เกมพยาบาท ตอนที่ 24 จบบริบูรณ์
ฉัตรชบาที่วิ่งหนีสิรดามาที่รถของตัวเอง รีบขึ้นรถและกดล็อคประตู
เธอหอบเหนื่อยและตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอ พอตั้งสติได้ ฉัตรชบาก็รีบขับรถออกไป
ต่อมา ... ศรุตเปิดประตูห้องเข้ามา เจอกับสิรดา
สิรดายิ้มขม "ผิดหวังเหรอคะที่เป็นสิร์"
"มีอะไร คุณรีบพูดสิ่งที่จำเป็นแล้วก็รีบไปซะ ผมไม่มีเวลา"
"คุณมีเวลา แต่ไม่ให้เวลากับสิร์"
ศรุตถอนใจเบื่อๆ ลุกไปหยิบกาแฟจากเครื่องเทใส่แก้ว หันหลังให้สิรดา
"รีบพูดธุระของคุณมาเถอะ"
"พูดแล้วคุณจะฟังเหรอคะ หน้าสิร์ คุณยังไม่ยอมมองเลย"
ศรุตหันกลับมา
"อย่าพูดอะไรที่ทำให้มันแย่ไปกว่านี้ได้มั๊ย ถ้าไม่มีอะไรดีๆ จะพูดก็กลับไป"
"ทำไม กลัวมันเห็นสิร์อยู่ที่นี่แล้วมันจะเข้าใจผิดยังงั้นเหรอ รักมันมากนักใช่มั๊ย"
"ถ้า ‘มัน’ ในที่นี้หมายถึงชบา ใช่...ผมรักชบา รักมากซะด้วย"
"มากกว่าลูกในท้องสิร์ยังงั้นเหรอ"
ศรุตพูดเน้น "มากกว่า"
"งั้นก็ไม่ผิดที่มันต้องตาย"
"พูดอะไรของคุณ"
"สิร์จะถือว่าทำเพื่อลูก สิร์คงไม่ผิดนักหรอกถ้าจะแย่งพ่อกลับมาให้ลูก"
"อย่ายุ่งกับชบานะ"
"ไม่ได้แค่ยุ่งหรอก สิร์เกือบจะฆ่ามันได้แล้วด้วยซ้ำ"
"คุณทำอะไรเค้า
ศรุตเข้ามาเขย่าตัวสิรดา เพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ สิรดาไม่ตอบแต่ยิ้มร้าย
"บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณทำอะไรเค้า"
"ลูกสิร์ต้องมีพ่อค่ะ"
"ถ้าคุณทำอะไรชบาอีก จะหาว่าผมใจร้ายไม่ได้"
"สิร์ร้ายได้มากกว่าคุณอีก"
"ทำไมคุณเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง บอกว่าอย่ายุ่งกับชบา อย่าแม้แต่จะคิด"
"สิร์ไม่คิดให้เสียเวลาหรอก สิร์ลงมือทำเลยดีกว่า"
ศรุตพยายามสงบสติอารมณ์ พูดด้วยเสียงอ่อนลง
"เรื่องลูกใช่มั๊ย? คุณถึงได้ทำอะไรแบบนี้"
"ใช่...ในเมื่อคุณยอมทิ้งสิร์กับลูก...เพื่อมัน"
"คุณก็รู้ว่าเรื่องของเรามันคืออะไร เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่ามันเป็นได้แค่ไหน เราแค่สนุกกัน คุณจำคำพูดตัวเองไม่ได้แล้วเหรอ"
สิรดาอึ้งไป
"ผมจะรับผิดชอบเรื่องลูกของคุณเอง ผมยินดีจะทำให้ทุกอย่าง แต่ยอมรับเถอะว่าเราไม่ได้รักกัน เรื่องของเราจะไม่มีวันเป็นจริง"
สิรดาทั้งอึ้งทั้งเสียใจที่ศรุตพูดทำร้ายจิตใจ
"ปล่อยผมไปเถอะ ให้ผมได้แต่งงานกับคนที่ผมรัก ปล่อยผมให้เป็นอิสระ"
สิรดาอึ้งพูดไม่ออก น้ำตาไหล รู้ว่ายื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจพูด
"อิสรภาพ มันมีราคาของมันนะคะ คุณต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน สิร์ถึงจะยอมคืนให้"
"คุณต้องการเท่าไหร่"
"10 ล้าน"
ศรุตสะอึกไปเหมือนกัน คิดตัดสินใจ
"ผมให้ห้าล้าน แล้วคุณเอาคอนโดผมไป มูลค่ามันเกินกว่าที่คุณเรียก ผมยอมแลก"
สิรดาอึ้งไป เมื่อศรุตตกลง ใจหนี่งก็โล่งอก ใจหนึ่งก็รู้สึกไร้ค่า
"เรื่องระหว่างเรา...จบ" ศรุตบอก
สิรดาจำต้องก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้
ภายในเซฟเฮ้าส์ เสี่ยเป้านั่งอ่านหนังสือพิมพ์
ข้อความในหนังสือพิมพ์ “พบแล้วเบาะแสเสี่ยเป้า พลิกแผ่นดินล่าตัวเสี่ยเจ้าของบ่อนเถื่อน หลังทลายบ่อนครั้งใหญ่ ตำรวจประกาศกร้าวจับเป็นเพื่อมาลงโทษ”
เสี่ยเป้าปิดหนังสือพิมพ์ ขยำด้วยความแค้นแล้วปาทิ้ง
"พวกมันจะจับเป็นกู แต่กูจะจับตายมึง ไอ้คม...ไอ้ทรยศ"
เสี่ยเป้าหยิบปืนขึ้นมา
คมอยู่ในเซฟเฮ้าส์ เครียด กระวนกระวายเดินพล่านไปมาประสาทเสีย
"ไม่ปลอดภัย...ไม่มีที่ไหนปลอดภัย ทำไงดีว่ะ"
คมมองไปรอบๆ ห้อง ด้วยความหวาดระแวง เสียงปืนดังปัง คมตกใจ
ที่หน้าประตู เสี่ยเป้าถีบประตูเข้ามา พร้อมเล็งปืนมาที่คม
"ไอ้คม มึงทรยศกู"
"เสี่ย…!"
