xs
xsm
sm
md
lg

เงาเสน่หา ตอนที่ 22

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงาเสน่หา ตอนที่ 22

ธีรภาพเดินคุยมากับเจนไวย์ ภายในอาคารซ่อมบำรุงอากาศยาน

“เรื่องที่แกบอกไว้ ไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามหาข้อมูลหลักฐานมาให้แกอย่างดีที่สุด”
“ถ้าเรื่องนี้กระจ่าง มันก็ทำให้ฉันคิดอะไรได้ง่ายขึ้น”
มีนาโผล่มาเห็นสองคนคุยกันพอดี
“อ้าวลูกพี่ ดีใจจังที่ลูกพี่มาหา”
“เขามาหาฉัน ไม่ได้มาหาแกซะหน่อย จะดีใจไปทำไม” เจนไวย์ว่า
“นี่มาหาเฮีย นี่เฮียจะแนะนำไปทำเรื่องผิดๆ หรือเปล่า ดูคุยกันมุบๆ มิบๆ”
เจนไวย์มองดุ “เงียบไปเลย เรื่องของระดับผอ. กับรองผอ. เขาจะคุยกัน”
“โห ถ้าเฮียได้เป็นรองผอ. ฉันก็คงเป็น ผอ.ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้วละ” มีนาเถียงคำไม่ตกฟาก
“ไอ้นี่ ลามละ”
เจนไวย์ฮึดฮัดจะเบิ๊ดกะโหลก จนธีรภาพต้องห้ามทัพ
“เอาละ เจอกันเป็นไม่ได้เลย เจนอย่าลืมนะ เรื่องที่ฝากไว้ ไปทำงานต่อละ”
ธีรภาพเดินกลับไป มีนาสงสัยจึงถามเจนไวย์
“ลูกพี่เขาฝากไรเฮียอะ”
“มาใกล้ๆ นี่ ดูปากฉัน”
มีนารีบเขยิบมาใกล้ๆ นึกว่าเจนไวย์จะบอก
“ไม่ บอก”
มีนาปิดหูแทบไม่ทัน ที่ถูกเจนไวย์ตะโกนใส่ แถมเดินหัวเราะร่าเริงออกไป มีนาโกรธค้อนลมแล้งไปมา

ขณะที่ศิตางค์กำลังเก็บของ หยิบกระเป๋าถือเตรียมกลับ พงศธรเข้ามาในห้องทำงาน โดยมีเลขาวิ่งตามเข้ามายั้งไว้ ศิตางค์เห็นยกมือเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เลขาออกไป
“เกิดไรขึ้นคะ ถึงต้องรีบมาหาฉันถึงที่นี่”
“คุณพยายามหลบหน้าผม ผมโทร.หาคุณตั้งแต่เมื่อวาน แต่คุณไม่ยอมรับสาย”
“เมื่อวานกลับมาฉันต้องการพักผ่อน แล้ววันนี้ทั้งวัน ฉันมีเรื่องต้องจัดการทั้งงาน เลยไม่ว่าง”
พงศธรไม่อยากเชื่อ “แค่รับสายผมเนี่ยนะ”
“ค่ะ”
พงศธรชักเริ่มมีอารมณ์ขึ้นบ้าง
“นี่คุณ ผมไม่ชอบสิ่งที่มันเป็นอยู่นี่ คุณก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไง อึดอัดมากแค่ไหนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่”
“ค่ะ ฉันรู้ และเข้าใจดี และก็ยังชื่นชมวิธีจัดการปัญหาของคุณ ว่าใจกล้าและก็เด็ดเดี่ยว”
พงศธรถึงกับอึ้งไป ที่ศิตางค์พูดเหมือนรู้เรื่องแผนกำจัดวิริยาเมื่อวาน
“ฉันไม่รู้เลยว่า เพื่อตัวเองแล้ว คนเราจะทำอะไรได้อีก ใจคนมันน่ากลัวนะ เวลาที่เราคิดทำอะไรเพื่อตนเอง”
“คุณกำลังหมายถึง...”
“ฉันอยากพักผ่อน คุณเองก็ควรกลับไปดูแลภรรยาของคุณนะคะ ดูเธอไม่ค่อยสบายอยู่”
พงศธรมองหน้าศิตางค์อีกครั้ง ในใจคิดว่าเธอคงงอนที่เขาจัดการเรื่องวิริยาไม่สำเร็จ พงศธรยอมกลับไป ศิตางค์เรียกพงศธรอีกครั้ง
“ฉันเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องกรรม แต่เห็นใครๆ ชอบพูดว่า มันติดจรวด แล้วถ้ามันวิ่งมาหาเราจริงๆ คุณจะยืนเฉยๆให้มันวิ่งชน หรือหนีกระเสือกกระสนสุดชีวิตล่ะคะ”
พงศธรหยุดคิดสักพัก แล้วหันมาตอบ
“ผมไม่เชื่อตั้งแต่ กรรมมีจริงแล้วละครับ ก็เลยไม่ต้องเลือกอะไร”
พูดจบพงศธรก็เดินออกไป ศิตางค์มองตามด้วยความแค้น มือกำแน่น
“ฉันจะรอดูกรรมที่มันตามแก พงศธร”

