เรื่องย่อ "เงาอาถรรพ์"
ที่มา : ซีรีส์ชุด ปัญจอาถรรพ์ (ลางมรรคา, วังอสุรา, บาปบรรพกาล, ลิขิตเอื้องนางและเงาอาถรรพ์)
บทประพันธ์ : พลอยฝน
บทโทรทัศน์ : One House
กำกับการแสดง : ทรงศํกดิ์ มงคลทอง
แนวละคร : โรแมนติก-ดราม่า-สยองขวัญ
ผลิต : ดีคืนดีวัน
ผู้จัด : เมย์ เฟื่องอารมย์
วันเวลาออกอากาศ : ทุกวัน จันทร์ - อังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง 8 กดเลข 27
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม
เรื่องย่อ
เจรมัยเป็นนักร้องหนุ่มที่กำลังมาแรง เขาเริ่มต้นเข้าวงการจากเวทีการประกวดแห่งหนึ่งแล้วได้รางวัลชนะเลิศ เมื่อออกอัลบั้มแรกเขายังไม่ดังเปรี้ยงปร้างแต่อัลบั้มที่สองเพลงของเขาได้รับรางวัลเพลงยอดนิยมจากการมอบรางวัลของนิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่ง ในงานรับรางวัลซึ่งใกล้กับวันเกิดครบยี่สิบสามปีของเขานั้น เขาถูกมัลลิกา นักข่าวจากนิตยสารอีกฉบับถามถึงประวัติส่วนตัวที่แม้แต่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้เจรมัยรู้สึกไม่พอใจ แต่ทว่าเขาก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่าอดีตของเขาเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
เมื่อกลับถึงบ้านเขาจึงถามคุณจรรยา ผู้เป็นมารดาเรื่องประวัติครอบครัว แต่ผู้เป็นมารดากลับบ่ายเบี่ยง ที่จะพูดถึงเรื่องราวในอดีต หรือเอ่ยถึงญาติพี่น้องที่ไม่เคยบอกให้เจรมัยรู้ แต่เหตุบังเอิญก็เกิดขึ้นในคืนนั้น เมื่อน้องสาวของคุณจรรยาโทร.มาแจ้งให้ทราบว่าบิดาหรือผู้เป็นคุณตาของเจรมัยได้เสียชีวิตแล้ว คุณจรรยาจึงจำเป็นต้องพาลูกชายกลับไปกราบศพท่านทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเล่าสิ่งที่ปกปิดมาตลอดเวลายี่สิบปี
เมื่อไปถึงบ้านของคุณตาที่เจรมัยไม่เคยรู้เลยว่าเขามีคุณตามีญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้กันเพียงเขตพระรามห้า แต่มารดาบอกเขามาตลอดชีวิตว่าญาติพี่น้องอยู่ไกลและไม่เคยให้เขามีโอกาพบเจอหรือเล่าอะไรเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลให้ฟังเลยแม้แต่น้อย เจรมัยแปลกใจที่เหมือนทุกคนจะรู้จักเขา ผิดกับเขาที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าใครเลย ชายหนุ่มพยายามจะถามมารดา แต่เหมือนคุณจรรยาจะยังไม่พร้อมสำหรับการอธิบายเรื่องทั้งหมด ท่านจึงขอให้เขารอให้ผ่านพ้นงานศพของคุณตาไปก่อน แล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง ด้วยความรักที่มีต่อมารดามากล้น เจรมัยจึงคิดว่าเขารอเวลานั้นได้
บ้านของคุณตาเป็นบ้านไม้สองชั้นสไตล์โคโลเนียล พื้นที่บ้านกว้างขวางเพราะเป็นบ้านของคหบดีเมื่อสมัยรัชกาลที่7 คืนที่มาถึงเกิดเรื่องราวแปลกๆ ขึ้น คือศพของคุณตาไม่สามารถยกไปใส่โลงศพได้จะด้วยเหตุใดก็สุดรู้ แต่เจนจิราลูกพี่ลูกน้องซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ของเขาบอกว่า มีเจรมัยเท่านั้นที่จะทำให้ศพของคุณตายกไปใส่โลงศพได้ คุณจรรยามารดาของเจรมัยจึงบอกให้นักร้องหนุ่มเข้าไปกราบศพท่าน แล้วสัญญาว่าจะดูแลมรดกของวงศ์ตระกูลต่อจากท่านตลอดชีวิต เจรมัยแปลกใจอีกครั้งกับสิ่งที่เขาเพิ่งรู้ว่าจะต้องรับผิดชอบ แต่เขาก็ยอมทำตามเพราะเป็นสิ่งที่มารดาร้องขอ เมื่อเจรมัยกราบศพคุณตาและสัญญา ศพของคุณตาที่เคยหนักจนบรรดาลูกเขยสามสี่คนยกไม่ไหวก็กลับยกขึ้นได้สบาย
ในคืนเดียวกันนั้น มัลลิกาซึ่งมาส่งเจนจิราผู้เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่บ้านหลังนี้ก็ขับรถกลับเข้าตัวเมืองเพียงลำพัง เธอเจอกับเหตุการณ์ประหลาดหลายอย่าง ทั้งเห็นเงาดำตัดหน้ารถ ทั้งโดนแท่งเหล็กจากรถบรรทุกข้างหน้าร่วงใส่กระจกหน้ารถจนทะลุ แถมยังโดนตำรวจโบกด้วยสาเหตุว่ามีผ้าผืนขาวปลิวออกนอกรถของเธอ ซึ่งพอลงไปดูกลับไม่มีผ้าหรืออะไรเลย
