xs
xsm
sm
md
lg

DIAMOND EYES ตา-สัมผัส-ผี ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


DIAMOND EYES ตา-สัมผัส-ผี ตอนที่ 8
ตอน “พยานปากเอก”

บนถนนสายเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ตอนกลางคืน
รถแท็กซี่เขียวเหลืองเก่าๆ วิ่งฝ่าความมืดมาด้วยความเร็ว ข้างทางเป็นชายป่าดูหน้ากลัวมากๆ บรรยากาศดูหลอนๆ แล้วรถแท็กซี่ก็เลี้ยวรถลงจอดที่บริเวณไหล่ทาง ชายคนขับรีบเปิดประตูรถลงมาอย่างเร็ว เพราะปวดฉี
ขณะที่ยืนฉี่ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงสะอื่นของหญิงสาวคนหนึ่งดังแว่วมา คนขับรถเริ่มกลัวๆหันมองซ้าย มองขวา ฉี่เสร็จก็รีบใส่กางเกง ขณะที่เสียงร้องไห้ยังดังต่อเนื่อง
ชายคนขับหันกลับมาที่รถแล้วตกใจ เมื่อเห็นผีสาวคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ในรถ
ชายคนขับค่อยๆถอยหลังด้วยความกลัวจนหงายหลังล้มลงไปข้างทาง ตรงที่ตัวเองฉี่ ก่อนจะเห็นศพหญิงสาวคนหนึ่งนอนตายอยู่ใกล้ๆ ชายคนขับร้องออกมาด้วยความตกใจ…

ภายในครัว ... ผู้กองเพชรถือกระทะทอดไข่ดาว เอมิในชุดนักเรียนนั่งรอไข่ดาวจากพ่อที่โต๊ะอาหาร
เสียงโทรศัพท์ผู้กองเพชรดังขึ้น หมวดสารินโทรเข้ามา เขากดรับ
“สวัสดีครับผู้กอง ผู้กองจะลงพื้นที่เกิดเหตุที่ผมแจ้งไปเมื่อเช้าด้วยไหมครับ”
“คงไม่ทันแล้ว นี่เดี๋ยวก็ต้องไปส่งเอมิอีก ผมฝากหมวดจัดการแทนด้วยนะ มีอะไรเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อที่ออฟฟิศ”
เพชรนิ่งฟังอีกนิด ก่อนจะวางสาย
เอมิบอก “คุณน่าจะไปทำงานนะคะ โรงเรียนแค่นี้หนูไปเองก็ได้”
“ไม่เห็นเป็นไร ลูกน้องฉันก็เก่งๆกันแล้วทั้งนั้น ไว้ใจได้ ที่สำคัญ ทุกคนเขาก็อยากให้พ่ออยู่ทำหน้าที่พ่อที่ดี”
เอมิยิ้มๆ
“งั้นเย็นนี้ พ่อที่ดีช่วยไปรับหนูที่โรงเรียน แล้วก็พาไปหาอะไรอร่อยๆทานหน่อยสิคะ”
“ได้สิ”
เพชรยิ้มๆก่อนจะตักไข่ดาววางใส่จานให้

บนถนนสายเปลี่ยวที่เกิดเหตุ หมวดสารินเดินเข้ามาสมทบกับกับแอ๊บบี้ จ่าจักร และเจ้าหน้าที่ DEI คน
อื่นๆที่กำลังช่วยกันตรวจสอบที่เกิดเหตุ มีตำรวจท้องที่คอยถ่ายรูป และร่วมชันสูตรศพด้วย หมวดสารินเข้าไปยืนข้างๆแอ๊บบี้
“ผู้กองติดธุระ ให้พวกเราจัดการไปเลย”
“ธุระของคุณพ่อมือใหม่แน่ๆ”

แอ๊บบี้ขณะที่นั่งตรวจสภาพศพอยู่ พูดประชดๆ ก่อนจะหันมายื่นกระเป๋าเงินที่ได้จากศพให้หมวดสาริน
“ผู้ตายชื่อวนิดาค่ะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย สภาพศพถูกแทงจนเสียชีวิต เงินในกระเป๋าสตางค์ยังอยู่”
แอ๊บบี้ค่อยๆพลิกศพให้ดูต่างหู
“ต่างหู ของผู้ตายหายไปหนึ่งข้าง ไม่น่าจะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์นะคะ แอบบี้ว่าผู้ตาย น่าจะถูกฆ่ามาจากที่อื่นแล้วถูกนำศพมาทิ้งที่นี่ เพื่ออำพรางคดีแน่นอนค่ะ”
หมวดสารินมองรูปถ่ายบัตรประชาชนที่อยู่ในกระเป๋า

ณ กองพิสูจน์หลักฐานหน่วย “DEI” (Diamond Eyes Investigation) ตอนสายวันเดียวกัน
กระเป๋าสตางค์ ต่างหู และของอื่นๆที่พบในศพวนิดาวางอยู่บนโต๊ะแอบบี้ เธอเปิดหน้าเฟชบุ๊กของผู้ตายดู มีผู้กองเพชร สาริน และจักรยืนดูอยู่ ได้ข้อมูลเพิ่มเติม
“วนิดาเป็นนักศึกษาปี 3 คณะนิเทศศาสตร์ เอกประชาสัมพันธ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งค่ะ ข้อมูลในเฟชฯ ทำให้รู้ว่าเธอมีเพื่อนสนิทชื่อ อ้อม ทั้งสองเรียนด้วยกัน มีงานพิเศษก็ไปทำด้วยกัน แล้วก็เช่าคอนโดฯอยู่ที่เดียวกันใกล้ๆกับมหาลัยด้วย อ่อ..ล่าสุดแอบบี้มั่นใจว่าตอนนี้เพื่อนสนิทที่ชื่ออ้อมของวนิดาน่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยค่ะ”
“จะมั่นใจอะไรขนาดนั้น แอ็บบี้” ผู้กองเพขรว่า

แอ๊บบี้หันหน้าจอคอมพิวเตอร์มาให้สารินกับจักรดู
“ก็ผู้กองดูนี่สิคะ นักศึกษาที่ชื่ออ้อม พึ่งจะเช็คอินได้ไม่ถึงสิบนาที ว่าตอนนี้อยู่มหาวิทยาลัยเพราะมีเรียนกับอาจารย์พิเศษ”
หมวดสารินกับหมู่จักรขยับไปมองหน้าจอ เห็นอ้อมโพสรูปตัวเองในห้องเรียน มีอาจารย์หนุ่มคนหนึ่งเป็นคนสอน
“เอ่อ..ผู้กองครับ งั้นเดี๋ยวงานนี้ ผมกับนายจักรขออาสาไปตามสืบข้อมูลนักศึกษาที่ชื่ออ้อมนี่เองนะครับ” หมวดสารินบอก
แอ๊บบี้แซว “แหมๆ ผู้หมวดเห็นเป็นนักศึกษาเข้าหน่อยรีบอาสาเลยนะคะ ชัดไปป่ะ”
“เฮ้ย…นี่ผมไปเพราะเรื่องงานจริงจิ๊ง”
ผู้กองเพชรกับแอ๊บบี้ยิ้มๆ ที่หมวดสารินดูเหมือนจะร้อนตัว

