เงาเสน่หา ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์
งาน Press Conference ของรอยัลแอร์ไลน์คึกคักตั้งแต่เช้า ก่อนเริ่มงานมีสื่อมวลชนสายธุรกิจและสายไฮโซ เซเลบริตี้ มาลงทะเบียน แล้วพากันมายืนคุย สัมภาษณ์แหล่งข่าว อยู่ตรงหน้าหอประชุมใหญ่ของรอยัลแอร์ไลน์
ส่วนด้านในห้อง มีนักเลงหุ้น และบุคคลทั่วไปที่สนใจการลงทุน เข้าไปนั่งจับจองจนเกือบเต็มแล้ว
ฝ่ายพงศธรเดินเข้ามาหยุดทำสมาธิที่กลางลานจอดเครื่องบินบนดาดฟ้า ด้วยใบหน้าอันเคร่งเครียด วันที่เขารอคอยมาถึงแล้ว
ไม่นานต่อมา จึงเห็นพงศธรเดินเข้ามาในงาน พร้อมกองทัพบอร์ดกรรมการบริหาร ที่ตามมาด้วยกันเป็นพรวน
พงศธรและทีมบอร์ดบริหารพากันลงนั่งที่เก้าอี้รับรองแถวหน้าเวที ซึ่งธีรภาพนั่งอยู่ในแถวนั้นเช่นกัน ข้างๆ เป็นเอนก พิธีกรหญิงบนเวทีเริ่มกล่าวเปิดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ
“สวัสดีค่ะ แขกผู้มีเกียรติและท่านสื่อมวลชนทุกท่าน ที่จะมาเป็นเกียรติในงานสำคัญของรอยัลแอร์ไลน์อีกงาน เมื่อทางเรามีข่าวคราวดีๆ อะไร ก็จะมาแจ้งผ่านกัน และสำหรับวันนี้ ทางรอยัลแอร์ไลน์ของเรียนให้ทุกท่านทราบถึง ทิศทางและก้าวสำคัญ ก้าวใหม่ของรอยัลแอร์ไลน์”
ขณะเดียวกันรถตู้หรูจอดนิ่งที่ด้านหน้าตึกรอยัลแอร์ไลน์ ศิตางค์นำทีมทนายลงมาจากรถ ทุกคนก้าวตามศิตางค์เข้าไปในล็อบบี้ ขึ้นบันไดเลื่อนไปด้วยกัน
ในห้องแถลงข่าว พิธีกรหญิงเจื้อยแจ้วต่อ
“และท่านที่จะมาบอกก้าวแห่งประวัติศาสตร์นี้จะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก คุณพงศธร ศุภชาติท่านประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของสายการบิน รอยัลแอร์ไลน์ ขอเรียนเชิญค่ะ”
พงศธรก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างองอาจ
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่จะมาได้บอกเรื่องราวของก้าวต่อไปของรอยัลแอร์ไลน์ ที่จะมีผมเป็นผู้ขับเคลื่อนสายการบินระดับชาติ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ รอยัลแอร์ไลน์”
พงศธรพูดจบประโยคนี้ ภาสกรและทีมทนายความของศิตางค์ก็เปิดประตูห้องประชุมเข้ามาพอดี
“คงมีการเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปหรือเปล่าครับ”
พงศธรงงว่า ไอ้คนนี้ และพวกนี้คือใคร มาทำไม ทีมทนายเดินมาหยุดหน้าเวทีด้านล่าง
“พวกทีมผมมาที่นี่เพราะจะแจ้งให้คุณพงศธรและสื่อมวลชนทุกท่านทราบ ว่าที่คุณพงศธรกล่าวเมื่อสักครู่ไม่เป็นความจริง เพราะตอนนี้ผู้ถือหุ้นที่มีจำนวนหุ้นมากกว่ากึ่งหนึ่งของบริษัท รอยัลแอร์ไลน์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คือ คุณศิตางค์ กมลวิเศษกุล ผู้ถือหุ้นจำนวน 51 % ของหุ้นทั้งหมดของรอยัลแอร์ไลน์”
พงศธรชะงัก มองไปยังทีมบอร์ดบริหารที่งงทั้งแถบ คุยกันยกใหญ่
ภาสกร เอ่ยขึ้น “ขอเชิญคุณศิตางค์ กมลวิเศษกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ บริษัท รอยัลแอร์ไลน์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”
ศิตางค์เดินผ่านประตูฮอลล์เข้ามา ทุกคนในงานตกใจกันเป็นแถว พงศธรอึ้งหนักกว่าใคร นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ธีรภาพเองก็งงเป็นไก่ตาแตก ว่าศิตางค์มาไม้ไหน ศิตางค์เดินขึ้นไปบนเวทีมาดอย่างนางพญา
พงศธรถามศิตางค์เบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเต็มที่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ศิตางค์ คุณทำอะไร”
“ม่านเพิ่งเปิด โชว์เพิ่งเริ่มค่ะ”
สมภพสงสัยในประเด็นการเข้ามาเป็นผู้บริหารใหม่ของศิตางค์ ร้องถามแทนทุกคนเชิงคัดค้านว่า
“ผมมองไม่ออกเลยว่า คุณศิตางค์ มีจำนวนหุ้นรอยัลแอร์ไลน์มากมายในมืออย่างนั้นได้ยังไง”
ภาสกรอธิบายแทนว่า “จำนวนหุ้นแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนที่หนึ่ง 25.5 %”
“ส่วนนั้นมาจาก เคทีกรุ๊ป ไม่ใช่ของคุณศิตางค์” สมภพค้านเต็มที่
ระหว่างนี้เอง ยุนฮีแสดงตัวออกมาจากมุมขวาของเวที เดินลงมาพร้อมบอดี้การ์ดมาดเนี้ยบ 2 คน
“ฉันยุนฮีประธานบริษัท เคที กรุ๊ป ปัจจุบันไม่ได้ถือหุ้นรอยัลแอร์ไลน์แล้ว หุ้นที่ เคที กรุ๊ป ซื้อไปทั้งหมด ได้โอนเป็นของคุณศิตางค์ เรียบร้อยแล้ว”
พงศธรจ้องหน้าศิตางค์ยิ้มเยาะในที มั่นใจว่าตนยังถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี
“คุณถือหุ้น 25.5% แม้จะขอเรียกประชุมผู้ถือหุ้นได้ แต่เสียงคุณคงไม่ถึง 51% ที่จะขอเปลี่ยนบอร์ดบริหารได้หรอก”
ศิตางค์เดินไปหาพงศธรส่งซองเอกสารสำคัญให้
“ส่วนที่เหลือ อีก 25.5% อยู่ในกระดาษแผ่นนี้หมดแล้ว”
ทุกสายตามองไปยังบนเวที พงศธรรับมาด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ จนเมื่อเปิดซองหยิบออกมาดู ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามันเป็นใบทะเบียนสมรสของนิสากับตน พงศธรถามออกไปด้วยความโกรธ
“ศิตางค์ นี่คุณจะเล่นตลกอะไร”
“คุณพงศธร คิดว่ามีอะไรผิดแปลกไปเหรอคะ”
“ก็นี่มัน...”