คืนที่เจรมัยนอนในห้องของคุณตาเพียงลำพังเขาได้เห็นวิญญาณสาวตนหนึ่งมานั่งร้องไห้ข้างเตียงพร้อมกับพูดว่า ‘กลับมาอยู่ด้วยกันเสียทีนะพี่เที่ยง’ แล้วก็เดินจากไป เจรมัยรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ความฝัน เขาพยายามถามมารดา แต่ท่านก็ยังยืนยันให้เขารอจนเสร็จสิ้นงานศพของคุณตา วันที่เผาศพคุณตามัลลิกาเดินทางมาร่วมงานพิธีด้วย แต่เธอก็เจออุปสรรคหลายอย่าง ราวกับมีใครสักคนไม่ต้องการให้เธอมายังบ้านหลังนี้ ทว่าสุดท้ายหญิงสาวก็มาถึงจนได้
ในการเผาศพครั้งนี้ เจรมัยตัดสินใจบวชหน้าไฟให้ท่าน และเขาตั้งใจจะบวชต่ออีกสามวัน แต่เมื่อเผาศพคุณตาเสร็จกลับมีลมกรรโชกแรงจนกิ่งไม้หักหล่นใส่ท้ายทอยเขาจนสลบต้องนอนโรงพยาบาล ในบริเวณวัดวันนั้น พระแก่พรรษารูปหนึ่งได้เห็นวิญญาณที่คอยติดตามเจรมัยยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อเจรมัยออกจากโรงพยาบาล โดยหมอแปลกใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ เมื่อกลับไปขอบวชต่อ พระแก่พรรษารูปนั้นจึงให้เขาบวชต่อไม่ได้ บอกว่าเขาจะต้องอยู่เผชิญกับกรรมที่รออยู่ เจรมัยจึงไม่ได้บวช
หลังจากเสร็จงานศพคุณตา เจรมัยจึงได้รู้จากปากมารดาว่า มรดกที่เขาต้องดูแลด้วยชีวิตเป็นเพียงหนังตะลุงประจำตระกูลตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินมีค่ามหาศาลแต่อย่างใด ทว่าเป็นหนังตะลุงที่ จ๋า ลูกของน้าสาวของเขาบอกว่าเป็นหนังตะลุงผีสิง ทำให้เจรมัยรู้ว่า นี่ไม่ใช่มรดกธรรมดาจริงๆ ชายหนุ่มกับมารดาต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านคุณตาอย่างถาวร แต่การกลับมาหาครอบครัวในครั้งนี้เจรมัยกับพัน ผู้จัดการส่วนตัวยังต้องปิดทุกอย่างไว้เป็นความลับ เพราะตลอดมาเจรมัยไม่เคยมีประวัติเรื่องครอบครัวในวงการบันเทิง ดังนั้นเมื่อแคทลียา ดาราไฮโซชื่อดังที่มาหลังรักเจรมัยตามพัน มาถึงบ้านของคุณตา พวกเขาจึงต้องให้เธอสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร
เจนจิราจำเป็นต้องใช้บ้านคุณตาในการถ่ายทำโฆษณาตัวหนึ่งของสปอนเซอร์รายใหญ่ของนิตยสารที่เธอเป็นเจ้าของ และนางเอกโฆษณาในครั้งนี้ก็คือมัลลิกา นักข่าวที่เคยส่งไปสัมภาษณ์เจรมัยผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายนั่นเอง เมื่อเจรมัยกับมัลลิกาได้เจอกัน ทั้งสองคนมีอาการเขม่นกันอยู่บ้างเนื่องจากเรื่องที่สัมภาษณ์ในคืนงานมอบรางวัลนั้น แต่ด้วยการแต่งกายถ่ายทำโฆษณาเป็นแบบย้อนยุค ทำให้เจรมัยมองเห็นมัลลิกาเมื่อครั้งในอดีต
เจรมัยเห็นมัลลิกาเป็นคุณมาลีเมื่อสมัยรัชกาลที่ 7 อยู่ในบ้านหลังนี้ ขณะเดียวกันก็เห็นตัวเองเป็นชายหนุ่มชื่อเที่ยงในสมัยนั้นเช่นกัน วันนั้นเจรมัยหมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาแปลกใจมากที่ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน ทั้งๆ ที่เขารู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริง แคทลียามาหาเขาที่บ้านคุณตาเป็นจังหวะที่นักร้องหนุ่มเข้าไปดึงแขนมัลลิกาเพื่อจะคุยด้วย แคทลียาเข้าใจผิดจึงกระชากเขากลับมาทำให้เจรมัยกับมัลลิกาล้มหัวกระแทกสลบไปด้วยกันทั้งคู่ และการสลบครั้งนี้สองหนุ่มสาวก็ได้ฝันในเรื่องเดียวกัน นั่นคือเห็นตัวตนของตัวเองอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันเมื่อสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นคุณมาลี กับนายเที่ยง
