กะรัตรัก - Diamond Lover ตอนที่ 20
หลิวซือหยวนรีบเข้ามาพบหลินจื่อเหลียงในห้องทำงานของเขา
“ท่านรองคะ คุณหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เราออกไปคุยข้างนอกกันเถอะ” จื่อเหลียงเก็บแฟ้มลุกเดินนำออกมา ซือหยวนตามไป
เป็นเวลาเดียวกับที่เซียนหนานในชุดพนักงานส่งของ จอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าตึกเทซีโร่ กดโทร.หาซือหยวน ยืนรอสายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กะมาเซอร์ไพรส์คนรัก
ในขณะเดินมาขึ้นรถ เซียนหนานโทร.เข้ามาพอดี ซือหยวนกดรับ
“ฮัลโหลที่รัก วันนี้ผมได้รับเงินเดือน เอ่อ เราไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ ผมเลี้ยงหมูกระทะคุณดีมั้ย ว่ายังไง”
“ขอโทษที วันนี้ฉันต้องทำโอที คุณไปกินคนเดียวเถอะ”
เซียนหนานแปลกใจนิดๆ แต่ไม่คิดอะไรมาก ก้าวขึ้นรถ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นซือหยวนเดินออกมาพร้อมกับผู้ชายรูปหล่อคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมแต่งตัวดี ชายคนนั้นเกลี่ยผมที่ระปิดหน้าซือหยวน ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินขึ้นนั่งตอนหลังรถคู่กันด้วยท่าทีอันสนิทสนม
เซียนหนานมองตามรถที่แล่นออกไปด้วยสีหน้าตะลึงตะไล เขาเข่าอ่อนจนแทบไม่มีแรงสตาร์ตเครื่องยนต์
สองคนนั่งดื่มไวน์ขาวรออยู่ในห้องๆ หนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงลูกน้องเคาะห้องดังขึ้น เดินเข้ามาในนั้น
“คุณหลินครับ”
ซือหยวนร้องบอกไปว่า “เข้ามา”
ชายในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาหายื่นซองสีน้ำตาลให้
“คุณหลิน นี่คือรูปถ่ายที่เราถ่ายมาได้ครับ”
จื่อเหลียงคว้าหมับวางแก้วลงยิ้มร้ายหันมาเอาใจซือหยวน “คุณกังวลเรื่องมี่โตะไม่ใช่เหรอ ในที่สุดผมก็เจอจุดอ่อนของเขาแล้ว ลองเปิดดูสิ”
พร้อมกับว่าจื่อเหลียงยื่นซองให้ชู้รัก เจ้าแม่แบรนด์เนม “ผู้ชายที่อยู่ในภาพถ่ายอยู่ร่วมชายคาเดียวกับมี่โตะ ด้วยนิสัยของเซี่ยวเลี่ยงหลังจากที่เขาเห็นมี่โตะต้องพบจุดจบแบบคาดไม่ถึงแน่”
ซือหยวนหยิบภาพออกมาดูทีละใบๆ จนหมด หันมาบอกจื่อเหลียงที่ดื่มไวน์อย่างรื่นรมย์ด้วยสีหน้าตกใจ
“ท่านรองหลิน นี่คือคุณเซี่ยวทั้งนั้น”
จื่อเหลียงวางแก้วไวน์คว้ารูปมาดู ล้วนเป็นภาพตอนเซี่ยวเลี่ยงโอบกอดเหม่ยลี่อย่างรักใคร่ทั้งหมด เขาโมโหสุดขีด ลุกขึ้นอาละวาดลูกน้องเสียงดังลั่น
“ทำไมเป็นเขา ฉันบอกให้ถ่ายแกอีกคน ไม่ใช่เรอะ”
“เราจับตาดูตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตอนนี้ก็ถ่ายได้เท่านั้น จะให้พวกผมเฝ้าต่อไปมั้ยครับ” ลูกน้องถาม
“ออกไปได้” จื่อเหลียงโบกมือไล่ ผิดหวังมาก
ซือหยวนลุกยืนด้วย พยายามปลอบชู้รัก
“ใจเย็นๆ นะคะ”
จื่อเหลียงหงุดหงิดปัดแขนเธออก เหวี่ยงซองรูปทิ้งอย่างอารมณ์เสีย
ตกตอนค่ำหลินจื่อเหลียงให้คนขับรถขับมาส่งซือหยวนที่อพาร์ตเมนต์เช่นเคย วันนี้เขากางร่มมาส่งถึงในตึก บังเอิญนักว่าเซียนหนานเดินมาจากอีกทางชะงักกึกหลบมุมแอบดู เห็นเมียรักถอดเสื้อคลุมคืนให้จื่อเหลียง
“ท่านรองหลิน ขอบคุณที่มาส่งฉัน นี่เสื้อของคุณ”
จื่อเหลียงจับมือซือหยวนมากุมจนได้แม้อีกฝ่ายจะขัดขืนเพราะกลัวใครมาเห็น
“ทำไมมือเย็นอย่างนี้ล่ะ”
“ฝนตก เลยเย็นนิดหน่อย”
จื่อเหลียงใส่เสื้อคลุมคืนให้ “รีบเอาเสื้อคลุมเร็ว”
ซือหยวนบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธ “ไม่ต้องค่ะ ฉันกลัวแฟนเห็นแล้วจะเข้าใจผิด ท่านรองหลิน ดึกมากแล้ว คุณกลับไปเถอะค่ะ”
“ผมไม่ชอบให้ใครปฏิเสธผม”
จื่อเหลียงมองหน้าอย่างไม่พอใจ แล้วหันไปคว้าร่มมากางหันมาบอกอีกครั้งว่า
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย” จากนั้นจึงเดินหัวเสียกลับไปขึ้นรถ
ซือหยวนมองตามด้วยสีหน้าอึดอัดและว้าวุ่นใจ ส่วนเซียนหนานขบกรามแน่นรีบหลบขึ้นห้องไปทางบันไดอีกฝั่งโดยไว
เซียนหนานนั่งรออย่างใจเย็น จนเห็นซือหยวนเดินเข้ามาจึงถามโดยไม่ยอมมองหน้า
“ทำไมกลับดึกล่ะ”
“ฉันทำโอทีน่ะ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าไม่ต้องรอฉัน”
เซียนหนานปรายตามองกระเป๋าใบใหม่ที่คนรักถืออยู่ในมือ
“กระเป๋าใบนี้ ได้มาจากไหน”
“อ้อ ดูสิเพิ่งซื้อน่ะ แค่ของก็อป ไม่แพงหรอก”
“จริงเหรอ”
ซือหยวนพยักหน้ายืนยัน “อืม”
เซียนหนานลุกขึ้นกระชากกระเป๋ามาอย่างแรง “แต่ผมว่า เหมือนของจริงมากเลยนะ”
ซือหยวนตกใจ และเปลี่ยนเป็นโกรธ คว้าคืนมาอย่างหวงแหน “นี่ คุณทำอะไร บ้าไปแล้วเหรอ”
เซียนหนานไม่ยอมคืนให้ ยื่นหนีไปสุดแขน ตวาดลั่น
“ไหนบอกว่าของปลอมไง ของปลอมแล้วจะกังวลทำไม คุณโกหกผมใช่มั้ย กระเป๋าใบนี้ผู้ชายคนนั้นซื้อให้คุณใช่มั้ย”
“คุณพูดอะไร” ซือหยวนทำไก๋
“ผมเห็นกับตา พวกคุณโอบกอดกันเดินมา คุณเห็นผมเป็นสามีบ้างมั้ย”
เซียนหน้าขว้างกระเป๋าทิ้งตรงหน้า ซือหยวนตกใจไม่เคยเห็นเขาเกรี้ยวกราดขนาดนี้ แต่เธอยังคงปฏิเสธเสียงดังลั่น