“ใบทะเบียนสมรส”
“มันเป็นใบทะเบียนสมรสของผมกับ...นิสา “
ศิตางค์มองหน้าพงศธรนิ่งๆ บอกอออกไปด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “ใบทะเบียนสมรสของเรา”
ธีรภาพ และสื่อต่างสนใจว่าบนเวทีเกิดอะไรขึ้น
พงศธรโกรธมากขึ้น “พูดบ้าอะไรของคุณ”
ศิตางค์หันไปพูดกับทุกคน
“ทุกท่านในที่นี้คงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไงคะ”
ศิตางค์พยักหน้าให้ภาสกรเชิงสั่ง จู่ๆ มีภาพปรากฏขึ้นในจอโพรเจ็กเตอร์ใหญ่บนเวที เป็นภาพของนิสา
“มันฟังดูเหลือเชื่อนะคะ และฉันก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือชีวิตจริง”
บนจอขึ้นรูปนิสา ทุกคนงง ว่าเธอเป็นใคร และคืออะไร พงศธรและธีรภาพตกใจ
“นี่คือ นิสา นันทกุล เมื่อ 10 มกราคม ปีที่แล้ว เธอถูกทุกคนจดจำว่าเธอเสียชีวิตที่เกาหลีจากอุบัติเหตุการตกหน้าผาที่ประภาคารขาวฮาโจแด แต่ทุกท่านเชื่อในปฏิหาริย์ไหมคะ มันมีอยู่จริง เธอรอดตายจากการช่วยชีวิตของเพื่อนชาวเกาหลีของเธอ”
ศิตางค์มองไปยังยุนฮี ทั้งสองคนมองหน้ากันน้ำตาคลอ พงศธรตกใจมากกับเรื่องนี้ ศิตางค์เปิดภาพนิสาตอนถูกผ้าพันแผลรอบศีรษะ เหลือเพียงดวงตาสองข้าง ทุกคนตื่นตะลึง
“และนี่คือเธอ หลังจากการรอดชีวิต เธอไม่ต่างจากซากศพที่มีลมหายใจอยู่บนความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส สูญเสียคนรัก สูญเสียพ่อ สูญเสียชีวิตที่เหลือทั้งหมดไป แต่ก็ต้องขอบคุณใครคนหนึ่ง”
ศิตางค์มองไปที่พงศธรแว่บหนึ่ง
“ที่ทำให้เธอฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อจะเรียกร้อง ทวงคืนชีวิตของเธอกลับมา และแล้วเธอก็กลับมาได้จริงๆ กลับมาเพื่อร้องขอความยุติธรรม ความเป็นมนุษย์จากใครสักคน”
ศิตางค์เปิดภาพที่ใบหน้าเปลี่ยนจากนิสาเป็นศิตางค์ เล่นเอาทุกคนในงานอึ้งไปตามๆ กัน
พงศธรเบิกตาค้าง พร่ำเพ้อแต่คำว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้...” ซ้ำไปซ้ำมา
ขนาดธีรภาพเองแม้จะรู้อยู่แล้ว เมื่อเห็นสภาพนิสาเขาก็ยังอดตกใจไม่ได้
เจนไวย์เพิ่งเข้างานมาพร้อมซองเอกสาร อันเป็นผลการตรวจดีเอ็นเอจากโรงพยาบาล ที่เขาไปมา ยื่นส่งให้ธีรภาพขณะลงนั่งข้างๆ กัน พลางพยักหน้าให้กันว่า เรียบร้อยแล้ว
ศิตางค์กวาดสายตามองหน้าทุกคนในงานจากบนเวที
“ถูกต้องแล้วค่ะ ฉันคือเธอ นิสา นันทกุล ฟังดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว นี่เป็นเอกสารที่ออกโดยโรงพยาบาล เดอะ มิราเคิล ที่เกาหลี เพื่อยืนยันการผ่าตัดศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตของฉัน”
พงศธรไม่อาจยอมรับได้ ตะโกนออกไปว่า “ใครจะเชื่อคุณ เอกสารแบบนี้ ที่โน่น ใครก็ออกให้กันได้”
ธีรภาพใม่อาจทนดูได้ เขาอยากช่วยศิตางค์เป็นการตอบแทน ที่เขาเข้าใจผิดว่าเธอร่วมมือกับพงศธรจะฮุบรอยัลแอร์ไลน์ ลุกขึ้นยืนชูเอกสารรับรองจากโรงพยาบาล ชูให้ทุกคนดู
“แต่ถ้าคุณเชื่อในการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เรื่อง ดีเอ็นเอ นี่คือผลการตรวจเลือดของนิสา และศิตางค์ ที่พิสูจน์แล้วว่า เป็นดีเอ็นเอของคนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน”
ศิตางค์ประหลาดใจที่ธีรภาพมีผลตรวจดีเอ็นเอของเธอ ทั้งสองก็ได้แต่มองสบตาส่งกำลังใจให้กัน
“ขอบคุณค่ะ คุณธีรภาพ สำหรับผลพิสูจน์ความเป็นตัวฉัน แม้ภายในมันจะเป็นฉันไม่เปลี่ยน แต่ภายนอกฉันเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล ทำลายทุกอย่างที่เป็นนิสาทิ้งจนหมดสิ้น ยกเว้น สิ่งที่อยู่ในมือคุณนั่นไงคะ...ใบทะเบียนสมรส”
พงศธรมองดูใบทะเบียนสมรสในมือ นิ่งเป็นหินสลักไปแล้ว
“ฉันจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายกับคุณพงศธร ศุภชาติ แล้วเอกสารนั้นอยู่ในมือคุณพงศธรแล้ว”
ทุกคนตื่นตกใจ ส่งเสียงเซ็งแซ่ เป็นที่วุ่นวาย
พงศธรตั้งสติ “ผมว่าต้องงมีเรื่องอะไรที่เข้าใจผิดแน่ๆ”
“ยังไม่จบค่ะ คุณพงศธรกับฉันจดทะเบียนกันเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ปีที่ผ่านมา และยังเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมายจนถึงวันนี้ และคุณพงศธรได้รับการโอนหุ้นของรอยัลแอร์ไลน์ 51 % จากคุณวิริยา ถกลเกียรติดำรง เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ปีนี้”
พงศธรตกใจคาดไม่ถึง “ศิตางค์ อย่าบอกนะว่า...”