ที่ร้านอาหารเรียบๆ ง่ายๆ แห่งนั้น เห็นเจนไวย์นั่งรอใครบางคนอยู่ สักครู่หนึ่งมัทรีเดินก้าวเข้ามาในร้าน มองหาจนเห็นเจนไวย์โบกมือให้ มัทรีเดินมาที่โต๊ะทันที
“เชิญนั่งครับ คุณแมทซี่”
มัทรีรีบนั่งลงด้วยท่าทีเขินอาย
“แหม เล่นเรียกชื่อจริง แมทซี่ก็เขินแย่สิคะ”
“ใบหน้าแบบนี้ ผมนึกไม่ออกว่า จะต้องเรียกชื่ออะไร นอกจากแมทซี่”
“ค่ะ แล้วนี่นึกยังไงคะมาชวนแมทซี่ทานข้าวเย็นด้วย”
เจนไวย์ยิ้มแป้น ขณะบริกรรินน้ำให้มัทรี
“ก็นึกถึงนะสิครับ ว่าจะชวนทานตั้งแต่กลับจากเกาหลีตอนนั้น แต่ผมก็ยุ่งๆ แล้วพอจะชวนอีกทีก็มาทราบข่าวคุณนิสาเธอเสียชีวิตที่เกาหลี ก็เลยคิดว่าคงไม่เหมาะสักเท่าไร”
พูดถึงนิสาขึ้นมามัทรีก็เกือบสำลักน้ำที่กำลังยกดื่มเลยทีเดียว
“อ๋อ...ค่ะ แมทซี่เข้าใจ”
เจนไวย์เริ่มเลียบเคียงเข้าหาเรื่องศิตางค์เนียนๆ
“วันนี้หุ้นของรอยัลแอร์ไลน์พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์เลยนะครับน่าจะมาจากการร่วมธุรกิจเครื่องบินเช่าเหมาลำกับ สกาย เจ็ต ของคุณศิตางค์”
มัทรีได้ยินชื่อศิตางค์ถึงกับสะดุ้งนิดๆ ก้มหน้าหลบสายตา กินน้ำไป
โดยมีสายตาเจนไวย์มองตลอดเวลา “คุณศิตางค์ เธอทั้งสวย แล้วก็ทั้งเก่งนะครับ”
“อ้อ เหรอคะ”
“ใช่สิครับ ใครๆ ก็จ้องจับตาเธอกันใหญ่ ว่าเธอเป็นใครโดยเฉพาะพวกนักสืบในเว็บพันทิปงี้ตาเป็นมันเลยครับ ถึงขั้นตั้งกลุ่มตามล่าศิตางค์กันแล้วนะครับ ผมว่าอีกไม่นาน คงมีประวัติคุณศิตางค์ลากออกมาเป็นหางว่าวแน่นอนเลย”
มัทรีฟังแล้วเครียดเลยทีนี้
“หราๆๆ คะ แหมคนเก่ง ใครก็คงอยากรู้จักล่ะค่ะ”
“นั่นนะสิครับ เอ๊ เหมือนคุณแมทซี่ก็สนิทสนมดีกับคุณศิตางค์ ไม่รู้อะไรดีๆ บ้างเหรอครับ เผื่อผมจะได้ไปคุยทับพวกเพื่อนๆ บ้าง”
“อย่าเรียกสนิทเลยคะ เอาว่าแค่เคยพูดคุยกันบ้างก็พอคะ”
มัทรีออกตัว ใจคอไม่ดีก้มหน้าก้มตา เจนไวย์มองจับสังเกตเห็น มัทรีเอาแต่มองดูโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ทานมื้อเย็นเสร็จ มัทรีรีบร้อนออกจากร้านอาหารมาหยุดตรงริมถนน มองซ้ายมองขวา รีบโทร.หาศิตางค์ทันที
“รับสิๆ นี่นิสาแกอยู่ไหน งั้นแกอยู่ที่นั่นเลยนะ นิ่งๆ อย่างเดียว อย่าทำอะไร อย่าออกไปไหน เดี๋ยวฉันเรียกรถแท็กซี่ก่อน แป๊บนะแก”
มัทรีไม่รู้ตัวว่ามีชายลึกลับปิดหมวกกันน็อกลง บิดมอเตอร์ไซค์วิ่งออกมาจากซอยเปลี่ยว
มัทรีโบกมือเรียกแท็กซี่ด้วยมือข้างที่จับมือถือ จู่ๆ มอเตอร์ไซค์ชายลึกลับขับมาฉกมือถือของมัทรีไปดื้อๆ มัทรีตกใจร้องขอความช่วยเหลือ
“ว้ายๆๆ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ขโมยๆๆ”
มัทรีพยายามวิ่งตามแต่ไม่ทัน รถมอเตอร์ไซค์ขับหนีไปไกลแล้ว

หัวขโมยจอดรถมอเตอร์ไซค์ในซอยเปลี่ยว แล้วหยิบมือถือที่ขโมยจากมัทรีขึ้นมากดดูเบอร์โทรศัพท์ที่โทร.ออกล่าสุด เมื่อกดดูกลายเป็นเมมโมรี่ชื่อ นิสา ไว้เป็นเบอร์สุดท้ายที่โทรออกเมื่อครู่
หัวโขมยเปิดหมวกกันน็อกออกด้วยความมึนงง เผยให้เห็นว่าที่แท้เป็นเจนไวย์นั่นเอง
“นิสา เหรอ”

