เกมพยาบาท ตอนที่ 18
ตอนกลางคืน ฉัตรชนกขับรถมาส่งจิดาภาที่คอนโดฯ
“ขอบคุณมากนะคะ คุณทำให้วันนี้มีความหมายมากสำหรับชั้น”
“ผมยินดีทำให้ทุกวันเป็นวันพิเศษสำหรับคุณครับ”
“ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันก็ไม่พิเศษสิคะ”
“ผมก็แค่กลัวว่าคนอื่นมาทำให้มันพิเศษ...คนที่คุณใกล้ชิดได้มากกว่าผม”
“ถ้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นก็ต้องสู้สิคะ สู้เพื่อเป็นคนพิเศษของชั้น ชั้นชอบคนสู้คนนะคะ ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
“ผมจะไม่มีวันยอมแพ้ ไม่ว่าต้องสู้กับอะไร กับใคร ผมก็จะไม่มีวันยอมแพ้ จิดาภา”“ขอบคุณนะคะที่ยอมสู้เพื่อชั้น”
จิดาภายิ้มให้แล้วเข้าบ้านไป ฉัตรชนกมองตามไป
“ฝันดีนะครับ”
“เช่นกันค่ะ”
เมื่อจิดาภาเข้ามาในห้อง เจออัคคีนั่งหน้าเครียดเศร้ารออยู่
“อัคคี”
“ผมแค่เอาของขวัญวันเกิดมาให้”
อัคคีลุกขึ้นยืน ในมือมีกล่องแหวน
จิดาภาเห็นเข้าก็ผงะไปนิดหนึ่ง
“เอ่อ คือว่า...อัคคีคะ ชั้นว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ไม่ต้องคุยหรอกครับ ผมเข้าใจ แหวนของผมไม่ได้ให้เพื่อผูกมัดคุณ”
อัคคีหยิบแหวนออกจากกล่องเห็นว่าร้อยไว้ในสร้อยเส้นหนึ่ง
“แหวนวงนี้ผมสั่งทำขึ้นเพื่อคุณ เพื่อใช้มันขอคุณแต่งงาน ถึงวันนี้มันจะไมได้ทำหน้าที่ของมัน แต่ผมก็อยากให้มันกับคุณ”
อัคคีสวมสร้อยคล้องแหวนนั้นให้จิดาภา
“สร้อยเส้นนี้จะเป็นตัวแทนมิตรภาพของเรา นับจากวันนี้เป็นต้นไป วันไหนที่คุณไม่เห็นผมเป็นเพื่อนแล้ว ค่อยถอดมันออกนะ”
“คงไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ”
สองคนยิ้มให้กัน
“ขอบคุณนะคะ...เพื่อนใหม่”
“เพื่อนกอดเพื่อนได้ใช่มั๊ยครับ”
จิดาภาไม่ตอบ ยิ้มแล้วสวมกอดอัคคี
“ไม่มีอะไรมั่นคงเท่ามิตรภาพแล้วล่ะค่ะ”
อัคคีแอบมีโหวงๆ นิดหน่อย
“ใจหายเหมือนกันนะ ก่อนมาอุตส่าห์ทำใจไว้อย่างดีแล้วเชียว” อัคคีหัวเราะเบาๆ
จิดาภากำหมัดแล้วชกเบาๆที่หัวใจของอัคคี
“เข้มแข็งไว้เพื่อน”
สองคนหัวเราะให้กัน
คืนเดียวกัน เกษณีย์เดินกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาจากบ่อนเสี่ยเป้า เสี่ยตามมาส่งที่รถ
“มือขึ้นมากๆ นะคุณเกษ ถ้ามือขึ้นแบบนี้ทุกครั้ง ผมพังแน่”
“คนเรามันก็ต้องมีโชคบ้างสิคะเสี่ย จะให้ซวยอยู่อย่างเดียวได้ยังไง”
“แล้วต้องกลับมาหาผมอีกนะ ยังมีอีกหลายอย่างให้เสี่ยง แล้วผมจะสอนให้”
“ชั้นกลับมาแน่ ได้เงินง่ายๆ แบบนี้ ชั้นชอบ”
เกษณีย์ขึ้นรถขับออกไป ลูกน้องรีบบอกเสี่ย
“มันติดกับเราแล้วครับเสี่ย”
“ปล่อยให้มันหลงระเริงไปก่อน มันจะติดใจอยากกลับมาอีก ถึงตอนนั้นค่อยเอาคืน”
เสี่ยเป้ายิ้มมีแผนร้าย
เวลาต่อมา เกษณีย์จอดรถ ลงจากรถมาด้วยสีหน้ามีความสุข เดินเข้าบ้านไป
ภายในบ้าน เกสรรออยู่ที่โถง
“หายหัวไปไหนมา”
“ไปสนุกมาค่ะคุณแม่ สนุกมากซะด้วย”
“สายพิณมันกลับมาแล้ว แล้วมันก็ยืนยันว่ามันไม่ได้เอาเครื่องเพชรชั้นไป”
“แล้วคุณแม่ก็เชื่อมันยังงั้นเหรอคะ? แค่บอกก็เชื่อแล้วเหรอคะ หึ...เชื่อง่ายไปมั๊ยคะคุณแม่”