“ตามกฎหมาย หุ้นทั้งหมดที่คุณได้มาคือ สินสมรสของเราค่ะ พงศธร ครึ่งต่อครึ่ง 25.5% จากคุณพงศธร และ 25.5% จาก เคที กรุ๊ป รวมกันเป็น 51% ที่ฉันถืออยู่ในรอยัลแอร์ไลน์”
พงศธรเหมือนโดนรถสิบล้อชนสักสิบคันติดๆ กัน
ศิตางค์มองหน้าเขาอย่างผู้ชนะ “คุณคิดว่า 51% ของฉัน พอที่จะเรียกประชุมผู้ถือหุ้น และขอเปลี่ยนบอร์ดบริหารรอยัลแอร์ไลน์ชุดใหม่ได้ไหมคะ”
พงศธรโกรธสุดขีด “แกร้ายมาก ศิตางค์ แกวางแผนมาทั้งหมด แกต้องการแก้แค้นฉัน”
ระหว่างนี้ มีทีมนายตำรวจและลูกน้องเดินเข้ามาในงาน มองหาใครบางคน พงศธรมองไปเห็นตำรวจก็ตกใจ
“ฉันยอมรับ ว่าฉันวางแผนมา ต้องขอบคุณคุณมากนะคะ ฉันเรียนรู้มาจากคุณเยอะเลยค่ะ พงศธร”
คราวนี้ศิตางค์กดวิดีโอเหตุการณ์การฆาตกรรมเธอที่หน้าผาประภาคารขาวฮาโจแด พงศธรตกใจมาก ผู้คนในงานต่างเม้าท์มอยเสียงดังเซ็งแซ่
และระหว่างนี้ นายตำรวจ และลูกน้อง พากันเดินมาทางเวทีมองหาไปรอบๆ
พงศธรสบโอกาสที่ทุกคนกำลังเม้าท์มอยสนใจภาพบนจอฉากหลบออกไปหลังเวทีเงียบๆ
เมื่อวิดีโอฉายจบลงทุกคนจึงพบว่าพงศธรหายตัวไปแล้ว
ที่แท้พงศธรหนีขึ้นมาบนดาดฟ้าตึกรอยัลแอร์ไลน์ ค่อยๆ คุกเข่าลง กู่ก้องร้องตะโกนต่อว่าโชคชะตาอย่างบ้าคลั่ง
พงศธรนั่งคุกเข่าร้องตะโกนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งศิตางค์ตามขึ้นมา เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พงศธรเงยหน้าขึ้นมองอย่างโกรธแค้น
“ฉันสาบานกับตัวเองไว้ว่า ฉันจะทำให้แกก้มลง คุกเข่า อ้อนวอนร้องขอชีวิตต่อหน้าฉัน”
“นิสา ปล่อยผมไป สาก็รู้ว่าผมรักสามากแค่ไหน เราจะเริ่มต้นกันใหม่ ผมสัญญา นะสา”
คำหวานนั้นทำให้ศิตางค์ไขว้เขวไปได้บ้าง แต่เธอก็มีสติมากพอที่จะไม่หลงไปกับมันอย่างในอดีต
“พอเถอะพงศธร นิสาได้ตายไปแล้ว มีแต่ศิตางค์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า”
ระหว่างนี้ธีรภาพกับตำรวจทั้งสามก็วิ่งขึ้นมาสมทบบนดาดฟ้า
“ศิตางค์” ธีรภาพตะโกนเรียกออกไป ด้วยความเป็นห่วง
ศิตางค์หันไปทางเสียง โดยไม่ทันระวังตัว จึงถูกพงศธรใช้ปืนที่แอบไปเอาจากห้องทำงานมาจี้ศิตางค์ไว้เป็นตัวประกัน ตำรวจกับธีรภาพตกใจขยับจะช่วย แต่ถูกพงศธรซึ่งยามนี้เหมือนหมาจนตรอกตะโกนขู่
“อย่าขยับนะโว้ย ไม่งั้น อีนี่กะโหลกทะลุแน่”
“แกจะทำอะไร ปล่อยศิตางค์นะ” ธีรภาพตกใจ และห่วงศิตางค์มาก
“ไม่มีทาง ลืมไป แกคงจะรักมันมากสินะ มาช่วยมันสิ”
“ปล่อยเธอ แกหนีไม่รอดแน่”
ธีรภาพหยิบทรัมไดรฟ์ที่มีไฟล์จากกล้องวงจรปิดขึ้นมา
“นี่เป็นหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพแกพยายามฆ่าคุณพ่อ”
แม้จะตกใจว่ามีคดีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แต่พงศธรก็ไม่ยี่หระ
“ช่วยไม่ได้ ก็ไอ้แก่นั่นวอนหาที่ตายเอง”
ธีรภาพเดินเข้าไปช้าๆ และชวนคุยถ่วงเวลา เพื่อให้ตำรวจทั้งสามหาทางช่วยศิตางค์อีกรง แต่พงศธรรู้ทัน
“อย่าเข้ามาใกล้นะ ถ้าเข้ามาอีก อีนี่ไปก่อนแน่”
ธีรภาพจำยอม “ได้ๆ ฉันจะอยู่นิ่งๆ ไม่เดินเข้าไป แกอย่าทำอะไรเธอ”
ศิตางค์เป็นห่วงธีรภาพ “อย่าเข้ามาค่ะ”
พงศธรโกรธปนหึง “ห่วงมันนักเธอ รักมันแล้วสิ”
ศิตางค์มองหน้าธีรภาพแล้วอดถามใจตัวเองไม่ได้ว่า ในสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ เธอรักธีรภาพจริงหรือ? ด้วยเธอเองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย
ธีรภาพมองหน้าศิตางค์ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย จนนึกบางอย่างออก เขาส่งสัญญาณเชิงบอกอีกฝ่าย แล้วแกล้งชวนศิตางค์คุยไปเรื่อยๆ เพื่อยั่วโทสะพงศธร
“ศิตางค์ ผมรู้ว่าคุณรู้ว่าผมรู้สึกกับคุณยังไง ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน”
“ค่ะ ฉันรู้”
พงศธรหลงกล อารมณ์เสียและโกรธว่า มันจะมาพลอดรักอะไรกันตอนนี้
“จะมาสารภาพรักบ้าบออะไรกันตอนนี้”
นายตำรวจหัวหน้าทีมส่งสัญญาณมือให้ลูกน้อง และเริ่มขยับตัวเข้ามาตอนพงศธร
“คุณจำเช้ามืดที่ริมทะเลวันนั้นได้มั้ย”
“ค่ะ จำได้”
“ผมมีความสุขมากแค่ไหน คุณรู้ไหม ที่มีคุณอยู่ใกล้ๆ”
“คะ”
“คุณจำได้ใช่ไหม พอผมขยับตัว คุณก็ขยับตัว”
พงศธรโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “จะมาเล่าเรื่องอะไรกัน เดี๋ยวก็ไปอยู่นรกด้วยกันซะนี่”
ศิตางค์จ้องตาธีรภาพหวานซึ้ง “ค่ะ”
ธีรภาพให้สัญญาณศิตางค์พร้อมขยับมาใกล้มากขึ้น ใช้ความมั่นใจ พุ่งเข้าไปใส่พงศธรเต็มแรง ในขณะที่ศิตางค์ขยับออกจากพงศธรในเวลาเดียวกัน พงศธรไม่ทันตั้งตัวโดนธีรภาพกระแทกล้มลงกับพื้น แต่ตั้งสติได้ไวพอที่จะคว้าปืนที่หล่นอยู่ขึ้นมา แล้วยกเล็งเข้าใส่ศิตางค์ที่กำลังวิ่งออกไปทางตำรวจ
ธีรภาพตะลึงรู้ดีว่าศิตางค์ไม่รอดวิถีกระสุนแน่นอน เลยตัดสินใจกระโดดเข้าขวางกระสุน ตะโกนลั่น
“ระวัง”
เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วดาดฟ้า ลูกปืนพลาดเป้าโดนหัวไหล่ธีรภาพจากด้านหลัง นายตำรวจหัวหน้าทีมตัดสินใจยิงปืนใส่มือพงศธรโดนปืนกระเด็นหลุดมือไป และตำรวจอีกคนยิงใส่ขาพงศธรจนล้มลงไปอีก จากนั้นตำรวจทั้งสามก็วิ่งเข้ามาล้อมจับพงศธรไว้ได้อย่างราบคาบ
ศิตางค์วิ่งถลาเข้าไปดูอาการธีรภาพโดยเร็ว
“คุณธีรภาพ...คุณธีรภาพ เป็นไงบ้าง”
ธีรภาพเจ็บเจียนตาย ยังไม่วายถามศิตางค์อย่างห่วงใย
“คุณเป็นไงบ้าง
ถามได้แค่นั้นธีรภาพก็สลบไป
“ธีรภาพ...ธีรภาพ”
ศิตางค์เขย่าตัวร้องเรียกเท่าไหร่เขาก็ไม่ตื่น
วันต่อมาศิตางค์เดินมาตามโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล ในมือมีดอกไม้ช่อสวยมาเยี่ยมคนป่วยซีอีโอหนุ่มรูปงามด้วย
ศิตางค์เปิดประตูห้องเข้ามา ตรงไปยังเตียง ไม่เจอธีรภาพก็ใจเสียนึกว่าอาการทรุด สักพักได้ยินเสียงทักทายมาจากด้านหลัง
“อ้าวคุณ มานานแล้วเหรอ”
ศิตางค์หันไปเห็นธีรภาพเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ พร้อมกับคนางค์ ก็โล่งใจ ธีรภาพยิ้มเรี่ยราด แนะนำศิตางค์ให้คนางค์รู้จัก
“แม่ครับ นี่คุณศิตางค์”
ศิตางค์ไหว้อย่างนอบน้อมและจำคนางค์ได้ เพราะเคยช่วยไว้ตอนอยู่ในคราบนิสา คนางค์รับไหว้สีหน้ายิ้มแย้ม
“ตี้เขาเล่าเรื่องของหนูให้ฟังหมดแล้ว”
ธีรภาพเขินจนหูแดงเลย รีบเบรกแม่
“แม่อ่ะ”
คนางค์ยิ้มขำ “ก็จริงไหมละ พูดจนอยากเจอตัวจริง ก็สวยอย่างที่เขาเล่าจริงๆ”
คราวนี้ศิตางค์อายนิดๆ
“แม่ครับ”
คนางค์รู้สถานการณ์ดี รีบออกตัวกับสองหนุ่มสาว
“เอ่อ เดี๋ยวแม่จะออกไปซื้อมาลัยมาให้ตี้ไหว้พระหน่อย คุยกันไปก่อน เดี๋ยวแม่มานะจ๊ะ หนูศิตางค์”
“ค่ะ”
คนางค์ยิ้มให้สาวสวยแล้วเดินออกไป ศิตางค์เขินนิดๆ เฉไฉถามถึงอาการธีรภาพ
“คุณเป็นอย่างไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรมากแล้วละครับ ห่างหัวใจตั้งไกล”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ”
ศิตางค์มองจ้องหน้าเขาอย่างซาบซึ้งใจ เล่นเอาธีรภาพถึงกับอึ้งไป
“ครับ...ครับ”
ธีรภาพและศิตางค์มองหน้ากันนิ่งนาน
“ผมอยากจะขอโทษคุณ ที่ผมเข้าใจคุณผิด คิดว่าคุณร่วมมือกับพงศธรจะมา...”