ธีรภาพอยู่ที่บ้านคุยสายกับเจนไวย์ที่โทร.มาจากซอยเปลี่ยว
“ว่าไง ได้เรื่องมะไอ้เจน”
“ได้สิวะ ได้เรื่องใหญ่เลยล่ะว่ะ”
วางสายจากเจนไวย์ไป ธีรภาพเอาแต่ครุ่นคิดหนัก พูดกับตัวเองอย่างมึนงง
“เป็นไปได้ยังไง ที่มัทรีจะบันทึกเบอร์ของศิตางค์ ด้วยชื่อของนิสานอกเสียจาก...”
เขานึกถึงเรื่องราวนับจากวันที่เจอศิตางค์ เธอปรากฎตัวครั้งแรกในงานแต่งงานพงศธรและวิริยา ธีรภาพรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหน วันที่เขานึกถึงนิสาผูกผ้าเช็ดหน้าด้วยกันที่เกาหลี
ศิตางค์ก็ชวนเขาผูกผ้าเช็ดหน้าที่ริมน้ำ ไม่เท่านั้นเขายังเจอศิตางค์ไปไหว้ศักดิ์ชายที่วัด
กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เขาเผลอกอดศิตางค์แล้วละเมอเรียกชื่อนิสาออกมาอย่างคุ้นเคย
เมื่อประมวลเรื่องราวต่างๆ แล้ว ธีรภาพตกใจว่าเป็นไปได้ยังไง ที่ทั้งสองคนจะเป็นคนๆ เดียวกัน
“ศิตางค์คือ นิสา และนิสา คือ ศิตางค์”

ฝ่ายศิตางค์อยู่ในห้องนอนที่คอนโด เดินไปเปิดตู้เซฟหยิบซองเอกสารสำคัญออกมา หยิบเอกสารในซอง มองดูเอกสารนั้น แล้วยิ้มร้ายออกมา
“เอกสารฉบับนี้เหละ ที่จะทำให้แกพังครืนลงมาอย่างไม่มีชิ้นดี อย่าโทษกันนะ พงศธร”

วิริยานั่งอยู่บนรถเข็น คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น ว่ามันคืออุบัติเหตุจริงหรือไม่
พงศธรเข็นรถพาวิริยามาที่หน้าผา สองคนคุยกันมาตามทาง จนวิริยาถามพงศธรเรื่องนิสาที่เกาหลี สุดท้ายเธอหิวน้ำ พงศธรอาสาเดินกลับไปเอามาให้
ระหว่างนี้เองรถเข็นก็ไหลลงไปทางหน้าผา วิริยาตกใจกลัวสุดขีด ลนลานใหญ่ รถเข็นตกหน้าผา แล้วตกลงน้ำดังตูมใหญ่

เสียงรถเข็นตกลงไปในน้ำทะเละทำเอาวิริยาสะดุ้ง หวาดผวากับภาพเหตุการณ์ร้ายอันฝังใจ พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง ว่ามันคืออุบัติเหตุ พงศธรไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดขึ้น
“มันเป็นอุบัติเหตุ มันเป็นอุบัติเหตุ”
พงศธรเดินเข้ามาเงียบๆ เรียกวิริยา
“วิว”
วิริยาสะดุ้ง ตกใจกลัว หันไปเห็นพงศธรเดินมาทางข้างหลังจับรถไว้ ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เป็นไร ผมทำคุณตกใจหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ วิวแค่คิดอะไรเพลินๆ”
พงศธรจับรถเข็นมาที่เตียง อุ้มร่างภรรยาขึ้นนอนห่มผ้าห่มให้อย่างอ่อนโยน
“วิวต้องหยุดคิดทุกเรื่อง คิดได้แค่เรื่องเดียวคือ ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
“ค่ะ”
พงศธรก้มลงหอมหน้าผากวิริยา แล้วลุกไปทางห้องแต่งตัว วิริยาไม่สบายใจ เรียกสามีไว้ ตั้งใจจะถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิสา
“พงศ์คะ”
พงศธรหันมา “มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ...”
พงศธรรอฟัง “หือ?”
วิริยาเปลี่ยนใจไม่ถาม เก็บงำความไม่สบายใจไว้ก่อน
“เผื่อวิวหลับไปก่อน ฝันดีนะคะ”
“กู้ดไนท์ครับ”
วิริยาหมกมุ่นครุ่นคิด คลางแคลงใจเรื่องการเสียชีวิตของนิสาที่เกาหลี ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกันกับอุบัติเหตุที่หน้าผาของเธอ

