xs
xsm
sm
md
lg

เงาเสน่หา ตอนที่ 20

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงาเสน่หา ตอนที่ 20

วิริยานั่งในรถเข็นอยู่ที่หน้าห้องตรวจการตั้งครรภ์ แผนกสูตินรี มีพยาบาลคอยดูแล เปรมจิตนั่งอยู่ใกล้ๆ เป็นเพื่อนลูก พอถึงคิวกำลังจะเข้าห้องตรวจ พงศธรก็โผล่มาพอดี เดินเข้ามาหาภรรยา วิริยาออกท่ามึนตึงใส่สามี ส่วนเปรมจิตไม่แม้แต่จะมองหน้าลูกเขย

พงศธรเข้ากอดเอาใจภรรยา เขามั่นใจว่าลูกน่าจะทำให้วิริยาลืมเรื่องหุ้นบริษัทไปได้ เพราะเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันโดยแท้จริงแล้ว
“คุณโอเคใช่ไหม”
“วิวคิดว่าคุณจะไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ”
พงศธรอึ้งไป พยายามข่มความรู้สึก และขยับไปเข็นรถให้วิริยา เปรมจิตมองค้อน เหม็นขี้หน้าจนไม่อยากเสนา
“ผมขอโทษ แต่...”
วิริยาตัดบท “เข้าไปข้างในเถอะ”
พยาบาลเดินตามมาส่ง จนทุกคนเข้าห้องตรวจไปจึงปิดประตูลง ในนั้นมีคุณหมอรออยู่

จอมอนิเตอร์ตรงหน้าทุกคนแสดงภาพตัวอ่อนของทารกที่เริ่มเป็นตัวขึ้นมาแล้ว หมอใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์ วิริยามองจอด้วยความตื่นเต้น เปรมจิตก็เช่นกัน พงศธรยังไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็น
หมออธิบายไปเรื่อยๆ ว่า “ดูจากภาพ ก็น่าจะประมาณสองเดือนกว่าๆ แล้วละครับ ดูแล้วก็โอเคอยู่นะครับ แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลตรวจมดลูกขอคุณวิริยาไม่ค่อยแข็งแรง อาจส่งผลให้กับน้องได้ ผมอยากให้คุณวิริยาอย่าเพิ่งเดินมาก หรือออกกำลังอะไรตอนนี้ ควรทำใจให้สบาย ไม่อยากให้เครียดนะครับ หาเวลาเพื่อพักผ่อนร่างกายและจิตใจ ทุกอย่างคงจะดีขึ้นครับ”
“ค่ะ”
วิริยารับเอาคำ แม้ว่าจะอดเป็นกังวลกับคำพูดของหมอไม่ได้ แต่หล่อนก็ดีใจเหลือเกินต่อข่าวดีนี้มองดูชีวิตน้อยๆ ในจอแล้วน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความปลื้มปิติ พงศธรรู้สึกสับสน จ้องมองจอด้วยสายตานิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้ายใดๆ
จนเมื่อวิริยาหันมามอง พงศธรจึงฝืนยิ้มให้ แต่พอหล่อนหันหน้ากลับไป เขาก็กลับเข้าสู่โหมดมึนงงเหมือนปลาโดนทุบหัวอีก มันไม่ควรจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องจัดการ

กรเกียรติยังคงนอนนิ่งอยู่ในห้องไอซียู ไม่มีท่าทีจะฟื้น วิริยามาเยี่ยมนั่งอยู่ข้างๆ เตียง มองพ่อด้วยความคิดถึง เมื่อมีลูกยิ่งทำให้หล่อนคิดถึงพ่อ เข้าใจพ่อมากขึ้น
“พ่อคะ พ่อรู้อะไรไหมคะ ว่าวันนี้เป็นวันที่วิวคิดถึงพ่อ อยากเจอพ่อ อยากคุยกะพ่อมากที่สุด เพราะอะไรนะเหรอคะ ก็เพราะวันนี้วิวรู้แล้วว่า พ่อรักวิวมากแค่ไหน”
วิริยาร้องไห้ครวญคร่ำกับร่างไร้สติของกรเกียรติ อย่างน่าสงสาร
“พ่อคะ พ่อต้องรีบตื่นมาดูหน้าหลานคนแรกของถกลเกียรติดำรงด้วยตาของพ่อเองนะคะ พ่อต้องรีบตื่นนะคะพ่อ...พ่อขา...วิวรักพ่อค่ะ”
วิริยาซบหน้าลงบนมือพ่อ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา
ธีรภาพยืนอยู่หน้าห้องได้ยินทุกคำโดยบังเอิญ รู้สึกสงสารวิริยาที่ขาดพ่อ ไหนกำลังจะมีลูก ในสถานการณ์ชีวิตครอบครัวที่ยังสั่นคลอน