“คุณอยากให้ฉันอธิบายใช่มั้ย ได้ ฉันกับท่านรองหลินเป็นแค่เจ้านายกับลูกน้อง ฉันแค่พูดคุยเรื่องงานกับเขาเท่านั้น”
เซียนหนานบันดาลโทสะ ตบหน้าเปรี้ยง “ยังจะโกหกอีกเหรอ”
“คุณตบฉันเหรอ” ซือหยวนหน้าหัน ค่อยๆ ยกมือปัดผมปรกหน้าออก
“ใช่ ผมจะดึงสติของคุณกลับมา ตอนนี้คุณไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรี เพื่อยกระดับให้สูงขึ้นคุณกล้าขายตัวเอง คุณมีความละอายใจบ้างมั้ย” เซียนหนานด่าว่าอย่างรุนแรง
ซือหยวนกุมแก้มข้างที่โดนตบหันมาช้าๆ “เราเลิกกันเถอะ”
เซียนหนานตะลึงคาดไม่ถึง “คุณพูดว่าไงนะ”
“เราเลิกกันเถอะ ชีวิตแบบนี้ฉันทนมาพอแล้ว”
ซือหยวนก้มหยิบกระเป๋าเดินหุนหันออกไป เธอตัดสินใจเลิกทางเดินชีวิตใหม่แล้ว
เซียนหนานใจหายทิ้งตัวลงนั่งอย่างคนหมดแรง ก้มหน้าลงยกสองแขนปิดดวงตาแดงช้ำ เชื่อว่าเขาคงจะร้องไห้อีกไม่นานนี้เป็นแน่
เช้าวันนี้เหลยอี้หมิงออกตระเวนดูบ้านเช่า ตั้งแต่ตื่น จนเวลานี้เขากำลังยืนเหม่อดูห้องอีกแห่งที่นายหน้าหญิงช่างเจรจาอวดโอ้สรรพคุณเกินจริงให้ฟังอยู่
“คุณคะ บ้านหลังนี้มีสไตล์การตกแต่งอย่างเรียบง่าย อบอุ่นและเป็นธรรมชาติ สามารถตอบสนองความต้องการของคนรักอิสระได้เป็นอย่างดี คุณดูผนังนี่สิคะ บ่งบอกถึงความรู้สึกที่แข็งแกร่งมาก และตู้เสื้อผ้านี่ก็มีความทันสมัยอย่างมาก ส่วนผ้าม่าน เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดเรามีให้คุณครบ แล้วก็หน้าต่าง เมื่อเปิดหน้าต่าง เฮ้อ อากาศจะบริสุทธิ์มากๆ และห้องนอนเล็กๆ ยังมีหน้าต่างสองบาน ระบายอากาศได้ดีมากๆ และราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ คุณต้องพอใจในราคาอย่างแน่นอน เป็นยังไงคะ โอเคมั้ย” “คุณคะๆ โทรศัพท์ดังค่ะ
“ฮัล...ฮัลโหล เอ่อ...ตอนนี้ฉันกำลังดูบ้านอยู่ โอเคมาก มีหน้าต่างบานใหญ่ชมวิวตั้งสองบานมีแสงเข้ามาดีมากและระบายอากาศได้ดี เอ่อ...ที่สำคัญยังมีตู้เสื้อผ้า...สไตล์โมเดิร์นอย่างที่คุณชอบ สวยมากด้วย และเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีครบครัน ที่สำคัญที่สุดก็คือผนังของบ้าน มีความเป็นศิลปะมาก” ศิลปะที่ว่าคือใช้หนังสือพิมพ์ปิดแปะลงไปลวกๆ หยาบๆ
“ถ้าเงินนายไม่พอฉันให้ยืมได้นะ วันหยุดฉันไปช่วยทำความสะอาดนะ บ๊ายบาย”
นายหน้ายิ้มกริ่ม “เซ็นสัญญาได้ยังคะ”
อี้หมิงบอกหน้าเคร่ง “บ้านหลังนี้แย่เกินไป เปลี่ยน”
นายหน้าพาอี้หมิงมาดูอีกห้อง สภาพแย่กว่าเดิมหลายขุม เป็นห้องขนาด 4 คูณ 4 เมตร ที่นอนติดกับห้องน้ำ อี้หมิงตะลึงตะไล นายหน้าเจื้อยแจ้วพรีเซ็นต์ว่า
“คุณคะ เราหาบ้านให้คุณตามมาตรฐานที่คุณต้องการแล้ว มาดูทางนี้สิ นี่คือระเบียง เมื่อเปิดประตูจะเห็นวิวที่สวยงาม และยังมีความรู้สึกที่เงียบสงบอีกด้วย แล้วก็ทางนี้ คุณคะ ห้องนอนของคุณอยู่ทางนี้ ข้างในนี้เหมาะสมกับคุณมาก ดูสิคะ ตรงนี้ มีฝักบัวและอ่างจากุชชี่อุปกรณ์ครบครัน นอกจากนี้ ไม่ว่าตอนที่คุณขับถ่าย หรือว่าอาบน้ำ ก็สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน แล้วก็ยังมีเตียง ฉันรู้ว่าคุณกังวลเรื่องเตียงใช่มั้ย ฉันคิดไว้ให้คุณแล้วค่ะ ห้องนี้กว้างสี่เมตร เราจะซื้อเตียงแห่งความฝันให้คุณสองเมตร ส่วนข้างๆ ยังสามารถให้คุณวางหมอนข้างเล็กๆ ได้ สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ทางนี้ เมื่อปิดเปิดประตูบานนี้ ก็จะกลายเป็นห้องนอนแยกต่างหาก ไม่ว่าใกล้เคียงจะมีผู้เช่ามากแค่ไหน ก็ไม่สามารถรบกวนชีวิตส่วนตัวของคุณได้ คุณคะ ห้องนี้เป็นยังไง”
“ผมว่าไม่ต้องซื้อเตียงอะไรนั่นหรอก คุณแค่ปูฟูกในอ่างอาบน้ำให้ผมก็พอ ถ้าไม่ได้ผมจะนอนในอ่างอาบน้ำ มันก็โอเคนะ” อี้หมิงประชด
“งั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้าหากว่าคุณมีปัญหาเรื่องเงินล่ะก็ บริษัทของเรา มอบเตียงให้คุณหนึ่งเตียง โอเคมั้ยคะ”
อี้หมิงอึ้งทึ่ง “ใจดีขนาดนี้เชียว ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อี้หมิงถามย้ำ “มีให้เตียงด้วยเหรอเนี่ย”
อีกฟากเซี่ยวเลี่ยงเตรียมตัวอยู่ในห้องประชุม เหม่ยลี่อยู่ด้วย
“มี่โตะ ช่วยยกน้ำให้ผมหนึ่งแก้ว อ้อ เชิญคุณไปนั่งทางโน้น ได้มั้ย”
เหม่ยลี่อึ้ง เพราะเป็นที่นั่งข้างซ้ายติดกับเขา “คุณเซี่ยว”
“คุณนั่งตรงนี้ การประชุมในครั้งนี้สิ่งสำคัญคือผลสรุปปัญหาการขายสินค้าใหม่ ทางศูนย์ตัวแทนจำหน่ายได้ส่งยอดขายหลังจากจดทะเบียนหนึ่งสัปดาห์ ยอดการขายที่ดีที่สุด ก็คือซีรีส์สตาร์”
เซี่ยวเลี่ยงกระแอมเมื่อทุกคนเข้ามาพร้อมหน้า
“หวังว่าทุกคนจะรีบประสานงานกับฝ่ายขาย เพื่อให้เข้าใจปัญหาและข้อดีข้อเสียของแต่ละคอลเล็กชั่น”
“คุณเซี่ยว ผมให้นักออกแบบหลิวทำรายงานการออกแบบมาให้แล้ว ทุกคนลองฟังดูนะครับ” จื่อเหลียงเอ่ยขึ้นพลางหันไปทางชู้รัก
ซือหยวนลุกยืนรายงาน “คุณเซี่ยว ทุกท่าน จากการดูสถิติของฝ่ายขาย การขายของสัปดาห์นี้กับสัปดาห์ก่อนเพิ่มสูงขึ้นถึงสามเปอร์เซ็นต์ ประเภทและจำนวนมีดังนี้ ซีรีส์สตาร์ สามสิบห้าชุด หงถังซีรีส์สิบสี่ชุด เบอร์ลิน...”