เช้าวันต่อมา มัทรีลงรถเดินเข้าซอยออฟฟิศ มองซ้าย แลขวาอย่างระแวดระวัง แต่แล้วก็ตกใจอีกครั้ง เมื่อชายคนหนึ่งใส่หมวกกันน็อกเดินมาขวาง มัทรีกรีดร้องเสียงหลง ไม่รู้ว่าเขาคือเจนไวย์
“ว้ายๆๆ อย่าทำไรฉันนะ ไอ้โจรห้าร้อย จะเอาอะไรก็ได้ แต่อย่าทำไรฉัน”
อารามตกใจ มัทรีพยายามปัดป้อง เจนไวย์พยายามบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่เชื่อ
“อย่าร้องไปครับ คุณแมทซี่ ผมเอง เจนไวย์”
“ฉันจะร้อง ปล่อยฉัน”
“ลืมตาสิครับ ผมเจนไวย์”
เจนไวย์ถอดหมวกให้ดูชัดๆ มัทรีลืมตาดู อารมณ์เสียใส่เขาทันที
“โอ้ย แมทซี่หัวใจจะวาย ก็คุณเจนไวย์มาเงียบๆ แถมแต่งตัวแบบนี้ ใครจะไม่ตกใจล่ะคะ”
“โทษทีครับ พอดีผมรีบ เลยลืมถอดหมวกกันน็อก”
“แล้วนี่มาทำไมแถวนี้ล่ะคะ อย่าบอกนะคะว่ามารอแมทซี่”
เจนไวย์ยิงตรง “ครับ ผมมารอคุณ”
มัทรีได้ยินถึงกับหน้าแดง หูชา ขาสั่นทันที
“คุณเจนไวย์มีไรกับแมทซี่รึเปล่าคะ บอกเลย บอกเลยค่ะ แมทซี่พร้อมฟัง บอกเลยค่ะ บอกเลย”
“คุณแมทซี่” เจนไวย์มองซึ้งๆ
“คะ”
“เรื่องของคุณศิตางค์”
มัทรียิ้มค้าง อ้าปากหวอ ใจตุ้มๆ ต่อมๆ
“มี มี อะไรอีกเหรอคะ”
“สิ่งที่ผมจะพูดมันอาจดูเหมือนผมบ้า แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูง”
“คุณเจนไวย์กำลังจะบอกอะไรแมทซี่เหรอคะ”
“คุณศิตางค์กับ...”
มัทรีหวั่นใจ กลัวเขาจะพูดสิ่งที่เธอกลัวออกมา เลยรีบเดินดุ่มๆ ชิ่งหนีไปก่อน
“คุณนิสา คือคนๆ เดียวกัน”
มัทรีหยุดกึกทันที หันกลับมา
“นี่คุณเอาอะไรมาพูด นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดตั้งแต่ฉันเคยได้ยินมาเลย ยัยนิสา กับคุณศิตางค์เนี่ยนะ เป็นคนๆ เดียวกัน ฮ่าๆๆ”
มัทรีหัวเราะออกมา แต่น้ำเสียงฝืดสนิท
“ตลกอ่ะ ตลก”
มัทรีกำลังจะเดินไป เจนไวย์คว้าข้อมือเธอเอาไว้ มัทรีตกใจสะท้านไปทั้งตัว
“คุณมัทรีครับ ผมรู้ว่ามันอาจจะดูก้าวร้าว ไม่สุภาพกับคุณ แต่ผม...”
มือเจนไวย์จับอีกมือของมัทรีใกล้กระเป๋าสะพายของเธอ สองคนมัวแต่มองหน้ากัน จู่ๆ เจนไวย์ก็ถอนมือที่จับออกทันที
“คือ คุณแมทซี่ ผมเป็นอะไรไม่รู้ เหมือนพูดจา ทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอย ผมล่วงเกินอะไรไปหรือเปล่า ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
มัทรีบิดเป็นกุ้ง “ไม่มีไรนี่คะ ไม่ล่วง ไม่เกิน เลยค่ะ ตามสบาย เอ๊ย สบายใจได้ค่ะ”
“อ๋อ ครับ งั้น ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ”
เจนไวย์เดินออกไปอย่างเร่งรีบ ทิ้งมัทรีให้งงงวยต่ออีกครู่หนึ่ง ขณะจะเดินไป แต่กลับเห็นกระเป๋าสะพายของตัวเองเปิดอ้าออกจึงก้มลงไปดู แล้วก็เห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องที่โดนขโมยไปเมื่อวานอยู่ในนั้น มัทรีหยิบมือถือขึ้นมาดู ตาเหลือกตกใจ
“มันเป็นไปได้ยังไง มือถือฉัน กลับมาได้ยังไง แปลกจัง ไม่น่าเชื่อ ก็เมื่อวานมันถูก..เอ๊ะ มันเป็นไปได้ยังไง”
มัทรีงงหนักว่ามือถือของเธอล่องหนกลับมาได้ยังไง

เจนไวย์รีบโทรศัพท์หาธีรภาพทันที
“นี่ไอ้ธี แกให้ฉันเล่นอะไรวะ หัวใจแทบวาย นี่แกคิดวางแผนจะทำอะไรของแก”
เจนไวย์หยิบบัตรประกันภัยกลุ่มของมัทรีขึ้นมาดู
“แล้วนี่แกคิดบ้าอะไร ให้ฉันแอบจุ๊บบัตรประกันภัยกลุ่มของคุณมัทรีเขามา นี่แกรู้ไหม เขาเกือบจับได้ ดีนะที่ฉันหัวไว รอดมาได้”
ธีรภาพคุยสายกับเจนไวย์ขณะยังอยู่ที่บ้าน แต่งตัวเสร็จเตรียมจะไปทำงาน
“ฉันรู้ว่าแกต้องทำได้ ฉันเลือกคนไม่ผิดอยู่แล้ว ฉันแค่อยากสาวข้อมูลทางการแพทย์บางอย่างจากคุณมัทรีไปสู่นิสา ซึ่งแกก็ช่วยฉันสำเร็จแล้ว แกถ่ายรูปบัตรประกันภัยกลุ่มของมัทรีส่งไลน์มาให้ฉันด่วนเลยนะ”
เจนไวย์งง “นี่แสดงว่าแกมีแผนขั้นตอนต่อไปอีกแล้วสิ”
“อืม แน่นอน เออ แล้วพี่เขยแกที่เขาเป็นหมออยู่โรงพยาบาล แกโทร.บอกเขาไว้เลยนะว่าวันนี้บ่ายๆ ฉันจะไปหาเขา”
“เออ ฉันโทร.ไปบอกไว้ให้แล้ว ว่าแต่แกคิดจะทำอะไรของแก”
“เอาน่า ไว้สำเร็จแล้ว ฉันจะเล่าให้แกฟัง อย่าลืมเอาบัตรไปคืนคุณมัทรีด้วยนะ ขอบใจมาก”
ธีรภาพวางสายไป
“อะไรวะ ตอนเอามาก็ขาดทุนจะแย่ ตอนคืนจะเสียหนุ่มหรือเปล่านี่ อึ๋ย”
เจนไวย์คิดถึงมัทรีแล้วอดเสียวสยองไม่ได้

วางสายจากเจนไวย์ธีรภาพเดินไปหยิบกล่องบนโต๊ะทำงาน เปิดออกเผยให้เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง
หวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนศิตางค์ไปเยี่ยมกรเกียรติแล้วถูกวิริยาตีด้วยดอกไม้ เลือดออกบริเวณต้นคอโดยที่เธอไม่รู้ตัว เมื่อธีรภาพเห็นจึงรีบเช็ดเลือดให้ด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขา
ธีรภาพหยิบผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดขึ้นมามอง นิ่งคิด
“กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะบอกเองว่า ผมคิดไม่ผิด คุณดิ้นไม่หลุดแน่ นิสา”
ธีรภาพยิ้มบางๆ อย่างมีความหวัง โดยไม่รู้ตัว