ฝ่ายศิตางค์นั่งอยู่ในห้องทำงานเซ็นเอกสารเสร็จ นึกทบทวนชีวิตตัวเอง ที่ต้องมานั่งทำงานในที่แห่งนี้ ทั้งยังคอยวางแผนอยู่ตลอดเวลา จนได้ข้อสรุปว่าทุกอย่างมาจากความเจ็บแค้นต่อพงศธร ที่ลืมคำสัญญา และการไม่รับผิดชอบชีวิตพ่อของเธอ
“อีกไม่นาน ฉันจะนั่งนับวันรอที่ชีวิตคู่ของแกพังทลาย พงศธร”
สีหน้าศิตางค์เคียดแค้นสุดจะประมาณ ขณะกดมือถือหาพงศธร
“คุณพงศธรเหรอคะ”

ฟากธีรภาพอ่านเอกสารการสั่งอะไหล่ทั้งหมดอยู่ในห้องทำงาน แต่ในหัวกลับหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องศิตางค์ เห็นหัวข้อการซ่อมบำรุงที่มีการประมาณการจากสกายเจ็ต ในแฟ้ม เลยเรียกอเนกมาเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“ทางเราประเมินการซ่อมบำรุงในส่วนของเครื่องบินเล็กที่ร่วมธุรกิจกับ สกาย เจ็ต ของคุณ...”
อเนกตอบให้ว่า “คุณศิตางค์ครับ”
“อ๋อ นั่นแหละครับ เราประเมินค่าใช้จ่ายของปีนี้ใส่ลงไปด้วยเลยเหรอครับ”
“ครับ เพราะงานน่าจะเกิดในไตรมาสแรกเลย”
ธีรภาพเข้าเรื่อง “อ๋อ...เออ...ผมสงสัยว่าคุณศิตางค์ เธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมผมเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อ และข้อมูลของเธอเลย แหมแย่จังมาร่วมธุรกิจกับเรา แต่ผมกลับไม่รู้จักเธอเลย”
“นั่นคือ สิ่งที่ท่านประธานกรเกียรติถึงไม่สนับสนุนการร่วมธุรกิจครั้งนี้ของรอยัลแอร์ไลน์ กับ สกาย เจ็ต เพราะเรามีข้อมูลเพียงด้านเดียวจากบริษัทแม่ของ สกาย เจ็ต ที่เกาหลี แต่ข้อมูลบุคคลของคุณศิตางค์ในฐานะผู้บริหารกลับไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้เลย”
ธีรภาพพยักหน้าหลุดปากพึมพำกับตัวเองออกมา “อืม มิน่า ศิตางค์คุณเป็นใคร”
อเนกได้ยินไม่ถนัด “คุณธีรภาพว่าอะไรนะครับ”
“เออ เปล่าๆ ครับ ไม่มีอะไร”
ไลน์จากมือถือธีรภาพดังขึ้น เป็นไลน์จากเจนไวย์
“ท่านผู้บริหาร ข้าหิวแล้ว จะลงมาได้ยัง รอนานล่ะ”
“เดี๋ยวผมของลงไปทานกลางวันก่อนนะครับ”
ธีรภาพบอกคุณเลขา แล้วรีบเลี่ยงออกจากห้องไปทันที