เรื่องราวในอดีตดำเนินไปในสายตาของคนทั้งคู่ แต่แค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ ภาพเงาดำน่ากลัวก็ตัดผ่านพาพวกเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อทั้งคู่ตื่นฟื้น มัลลิกาก็รีบขอตัวกลับ เธอไม่ได้ติดใจอะไรกับความฝันนั้น ผิดกับเจรมัยเขาคิดว่ามันคงไม่ใช่ฝันธรรมดา แต่เป็นเรื่องแปลกที่ได้ฝันซ้ำๆ ตลอดหลายคืนที่ย้ายมาอยู่บ้านคุณตาแห่งนี้ เขาจึงพูดให้เจนจิราฟัง ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้จึงบอกว่าการที่ส่งมัลลิกาไปสัมภาษณ์เจรมัยในคืนวันงานรับรางวัล เพราะเธอเห็นว่ามัลลิกาหน้าตาเหมือนคุณยายทวด เช่นเดียวกับที่เจรมัยหน้าตาเหมือนคุณตาทวดที่ชื่อเที่ยงของพวกเขา เลยคิดว่าหนุ่มสาวทั้งคู่คงกลับชาติมาเกิดจึงอยากให้มีโอกาสได้เจอกัน เจรมัยแปลกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง เจนจิราจึงบอกให้เขากลับไปดูรูปคุณตาทวดกับคุณยายทวดที่ห้องของคุณตา
เมื่อเจรมัยกลับไปดูเขาไม่ได้พบเพียงภาพถ่าย แต่พบบันทึกของคุณตาทวดอยู่ในลิ้นชักนั้นด้วย เจรมัยไล่อ่านบันทึกไปเรื่อยๆ และเขาก็ได้กลับไปเห็นภาพในอดีตอีกครั้ง เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปราวกับเป็นการเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้เขาได้รับรู้ แต่ทุกครั้งจะต้องมีเงาดำของใครสักคนมาขัดขวางอยู่ร่ำไป
เช้าวันหนึ่งคุณจรรยาชวนเจรมัยไปทำบุญที่วัด พระแก่พรรษารูปที่เคยบวชให้เขา ทักว่าเขาอายุครบยี่สิบสามปีแล้วถึงเวลาที่คนในบ่วงกรรมจะมาบรรจบพบกัน คุณจรรยาใจไม่ดี และเมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้เจอกับพราหมณ์คนที่เคยทักว่า เจรมัยมีวิญญาณติดตามเมื่อยี่สิบปีก่อน พราหมณ์คนนี้ทักว่า เจรมัยกำลังมีเคราะห์อาจถึงตาย หากเขาไม่หาผู้ร่วมกรรมอีกคนมาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้ภายในสามวัน เจรมัยไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คุณจรรยาเชื่อ ท่านเล่าให้เจรมัยฟังว่า พราหมณ์คนนี้เคยทักเรื่องเขาเมื่อตอนแรกเกิด ตอนนั้นคุณจรรยากลัวมากเลยชวนสามีพาเจรมัยหนีไปอยู่ที่อื่น แต่การหนีครั้งนั้นเกิดอุบัติเหตุจึงทำให้สามีของเธอเสียชีวิต และเธอต้องใช้ชีวิตกับเจรมัยลำพังสองแม่ลูกตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา
เมื่อเจนจิราได้รู้ถึงการทักของพระและพราหมณ์เรื่องนี้ หญิงสาวนึกถึงมัลลิกาในทันที คุณจรรยาก็เห็นด้วย แต่เจรมัยกลับไม่เชื่อ เขาไม่คิดว่ามัลลิกาจะคือผู้ร่วมกรรมที่จะต้องมาอยู่ด้วยกัน หากวันนั้นเขาพาจ๋าลูกสาววัยสิบขวบของน้าสาวไปเที่ยวสวนสนุกและเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับจ๋า อาการโคม่า เขาจึงนึกถึงคำที่พราหมณ์คนนั้นทักว่า ถ้าไม่เชื่อจะทำให้คนในครอบครัวได้รับผลกระทบไปด้วย เมื่อเกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นเจรมัยจึงจำต้องเชื่อ เขาไปเจรจากับมัลลิกาให้เธอมาค้างที่บ้านคุณตาด้วยกัน แต่เพราะพูดกันไม่เข้าใจ มัลลิกาจึงคิดว่าเขาหยามเธอ ทำให้การเจรจาไม่สำเร็จ เจนจิราจึงเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยอีกครั้ง และทำได้สำเร็จ
คืนที่มัลลิกายอมไปอยู่ร่วมห้องกับเจรมัย เธอได้ยินเสียงแปลก ไล่เธอไปจากบ้าน เธอจึงตั้งใจจะเล่าให้นักร้องหนุ่มฟังถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนขัดขวางไม่ให้เธอมาบ้านหลังนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้เล่า ขาของเธอก็โดนมือมืดจับไว้ทำให้สะดุดล้ม เจรมัยมารับไว้จึงพากันล้มไปด้วยกันหัวฟาดกับตู้เสื้อผ้าสลบไปทั้งคู่ และการสลบครั้งนี้ได้นำพาคนทั้งสองไปสู่เรื่องราวในอดีตทั้งหมด...