มีสายจากอี้หมิงเข้ามาเหม่ยลี่กดรับพูดสายเบาๆ เซี่ยวเลี่ยงมองไม่พอใจ
“ฮัลโหล เรื่องเช่าบ้านของนายก็ตัดสินใจเองเถอะน่า นายคิดว่าโอเคก็พอแล้ว ไม่ต้องถามฉันทุกเรื่องก็ได้ ตอนนี้ฉันประชุมอยู่”
ซือหยวนรายงานต่อ “ซีรีส์สตาร์ แปดชุด”
เหม่ยลี่คุยต่อ “นายเทียบดูเองก็ได้ นายชอบก็พอแล้ว ฉันประชุมอยู่เดี๋ยวค่อยโทรกลับไปได้มั้ย โธ่เอ๊ย”
จื่อเหลียงมองเหม่ยลี่ยิ้มร้ายให้
ซือหยวนรายงานไปเรื่อยๆ “ซีรีส์สตาร์ แปดหมื่น หงถังซีรีส์ เจ็ดหมื่น เบอร์ลินดาวหนึ่งแสนหนึ่งหมื่น”
“ขอบคุณมาก เชิญนั่ง เชิญทุกคนหารือกันต่อ” เซี่ยวเลี่ยงบอก
ผ่านไปอีกสักครู่ เซี่ยวเลี่ยง ลุกขึ้นปิดประชุม
“วันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ กลับไปทำงานได้
ทุกคนเดินออกไป สาวๆ แผนกออกแบบมารุมล้อมเอาใจเหม่ยลี่ ยิวยิวเป็นต้นเสียง
“มี่โตะๆ เธอกับคุณเซี่ยวเป็นอะไรกันเหรอ แม้แต่ตอนประชุมเขายังสนใจแต่เธอคนเดียว”
“ใช่ จริงด้วย” หนานหนานผสมโรง
เหม่ยลี่ปฏิเสธ “พวกเธอเข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่หรอกมั้ง เธออย่าโกหกเลย พวกเราดูออกตั้งแต่แรกแล้ว” หนานหนานว่า
ยิวยิวพยักพเยิด “ใช่แล้ว”
“เธอกับคุณเซี่ยวคบกันอยู่ใช่มั้ย” หนานหนานถาม
“ใช่แล้วมี่โตะ ต่อไปเธออาจจะได้เป็นนายหญิงของเราก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเธออย่าลืมพวกเรานะ” สาวผมหยิกยาวว่า
หนานหนานบอก “ใช่แล้ว”
ยิวยิว “มี่โตะ แต่ก่อนที่เธอยังไม่ได้เป็นนายหญิง เธอรีบเปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสองในอินเตอร์เน็ตเลยนะ ใส่สบายมาก แนวแฟชั่น ราคาถูกด้วย”
หนานหนาน “ฉันรู้จักร้านเด็ดๆ ด้วยล่ะ”
ยิวยิว “ใช่แล้ว มาๆๆ”
รอจนทุกคนพ้นห้องประชุมไปแล้ว จื่อเหลียงจึงลุกเดินมาหา
“พวกคุณไม่มีงานทำหรือไง มี่โตะ แสดงความเจ้าชู้ต่อหน้าคนมากขนาดนี้ ต้องการเปิดเผยความสัมพันธ์แฟนเหรอ”
เหม่ยลี่ลุกขึ้น “คุณพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”
“ด้วยบุคลิกที่มีความสามารถอย่างคุณเซี่ยว จะคบกับพนักงานเล็กๆ อย่างนี้ได้ยังไง ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปล่ะก็ คุณจะให้เขาเอาหน้าไปไว้ไหน” จื่อเหลียงยิ้มเยาะ
เหม่ยลี่ย้อนว่า “คุณเซี่ยวยินดีคบกับใคร คงไม่ได้ทำให้คุณเดือดร้อนจริงมั้ย”
ฎ”แน่นอนอยู่แล้ว ผมแค่เตือนคุณด้วยความหวังดีเท่านั้น เพราะผู้ชายอย่างคุณเซี่ยว แค่เป็นแฟนกับเขาก็พอแล้ว อย่าคิดจะแต่งงานเข้าบ้านเด็ดขาด เพราะว่าในขอบประตูบ้านตระกูลเซี่ยวทำให้ผู้หญิงสะดุดล้ม มามากแล้วล่ะ ผมไม่อยากให้เพิ่มคุณเข้าไปจริงๆ”
คำพูดของหลินจื่อเหลียงทำให้มี่เหม่ยลี่เครียดขึ้นมาอีกจนได้
มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เซี่ยวเลี่ยงเอ่ยอนุญาตไป “เข้ามา”
เหม่ยลี่เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ “ฉันอยากพูดเนื้อหาที่เกี่ยวกับการประชุมเมื่อครู่ค่ะ”
“มาอธิบายตอนนี้สายไปหรือเปล่า”
เหม่ยลี่งง “หืม อธิบายเหรอ”
เซี่ยวเลี่ยงตำหนิ “เวลาผมพูดผมไม่ชอบให้คุณคุยกับคนอื่น”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ฉันมีธุระด่วนจริงๆ แต่ตอนนี้ที่ฉันมาหาคุณ เพราะอยากมาเสนอความคิดเห็นกับคุณเล็กน้อย ต่อไปอยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่าใกล้ชิดกับฉันมากได้มั้ยคะ”
คราวนี้เซี่ยวเลี่ยงเป็นฝ่ายงง และแปลกใจมาก “คุณพูดอะไร”
“เพราะวันนี้ตอนที่ประชุม คุณจ้องมาที่โทรศัพท์ของฉันตลอด แล้วยังบังคับให้ฉันนั่งใกล้คุณ อย่างนี้คนอื่นจะเข้าใจผิดนะคะ”
“เข้าใจผิดอะไร”
เหม่ยลี่อึ้งๆ อายๆ “คิดว่าเรามีความสัมพันธ์แบบนี้ไง”
เซี่ยวเลี่ยงจ้องหน้า “แล้วมันไม่จริงงั้นเหรอ”
“แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไร”
เหม่ยลี่อึกอัก “แต่ว่า แต่...แต่ว่า…บริษัทของเรามีกฎว่าห้ามมีความรักในที่ทำงาน คุณเป็นคนกำหนดเองนะ ถ้าคุณจะละเมิดกฎก็ต้องปกปิดไว้บ้างสิ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่สนว่าใครคิดยังไง”
“แต่ฉันสนใจนี่นา ตอนนี้ทุกคนดีกับฉันมากๆ ไม่เพียงแค่ชงชายกน้ำให้ฉัน แต่ยังชวนฉันกินข้าวด้วย ฉันเคยชินกับการถูกพวกเขากดขี่จู่ๆ มาดีกับฉัน มันอึดอัดมาก”
“ชวนกินข้าวเหรอ เฮ้อ งั้นต้องไปจัดการหน่อยแล้ว เอางี้ ต่อไปไม่ว่าเป็นงานสังสรรค์อะไรที่มีเพื่อนร่วมงานชายคุณต้องรายงานผมล่วงหน้าครึ่งวัน ถ้าผมกำลังยุ่งอยู่ไม่มีเวลาออกงานด้วย หรือไม่มีผมอยู่ด้วย คุณก็ไม่ต้องไปออกงาน นอกจากนี้ ไม่ว่างานไหนที่มีเพื่อน หรือลูกค้าเพศตรงข้าม พยายามที่จะพัฒนากับคุณ นอกจากเรื่องงานให้รายงานผมภายใน 24 ชั่วโมง หืม”
เหม่ยลี่ยิ้มกว้าง ยิ้มแล้วยิ้มอีก แก้มแทบแตก “ได้ค่ะ เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ทำไมฟังดูแล้วมันแปลกๆ ล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงยังไม่พอใจ “เฮ้อ ผมรู้สึกว่าขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ใช่แล้ว เอาอย่างงี้ เมื่อกี้คุณบอกว่าให้ผมอยู่ห่างคุณ ผมรับปากคุณได้นะ แต่คุณต้องรับรองขีดจำกัดของโทรศัพท์ ยังมีอีก ในระหว่างการทำงานคุณต้องมารายงานกับผมทุกวัน ส่วนในวันหยุด เวลาของคุณเป็นของผมทั้งหมดทุกอย่างแล้วแต่ผม”
เหม่ยลี่ท้วง “แต่เราแอบคบกันนะ คุณทำอย่างนี้มันเกินไปหรือเปล่าล่ะ”
เซี่ยวเลี่ยงนึกได้กระแอม ปิดจ๊อบกฎเหล็กของเขา
“ข้อสุดท้าย ในระหว่างคบกันทุกอย่างของเรา ผมเป็นคนตัดสินใจเข้าใจมั้ย ออกไปได้”
พนักงานสาวคนหนึ่งขวางไว้ไม่ยอมให้เซียนหนาน ซึ่งอยู่ในชุดพนักงานส่งพัสดุเข้าไปในแผนกออกแบบ ใส่เสียงเอ็ดตะโรเถียงกันลั่น
“นี่คุณเข้าไปไม่ได้นะ คุณไม่ใช่พนักงานเข้าไปไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
เซียนหนานพยายามอธิบาย “ไม่มีอะไรแฟนของผมทำงานอยู่ที่นี่”
“ไม่ได้จริงๆ”
“ผมแค่เจอแป๊บเดียว” เซียนหนานหันมาเห็นซือหยวน “นี่ ซือหยวน...ซือหยวน...ซือหยวน แฟนของผม”