ด้านพงศธรคุยโทรศัพท์มือถือกับโบรกเกอร์ที่ดูแลพอร์ตส่วนตัวของเขาในตลาดหลักทรัพย์
“อะไรนะ มีรายย่อยเทขายออกมาเรื่อยๆ งั้นเหรอ”
สมภพที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับลูกน้องที่ส่งข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน
“กลุ่ม เคที กรุ๊ป เป็นบริษัทเดียวที่เราซื้อหุ้นของรอยัลแอร์ไลน์หมดเลยงั้นเหรอ เท่าไรนะ 25.5 % แล้วเหรอ”
“ปิดการซื้อของ เคที กรุ๊ป ให้ได้นะ ถ้ามีหุ้นของรอยัลแอร์ไลน์ลอยในตลาดช้อนมาให้หมด”
ทั้งพงศธรและสมภพต่างวางสายไปอย่างหัวเสีย
“เราชะล่าใจเกินไปหน่อย ไม่คิดว่าพวกมันจะเล่นแผนนี้ แต่ปล่อยให้มันซื้อของแพงในตลาดไปเถอะ สุดท้ายก็มีเหลืออยู่แค่นั้นแล้วละ” พงศธรว่า
“นั่นสิ เพราะอีก 51 % ก็เป็นของคนในตระกูลถกลเกียรติดำรงทั้งหมด แล้วตอนนี้คุณพงศธรก็เป็นคนถือไว้ทั้งสิ้น”
“แต่เราก็มิควรจะชะล่าใจนัก ผมฝากคุณสมภพเช็คข้อมูลกลุ่มบริษัท เคที กรุ๊ป ในเกาหลีทั้งหมด ว่าการทำธุรกิจอะไร ต้องการเอาหุ้นของรอยัลแอร์ไลน์ทั้งหมดไปทำไม”
“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
สมภพลุกเดินออกไป พงศธรยังกังวลการมาของบริษัทเคทีกรุ๊ป ในครั้งนี้

ฟากธีรภาพอยู่ในห้องทำงาน ดูความเคลื่อนไหวในตลาดหลักทรัพย์แล้วก็ตกใจเช่นกัน มีอเนกกำลังกดเครื่องคิดเลขคำนวณจำนวนหุ้นทั้งหมด
“จากที่ผมคำนวณดูทั้งหมดแล้ว ต่อให้เทหุ้นที่มีในตลาดก็ไม่มีใครสามารถถือหุ้นมากกว่าคนในสกุลถกลเกียรติดำรงได้เลยครับ”
“อำนาจการบริหารไม่มีทางเปลี่ยนมือได้เลย”
“นอกเสียจาก...”
ธีรภาพคิดเช่นกันเสริมว่า
“คุณพงศธรเอาหุ้นของตัวเองออกไปให้คนอื่น หรือเกิดการซื้อขายกันขึ้น”
“ซึ่งสถานการณ์นี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่คุณพงศธรจะขยับตัวทำอะไร เพราะเสี่ยงต่อความมั่นคงของตนเองอย่างมากที่สุด”
“นั่นก็จริง แต่ทำไมผมถึงสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับรอยัลแอร์ไลน์”
ธีรภาพคิดหนักกับเรื่องนี้ เป็นห่วงกิจการที่พ่อเป็นคนสร้างมา
“เดี๋ยวผมจะออกไปธุระ บ่ายๆ จะกลับเข้ามานะครับ”
ธีรภาพเดินออกไปจากห้องทำงาน
ในเวลาต่อมา ธีรภาพเดินเข้าในโถงโรงพยาบาล เจอหมอพี่เขยของเจนไวย์ที่รออยู่แล้ว เขาไหว้ทักทายแล้วส่งถุงพลาสติกที่ข้างในมีผ้าเช็ดหน้าเปื้อนเลือดของศิตางค์อยู่ในนั้น สองคนพูดคุยกันสักครู่ ธีรภาพจึงไหว้ลากลับไป

ไม่นานนัก ธีรภาพพาตัวเองมานั่งรอศิตางค์ที่โซนรับแขกในออฟฟิศสกายเจ็ต ท่าทีดูร้อนรน ศิตางค์เดินคุยงานลงมาเจอพอดี ถามอย่างแปลกประหลาดใจ
“คุณมาหาฉันเหรอคะ”
ธีรภาพพยักหน้า
“อ้าว ทำไมไม่มีใครบอกฉัน”
ศิตางค์หันไปสั่งงานเลขา “เดี๋ยวเอาเอกสารทั้งหมดวางไว้ที่โต๊ะ อย่าลืมส่งอีเมลไปที่เกาหลีด้วย”
จากนั้นจึงหันมาคุยกับธีรภาพต่อ
“ไงคะ ลมอะไรหอบคุณมาถึงที่นี่ได้”
“ผมมารบกวนคุณหรือเปล่า เพราะผมไม่ได้นัดไว้ก่อน”
“ก็มาแล้วนิคะ มีไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”
“คุณพอจะมีเวลาว่างสักชั่วโมงไหมครับ”
ศิตางค์ทำหน้างง ว่าเขาจะมาไม้ไหน