สมัยรัชการที่ 7 คหบดีคนหนึ่งได้ว่าจ้างคณะหนังตะลุงของนายเที่ยงเข้ามาเล่นในกรุงเทพฯ โดยให้ทั้งคณะพักที่เรือนรับรองในอาณาบริเวณบ้านอันกว้างใหญ่ของเขา ครั้งนั้นนายเที่ยงซึ่งเป็นนายหนังวัยยี่สิบสามปีได้พบกับมาลีลูกสาวคนเล็กที่เกิดจากเมียฝรั่งของคหบดีผู้ร่ำรวยคนนั้น เพียงแวบแรกที่ได้เห็น นายเที่ยงก็หลงรักมาลีในทันที มันเป็นรักแรกพบ รักในความงาม รอยยิ้มและความอ่อนโยนอ่อนหวานมีไมตรีของเธอ หากนายเที่ยงก็รู้ว่าตัวเองไม่คู่ควร จึงทำเพียงคอยดูแล ช่วยเหลือมาลีในเรื่องต่างๆ เวลาเธอมีทุกข์อันเกิดจากพี่น้องต่างมารดาอย่างมณฑากับมารศรี นายเที่ยงก็จะใช้หนังตะลุงเล่นหยอกเย้าให้เธอหัวเราะและอารมณ์ดีขึ้นได้
ความสนิทสนมของคนทั้งคู่อยู่ในสายตาของทุกคน รวมถึงสารภี หญิงสาวที่มากับคณะหนังตะลุงของนายเที่ยง เธอหลงรักนายเที่ยงมาแสนนาน แต่นายเที่ยงเห็นเธอเป็นเพียงน้องสาว สารภีไม่ชอบใจที่มาลีมาแย่งความสำคัญไป เธอจึงไม่ถูกชะตากับมาลี แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพราะมาอาศัยบ้านเขาอยู่ ผิดกับสองพี่น้องมณฑากับมารศรีซึ่งไม่มีความรักต่อน้องต่างท้องมารดาเลย คอยคิดแต่จะกำจัดมาลีเรื่อยมา คราวนี้เมื่อเห็นมาลีสนิทกับชายต่างถิ่นที่มีอาชีพเล่นหนังตะลุงหากิน จึงคิดแผนจะใส่ร้ายด้วยเรื่องเสื่อมเสีย ดังนั้นคืนที่นายเที่ยงไปเล่นหนังตะลุง มณฑากับมารศรีจึงหลอกมาลีไปยังวัดใกล้บ้าน พอนายเที่ยงกลับมารู้จากพี่เลี้ยงของมาลีว่าเธอหายไปยังไม่กลับมา นายเที่ยงก็เลยออกตามหาและไปเจอที่วัด นายเที่ยงโดนทุบจนสลบแล้วลากไปนอนก่ายกอดอยู่กับมาลีที่โดนกระทำเช่นเดียวกันไปก่อนหน้านี้ที่ริมรั้ววัด ทั้งสองคนถูกทิ้งไว้อย่างนั้นจนเช้า
ชาวบ้านแถวนั้นผ่านมาเห็นก็ซุบซิบนินทากัน จนกระทั่งบิดาของมาลีมาเห็น เขาจึงสั่งให้ทั้งสองคนกลับเรือน แต่ด้วยความรัก ความเชื่อถือในตัวลูกสาวคนเล็กว่าเป็นคนดี บิดาจึงไม่ได้ลงโทษในทันที หากไต่สวนจนพอจะเดาออกว่ามาลีโดนกลั่นแกล้ง ความรัก ความห่วงใยอยากให้ลูกสาวพ้นจากการถูกรังแก บิดาจึงแก้ปัญหาด้วยการให้หนุ่มสาวทั้งสองแต่งงานกัน พร้อมกับยกบ้านหลังใหญ่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน การตัดสินครั้งนี้ทำให้มารศรีซึ่งแอบรักนายเที่ยงอยู่เช่นกันช้ำใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผิดกับสารภีที่ทำใจไม่ได้ เธอตามมาตบตีมาลีอย่างคุมแค้น เกลียดชิงชังที่มาลีแย่งความรักจากนายเที่ยงไป
สารภีหลงคิดเสมอว่า การที่นายเที่ยงเอ็นดูเธอมากกว่าใครๆ คือความพิเศษ คือสิ่งที่เขาทำให้ด้วยใจเสน่หา ครั้งหนึ่งมาลีเคยฝากดอกสารภีมาให้กับนายเที่ยง แต่เพราะนายเที่ยงรู้ว่า สารภีไม่ชอบมาลี เขาจึงไม่ได้บอกว่ามาลีเป็นคนฝากมา นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่นายเที่ยงไม่ได้คิดเอะใจอะไร แต่สำหรับสารภีเธอคิดว่าเขามีใจต่อเธอ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้จึงเหมือนโดนแย่งของรักที่เจ็บปวดแสนสาหัส
