะดุดหูกับคำพูดเยี่ยฉีที่ตะโกนใส่หน้า “เธอพอได้รึยัง เธอโง่รึเปล่า เธอไม่เห็นเหรอ ผู้ชายที่เธอรักเขาไปช่วยผู้หญิงอีกคนแล้ว”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เกาเหวินอึ้งไป คิดบางอย่างได้ เดินใจลอยออกไป ปล่อยให้พยาบาล2 นาง ซุบซิบเม้าท์มอยเรื่องเกาเหวินต่อ
“เขาเป็นแฟนของคุณหมอเหลยเหรอ”
“น่าจะใช่นะ
ด้านเซี่ยวเลี่ยงคอยดูแลมี่โตะไม่ห่าง ป้อนข้าวป้อนน้ำให้
“ทานไปเลอะไป”
อี้หมิงเดินโซเซเข้ามาเห็น ชะงักกึก โดยไม่รู้ว่าเกาเหวินตามมา และชะงักมองเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะเดินกลับออกไป
เมื่อเห็นว่ายัยอ้วนของเขาปลอดภัยแล้ว เหลยอี้หมิงจึงเดินกะเผลกๆ จากไป
วันต่อมา จื่อเหลียงมีเรื่องมาฟ้องเจิ้นตงถึงบ้าน
“พ่อครับ พี่ชายผมเกิดเรื่องอีกแล้ว”
“เขาก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ” เจิ้นตงเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ในมือมาถาม
“สตูดิโอของบริษัทโฆษณาที่เขาทำ เกิดไฟไหม้”
“เรื่องนี้ฉันรู้แล้ว ไปจัดการเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องที่เกิดไฟไหม้จัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ามี่โตะเกิดอุบัติเหตุในที่เกิดเหตุเข้าโรงพยาบาล พี่ชายผมดูแลเขา ไม่ยอมไปทำงานหลายวันแล้ว”
เจิ้นตงฟังแล้วไม่พอใจ เขวี้ยงหนังสือพิมพ์ในมือฟาดกับโต๊ะอย่างฉุนเฉียว
“มันจะมากเกินไปแล้ว เพื่อผู้หญิงคนเดียวถึงกับไม่ยอมทำงาน ต่อไป ฉันจะวางใจยกบริษัทให้เขาได้ยังไง”
จื่อเหลียงสร้างภาพแสนดีทันที “พ่อ พ่ออย่าเพิ่งใจร้อน ตอนนี้พี่ชายผมกำลังหลงเพราะถูกความรักบังตาเท่านั้นเอง”
“แล้วเขาจำเป็นต้องทำแบบนี้เหรอ ตั้งแต่เขารู้จักมี่โตะ ก่อเรื่องให้บริษัทไม่น้อยแล้ว ตอนแรกก็ต่อต้านฉัน ตอนนี้ยังทำผิดกฎของบริษัทอีก เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้ เตรียมรถให้ฉัน ให้เซี่ยวเลี่ยง ไปเจอฉันที่บริษัท”
เจิ้นตงเดินนำออกไป จื่อเหลียงยิ้มร้ายสะใจออกมาก่อนตามไป
เซี่ยวเลี่ยงตำหนิเยี่ยฉูขณะเดินเข้ามาในตึกเทซีโร่สำนักงานใหญ่ด้วยกัน
“ไหนว่าปิดบังท่านประธานแล้วเขารู้ได้ยังไง”
“ท่านรองหลินน่าจะเป็นคนบอก ตอนนี้ท่านประธานโกรธมาก คุณอย่าทำให้ท่านไม่พอใจล่ะ”
เยี่ยฉีเดินเข้ามาหาจากด้านหลัง เรียกไว้ “เซี่ยวเลี่ยง” เขาหันมาหา ฉีหยูขยับตัวออกยืนห่างๆ
“คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย ตอนนี้ มี่โตะดีขึ้นบ้างรึยัง”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ตอนนี้ผมมีธุระ คุณเยี่ย รีบกลับไปก่อนเถอะ”
เซี่ยวเลี่ยงเดินไปรอลิฟต์ สั่งการกับคนสนิท
“ทำไมมี่โตะถึงอยู่ในห้องแต่งตัวคนเดียว นายไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดด้วย”
“ครับ” ฉีหยูรับเอาคำ
สองคนเข้าลิฟต์ไป เยี่ยฉีหน้าเสีย ได้ยินคำพูดนั้นของเซี่ยวเลี่ยงเต็มสองหู หน้าเครียดไปถนัดตา
เซี่ยวเลี่ยงเปิดประตูเดินเข้าห้องมา พบว่าเจิ้นตงยืนรออยู่ในห้องแล้ว
“พ่อ หาผมเหรอครับ”
เจิ้นตงหันมาหา ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ได้ยินว่าหลายวันนี้ แกไม่ได้เข้าบริษัทเลยเหรอ”
อ่านต่อ ตอนที่ 29
#กะรัตรัก #DiamondLover #NOW26 #ละครออนไลน์