เวลาต่อมา ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ท่ามกลางบรรยากาศนักศึกษาในมหาวิทยาลัยตามมุมต่างๆ สารินกับจักรเดินเข้ามายังบริเวณตึกคณะนิเทศศาสตร์ ผู้หมวดสารินเห็นนักศึกษาแจ่มๆก็หันมองจนคอแทบเคล็ด ก่อนที่จักรจะเห็นอ้อมกับเพื่อนๆเดินออกมากับอาจารย์หนุ่มรูปหล่อชื่อบัณฑิต เขาเป็นอดีตดาราหนุ่มหล่อที่หันมาเป็นอาจารย์พิเศษ อ้อมดูท่าทางจะสนิทสนมกับอาจารย์บัณฑิตเป็นพิเศษ สารินกับจักรเดินเข้าไปหาอ้อม พร้อมแนะนำตัว
“สวัสดีครับคุณอ้อม ผมหมวดสาริน ส่วนนี่จักร เราสองคนมาจากหน่อย DEI อยากจะรบกวนเวลาคุณหน่อย เพื่อสอบถามเรื่องเพื่อนของคุณที่ชื่อวนิดา”
อ้อมกับอาจารย์บัณฑิตมองหน้ากันนิดๆ นักศึกษาคนอื่นๆขอตัวออกไป
“วนิดา…ทำไมคะ ยัยดาเพื่อนของดิฉันเป็นอะไร”
อ้อมกับอาจารย์บัณฑิตถึงกับอึ้งๆที่รู้ว่า วนิดา เสียชีวิตแล้ว !
หมู่จักรบอก “คุณวนิดาเธอเสียชีวิตแล้วครับ มีคนพบศพเธอเมื่อตอนเช้ามืด จากการถูกฆาตกรรม ตอนนี้เรากำลังสืบหาตัวฆาตกรอยู่ เราทราบข้อมูลมาว่าคุณสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“ใช่ค่ะ เราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน”

ครู่ต่อมา หมวดสาริน หมู่จักรมานั่งคุยกับอ้อมและบัณฑิตอีกมุมหนึ่ง
 
ทั้งอ้อมและบัณฑิตยังอยู่ในอาการเศร้าเสียใจ โดยเฉพาะอ้อมถึงกับร้องไห้ออกมา
“ปกติ..เวลาที่มีเรียนวิชาเดียวกัน เราสองคนก็จะออกจากที่พักพร้อมๆกัน แต่เมื่อเช้าฉันไปเคาะประตูเรียกดาเท่าไหร่ เขาก็ไม่ยอมตอบ โทร. หาก็ไม่รับสาย ฉันก็เลยตัดสินใจออกมาก่อน คิดว่า ยัยดาอาจจะแค่ไม่สบาย”
หมวดสารินถาม
“แล้วปกติคุณวนิดาเขาเป็นคนยัง เอ่อ..ผมหมายถึง เธอเคยมีเรื่องทะเลาะหรือมีเรื่องผิดใจอะไรกับใครบางหรือเปล่า เช่นกับเพื่อนๆในมหาลัยฯ หรือเวลาไปทำงาน”
บัณฑิตบอก“ก็ไม่มีนี่ครับ ดูทุกคนก็จะรักและเอ็นดูเธอจะตาย”
“คุณวนิดาเคยมีแฟนบ้างมั้ยครับ”
อ้อมกับบัณฑิตหันมองหน้ากันนิดๆ
“มีค่ะ…ชื่อบาสเป็นหัวหน้าเด็กเสิร์ฟ แล้วก็เป็นหัวหน้าสต๊าฟอยู่ที่เวฟผับค่ะ”
“เป็นร้านที่ผมรู้จักกับเจ้าของ แล้วผมก็ชอบไปนั่งดื่มบ่อยๆ เวลาทางร้านมีอีเว้นท์หรือจัดกิจกรรมพิเศษอะไร ผมก็จะแนะนำเด็กๆให้ไปทำงานพิเศษที่นั่น ถ้าพวกคุณต้องการสอบปากคำพนักงานที่นั่น ผมยินดีให้เบอร์ติดต่อได้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนด้วยนะครับ”
หมวดสารินพยายามจับพิรุธของอ้อมกับอาจารย์บัณฑิต แต่ทั้งคู่ก็ดูไม่มีพิรุธอะไรใดๆเลย

หมวดสารินกับหมู่จักรเดินกลับมาที่รถ ก่อนที่โทรศัพท์สารินจะดังขึ้น เขากดรับสาย
“ครับผู้กอง”
“ได้เรื่องอะไรบ้างหรือเปล่า ?” ผู้กองเพชรถาม
“ได้ข้อมูลมาพอสมควรครับ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่คุณวนิดาเธอเรียนอยู่ รู้ว่าเหยื่อมีแฟนชื่อนายบาส ทำงานอยู่ที่เวฟผับ ผมกับจักรกำลังจะลองไปดูที่นั่น”
“งั้นเดี๋ยวผมไปเจอพวกคุณที่นั่นด้วยละกัน ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้จะไว้ใจใครได้บ้าง”
“ครับผู้กอง”
สารินกับจักรรีบพากันขึ้นรถแล้วขับออกไป

ในห้องแคบๆ ของห้องควบคุมระบบไฟในผับ บาส ชายหนุ่มร่างใหญ่ มีรอยสักเต็มตัว สวมกางเกงยีนส์ตัวเดียว กำลังเสพยานั่งนับตังค์อยู่ ก่อนจะมีเด็กวัยรุ่นชื่อ บิ๊ก เดินเข้ามาหา
“พี่บาส มีคนมาถามหาพี่”
“ใครวะ ตำรวจหรือเปล่า”
หมวดสารินเดินตามหลังเด็กวัยรุ่นที่ชื่อบิ๊กเข้ามา
“ป่าว..ฉันไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นหน่วย DEI”
พอบาสเห็นสารินก็พอจะเดาได้ รีบคว้าของที่อยู่ใกล้ๆมือแถวนั้นขว้างใส่แล้วโดดหนีออกไปอีกทางทันที
สารินหันไปตะโกนบอกจักร
“มันหนีออกไปแล้ว”
สารินรีบวิ่งตามออกไป

บาสวิ่งหนีออกมาทางหนึ่ง ก่อนจะโดนใครบางคนสกัดขาจนหกล้ม บาสลุกขึ้นมาตั้งตัวได้ เห็นจักรที่ตั้งการ์ดท้าทาย พร้อมต่อสู้กันด้วยมือเปล่าเต็มที่ บาสลุกขึ้นมาวอร์ม ดูจากรูปร่างแล้วยังไงก็เป็นต่อ ผู้หมวดสารินตามเข้ามาสบทบกับหมู่จักร
“ถ้าแน่จริง..ห้ามใช้อาวุธ สองรุมหนึ่งผมไม่ว่า”

หมวดสารินเดินเข้ามายืนยิ้มข้างจักร
“ฉันว่า…แกยอมอบตัวซะดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวด้วย ถูกจับด้วย เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน ฉันสองคนไม่อยากจะทำอะไรรุนแรงกับนาย”
“อย่าพูดมาก ถ้าอยากจะจับกูก็เข้ามา”

บาสตั้งการ์ดเตรียมสู้ จักรหันไปกระสิบกับผู้หมวดสาริน
“ไหวแน่นะครับหมวด หรือจะให้ผมเรียกกำลังเสริมดีครับ”
“เฮ้ย…งานหมูๆแค่นี้เอาอยู่น่า”

สารินพูดยังไม่ทันขาดคำ บาสก็โดดเข้าใส่ทั้งสองจนต้องแยกกันไปคนละฝั่ง เกิดการต่อสู้กัน แม้สถานการณ์จะดูเป็นสู้แบบสองรุมหนึ่ง แต่สุดท้ายกับเป็นบาส ที่อัดสารินกับจักรจนลงไปนอนกองที่พื้นไม่เป็นท่า บาสรีบวิ่งหนีออกไปทางหนึ่ง หมวดสารินค่อยๆคลานเข้ามาหาจักร ต่างคนต่างยังจุกๆด้วยกันทั้งคู่
สารินที่ยังจุกๆ “เรื่องนี้ขอให้รู้กันแค่เราสองคนนะจักร”
สารินกับจักรค่อยๆประคองกันลุกขึ้น ก่อนคว้าปืนออกมาจากด้านหลังแล้วตามบาสออกไป

บาสวิ่งพรวดพราดออกมา ไม่ทันเห็นรถของเพชรเพชรที่ชนบาสจนกลิ้งหลุนๆลงไปกองกับพื้นก่อนที่เพชรจะรีบลงมาจากรถ เพชรเห็นสารินกับจักรกำลังวิ่งตามเข้ามา พอจะเดาได้ว่าบาสน่าจะเป็นผู้ต้องสงสัย
บาสพอตั้งตัวได้ก็พุ่งเข้าใส่เพชรทันที
“มา…อยากจะจับกูเข้ามา”