ข่าวการแต่งงานของมาลีกับนายเที่ยงร่ำลือกันไปทั่ว ชายหนุ่มที่เคยหมายปองมาลีต่างไม่พอใจที่หนุ่มต่างถิ่นมาคว้าเธอไปเสียได้ ดังนั้นก่อนการแต่งงาน นายเที่ยงมีการแสดงหนังตะลุงอีกครั้ง ในงานนั้นนายเที่ยงไปที่เวทีช้ากว่าคนในคณะทุกคน เมื่อไปถึงเขาจึงพบเพียงเวทีที่ถูกเผาไหม้ พอกลับมาเรือนพักจึงได้รู้ว่า สารภีพยายามเข้าไปเอาหนังตะลุงออกมาจากกองเพลิงจึงถูกไฟไหม้ด้านหน้าจนหมด สารภีไม่ยอมไปหาหมอ แต่ให้บิดาซึ่งเป็นคนในคณะหนังตะลุงใช้สมุนไพรรักษา ทว่าแผลของเธอสาหัสจนเกินไป สารภีจึงอยู่ได้ไม่นาน
นายเที่ยงรู้สึกสิ้นหวังที่มรดกของครอบครัวถูกเผาไหม้ และเขารู้สึกผิดต่อสารภีเป็นอย่างมาก ในชีวิตของเขาสิ่งที่รักที่สุดคือบิดามารดา รองลงมาคือหนังตะลุงเท่านั้น สารภีรู้ข้อนี้ดี ดังนั้นก่อนสิ้นลมหายใจเธอจึงขอให้นายเที่ยงเล่นหนังตะลุงโรงเล็ก โดยใช้หนังตะลุงที่เป็นของที่ระลึกเล่นให้เธอดูเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับขอสัญญาให้เขาไม่แต่งงานกับมาลี นายเที่ยงรู้ดีว่าเขายกเลิกการแต่งงานไม่ได้ แต่ก็ยอมรับปากเพราะถือว่าเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของคนกำลังจะตาย
เมื่อสารภีสิ้นใจเธอแอบสั่งเสียนายโพนผู้เป็นบิดาเอาไว้ว่า ให้เขาเลาะหนังตรงแผ่นหลังของเธอไปทำหนังตะลุงให้นายเที่ยงใหม่ เขาจะได้ใช้แสดง ทำมาหากินและสร้างคณะหนังตะลุงให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง และเธอเองก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขารักสุดชีวิตเช่นกัน นายโพนไม่อยากทำตาม เพราะการทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรจากการเชือดเฉือนเนื้อหัวใจตัวเอง หากก็ต้องทำเพื่อลูกสาวที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ นายโพนใช้หนังตรงแผ่นหลังของสารภีทำหนังตะลุงให้นายเที่ยง โดยไม่บอกว่ามันมีที่มายังไง
นายเที่ยงแต่งงานกับมาลีอยู่กินกันจนมีลูก เขาใช้หนังตะลุงตัวนั้นเพียงตัวเดียวทำการแสดงจนเริ่มมีเงินมีทองมาซื้อหนังวัวสร้างหนังตะลุงเพิ่มได้เหมือนเดิม หลายปีต่อมาก่อนนายโพนจะตายเขาได้บอกกับนายเที่ยงว่าหนังตะลุงตัวนั้นแท้จริงคือหนังตรงแผ่นหลังของสารภี นายเที่ยงเสียใจและเจ็บปวดมาก เขาจึงยกให้หนังตะลุงตัวนั้นเป็นมรดกเก็บรักษาไว้อย่างดีชั่วลูกชั่วหลาน...โดยไม่รู้ว่าวิญญาณของสารภีสิ่งสู่อยู่ที่หนังตะลุงตัวนั้นเพราะความรักอาลัยที่มีต่อเขา รวมกับความโกรธแค้นที่เขาผิดสัญญา
เมื่อมัลลิกากับเจรมัยตื่นจากการหลับใหลไปแสนนานก็เป็นเวลาที่วาระกรรมเก่าวนมาถึง วิญญาณของสารภีออกอาละวาด สิงร่างแคทลียาเพื่อทำร้ายมาลีหลายต่อหลายครั้ง เธอต้องการให้เจรมัยหรืออดีตชาติคือนายเที่ยงอยู่กับเธอ แต่เมื่อเขายังกลับมารักกับมาลี ซึ่งกลับชาติมาเกิดเป็นมัลลิกา ผีสาวจึงคั่งแค้น ต้องการฆ่าทุกคนให้หมด แม้แต่เจรมัยเองก็ตาม คุณจรรยารักและเป็นห่วงเจรมัยเท่าชีวิต เมื่อหาทางออกไม่เจอ ท่านจึงคิดว่าหากไม่มีหนังตะลุงตัวนั้นทุกอย่างคงจะจบ จึงตั้งใจเผามันทิ้ง แต่วิญญาณของสารภีกลับทำร้ายท่านจนเกือบตาย
เจรมัยหมดหนทางออกที่จะยุติเรื่องทั้งหมด เขาจึงนึกถึงหนังตะลุงซึ่งเป็นการแสดงอันศักดิ์สิทธิ์ของวงศ์ตระกูล ชายหนุ่มตั้งจิตอธิษฐานให้ครูหมอหนังตะลุงช่วยให้เขาผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ หากมารดาปลอดภัย และเรื่องทั้งหมดจบลง เขาจะเชิญคณะหนังตะลุงมาทำการแสดงที่บ้าน โดยเขาจะขับร้องบางช่วงตอนเหมือนที่นายเที่ยงเคยเป็นนายหนังเมื่อในอดีต คำขอของเขาครั้งนั้นส่งผล เมื่อวิญญาณสารภีเข้าสิ่งร่างมัลลิกาแทนร่างของแคทลียา และเจรมัยพาเธอไปวัด ไปเจอกับพระแก่พรรษารูปนั้น