“มันอยู่กับชั้นมานาน ชั้นรู้ว่ามันไม่ได้โกหก”
“แต่เกษอยู่กับคุณแม่มาตั้งแต่เกิด คุณแม่กลับคิดว่าเกษโกหก” เกษณีย์ย้อน
“จะไม่ให้ชั้นคิดได้ยังไง พฤติกรรมแกช่วงนี้มันขัดหูขัดตาชั้นชอบกล ดูลับๆล่อๆ ดูมีพิรุธ มีความลับอะไรเต็มไปหมด”
“คิดมากไปแล้วล่ะค่ะ เกษก็เป็นเกษเหมือนเดิมนี่แหละค่ะ”
“แกไม่เหมือนเดิม แกเป็นลูกชั้น ทำไมชั้นจะไม่รู้ว่าแกเปลี่ยนไป”
“นี่ตกลงจะกล่าวหาว่าเกษเอาเครื่องเพชรไปใช่มั๊ยคะ เอาสิคะ ถ้าคิดอย่างนั้นก็แจ้งความให้ตำรวจมาจับตัวเกษไปเลย นังงูพิษสายพิณ มันจะได้สาแก่ใจ”
“ถ้าแกไม่ยอมรับ อย่าคิดว่าชั้นไม่กล้านะ”
“เกษไม่ได้ขู่ค่ะ ถ้าคุณแม่ไม่เชื่อเกษ ก็เอาเลย ให้ตำรวจมาจับเกษไปเลย คนเค้าจะได้รู้กันทั่วว่าไส้เรามันเน่าขนาดต้องขโมยของกันเอง เค้าจะได้รู้กันซะทีว่าเรามันมีแต่เปลือก แถมบางเปลือกยังเป็นของปลอมด้วยซ้ำไป”
เกสรถึงกับอึ้งกับคำพูดของลูกสาว
เกษณีย์เดินหนีขึ้นชั้นบนไป เกสรฮึ่มฮั่มตามหลังไป
“นังลูกไม่รักดี ถ้าไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร” เกสรคิดๆ “หรือสายพิณมันจะโกหก”
เกสรเครียด
คืนนั้น อัคคีเอนตัวลงบนเตียง หลับตาถอนใจ
“ต่อให้ผมอยู่ใกล้ผู้หญิงคนไหน ผมก็ลืมคุณไม่ได้เลย...ฉัตรชบา”
วันต่อมา ที่โรงพยาบาล ภายในห้องพักคนไข้
อำภาจับมือฉกาจไว้
“คนไข้ยังไม่ตอบสนองอะไรนะครับ อาการโดยทั่วไปทรงตัว ไม่มีอะไรอยู่ใน
ขีดอันตรายนะครับ” หมอบอก
“แล้วเมื่อไหร่พ่อผมถึงจะฟื้นล่ะครับ” ฉัตรชนกถาม
“นั่นสิคะ อย่าบอกนะคะว่าจะหลับอยู่อย่างนี้ตลอดไป”
“อาการประเภทนี้ หมอตอบไม่ได้จริงๆ ครับ สิ่งที่พยายามทำในตอนนี้คือ ระวังภาวะแทรกซ้อน แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ คนไข้อยู่ในการดูแลของเราตลอด 24 ชั่วโมง หากมีอะไรผิดปกติ เราพร้อมจะให้การรักษาอย่างทันท่วงทีครับ”
“แต่จะฟื้นแน่ๆ ใช่มั๊ยคะคุณหมอ”
“ตอบไม่ได้จริงๆครับ ถ้ามีสัญญาณบอกหมอจะรีบแจ้งแล้วกันนะครับ”
หมอกับพยาบาลออกจากห้องไป ฉัตรชบาเข้าไปปลอบแม่
“คุณแม่คะ พยาบาลเคยบอกชบาว่า คุณพ่อได้ยินเราพูดนะคะ เพียงแต่ท่านไม่สามารถตอบรับเราได้ คุณแม่ลองพูดกับคุณพ่อดูสิคะ”
“จริงเหรอลูก?”
“จริงๆ ค่ะ”
อำภาลูบมือฉกาจเบาๆ
“ฟื้นนะคะคุณ ฟื้นมาบอกพวกเราว่าใครเป็นคนทำร้ายคุณ ฟื้นมาช่วยเราจับตัวคนร้ายให้ได้นะคะ”
ฉัตรชนกพูดเบาๆ กับฉัตรชบา
“ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือใคร ทำไมต้องรอถามท่านด้วย”
“พี่เชื่อว่านายอัคคีเป็นคนลงมือจริงๆ เหรอคะ”
“ไม่ใช่มันแล้วจะใคร หลักฐานก็มีกลับทำอะไรมันไม่ได้ ต้องยอมให้มันถูก
ประกันตัวออกมาลอยหน้าลอยตาใส่เรา”
“บางที...อาจจะไม่ใช่เค้าก็ได้นะคะ”
“ชบาพูดอย่างนี้ได้ยังไง ชบาเองน่าจะรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่ามันเป็นคนยังไง เลวร้ายแค่ไหน หรือว่าชบาเปลี่ยนไปอยู่ข้างมันแล้ว เปลี่ยนไปเห็นว่ามันดีซะแล้ว?”
“ชบาไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ชบาก็แค่...”