เพชรกับบาสสู้กัน

เพชรพอเป็นมวยอยู่บ้างตั้งรับได้ทัน สุดท้ายเพชรก็อัดบาสจนต้องยกมือ ขอยอมแพ้

ต่อมา บาสนั่งจ๋อยๆอยู่ในสภาพใบหน้าฟกช้ำ หมวดสารินยื่นรูปวนิดาเข้ามาตรงหน้า

“ตกลงนายรู้จักผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม”
บาสมองรูปถ่าย ก่อนจะค่อยๆร้องไห้ออกมา
ผู้กองเพชรถามตรงๆ“นายหรือเปล่า ที่เป็นคนลงมือฆ่าเธอ”
บาสค่อยๆพยักหน้ารับ ก่อนจะร้องไห้
“ใช่ครับ แต่ตอนนั้นผมเมายา ผะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเธอเลยนะครับ ผมก็แค่พลั้งมือทำลงไป ผมไม่ได้ตั้งใจ…”
ผู้กองเพชรหันไปมองๆหน้าสาริน ก่อนที่หมวดสารินจะหันไปยิ้มๆกับจักร
“อย่างน้อย…เราก็ไม่ได้เจ็บตัวฟรีนะครับผู้หมวด” หมู่จักรบอก
หมวดสารินรีบขยับตาส่งซิก ประมาณว่าอย่าพูดไปสิเดี๋ยวผู้กองก็รู้หมด

ต่อมา นักข่าวสาวคนหนึ่งกำลังรายงานสด
“ตอนนี้ดิฉันกำลังอยู่ที่เวฟผับ เพื่อเฝ้าติดตามการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของฆาตกร คดีฆ่าอำพรางนางสาววนิดา….”

ทางด้านหลังนักข่าวเห็น บาสถูกตำรวจคุมตัวมาที่เวฟผับ ผู้กองเพชร หมวดสาริน แอ๊บบี้ และหมู่จักรมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย อ้อม เพื่อนสนิทวนิดาก็ตามมาดูการทำแผน เจอกับ ชาลี เพื่อนในกลุ่มอีกคน ที่มาในชุดทีมอาสาสมัครมูลนิธิฯ ตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้กองเพชร
“ผู้กองเพชรครับ ไหนๆหน่วยของผู้กองก็อุตส่าห์ตามจับตัวผู้ต้องหามาได้แล้ว ผมอยากจะขอรบกวนอีกซักหน่อยอ่ะครับ คือพวกผมไม่มีใครเป็นผู้หญิงที่จะแสดงเป็นเหยื่อตอนทำแผนเลย ผมก็เลยว่าจะขอ….เอ่อ…”
“ขอให้คนของผมช่วยแสดงให้”
“ครับ”
ตำรวจนายนั้นหันไปมองแอ๊บบี้ แอ๊บบี้รีบปฏิเสธ
“หนูเนี่ยนะผู้กองฯ ไม่ไหวหรอกค่ะ หนูไม่ใช่นักแสดงซะหน่อย”
“โธ่แอ๊บบี้ เขาก็ไม่ต้องต้องการการแสดงอะไรที่จะต้องเก่งถึงระดับรางวัลตุ๊กตาทองซะหน่อย แค่ทำท่าทำทางประกอบนิดๆหน่อย ถือว่าช่วยๆกันน่า” หมวดสารินบอก
แอ๊บบี้หันไปมองผู้กองเพชร ก่อนจะทำเสียงอ่อยๆ
“แต่แอ๊บบี้กลัวผีนี่คะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ถือว่าเป็นการทำบุญด้วยซะอีก”
“แน่ใจนะคะผู้กอง”
ผู้กองเพชรพยักหน้า แอ๊บบี้เหมือนจำใจต้องให้ความร่วมมือ

การทำแผนเริ่มจากเหตุการณ์ในคืนนั้น แอ๊บบี้ที่แสดงเป็นวนิดาเดินออกมาจากเวฟผับ บาสตามมาง้อจนมีเรื่องกัน บาสทำร้ายวนิดา บาสพลั้งมือใช้มีดแทงเธอจนตาย ก่อนจะเอาร่างวนิดาใส่ท้ายรถแล้วนำไปทิ้งยังที่เกิดเหตุ คนอื่นๆยืนดูแผนประกอบคำสารภาพ บางคนถ่ายรูป
“ตรงนี้เรียบร้อยแล้วนะครับ เดี๋ยวจุดต่อไป จะย้ายไปทำแผนจุดที่ผู้ต้องหานำศพไปทิ้ง ยังไง..สื่อมวลชนก็ขับรถตามๆกันไปนะครับ” ตำรวจบอก
ตำรวจนำตัวนายบาสไปขึ้นรถ
คนอื่นๆแยกกันไปขึ้นรถ
ชาลี กับ อ้อมออกไปด้วยกัน

สาริน จักร และแอบบี้กำลังเดินมาที่รถเตรียมย้าย ผู้กองเพชรเดินเข้ามากระซิบกับหมวดสาริน
“เดี๋ยวพวกคุณไปทำงานกันต่อนะ ผมขอแยกกลับไปก่อน พอดีว่าต้องไปรับเอมิที่โรงเรียน รับปากไว้ว่าจะพาไปกินข้าว”
สารินยิ้มๆกับคุณพ่อมือใหม่
“ตามสบายเลยครับผู้กอง ที่เหลือเดี๋ยวพวกเราจัดการเอง”
แอ๊บบี้บอก
“ทานเผื่อด้วยนะคะผู้กองฯ แอ๊บบี้อุตส่าห์ลงแรง ทุ่มทั้งกาย ทุ่มทั้งใจ แสดงเป็นคนตายเพื่อชื่อเสียงของ
หน่วยเรา”
“เอาน่า…อย่าบ่น อย่าบ่น เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ไปขึ้นรถ” สารินบอก
ทุกคนพากันขึ้นรถไป

ณ มหาวิทยาลัยในมุมหนึ่ง
ซินอยู่ในชุดนักศึกษา กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ มิค เฟิร์ส เดินถือน้ำ ถือขนมเข้ามาสมทบ ก่อนจะเปิดประเด็นด้วยท่าทีตื่นเต้นๆ
“เฮ้ยๆๆ ไอ้ซินมึงรู้ข่าวเรื่องรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยเราโดนฆ่าตายหรือยังวะ” มิคว่า

ซินเงยหน้ามองเพื่อนๆ แล้วส่ายหัว
“โธ่…ไอ้ควาย ก็รุ่นพี่ปี 3 สวยๆกลุ่มนั้นไง เด็กนิเทศฯที่เขาลือกันว่าชอบไปรับงานพิเศษนอกเวลาเรียน เห็นเขาพูดกันว่าพึ่งจะมีตำรวจมาสอบปากคำอาจารย์สอนพิเศษกับเพื่อนพี่เขา ตกเย็นเท่านั้นแหล่ะฆาตกรถูกจับตัวได้แล้ว” เฟิร์สว่า
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราวะ”
“เอ้า..ไอ้นี่ เขาก็เรียนที่เดียวกับเราไง ที่สำคัญนะ กูว่าไอ้ฆาตกรนั่นมันไม่ถูกจับได้ง่ายๆไปหน่อยเหรอวะ พอถูกจับได้ปุ๊บ ก็รับสารภาพปั๊บเลย ง้ายง่าย” มิคว่า
“อ้าวไอ้ห่านี่ พูดแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกจับไปปรับทัศนคติหรอกมึง มึงหาว่าตำรวจเขาจับแพะอ่ะดิ” เฟิร์สพูดกับซิน “เฮ้ย…ไอ้ซินหรือว่า..พวกเราจะไปถ่ายคลิปโกสกันอีกซักรอบดีมั้ยวะ เผื่อจะเจอวิญญาณพี่เขาไง จะได้ถามว่าคนที่ตำรวจจับได้ เป็นแพะหรือฆาตกรตัวจริง”
ซินรีบส่ายหัว
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพวกเรา ทีเรื่องเรียนไม่เห็นพวกมึงสนใจ”
ซินปากบอกว่าไม่สนใจ แต่ใจก็เหมือนจะอดคิดถึงสิ่งที่เพื่อนพูดไม่ได้
ซินหันไปเห็นนักศึกษาสาวคนหนึ่งนั่งมองเขาอยู่ ซินมองที่นักศึกษาคนนั้น คิดว่าเป็นวิญญาณที่อาจพยายามสื่อสารด้วย
ที่ไหนได้ อยู่ๆนักศึกษากระเทยคนนั้นกลับยิ้มๆให้ซินแล้วพูด
“ไปเปิดห้องกันเลยไหมคะ ถ้าจะจ้องเค้าอะไรเบอร์นั้น”