วิญญาณสารภีถึงได้รู้ว่าพระรูปนั้นคือนายโพน บิดาของเธอเมื่อในอดีต วิญญาณสารภีได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของบิดา ในวันที่เลาะแผ่นหลังของเธอ ความรักที่ยิ่งใหญ่คือบุพการี หาใช่ความรักจากคนอื่นไม่ การที่เธอรักตัวเอง รักคนอื่นจนหลงลืมจิตใจของบิดานั้น เป็นบาปอย่างไม่รู้ตัว ผีสาวเสียใจและรู้สึกผิด เธอยอมอโหสิกรรมให้มัลลิกาและเจรมัยที่ตัดสินใจบวชอุทิศส่วนกุศลให้เธอ
หลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นลง คุณจรรยาปลอดภัย เจรมัยก็ติดต่อคณะหนังตะลุงมาทำการแสดงและเป็นการ ‘ตัดเหมรย’ หรือแก้บนที่เขาได้อธิษฐานไว้กับครูหมอหนังตะลุงนั่นเอง ในการแสดงครั้งนี้เจรมัยขับร้องบทกลอนบทหนึ่ง ที่ในอดีตนายเที่ยงเคยร้องไว้เป็นคำมั่นสัญญาต่อสารภี เจรมัยดัดแปลงท่อนสุดท้ายเพื่ออำลาและส่งวิญญาณสารภีไปผุดไปเกิด ไม่ให้เธอติดในบ่วงกรรมอีกต่อไป...เจรมัยเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าการที่เขามีพรสวรรค์ในการร้องเพลง นั่นเพราะในอดีตชาติเขาเคยเป็นนายหนังที่มีเสียงไพเราะนั่นเอง
ห้าปีต่อมาเจรมัยก็แต่งงานกับมาลี เขายังคงรักษาหนังตะลุงตัวนั้นไว้เป็นมรดกของลูกหลานสืบไป
บุคลิกตัวละคร
มัลลิกา (อดีตชาติ - มาลี) : “แป้ง” อร จิรา
มัลลิกา - เพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก ฉลาด มั่นใจในตัวเอง และเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาหัวสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์อยากทำงานด้านการท่องเที่ยว จึงมาทำงานเป็นนักข่าวให้กับนิตยสารของเจนจิรา เจนจิราให้เธอทดลองงานโดยไปสัมภาษณ์เจรมัย จึงทำให้เธออคติกับเขา เพราะคิดว่าเจรมัยสร้างภาพและลืมกำพืดของตัวเอง มีเหตุให้ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเจรมัยอยู่บ่อยครั้ง
มาลี - ลูกสาวคนเล็กของคหบดีผู้ร่ำรวย ถูกเลี้ยงดูแบบไข่ในหิน ฉลาด มีกริยาเรียบร้อย อ่อนหวาน มองโลกในแง่ดี ไม่ดูถูกหรือแบ่งชนชั้นกับผู้ที่ด้อยกว่า รักครอบครัวมาก แม้ว่าพี่สาวต่างมารดาทั้ง 2 คนจะไม่ชอบเธอก็ตาม แต่มาลีมักจะยอมตลอด เพราะไม่อยากมีปัญหาและสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้เป็นพ่อ
สารภี : “ณฉัตร” กวิยณัฎฐ์ แฮร์มันน์
สาวชาวใต้ ลูกสาวของนายโพนเจ้าของคณะหนังตะลุง รักเดียวใจเดียว มั่นคงและซื่อสัตย์ในความรัก สำหรับเธอ ความรักคือการครอบครองเท่านั้น สารภีหลงรักเที่ยง นายหนังร่วมคณะ และคิดไปเองว่าเที่ยงก็รักตน ไม่ชอบและอิจฉามาลีเพราะคิดว่าจะมาแย่งเที่ยงไปจนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้โรงหนังตะลุงของเที่ยง สารภีเข้าไปนำหนังตะลุงตัวที่เที่ยงรักออกมา จนถูกไฟครอกบาดเจ็บปางตาย ก่อนตายเธอเสียสละแผ่นหลังของตน นำไปทำเป็นหนังตะลุงให้กับเที่ยง และผูกจิตไว้ในหนังตะลุงตัวนั้น ไม่ไปผุดไปเกิด ตามอาฆาตแค้นเที่ยงเพราะไม่ทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับตน รวมทั้งมาลี ศัตรูหัวใจ ที่กลับชาติมาเกิดในปัจจุบัน