“แค่อะไร? แค่แก้ตัวแทนมันก็ชัดเจนแล้วนะว่าชบาคิดยังไงกับมัน”
“ไม่นะคะ ชบาไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น อย่าเข้าใจชบาผิดนะคะ”
“ก็อย่าทำให้เข้าใจผิดสิ”
อำภาบอก
“อย่าว่าน้องเลย สิ่งที่น้องต้องโดนต้องเจอมันหนักหนาสาหัสมากนะฉัตร ถึงยังไงน้องก็ไม่มีวันเข้าข้างคนผิดหรอก ใช่มั๊ยชบา”
ชบาพยักหน้ารับแต่ไม่สบตาใคร
“ค่ะคุณแม่”
อำภาบอกกับฉัตรชนก
“คนที่น่าสงสัยไม่ใช่ชบาหรอก เกษณีย์ต่างหากที่หายหน้าไป ไม่นึกสนใจ คนจะเป็นจะตาย”
ฉัตรชนกก้มหน้าถอนใจ
เกษณีย์ขับรถออกจากบ้านไป รถที่จอดซุ่มอยู่ ขับตามไป
ภายในบ้าน อัคคีสีหน้าเครียดถามจิดาภา
“ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรจากนักสืบเลยเหรอ”
“ใจเย็นๆสิคะ เค้ากำลังตามอยู่”
“แต่นี้มันสองวันแล้วนะ”
“คนทำผิดก็ต้องระวังตัวมากกว่าปกติอยู่แล้ว คงไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้เราตามง่ายๆ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่คฑาเป็นมืออาชีพ ถ้ารับงานแล้วไม่มีพลาดหรอกค่ะ ใจเย็นๆนะคะ”
“ใครที่ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาพยายามฆ่าอย่างผมจะให้ใจเย็น มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
“ชั้นเข้าใจค่ะ ยังไงเราก็ต้องได้หลักฐานมายืนยันว่าคุณไม่ผิด คนอย่างคุณจะทำร้ายใครได้ล่ะคะ”
อัคคีคิดๆ
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ”
อัคคีนึกถึงตอนที่ทรมานฉัตรชบาต่างๆนานา
“ผมอาจจะเลวกว่าที่คุณรู้จักก็ได้”
“ยังไงก็ไม่ถึงกับเป็นฆาตกรหรอกค่ะ ชั้นรู้จักคุณดี”
อัคคีเครียด
เกษณีย์จอดรถหน้าตึกแถวเก่าๆโทรมๆ
เธอลงจากรถไปเคาะประตู ประตูเปิดออก เกษณีย์เข้าไป ประตูปิด ทุกจังหวะก้าวโดนนักสืบตามถ่ายรูป
ภายในตึกแถว เกษณีย์วางเงินปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ
“หนึ่งแสน”
พัฒนะคว้าเงินมาทันที
“แค่นี้มันจะไปพออะไร คุณก็รู้ว่าผมติดมันอีก 5 ล้าน”
“ให้เวลาชั้นหน่อยสิ เงินมันไม่ได้หากันง่ายๆ นะ”
“ยิ่งคุณใช้เวลามากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งอายุสั้นขึ้นเท่านั้น”
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาขู่กันเอง อย่าลืมสิว่าถ้าชั้นไม่หาเงินให้แก ชั้นก็แค่ติดคุก แต่แก ถ้าไม่มีเงินไปใช้หนี้เสี่ยเป้า มีแต่ความตายเท่านั้นที่รอแกอยู่!”
เกษณีย์ยิ้มสะใจที่ข่มขู่กลับได้บ้าง
“แล้วจะได้อีกเมื่อไหร่”
“ใจเย็นๆ หน่อยสิ ชั้นเพิ่งหาวิธีหาเงินได้ มันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น”
“ยังไง?”
“ก็บ่อนมันไง”
“คุณไปเข้าบ่อนมางั้นเหรอ?? ทำอะไรโง่ๆ”
“โง่แล้วได้เงินนี่มา มันคุ้มมั๊ยล่ะ!”
“ไม่มีใครเล่นได้ตลอดหรอกนะ”
“มันก็ต้องเสี่ยง ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนี่ แต่อย่าลืมนะว่าชั้นไม่ได้หาเงินให้แกฟรีๆ”
“ไม่ลืมหรอก แต่ถ้าความลับนั้นยังอยู่กับผม คุณก็ต้องหาเงินมาให้ผม จนกว่าผมจะพอใจ อย่าใช้วิธีโง่ๆ อีกก็แล้วกัน”
พัฒนะดึงปืนออกมาจากในเสื้อ
“คุณเป็นคนเอาปืนกระบอกนี้มาให้ผมเองนะ อย่าลืม”
ก่อนหน้านี้ พัฒนะเคยถาม “ปืนล่ะ?”
เกษณีย์โยนถุงกระดาษที่ใส่ปืนไว้ให้
“จะเอาไปยิงใครอีก”
“เอาไว้ป้องกันตัวไง เผื่อมันแค้นแล้วบุกเข้ามา ชั้นจะได้มีอะไรไว้สู้”
พัฒนะเข้ามาใกล้เกษณีย์ เอาปืนจี้ตัว ขู่
“อยากเป็นแค่ฆาตรกรหรือศพ เลือกเอาก็แล้วกัน”
เกษณีย์ถึงกับอึ้ง !
เกษณีย์เปิดประตูออกมาแล้วเดินกลับไปที่รถ พัฒนะดึงประตูปิด ภาพทุกระยะ นักสืบถ่ายรูปไว้ได้
ต่อมา คฑาส่งรูปถ่ายทั้งหมดให้อัคคีกับจิดาภาดู รูปทั้งหมดถูกวางเรียงบนโต๊ะ จิดาภาตกใจเมื่อเห็นรูปพัฒนะ
“นายพัฒนะ”
“เป้าหมายไปพบกับผู้ชายคนนี้สองครั้งแล้วตั้งแต่เราเริ่มติดตาม และสถานที่นัดพบทุกครั้งมักเป็นสถานที่ลับ เปลี่ยวตา ปลอดคน”
“เรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงหมอนี่ได้ยังไงกัน” อัคคีถาม
“พัฒนะไม่ใช่คนดี ถ้าคุณเกษไปเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ น่าจะมีหลักฐานมายืนยันว่า เธอเป็นคนลงมือในคดีของคุณได้ไม่ยากนะคะ ชั้นว่าพอมีหวังแล้ว”
“นอกจากนี้แล้ว เรายังพบว่าเธอไปบ่อนการพนันด้วยครับ”
คฑาวางรูปใหม่ให้ดู อัคคีดูรูปทั้งหมดอย่างครุ่นคิด
“เกษณีย์ร้ายกว่าที่เราคิดไว้มาก”
“ยิ่งเธอร้าย มันจะยิ่งดีกับคุณนะคะ”
“แต่เราก็ต้องมีหลักฐานที่บ่งชี้ชัดว่าวันนั้นเธอเป็นคนลงมือ ไม่ใช่ผม”
อัคคีบอกคฑาเสียงเข้ม
“ติดตามพัฒนะเพิ่มด้วย ผมอยากรู้ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเกษณีย์”
“ได้ครับ”
จิดาภากุมมืออัคคี
“ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณไม่ได้ทำผิด คุณต้องปลอดภัย”
อัคคียิ้มให้จิดาภาก่อนกลับมาครุ่นคิด เครียดมองดูภาพถ่าย เงยหน้าบอกนักสืบ
“ผมอยากให้ช่วยติดตามเพิ่มอีกคนหนึ่งครับ”
“ได้ครับ”
ต่อมา เมื่อฉัตรชนกจอดรถภายในบ้าน ทุกคนลงจากรถ สาวใช้รีบเข้ามารายงาน
“มีแขกมารอพบคุณชบาค่ะ”
“ใครกัน?” อำภาถาม
ศรุตเดินออกมายกมือไหว้อำภา
“ผมเองครับที่มารบกวน”
“อ้าว คิดว่าใครที่ไหน ศรุตเองเหรอลูก”
“ผมจะมารับชบาไปทานข้าวน่ะครับ”
“ได้สิลูก ได้ๆ”
ฉัตรชนกมองหน้าฉัตรชบาที่ไม่อยากไปแล้วขัดอำภาขึ้น
“ถามเจ้าตัวเค้าดูก่อนมั๊ยครับ ว่าอยากไปรึเปล่า”
ศรุตมองหน้าฉัตรชนก
“ขอโทษที่ผมเสียมารยาทถือวิสาสะครับ”
อำภารีบปกป้องศรุต
“ชบาต้องอยากไปสิ ไม่เห็นมีเหตุผลที่จะไม่ไปเลย ใช่มั๊ยชบา”
“เอ่อ...”