ธีรภาพลงรถเดินนำศิตางค์เข้ามาในวัด ศิตางค์สัพยอกเอาว่า
“ทำไมคะ คุณเห็นฉันร้อนรุ่มนักเหรอ ถึงจะให้ฉันมาสงบจิตใจที่วัด”
“เปล่าครับ”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วพาฉันมาทำไมละ”
“ผมแค่อยากให้คุณได้รู้จักกับเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง”
ศิตางค์รู้ว่าธีรภาพหมายถึงใคร
“เพื่อนสนิท”
ธีรภาพพยักหน้า “เวลาที่ผมเห็นคุณ ได้คุยกับคุณ ทำให้ผมนึกถึงเธอ โดยเฉพาะ...”
“โดยเฉพาะอะไรเหรอคะ”
“ดวงตาของคุณกับเธอ”
ศิตางค์อึ้งอีกครั้ง ธีรภาพเดินออกไป ศิตางค์ได้แต่มองตาม

ธีรภาพเดินนำมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้ากรอบรูปศักดิ์ชาย และกรอบรูปนิสา ข้างกำแพงโบสถ์ภายในวัด พลางธีรภาพพยักหน้าให้ศิตางค์ตามมา
ศิตางค์เดินมาหยุดยืนตรงหน้ารูปพ่อ ความรักความอาลัยผุดขึ้นมาเป็นริ้วๆ ฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลรินออกมาให้เขาเห็นสุดกำลัง
“นี่ไงครับ เพื่อนของผม เธอชื่อนิสา ผู้หญิงที่ผมเฝ้าตามหาเธอ ตั้งแต่ผมยังไม่เคยเห็นหน้าเธอด้วยซ้ำ”
ศิตางค์งงเพราะไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“คุณเชื่อไหมครับ ว่าเธอยังไม่เคยรู้เลยว่าผมแอบชอบเธอ ตั้งแต่ผมเห็นเพียงด้านหลังของเธอครั้งแรก”
ศิตางค์อึ้งหนัก เพิ่งรู้ว่าธีรภาพรู้สึกยังไงกับเธอ
“ฉันเชื่อค่ะ เชื่อว่า...นิสา...ไม่รู้”
“แต่เธอโชคร้าย ต้องมาเสียชีวิตที่ประเทศเกาหลีเมื่อ 8 เดือนก่อน โดยผมไม่ได้ แม้แต่บอกลาเธอ”
“ฉัน...ฉันเสียใจด้วยนะคะ”
“ครับ ผมคิดถึงเธอทุกวัน ตั้งแต่เราไม่ได้เจอกัน แต่คุณรู้ไหมครับ ช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้คิดถึงเธอเลย”
ศิตางค์แปลกใจ อดถามไม่ได้
“ทำไมเหรอคะ”
ธีรภาพมองหน้าศิตางค์ นิ่งๆ
“ก็เพราะผมเจอคุณ”
ศิตางค์อึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“ศิตางค์ครับ ผมได้เห็นคุณ มันเหมือนผมได้เห็นนิสา ภายนอกคุณอาจไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่มันปกปิดกันไม่ได้...แววตา...ตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณทำผมหัวปั่น คิดไปมาจนเหมือนคนสติเสีย ทุกวันก็มีแต่เรื่องคุณวนเวียนอยู่ในหัว แต่ผมก็ยังยินดี เพราะการได้อยู่ใกล้คุณ มันคุ้มค่ามากกว่าสิ่งใด”
ศิตางค์ตกใจเพราะไม่เคยรับรู้ความรู้สึกลึกๆ ของธีรภาพมาก่อนเลย
“คุณทำให้โลกของผมหลังจากไม่มีนิสา มันกลับมีชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ แต่เวลาที่คุณอยู่กับเขา...”
ศิตางค์รู้ทันทีว่าเป็นใคร พึมพำชื่อออกมา “พงศธร”
ธีรภาพไม่ตอบรับใดๆ
“มันก็ทำผมเจ็บลึกๆ ได้เหมือนกันนะ คุณรู้มั้ย”
ศิตางค์พยักหน้ารับเอาคำอย่างขื่นขมใจ วินาทีนั้นศิตางค์รู้สึกอึดอัดเต็มกลืน และขยับตัวพาตัวเองไปให้พ้นๆ จากตรงนี้ แต่แล้วธีรภาพก็เรียกเธอไว้
“นิสา”
นิสาในคราบศิตางค์หยุดเท้าทันทีที่ได้ยินธีรภาพเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ไม่ยอมหันมา
“ไม่ว่าคุณจะบอกคนทั้งโลกว่าคุณคือใครก็ตาม แต่คุณคือ นิสาของผม”

ศิตางค์นิ่งงันไป พูดกับธีรภาพอีกครั้งโดยไม่หันมามอง ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
“นิสาได้ตายไปแล้ว มีแต่ศิตางค์ แล้วฉันก็ไม่ใช่นิสาของคุณอีกต่อไป ลืมเธอซะเถอะค่ะ”
ศิตางค์เดินนำออกไป ทิ้งธีรภาพให้ยืนอึ้งอยู่คนเดียว