เจรมัย (เจ) (อดีตชาติ - เที่ยง): “มังกร” ปภาวิน หงษ์ขจร
เจรมัย - นักร้องหนุ่มที่กำลังโด่งดัง มีความสามารถในการร้องเพลง และเป็นขวัญใจของประชาชน อยู่กับแม่แค่ 2 คน เจรมัยจึงติดนิสัยอ่อนโยนแบบผู้หญิงมา แต่ก็เป็นคนกล้าหาญ และกตัญญู จริงๆ แล้วต้นตระกูลของเจรมัยเป็นคณะหนังตะลุง และเจรมัยต้องทำหน้าที่สืบทอดมรดกนี้ แต่จรรยา ผู้เป็นมารดาปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้เจรมัยรู้เจรมัยไม่ชอบให้ใครมาตัดสินตัวเองแบบผิดๆ และรักแม่มาก เขาจึงยอมสัญญาว่าจะดูแลมรดกของตระกูลแทนคุณตาที่เสียชีวิตไป และต้องการพิสูจน์หาความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมด
เที่ยง - นายหนังตะลุงที่มีความสามารถและรักหนังตะลุงมาก เป็นคนสุภาพ แม้จะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เที่ยงก็ขยัน ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เที่ยงรักสารภีเหมือนน้องสาว แต่ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจและความรู้สึกที่สารภีมีให้ กลัวว่าสารภีจะเสียใจ เป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ แอบหลงรักมาลี แต่ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะตนรู้สึกว่าฐานะต่ำต้อยกว่า แต่ในที่สุดก็ได้แต่งงานกับมาลี และสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีคณะหนังตะลุงให้ลูกหลานได้สืบทอด
จิตรา : วิยะดา โกมารกุล ณ นคร
แม่ของเจนจิรา เป็นลูกคนโตประจำตระกูล มีศักดิ์เป็นป้าของเจรมัย มีความเชื่อเรื่องหนังตะลุงมาก รักครอบครัวและซื่อสัตย์กับหนังตะลุง ต้องการให้ลูกหลานพยายามตามเจรมัยกลับมาดูแลมรดก
จรรยา : “ต่อง” สาวิตรี สามิภักดิ์
แม่ของเจรมัย รักและเป็นห่วงลูกชายมาก เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เพราะตอนท้องเจรมัย ตาทวดมาเข้าฝันให้ตั้งชื่อลูกว่าเที่ยงตามชื่อของตน และเมื่อคลอดเจรมัยออกมาก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้น เธอยอมทิ้งทุกอย่าง ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่อื่นกับสามี เพราะเป็นห่วงลูก แต่วันเดินทางเกิดอุบัติเหตุจนพ่อของเจรมัยเสียชีวิต จรรยาพยายามปิดบังเหตุการณ์ในอดีต ไม่ต้องการให้เจรมัยรับรู้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอก็คือความสุขและความปลอดภัยของเจรมัย
จิรา : “กล้วย” ปรารถนา สัฌุกร
น้องสาวของจรรยา มีศักดิ์เป็นน้าของเจรมัย สนิทกับจรรยาพอสมควรเพราะอายุไล่เลี่ยกันจึงพูดคุยกันได้ง่าย และเป็นคนติดต่อกับจรรยาอยู่เสมอ เป็นคนกล้าพูดความจริงในสิ่งที่จรรยาหนีมาตลอด
จินดา : “ไก่” สุปราณี เจริญผล
เป็นพี่สาวคนโตของจรรยา มีศักดิ์เป็นป้าของเจรมัย และเป็นแม่ของจ๋า ตามใจลูกสาว และไม่เคยห้ามลูกได้ เชื่อเรื่องไสยศาสตร์มาก คอยกระแนะกระแหนเจรมัยและจรรยา เพราะเธอโกรธที่ในอดีตจรรยาหนีปัญหาไปอยู่ที่อื่น
เจนจิรา : “มะหมี่” นภปภา
ลูกพี่ลูกน้องของเจรมัย เป็นลูกของจิรา เป็นเจ้าของนิตยสารหลายหัว น่าเชื่อถือ และมีความเป็นผู้นำสูง รักความยุติธรรมและครอบครัว ต้องการให้เจรมัยกลับมาดูแลมรดกประจำตระกูล จึงวางแผนให้มัลลิกาไปสัมภาษณ์หักหน้าเจรมัยในตอนแรก