"มึงตาย...!"
เสี่ยเป้ายิงใส่คมเปรี้ยง
คมบนโซฟา สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้น พบว่าทั้งหมดเป็นความฝัน คมใจคอไม่ดี
"ไอ้เสี่ยเป้า มันไม่ปล่อยกูไว้แน่"
คมนิ่งคิดตัดสินใจก่อนลุกขึ้นเดินไปที่ประตู จ้องลูกบิดนิ่ง คิดเอาไงดีจะอยู่หรือไป
ตำรวจกำลังพูดวออยู่ที่ด้านหนึ่ง
"พยานอยู่ในเซฟเฮ้าส์แล้ว เปลี่ยน"
คมเปิดประตูออกมาเบาๆ แล้วรีบหนีออกไป
คมออกไปแล้ว ตำรวจหันกลับมาเห็นประตูปิดอยู่ ไม่ได้สงสัยอะไร
เสี่ยเป้าขับรถออกตามหาเพื่อไล่ล่าหวังจะเอาชีวิตคม
เสี่ยเป้าหน้าเครียด ขบกรามแน่น ตามองไปข้างหน้านิ่ง
ตำรวจยศจ่าเดินเอาข้าวกล่องมาให้คม ตำรวจ ที่เป็นบอดี้การ์ด บอกให้จ่าเอาข้าวกล่องเข้าไปให้คมด้านใน จ่าเดินเข้าไปด้านในเซฟเฮ้าส์ จ่ารีบวิ่งออกมา หน้าตาร้อนรน
" พยานหายตัวไปครับ"
"จ่า...รีบวอ.ขอกำลังเสริมมาช่วยกันค้นหาพยานด่วน"
"ครับ"
จ่ารีบวอ.ขอกำลังเสริม ตำรวจ บอดี้การ์ด รีบวิ่งออกไปตามหาคม
คมวิ่งหนีมา ท่าทางประสาทเสีย คมวิ่งเจอใครก็ผลักคนที่ขวางล้ม
" ทำไงดี...ทำไงดี....จะไปไหนดีว่ะ ไปไหนดี"
เสี่ยเป้าขับรถมาตามทางด้วยสีหน้าอาฆาตแค้น
"กูต้องหามึงให้เจอ ไอ้สารเลว"
"มันจะฆ่ากู มันจะฆ่ากู ไม่..."
เสี่ยเป้าขับรถมา เจอเข้ากับคมที่กำลังสติแตกอยู่
"ไอ้คม"
คมเห็นเป็นเสี่ยเป้าก็รีบวิ่งหนีไปอีกทาง
เสี่ยเป้าขับรถไล่ตาม
"คิดจะหนีกูเหรอ"
คมวิ่งหนีตายสุดชีวิตจนเสียหลักหกล้ม เสี่ยเป้าจอดรถแล้วลงมาจากรถพร้อมปืนในมือ
"มึงหนีกูไม่พ้นหรอก ไอ้ทรยศ"
คมยกมือไหว้
"อย่าทำผมเลยครับ ผมขอโทษครับเสี่ย"
"ได้ กูจะยกโทษให้ แต่..."
พูดยังไม่ทันจบ เสี่ยเป้ายิงคมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างคมที่โดนแรงกระสุนปืนลงไปนอนแน่นิ่ง
"แต่...มึงต้องตายก่อน"
เสี่ยเป้าเดินเข้าไปใช้เท้าเขี่ยร่างคมดูว่าตายจริงไหม
เสียงปืนดังปังปังเป็นชุด ร่างเสี่ยเป้าถูกกระสุนปืนยิงทั่วร่าง
ตำรวจและกำลังเสริมวิสามัญเสี่ยเป้า
เสี่ยเป้าล้มลงนอนจมกองเลือดใกล้ๆกับศพของคม
ที่บ้าน อัคคีนั่งคิดถึงฉัตรชบา นึกไปถึงเรื่องราวตอนจับตัวชบาไป
ฉัตรชบาฟิ้นมาเห็นอัคคี รู้ว่าอัคคีจับมาเพื่อแก้แค้น
ฉัตรชบาคิดจะหนีออกไปจากเกาะ อัคคีตามจับตัวกลับไป
ฉัตรชบาหึงอัคคีที่มากับจิดาภา
อัคคีถอนใจ
"คงต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ"
อัคคีคิดๆแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์
"ฮัลโหลจิ...วันนี้คุณว่างรึเปล่าครับ"
จิดาภาเปิดประตูให้อัคคีเข้ามา
"มีอะไรรึเปล่าคะ หน้าเครียดเลย"
"ผมมีเรื่องจะขอให้จิช่วยน่ะครับ"
"เรื่องอะไรคะ"
อัคคีเขินๆ ที่จะพูด
"ว่าไงล่ะคะ คุณมีอะไรจะให้ชั้นช่วย"
ฉัตรชนกนั่งทำงานอยู่ โทรศัพท์ดัง เห็นว่าเป็นเบอร์จิดาภาโทร. เข้ามาก็รีบรับสาย
" ว่าไงครับคุณจิ วันนี้เรานัดทานข้าวมื้อเย็นนะครับ ไม่ใช่มื้อกลางวัน รีบโทรมาแบบนี้ คิดถึงผมใช่ไหมครับ"
จิดาภาทำหน้าไม่สบายใจ
"คือ...ชั้นจะโทรมาขอยกเลิกนัดของเราน่ะค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณจิไม่ว่างไว้คราวหน้าก็ได้ครับ"
"ขอโทษด้วยนะคะ"
"ไม่ต้องซีเรียสครับ ว่าแต่คุณจิมีธุระเหรอครับ"
"คือ...พอดีชั้นมีธุระกับอัคคีน่ะค่ะ ธุระสำคัญซะด้วย"
"เอ่อ...ผมนี่เสียมารยาทจริงๆนะครับ ตามสบายครับคุณจิ"
"ไว้ค่อยคุยกันนะคะคุณฉัตร"
"ครับ"