ซือหยวนตกใจเดินแกมวิ่งมาหา “ขอโทษนะคะ ฉันรู้จักคนๆ นี้ ขอบคุณมาก”
เซียนหนานถูกซือหยวนลากออกไปคุยกัน “มากับฉัน”
สองคนอยู่ในสวนหย่อมบนดาดฟ้าตึก เซียนหนานพยายามงอนง้อขอโทษ
“ซือหยวน”
แต่ซือหยวนโกรธจัดขึ้นเสียงใส่ “ใครให้คุณมาหาฉันที่บริษัท”
“ผมขอโทษเมื่อวานผมผิดเอง ผมรับรองจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
“ฉันไม่อยากฟังคำอธิบายของคุณ ระหว่างฉันกับคุณจบแล้ว นับจากนี้ไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก”
เซียนหนานพยายามโน้มน้าว แต่ไม่ได้ผล “ผมรู้ว่าคุณกำลังโกรธอยู่ อย่าโมโหเลยนะ”
ซือหยวนถอดแหวนออกจากนิ้วชูขึ้นตรงหน้าเซียนหนาน
“จำตอนฉันบอกให้คุณซื้อแหวนวงนี้ได้มั้ย นี่คือความหวังครั้งสุดท้ายที่ฉันให้คุณ และเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเกลี้ยกล่อมตัวเองให้เดินกับคุณต่อไป ฉันไม่คิดเลยว่าแม้แต่แหวนลดราคาคุณก็ไม่เต็มใจให้ฉัน นับจากตอนนั้น ฉันผิดหวังในตัวคุณมาก ฉันทนพอแล้ว”
ซือหยวนยัดแหวนวงนั้นใส่มือเขาแล้วเดินหนีไปทันที เซียนหนานยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มมองแหวนมืออย่างหัวใจสลาย
ขณะที่จื่อเหลียงเดินเข้ามาในบริษัท ได้ยินพนักงานสาว 3 คน จับกลุ่มเม้าท์มอยกันเรื่องซือหยวนอยู่ตรงทางตึก จึงชะลอฝีเท้าให้ช้าลงและหยุดฟัง
สาว1เปิดประเด็นดุเดือด “แฟนซือหยวนที่รวยๆ คนนั้น เป็นพนักงานส่งพัสดุ พวกเธอไม่เชื่อเหรอ วันนี้มาโวยวายถึงบริษัทพวกเธอเชื่อหรือยัง โธ่เอ๊ย ฉันเคยบอกแล้วว่าหลิวซือหยวนกับผู้ชายคนนั้นต้องคบกันไม่ยืดแน่ ดูสิ ตอนนี้เลิกกันแล้วล่ะ”
สาว2 เสริมว่า “แต่พวกเขาเลิกกันเร็วจังเลย ครั้งก่อนที่ร้านแฟนของเขาใส่ชุดพนักงานส่งพัสดุชัดๆ เธอไม่เห็นเหรอ ตอนนั้นสีหน้าของหลิวซือหยวนเป็นยังไง แค่หยิบของแบรนด์เนมยังมือสั่นเลย”
จื่อเหลียงนิ่งฟังเก็บข้อมูลด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทางด้านซือหยวนร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอดื่มเหล้าตั้งแต่หัวค่ำจวบจนดึกดื่น เมาแทบไม่มีสติ จื่อเหลียงซึ่งอยู่ด้วยตั้งแต่แรกห้ามเธอก็ไม่ฟัง จนเขาต้องหยิบขวดเหล้าหนี
“พอแล้ว เลิกดื่มได้แล้ว ผมไม่ชอบให้คุณเป็นแบบนี้ ทำตัวสำมะเลเทเมา เพราะความรัก ไร้คุณค่าสิ้นดี”
ซือหยวนหันมาจ้องหน้าเขา “ฉันอยากถามคุณมานานแล้ว คุณเคยรักใครอย่างจริงใจมั้ย”
“ผมไม่ให้ความสำคัญกับความรักอยู่แล้ว”
“นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าของคุณ ในเมื่อคุณรักไม่เป็น มีสิทธิ์อะไรมาสอนฉันล่ะ ฉันไม่ต้องการให้คุณดีกับฉันต่อไปด้วย”
“เพราะอะไร”
“เพราะฉันไม่อยากทำให้คุณสั่นคลอน ถ้าแม้แต่หัวใจตัวเองฉันยังห้ามไม่ได้ ฉันก็ต้องไปขอโทษเซียนหนานแล้ว” ซือหยวนเสียงสั่นสะท้านคว้าเหล้ามาเทดื่ม จื่อเหลียงแย่งขวดเหล้าหนีไม่ยอมให้ดื่มอีก
“พอแล้วเลิกดื่มได้แล้ว ผมจะไปส่งคุณกลับบ้าน เอามา”
จือเหลียงจับตัวซือหยวนจะพากลับ แต่เธอสะบัดออกอย่างแรงโวยลั่น
“กลับบ้านเหรอ ฉันยังมีบ้านให้กลับอีกเหรอ”
“งั้นไปอยู่บ้านผม”
จื่อเหลียงจับแขนอีก ซือหยวนสะบัดออกไม่ยอมกลับ
“คุณถอยไปนะ”
“อย่าโวยวายคุณเมาแล้วนะ”
“ฉันเกลียดคุณที่สุดคุณรู้มั้ย ทำไมคุณต้องทำลายชีวิตของฉันกับเซียนหนานด้วย เพราะอะไร”
ซือหยวนทุบตีจื่อเหลียงพัลวัน โดยที่เขายืนนิ่งให้ตี สุดท้ายเธอปล่อยโฮแล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง
“พอแล้ว” จื่อเหลียงตวาดลั่น
ซือหยวนถอนสะอื้น ร้องไห้ไประบดระบายไป “ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ทำไมฉันต้องเลือกเส้นทางนี้ นับจากวันนี้ไป ฉันต้องเป็นผู้หญิงเลว ฉันไม่มีหน้าไปเจอเขาอีกแล้ว”
จื่อเหลียงสงสารดึงร่างซือหยวนมากอด เธอดิ้นหนีและขัดขืนในเบื้องแรงสุดท้ายก็ปล่อยให้เขาโอบกอดไว้เต็มวงแขน เอาแต่พูดพร่ำอยู่คำเดียวซ้ำไปซ้ำมา ร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ
“ฉันกลับไปไม่ได้อีกแล้วๆๆๆๆ...”
เกาเหวินเดินหาวลงมาที่ครัวในตอนเช้า เปิดตู้เย็นขนาดใหญ่ออกดูพบว่าทั้งตู้เหลือแค่ไข่ฟองเดียว อดีตซุปตาร์สาวปิดประตูหันหลังยืนพิงตู้บ่นพึมพำ
“เฮ้อ เหลือไข่ฟองเดียวจริงๆ เหรอ จริงสิ ฉันไม่ได้ไปซุปเปอร์มาเก็ตมานานแล้ว”
เกาเหวินเดินซังกะตายมาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทานอาหาร หยิบมือถือมากดเปิดดูเว็บขายเสื้อผ้า ถอนใจอีกหลายเฮือก
“เฮ้อๆๆๆ คราวนี้หมดกัน เสื้อผ้าก็ขายแล้ว ค่าเช่าบ้านก็จ่ายแล้ว ในบ้านเงียบสงบไม่มีสถานการณ์อะไร ยังมีเหตุผลอะไรเรียกเขามาอีกล่ะ”
เธอแหงนหน้าใช้ความคิดไปมา จนสายตาไปสะดุดกับโคมไฟระย้าเหนือโต๊ะทานอาหาร แล้วปิ๊งไอเดียบางอย่าง ซุปตาร์ขาลงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“มีเหตุผลแล้วล่ะ”
ไม่นานต่อมาเกาเหวินอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ ลงมายืนรอใครบางคนอยู่หน้าประตูบ้านในมือกำไอโฟนแน่น จนได้ยินเสียงเคาะประตู เกาเหวินกระแทกส้นรองเท้าถี่ๆ ทำเป็นเหมือนเพิ่งวิ่งมาถึง เปิดประตูต้อนรับ พาเหลยอี้หมิงเข้าบ้านมาอย่างร้อนอกร้อนใจ
“เฮ้อ เหลยอี้หมิง เร็วๆๆ”
อี้หมิงบ่นเซ็งๆ “คุณเป็นอะไร เห็นว่าผมเป็นมังกรขอพร เรียกเมื่อไหร่มาเมื่อนั้นเหรอ หรือเป็นดราก้อนบอลล่ะ”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ไฟดับอีกแล้ว ฉันกลัวมากเลย” พร้อมกับว่าเกาเหวินโผเข้ากอดคล้องคอหมอเหลยบอกเสียงสั่น
อี้หมิงอยากจะบ้า “ไฟดับกลางวันแสกๆ คุณกลัวอะไร ไม่ใช่กลางคืนซักหน่อย”
เกาเหวินร้องไห้ “น่ากลัวจังเลย ฮือๆๆ”
อี้หมิงส่ายหัวรู้ทัน “สหาย คุณเล่นละครเกินจริงไปรึเปล่า”
เกาเหวินละตัวออกมามองหน้าเขา “เกินจริงเหรอ”
“ใช่”
“ฉันก็ยังกลัวอยู่ดี” เกาเหวินโผเข้ากอดเขาอีกครั้ง
“เอาล่ะๆๆ”
เกาเหวินอ้อมมาเกาะหลังหมอเหลยแจไม่ยอมปล่อย เร่งให้เขาเช็คไฟฟ้าให้