ซินรีบชวนเพื่อนๆลุกหนีออกไป

ถนนสายเปลี่ยว ณ ที่เกิดเหตุ

บาสแบกร่างแอ๊บบี้ลงมาวางที่พื้น ก่อนจะยืนชี้ให้ช่างภาพถ่ายรูป ประกอบคำรับสารภาพว่าตนได้นำศพมาทิ้งตรงนี้
แอ๊บบี้ขณะแสดงเป็นศพที่นอนอยู่นั้น อยู่ๆก็เกิดอาการแปลกๆ ตาแข็ง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังทำแผนไม่เสร็จ เหมือนคนควบคุมตัวเองไม่ได้ คนอื่นๆเริ่มแปลกใจ ในที่สุดแอ๊บบี้ก็คลุ้มคลั่ง สีหน้าแววตาเหมือนไม่ใช่แอ๊บบี้…
“แอ๊บบี้ เฮ้ย…แอ๊บบี้แอ๊บบี้เป็นอะไรเป็นอะไร” สารินถาม
“ท่าทางแปลกๆนะครับหมวด” จักรว่า

แอ๊บบี้ไม่ตอบ อยู่ๆเธอก็หันไปแย่งปืนจากตำรวจนายหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ คนอื่นๆพากันตกใจ
นักข่าวรุมถ่ายภาพเหตุการณ์
“แอ๊บบี้ เฮ้ย..แอ๊บบี้ เป็นอะไร นี่ผมผู้หมวดสารินนะ วางปืนลงเถอะแอ๊บบี้”

นักข่าวและไทยมุงหันมองหน้ากัน ต่างซุบซิบเป็นเสียงเดียวกันว่า “โดนผีเข้า”
สุดท้ายแอ๊บบี้ก็หันปืนไปจ่อที่อ้อมซึ่งยืนงงๆกับเหตุการณ์อยู่ ชาลีรีบเอาตัวบังอ้อม แอบบี้มือสั่นๆก่อนจะทำปืนลั่น “ปั้ง ! ” กระสุนพุ่งใส่แขนชาลี สารินกับจักรรีบโดดเข้าล็อกตัวแอ๊บบี้ก่อนจะแย่งปืนมาได้สำเร็จ แอ๊บบี้เป็นลมหมดสติไปในอ้อมกอดสาริน
อ้อมพอเห็นเลือดของชาลีก็ถึงกับเป็นลมล้มลงไป

บนท้องถนนแห่งหนึ่ง
ขณะที่ผู้กองเพชรขับรถอยู่ โดยมีเอมิที่นั่งอยู่ข้างๆในชุดนักเรียน โทรศัพท์มือถือเพชรดังขึ้น เพชรกดรับสาย เสียงหมวดสารินพูดผ่านโทรศัพท์มา ท่าทางตื่นเต้น..
“ผู้กองครับ..เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
“เรื่องอะไร”
“แอบบี้ครับ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ๆก็ทำตัวเหมือนคนโดนผีเข้า แย่งปืนจากตำรวจจนทำปืนลั่นให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ก่อนจะหมดสติไป ตอนนี้ผมพามาส่งที่โรงพยาบาลแล้วครับ”
ผู้กองเพชรท่าทางร้อนใจ ถาม
“มีใครเป็นอะไรมากหรือเปล่า นอกจากแอ๊บบี้” ผู้กองนิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ๆ งั้นเดี๋ยวผมจะรีบไป แค่นี้ก่อนนะ”
เพชรวางสาย เอมิหันมามองๆพ่อ
“เรื่องของอร่อยๆที่พ่อสัญญาไว้ พ่อขอติดไว้ก่อนได้ไหม พอดีพ่อมีธุระด่วน ลูกน้องพ่ออยู่ที่โรงพยาบาล”
“ก็ได้ค่ะ ไว้วันหลังก็ได้”
เอมิเบือนหน้าออกไปทางหนึ่ง ดูรู้ว่างอนๆ แต่ผู้กองเพชรไม่มีทางเลือก รีบขับรถไปที่โรงพยาบาลทันที

ผู้กองเพชร พา เอมิ เดินจ้ำๆเข้ามาในโรงพยาบาลเจอกับหมอเนตรดาว
“มาดูอาการของแอ๊บบี้เหรอคะผู้กอง”
“ใช่…ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ตอนนี้ก็แค่ยังไม่รู้สึกตัว ลูกน้องผู้กองเฝ้าดูอาการกันอยู่”
ผู้กองเพชรหันไปมองเอมิ เอมิมองหมอก้อย
“ถ้าคุณหมอไม่ว่าอะไร ผมขอฝากเอมิไว้กับหมอซักครู่ได้ไหมครับ”
หมอก้อยยิ้มๆ
“ได้สิคะ” เธอบอกกับเอมิ “เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราลงไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนะคะ ที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลมีร้านขนมอร่อยๆเยอะเลยค่ะ... ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงฉันก็ฝากผู้กองดูแลแอ๊บบี้ด้วยละกัน”
เพชรรีบเดินออกไป หมอก้อยหันมายิ้มมองเอมิ

ต่อมา แอ๊บบี้ฟื้นขึ้นมาด้วยอาการงงๆ หมวดสาริน หมู่จักรที่เฝ้าดูอาการอยู่เห็นแอ๊บบี้ฟื้น ก็รีบเข้าไปยิงคำถามใส่เป็นชุด
“แอ๊บบี้ เป็นไงบ้าง” จักรถาม
“นี่จำพวกเราได้หรือเปล่า ผมหมวดสารินนะ”
“ผู้หมวด นี่แอ๊บบี้อยู่ที่ไหน”
“นี่เธอจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆเหรอ งั้นก็แปลว่า เธอก็จำไม่ได้ด้วยสิ ว่าเธอพึ่งยิงคนจนได้รับบาดเจ็บเมื่อตอนเย็น”
แอ๊บบี้ตกใจ งงๆว่าผู้หมวดสารินหมายความว่าไง
“ผู้หมวดพูดเรื่องอะไร แอ๊บบี้ยิงใครคะ”
ผู้กองเพชรเดินเข้ามาพอดี แอ๊บบี้เห็นก็รีบเรียกทันที
“ผู้กอง..ผู้กองช่วยแอ๊บบี้ด้วยนะคะ อยู่ๆผู้หมวดสารินก็กล่าวหาแอ๊บบี้ หาว่าแอ๊บบี้ไปยิงคนจนได้รับบาดเจ็บ”
ผู้กองเพชรหันไปมองหน้าจักรกับผู้หมวดสาริน
“มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น”
“แอ๊บบี้ถูกผีเข้าครับผู้กอง” จักรบอก
หมวดสารินอธิบาย
“คืออย่างงี้ครับ ผู้กองฯ หลังจากผู้กองแยกตัวออกไป เราย้ายไปทำแผนกันต่อยังจุดที่เราเจอศพคุณวนิดา ตอนทำแผนช่วงที่นายบาสเอาศพคุณวนิดามาทิ้ง อยู่ๆแอ๊บบี้ที่นอนเป็นศพอยู่ ก็ลุกขึ้นมานั่งทำตาขวางๆก่อนจะคลุ้มคลั่งลุกขึ้นแย่งปืนตำรวจ จนเผลอทำปืนลั่นในนายชาลี เพื่อนอีกคนของคุณอ้อมที่มาดูการทำแผนด้วย”
“อะไรนะคะ นี่ผู้หมวดจะบอกว่าแอ๊บบี้ยิงคนจริงๆงั้นเหรอคะ มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะคะผู้กอง แอ๊บบี้ยิงปืนไม่เป็นซะหน่อย”
“แต่มันเป็นไปแล้วครับ” จักรบอก
“แล้วตอนนี้คนที่ถูกยิงเป็นไงบ้าง”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ นี่ผมก็ตั้งใจว่าถ้าแอบบี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ผมจะตามไปเคลียร์ให้อีกที ว่าไม่ให้เอาเรื่องพวกเรา”
“แอ๊บบี้ไปด้วยค่ะ นะคะ นะคะ แอ๊บบี้อยากไปขอโทษเขาจริงๆ แอ๊บบี้ไม่อยากติดคุก”
“คุณยังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พักอยู่ที่นี่ซักคืนสองคืน เรื่องงานเดี๋ยวพวกเราจัดการกันเอง”
แอ๊บบี้ถึงกับซึมไปทันทีที่ได้รับคำสั่ง ผู้กองเพชรหันไปมองๆหน้าผู้หมวดสารินกับหมู่จักรนิ่งๆ