มณฑา : “ครีม” เปรมสิณี
ลูกสาวคนโตของโสภณ พี่สาวต่างมารดาของมาลี อิจฉาริษยามาลี เพราะคิดว่าพ่อรักมาลีมากกว่า และจะแย่งสมบัติทั้งหมดของเธอไป เป็นคนโมโหร้าย และดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่า ไม่อยากให้มาลีได้ดี คอยแกล้งและใส่ร้ายป้ายสีมาลีตลอดเวลา
มารศรี - นางเอกพิกุลทอง (ช่อง 7)
ลูกสาวคนรองของโสภณ เป็นน้องสาวแม่เดียวกับมารศรี หัวอ่อน เป็นลูกรับลูกส่งของมารศรี คอยติดสอยห้อยตามพี่สาวอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบมาลีตามมารศรี และคิดว่ามาลีจะมาแย่งความรักจากพ่อไป
ภวัต : แดน สมุทรโคจร
เจ้าของสำนักพิมพ์สุดหล่อ มาดเนี๊ยบ ทั้งการแต่งตัว การพูดจาเป็นที่หมายปองของสาวๆ ด้วยความสุขุม ซึ่งเจนจิรา ได้ทำงานอยู่กับภวัต และเจนจิราเป็นผู้ชักนำให้ภวัตได้รู้จักกับมัลลิกา โดยภวัตสนใจจะเพิ่มสายงานการทำงาน ซึ่งมัลลิกาเป็นผู้ที่ทำงานเชี่ยวชาญในสาขาที่ภวัตต้องการ ภวัตจึงตกหลุมรัก มัลลิกา และอยากได้มัลลิกามาครอบครอง
ภาค : สพจน์ จันทร์เจริญ
ผู้จัดการของเจรมัย สุขุม ช่างสังเกต สะอาดสะอ้านและมีความเจ้าสำอางแบบหนุ่มสมัยใหม่นิดๆ รักและเป็นห่วงเจรมัยเหมือนน้องชายคนหนึ่ง มักจะต้องรับมือกับนักข่าวและคอยแก้ไขปัญหาให้เจรมัยอยู่เสมอ
นายโพน : เอกชัย ศรีวิชัย
พ่อของสารภี เป็นเจ้าของคณะหนังตะลุง และมีความเชี่ยวชาญในการทำหนังตะลุง เป็นคนมีเหตุมีผล รักและเอ็นดูเที่ยงเหมือนลูกคนหนึ่ง นายโพนรักสารภีถึงขนาดยอมทำตามคำสั่งที่ลูกสาวขอก่อนตาย แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม (ที่ให้นายโพนสกัดเอาหนังที่แผ่นหลังของเธอไปทำหนังตะลุงให้เที่ยง) นายโพนกลับชาติมาเกิดเป็น “พระภิกษุแก่พรรษา” ที่หยั่งรู้เรื่องราวในอดีต และต้องการให้ผีสารภีอโหสิกรรมและเลิกจองเวรต่อเจรมัยและมัลลิกา
โสภณ : “ต้น” อธิวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
พ่อของมาลี เป็นคหบดีผู้ร่ำรวย น่าเกรงขาม แต่เป็นคนมีเหตุมีผล มีความยุติธรรม และมองคนออก ไม่ดูถูกคนอื่น รักลูกสาวทั้ง 3 คน แต่เป็นห่วงมาลีเป็นพิเศษ เพราะเป็นลูกคนเล็กที่เกิดจากภรรยาน้อย
เพ็ญ : "เฟรซ" อริศรา
พี่เลี้ยงของมาลี รักมาลีเหมือนญาติสนิท เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จิตใจดี เป็นห่วงและหวังดีต่อมาลี แต่เกรงใจลูกสาวคนโตทั้ง 2 คนอยู่พอสมควร ทำให้บางครั้งไม่สามารถปกป้องมาลีเมื่อเธอโดนทั้ง 2 แกล้ง
แคทลียา : พิมพ์พัชร วัชรเสวี
ดาราสาวที่ชอบและคอยตามตื๊อเจรมัยอยู่ตลอดเวลา ฐานะร่ำรวยเพราะมีพ่อเป็นเจ้าของโครงการคอนโดและบ้านจัดสรร อารมณ์ร้อน และเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบหน้ามัลลิกา เพราะคิดว่ามัลลิกาชอบเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเจรมัย
จ๋า : น้องพรีม
ลูกสาวของจินดา เด็กสาววัยรุ่น ชอบพูดจาโผงผาง ไม่คิด ยังมีความเป็นเด็กและเอาแต่ใจตัวเอง เชื่อเรื่องผี บ้าดารา และชอบชวนเจรมัยไปเที่ยวเพราะจะได้อวดกับคนอื่น
สมชาย: ธนธร กิตติศัพท์
คนสวนของบ้านนายโสภณ สอดรู้สอดเห็นและคอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายเสมอ โดยเฉพาะเรื่องของมาลี ที่โสภณให้คอยตามดูด้วยความเป็นห่วงเป็นพิเศษ