ศิตางค์ยิ้มให้ “จากภาพในมุมของคุณ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็ต้องคิดแบบนั้น”
“ครับ”
“ฉันแวะมาเยี่ยม เพื่อจะมาขอบคุณ ขอตัวก่อนนะคะ”
ธีรภาพเสียดาย และงุนงงว่าทำไมกลับเร็วจัง ศิตางค์ขยับเดินออกไป ธีรภาพเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณที่มานะครับ”
ศิตางค์หันมายิ้มให้แล้วเดินออกไป แต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อธีรภาพเรียกเธอว่า
“นิสา”
แต่ศิตางค์ไม่ยอมหันหลังกลับมาอีก รีบเปิดประตูออกไปทันที
ธีรภาพมองตามอดกังวลไม่ได้ ที่เขาทำเหมือนบีบบังคับให้ศิตางค์ยอมรับตัวตนของเธอ
ศิตางค์ยืนพิงประตูหน้าห้องอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะสลัดความคิดจากหัวปรับความรู้สึกตัวเอง ว่าฉันคือศิตางค์ ไม่ใช่นิสา แล้วเดินออกไป บังเอิญเจอมีนากับเจนไวย์ที่เพิ่งเดินพ้นหัวมุมลิฟต์มา ศิตางค์เห็นมีนาก็ฝืนยิ้มไปให้แล้วเดินไปหน้าลิฟต์โดยไม่พูดไม่จา
มีนาหมั่นไส้ ที่ศิตางค์ทำเรื่องราวใหญ่โตไว้แล้ว ยังกล้ามาที่นี่อีก จึงตามไปดักหน้าไว้
“นี่คุณคนสวย เจอกันทีไร ลูกพี่ต้องได้เรื่องทุกที”
“คุณหมายถึงอะไร”
“ก็ลูกพี่ ก็...ธีรภาพ แฟนฉัน อ่ะสิ”
ศิตางค์อึ้งไปกับสรรพนามที่มีนาเรียกธีรภาพ
“เจอกับคุณทีไร ซวยทุกที ที่โดนยิงมาคราวนี้ ก็เพราะคุณอีกไม่ใช่เหรอ นี่ถ้าเขาเป็นไรนะ ฉันไม่ปล่อยคุณแน่”
ศิตางค์ไม่อยากฟังอะไรอีก หน้าชาตั้งแต่ได้ยินมีนาเรียกธีรภาพว่าแฟนแล้ว เลยรีบเดินหนีไป
“นี่ จะรีบไปไหน โธ่ ยังพูดไม่จบเลย”
เจนไวย์ยืนมองแต่ต้น เดินมาปรามมีนาด้วยความหมั่นไส้
“เฮียว่า แกควรจะจบ ปัดโธ่พูดอะไรออกไป แล้วใครเป็นแฟนแก”
“ก็มันหมั่นไส้นี่ คนอะไร ก็แค่สวย แค่รวย แค่เก่ง อย่าคิดว่าลูกพี่ฉันจะใจ อ่อนนะ โธ่เอ๊ย”
มีนาเดินหุนหันไปทางห้องพักฟื้นผู้ป่วย เจนไวย์เกาหัวแกรกๆ อยากจะบ้าตาย
อีกฟาก พงศธรนั่งนิ่งขึงอยู่บนรถเข็นในห้องคุมขังสีหน้าเรียบเฉยไม่พูดไม่จา สักครู่หนึ่งมีเจ้าหน้าที่ไขประตูห้อง ตะโกนบอก
“พงศธร มีญาติมาเยี่ยม”
สีหน้าพงศธรยังเรียบเฉยดังเดิม ไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ
เมื่อพงศธรเข็นรถเข้ามาในห้องเยี่ยม พบว่าเป็นวิริยาที่นั่งคอยอยู่ ทั้งสองมองหน้ากัน วิริยากลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลริน ขณะเอ่ยทักถามสามี
“คุณเป็นยังไงบ้าง อยู่ข้างในคงต้องลำบากมาก ต้องอดทนนะคะ”
พงศธรนิ่งไม่ตอบอะไร
“โทษตลอดชีวิต ถ้าคุณทำตัวดีๆ ก็อาจจะได้รับการอภัยโทษบ่อยๆ ไม่นานคุณก็ออกมาได้”
พงศธรยังคงนิ่งขึงไม่ตอบอะไร
“ฉันจะดูแลลูกอย่างดี คุณไม่ต้องห่วงนะคะ แกจะต้องเป็นคนดี ฉันมั่นใจ คุณไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันจะบอกแกเองว่า ใครเป็นพ่อของแก”
พงศธรเฉยอยู่อย่างนั้น
“พงศ์ ฉันรู้ว่ามันไม่เหมาะ แต่ฉันอยากถามอะไรบางเรื่อง เพราะฉันเพิ่งรู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างคุณกับนิสาที่เกาหลี วันนั้นที่หน้าผาบ้านพักที่จันทบุรี มันเป็นอุบัติเหตุใช่ไหมคะ”
ผู้คุมเตือนว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว
“พงศธร หมดเวลาเยี่ยมแล้ว”
วิริยารอลุ้นคำตอบจากปากสามี แต่พงศธรไม่แสดงท่าทีใดๆออกมา เข็นรถออกไป แล้วจู่ๆ เสียงรถเข็นก็หยุด วิริยาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองช้าๆ พงศธรบอกออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“วิว มันไม่ใช่อุบัติเหตุ”
วิริยาได้ฟังถึงกับปล่อยโฮออกมา พงศธรเข็นรถหายเข้าไปในเขตคุมขังแล้ว
ทางฝ่ายศิตางค์แวะมาหามัทรีเพื่อนรัก เวลานี้สองสาวนั่งคุยอยู่กันอยู่ในร้านกาแฟแถวออฟฟิศแฮปปี้โคเรีย มัทรีใจหายเมื่อฟังจบ พยายามทักท้วง และเกลี้ยกล่อมให้ศิตางค์อยู่ที่เมืองไทยต่อ
“นิสา แกแน่ใจแล้วเหรอ ว่าจะย้ายไปอยู่ที่โน่นเลย บ้านเราก็ไม่ใช่ มันจะดีเหมือนอยู่เมืองไทยเหรอ”
“ฉันคิดมาแล้วยัยมัท อยู่ที่นี่ฉันก็เหมือนไม่มีใครอยู่แล้ว นอกจากแก”