ธีรภาพขับรถมาส่งศิตางค์ที่ออฟฟิศ ตลอดทางทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลย ธีรภาพลงรถมาเปิดประตูให้ ศิตางค์ก้าวลงมา
พงศธรขับรถมาจอดด้านหลังบีบแตรเสียงดังใส่ คล้ายโมโหหึงสุดขีด รีบกระโจนลงจากรถมาหาศิตางค์ถามเสียงขุ่น
“นี่คุณไปไหนกันมา ผมโทร.หาคุณตลอด แต่คุณก็ไม่รับสายผม คุณจงใจหลบหน้าผมนะศิตางค์ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง”
“ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น ฉันขอตัว”
ศิตางค์โกรธไม่น้อยที่พงศธรคุกคาม เดินหนีเข้าตึกไป พงศธรฉุนขาด คว้าแขนศิตางค์ดึงไว้ให้หันกลับมา
“แต่คุณมีเวลาไปกับมันสองต่อสอง มันหมายความว่ายังไง”
ธีรภาพฉุนกึก
“พูดจาอะไรให้กียรติคนอื่นบ้างสิครับ ไม่ให้เกียรติผม อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติคุณศิตางค์บ้าง”
“ฉันให้เกียรติเสมอกับคนที่คู่ควรกับมัน”
“ถ้าจะให้เกียรติใคร ผมว่าคุณให้เกียรติคุณวิริยาภรรยาคุณที่นอนป่วยอยู่ที่บ้านบ้างจะดีกว่าไหมครับ”
พงศธรเลือดขึ้นหน้า ปล่อยแขนศิตางค์แล้วหันมาต่อยหน้าธีรภาพโครมใหญ่ จนร่างธีรภาพเซไป
ธีรภาพไม่ยอมแล้ว ลุกขึ้นมาต่อยสวนกลับพงศธรสองหมัดจนพงศธรเซไป
ศิตางค์ตกใจที่เหตุการณ์ลุกลาม พยายามร้องเรียกให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะต่อยตีกัน แต่ไม่แป็นผล
ธีรภาพได้โอกาสขึ้นคร่อมต่อยหน้าพงศธรไม่ยั้ง พร้อมกับระเบิดความรู้สึกที่มีต่อพงศธรออกมา
“นี่สำหรับคนชั่วๆ อย่างแก”
พนักงานในออฟฟิศได้ยินเสียงเอะอะ รีบออกมาดูและช่วยกันแยกทั้งสองคนออกจากกันตามที่ศิตางค์บอก
“คอยดู ฉันจะทำให้แกอยู่ที่รอยัลแอร์ไลน์ไม่ได้เป็นสุขแน่” พงศธรคาดโทษ
“คนเลวๆ อย่างแก น่าจะอยู่ไม่เป็นสุขมากกว่า ไม่นานสิ่งที่แกทำไว้ทั้งหมด มันจะตามมาสนองแก ไม่ต้องถึงรอชาติหน้าหรอก”
พงศธรยิ่งโมโหในคำพูดธีรภาพ แต่ไม่กล้าทำอะไรอีก เพราะกลัวภาพลักษณ์ต่อหน้าศิตางค์ ได้แต่ขู่กลับอีกว่า
“แกจำคำของฉันไว้นะ”
“ได้ ฉันจะรอ”
พงศธรโมโหสุดขีด มองหน้าศิตางค์เชิงตัดพ้อ แล้วเดินกลับไปที่รถ ขับทะยานออกไปทันที
ศิตางค์เดินมาหาดูอาการธีรภาพ
“เป็นไงบ้าง ฮึ เพิ่งเห็นคุณเอาเรื่องคนก็วันนี้แหละ”
ศิตางค์เห็นธีรภาพปากแตกมีเลือดซึมออกมาก็ตกใจ
“อุ๊ย คุณเลือดออกนี่”
ธีรภาพมองหน้าศิตางค์อึ้งๆ งงๆ

ธีรภาพนั่งอยู่ในห้องทำงาน ศิตางค์วางกล่องปฐมพยาบาลมา ใช้ก้านสำลีจุ่มทิงเจอร์ทาแผลที่มุมปาก ธีรภาพเจ็บแสบร้องลั่น
“โอ๊ยๆๆ”
“แหมทีงี้มาทำร้องโวยวาย ทีเมื่อกี้ต่อยเอาต่อยเอาไม่เห็นเจ็บเลย”
“ก็เมื่อกี้มันโมโหนิ เลือดขึ้นหน้า ก็เขาดันมาว่าคุณ”
“เขาว่าฉัน เขาก็ไม่ได้ว่าคุณสักหน่อย เดือดร้อนเอง แล้วเป็นไงล่ะ”
ศิตางค์นึกหมั่นไส้แกล้งกดสำลีลงไปที่มุมปาก ธีรภาพร้องโอดโอย จับมือศิตางค์ข้างที่จับสำลีหมับ ศิตางค์หัวเราะชอบใจ ทั้งสองคนมองตากันนิ่งนาน โดยที่มือยังจับกันอยู่อย่างนั้น
ธีรภาพมองตาศิตางค์ซึ้ง แล้วพยายามเลื่อนหน้าไปใกล้ๆ จะจูบปากศิตางค์ เกือบจะถึงปากต่อปาก แต่แล้วศิตางค์ก็เบี่ยงหลบ แล้วลุกขึ้นทันที
ธีรภาพรู้สึกว่าตัวเองผิด กลายเป็นผู้ชายฉวยโอกาส
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
ลึกๆ ศิตางค์รู้สึกขัดเขินมาก เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณกลับไปเถอะค่ะ ฉันมีงานต้องทำอีกมาก”
ธีรภาพจำใจกลับ แต่ยังไม่วายหยอดคำหวานขอบคุณ
“ขอบคุณนะครับ”
“ทิงเจอร์ไม่กี่บาท ไม่เป็นไรค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับวันพิเศษวันนี้ครับ”
ศิตางค์หน้าแดง ธีรภาพลุกเดินออกไป ศิตางค์ยิ้มพรายเต็มใบหน้า นานเท่าไหร่แล้ว ที่เธอไม่เคยมีความรู้สึกเป็นสุขแบบนี้