ฉัตรชนกวางสายแบบงงๆ ไม่คิดว่าจิดาภาจะมีธุระสำคัญกับอัคคีจนถึงขนาดต้องยกเลิกนัดของตน
ฉัตรชนกแอบหวั่นใจเล็กๆ
ด้านเกษณีย์ ในชุดคนไข้แบบมีสายคาดมัดตัวไม่ให้ทำร้ายคนได้ นอนซึมมองเหม่อเลื่อนลอยน้ำตาคลอ เหนื่อยล้ากับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น หลับตาลงอย่างเงียบๆ อยู่ในห้อง
เจ้าหน้าที่คุมเข้มเพราะกลัวเกษณีย์จะไปทำร้ายเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ อีก
ฉัตรชนกกลับมาจากทำงาน ทำหน้าเซ็งๆ ฉัตรชบาเดินมาเจอพอดี
"อ้าว...พี่ฉัตร ไหนบอกว่าวันนี้มีนัดกับคุณจิจะกลับค่ำๆไม่ใช่เหรอคะ"
"คุณจิมีธุระน่ะ"
"พี่ฉัตรก็เลยทำหน้าเซ็งๆแบบนี้เหรอคะ"
"ไม่มีอะไรหรอก"
ฉัตรชนกจะเดินเลี่ยงไป
"เดี๋ยวค่ะ...พี่ฉัตรมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ หรือว่าทะเลาะกับคุณจิ"
"เปล่าน่ะ"
ฉัตรชบากุมมือ
"พี่ฉัตรคะ มีอะไรก็คุยกับชบาได้นะ ชบาจะเป็นผู้ฟังที่ดีให้พี่ฉัตรเอง"
ฉัตรชนกตัดสินใจเล่า
"คุณจิมีธุระกับอัคคี"
ฉัตรชบาอึ้งไปเพราะตรงกับสิ่งที่ฉัตรชบาเคยเห็นมา
ฉัตรชบาปลอบใจ
"ถึงแม้คุณจิกับนายอัคคีจะเลิกกันแล้ว แต่เค้าก็ยังมีความเป็นเพื่อนกันอยู่นะคะ"
"พี่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่..."
ฉัตรชบาแซว
"อย่าบอกนะว่าพี่ฉัตรหึงคุณจิกับนายอัคคี"
"พี่ไม่ได้หึง แค่ไม่เข้าใจ..."
ฉัตรชบาอึ้งตอบไม่ถูก เพราะฉัตรชบาเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
"คุณจิเธอเป็นคนดี เธอไม่มีวันทำให้พี่ฉัตรเสียใจหรอกค่ะ"
ฉัตรชนกพยักหน้ายิ้มรับ แล้วลูบหัวฉัตรชบาเดินออกไป
ฉัตรชบามองตามถอนหายใจกลุ้มใจไม่ต่างจากฉัตรชนกเลย
คืนนั้น ที่ระเบียง ฉัตรชนกยืนทอดสายตาไปไกลใช้ความคิดเพียงลำพัง
ฉัตรชบาเดินมาเจอฉัตรชนกยืนนิ่งๆอยู่ ฉัตรชบารู้สึกสงสารพี่ชาย
ฉัตรชบาคิดตัดสินใจบางอย่าง เดินเลี่ยงไป
ฉัตรชบาเดินมามุมหนึ่ง กดโทรศัพท์หาอัคคี
อัคคียิ้มก่อนรับสาย
"จะโทร.มาง้อผมเหรอ"
"อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลย ชั้นจะโทร.มาถามว่านายคิดจะทำอะไร"
"ทำอะไร"
"นายก็รู้ว่าคุณจิคบอยู่กับพี่ฉัตร แล้วทำไมนายยังมาวุ่นวายกับคุณจิอีก"
"ผมกับจิเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์ของเรามันลึกซึ้งกว่าที่คุณคิด" อัคคีแกล้งยั่ว
"คนอย่างนายมันเจ้าคิดเจ้าแค้น ทำกับชั้นไม่ได้ก็ไปลงกับพี่ชายชั้น ชั้นขอเตือนไว้ก่อนนะ ถ้านายทำให้พี่ชายชั้นเสียใจ นายเองนั่นแหล่ะที่จะต้องเสียใจมากกว่าเป็นล้านเท่า"
ฉัตรชบาโกรธวางสาย
อัคคีพยายามเข้าข้างตัวเองว่าฉัตรชบายังรักตนอยู่
เช้าวันใหม่ ทุกคนนั่งรอทานอาหารเช้ากันอยู่
ฉัตรชนกเดินลงมา
"พี่ฉัตรคะ วันนี้มีข้าวต้มกุ้งของโปรดพี่ฉัตรด้วยนะคะ มาทานด้วยกันค่ะ"
"ไม่ล่ะ พี่ไม่หิว ผมไปทำงานก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่"
ฉัตรชนกเดินออกไป ฉัตรชบามองตามสงสารพี่ชาย
"ตาฉัตรไม่สบายหรือเปล่า"
"เมื่อวานก็ปกติดีนี่คะ น่าจะเครียดเรื่องงานมากกว่าค่ะ"
"ชบาก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะลูก ใกล้ถึงวันแต่งงานแล้ว"
"ค่ะคุณแม่ ชบาอิ่มแล้ว ขอตัวนะคะ"
ฉกาจเห็นฉัตรชบาสีหน้าเปลี่ยนลง ก็เดาได้ว่าลูกสาวไม่อยากให้ถึงวันแต่งงาน แต่ก็คิดว่าสิ่งที่ทำในวันนี้จะเป็นผลดีต่อลูกในวันหน้า ฉกาจพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองใจอ่อนสงสารลูกจนต้องยกเลิกงานแต่งงาน