“ก็นั่นไง ก็อย่างน้อยก็ยังมีฉัน แกจะไปห่วงอะไร ไหนจะบอสจอมขี้หลีอีกนะ นะ สา หรือแกจะกลับมาทำงานที่แฮปปี้โคเรียก็ได้ บอสคงดีใจหน้าบานคับออฟฟิศแน่ๆ เหอะนะ”
ศิตางค์ลังเลใจ อยากอยู่ก็เพราะมัทรี แต่ที่มากกว่านั้นคือเขา ธีรภาพ
“ขอฉันคิดดูอีกทีละกันนะมัท แล้วฉันจะให้คำตอบแก”
“แต่แกต้องอยู่นะ สานะ ถ้าแกไม่อยู่ เกิดนายเจนไวย์มาขายขนมจีบใส่ฉัน ใครจะคอยกันท่าละ ฉันจะเสียก็คราวเนี้ย”
ศิตางค์ยิ้มขำ ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะอยู่หรือไป
ฝ่ายธีรภาพในชุดคนไข้นั่งบนรถเข็นคุยกับพ่ออยู่ข้างเตียงในห้องไอซียู กรเกียรติยังคงนอนไม่ได้สติ แต่สีหน้ามีเลือดฝาดดีขึ้นแล้ว
“พ่อครับ ผมขอโทษที่ไม่สามารถรักษารอยัลแอร์ไลน์ไว้ได้ ตามที่พ่อหวังเอาไว้ พ่อคงผิดหวังในตัวผม แต่ผมสัญญากับพ่อนะครับ ว่าผมจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด แล้วพารอยัลแอร์ไลน์กลับมาให้พ่อให้ได้นะครับ”
ช่วงที่ธีรภาพพูดนั้น สัญญาณชีพจรกรเกียรติดีขึ้น ความดันดีขึ้น นิ้วที่ใส่เครื่องวัดเริ่มกระดิก เปลือกตาของกรเกียรติค่อยๆ ขยับ และลืมตาขึ้นมาช้าๆ
“ผมสัญญานะครับ ผมสัญญา”
“ตี้...”
ธีรภาพได้ยินเสียงพ่อเรียกชื่อ เผลอถามกลับไป
“อะไรครับพ่อ”
ธีรภาพชะงัก นึกขึ้นได้ว่าเสียงพ่อ เงยหน้ามองด้วยความดีใจ
“พ่อๆ พ่อฟื้นแล้วเหรอครับ พ่อฟื้นแล้ว แม่...แม่ครับ”
คนางค์วิ่งเข้ามาอย่างตกใจ เห็นกรเกียรติปรือตาขึ้นมาแม้เพียงนิดๆ ก็ดีใจ
“คุณคะ คุณ”
เสียงดังเรียกให้เปรมจิตและวิริยาที่เพิ่งมาถึงรีบวิ่งเข้ามา
ธีรภาพหันไปบอกเปรมจิตอย่างดีใจ “คุณพ่อฟื้นแล้วครับ”
“คุณพี่ คุณพี่ ดีใจจังเลย”
“คุณพ่อ คุณพ่อ”
วิริยาสวมกอดพ่อด้วยความโล่งใจ กรเกียรติปรือตามองคนโน้นคนนี้ที่ยิ้มชื่นใจมาให้ แม้จะอยู่ในอาการสะลึมสะลือ แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีต่อทุกคนในครอบครัว
วันนี้ ธีรภาพนั่งเหม่ออยู่บนเตียง เอาแต่นึกถึงศิตางค์ มีนาล้างผลไม้เสร็จเดินเข้ามานั่งข้างเตียงปอกแอปเปิ้ลให้ทาน
“นี่ลูกพี่ มัวแต่นั่งเหม่อคิดถึงฉันอยู่ได้”
ธีรภาพหันมาส่ายหัว ยิ้มขำๆ มีนาปอกเสร็จยื่นให้
“อะ นี่ ฉันแวะซื้อที่ตลาดแถวบ้าน เห็นลูกมันน่ากินดี แม่ค้าบอกรับรองเลยว่า หวานเจี๊ยก”
ระหว่างนี้ ลูกบิดประตูห้องถูกเปิดจากด้านนอก
“เฮ้ย เจี๊ยก เขาใช้กับลิงหรือเปล่า”
“อ้าวเมื่อกี้ฉันพูดว่าไร เจี๊ยบหรือเจี๊ยก หูไม่ดีปล่าว กระสุนมันโค้งเข้าหูปะเนี่ย ไหนดูดิ”
“นี่แกล้งหลอกด่าหรือเปล่านี่ ไว้ใจไม่ได้”
ธีรภาพกับมีนาแกล้งดึงทึ้งจับเนื้อต้องตัวกันไปมา จนกระทั่งได้ยินของบางอย่างตกกระทบพื้นเสียงดัง ธีรภาพกับมีนาตกใจหันไปดู เห็นเป็นศิตางค์ยืนตะลึงอยู่ ตรงพื้นด้านหน้าเธอเป็นกระเช้าผลไม้หล่นเกลื่อนพื้น
“ฉัน...ฉัน กลับก่อน” ศิตางค์หันหลังกลับออกไปทันที
“ศิตางค์...ศิตางค์”
ธีรภาพจะวิ่งตาม แต่ปวดแปลบที่แผลร้องโอดโอย
“โอ๊ย”
“นั่นไง บอกแล้วไม่ฟัง ระวังแผลที่เย็บมันจะฉีก”
มีนามองธีรภาพอย่างเข้าใจ
“เอาน่า ยังไงเขาก็คงไม่ไปไหนหรอก เพราะถ้าเขาไม่กลับมา ฉันเชื่อว่าลูกพี่ก็จะตามหาเขาจนเจออยู่ดี”
ธีรภาพมองหน้ามีนา ดีใจที่อีกฝ่ายทำใจเรื่องของเขาได้แล้ว โดยไม่รู้ว่านางไปทิ้งระเบิดใส่ใจศิตางค์ก่อนหน้านี้ มีนาชวนกินผลไม้ต่อ
“อะ กินแอปเปิ้ล ตุนพลังงานไว้ก่อน จะได้มีแรงไว้วิ่งไล่สาว สวยซะด้วย”
ธีรภาพส่ายหน้า ยิ้มเขินๆ
ศิตางค์เดินมาด้วยความรู้สึกผิดหวัง น้ำตาไหลรินอาบแก้ม ที่เห็นธีรภาพมีผู้หญิงที่เหมาะสมคอยดูแล และรักเขามากอยู่แล้ว ศิตางค์ปาดเช็ดน้ำตาออก เดินเชิดหน้าออกไป เพื่อทำภารกิจอีกอย่างก่อนไปจากเมืองไทย
เย็นแล้วขณะวิริยายืนทอดอารมณ์อยู่ริมสระว่ายน้ำมุมโปรดภายในบ้าน จนเห็นศิตางค์เดินเข้ามาหา
“ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณจะต้องมาที่นี่”
“คะ”
“แค่ไม่รู้ว่าวันไหน”
ศิตางค์เดินเข้ามาใกล้วิริยาอีก
“เรื่องของคุณพงศธร...”