ธีรภาพเดินออกมาที่รถหน้าออฟฟิศ แล้วหงุดแหงนมองขึ้นไปทางห้องทำงานศิตางค์ บังเอิญว่าศิตางค์ยืนมองเขาอยู่เช่นกัน ศิตางค์หลบวูบ ออกไปพ้นจากหน้าต่างทันที อายแสนอายที่เขาเห็นว่าเธอแอบมอง
“ขอบคุณนะครับ นิสา”
ธีรภาพยิ้มบางๆ บอกใครที่อยู่บนนั้น แล้วขึ้นขับรถออกไป ศิตางค์เดินออกมามองตาม ยิ้มบางๆ ให้กับตัวเองอย่างสุขใจ

ตอนเย็นวันนั้น เจนไวย์รู้เรื่องแล้วแกล้งวางมือหนักๆ ลงบนบ่าธีรภาพจังๆ จนธีรภาพร้องโอดโอย
“โอ๊ยๆๆ เบาๆ ยังระบมอยู่เลย”
“สมน้ำหน้า อวดเก่งโชว์สาวดีนัก เป็นไงละ”
“แต่มันก็คุ้มนะโว้ย รู้งี้ยอมให้ไอ้พงศธรมันต่อยอีกซักสองสามหมัด” ธีรภาพยิ้มนิดๆ
“หวังเรียกคะแนนจากคุณศิตางค์เหรอ”
ธีรภาพไม่ยอมตอบ จนเจนไวย์จับไต๋ได้ ยิ้มล้อ
“ไอ้นี่ ร้ายจริงๆ ถามจริง แกคิดเป็นจริงเป็นจังกับคุณศิตางค์จริงๆ เหรอวะ”
“ถ้าคุณศิตางค์เป็นคนเดียวกับที่ฉันเชื่อ ฉันคงไม่ต้องตอบอะไรแกมาก”
“แกจะสรุปง่ายๆ ว่าไอ้ธี แกชอบคุณศิตางค์งั้น”
“ถามย้ำอะไรนักหนา อายเป็นนะโว้ย”
ธีรภาพวิ่งไล่จับเจนไวย์ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีนามายืนฟังเรื่องของศิตางค์ตั้งแต่ต้นแล้ว
“หมายความว่าไง ลูกพี่กับยัยศิตางค์นั่น”
ธีรภาพตกใจหยุดไล่จับกัน
“คือ...”
“ทำไมลูกพี่ต้องหลอกกันด้วย...ทำไมอ่ะ”
มีนาเสียใจจนพูดไม่ออก วิ่งร้องไห้หนีไป
ธีรภาพงงๆ จะทำไงดี เจนไวย์พยักพเยิดเชิงบอกว่า ไปจัดการคุยกับมันให้เด็ดขาดซะทีเถอะ
ธีรภาพถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงถึงเวลาต้องคุยกันตรงๆ เสียแล้ว

มีนาวิ่งมาหยุดร้องไห้ต่อในโรงซ่อมบำรุง ธีรภาพเดินตามมา รู้สึกผิดไม่น้อยที่เห็นมีนาเสียใจขนาดนี้
“เข้าไปได้ไหม”
มีนาเคืองไม่หาย
“ไม่ต้องเข้ามา จะเดินมาทำไม ถ้าไม่เคยคิดจะเดินเข้ามาตั้งแต่แรก วันนี้จะเดินมาทำไม”
ธีรภาพเจอเหน็บแนมเข้าถึงกับพูดไม่ค่อยไม่ชั่วขณะหนึ่ง
“เพราะเธอไม่ฟังพี่ตั้งแต่วันแรก วันนี้พี่ถึงต้องมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง”
ธีรภาพมองมีนาอย่างจับสังเกต
“พี่เดินเข้าไปได้หรือยัง”
“ใครห้ามไม่ให้เข้ามาล่ะ”
“อ้าว..ก็...” ธีรภาพเดินเข้ามาใกล้ๆ “นี่ พี่จะบอกอะไรให้นะ ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน พี่รู้สึกยังไงกับเธอ วันนี้ความรู้สึกนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม มันไม่เคยเปลี่ยน แล้วมันก็เปลี่ยนไม่ได้”
พร้อมกับว่าธีรภาพจับบ่ามีนาให้หันมามองตรงๆ เพื่อพูดกันให้รู้เรื่อง
“เธอเหมือนน้องสาว ที่พี่ต้องรัก ต้องดูแลอย่างดี เพราะมันเป็นทั้งความผูกพันและหน้าที่ของพี่ชายต้องพึงกระทำต่อน้องสาว พูดแบบนี้ เข้าใจพี่ใช่ไหม”
“แล้วทำไมกะยัยศิตางค์ ลูกพี่ไม่คิดเป็นน้องสาวละ เชอะ มันก็แค่สาว แค่สวย แค่รวย มันต่างกับฉันมากนักหรือไง สองตาของลูกพี่ถึงมองแต่มัน”
“อย่าพูดถึงคนที่เราไม่รู้จักด้วยคำพูดเหล่านี้”
มีนาหน้าบึ้งใส่ธีรภาพ
“เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ เธอบังคับใจพี่ไม่ได้ และพี่ถึงไม่บังคับใจเธอ ให้เธอเลิกคิดแบบนี้ แต่แค่อยากบอกเธอว่าเรื่องของเรา มันเป็นไปไม่ได้ ยอมรับซะทีเถอะ”
“ลูกพี่จะพูดอะไรก็พูดไป คิดอะไรก็คิดไป ฉันไม่ได้คิดด้วยนี่ อย่ามาบังคับใจกันให้ยาก”
มีนาปฎิเสธข้างๆ คูๆ ยังไม่ยอมรับความจริง ผลักอกธีรภาพแล้ววิ่งหนีไป

ทิ้งให้ธีรภาพต้องอยู่กับความอึดอัด ยุ่งยากใจต่อไป

อ่านต่อ ตอนที่ 23
กำลังโหลดความคิดเห็น