“ถ้าชบาไม่สะดวก ผมค่อยนัดคุณวันหลังก็ได้”
“ไปก็ได้ค่ะ ดีเหมือนกัน จะได้คุยกันให้รู้เรื่องซะที”
ศรุตเอะใจว่า ฉัตรชบาจะมาไม้ไหน แต่ก็รีบเปิดประตูรถให้ฉัตรชบา
“เชิญครับ”
ฉัตรชบากับศรุตออกไป อำภาหันมาทำหน้าเข้มใส่ลูกชาย
“ทำไมต้องขัดแม่ด้วย ยังไงสองคนนั่นก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว แค่ไปกินข้าว ไม่เห็นจะแปลก”
“ผมว่าคุณแม่เร่งรัดชบาเรื่องแต่งงานมากไปรึเปล่าครับ”
“แม่ทำในสิ่งที่ต้องทำ ลูกก็รู้ว่าแม่ทำไปทำไม ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนหรอกนะที่จะรับเรื่องที่มันเกิดกับชบาได้ ถ้าเป็นลูก ลูกจะรับได้รึเปล่า ลองถามตัวเองดูก็แล้วกัน”
อำภาเดินเข้าบ้านไป
ฉัตรชนกคิดๆ
ภายในร้านอาหารที่ดูดี พนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทั้งคู่แล้วออกไป ศรุตเอ่ยถามยิ้มๆ
“คุณอยากทานอะไรครับ”
“ชบาไม่ทานหรอกค่ะ ศรุตก็รู้ว่าชบามาด้วยเพราะอะไร”
ศรุตปิดเมนูลง มองหน้าฉัตรชบา
“ผมพอจะรู้นะ แต่ไม่อยากฟังเลย”
“แต่ศรุตต้องฟัง เราต้องคุยเรื่องนี้กันให้รู้เรื่อง ก่อนที่มันจะไกลมากกว่านี้”
“เรื่องแต่งงานใช่มั๊ย?”
“มันจะไม่เกิดขึ้น ศรุตรู้ใช่มั๊ย”
“ผมบอกแล้วไงว่าขอเวลาผมหน่อย ขอให้ผมได้ทำให้คุณรักผม ขอแค่นี้ไม่ได้เหรอ ผมขออะไรคุณมากเกินไปเหรอ”
“ไม่มากไปหรอกค่ะ ศรุตแค่ขอในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้”
“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะ ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ”
“ชบาไม่อยากให้ศรุตเสียเวลากับสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้”
ศรุตจ้องหน้าฉัตรชบานิ่งๆครู่หนึ่ง ฉัตรชบาหลบตา
“คุณรักใครอยู่ใช่มั๊ย”
ฉัตรชบาสะดุ้ง คิดคำตอบไม่ทัน
“เขาเป็นใคร”
“พูดอะไรน่ะ ชบาไม่ได้รักใคร”
“ไม่จริงหรอก การที่คุณปฏิเสธผม ไม่ให้แม้แต่โอกาสผม แปลว่าคุณได้ให้มันกับคนอื่นไปแล้ว คุณให้หัวใจคนอื่นไปแล้วใช่มั๊ย? ตอบผมมาตรงๆ”
ฉัตรชบาตั้งสติ มองหน้าศรุต
“หัวใจของชบายังเป็นของชบา ไม่ได้เป็นของใคร ชบาแค่ไม่พร้อมที่จะยกมันให้ใคร ก็เท่านั้นเอง”
“ผมไม่เชื่อ ปากจะพูดยังไงก็ได้ แต่แววตาหลอกกันไม่ได้”
“ชบาไม่ได้หลอกใคร”
“งั้นคุณก็กำลังหลอกตัวเอง หลอกตัวเองว่าไม่ได้รักใคร”
“พอเถอะค่ะ ชบาขอตัวนะ”
ฉัตรชบาลุกออกไป ศรุตไม่ตาม ได้แต่มองตามไป
“โกหกกันทำไม...ฉัตรชบา”
ฉัตรชบาเดินออกมาหน้าร้าน รถคันหนึ่งแล่นมาปาดหน้าขวางไว้
อัคคีลงจากรถอย่างรวดเร็ว
“นายอัคคี!”
อัคคีไม่พูดอะไร ลากตัวฉัตรชบาไปเข้ารถแล้วปิดประตู รีบวิ่งไปฝั่งคนขับ
ฉัตรชบาจะลงจากรถ แต่อัคคีจับตัวไว้ทัน
“จะหนีไปไหน ชอบนักไม่ใช่เหรอ ไปไหนมาไหนกับผู้ชายน่ะ!”
อัคคีกระชากรถออกไป
ต่อมา ภายในบ้าน อัคคีผลักชบาลงเตียงแล้วปล้ำนัวเนีย ฉัตรชบาพยายามต่อสู้ขัดขืน
“ปล่อยชั้นนะ ปล่อย คนบ้า ปล่อยชั้นนะ!”