ธีรภาพนั่งกินกลางวันอยู่กับเจนไวย์และมีนาที่ร้านอาหารในตึกรอยัลแอร์ไลน์
“นึกว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสได้กินข้าวกับท่านผอ.อีกซะแล้ว”
“นี่เลิกแขวะซักทีดีไหม จะกินดีๆ หรือจะกินทั้งน้ำตา”
“แหมท่านก็ แหย่นิดเดียว อย่าถึงกับต้องไล่ออกเลยนะครับ”
เจนไวย์ยังยั่วไม่เลิก จนธีรภาพจะเอาช้อนเคาะกะโหลก
“นี่เฮียก็เลิกแหย่ลูกพี่ได้แล้ว” มีนาว่า
เจนไวย์หมั่นไส้ “นี่แก ปกป้อง ออกรับ สยายปีก แตะต้องไม่ได้”
“ก็มันจริงนี่ พูดไม่หยุด”
เจนไวย์ยังฮึดฮัดไม่หยุด จนเห็นธีรภาพส่งซิกให้เคลียร์มีนาออกไปจากโต๊ะ เจนไวย์รู้ทันรับลูกต่อ เลย แกล้งบอกมีนาว่า
“โอ๊ย อยากกินน้ำปั่น นี่ไปซื้อน้ำแตงโมปั่นให้เฮียหน่อย ขอหวานๆ นะจะได้ชื่นใจ”
“อ้าว เฮียมีขา ทำไมไม่เดินเองละ”
“เฮ้ย ไอ้นี่ ใครว่าฉันอยากกินเอง ท่านผอ.ท่านอยาก...จะไปมะ”
“แหมก็บอกสิว่าของลูกพี่ รอเดี๋ยวนะ” มีนากระดี๊กระด๊ามีแรงขึ้นมาทันควันจนเจนไวย์หมั่นไส้
“โห ไอ้นี่ ลำเอียงเห็นๆ”
มีนาลุกออกจากโต๊ะไป เจนไวย์มองตาม รีบขยับมาสุมหัวคุยกับธีรภาพ
“ฉันแค่สงสัยว่าศิตางค์กับนิสา เกี่ยวข้องอะไรกัน”

ธีรภาพเล่าให้เจนไวย์ฟังว่า วันที่เขาไปเยี่ยมเคารพวิญญาณนิสา เขาเห็นกับตาว่าศิตางค์ยืนอยู่หน้าสถูปเก็บอัฐิของศักดิ์ชายตรงริมกำแพงวัด
“วันนั้นฉันไปที่วัดที่เก็บอัฐิของนิสา แล้วฉันก็พบคุณศิตางค์ เธอไปไหว้อัฐิของพ่อของนิสา”
ธีรภาพนึกเรื่องราววันนั้นแล้วคิดหนัก เจนไวย์พยายามช่วยนึก ว่านิสากับศักดิ์ชาย และ ศิตางค์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร
“ฉันก็ไม่แน่ใจว่าผู้หญิงทั้งสองคนเกี่ยวข้องกันตรงไหน”
“มัทรีน่าจะเป็นกุญแจดอกแรกที่จะไขประตูปริศนาบานแรก”
ธีรภาพเห็นด้วยกับความคิดนี้ของเจนไวย์
สายตาธีรภาพมองลงไป เห็นศิตางค์เดินเข้ามาในตึกรอยัลแอร์ไลน์พอดี
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะ ลืมไปว่ามีเอกสารต้องเตรียมประชุม”
ธีรภาพรีบลุกเดินออกไปดักศิตางค์ทันที
“อ้าว เฮ้ย นึกจะมาก็มา จะไปก็ไป อะไรฟะ”

ศิตางค์เดินเข้ามาในโถงล็อบบี้รอยัลแอร์ไลน์ ในขณะที่ธีรภาพรีบวิ่งออกมาจากทางร้านอาหาร