หมวดสาริน ผู้กองเพชร หมู่จักรเดินออกมาจากห้องพักของแอ๊บบี้ ในบริเวณทางเดิน จักรหันไปถามสาริน
“หมวดครับ ถ้าแอบบี้ถูกผีเข้าจริงๆ แปลว่าผีตัวนั้นอาจจะกำลังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่หรือเปล่า”
สารินหันมองหน้าจักร
“แล้วถ้าคืนนี้ผีกลับมาทำร้ายแอ๊บบี้ เราจะทำยังไงดีละครับ?” จักรถาม
“คุณถามผิดคนแล้วล่ะ เรื่องแบบนี้ถ้าจะมีใครซักคนที่พิสูจน์ได้ ผมว่าก็น่าจะมีแค่ผู้กองฯคนเดียวแล้วล่ะ”

สารินบุ้ยใบ้ไปที่ผู้กองเพชร ทางด้านผู้กองเองก็เหมือนจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง…
“ถ้าต้องการความช่วยเหลือจริงๆผมก็ยินดีช่วย แต่เขาควรจะมาดีๆไม่ใช่มาทำร้ายคนของเราแบบนี้ คุณสองคนกลับไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ผมจะมาเฝ้าแอบบี้เอง”

สารินกับจักรพากันเดินออกไป

ต่อมา ผู้กองเพชรเดินเข้ามามองๆหาเอมิ

เอมิกำลังสนุกอยู่กับการกินและพูดคุยอยู่กับหมอก้อยในร้านอาหารของโรงพยาบาล เพชรยืนมองทั้งสองคนยิ้มๆ เอมิดูจะเข้ากันได้กับหมอก้อย ก่อนที่รอยยิ้มของเพชรจะหายไป เมื่อหมอสตีฟเดินถือขนม เข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วย ประมาณว่า พึ่งไปสั่งมาเพิ่ม เอมิเองก็เข้ากับสตีฟได้เป็นอย่างดี ผู้กองเพชรทำหน้าเซ็งๆ เดินเข้าไปสมทบแบบเลี่ยงไม่ได้…

ผู้กองเพชรเดินเข้าไปสมทบ หมอก้อยยิ้มๆให้เพชร
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหมคะ”
“เรียบร้อยดีครับ แอ๊บบี้รู้สึกตัวแล้ว แต่ผมอยากให้เธอนอนพักอีกซักคืน”
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่คะ”
“ไปเอมิ เรากลับบ้านกันได้แล้ว” ผู้กองเพชรบอก
“อย่าพึ่งสิครับ เราสองคนกำลังคุยกันสนุกเลย จริงไหม” สตีฟว่า
“ใช่ค่ะ คุณหมอสตีฟนี่คุยสนุกดีนะคะ” เอมิบอก
“หนูเอมิก็น่ารักมากๆ สงสัยจะได้ความน่ารักมาจากคุณแม่ น่าอิจฉาผู้กองจริงๆเลยนะครับ”
สตีฟหันไปคุยกับหมอก้อยต่อ
“อนาคตผมว่าเราก็น่าจะมีลูกน่ารักๆแบบนี้ด้วยกันบ้างนะครับ”
เพชรหันไปมองหน้าหมอก้อยนิ่งๆ ขณะที่หมอก้อยได้แต่ยิ้มๆไม่คิดว่าสตีฟจะพูดอะไรแบบนั้น
เอมิสังเกตอาการพ่อก็พอจะเดาได้ ว่าพ่อน่าจะแอบชอบหมอก้อยอยู่แน่ๆ
“ผมขอตัวนะครับ แล้วก็ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลเอมิ”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
“เอมิไปก่อนนะคะ”
เพชรพาเอมิเดินออกไป
หมอก้อยมองตามนิดๆก่อนจะหันมายิ้มๆกับสตีฟที่ยังไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป

ภายในรถเพชรพ่อลูกคุยกัน
“หมอก้อยเธอเป็นยังไงบ้าง น่ารักไหม”

เอมิเหมือนยังมีอาการงอนๆ เลยแกล้งพูด
“น่าเบื่อจะตาย อาหารก็ไม่เห็นจะอร่อยที่ยอมไปนั่งด้วยเพราะหนูไม่อยากเสียมารยาทหรอกนะคะ”
เพชรอึ้งๆไป เอมิเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ อยากจะแกล้งเพชร เพราะรู้ว่าเพชรชอบหมอก้อย
“แต่คุณหมอสตีฟนี่ น่ารักดีนะคะ คุยสนุกดี แถมยังมีเวลาให้หมอก้อยอีก ใครได้ผู้ชายแบบนั้นไปเป็นแฟน ต้องโชคดีมากๆเลยค่ะ”
เพชรฟังแล้วถึงกับจ๋อยๆ เอมิแอบยิ้มๆ ที่แกล้งพ่อตนเองได้สำเร็จ จนเพชรต้องเปลี่ยนเรื่องคุยกับลูก
“เดี๋ยวไปส่งที่บ้านแล้ว พ่อต้องกลับไปทำงานต่อนะ”
“เรื่องลูกน้องพ่อที่ถูกผีเข้าหรือเปล่าคะ”
“รู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“ได้ยินพวกพยาบาลเขาพูดๆกัน เขาบอกว่าตอนลูกน้องพ่อมาถึงโรงพยาบาล ยังมีอาการเหมือนคนโดนผีเข้า”
“แล้วเชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่าล่ะ”
“ไร้สาระ สมัยนี้เขาไล่จับโปเกม่อนกันแล้วนะคะ ใครยังเชื่อเรื่องผีเรื่องวิญญาณอยู่อีกก็บ้าแล้วค่ะ”