“ปล่อยทำไม ชอบไม่ใช่เหรอ อยู่ใกล้ผู้ชายน่ะ”
“นายพูดอะไรของนายน่ะ”
“พูดสิ่งที่คุณชอบทำยังไงล่ะ ทำไม? ได้จากผมแล้วติดใจใช่มั้ย ถึงยอมให้มัน”
“ชั้นไม่ได้ยอมอะไรใครนะ นายมันบ้าไปแล้ว ปล่อยชั้น”
“ปล่อยไปให้คนอื่นขยี้แทนงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก ถ้าคุณชอบแนวนี้ เดี๋ยวผมจะสนองให้เอง”
อัคคีว่าแล้วก็ลงมือปล้ำฉัตรชบา
“คนบ้า!”
ฉัตรชบากัดเข้าที่หัวไหล่
“โอ๊ยย!!”
อัคคีผงะ ฉัตรชบารีบฉวยจังหวะนั้นพลิกตัวหนีขึ้นจากเตียง แต่อัคคีคว้าเอวไว้ได้ทัน กระชากลงมานอนกอดเอาไว้แน่น
“ถ้าผมไม่ปล่อยเอง คุณหนีชั้นไม่พ้นหรอก”
“ถ้าเกลียดชั้นนัก แค้นชั้นนัก ทำไมถึงมายุ่งกับชั้น มากอดมาจูบชั้นทำไม”
อัคคีอึ้งไปเพราะตอบไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ปากหมาออกไป
“ก็เพราะคุณมันเป็นผู้หญิงง่ายน่ะสิ”
ฉัตรชบาหมดความอดทนสะบัดตัวออกมาจนหลุด ร้องไห้ออกมา
“ชั้นไม่ใช่ผู้หญิงง่ายๆ อย่างที่นายคิดนะ”
อัคคีรู้สึกผิดต่อคำพูดตัวเองแต่ยังปากดี
“ก็ไม่เห็นจะยากนี่”
ฉัตรชบาสุดทนตบฉาดเข้าที่แก้มของอัคคี
“ชั้นไม่ได้ให้เพราะง่าย ชั้นให้เพราะ...” เธอจะหลุดพูดคำว่ารักแต่หยุดทัน
“เพราะอะไร? คุณให้ผมเพราะอะไร”
ฉัตรชบาเงียบ ไม่ยอมพูด
“พูดมาสิ ให้ผมเพราะอะไร พูดมา!”
อัคคีจับตัวฉัตรชบาเขย่าๆ
“พูดออกมา คุณให้ผมเพราะอะไร”
“เพราะชั้นมันโง่! ชั้นมันโง่สิ้นดี โง่ที่เกลียดนายไม่ลง โง่ที่แค้นนายไม่ได้!”
ฉัตรชบาตบอีกฉาดแล้วเปิดประตูวิ่งหนีออกไป อัคคีตั้งสติได้รีบเรียกไว้
“ ชบา ชบา!”
ฉัตรชบาวิ่งหนีลงมา อัคคีวิ่งตาม
ฉัตรชบาวิ่งไปที่ประตูหน้าแล้วเปิดออกไป อัคคีพยายามดึงตัวไว้
“ชบา...หยุดก่อน ทำไมคุณเกลียดผมไม่ลง บอกมาสิ ทำไมล่ะชบา บอกมาก่อน เร็วๆ”
“อย่ามายุ่งกับชั้น”
ฉัตรชบาพยายามจะออกไป
“บอกมาก่อนว่าทำไมเกลียดผมไม่ลง พูดออกมาสิ พูดมาสิชบา”
“ไม่ ชั้นไม่พูด ให้ตายชั้นก็ไม่พูด”
“ไม่พูดใช่มั๊ย ไม่พูดก็ไม่ต้องไป อยู่มันที่นี่แหละ”
ฉัตรชบาทั้งหยิกทั้งข่วน
“โอ๊ย! เจ็บนะ!”
“ปล่อยชั้น!”
ฉัตรชบาผลักอัคคีเซไป
“ถ้าอยากให้ชั้นเกลียดก็จับชั้นไว้ ขังชั้นไว้...แล้วชั้นจะเกลียดนาย เกลียดนายไปจนวันตาย!”
อัคคีจ้องหน้าฉัตรชบาใกล้ๆ
“เอาสิ จับชั้นไว้เลย ชั้นจะได้เกลียดนายซะที จะเกลียดให้หมดหัวใจเลย”
อัคคีค่อยๆ ปล่อยฉัตรชบา เธอรีบวิ่งหนีออกไป อัคคีไม่ตาม
“ใครอยากให้คุณเกลียดผมกันล่ะ....ฉัตรชบา”
ฉัตรชบาวิ่งหนีออกมา หันกลับไปมอง เห็นว่าอัคคีไม่ได้ตามมาก็โล่งอก
ฉัตรชบาบอกกับตัวเอง
“ชั้นจะเกลียดนาย ชั้นต้องเกลียดนายให้ได้ เหมือนที่นายเกลียดชั้น”
ต่อมา ... เกษณีย์เดินลงบันไดมาชั้นล่าง เจอเกสรดักรออยู่
“สายพิณมันยืนยันว่ามันไม่ได้เอาไป จะให้ไปสาบานที่วัดไหนก็ยอม”
“เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีได้มั๊ยคะคุณแม่ เบื่อจะฟัง”
“จะไม่ให้ชั้นพูดได้ยังไง แกรู้มั๊ยว่าราคาเครื่องเพชรชุดนั้นมันเท่าไหร่ แล้วตอนนี้เราก็เหลือสมบัติติดตัวอีกแค่ไม่กี่ชิ้น เดี๋ยวหาย เดี๋ยวปลอม เดี๋ยวเก๊ อีกไม่นานชั้นต้องโดนจับได้แน่ว่าใส่ของเก๊”
“นั่นมันปัญหาของคุณแม่ ไม่ใช่ของเกษ”