ศิตางค์ขึ้นบันไดเลื่อนมา ธีรภาพรีบเดินมาดักหน้ากำลังจะอ้าปากทัก แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นพงศธรยืนรอรับอยู่ที่หัวบันไดเลื่อนแล้ว ทั้งสองยิ้มให้กัน
“ยินดีต้อนรับสู่รอยัลแอร์ไลน์”
“แหม รู้สึกเกรงใจจัง ที่ระดับซีอีโอของรอยัลแอร์ไลน์ มารอต้อนรับฉันด้วยตัวเอง”
พงศธรยิ้มให้ “ผมทำให้กับเฉพาะคนพิเศษเท่านั้นครับ โดยเฉพาะคุณ”
ศิตางค์ยิ้มตอบ พงศธรผายมือเชิญไปทางลิฟต์ สองคนเดินไปขึ้นลิฟต์ด้วยกัน ธีรภาพมองตามสองคนด้วยอาการผิดหวัง ปนหมั่นไส้ทั้งคู่

ออกจากลิฟต์ พงศธรเดินนำพาศิตางค์มาที่รอยัลอายส์ ทั้งสองยืนดูวิวของอาณาจักรรอยัลแอร์ไลน์
“ที่นี่คือ รอยัลอายส์ ดวงตาของรอยัล สำหรับคนพิเศษจริงๆ”
“ใครที่มาที่นี่ ต้องพิเศษมากๆ สำหรับคุณรึเปล่าคะ”
“แน่นอนสิครับ เพราะดวงตาคู่นี้ เลือกมองเฉพาะคนพิเศษ คนที่ควรคู่เท่านั้น”
พงศธรเดินรุกเข้าหาศิตางค์
“ดวงตาคู่นี้น่าสนใจจนฉันอยากค้นหาขึ้นมาแล้วสิคะ”
ศิตางค์หว่านเสน่ห์ใส่ พงศธรรุกจนศิตางค์ถอยหลังชนกระจกผนัง สองคนประชิดกัน
“มันต้องกล้าหน่อยไหมครับ”
พงศธรค่อยๆ ปลดเสื้อคลุมไหล่ศิตางค์ออกทีละข้าง ซุกหน้าไปตามลำคอระหงของเธอ แต่แล้วจู่ๆ เขากลับรู้สึกหน้ามืด พรั่งพรูความต้องการออกมา
“ศิตางค์ คุณปั่นหัวผม คุณทำจนผมแทบคลั่ง คุณทำให้ผมหลง ผมแทบอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ เป็นของผมนะครับ”
ศิตางค์ทำเป็นเคลิ้มตาม จับมือของพงศธรมากุมเจอแหวนแต่งงานเข้า ศิตางค์หมดอารมณ์ทันที พงศธรจับสังเกตุได้
“ศิตางค์ คุณ”
“เรื่องของเราจะไม่มีทางเกิดขึ้นคะ ไม่มีวัน”
“ผมเสียใจ”
ศิตางค์เดินไปแต่งตัวไป ทำเป็นเหมือนรู้สึกเสียใจ และนึกละอายใจที่มายุ่งกับสามีชาวบ้านเต็มประดา พงศธรมองตามตาละห้อย รู้สึกผิดที่ยังไม่ได้เคลียร์ตัวเองสักที
ศิตางค์รีบเดินเข้าลิฟต์กดปิดประตูลง สีหน้าบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นกระหยิ่มยิ้มย่องทันที พงศธรรีบตามมาแต่ไม่ทันแล้ว ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น

ศิตางค์ออกจากลิฟต์เดินสวยๆ มาทางบันดันเลื่อน ธีรภาพยังคงยืนรออยู่แถวๆ นั้น เห็นศิตางค์เดินมารีบเดินเข้าไปหา เปิดฉากเหน็บแนมออกไปทันที
“เป็นไงครับ วันนี้บุกมาถึงที่นี่เลยเหรอครับ”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณแอบจับตามองฉันทุกฝีก้าว”
ธีรภาพอึ้งไปนิดๆ
“อย่าสำคัญตัวผิดไปขนาดนั้นสิครับคุณสิตางค์ ผมก็แค่สนใจคนที่เข้าออกในออฟฟิศ ก็เท่านั้น”
ศิตางค์เพิ่งเห็นว่าลุคของธีรภาพเปลี่ยนไป อดยิ้มขำไม่ได้
“ยินดีด้วยนะคะ สำหรับตำแหน่งใหม่”
ธีรภาพเก้อๆ เขินๆ
“อ๋อ ครับๆ”
“ฉันมาถึงที่นี่ จะไม่เชิญดื่มกาแฟ หรืออย่างน้อยก็ฉลองตำแหน่งใหม่ของคุณสักหน่อยเหรอคะ”
ธีรภาพพยักหน้ารับเอาคำแบบงงๆ
“อ๋อ ได้ครับ ทำไมจะไม่ได้ละครับ งั้นเชิญด้านในก่อนครับ”
ธีรภาพผายมือเชิญ ศิตางค์เดินนำไป ธีรภาพเดินตาม