ฉัตรชนกนั่งทำงานด้วยความเครียด สับสน ไม่มีสมาธิ
จิดาภาเดินเข้ามาในห้องพร้อมถุงใส่ขนม
"คุณฉัตรคะ ชั้นซื้อขนมอร่อยๆมาฝากค่ะ"
ฉัตรชนกเงยหน้ามามองแล้วก้มลงไปทำงานต่อ
"คุณฉัตร...เครียดเหรอคะ"
"เปล่าครับ งานยุ่งน่ะครับ"
จิดาภาสังเกตเห็นเอกสารบนโต๊ะทำเรียบร้อยแล้ว
"คุณฉัตรไม่สบายหรือเปล่าคะ"
ฉัตรชนกฝืนยิ้ม
"เปล่าครับ"
"ถ้ายังงั้นคุณฉัตรเป็นอะไรกันแน่คะ"
ฉัตรชนกยิ้ม "ไม่มีอะไรครับ"
"คุณฉัตรคะ ชั้นคิดว่าเราสองคนไม่ควรมีความลับต่อกันนะคะ"
"ครับ"
จิดาภาเห็นฉัตรชนกนิ่งผิดปกติ จึงปล่อยให้ฉัตรชนกได้ใช้ความคิด
ต่อมา ... ฉัตรชนกเดินออกมาจากห้องทำงาน จะมาสั่งงานเลขา ฉัตรชนกเห็นจิดาภานั่งรออยู่ที่หน้าห้อง
"คุณจิ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะครับ"
"ก็รอคุณไงคะ"
"รอผม...คุณจิมีธุระอะไรกับผมเหรอครับ"
"ธุระสำคัญมากค่ะ"
ฉัตรชนกมองจิดาภางงๆ
ฉัตรชบานั่งเศร้าที่สวนาธารณะ คิดว่าความรักระหว่างเธอกับอัคคีคงไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว
ฉัตรชบาต้องตัดใจจากอัคคี
ที่ร้านกาแฟ จิดาภานั่งมองหน้าฉัตรชนกแบบงอนๆนิดๆ
"ชั้นขอถามอีกครั้งนะคะ คุณเป็นอะไร"
"ผม..."
"คุณฉัตรคะ"
"ผมไม่สบายใจเรื่องที่คุณกับ..."
"ชั้นกับอัคคีเป็นแค่เพื่อนกัน แล้วตอนนี้อัคคีก็ต้องการความช่วยเหลือ ชั้นเป็นเพื่อนก็ต้องช่วย"
ฉัตรชนกงงว่าอัคคีจะให้ช่วยอะไร
"อัคคีเสียใจที่คุณชบาจะแต่งงาน ตอนนี้เค้าอยากรู้ความจริงในใจของคุณชบา ก็เลยให้ชั้นเป็นตัวช่วยเร่งปฎิกิริยาของคุณชบา อัคคีเค้าไม่แน่ใจว่าคุณชบารักเค้าหรือคุณศรุตกันแน่ อัคคีเค้าไม่อยากสูญเสียคนที่รักไป"
"แต่ชบากำลังจะแต่งงานกับศรุต"
"คนอย่างอัคคี ถ้าเค้ารู้ว่าคุณชบารักเค้า ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ เค้าก็ทำได้เพื่อคนที่รัก แต่ถ้าคุณชบาบอกว่าไม่รักแค่คำเดียว เค้าก็จะยอมถอยแต่โดยดี"
ฉัตรชนกเริ่มลังเลใจว่าสิ่งที่ครอบครัวของตนกำลังทำ ถูกหรือผิดกันแน่
"ชั้นขออะไรอย่างนึงได้ไหมคะ"
"อะไรครับ"
"ขอให้คุณฉัตรเชื่อมั่นในตัวชั้นค่ะ"
"ผมขอโทษ"
"ไม่เป็นไรค่ะ รู้ไหมคะข้อดีของคนโลกสวยคืออะไร"
ฉัตรชนกยิ้มส่ายหน้าเบาๆ
"ก็คือยิ้มและมีความสุขกับทุกวินาทีในชีวิต และชั้นก็อยากให้โลกของคุณมีแต่ความสุขค่ะ"
ฉัตรชนกมองจิดาภาด้วยความปลาบปลื้มใจ
อัคคีนั่งมองกล่องข้าวที่ฉัตรชบาเคยทำอาหารมาให้ กล่องข้าวว่างเปล่าพอๆกับใจของอัคคีที่ตอนนี้ว่างเปล่า
อัคคีคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ แล้วเริ่มสับสนว่าจะทำยังไงกับความรักครั้งนี้ดี เพราะใกล้ถึงวันแต่งงานของฉัตรชบาเข้ามาทุกที
อดุลย์มาหาอัคคีที่บ้าน เห็นเพื่อนรักเศร้าก็สงสาร แต่พยายามทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
"เฮ้ย...เป็นไรว่ะเพื่อน แกจ้องแต่กล่องข้าว หิวเหรอ"
อดุลย์หัวเราะ อัคคีนิ่ง อดุลย์จ๋อยลง
"ไป...เดี๋ยวชั้นพาไปหาอะไรกิน"
อดุลย์จะลากอัคคีออกไป
"ชั้นควรจะทำยังไงดี"
อดุลย์อึ้ง ไม่คิดว่าอัคคีจะถามแบบนี้ อดุลย์ไม่รู้จะให้คำตอบยังไงดี
"ชั้นควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้ว่ะ"
"ถ้าแกรักเค้า แกก็ต้องทำอะไรสักอย่างซิวะ"
"แต่เค้ากำลังจะแต่งงานกับคนที่ดีกว่าชั้น"