เกษณีย์จะเดินออกไป
“แกจะไปไหนอีก ใช้เงินเป็นว่าเล่นแบบนี้จะไม่ให้ ชั้นคิดได้ยังไงว่าแกเป็นคนขโมย”
เกษณีย์ถอนใจด้วยความหน่าย
“แกไม่ยอมรับ สายพิณมันก็ไม่ยอมรับ งั้นชั้นจะแจ้งความ แกอยู่ให้ปากคำก่อน อย่าเพิ่งไป”
“ถ้าคุณแม่อยากได้เครื่องเพชรคืนก็ปล่อยหนูไปเถอะค่ะ เพราะมันเป็นทางเดียวที่หนูจะทำเงินได้”
“แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?? ตกลงแกจะไปไหนกันแน่”
เกษณีย์ยิ้มร้าย
ต่อมา เกษณีย์นั่งลงที่โต๊ะเผชิญหน้ากับเสี่ยเป้า
“ผมบอกแล้วว่ามาหาผมแล้วจะติดใจ”
“เสี่ยบอกว่าจะสอนเกมส์ใหม่ๆให้เกษ ขอแบบได้เสียกันทีละเยอะๆเลยนะ วันนี้เกษมีเรื่องต้องใช้เงินค่ะ”
“ใครมาที่นี่ก็มีเรื่องต้องใช้เงินทั้งนั้น มีแต่ผมคนเดียวที่หาเรื่องเสียเงิน”
“คนระดับเสี่ยมีแต่ได้กับได้ เสียแค่นี้ไม่สะเทือนหรอกค่ะ”
“ถ้ามือขึ้นบ่อยๆ ผมก็สะเทือนเหมือนกัน” เสี่ยเป้าบอกลูกน้อง “พาคุณเกษไปรอที่ห้องวีไอพีก่อน เดี๋ยวชั้นจะตามไป” แล้วกันมาบอกกับเกษณีย์ “อยากได้เสียหนักๆผมจัดให้”
“เชิญครับ”
เกษณีย์เดินตามลูกน้องไป เสี่ยเป้ามองตามไปอย่างหวังร้าย
“มันได้มาหลายรอบแล้ว เสียซะทีได้แล้วมั้งครับเสี่ย”
“อย่าเพิ่ง ปล่อยมันได้ไปก่อน ยิ่งได้ มันยิ่งลงเยอะ ถึงตอนนั้นมันได้เสียแน่ เสียมากกว่าเงินด้วยซ้ำ”
เสี่ยเป้าคิดชั่ว
ภายในห้องนอน ฉัตรชบานอนคิดเรื่องอัคคี ถอนใจยาวด้วยความเครียด
“ทำไมชั้นต้องคิดถึงคนชั่วร้ายแบบนายด้วยนะ”
เสียงเคาะประตูห้องนอนดัง
“ชบา...พี่เข้าไปได้มั๊ย” ฉัตรชนกถาม
ฉัตรชบารีบลุกขึ้นนั่ง
“เข้ามาเลยค่ะ ประตูไม่ได้ล็อค”
ฉัตรชนกเปิดประตูเข้ามา มองหน้าฉัตรชบา
“มีอะไรเหรอคะ”
“พี่มีอะไรจะถาม สัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่โกหกกัน”
“พี่ฉัตรจะถามอะไรชบาคะ”
ฉัตรชบาเริ่มไม่ไว้ใจฉัตรชนก
“สัญญามาก่อน พี่ถึงจะถาม”
ฉัตรชบานิ่งเงียบ สีหน้าระแวง
“ปกติชบาก็ไม่เคยโกหกอยู่แล้วนี่คะ”
“แต่ครั้งนี้พี่ต้องการความจริงทั้งหมด สัญญาสิ ยิ่งไม่สัญญา ยิ่งรู้นะว่าเราตั้งใจจะโกหก”
“สัญญาก็ได้ค่ะ”
“ชบาคิดยังไงกับนายอัคคี”
ฉัตรชบาสะดุ้งเพราะตั้งตัวไม่ทัน
“ตอบพี่มาสิ อย่าลืมนะว่าเราสัญญาแล้ว”
“ชบาก็...ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ ชบาไม่อยากเอาเรื่องของคนแบบนั้นมา
ใส่สมอง”
“พี่ไม่ได้ถามถึงความคิด พี่อยากรู้เรื่องความรู้สึก ชบารู้สึกยังไงกับอัคคี”
“ทำไมต้องถามกันแบบนี้ด้วยล่ะคะ”
“เพราะพี่กลัวน่ะสิ”
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวว่าชบาจะลืมไปว่าเค้ากับเราเป็นศัตรูกัน เค้าเกลียดชังเรา ชิงชังเรา อยากแก้แค้นพวกเรามากที่สุด การแก้แค้นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เค้ามาเกี่ยวกับพวกเรา”
ฉัตรชบาอึกอักๆ
“พี่ต้องถามเพราะไม่อยากให้ชบาลืมเรื่องนี้”
“ทำไมถึงคิดว่าชบาจะลืมล่ะคะ”
ฉัตรชนกเงียบไป
“ในเมื่อเค้าเกลียดเรา แค้นเรา จะให้ชบารู้สึกยังไงได้ล่ะคะ นอกจากเกลียดเค้าตอบ”
“จริงนะ สัญญาแล้วนะว่าจะพูดแต่ความจริง”
“พี่ฉัตรอยากรู้อะไรกันแน่ ทำไมไม่ถามชบาตรงๆ”
ฉัตรชนกพรวดออกไป
“พี่กลัวชบาจะไปหลงรักมันไง!”