“รีบไปดูเร็ว เร็วเข้าๆ รีบไปดูเร็ว ดูสิๆ ฉันไม่ได้โกหกใช่มั้ย ไฟดับ”
“คุณอย่าเอาแต่ทำตัวติดกับผมได้มั้ย”
“ฉันกลัวนี่”
“เฮ้ยๆ”
เกาเหวินซึ่งยังเกาะหลังเขาแจร้องลั่นทำเป็นตกใจ
อี้หมิงหัวเราะขำ เปิดสวิต์ชแล้วต้องแปลกใจ “เอ๊ะ สวิตช์ก็ไม่มีปัญหานี่ คุณจ่ายค่าไฟหรือยัง”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นฉันโทร.ไปถามการไฟฟ้าแล้ว”
“งั้นก็แปลกแล้วล่ะ ไปดูหน่อยสิ อย่าทำอย่างนี้ได้มั้ย คุณทำแบบนี้เหมือนแต๊ะอั๋งผมเลยนะ”
สองคนเดินมานั่งที่โต๊ะทานอาหารมุมครัว
“ฉันกลัวนี่ ทำยังไงดี ถ้ากลางคืนไฟยังไม่มา ฉันอยู่คนเดียว ต้องกลัวมากแน่ๆ”
“คุณกลัวอะไรยังไม่ค่ำซักหน่อย เดี๋ยวผมไปซื้อเทียนไขให้คุณก็ได้”
“ฉันต้องจุดเทียนตลอดเลยเหรอ นอนเป็นเพื่อนฉันเหมือนครั้งก่อนได้มั้ย”
“ได้สิ”
เกาเหวินแปลกใจ “คุณรับปากเร็วจังเลย”
“เอ่อ ผมพูดตามตรงเลยนะ ตอนนี้ผมถูกไล่ออกจากบ้านแล้วล่ะ”
เกาเหวินมองเหล่ “ถูกใครไล่ออกมา บอกฉันสิ”
“ก็ เจ้าของบ้านเช่าของผมน่ะสิ เจ้าของบ้านของผมจะพาแฟนมาอยู่ด้วย เพราะไม่มีที่อยู่ ผมก็เลยถูกไล่ออกมา”
“แล้วตอนนี้คุณมีที่อยู่มั้ย”
“ไม่มี แต่ผมไปหาบ้านแล้ว ถ้าไม่ใหญ่เกินไปก็เล็กเกินไป กว่าจะเจอที่ต้องการไม่ใช่ง่าย แต่ก็แพงเกินไป”
เกาเหวินลุกเดินมานั่งตรงพนักวางแขนเก้าอี้ที่หมอเหลยนั่งอยู่
“อ้อจริงสิ คุณพูดอย่างนี้ฉันก็นึกขึ้นได้แล้วล่ะ ดูเหมือนจะมีห้องหนึ่งเหมาะกับคุณ เพราะฉันรู้สึกว่า สไตล์การตกแต่งห้องก็ไม่เลว เจ้าของบ้านก็ใจดี ต้องไม่ทำให้คุณอึดอัดแน่ แต่ว่า เขามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คุณแค่ตอบตกลง เขาก็พอแล้ว”
“ตอนนี้ผมไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้ว ขอแค่อยู่ได้ก็พอ”
“เขาต้องการรูมเมตซักคน” เกาเหวินว่า
“ไม่เป็นไร ผมเป็นลูกผู้ชายเป็นรูมเมตก็ได้สบายมาก”
“งั้นคุณย้ายเข้ามาอยู่เลยดีมั้ยล่ะ”
“ย้ายไปไหน” หมอเหลยงง
“ย้ายมานี่ไง คุณเป็นอะไร ไม่พอใจฉัน หรือไม่พอใจบ้านของฉัน”
“ไม่ๆๆ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมแค่คิดว่าชายหญิงอยู่กันตามลำพัง”
“ฉันยังไม่ถือสาเลย คุณจะถือสาทำไม คุณกลัวจะโดนเอาเปรียบเหรอ” เกาเหวินหมั่นไส้
“ที่นี่ต้องแพงมากแน่ๆ ผมไม่มีเงินจ่ายหรอก” หมอเหลยมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีเกรงใจ
เกาเหวินยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ หูเขา
“คุณอย่าเพิ่งจ่ายค่าเช่า ฉันออกให้ก่อน มีแล้วค่อยคืนก็ได้”
อี้หมิงกระดดโหยงดีใจ “คุณใจกว้างเกินไปแล้วนะ”
เกาเหวินยิ้มปลื้ม “จริงเหรอ”
“งั้นเดี๋ยวผมจะไปเอาของมา แต่ตอนนี้ผมต้องซ่อมไฟของบ้านคุณให้เสร็จก่อนใช่มั้ย”
“เอ่อ ไม่ต้อง” เกาเหวินโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“คุณวางใจได้ วันนี้ก่อนฟ้าจะมืดผมจะทำให้บ้านของคุณสว่างให้ได้”
“ไม่ต้อง ห้องของฉันไฟมาแล้ว”
อี้หมิงงง “อะไรนะ”
เกาเหวินตัดบท “เปล่านี่ รีบไปซ่อมสิ”
“งานนี้ค่อนข้างใหญ่ บันไดบ้านคุณอยู่ที่ไหน”
“ไม่ต้องใช้หรอก คุณเริ่มซ่อมจากห้องนี้เถอะ”
อี้หมิงงงมองหาอุปกรณ์ เกาเหวินชี้ที่โต๊ะกินข้าว เขาเลยงง
“หะ อันไหน อันนี้เหรอ”
เกาเหวินพยักหน้าช่วยจับขาให้ “อื้ม จริงสิ ฉันช่วยประคอง”
อี้หมิงงงและแปลกใจมาก เพราะโคมไฟเล็กๆ ไม่มีหลอดไฟเลยทั้ง 8 หลอด
“เอ๊ะ ทำไมถึงไม่มีหลอดไฟล่ะ”
“เมื่อก่อนมีหลอดไฟด้วยเหรอ” เกาเหวินกลั้นยิ้ม
“เพ้อเจ้อ ไม่มีหลอดไฟจะสว่างได้ไง มีหลอดไฟใหม่มั้ย”
“มีสิ”
“คุณไปเอามาให้ผม อยู่ที่ไหน”
เกาเหวินเปิดผ้าคลุมกระจาดสานบนโต๊ะออก ยกกระจาดที่มีหลอดไฟอยู่ในนั้นยื่นขึ้นให้เขา
“อยู่นี่ไง”
อี้หมิงแปลกใจอีก พอเดาออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร “เอ๊ะ บังเอิญจัง”
เกาเหวินยิ้มเจ้าเล่ห์ยกกระจาดหลอดไฟเทินบนหัว
“ใช่ บังเอิญมาก มี 8 หลอดพอดีเลย ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญอย่างนี้เยอะแยะ”
อี้หมิงใส่หลอดไฟทีละอัน เกาเหวินใช้แขนอีกข้างกอดขาเขาแน่น
“อ้อ ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกอดผมหรอก”
“อืม ฉันกลัวคุณจะตก”
“ไม่เป็นไรๆ”
“จริงๆ เหรอ”
“ไม่เป็นไร” อี้หมิงถอนหายใจอีกหลาย “เฮ่อ”
บ้านทั้งหลังสว่างไสวดังเดิมแล้ว ขณะอี้หมิงกลับมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระส่วนตัวสองใบที่หอบออกจากบ้านตัวเอง ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟารับแขกอย่างเหนื่อยล้า
เกาเหวินอาสาจะไปเก็บให้ “ให้ฉันช่วยเอาของไปเก็บมั้ย”
อี้หมิงร้องห้ามเสียงดัง “เฮ้ย ไม่ ไม่ต้อง อย่าแตะต้องวางไว้ตรงนั้นแหละ ผมเอาไปเก็บเอง นะ”
“ทำไม ข้างในมีของอะไรเหรอ”
“ผมแค่มาอยู่บ้านคุณชั่วคราวเท่านั้น ผมอาจกลับไปได้เสมอ อีกอย่างของแบบนี้ เอามาได้ยิ่งน้อยยิ่งดี เมื่อถึงเวลาไปจะไม่สะดวก”
เกาเหวินเดินมานั่งด้วย “คุณกลัวการอยู่กับฉันมากเลยเหรอ”
“เอ่อ ที่จริงพูดตามตรงนะ ผมไม่กล้าเผชิญหน้ากับคุณเลย โดยเฉพาะตอนอยู่ในบ้านด้วยกัน”
“อ๋อ ฉันรู้แล้วคุณไม่ต้องอธิบาย เฮ้อ คุณกลัวว่าจะถลำลึกเกินไป จึงรักษาระยะห่างกับฉัน ฉันรู้ ฉันเข้าใจค่ะ” เกาเหวินว่า
“มัน...มันก็ไม่ทั้งหมดหรอก คือว่าเกาเหวิน มีเรื่องหนึ่งผมอยากบอกคุณมาตลอด”
เกาเหวินขยับตัววางท่าสวย จ้องหน้าหมอเหลยรอฟัง “ได้สิ คุณพูดมา”
“เอ่อ คือผม ไม่เคยมีความรู้สึกแบบที่ผู้ชายรักผู้หญิงกับคุณเลยจริงๆ ครั้งก่อนที่ผมสารภาพกับคุณเป็นเรื่องเข้าใจผิด เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้มั้ย”
เกาเหวินผิดหวังนิดๆ “ได้สิ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
“งั้นผมก็สบายใจแล้ว”
หมอเหลยโล่งอกยิ้มได้ สองคนพากันหัวเราะ
“ฉันรินน้ำให้”
“ขอบคุณ”
“เขาคงกลัวว่าฉันจะปฏิเสธอีก เลยจงใจแบ่งเขตแดนกับฉัน” เกาเหวินยิ้มกริ่มเทน้ำใส่แก้ว คิดอยู่ในใจ สุดท้ายยื่นแก้วน้ำให้เขา พลางเอ่ยขึ้นเชิงถาม “เหลยอี้หมิง...”