ท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนของมหาวิทยาลัย
ซินในชุดนักศึกษาสะพายเป้เดินเข้ามาด่อมๆมองๆหน้าตึกนิเทศศาสตร์ บรรยากาศที่หน้าตึก ดูเงียบวังเวงเป็นพิเศษ ซินหันไปมองรอบๆตึกอีกครั้ง ก่อนที่ซินจะได้ยินเสียงเท้าใครเดินมา ซินรีบหาที่หลบ
อ้อมเดินจ้ำๆออกมาจากตึก โดยมีอาจารย์บัณฑิตเดินตามออกมา
“เดี๋ยวสิอ้อม ผมขอโทษ”
อ้อมหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปพูดกับอาจารย์
“ดาเขาเป็นเพื่อนอ้อมนะคะ อ้อมผิดตรงไหนที่อ้อมอยากจะไปดูหน้าไอ้ฆาตกรที่มันฆ่าเพื่อนของอ้อม”
“ผมก็แค่เป็นห่วงคุณ ไม่อยากให้คุณไปเจอกับไอ้นั่นอีก”
“ชาลีเขาเป็นเพื่อนอ้อมนะคะ”
“แต่ชาลีไม่ได้คิดกับอ้อมแบบนั้น อ้อมก็รู้”
อาจารย์บัณฑิตเหมือนจะยอมอ่อนลง อ้อมเองก็ดูใจเย็นขึ้น
อ้อมพูดเสียงเศร้าๆ
“อ้อมพึ่งเสียเพื่อนสนิทไปทั้งคนนะคะอาจารย์ คืนนี้อ้อมก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นคนเดียวด้วย”
อาจารย์บัณฑิตเหมือนจะเข้าใจ
“ดาเขาก็เป็นลูกศิษย์ผมเหมือนกัน ผมก็เสียใจไม่ต่างไปจากคุณนะอ้อม ... ปะ เดี๋ยวคืนนี้ผมไปส่ง”
อาจารย์บัณฑิตกับอ้อมพากันเดินออกไป ซินออกมาจากที่ซ่อนแล้วมองตามทั้งสองนิ่งๆ

คืนเดียวกัน รถกระบะหน่วยกู้ชีพของมูลนิธิจอดอยู่
หมวดสารินกับหมู่จักรมานั่งคุยอยู่กับชาลีที่ท้ายรถซึ่งจอดประจำจุดอยู่ในปั้มแห่งหนึ่ง อาสาสมัครคนอื่นๆนั่งคุยกันอยู่
“ไปบอกเพื่อนของผู้หมวดได้เลยนะครับ ว่าไม่ต้องคิดมาก ผมเข้าใจสถานการณ์ดี คงไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เขามองแผลที่แขน “กระสุนก็แค่ถากๆ”
“ยังไงฉันก็ต้องขอบใจนาย”
“แค่พวกคุณจับตัวฆาตกรที่ฆ่าเพื่อนผมกับอ้อมได้ ผมก็ดีใจแล้วครับ”
“ดูท่าทางพวกคุณคงสนิทกันมาก คุณถึงได้ยอมเอาตัวเข้าขวางลูกระสุนปืนได้แบบนั้น”
“เราเคยเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม พออ้อมเขาเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ผมไม่ได้เรียนต่อเราก็เลยห่างๆกัน”
“แต่นายก็ยังแวะเวียนไปหาคุณอ้อมอยู่เรื่อยๆ”
“ตอนนี้คงไม่ได้แล้วล่ะครับ... เพราะอ้อมเองเขาก็มีคนที่คอยดูแลอยู่แล้ว” ชาลีพูดอย่างน้อยใจ

สารินมองชาลี เหมือนจับความรู้สึกได้ว่าชาลีคงผิดหวังเรื่องความรักจากอ้อมมาแน่ๆ

หมวดสารินสังเกตเห็นแววตาเศร้าๆของชาลี เลยชวนชาลีคุยต่อ

“เอ่อ..แล้วนายเคยไปที่เวฟผับบ้างหรือเปล่า ? ฉันหมายถึงไปเที่ยวหรือไปเจอกับอ้อมเขาที่นั่น เห็นคุณอ้อมบอกว่า เธอกับวนิดาเคยไปทำงานพิเศษที่นั่น”
“ผมก็พึ่งเคยไปวันนี้แหล่ะครับมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ..เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” สารินดูนาฬิกา “ดึกมากแล้ว เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันสองคนขอตัวกลับก่อนดีกว่า ขอบใจนายอีกครั้งนะที่ไม่เอาเรื่องเพื่อนฉัน”
“เรื่องเล็กน้อยครับ”
สารินกับจักรพากันเดินออกไป ชาลีมองตามนิ่งๆ

อาจารย์บัณฑิตดูท่าทางจะรักและเป็นห่วงอ้อมมากๆ เดินมาส่งอ้อมถึงหน้าห้องก่อนจะไขกุญแจและเปิดประตูห้องให้ แต่อ้อมเหมือนไม่อยากจะเข้าไปข้างในคนเดียว
“พักผ่อนเยอะๆนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมจะแวะมารับไปมหาลัยด้วยกัน”
บัณฑิตกำลังจะหันหลังกลับไป อ้อมคว้าแขนบัณฑิตไว้
“อ้อมไม่อยากอยู่คนเดียว อ้อมกลัว”
อ้อมกำแขนบัณฑิตไว้แน่น อาจารย์บัณฑิตมองหน้าอ้อมท่าทางดูลำบากใจ

คืนนั้น แอ๊บบี้นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ อยู่ๆก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเจอกับบรรยากาศหลอนๆ เริ่มจากเธอได้ยินเสียงคนร้องไห้สะอื้น ลอยมาเบาๆที่ปลายเตียง เธอเริ่มกลัวๆ ก่อนที่ผ้าห่มจะค่อยๆถูกใครบางคนดึงลงไปที่ปลายเท้า แอ๊บบี้พยายามจะยื้อ เสียงสะอื้นยังคงดังต่อเนื่อง…
“ฉันกลัวแล้ว เดี๋ยวฉันจะทำบุญใส่บาตรไปให้นะ อย่ามาหลอกมาหลอนฉันเลย”

เสียงร้องให้ยังคงดังต่อเนื่อง ผ้าห่มถูกดึงลงไปจนเกือบถึงเท้า
ในที่สุด แอ๊บบี้ก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจลุกจากเตียงแล้ววิ่งไปที่ประตู อยู่ๆผู้กองเพชรก็เดินสวนเข้ามา
“แอร๊ย”
“แอ๊บบี้ แอ๊บบี้ นี่ผมเอง แอ๊บบี้ตั้งสติหน่อยสิแอ๊บบี้”
แอ๊บบี้ลืมตาขึ้น พอเห็นว่าเป็นผู้กองก็รีบโดดหลบข้างหลัง
“ผู้กอง ผู้กองมาก็ดีเลยค่ะแอ๊บบี้ แอ๊บบี้โดนผีหลอก”
“ผี..ผีใคร ตรงไหน”
“ในห้องนี้แหล่ะค่ะผู้กองแอ๊บบี้ แอ๊บบี้ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้อยู่ที่ปลายเตียง”
ผู้กองเพชรเดินเข้าไปมองๆ พยายามสื่อสารกับผี
“ถ้าอยากจะให้ฉันช่วยจริงๆ ก็มาหากันดีๆ อย่ามาทำอะไรคนของฉันแบบนี้อีก”
“ผู้กอง ผู้กองกำลังพูดกับใคร”
ผู้กองเพชรหันไปมองรอบๆ
ผีวนิดาค่อยๆปรากฏตัวให้ผู้กองเห็น เพชรมองผีวนิดาด้วยความสงสาร
“ฉันรับปาก…ฉันจะช่วย แต่เธอต้องไม่มารบกวนคนของฉันอีก”
ผีวนิดาค่อยๆหายตัวไป

ณ สถานีตำรวจที่บาสถูกขังอยู่ยามค่ำคืน
บาสค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอื้น บาสค่อยๆขยี้ตาเพื่อปรับแสงให้เข้ากับความมืด ก่อนจะเห็นร่างของหญิงสาวมายืนมองเขาอยู่ บาสพยายามมองหน้า เห็นเป็นผีวนิดาในสภาพน่ากลัวสุดๆ บาสร้องลั่นออกมาด้วยความกลัว…..
“อ๊ากก”
ผีวนิดาค่อยๆเดินเข้าไปหา บาสยกมือปัดป้อง ร้องว่ากลัวแล้ว กลัวแล้ว

ผ่านเวลา เพชรห่มผ้าให้แอ๊บบี้ แอ๊บบี้ยังดูมีอาการกลัวๆ
“ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ต่อไปนี้เขาจะไม่มารบกวนเธออีก”
“ผู้กองหมายถึงใครคะ”
“วนิดา ผมเชื่อว่าการตายของเธอน่าจะยังมีเงื่อนงำ”
“นี่ผู้กองกำลังจะบอกว่า นายบาส ไม่ใช่ฆาตกรตัวจริงอย่างงั้นเหรอคะ”
ผู้กองเพชรพยักหน้า
“นอนได้แล้ว เดี๋ยวคืนนี้ผมจะนอนเป็นเพื่อน”