"ความรักไม่มีถูก ผิด ไม่มีดีกว่าหรือแย่กว่าหรอก มีแค่ใช่หรือไม่ใช่เท่านั้นแหล่ะ แกคิดให้ดีๆนะเว้ย แกเคยทำผิดกับเค้ามามาก คราวนี้แกต้องเลือกทำตามความรู้สึกที่แท้จริง"
อัคคีคิดตามคำพูดของอดุลย์
ฉัตรชนกเดินเข้ามาเยี่ยมเกษณีย์พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ดูแล
เกษณีย์นอนนิ่งเหม่อมองเพดาน ฉัตรชนกมองสภาพเกษณีย์แล้วรู้สึกสงสารจับใจ
"ขอผมอยู่กับเธอตามลำพังนะครับ"
"ครับ แต่ถ้าคนไข้อาละวาด คุณกดปุ่มฉุกเฉินได้เลยนะครับ"
"ขอบคุณครับ"
เจ้าหน้าที่เดินออกไปนอกห้อง
"คุณเกษ ผมมาเยี่ยมคุณนะครับ"
เกษณีย์นอนนิ่งไม่รับรู้ใดๆ
"ผมเสียใจที่เห็นคุณเป็นแบบนี้ ผมขอโทษ"
ฉัตรชนกมองแหวนแต่งงานที่เกษณีย์เคยให้ไว้ ฉัตรชนกถอดออกจากนิ้ว
"ตอนนี้ผมมีคนที่ผมรักและเค้าก็รักผมแล้ว ผมคงต้องให้โอกาสตัวเองได้มีชีวิตใหม่ ที่ผ่านมาระหว่างเรามันมีแต่ความทรงจำที่ไม่ดี ต่อจากนี้ไปจะมีแต่ความทรงจำที่ดี ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณไปตลอดชีวิตของผม"
ฉัตรชนกจูบหน้าผากเกษณีย์เป็นการบอกลาสถานะของสามีภรรยา
เกษณีย์หน้านิ่งเลื่อนลอย
"หายไวๆนะครับเกษ"
ฉัตรชนกเดินออกจากห้องไป
เกษณีย์ที่นอนนิ่ง น้ำตาไหลเป็นทาง ใบหน้าเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกใดๆ แต่ภายใต้จิตสำนึกนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า ความทุกข์ และความผิดที่เคยทำต่อฉัตรชนก
ฉัตรชบายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม น้ำตาไหล ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตตัวเองดี เพราะใกล้ถึงวันแต่งงานแล้ว ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้ เปลี่ยนใจก็ไม่ทัน สับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แต่ต้องทำเพื่อครอบครัว คนที่รักก็ไม่ทำอะไรเพื่อเธอ อัคคีก็ไม่ติดต่อฉัตรชบาเลย
เช้าวันใหม่ ฉัตรชนกโทรหาจิดาภา
จิดาภาที่นั่งจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่ มือถือดัง จิดาภาวางมือจากดอกไม้แล้วรับสาย
"ฮัลโหล...คุณจิ ผมมีเรื่องรบกวนหน่อยครับ"
"มีอะไรเหรอคะ"
"ตอนนี้งานที่ออฟฟิศยุ่งมากๆเลยครับ แล้ววันนี้ผมก็มีนัดประชุมกับลูกค้าสำคัญซะด้วย เอกสารการประชุมยังไม่ได้เตรียมเลยครับ"
"ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะคะ เลขาฯของคุณไม่ได้จัดเตรียมเอกสารไว้ให้เหรอคะ"
"เลขาฯของผมลาหยุดกระทันหัน ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับ"
"งั้นเดี๋ยวชั้นรีบไปช่วยคุณเตรียมเอกสารดีกว่าค่ะ"
"ขอบคุณมากนะครับคุณจิ ผมโชคดีจริงๆที่มีคุณ"
จิดาภายิ้มเขิน
"เอ๊...หรือจะเปลี่ยนใจไม่ไปดีนะ"
ฉัตรชนกรีบพูด
"ไม่ได้นะครับ"
"ชั้นล้อเล่นน่ะค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเจอกันที่ออฟฟิศนะคะ"
"ครับ ขอบคุณนะครับ แล้วเจอกันครับ"
ฉัตรชนกวางสาย ถอนหายใจเกือบไปแล้ว
ต่อมา ... จิดาภาเดินเข้ามาในบริษัทฉัตรชนก จิดาภาแปลกใจที่ในบริษัทมีลูกโป่งสีหวานประดับไว้ทั่ว
"วันนี้มีงานอะไรนะ"
จิดาภารีบหยืบมือถือขึ้นมาโทรหาฉัตรชนก
"คุณฉัตรคะ ชั้นมาถึงที่ออฟฟิศแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่เลยค่ะ ตอนนี้คุณฉัตรอยู่ที่ไหนคะ"
ฉัตรชนกที่ยืนอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลนัก คุยโทรศัพท์อยู่กับจิดาภา