“อื้ม” อี้หมิงรับน้ำไปดื่ม
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันสงสัยมาก คุณไม่เคยจีบผู้หญิงมาก่อนเลยใช่มั้ย”
“ผมเหรอ ไม่เคยจีบผู้หญิงเนี่ยนะ ฮิๆ ผมจะบอกให้ผู้หญิงที่ผมเคยตามจีบ เยอะเท่ากับนักกีฬาโอลิมปิกเลยล่ะ” หมอเหลยคุยโวยกใหญ่
“จริงเหรอ...”
อี้หมิงคุยต่อว่า “ในเรื่องนี้ คุณอย่าดูถูกความสามารถของผมเชียวนะ”
“งั้น...งั้นเอาอย่างงี้ คุณแสดงให้ฉันดูซักฉากได้มั้ย ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าคุณสารภาพรักผู้หญิงยังไง”
“ได้ไงล่ะคุณเป็นนักแสดงหญิงเป็นมืออาชีพ ผมจะกล้า...”
เกาเหวินเสียงแข็งเร่งใหญ่ “เร็วเซ่”
อี้หมิงหันหน้าหนีบ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเอง “อยู่บ้านของคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว” แล้วจู่ๆ เขาก็ลุกพรวดฟาดหมอนอิงในมือลงบนโต๊ะกลาง ตะโกนใส่หน้าเกาเหวินดังลั่น “ผมทนไม่ไหวแล้วนะ”
เกาเหวินตกใจ “ฉันขอโทษฉันไม่ได้ให้คุณ...”
อี้หมิงสวนขึ้นว่า “หยุดเลย ผมผิดเองคุณไม่ต้องมาขอโทษ เป็นความผิดของผม ผิดที่ผมรักคุณมากไป ผมไม่อยากเป็นเพื่อนคุณอีกแล้ว จะบอกให้นะว่าผมทนคนๆ นั้น ที่คุณรักไม่ได้อีกแล้ว ผมแค่ต้องการกินข้าวกับคุณ คุยกัน ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน แค่คบกันอย่างเปิดเผยมันยากมากเลยเหรอ”
เกาเหวินอึ้งขนาดอ้าปากค้าง หมอเหลยหันหลังให้ ยื่นมือออกมา เกาเหวินยื่นมือไปจับให้เขานั่งลง รอบนี้อี้หมิงกุมมือเธอพูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
“ที่รัก ไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไง ผมไม่เคยสนใจ ชีวิตนี้ผมอยากอยู่กับคุณเท่านั้น มีครอบครัวของเราเท่านั้น และมีเตียงของเรา ผมจะรักคุณคนเดียวตลอดไป”
เกาเหวินซึ้งและเคลิ้ม ยื่นมือไปจับหน้าเขามาใกล้หมายจะจูบปลอบ แต่อี้หมิงกลับเบี่ยงหนีบอกหน้าตาเฉยว่า
“สิ้นสุดการสารภาพรัก เป็นไง ยอดเยี่ยมมากใช่มั้ย ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของคุณ” เหลยอี้หมิงหัวเราะร่าหยิบน้ำมาดื่มเห็นเกาหวินอึ้งๆ ไม่พูดไม่จา
“คุณจะดื่มน้ำเหรอ”
เกาเหวินเซ็งเพราะคิดว่าเขาสารภาพความในใจ
“เอ่อ ไม่ต้อง คุณดื่มเถอะ”
อี้หมิงแปลกใจ “เป็นอะไร ผมแสดงไม่ดีเหรอ หรือว่าผม ตอนที่ผมหันตัวเร็วเกินไปหรือเปล่า”
เกาเหวินขยับไปเทน้ำจากเหยือกใส่แก้วดื่มมือไม้สั่น
“เปล่าฉันคิดว่า คุณสารภาพรักได้ดีมากเลย ฉันว่าคนที่คุณชอบต้องตอบตกลงแน่”
อี้หมิงหน้าเจื่อน “โธ่เอ๊ย ไม่หรอก ผมไม่อยากเสี่ยงอันตรายนี้เลย”
“ไม่ใช่ ฉันคิดว่า ถ้าชอบใครคุณอย่ายอมแพ้สิ คุณต้องจีบเธอต่อไป ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ แม้เขาจะปฏิเสธคุณ แต่ก็ต้องยอมตอนหลังแน่ๆ”
“แต่ผมไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้เสียเพื่อนไปนี่”
เกาเหวินกลับมานั่งที่ถามหยั่งเชิง “แล้วถ้าเขาชอบคุณด้วยล่ะ”
อี้หมิงตัดบท “เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เฮ้อ ผมรู้สึกเหนื่อย ห้องผมอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้ ไปหาเองเลย” เกาเหวินแหวใส่แล้วลุกหนีไปอย่างอารมณ์เสียตีนเตะกระเป๋าสัมภาระหมอเหลยจังๆ
อี้หมิงมองตามบ่นบ้าอึนๆ งงๆ “เอ๊ะ แปลกคนจริงๆ คนที่อกหักคือฉันนะ เขาจะอารมณ์เสียทำไม หรือว่าเขาจะชอบฉัน”
เกาเหวินกลับเข้าห้องใช้เท้าเหวี่ยงปิดประตูอย่างอารมณ์เสีย
“โง่จริงๆ ถ้าฉันไม่ชอบคุณจะให้เข้ามาอยู่เรอะ”
ซุปตาร์ดวงตกบ่นๆๆ พอจะขยับตัวจึงเริ่มออกอาการเจ็บขาที่เตะกระเป๋า
“โอ๊ย เจ็บๆๆ”
ฝ่ายเหม่ยลี่ยึดบ้านยึดห้องเหลยอี้หมิงราบคาบ นั่งเอนคิดงานอยู่บนเตียง หยิบแก้วน้ำข้างเตียงมาดื่มแต่พบว่าน้ำหมด จึงร้องเรียกอี้หมิงด้วยความเคยชิน “เหลยอี้หมิง ช่วยยกน้ำมาให้ฉันแก้วนึงได้มั้ย ขอบคุณนะ”
รออยู่สักครู่หนึ่งจึงนึกได้ พอรู้ตัวก็หน้าเศร้าไม่สบายใจ
“จริงสิ เขาย้ายออกไปแล้วนี่”
เหม่ยลี่น้ำตารื้น มองดูรูปขนาดใหญ่ของหมอเหลยตรงผนังห้อง อย่างรู้สึกผิดและเป็นห่วง
“เฮ้อ ตอนนี้นายสบายดีมั้ยนะ ต้องโทษฉัน”
รุ่งเช้า รถสปอร์ตสีแดงของเซี่ยวเลี่ยงแล่นปราดมาจอดนิ่งที่หน้าตึก ซีอีโอหล่อล่ำหยิบมือถือมากดดูข้อความเข้า เป็นข้อความทักทายจากเหม่ยลี่
“ที่รัก อรุณสวัสดิ์ วันนี้อย่าลืมรักษาระยะห่างกับฉันด้วยน้า รักคุณค่ะ จุ๊บๆ”
เซี่ยวเลี่ยงยิ้มกระหยิ่มเบิกบานใจ เปิดประตูลงรถไป
ฉีหยูตาลีตาเหลือกรีบร้อนมารับหน้าจ๋อย
“คุณ...คุณเซี่ยว ขอโทษครับผม ผมมาช้า”
เซี่ยวเลี่ยงจับใบหน้าเลขาร่างเล็กมามองจ้อง ฉีหยูสยองพร้อมรับชะตากรรมแต่กลับผิดคาด
“แค่มาสายเท่านั้นเอง ฉันเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างงั้นเหรอ อย่ากดดันตัวเองแบบนี้สิ”
พร้อมกับว่าเซี่ยวเลี่ยงยิ้มตาหยีให้ แถมขยับเนคไทให้อีกด้วยก่อนจะเดินนำไป ฉีหยูประหลาดใจอดถามไม่ได้
“คุณเซี่ยว วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า ถึงมีความสุขเป็นพิเศษ”
“มีความสุขงั้นเหรอ” เซี่ยวเลี่ยงหันมาหาทวนคำ พลางสูดอากาศยามเช้าเข้าปอดหายใจลึกๆ
“เฮ้อ อากาศดีจังเลย พนักงานก็กระตือรือร้นฉันต้องมีความสุขสิ หืม”