ฉัตรชบาหลบตาฉัตรชนก
“ชบาจะไปรักเค้าได้ยังไง จะไปรักคนที่เกลียดแค้นเราได้ยังไงกันล่ะคะ”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิคะ”
“งั้นก็ดี พี่จะได้สบายใจ ว่าไม่ได้เสียน้องสาวให้กับศัตรู”
ฉัตรชบาเครียดเลย
ภายในคอนโดจิดาภา ฉัตรชนกเอนตัวพิงพนักโซฟา ถอนใจยาวด้วยความโล่งใจ จิดาภาวางแก้วกาแฟให้ตรงหน้า
“แล้วคิดยังไงถึงไปถามคุณชบาอย่างนั้นล่ะคะ”
“บอกตรงๆ นะ ผมไม่ไว้ใจ”
“ไม่ไว้ใจชบา หรือไม่ไว้ใจคุณอัคคีคะ”
“อัคคีโกรธแค้นพวกเรา ความแค้นนั่นคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ง่ายๆ”
“ตอบแบบนี้แสดงว่าไม่ไว้ใจคุณชบา”
“ชบายังเด็ก ผมกลัวว่าจะหลงกลหลงเสน่ห์อัคคีเข้าน่ะสิ”
“แล้วคุณชบาตอบว่ายังไงล่ะคะ”
“เค้าก็ตอบว่าเค้าไม่คิดอะไรทั้งนั้น”
“แต่คุณไม่เชื่อคุณชบา”
ฉัตรชนกถอนใจ
“จะให้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยคงจะไม่ ใครจะไปรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ชบาถูกจับตัวไป”
“ชั้นรู้ค่ะว่าคุณกลัวอะไร”
“ถ้ามันทำสิ่งที่ผมกลัว มันก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”
“ความแค้นทำให้คนเราทำได้ทุกอย่างนั่นแหละค่ะ เผื่อใจไว้บ้างก็ดี แต่ในเมื่อคุณให้ชบาสัญญาแล้วว่าจะบอกความจริง คุณก็ต้องเชื่อในสิ่งที่เธอบอก”
“ผมบอกแล้วไง ผมทำใจให้เชื่อทั้งหมดไม่ได้”
“ถ้าสิ่งที่คุณกลัวมันเคยเกิดขึ้น ก็ขอให้คุณรับรู้ไว้ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนหรอกค่ะที่คิดว่าเรื่องนั้นมันสำคัญที่สุดในชีวิต ชั้นเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก คุณชบาจะเลือกสิ่งที่ควรเลือก ไม่ใช่สิ่งที่ใจอยากเลือก ชั้นเชื่อมั่นในตัวคุณชบาค่ะ และคุณก็ควรจะเชื่อด้วยในฐานะพี่ชาย”
ฉัตรชนกเครียด
พัฒนะนิ่งคิดเครียด ก่อนตัดสินใจ พูดกับตัวเอง
“ถ้าจะได้ ก็ให้มันได้ทั้งหมดไปเลยแล้วกัน ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่”
ภายในบ่อนเสี่ยเป้า ลูกน้องคุมงานอยู่รอบๆ พัฒนะเดินเข้ามา ลูกน้องเห็นเข้าก็เดินไปดักหน้าไว้
“มาที่นี่ทำไม อย่าบอกนะว่าจะมาเสี่ยงโชค เพราะคนอย่างแก มันไม่มีโชคว่ะ”
“เกษณีย์อยู่ที่นี่ใช่มั๊ย”
“ถามทำไม”
“ชั้นมาหาเกษณีย์”
ลูกน้องมองพัฒนะอย่างไม่ไว้ใจ
ที่มุมหนึ่ง เกษณีย์หันควับ เสียงสูง
“แกว่าอะไรนะ? จะให้ชั้นเป็นเมียเสี่ยเป้า? นี่แกบ้าไปแล้วเหรอ”
พัฒนะบอก “ทำไม? เป็นเมียเสี่ยเป้ามันไม่ดีตรงไหน มีอะไรต้องเสีย มีแต่ได้กับได้
คิดให้ดีๆสิ”
“ชั้นคิดชั่วๆ แบบแกไม่ลงหรอก”
“การพนันมันมีทั้งได้ทั้งเสีย วันนี้คุณได้ ใช่ว่าพรุ่งนี้คุณจะไม่เสีย แต่ถ้าคุณเป็นเจ้าของบ่อนมันซะเอง คุณจะไม่มีวันเสีย มีแต่ได้กับได้ ไม่ใช่เหรอ”
“แต่ชั้นไม่อยากเป็นเมียมัน แค่คิดก็คลื่นไส้แล้ว”
“คิดถึงเงินสิ อย่าไปคิดถึงหน้ามัน คิดถึงเงินของมันเข้าไว้”
“พอๆ หยุดพูด ชั้นไม่มีวันทำตามที่แกบอกแน่ ให้ตายก็ไม่เอา”
“แล้วถ้ามันจะเอา คุณจะห้ามมันได้เหรอ”
เกษณีย์ชะงัก
“แกหมายความว่าไง”
“คุณก็รู้สันดาน รู้พิษสงมันดี ถ้ามันอยากได้คุณขึ้นมา คุณจะเอาปัญญาที่ไหนไปขัดขืน ฮะ”
“ชั้นแค่มาเล่นเอาเงิน โกยเงินให้แกครบเมื่อไหร่ ชั้นก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก มันจะทำอะไรชั้นได้”
“มันทำได้ทุกอย่างที่คุณคาดไม่ถึงนั่นแหละ”
“อย่ามาขู่ชั้น ยังไงชั้นก็ไม่เล่นด้วยหรอก ถ้าจะมาเพื่อพูดเรื่องบ้าๆ นี่ ก็กลับไปซะ ได้เงินครบแล้ว ชั้นจะเอาไปให้ แล้วอย่าคิดตุกติกนะ ไม่ใช่แกคนเดียวหรอกนะที่มีปืน”
เกษณีย์เดินออกไป พัฒนะมองตามไปอย่างเคืองๆ
“นังหน้าโง่ แนะนำดีๆ ไม่เชื่อ โดนบังคับขึ้นมาเมื่อไหร่ แกจะรู้สึก!”
ที่โรงพยาบาล อำภากุมมือฉกาจอยู่
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ชั้นจะดูแลลูกๆ เอง พวกเรารอวันที่คุณจะฟื้นขึ้นมานะคะ
ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอค่ะ”
อัคคีเข้ามา อำภาเงยหน้าขึ้นมองเห็นเข้าก็ตกใจ
“ คุณ...”