“ฉันในฐานะคนเคยเป็นภรรยาเขา ไม่รู้ว่าจะขอโทษยังไงกับสิ่งที่เขาทำกับคุณ”
วิริยามองหน้าศิตางค์ รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่เธอเคยได้รับมา
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณคงเจ็บปวดกับมันมาก”
ศิตางค์นิ่งแทนตำตอบ
“ฉันรู้ดีว่าฉันก็มีส่วนในเรื่องเหล่านี้ ส่วนตัวฉันแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันต้องชดใช้อะไรให้กับคุณบ้าง ศิตางค์”
“มันหายกันไปแล้วล่ะค่ะ ฉันก็ทำกับคุณไว้ไม่เบาเหมือนกัน เราไม่ติดค้างกันแล้ว”
ทั้งสองสาวมองหน้ากันยิ้มบางๆ ให้แก่กันด้วยมิตรภาพ
“เรื่องของพงศธรกับฉัน ถึงไม่มีเธอเข้ามา เรื่องเหล่านี้มันก็ต้องเกิดอยู่ดี อยู่ที่ว่า เมื่อไรเท่านั้น มันเหมือนระเบิดเวลา ที่รอวัน”
ทั้งสองคนยืนเงียบกันไปพักหนึ่ง ศิตางค์เปลี่ยนเรื่องคุยต่อ
“ฉันตัดสินใจว่าจะไปจากเมืองไทย”
วิริยามองฉงน ประหลาดใจกับการตัดสินใจนี้
“แล้วรอยัลแอร์ไลน์ละ”
“นั่นคือเหตุผลสำคัญ ที่ฉันมาหาคุณวันนี้”
วิริยางงหนักว่าศิตางค์หมายถึงอะไร
ออกจากบ้านวิริยา ศิตางค์พาตัวเองเดินเข้ามาที่ข้างกำแพงโบสถ์ภายในวัด ตรงจุดที่เก็บอัฐิศักดิ์ชายเพื่อมาบอกลา
“ลาก่อนค่ะพ่อ”
ศิตางค์ปลดกรอบรูปนิสาออกมาถือไว้ แล้วเดินจากไป
คืนเดียวกันนั้น ศิตางค์เดินมาหยุดที่ริมน้ำอันคุ้นเคย คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงยิ่งชวนเหงาใจ หญิงสาวมองไปรอบๆ เห็นผ้าเช็ดหน้าสองผืนที่ผูกติดกันอยู่บนกิ่งไม้
ศิตางค์นึกถึงวันที่เธอผูกผ้าเช็ดหน้าไว้ ก่อนที่ธีรภาพจะเดินมาผูกตาม และขอเป็นเพื่อนกับเธอ
ศิตางค์เดินไปแกะผ้าเช็ดหน้าของเธอออกมาจากกิ่งไม้ ทิ้งผ้าเช็ดหน้าของธีรภาพไว้ผืนเดียวปลิวไปตามแรงลม ศิตางค์ทอดสายตามองสายน้ำไกลลิบตา ความเหงาเกาะกินหัวใจจนหนาวเหน็บ
เช้าวันต่อมา ศิตางค์ปิดกระเป๋าเดินทางลง มองรอบๆ ห้อง อย่างใจหาย ก่อนจะค่อยๆ ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกจากห้องไป
อีกฟากหนึ่ง วิริยานั่งพักผ่อนอยู่ในสวนสวยคนเดียว สักครู่หนึ่ง จึงเห็นธีรภาพซึ่งออกจากโรงพยาบาลแล้ว เดินเข้ามาหา วิริยายิ้มทักน้องชาย
“ต่อไปบ้านเรา คงมีแต่เรื่องดีๆ”
“ครับ”
วิริยาจับสังเกตท่าทีธีรภาพ ดูออกว่ามีเรื่องทุกข์ใจ และรู้ว่าเป็นเรื่องของหัวใจ
“เธอโอเคใช่ไหม”
“พรุ่งนี้ก็คงกลับไปทำงานได้แล้วละครับ หยุดงานนาน เดี๋ยวก็โดนไล่ออกพอดี”
“พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน”
ธีรภาพอึ้งไป
“ศิตางค์มาหาพี่ที่นี่เมื่อวันก่อน” ธีรภาพงุนงง “ก็มาคุยกันตามภาษาผู้หญิง ไม่มีอะไรมากหรอก”
“แล้ว คุณศิตางค์เธอ...”
ธีรภาพจะถามว่าศิตางค์พูดถึงเขาบ้างไหม
“เธอไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้ฝากอะไรใคร...เธอมีไรหรือเปล่า”
ธีรภาพผิดหวังลึกๆ ในใจ
ไม่นานต่อมา ธีรภาพกับมัทรีเดินคุยกันมาตามทางเดินสวยงามละแวกออฟฟิศแฮปปี้โคเรีย
“ก่อนยัยสาจะไป เธอก็แวะมาหา” มัทรีว่า
“ครับ”
“บอกว่าจะย้ายไปทำงานที่เกาหลีเลย แล้วคงงจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ธีรภาพตกใจเมื่อได้รู้การตัดสินใจของศิตางค์
“แล้วเธอได้บอกหรือเปล่า ว่าเธอจะไปทำอะไร อยู่ที่ไหน”
“ไม่เลยค่ะ บอกว่าเมื่อทุกอย่างพร้อม ลงตัว ก็จะติดต่อกลับมาเอง”
“ถ้าคุณแมทซี่ได้ข่าวนิสา ก็ช่วยติดต่อผมด้วย ผมเป็นห่วง”
“แหม เป็นห่วงหรือว่า...คิดถึงกันแน่คะ” มัทรียิ้มล้อรู้ทัน
ธีรภาพถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
“ค่า ถ้ายัยสาติดต่อมาเมื่อไร แมทซี่จะโทร.หาคุณทันที”
“ขอบคุณครับ”
ธีรภาพเดินคอตกจากไป มัทรีมองตาม บ่นบ้าตามประสา
“โอ้ย ยัยสา คันๆๆ ปาก นะโมตะสะฯ บาปแท้ๆ แกนะแก คิดอะไรอยู่ เดี๋ยวคนดีๆ ก็ไปซะหรอก ยัยสาเอ๊ย”
มัทรีได้แต่มองตามหลังธีรภาพไปด้วยความสงสาร
ธีรภาพเดินมาหยุดที่ริมน้ำอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง ก่อนจะนึกขึ้นได้ หันไปมองยังกิ่งไม้ที่เคยผูกผ้าเช็ดหน้าไว้ แล้วต้องใจหายเมื่อพบว่าเหลือแค่ของเขาผืนเดียวที่ผูกอยู่ ศิตางค์คงมาเอาของเธอคืนไป คล้ายเป็นการบอกว่าเธอจากไปแล้ว
ธีรภาพเดินคอตกหน้าหมองเศร้าเข้าบ้านมา เจอแม่นั่งรออยู่ที่ชิงช้า
“ตี้”
เขาเดินไปนั่งข้างๆ “แม่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“ยังจ้ะ นั่งรอตี้”
“รอผม มีอะไรหรือเปล่าครับ”
คนางค์มองหน้าลูกชาย