เซี่ยวเลี่ยงยัดกุญแจรถใส่มือเลขาร่างเล็กแล้วพากันเดินเข้าตึกไป
บ่ายวันนั้นจื่อเหลียงมาตามนัดของเซียนหนาน ซึ่งนัดให้มาเจอที่ไซต์งานก่อสร้างแห่งหนึ่ง เมื่อมาถึงพบว่าเซียนหนานรออยู่แล้วจึงเดินเข้าไปหา
“นายเรียกฉันมาที่นี่มีธุระอะไร”
เซียนหนานหันมามองจ้องหน้า “ทำไม กลัวเหรอ”
“ฉันต้องกลัวอะไร ฉันแค่เป็นห่วงนาย ถ้านายคิดสั้นล่ะก็ จะไม่มีแม้แต่คนให้สั่งเสีย”
เซียนหนานบันดาลโทสะ ถลาเข้าหาเหวี่ยงหมัดใส่ “ไอ้สารเลว โอ๊ย”
แต่จื่อเหลียงเบี่ยงหลบอย่างแคล่วคล่องตะบันเข้าที่ท้องจังๆ จนเซียนหนานเจ็บจุกล้มลงกุมท้องลุกไม่ไหว จื่อเหลี่ยงยิ้มหยัน
“กระจอกจริงๆ”
เซียนหนานตะโกนถามด้วยความคับแค้นในใจ “ทำไมนายต้องมาแย่งซือหยวนไป ทำไม”
“สภาพอย่างนายยังอยากดูแลเธออีกเหรอ ถ้านายไม่มาหาเรื่อง ก็ไม่มีใครสนใจนายหรอก เมื่อไม่มีใครสนใจนาย ก็ไม่มีใครรักนาย ฉันหลินจื่อเหลียงก็เป็นอย่างนี้แหละ จากไม่มีอะไรเลย จนมีทุกอย่างขนาดนี้ ฉันพึ่งพาอะไร ความสามารถไงล่ะ”
เซียนหนานฮึดฮัดจื่อเหลียงลงไปนั่งเยาะเย้ยต่อ
“สักวันนายต้องขอบคุณฉันแน่ ขอบคุณที่ฉันสอนหลักการนี้กับนาย”
จื่อเหลียงยิ้มร้ายตบหน้าเซียนหนานเบาๆ แล้วลุกเดินหนีไป
เซียนหนานคุมแค้นทุบกำปั้นกับพื้นมองตามศัตรูหัวใจเดินจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้
พยาบาลเสี่ยวก๋อนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รอเหลยอี้หมิงอยู่หน้าห้องผ่าตัด ในมือถือกล่องนมมาฝากด้วย จนเห็นเขาเดินออกมารีบลุกไปหา ยื่นกล่องนมให้เขา
“คุณหมอเหลย ผ่าตัดเสร็จแล้วเหรอคะ นี่ค่ะ”
อี้หมิงไม่ยอมรับ “เอ่อ ไม่ต้องหรอกผม ผมไม่ดื่ม”
เสี่ยวเก๋องง “แต่ว่ารสนี้คุณชอบดื่มไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แต่เพราะว่าผม ดื่มมากเกินไป ผมเลยรู้สึกว่ารสชาตินี้มันแปลกๆ ต่อไปคุณไม่ต้องลำบากซื้อให้ผมอีกนะ”
เสี่ยวก๋อไม่ละความพยายาม “แล้วคุณอยากดื่มรสอะไรคะ รสผลไม้ กาแฟ หรือชานม คราวหน้าฉันจะซื้อให้อีก”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอก คือว่าแฟนของผมเตรียมไว้ให้แล้ว ต่อไปคุณไม่ต้องลำบากหรอก ขอบคุณนะ” อี้หมิงเดินออกไป
เสี่ยวก๋อหน้าเสียเรียกไว้ “แฟนงั้นเหรอ คุณมีแฟนอีกแล้วเหรอ”
“ใช่ คุณเคยเจอแล้วไม่ใช่เหรอ นั่นไงมาแล้ว”
อี้หมิงบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่งเห็น เกาเหวินเดินตรงมาหา
“มีอะไร จู่ๆ ก็เรียกฉันมารับคุณกลับบ้าน”
อี้หมิงโอบไหล่เกาเหวินอย่างสนิทสนม แนะนำสองสาวให้รู้จักกัน
“มา ผมจะแนะนำให้นี่คือเพื่อนร่วมงานของผม คู่หูของผม พยาบาลก๋อ นี่คือแฟนของผม เกาเหวิน”
เกาเหวินยิ้มทักอย่างเป็นมิตรยื่นมือไปจับ “อ๋อ สวัสดีค่ะ ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันแล้ว”
เสี่ยวก๋อทักทายหน้าจ๋อยสนิท “สวัสดีค่ะ”
เกาเหวินเล่นได้สมบทบาทตบตูดหมอเหลยโชว์อย่างสวีทหวาน
“ฮิๆๆ คุณใส่ชุดนี้น่ารักมากเลยนะ”
อี้หมิงหัวเราะขำ “คุณชอบใช่มั้ย งั้นต่อไปผมจะใส่ชุดนี้ให้คุณดูบ่อยๆ นะ”
เสี่ยวก๋อจะขอตัวแต่สองคนเหมือนไม่สนใจใครแล้ว “เอ่อ...คุณหมอเหลย”
เกาเหวินยิ้มกริ่ม “ได้สิ ใส่ให้ฉันดูบ่อยๆ น้า”
เสี่ยวก๋ออายรีบพูดแทรกแล้ววิ่งหนีไปเลย “มีคนไข้รอฉันอยู่ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
อี้หมิงทำเสียงให้เกาเหวินหยุดเล่นบทคนรัก ซุปตาร์สาวรู้ทัน
“คุณเรียกฉันมาเพื่อให้แสดงเป็นแฟนคุณเหรอ”
“ใช่แล้ว ผมมีความจำเป็นนี่นา คุณดูสิ เราเจอกันแทบทุกวัน ผมก็ไม่อยากทำร้ายเขา ผมจึงต้องใช้วิธีนี้ ลำบากคุณแล้วนะ”
เกาเหวินหยั่งเชิง “ฉันว่าพวกคุณเหมาะกันดีนะ ทำไมคุณไม่คบกับเขาล่ะ”
“เหมาะสมเหรอ เขาเป็นผู้หญิงที่ดีแถมยังบริสุทธิ์ ผมเป็นแค่ผู้ชายเสเพลเจ้าชู้เท่านั้น เหมาะกับเขาที่ไหนล่ะ”
“เหมาะกันมาก เพราะพวกคุณแอบชอบเหมือนกัน ชอบใครคนหนึ่งตีให้ตายก็ไม่ยอมพูด ก็ไปคบกันสิ”
ตอนท้ายเกาเหวินโมโหหึง พ่นคำพูดใส่หน้าอี้หมิงหลบแทบไม่ทัน
“เหมาะเหรอ ผมพ่นใส่หน้าคุณเลย เหมาะตรงไหนกันล่ะ”
ซุปตาร์สาวดวงแตกเดินฉุนเฉียวออกไป
เกาเหวินเดินออกมาขึ้นรถ รีบเติมสวยเป็นการใหญ่ ก่อนหมอเหลยจะออกมา เติมแป้งทาลิปแล้วปิดจ็อบด้วยน้ำหอมกลิ่นรัญจวน
“ฉันไม่เชื่อว่าคุณไม่หลงใหลฉัน ออกมาเร็ว อย่าให้เสียเรื่องสิ ขอร้องล่ะ รีบออกมาเร็ว”
อี้หมิงขึ้นนั่งรถฝั่งคนขับงงๆ แล้วคัดจมูกจามออกมา “กลิ่นอะไรฉุนจังเลย”
เกาเหวินตีหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้ “ไม่รู้สิ”
“ทำไมคุณไม่ขับรถเองให้ เกาเหวินบอกเสียงเล็กเสียงน้อย
อี้หมิงมองหมั่นไส้ “ไม่มีอารมณ์ขับเหรอ”
หมอเหลยจะขยับเกียร์ลงเพื่อสตาร์ตเครื่อง แต่มือดันจะจับขาอ่อนของซุปตาร์สาว จนต้องรีบชักมือกลับ
เกาเหวินถอนใจเฮือกใหญ่ “เฮ้อ”
“คุณถอยไปหน่อยได้มั้ย ผมจะได้ขยับเกียร์ลง”
“ก็ขยับสิ ขยับสิ”
อี้หมิงตกใจที่จู่ๆ เกาเหวินก็ขยับตัวมาทับตัวเขาโวยลั่น “นี่คุณ...คุณ...คุณทำอะไรเนี่ย คุณทำอะไร โอ๊ย”
เกาเหวินกระชากสายเข็มขัดข้างตัวหมอเหลยจะรัดให้เขา
“คุณทำอะไร”
เกาเหวินทำเป็นดึงสายเข็มขัดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง สายเข็มขัดรูดคออี้หมิงอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ใส่ได้สำเร็จ