"ผมก็อยู่ในใจคุณจิไงครับ แต่คุณจิเลือกที่จะไม่เห็นเอง"
"อย่าล้อเล่นซิคะ คุณฉัตรอยู่ที่ไหนกันแน่คะ"
"คุณจิครับ ผมขอถามอะไรสักอย่าง ถ้าบังเอิญมีผู้ชายคนนึงที่เคยมีชีวิตที่ล้มเหลว ผู้ชายที่เคยทำผิดพลาด ผู้ชายที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่าง แต่เป็นผู้ชายที่พร้อมจะรักและดูแลคุณจิตลอดไป"
ฉัตรชนกเดินมาหาจิดาภาทั้งๆยังถือโทรศัพท์อยู่
"คุณจิจะให้โอกาสและรับรักผู้ชายคนนั้นได้ไหมครับ"
จิดาภายืนอึ้งตะลึงคาดไม่ถึงว่าฉัตรชนกจะจู่โจมขนาดนี้
ฉัตรชนกวางสาย หยิบดอกไม้และแหวนหมั้นเดินไปหาจิดาภา
ฉัตรชนกมอบช่อดอกไม้ให้จิดาภา จิดาภารับไป
"ผมขอเป็นผู้ชายที่โชคดีคนนั้นได้หรือเปล่าครับ"
จิดาภายืนน้ำตาคลอปลื้มใจ
ฉัตรชนกคุกเข่าหยิบแหวนขึ้นมา
"แต่งงานกับผมนะครับ"
จิดาภาน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข
"ค่ะ"
ฉัตรชนกจับมือจิดาภาขึ้นมาสวมแหวนหมั้น ทั้งสองกอดกันด้วยความรัก
ตอนเย็นในวันหนึ่ง บรรยากาศในงานแต่งงาน ฉัตรชบากับศรุต แขกเหรื่อทยอยกันมาแสดงความยินดีให้กับคู่บ่าวสาว
ฉัตรชบาและศรุตยืนถ่ายรูปและต้อนรับแขกอยู่หน้างาน
ฉกาจกับอำภาเห็นฉัตรชบาที่ยืนทำหน้าเศร้าน้ำตาคลอ ไม่พูดไม่คุยกับใคร ทั้งสองจึงเข้าไปคุยกับฉัตรชบา
"ถึงตอนนี้แล้วลูกต้องยอมรับความจริง ลูกต้องใช้ชีวิตกับศรุต ศรุตคือ ผู้ชายที่เหมาะสมกับลูก"
"พ่อกับแม่อยากให้ลูกมีความสุข ลูกมีคนดูแลที่รักลูก พ่อก็หมดห่วง"
"ชบาจะทำตามใจคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งสุดท้ายนะคะ ต่อจากนี้ไปชบาจะทำตามใจตัวเองบ้างค่ะ"
"ไม่ต้องห่วงครับ ทุกอย่างจะเรียบร้อยตามที่คุณลุงคุณป้าอยากให้เป็นครับ ผมจะรักและดูแลชบาให้ดีที่สุดครับ ผมสัญญา"
ศรุตจับมือฉัตรชบามากุมไว้ ฉัตรชบาหน้าเศร้าลงทันที
ฉัตรชนกที่ยืนอยู่กับจิดาภามองไปทางฉัตรชบาแล้วสงสาร
"นี่ผมกำลังทำร้ายน้องสาวตัวเองอยู่ใช่ไหม"
"อย่าโทษตัวเองซิคะ คุณเองก็รักคุณชบามาก คุณทำดีที่สุดแล้วค่ะ"
"แต่การที่ผมปกป้องน้องด้วยวิธีที่ผิด ผมอาจจะยิ่งทำให้ชบาเสียใจกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าก็ได้นะครับ"
"ชั้นเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ความรักของคุณจะทำหน้าที่ปกป้องคุณชบาเองค่ะ"
จิดาภายิ้มให้กำลังใจฉัตรชนก
พนักงานส่งของถือกล่องของขวัญกล่องใหญ่เดินเข้ามาในงาน เจ้าหน้าที่เข้าไปรับของ
"ขอโทษนะครับ ของขวัญเชิญวางไว้ที่โต๊ะรับของขวัญได้เลยครับ"
"ผู้ส่งระบุว่าต้องส่งให้ถึงมือคุณศรุตครับ"
"ถ้างั้นเชิญด้านโน้นครับ"
เจ้าหน้าที่ชี้ไปที่ศรุต
"ขอโทษนะครับ คุณศรุตใช่ไหมครับ"
"ใช่ครับ"
"มีคนส่งของขวัญมาให้ครับ"
"ใครส่งมาครับ"
"ไม่ทราบครับ แค่แจ้งว่าต้องส่งให้ถึงมือคุณศรุตครับ"
"ขอบคุณมาก"
ศรุตรับกล่องมา พนักงานเดินออกไป ศรุตแกะกล่องของขวัญออกมา
ทุกคนตกใจข้างในเป็นพวงหรีดเขียนว่า “ขอแสดงความยินดีแด่เจ้าบ่าวและเจ้าสาว” แขกเหรื่อต่างพากันซุบซิบนินทา
ฉัตรชนกกับจิดาภารีบเข้ามาหาฉัตรชบา
ฉัตรชบายืนอึ้งร้องไห้ ทั้งเสียใจทั้งอายที่แขกเหรื่อต่างพากันมองจ้องมาที่เธอ
"โอ้ย...ฉันจะเป็นลม ใครทำเรื่องบ้าๆแบบนี้เนี่ย" อำภาถาม
"คุณทำใจดีๆไว้" ฉกาจสั่งพนักงาน "เอาไปทิ้งเร็วๆ"