แอ๊บบี้ยิ้มเขินๆเปลี่ยนอารมณ์และน้ำเสียงไปในทันที
“มันจะดีเหรอคะผู้กองฯ ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ ใครรู้เข้ามันจะไม่ดีนะคะ”
เพชรเสียงจริงจัง “จริงสิ งั้นก็นอนคนเดียวละกัน”
ผู้กองเพชรกำลังจะเดินออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยวสิคะผู้กอง แอ๊บบี้ก็แค่ล้อเล่น อย่าทิ้งแอ๊บบี้ไปนะคะผู้กอง แอบบี้นอนแล้วค่ะ นอนแล้วค่ะ”

แอ๊บบี้รีบทิ้งตัวลงนอนแล้วห่มผ้าทันที เพชรมองลูกน้องแล้วส่ายหัวนิดๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น แอบบี้ตื่นขึ้นมาเห็นผู้กองเพชรหลับอยู่
 
แอบบี้แอบมองผู้กองยิ้มๆก่อนที่ผู้กองเพชรจะรู้สึกตัวตื่น
“หลับสบายไหมคะผู้กอง”
เพชรลุกขึ้นมานั่ง เหมือนยังงงๆว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
“ขอบคุณนะคะ ที่ผู้กองฯอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน”
“นี่กี่โมงแล้ว”
“จะแปดโมงแล้วค่ะ เอ่อ…ผู้กองมานอนเฝ้าแอ๊บบี้แบบนี้ แล้วลูกสาวผู้กองฯจะไปโรงเรียนยังไงคะเนี่ย”
ผู้กองเพชรเองก็เหมือนจะพึ่งนึกได้…

บริเวณทางเดินในโรงพยาบาล เพชรออกมาโทร. หาแม่บ้าน
“ฮัลโหลน้อย…เดี๋ยววันนี้น้อยช่วยนั่งแท็กซี่ไปส่งเอมิที่โรงเรียนหน่อยสิ ฉันคงกลับไม่ส่งไม่ทันแล้ว”
“แต่คุณเอมิออกไปแล้วนะคะ”
“ออกไปแล้ว ออกไปกับใคร ออกไปได้ยังไง”
“ก็ผู้กองฯเป็นคนส่งลูกน้องให้มารับคุณเอมิไปส่งที่โรงเรียนไม่ใช่เหรอคะ”
เพชรถึงกับงงๆ
“บอกฉันมาถ้าไม่อยากถูกไล่ออก มันเป็นใคร”

บนรถแท็กซี่ ซินกำลังนั่งยิ้มๆ เอมินั่งอยู่ข้างๆ ท่าทางสนุกสนานด้วยกันทั้งคู่
“ถามจริงๆ ตั้งใจมาหาพ่อหรือว่าแค่ใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อมาหาฉันกันแน่”
“หลงตัวเอง..ตั้งใจจะมาหาผู้กองจริงๆ เรื่องคดีที่ผู้กองทำอยู่”
“คดีนักศึกษาที่ถูกฆ่าหรือเปล่า”
ซินท่าทางแปลกใจ แต่ไม่ทันจะถามอะไรโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน ซินเห็นเบอร์แล้วยิ้มๆ
ยื่นโทรศัพท์ให้เอมิดูว่าเป็นเพชรที่โทรเข้ามา
“นี่ไง ทีนี้เชื่อยังว่าฉันทำงานให้พ่อเธอโทรมาตามงานละ” ชินรับโทรศัพท์ “สวัสดีครับผู้กอง”

เพชรคุยโทรศัพท์ท่าทางเครียดๆ
“ แกไปรับลูกสาวชั้นได้ยังไง ใครใช้ให้แกทำแบบนั้น”

ซินยังแกล้งคุยโทรศัพท์ยิ้มๆ ผิดกับอารมณ์ของฝั่งตรงข้ามมากๆ
“อ๋อ..เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับผู้กอง ตอนนี้เอมิก็อยู่กับผมครับ เราสองคนกำลังไปเรียน ผมสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยครับว่า เอมิจะถึงโรงเรียนอย่างปลอดภัยแน่นอน”
“ได้..ฉันก็ขอสาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญเหมือนกัน ถ้าฉันเจอแกเมื่อไหร่ ฉันจะกระทืบแกให้ตายคาเท้าฉันเลย ฉันขอพูดกับเอมิหน่อย”
ซินยื่นโทรศัพท์ให้เอมิ
“พ่อเธอจะคุยด้วย”
เอมิรับโทรศัพท์จากซินมาพูด
“คะพ่อ”
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน เย็นนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกต้องรอพ่อไปรับกลับบ้านเท่านั้น ห้ามไปไหนมาไหนกับไอ้บ้านั่นอีกเข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะแค่นี้ใช่ไหมคะ จะถึงโรงเรียนแล้ว”
เอมิวางสายก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้ซินยิ้มๆ
“ผู้กองเขาว่าไงบ้าง”
เอมิยิ้มๆ
“พ่อฝากบอกว่า ให้นายระวังตัวให้ดี นายโดนดีแน่ๆ”
ซินยังยิ้มๆ ไม่ได้เกรงกลัวอะไร

ผู้กองเพชรวางสายด้วยความหงุดหงิด หมวดสารินกับหมู่จักรเดินหิ้วถุงปลาท่องโก๋น้ำเต้าหูเข้ามา ดูอารมณ์ดีทั้งคู่
สารินเห็นผู้กองเพชรหน้าบึ้งๆ
“หงุดหงิดอะไรแต่เช้าครับผู้กอง ทำหน้าอย่างกับจะได้ลูกเขย”
ผู้กองเพชรหันมาจ้องหน้าสารินแบบไม่ขำด้วย สารินแก้เก้อด้วยการชูถุงน้ำเต้าหู้บังหน้า
“น้ำเต้าหู้ครับผู้กอง แอบบี้โทรสั่งให้ผมซื้อให้ผู้กองนี่..เจ้าอร่อยเลยนะครับ”
เพชรยังคงมองหน้านิ่งๆ สารินกับจักรพากันเดินนำออกไป

ในห้องพักคนไข้ ทั้ง 4 กินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไปด้วย คุยกันไปด้วย
“เมื่อคืนผมไปคุยกับนายชาลีมา นายชาลีเองก็เป็นเพื่อนกับผู้ตาย รวมทั้งคุณอ้อมด้วย แต่บอกว่าไม่รู้จักเวฟผับ ไม่เคยไปเที่ยวที่นั่น ผมว่านายชาลีเหมือนจะมีอะไรปกปิดพวกเราอยู่นะครับ”
“ฉันเองก็ยังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน แต่การที่วนิดามาให้เห็นเมื่อคืน เชื่อว่าเธอต้องการจะบอกอะไรกับฉัน”
“พอผู้กองรับปากว่าจะช่วยเธอ เธอก็ไม่มากวนแอ๊บบี้อีกเลย” แอ๊บบี้บอก
ผู้กองเพชรหันไปบอกหมวดสาริน
“เดี๋ยววันนี้นายกับจักร ไปที่โรงพักที่นายบาสถูกนำตัวไปฝากขังไว้ ไปสอบปากคำเพิ่มเติมดู เผื่อนายบาสจะรู้อะไรเกี่ยวกับนายชาลีบ้าง ส่วนฉันจะลองไปที่เวฟผับดู ยังไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นใคร อาจจะได้อะไรเพิ่มเติมกลับมาบ้าง”
“แล้วแอ๊บบี้ล่ะคะผู้กอง”
“อยู่ที่นี่”
“แต่”
“ไม่มีแต่ หรือจะให้ตามผีวนิดามาอยู่เป็นเพื่อน”