“ผมมาดีครับ แค่อยากมาเยี่ยมอาการ”
“มาเยี่ยมอาการ ทั้งๆที่คุณเป็นคนลงมือทำให้เค้าต้องเป็นแบบนี้เองน่ะเหรอ ใจคุณมันด้วยอะไรกัน ถึงได้อำมหิตอย่างนี้”
“ผมพูดอะไรไป คุณก็คงไม่เชื่อ คงต้องรอวันที่ผมพิสูจน์ตัวเองได้เสียก่อน คุณถึงจะฟัง”
“พิสูจน์? ยังจะต้องพิสูจน์อะไรอีก สมใจคุณแล้วนี่ สาแก่ใจคุณแล้วสิ ทั้งพ่อ ทั้งลูกสาว ตกเป็นเหยื่อแค้นของคุณหมดแล้ว เหลือก็แต่ชั้นกับฉัตรเท่านั้นที่รอให้คุณลงมือ!”
“ผมจะไม่ทำอะไรพวกคุณทั้งนั้น ไม่ต้องกลัว”
“ใครจะไปเชื่อคนอย่างคุณ”
“ผมคงต้องพิสูจน์ตัวเองจริงๆ”
“ไม่ต้องพิส่งพิสูจน์อะไรทั้งนั้น คุณคือคนทำ! คุณคือคนร้าย! คุณคืออาชญากร!” อำภาเดินออกไป “คุณพยาบาลคะ ช่วยด้วยค่ะ”
อัคคีมองหน้าฉกาจที่หมดสติอยู่
“คุณรู้นะว่าผมบริสุทธิ์”
บริเวณหน้าห้อง อำภาเดินมากับพยาบาล
“อย่าให้คนนี้เข้ามาเยี่ยมอีกเป็นอันขาดนะคะ เพราะว่าเค้า....”
ในห้องไม่มีอัคคีแล้ว
“ อ้าว...หายไปซะแล้ว คงจะกลัวชั้นไปตามตำรวจ อย่าให้เข้ามาอีกเชียวนะคะ”
อัคคีที่หลบอยู่ที่มุมได้ยินทุกอย่าง เดินออกไปเงียบๆ หล่อๆ
ตอนกลางคืน ในห้องกินข้าว ฉัตรชนกถามขึ้นเสียงดัง
“ มันกล้าไปถึงที่นั่นเลยเหรอครับ มันชักจะมากไปแล้วนะ”
“ดีที่แม่ยังอยู่ ใครจะไปรู้ว่าคิดจะเข้าไปทำอะไรกันแน่”
“มันไม่ได้มาดีแน่”
“แม่ก็คิดว่าอย่างนั้น แต่แม่ก็สั่งพยาบาลไว้แล้วว่าห้ามคนคนนี้เข้าเยี่ยมเด็ดขาด ไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม”
ฉัตรชบานั่งเงียบๆ ด้วยใจที่ขัดแย้ง
“เค้าอาจจะมาเยี่ยมจริงๆ ก็ได้นะคะ”
“พูดเป็นเล่นนะชบา มันเป็นคนทำให้พ่อต้องเป็นแบบนั้น มันจะมาเยี่ยมทำไม มาลงมือซ้ำกับคนไม่มีทางสู้ล่ะไม่ว่า”
ฉัตรชบาตัดสินใจเงียบ
“หรือว่าชบาเห็นมันเป็นคนดีไปซะแล้ว”
“เปล่านะคะ ชบาจะไปเห็นเค้าดีได้ยังไง เค้าเกลียดพวกเรายังกับอะไรดี”
“ชบาเองก็ต้องระวังตัวไว้ให้มากๆ นะลูก นายอัคคีนั่นเคยจับลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง มันอาจจะจับลูกไปอีกก็ได้”
“ถ้าลองมันทำแบบนั้นอีกครั้ง ได้เห็นดีกันแน่” ฉัตรชนกว่า
“พี่ฉัตรจะทำอะไรเค้าคะ”
“ในเมื่อมันแค้นเรานัก อยากเป็นศัตรูกับเรานัก พี่ก็จะทำเป็นศัตรูให้มันดู มันจะได้สำนึกซะทีว่าเราไม่ได้อ่อนแออย่างที่มันคิด พี่จะทำให้มันรู้ว่าคิดผิดแล้วที่เป็นศัตรูกับเรา!”
ฉัตรชบาเครียดเลย
ในห้องนอน ฉัตรชบาโทรหาอัคคี
“นายทำบ้าๆ อะไรของนาย อย่ามายุ่งกับคุณพ่อชั้นอีกนะ”
อัคคีตอบ
“ผมทำอะไรผิด อย่ากล่าวหากันสิคุณ”
“อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้นะว่าคูณไปที่โรงพยาบาลทำไม คุณจะทำร้ายคุณพ่อชั้นใช่มั๊ย”
“ไปกันใหญ่แล้ว ผมก็แค่จะไปเยี่ยม ดูอาการท่านบ้าง ก็แค่นั้น”
“ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคุณหรอก”
“แต่คุณเชื่อใช่มั๊ย”
ฉัตรชบาอึกอัก
“ทำไมชั้นต้องเชื่อคุณ”
“ผมรู้ว่าคุณเชื่อว่าผมไปเยี่ยมท่านจริงๆ แล้วที่คุณโทรมาเนี่ยก็เพื่อจะเตือนผมว่าคนอื่นเค้าไม่เชื่อ คุณไม่อยากให้ผมไปอีกเพราะกลัวว่าผมจะเป็นอันตราย กลัวผมจะถูกพวกคุณทำร้าย คุณเป็นห่วงผม กลัวผมจะเป็นอะไรไป ผมพูดถูกใช่มั๊ย”
“บ้า คนบ้า! ชั้นไม่น่าโทรมาเตือนนายเลย”
ฉัตรชบาวางสายไป
“คนบ้า!”
อัคคีอมยิ้ม
“คุณห่วงผม ผมรู้....”
ฉัตรชบาขว้างโทรศัพท์ลงบนเตียง
“ทำไมชั้นต้องห่วงนายด้วยนะ”
ที่หน้าห้อง ฉัตรชนกแอบฟังอยู่ที่ประตู สีหน้าเครียด รู้ความจริง พูดกับตัวเองเบาๆ
“ชบา...น้องโกหกพี่”
อ่านต่อตอนที่ 19