"ผมว่าเรายกเลิกงานแต่งดีกว่าครับ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป แค่นี้มันก็พิสูจน์ได้แล้วว่าปัญหามันยังไม่จบ ขืนปล่อยให้ชบาแต่งงานกับศรุตไป ชบาก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ดี" ฉัตรชนกบอก
"ศรุต ลุงต้องการคำอธิบาย ไหนศรุตบอกว่าเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วไง แล้วนี่อะไร"
"ใจเย็นๆนะครับทุกคน ผมว่าสิร์เขาแค่ล้อเล่น"
อำภาถาม "ล้อเล่นเหรอ"
"มันอาจจะแรงไปซักหน่อย แต่ผมเคลียร์จบแล้ว ผมว่าทุกคนทำใจให้สบายๆดีกว่า เดี๋ยวเราต้องต้อนรับแขกนะครับ ถ้าคุณลุงคุณป้าไม่พอใจผม ผมขออนุญาตคุยทีหลังนะครับ ให้งานนี้มันผ่านไปก่อน แล้วเราค่อยว่ากันอีกที ผมยอมทำตามทุกอย่างครับ ผมสัญญา"
อัคคีเดินเข้ามาหน้างานเขียนคำอวยพรลงในสมุดอวยพร
เจ้าบ่าว เจ้าสาวและญาติอยู่ด้านในงานกันหมด
"ผมมาแสดงความยินกับคุณแล้วนะชบา ขอโทษที่ผมไม่สามารถอยู่ร่วมงานแต่งคุณได้ ผมขอให้คุณมีความสุข ขอให้คุณลืมเรื่องที่ผ่านมาของเรา ส่วนผมก็จะไปตามทางของผม ลาก่อนชบา คุณจะเป็นคนเดียวที่ผมรักตลอดไป"
อัคคีเดินออกไปจากงานด้วยความเศร้า
สิรดาปรากฏตัวในชุดแต่งงานสีขาว เดินมาข้างๆเวที ที่มีไมโครโฟนตั้งรอก่อนเริ่มพิธีการ
"สิร์อยากขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านนะคะ ที่สละเวลาอันมีค่าของท่านมางานแต่งงานของสิร์กับศรุต"
แขกทุกคนตกใจหันมามองหน้ากันงงๆ
"สิร์...คุณทำบ้าอะไร หยุดเดี๋ยวนี้"
เจ้าหน้าที่จะเข้าไปห้ามสิรดา สิรดาชี้หน้าต่อว่า
"อย่าเข้ามานะ เรื่องของผัวเมีย คนอื่นไม่เกี่ยว"
เจ้าหน้าที่ชะงักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
"อย่าไปฟังเขานะครับ สิร์คุณสติแตกไปแล้วหรือไง พูดอะไรออกมา ลงมาเดี๋ยวนี้นะ" ศรุตตะโกน "รปภ.ช่วยจับผู้หญิงคนนี้ออกไปจากงานที"
"หน้าด้าน แย่งผัวคนอื่น ไม่มีปัญญาหาผัวหรือไง เจ้าสาวตัวจริงเขาอยู่นี่"
ฉกาจกับอำภายืนร้องไห้ เสียใจที่ทำให้ฉัตรชบาต้องมีความทุกข์แทนที่จะมีความสุข
ฉัตรชบาร้องไห้เสียใจและอาย จิดาภากับฉัตรชนกเข้าไปปลอบ
รปภ.วิ่งมาจับตัวสิรดาไว้แล้วลากออกจากงานไป
สิรดาโวยวาย "ศรุต...คุณทำยังงี้กับเมียคุณได้ยังไง ปล่อยนะไอ้พวกบ้า"
ฉัตรชบาร้องไห้วิ่งออกไปจากงาน
"ชบา" ทุกคนร้องเรียก
ฉัตรชนกเดินเข้าไปต่อยหน้าศรุต
"คุณพูดเสมอว่ารักชบามากที่สุด แต่คุณกลับเป็นคนที่ทำร้ายชบาอย่างโหดร้ายที่สุด ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายเลิกยุ่งกับชบาอีก"
ฉัตรชนกพูดจบก็ออกไปนอกงานพร้อมจิดาภา
ศรุตทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นผิดหวังที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้
อำภาร้องไห้เสียใจ ฉกาจเข้าไปกอดปลอบ รู้สึกเสียใจที่ทำให้ลูกต้องร้องไห้และทุกข์ใจ
ที่บ้าน อัคคียืนเศร้าอยู่หน้ารูปและโกศของวรรณิศา
"ศา...ที่ผ่านมาพี่มีแต่ความทุกข์ พี่พยายามแก้แค้นคนที่ทำร้ายศา แต่พี่ก็ทำร้ายผิดคน พี่ทำผิดมหันต์ พี่ทำร้ายคนดีๆอย่างชบา แต่ถึงชบาจะให้อภัยพี่ พี่ก็ยังรู้สึกผิดต่อเธออยู่ดี พี่มีคนที่พี่รัก แต่พี่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ พี่เสียใจ พี่ขอให้ศามีความสุข ชาติหน้ามีจริง ขอให้ศาเกิดเป็นน้องของพี่อีก พี่จะดูแลศาด้วยชีวิตของพี่เอง พี่รักศานะ"
ฉัตรชบาในชุดแต่งงาน ยืนฟังน้ำตาไหล อัคคีได้ยินเสียงสะอื้นจึงหันไปมอง
"ชบา คุณมาได้ไง แล้ว..."