“ตี้ มีไรไม่สบายใจไหมลูก คุยกับแม่ได้นะ”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับแม่”
“เอาเวลาที่มีอยู่ตอนนี้ คิดทบทวนให้ถ้วนถี่ คิดอย่างมีสติ”
“ครับแม่”
ธีรภาพมองหน้าแม่แล้วลุกเดินเข้าบ้านไป คนางค์มองตามลูกชายด้วยความเป็นห่วง
อีกฟากโลก บนอาคารเคทีกรุ๊ปในกรุงโซล เกาหลีใต้ ยุนฮีนั่งทำงานอยู่ในห้อง จนเห็นศิตางค์เปิดประตูเดินเข้ามา ยุนฮีลุกไปรับ สองคนสวมกอดกัน ยุนฮียิ้มชื่น ดีใจที่ศิตางค์สะสางเรื่องราวของเธอจบแล้ว
“ทุกอย่างมันจบไปแล้ว หนูได้ชีวิตของหนูคืนแล้ว”
“ค่ะ ยุนฮี ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ”
“เธอเหมือนน้องสาวฉัน ฉันจะไม่ช่วยได้ยังไง”
“ค่ะ”
ศิตางค์แววตาหมองเศร้า และเงียบไป ยุนฮีจับสังเกตได้
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“แน่ใจนะ ว่าไม่มีใครที่เมืองไทยให้ห่วง”
ศิตางค์เงียบไป ยุนฮีรู้ได้ทันทีว่า พูดเตือนสติว่า
“ใช้ช่วงเวลานี้ถามตัวเองทุกวินาที ว่าอยู่โดยไม่มีเขาคนนั้นได้ไหม”
ศิตางค์นิ่งงันไป
ทางด้านธีรภาพเริ่มงานวันแรก หลังออกจากโรงพยาบาล เขานั่งหัวโต๊ะในที่ประชุมบอร์ด พร้อมทีมบริหารชุดใหม่ มาทำงานแทนชุดเก่าบางคน เอนกนั่งเป็นเลขาบันทึกการประชุม
“วันนี้ผมมีความยินดีจะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ความเชื่อมั่นในตลาดของรอยัลแอร์ไลน์ กลับมาเป็นปกติแล้ว ทั้งลูกค้า นักลงทุน ต่างไว้ใจและมั่นใจในเสถียรภาพของรอยัลแอร์ไลน์ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกัน”
ธีรภาพนึกถึงเรื่องที่คุยกับวิริยาเมื่อวานนี้
“ศิตางค์แจ้งกับบอร์ดบริหารทั้งหมด ว่าขอให้มีการซื้อหุ้นทั้งหมดของเธอ 25.5% คืนกลับมาที่รอยัลแอร์ไลน์ ซึ่งพี่จัดการซื้อคืนมาหมดแล้วในชื่อของตี้ และในส่วนสินสมรสของศิตางค์ เธอคืนทั้งหมดให้พี่แล้วด้วย”
“เธอเลือกที่จะเดินออกไป”
“พี่นับถือเธอจังในจุดนี้ พี่อยากให้ตี้บริหารงานรอยัลแอร์ไลน์ต่อ”
“พี่ครับ” ธีรภาพจะปฏิเสธ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน มีคุณพ่อ พี่ และก็บอร์ดที่เก่งที่สุด คอยช่วยเธออยู่ข้างหลังอยู่เสมอ”
ธีรภาพดึงตัวเองออกมาจากความคิด มองดูรอบๆ ตัวที่มีทีมงานช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน แล้วโล่งใจ แต่ไม่วายหน้าเศร้าลง เมื่อนึกถึงศิตางค์ขึ้นมา
ในเวลาต่อมา ธีรภาพพาตัวเองเดินเข้ามาหยุดที่รอยัลอายส์ มองลงไป เห็นอาณาจักรรอยัลแอร์ไลน์อันยิ่งใหญ่ที่เขาต้องดูแล ภาระนี้มันใหญ่หลวงนัก แต่เขาก็ต้องทำให้ได้ เพื่อทุกๆ คน
ออกจากออฟฟิศ ธีรภาพมาเดินเล่นริมน้ำ ด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ความคิดถึงศิตางค์แล่นเป็นริ้วๆ จับขั้วหัวใจซีอีโอหนุ่ม
เมื่อกลับเข้าบ้าน เจอหน้าคนางค์ เข้าทำแค่ยิ้มทักทายมารดา แล้วเดินขึ้นห้องไปเลย คนางค์มองตามไปด้วยความเป็นห่วงลูกชาย
หลายวันมานี้ ธีรภาพทำงานบริหารสายการบินด้วยสีหน้าหม่นหมอง หัวใจห่อเหี่ยว ไร้ความสุขอย่างเห็นได้ชัด เอนกยืนรอเอกสารเซ็น เห็นอาการไข้ใจกำเริบ ก็ยิ่งเป็นห่วงเจ้านาย ตัดสินใจโทร.หาวิริยา
วิริยาคุยสายกับเอนกอยู่ตรงริมสระน้ำในบ้าน นิ่งฟังปัญหาน้องชายต่างมารดา พลางพยักหน้ารับเอาคำ ก่อนจะวางสายไป แล้วต่อสายหาเลขาส่วนตัวต่อทันที
“จองตั๋วเครื่องบินให้คุณธีรภาพด่วน ไฟลต์แรกของพรุ่งนี้เช้าเลยนะ”
วิริยายิ้มพราย เมื่อนึกถึงแผนขจัดความทุกข์ให้พ้นไปจากหัวใจของน้องชาย
ตกกลางคืน ธีรภาพนั่งอมทุกข์อยู่คนเดียวที่ชิงช้าหน้าบ้าน คนางค์เดินออกมาหา ลงนั่งข้างๆ ลูกชาย
“แม่ยังไม่นอนเหรอครับ”
“จะให้แม่นอนลงได้ยังไง ในเมื่อลูกรักของแม่ ยังนอนไม่หลับอย่างนี้”
“แม่ครับ”
“ตี้ นี่เป็นอาการของคนที่เรียกว่า ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนเราควรหาหัวใจให้เจอสิ”
“หัวใจ”
“ก็หัวใจที่ไม่ใช่หัวใจของตี้ แต่เป็นหัวใจอีกดวงที่มันเป็นของตี้ ไล่ตามมันให้เจอ คว้ามันไว้ให้ทัน ก่อนที่มันจะสายเกินไป จะมานั่งอมทุกข์ นั่งรอให้มันมาหาเรานะ มันไม่มีแล้วละลูก จงบินออกไปหามัน เพราะถ้ามันเป็นของเราจริงๆ มันก็จะรอเราอยู่ แม้จะอยู่คนละฟากฟ้า มันก็จะพามาเจอกันจนได้”
ธีรภาพได้คิดเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามสอน
“ครับแม่ ผมจะตามหามันให้เจอ แม้ว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม ผมจะต้องเจอ...”