แอบบี้เลยต้องยอมแต่โดยดี

ซินเดินเข้ามาส่งเอมิ เอมิหันมาบ้ายบายแล้วกำลังจะเดินเข้าโรงเรียนไป

“ขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
“ที่ยอมออกมาด้วยนี่ยังไม่พออีกเหรอ คราวหน้าถ้าคิดจะมาเป็นเพื่อนจริงๆ ก็ไม่ต้องเอาชื่อพ่อมาอ้าง ไม่ต้องโกหกว่าเป็นคำสั่งพ่อด้วย ไม่ได้โง่”
ซินยิ้มเก้อๆที่โดนรู้ทันทั้งหมด
“กลับไปได้แล้ว ไปเตรียมตัวเตรียมโดนพ่อตื้บได้เลย คราวนี้พ่อเอาจริงแน่ๆ”
“โดนหนักแค่ไหนเราก็ยอม”
“ทำไม”
“ก็คุ้มนี่ ถ้าแลกกับการได้มาส่งเธอทุกๆวัน”
“แหว่ะ”
เอมิหันหลังเดินเข้าโรงเรียนไป…ซินร้องเพลง “เล่นของสูง” เสียงดัง “รู้ว่าเสี่ยง…แต่คงต้องขอลอง รู้ว่าเหนื่อยแต่” สาวๆที่อยู่บริเวณนั้นพากันมากรี๊ด...

บัณฑิตแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเตรียมออกไปทำงาน เดินมาหาอ้อมที่ยังนอนอยู่บนเตียง
“วันนี้คุณไม่ต้องไปเรียน พักอยู่ที่ห้องซักวันจะดีกว่า”
“อ้อมกลัว อ้อมไม่อยากอยู่คนเดียว”
บัณฑิตยังดูท่าทางอ่อนน้อมเป็นคนดีมากๆ
“เชื่อผมสิครับเดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป ตอนเที่ยงผมจะหาอะไรอร่อยๆมาให้ทานนะครับ คนดี”
อ้อมพยักหน้ารับ บัณฑิตเดินออกไป อ้อมหันมองรอบๆ ดูกลัวๆ

หมวดสารินกับหมู่จักรเดินถือข้าวกล่องและน้ำขึ้นมาบนโรงพัก มองๆหานายบาสที่ถูกนำตัวมาฝากขังไว้
“อ้าวจ่า..ผู้ต้องหาที่พึ่งเอามาฝากขังไว้เมื่อวาน ไปไหนแล้วล่ะ”
“หมายถึงไอ้บาสหรือป่าวครับ” จ่ากี้บอก
สารินพยักหน้า
“ผู้หมวดมาช้าไปแล้วละครับ ไอ้บาสมันพึ่งฆ่าตัวตายไปเมื่อตอนเช้ามืดนี่เองครับ หูย... พูดแล้วยังขนลุกครับหมวด”
“ทำไม”
“เมื่อคืน ผมนี่แหล่ะที่ต้องอยู่เข้าเวรพอดี เห็นไอ้บาสมันคลุ้มคลั่ง มันอาละวาดขึ้นมา บอกว่าผีจะมาฆ่ามัน ผีจะมาฆ่ามัน แถมมันยังเพ้อไปเรื่อย ว่ามันไม่ได้เป็นคนฆ่าใคร ไอ้ผมก็เลยตีเนียนทำเป็นนั่งคุยกับ ผู้หมวดรู้ไหมครับมันเล่าอะไรให้ผมฟัง”
สารินกับจักรมองหน้ากันนิ่งๆ ก่อนจะหันมาฟังจ่าที่เฝ้าเวรเล่าต่อ
“มันบอกว่า มันหลงรักคุณวนิดาก็จริง แต่มัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของคุณวนิดาเลย มันจำเป็นต้องรับสารภาพ เพราะมีคนอยากให้ฆาตกรตัวจริงรอดคุก”
“ไอ้บาสมันกำลังจะบอกว่า ฆาตกรตัวจริงยังลอยนวลอยู่งั้นเหรอจ่า”
จ่ากี้ส่ายหัว
“ผมว่า..มันหลอนเพราะอยากยามากกว่าครับไอ้เนี่ย ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นพ่อค้ายาบ้า ในคราบอาสากู้ชีพฯ สมควรตายแล้วครับผมว่า คนเลวในคราบคนดีอย่างมัน”
สารินกับจักรได้ฟังแล้วถึงกับอึ้งๆ

ฝ่ายผู้กองเพชรกำลังนั่งคุยกับผู้จัดการเวฟผับอยู่ ผู้จัดการดูรูปของอ้อมกับวนิดาแล้วจำได้ดี
“สองคนนี่ เคยมาที่นี่บ่อยๆ ตอนแรกก็เริ่มจากมาทำงาน อาจารย์ที่รู้จักกับเจ้าของร้านพามาฝาก” เขาชี้ที่รูปวนิดา “ไอ้บาสมันเคยชอบคนนี้ก็จริงแต่ผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย ตอนนั้นมีผู้ชายอีกคนมาชอบผู้หญิงอยู่ หลังๆไม่รู้อีท่าไหนไอ้ผู้ชายคนนั้นดันไปจีบคนชื่ออ้อมอีก สองคนนี้เขาเป็นเพื่อนกัน แต่แทนที่จะเข้าข้างกัน ดันมาทะเลาะกันเพื่อแย่งผู้ชายซะอีก”
เพชรเอารูปชาลีให้ดู
“ใช่คนนี้หรือเปล่าครับ”
ผู้จัดการร้านยิ้มๆดูเป็นมิตร
“โอ้ย... ไม่ใช่ครับ ไอ้คนนี้มันชื่อชาลี มันตามจีบผู้หญิงชื่ออ้อมอยู่ หลังๆพอคนชื่ออ้อมมีผู้ชายมาชอบผมก็ไม่เห็นชาลีอีก คนที่สองสาวเขาแย่งกันรู้สึกว่าจะเป็นอาจารย์หรืออะไรนี่แหล่ะครับ”
เพชรมองรูปถ่ายที่อยู่ตรงหน้าพยายามใช้ความคิด…

เพชรเดินกลับมาที่รถก่อนที่โทรศัพท์มือถือจะดังขึ้น หมวดสารินที่โทรเข้ามา
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
“ไอ้บาสมันตายแล้วครับผู้กองฯ พึ่งผูกคอตายเมื่อเช้า ตำรวจที่เข้าเวรเมื่อคืนบอกว่า ก่อนตายมันเพ้อๆว่าไม่ใช่ฆาตกร ฆาตกรตัวจริงยังลอยนวลอยู่”
“ชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว”
“นั่นสิครับผู้กอง”
“ตอนนี้มีตัวละครเพิ่มเข้ามาอีกสองคน ผมจะลองไปที่คอนโดฯของคนที่ชื่ออ้อม ส่วนคุณกับจักรกลับไปเฝ้าดูพฤติกรรมชาลีไว้ อย่าให้คลาดสายตา”
“คนเรียบร้อยอย่างชาลีเนี่ยนะครับ ที่ผู้กองสงสัย”
“สิ่งที่เราเห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”
เพชรวางสายจากสาริน สีหน้ามุ่งมั่น

ที่อพาร์ทเมนท์ ในห้องชาลี-
เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ ชาลีกดรับสาย
“ว่าไง”
เสียงรายงาน
“ไอ้บาสมันตายไปแล้วนะพี่ ผมซื้อข้าวตั้งใจจะเอาไปให้มัน แต่ตำรวจบอกว่ามันโดนผีเล่นงาน จนต้องฆ่าตัวตายไปแล้ว”
“ผีบ้าผีบ้ออะไร เสี้ยนยาจนทนไม่ไหวเองมากกว่า”
“ตำรวจที่เฝ้ามันเมื่อคืน ยังบอกด้วยว่า ไอ้บาสมันสารภาพหมดเลยนะพี่ ว่ามันไม่ใช่ฆาตกร ผมว่า..ทางที่ดีพี่กับแฟนพี่ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี”

ชาลีถึงกับอึ้งๆ ก่อนจะรีบกดสายทิ้งด้วยความหงุดหงิด

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น