"งานแต่งงานยกเลิกค่ะ คุณสิร์เค้าบอกว่าชบาแย่งศรุตมา ชบาเสียใจ ชบาไม่ได้รักศรุต"
อัคคีเข้าไปกอดปลอบใจฉัตรชบา
"คุณไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว ผมจะดูแลคุณเอง...ด้วยชีวิตของผม ผมรักคุณนะชบา"
ฉัตรชบาร้องไห้รู้สึกขอบคุณที่อัคคีรักตน
ฉัตรชบามองไปที่โกศของวรรณิศา ฉัตรชบาเดินเข้าไปไหว้โกศ
"ชบาขอโทษที่เคยเข้าใจคุณศาผิด ตอนนี้คนที่ทำผิดก็ชดใช้กรรมที่ก่อไว้กับคุณศาแล้ว ขอให้คุณศาให้อภัยชบาด้วยนะคะ ชบาสัญญาว่าจะดูแลอัคคีแทนคุณศาเอง ชบาจะทำทุกวินาทีให้มีค่า ชบาสัญญาค่ะ"
อัคคีกอดฉัตรชบาไว้แนบแน่น มองรูปวรรณิศา
หลายวันผ่านไป
ฉัตรชบาเดินเล่นทอดอารมณ์สบายๆบริเวณชายหาดเพียงลำพัง มีมือลึกลับเข้ามาปิดปาก ฉัตรชบาดิ้น
"ช่วยด้วย"
"อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ ไม่ยังงั้นผมจะตามไปล้างแค้นไอ้ฉัตรชนกพี่ชายคุณ"
ฉัตรชบาตาโตโมโหที่อัคคีแกล้งแบบนี้ ฉัตรชบากัดเข้าที่มือของอัคคีแล้วสะบัดตัวออก
"นายแกล้งชั้น ความผิดที่นายเคยทำ ชั้นยังไม่ได้แก้แค้นเลยนะ นี่นายยังกล้ามาแกล้งชั้นอีกเหรอ"
"เรื่องนั้นผมยอมรับผิด คุณจะลงโทษผมยังไงก็ได้ แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ผมจะไม่ยอมทำผิดอีก"
"ชั้นไม่ฟัง"
"ผมจะไม่ยอมทำผิดต่อหัวใจตัวเอง"
ฉัตรชบาปิดหู "บอกแล้วว่าชั้นไม่ฟัง"
"ถ้าคุณไม่ฟัง ผมก็จะพูดจนกว่าคุณจะฟัง ... ผมรักคุณ ผมรักคุณ คุณได้ยินไหม ผมรักคุณ"
ฉัตรชบาหันมาฟังที่อัคคีพูด อัคคีจับมือมองตาฉัตรชบาซาบซึ้ง
"ผมมันเป็นคนโง่ เหมือนที่คุณเคยบอก กว่าจะรู้ตัวว่ารักคุณ ก็เกือบจะสายไป...แล้วคุณล่ะ คุณรักผมใช่มั๊ย"
"ไม่"
"อย่าปฎิเสธ ผมรู้ว่าคุณรักผม"
"ชั้นไมได้รักนาย"
"ปากแข็งนะคุณเนี่ย รู้มั๊ยผมมีวิธีปราบคนปากแข็งด้วยนะ"
"นายจะทำอะไร"
อัคคีจะจูบฉัตรชบา ฉัตรชบารู้ทันเอามือปิดปาก
ฉัตรชบาเอามือออกจากปากตัวเอง ทำหน้าเย้ยหยันใส่อัคคี
"ชั้นรู้หรอกน่า นายไม่ทันชั้นหรอก"
ฉัตรชบาพูดยังไม่ทันจบ อัคคีอาศัยทีเผลอประกบปากฉัตรชบาแน่น ฉัตรชบาขัดขืนๆ แต่อัคคียิ่งกอดแน่น อัคคีถอนริมฝีปากออกมา
"รักผมยัง"
"ไม่"
อัคคีจูบต่อสักพักแล้วหยุดจูบ ถามอีก
"รักยัง ยังปากแข็งใช่มั๊ย"
อัคคีจะจูบอีก แต่ยั้งปากไว้ก่อน
"หรือว่าจริงๆแล้ว คุณชอบให้ผมจูบ"
"คนบ้า…ลามก"
"ผมจะจูบจนกว่าคุณจะใจอ่อน ยอมรับว่าคุณรักผม"
อัคคีจะจูบอีกทีแต่ฉัตรชบารีบพูด
"รักแล้ว"
อัคคีอดหัวเราะท่าทางของฉัตรชบาไม่ได้
"ตกลงรักกันนะ"
ฉัตรชบาไม่ตอบ ไม่มองหน้า แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
อัคคีกอดฉัตรชบา ลูบหัวเบาๆ ด้วยความรักและเอ็นดู
"ความรักที่ผมมีต่อคุณเอาชนะความพยาบาทของผมจนได้ เกมส์นี้...ผมแพ้สินะ"
อัคคีมองหน้าฉัตรชบา
"ขอบคุณนะ ที่ช่วยปลดปมแค้นของผม ตอนนี้ผมมีความสุขมากที่ได้รักคุณ ผมมีความสุขมากกับความรักของเรา ผมรักคุณมากนะชบา"
"ชั้นก็รักคุณค่ะ..."
อัคคีกอดฉัตรชบาดีๆ ยิ้มๆ
จบบริบูรณ์