“จ้ะ ตี้”
“ขอบคุณมากครับแม่ ผมรักแม่นะครับ”
ธีรภาพกอดแม่แน่น นึกถึงหัวใจอีกดวงที่เขาจะออกตามหา ทำให้เริ่มมีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง
กลางดึกคืนเดียวกันนี้ พงศธรนั่งอยู่ในห้องคุมขัง หยิบแหวนแต่งงานออกมา แล้วคลี่ยิ้มออกมา ออกมา สีหน้าท่าทีของเขาดูออกว่าจิตหลุดไปแล้ว
“กูรวยละ กูจะแต่งงาน กูรวย กูมีเงิน กูรวยแล้ว”
พงศธรวิ่งออกไปเกาะลูกกรงเขย่าๆ ร้องตะโกนให้ผู้คุมเปิดประตูให้
“กูบอกให้เปิด กูบอกให้ปล่อยกู กูบอกให้ปล่อยกู”
พงศธรร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่คนเดียวในห้อง ก่อนจะทรุดลงไปนอนกองกับพื้นอย่างน่าเวทนา
“ปล่อย ปล่อยกู ปล่อยกู”
พงศธรร้องโวยวายเสียงดังกึกก้องไปทั่วห้องขัง ความเลวร้าย ความผิดบาปในอดีตที่ก่อไว้ จนสร้างซาตานชั่วขึ้นในใจ เฝ้าตามมาหลอกหลอนให้เขาทนทุกข์ทรมาน และชดใช้กรรมในยามนี้
เช้าวันนี้ศิตางค์ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ในกรุงโซล สาวสวยมาดมั่นเดินเดียวดายอยู่ท่ามกลางฝูงผู้คนขวักไขว่ที่เดินสวนทางไปมา สุดท้ายพาตัวเองมานั่งเหงาเศร้าอยู่คนเดียวในร้านกาแฟที่เคยมากับธีรภาพ
ธีรภาพมาถึงกรุงโซลแล้ว เขาเริ่มออกตามาหาศิตางค์ในทุกที่ที่คิดว่าเธอจะไป
ศิตางค์เดินทางไปทุกที่ที่มีรอยจำระหว่างเธอกับธีรภาพอยู่
ธีรภาพมาตามหาศิตางค์ที่หมู่บ้านบกชอนท่ามกลางหิมะตกหนัก แต่ก็ไม่เจอ
จะเจอได้อย่างไร ก็ในเมื่อศิตางค์ไหว้พระอยู่ที่วัด นักซานซา ด้วยใจอันสงบนิ่ง
เมื่อธีรภาพมาถึงวัด จึงคลาดกันกับศิตางค์ที่ออกไปอย่างเฉียดฉิว
ศิตางค์พาตัวเองมาเดินทอดอารมณ์ที่ตลาดเมียงดง ธีรภาพตามมาที่เมียงดงแต่ศิตางค์จากไปแล้ว
ที่หมู่บ้านฝรั่งเศส ธีรภาพเดินตามหาศิตางค์จนทั่ว ทุกที่ที่เขาและเธอเคยมาด้วยกัน แต่ไม่เจอแม้เงา
สุดท้ายเขาเดินมาหยุดพักเหนื่อย บริเวณด้านล่างของหอคอย นึกถึงนิสาตรงมุมนั้นมุมนี้แล้วหน้าเศร้า ดูเหมือนธีรภาพสิ้นหวังแล้วที่จะเจอศิตางค์
ก่อนกลับอะไรบางอย่างกระตุ้นให้ธีรภาพตัดสินใจเดินเข้ามาที่ห้องผนังแห่งความทรงจำ กวาดสายตามองข้อความต่างๆ มากมาย ที่บรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วโลกทิ้งไว้บนผนังทั้งสี่ด้าน
จังหวะหนึ่งธีรภาพนึกถึงนิสาที่เคยชวนให้ลูกทัวร์ และ เขาเขียนความทรงจำไว้ในที่แห่งนี้
และบอกว่าหากเขียนชื่อไว้ที่นี่คำอธิษฐานจะเป็นจริง ทุกคนพากันเขียนชื่อและคำอธิษฐานไว้ นิสายืนยิ้มมองลูกทัวร์เขียนด้วยสีหน้าแช่มชื่น หันมาเห็นธีรภาพยืนนิ่งไม่สนใจเขียนใดๆ
นึกขึ้นมาแล้ว ธีรภาพได้แต่ยิ้มเยาะตัวเอง มองเห็นผนังเปล่ามุมหนึ่ง ธีรภาพจรดปากกาลงเขียน เป็นข้อความว่า
“ผมคิดถึงคุณ 14 feb. 2017 ธีรภาพ”
เมื่อเขียนเสร็จ สายตาเขาก็พลันไปสะดุดตากับ ลายมือคนไทย เขียนไว้ว่า
“14 กุมภาพันธ์ 2017 ...”
ธีรภาพเห็นเป็นวันที่ 14 ตรงกับวันนี้พอดี เขาเอามือแตะตัวหนังสือนั้น ยังมีรอยน้ำหมึกติดนิ้วมาด้วย แสดงว่าศิตางค์เพิ่งจากไปไม่นาน
ธีรภาพยิ้มออก รีบวิ่งไปมองหาศิตางค์ตามหน้าต่างด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวัง แต่กลับไม่เจอ จนสายตาเหลือบไปเห็นประภาคารฮาโจแด ตั้งตระหง่านอยู่ ความหวังริบหรี่สว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง
ธีรภาพวิ่งเข้ามาในประภาคาร หวังว่าจะเจอศิตางค์ที่นี่ แต่ทุกมุมกลับว่างเปล่า
ธีรภาพน้ำตาซึม ผิดหวังอย่างรุนแรง เขานึกถึงที่นิสาเคยชวนให้ตะโกนปลดปล่อยความรู้สึกทุกข์ขมในใจ ครั้งนั้น เขาไม่เคยสนใจการตะโกนบ้าบอนี้
“ผมรักคุณ ได้ยินไหมว่า ผมรักคุณ”
ธีรภาพตะโกนมันออกไปสุดเสียง เสมือนอยากให้ศิตางค์ได้ยินความในใจของเขา น้ำตาไหลออกมาด้วยความสิ้นหวัง
บังเอิญอะไรเบอร์นี้ ศิตางค์เดินออกมาจากมุมหนึ่ง แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่ เป็นแผ่นหลังที่คุ้นตาเหลือเกิน
ธีรภาพเองก็รับรู้ว่ามีใครลางคนมองอยู่ เขาค่อยๆ หันมามอง จนเห็นเป็นศิตางค์ ต่างคนต่างยืนนิ่ง มองจ้องหน้ากันปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย ไม่มีใครขยับเขยื้อน จนธีรภาพเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นว่า
“ผมคิดว่า ผมคงไม่เจอคุณอีกต่อไป”
ศิตางค์เพียงพยักหน้ารับเบาๆ
“ผมเพิ่งรู้ว่าการวิ่งตามหาใครสักคน โดยแทบจะไม่มีความหวังใดๆ เลย มันเหนื่อยมากแค่ไหน”
“คุณตามหาฉัน ผู้หญิงคนที่มีแต่ตำหนิทั้งข้างนอก มีแผลข้างใน คนที่แทบจะทำลายครอบครัวคุณ ทำลายชีวิตคุณ ฉันแทบจะไม่เหลือความดีในสายตาใครๆ”
“แต่ผมเห็น...”
“เห็นอะไรเหรอคะ”
ธีรภาพคลี่ยิ้มออกมา
“ผมเห็นผู้หญิงที่ชื่อ นิสา ไกด์สาวที่อ่อนโยน น่ารัก น่าถะนุถนอม แม้เธอจะไม่ค่อยชอบหน้าผมสักเท่าไรในตอนแรกๆ ที่เราเจอกันที่เกาหลี แต่ผมก็...รักเธอ”
ศิตางค์ยิ้มทั้งน้ำตา ธีรภาพเดินเข้าไปหา จับมือเธอมากุมให้กำลังใจ
“นิสาครับ คุณคือนิสาของผมตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้”
ศิตางค์สะอื้นไห้ออกมาในรอยยิ้มบางๆ
“เดินก้าวออกจากเงาของตัวเอง เงาของผู้หญิงที่ชื่อศิตางค์ มันอาจรู้สึก แปลกไปบ้าง แต่คุณจะอยู่ได้ และเดินไปข้างหน้าต่อไป เดินไปพร้อมๆ กับผม ผมจะเดินเคียงข้างคุณ จับมือคุณไว้อย่างนี้ และรักคุณตลอดไปนะครับ นิสา”
ศิตางค์ยิ้มทั้งน้ำตา ผู้ชายตรงหน้าคือชายที่เธอรอคอยมาทั้งชีวิต
“ค่ะ ธีร์” น้ำเสียงศิตางค์สั่นเครือ “ศิตางค์ได้ตายจากไปแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าคุณคือฉันเอง นิสา”
เขานึกถึงอดีต ตอนเห็นชื่อที่เขียนกำกับไว้ตรง wall of memory ลงท้ายว่า
“14 กุมภาพันธ์ 2017...นิสา”
ธีรภาพยิ้มกว้างรับรู้ว่า นิสา คนเดิม ได้ก้าวออกจากเงาของ ศิตางค์ มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ทั้งสองคนสวมกอดกันเต็มรักท่ามกลางบรรยากาศแสนสวยของประภาคารขาวอันเลื่องชื่อ ที่ร่วมเป็นพยานรักของสองหนุ่มสาวคู่นี้โดยยินดี
จบบริบรูณ์