“ทำไมมันไม่ออกมา ฉันช่วยคุณคาดเข็มขัดนิรภัยไงล่ะ”
อี้หมิงมองงงๆ “ผมทำเองได้ ทำไมคุณดูแปลกๆ ล่ะ เป็นอะไรเหรอ”
เกาเหวินครางเสียงกระเส่า “ฉันร้อนจังเลย”
“ฤดูหนาวอย่างนี้ร้อนอะไรกันเล่า นี่คุณ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“ใช่ คุณหมอเหลย คุณช่วยตรวจฉันหน่อย” เกาเหวินทำเสียงกระเส่าใส่
อี้หมิงงงใหญ่ “นี่คุณ คุณมีปัญหาทางหัวใจหรือเปล่า”
เกาเหวินถอดเสื้อคลุมออก ขยับมาจนใกล้ “ใช่แล้ว หัวใจเต้นแรงมากเลย”
“นี่ ผมว่าปากของคุณ อ้าปากสิ ผมจะตรวจดู มา อ้าปากสิ”
“ให้ฉันอ้าปากทำไม”
อี้หมิงขัดใจ “ผมบอกให้อ้าก็อ้าสิ”
“หืม ซนจัง อ้า คุณทำอะไรๆ” จู่ๆ เกาเหวินก็ไม่ยอมให้ตรวจแถมสวมเสื้อคลุมกลับ
อี้หมิงงปนเซ็ง “ทำอะไรเหรอ ก็ตรวจไง ถ้าผมไม่ตรวจให้เสร็จ มีปัญหาขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า”
อี้หมิงขยับจะตรวจให้ “ผมตรวจให้คุณอีกที มา”
“คุณไม่ต้องมาแตะต้องฉัน รีบขับรถออกไปเร็วๆ เถอะน่า ฉันจะบ้าตาย” เกาเหวินเสียงขุ่นเขียวใส่
อี้หมิงงงหนัก “คุณเป็นอะไร ผมทำอะไรให้คุณถึงโกรธขนาดนี้”
“อย่ามาคุยกับฉัน ฉันไม่อยากคุยกับคุณอีก”
“ไม่เป็นอะไร แล้วคุณโกรธอะไร”
เกาเหวินหงุดหงิดขึ้นเสียงใส่ “หยุดพูดได้มั้ย”
“ผมแค่คิดว่า ถ้าคุณมีปัญหาก็ต้องตรวจดู แต่คุณกลับไม่ให้ตรวจ”
“ตอนนี้มีปัญหาแล้ว รีบไปเร็ว”
“อื้ม” อี้หมิงพยักหน้ารับแล้วออกรถไปเซ็งๆ
กลับมาถึงบ้านเกาเหวินก็เดินปึงปังขึ้นบ้านไปเลย อี้หมิงยิ่งงงหนักว่าเธอเป็นอะไร จนมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นพอเห็นชื่อคนโทร.มา ก็ยิ้มออกอี้หมิงก็กระแอมกระไอทำเป็นไม่สบายก่อนรับสาย
“ฮัลโหล ยัยอ้วน”
เหม่ยลี่โทร.มาจากแคนทีนที่ออฟฟิศเทซีโร ตกใจเมื่อได้ยินเสียง “เสียงนายเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ”
“ฉันจะไม่สบายได้ไงล่ะ ฉันแค่หาบ้านไม่ได้เท่านั้นเอง ที่โรงพยาบาลก็นอนค้างไม่ได้ แม่บ้านก็ไม่ให้ฉันอยู่ วันนี้ฉันอาจจะ ต้องนอนข้างนอกแล้วล่ะ”
“นายหาบ้านไม่ได้เหรอ อย่าบอกนะว่าจะนอนข้างถนน ได้ๆๆ เดี๋ยวฉันจะไปรับนายดีมั้ย”
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอก แค่เธอมีความสุขก็พอแล้วล่ะ ส่วนฉันจะแบกรับความทุกข์ทั้งหมดเอาไว้เอง”
อี้หมิงหัวเราะคิกคักที่แกล้งยัยอ้วนของเขาได้
เหม่ยลี่ตกใจที่เห็นเซี่ยวเลี่ยงเดินมาหาจึงไม่ได้ฟัง “หา นายว่าไงนะ ฉันฟังไม่ถนัดเลย นี่...”
จู่ๆ สายจากเหม่ยลี่ก็ตัดหายไปเฉยๆ อี้หมิงงงมาก
“เอ่อ...ฮัลโหล...ฮัลโหล...ฮัลโหล”
ด้านเกาเหวินกระโจนขึ้นเตียงด่าว่าหมอเหลยด้วยความโมโห
“ไอ้หุ่นยนต์บ้า สารภาพรักฉันซักครั้งจะตายหรือไง เสน่ห์ของฉันลดลงเหรอ ไม่มีความรู้สึกกับฉันเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอก”
เกาเหวินวิ่งเข้าไปในห้องน้ำส่องกระจกดูหน้าตาตัวเอง
“ก็ไม่หนิ ยังสวยเหมือนเดิมนี่นา ทำไมเขาถึงไม่ชอบล่ะ”
สุดท้ายก็หัวเราะออกมา สีหน้าเบิกบาน นางอินเลิฟสุดๆ
ฝ่ายเหม่ยลี่โดนเซี่ยวเลี่ยงคาดคั้นอย่างหนัก
“คุยโทรศัพท์กับใคร”
โชคดีที่เกาเหวินโทร.เข้ามาพอดี เธอเคาะจอให้ดูชื่อแล้วรับสาย
“เกาเหวินค่ะ ฮัลโหล”
“ฉันเอง เกาเหวิน” เกาเหวินอยู่ที่บ้านเตรียมเข้านอนแล้ว
“มีอะไรอีกล่ะ”
“ทำไมถามแบบนี้ล่ะ พูดสั้นๆ แล้วกัน วันนี้ฉันจะทำการใหญ่อย่างหนึ่ง”
เหม่ยลี่แปลกใจ “ทำการใหญ่อะไร”
เซี่ยวเลี่ยวทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา
เกาเหวินยิ้มกริ่ม “ดูเหมือนว่าฉันจะชอบเหลยอี้หมิงแล้ว และคืนนี้ ฉันจะทำให้เขาเป็นคนของฉัน”
“อ้อ อย่างงั้นเหรอ ได้สิ งั้นขอให้ทำสำเร็จนะ” เหม่ยลี่วางสายไปอย่างงงๆ
เกาเหวินกดวางสายยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ด้านเซี่ยวเลี่ยงกระแอมกระไอถามอย่างสนใจ “เกาเหวินพูดอะไรเหรอ มีอะไร”
“เขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว เขาคงมีความสุขมาก” เหม่ยลี่บ่นพึมพำ
เซี่ยวเลี่ยงงุนงง “เอ่อ...คุณบ่นพึมพำอะไรอยู่”
“หืม อืม เปล่านี่ เกาเหวินบอกว่า ตอนนี้เธอมีคนที่ชอบแล้ว”
“ก็ดีแล้วขอให้มีความสุข แต่คุณอย่าลืมว่า ตอนนี้คุณเป็นแฟนของผมแล้ว คนสำคัญที่สุดของคุณคือผม แฟนของคุณคนเดียว อย่าวอกแวกกับคนอื่นเกินไป คุณห่วงได้แค่ผมคนเดียว
เหม่ยลี่เซ็ง “วอกแวกอะไรล่ะ”
“ยังมีอีก ต่อไปอยู่บริษัทคุยเรื่องส่วนตัวให้น้อยหน่อย”
เหม่ยลี่จะเถียง “ฉัน...”
เซี่ยวเลี่ยงยกนิ้มปิดปาก สั่งห้ามอีกดอก “ต่อไปจะคุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะกับเพื่อนที่เป็นผู้ชาย ต้องรายงานผมอย่างละเอียด หืม”
เซี่ยวเลี่ยงวางมาดเข้มขู่คนรักเสร็จแล้วเดินหนีไป เหม่ยลี่มองมือถือ เซ็งๆ งงๆ
“อะไรของเขาเนี่ย”
ฟากหมอเหลยเข้าห้องมาพยายามโทรหาเหม่ยลี่ แต่โทร.เท่าไหร่สายก็ไม่ว่าง
“สวัสดีค่ะ เลขหมายที่คุณเรียกกำลังใช้สายอยู่ค่ะ...”
“แปลกจริงๆ คุยกันอยู่ดีๆ ทำไมถึงใช้สายอยู่ล่ะ”
อี้หมิงทิ้งตัวลงบนเตียงบ่นงึมงำ แปลกใจมากๆ ที่สายถูกตัดไปเฉยๆ แถมโทร.กลับไปหาก็ไม่ติดอีก
อ่านต่อ ตอนที่21
#กะรัตรัก #NOW26 #ละครออนไลน์