สองคนอยู่ที่ร้านกาแฟภายในตึกรอยัลแอร์ไลน์ ธีรภาพเอาแต่มองจ้องหน้าศิตางค์อย่างค้นหา
“คุณเอาแต่จ้องหน้าฉัน จนฉันรู้สึกเหมือนถูกคุกคามทางสายตา”
ธีรภาพเพิ่งรู้สึก จึงหลุดออกจากภวังค์
“ขอโทษทีครับ พอดีผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เลยไม่ทันได้ละสายตาไปทางอื่น”
“เหมือนคุณกำลังต้องการหาคำตอบให้กับคำถามของตัวเองอยู่”
“คำถามของผม”
“ค่ะ คำถามของคุณ ที่สงสัยนักหนา ว่าฉันคือใคร ฉันพูดถูกไหมคะ”
ธีรภาพถึงกับอึ้งไป ที่ศิตางค์อ่านความคิดเขาออก
“คุณคงอยากปกปิดทุกๆ คน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร”
“ฟังดูน่าขันนะคะ ที่จู่ๆ คุณก็มาถามฉันต่อหน้าว่า ฉันคือใคร”
ลึกๆ ศิตางค์เองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนกันที่ต้องมาอยู่ในเกมล้างแค้นบ้าบอแบบนี้ เธอเปลี่ยนอารมณ์ลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณตามหา คำตอบมันจะคุ้มค่าสมราคาค่าเหนื่อยของคุณหรือเปล่า แต่สำหรับฉัน การเป็นศิตางค์มันทำให้ฉันเหนื่อยแทบขาดใจ กับชีวิตที่ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้มันจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าฉันเลือกชีวิตของฉันเองได้ ฉันจะไม่มีวันเลือกชีวิตอย่างเธอ”
ธีรภาพอึ้งอีกครั้ง
“แล้วถ้าวันหนึ่งคุณได้รู้จักเธอจริงๆ ช่วยบอกเธอด้วยว่า ชีวิตเธอมันห่วยแตก มากแค่ไหน”
ศิตางค์น้ำตาไหลรินออกมา รีบลุกเดินหนีไปเลย จนธีรภาพตกใจพยายามเรียกเธอไว้
“คุณศิตางค์ คุณศิตางค์”
ศิตางค์ไม่ได้ฟังอะไร รีบเดินออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ธีรภาพวิ่งตามออกมาหน้าร้าน เจอมีนายืนถือแก้วน้ำแตงโมปั่นที่ละลายหมดแล้วมองมาด้วยแววตาตัดพ้อ เต็มไปด้วยความเสียใจ
“บอกว่าอยากกินแตงโมปั่น ฉันก็อุตสาห์ไปต่อแถวซื้อให้ พอซื้อมาลูกพี่ก็หายไปละ จนแตงโมปั่นละลายเป็นน้ำหมดแล้ว แต่ฉันก็ยังรอ แม้ฉันจะรู้ว่าลูกพี่อาจไม่กลับมาแล้ว”
ธีรภาพอึ้งไป “มีนา”
“ลูกพี่จะเอาอะไร อยากให้ทำอะไร ก็ขอให้บอก ฉันยินดีจะทำให้ ขออย่างเดียว อย่าทำร้ายความรู้สึกกันแบบนี้ ที่ผ่านมาฉันแกล้งไม่เห็น ไม่ได้ยิน เพื่อจะทำให้ตัวเองไม่เจ็บ ไม่ปวด บอกตัวเองว่าต้องทน ต้องเข้มแข็ง เพื่อให้ลูกพี่มองเห็นฉันให้ได้ แต่คนเรามันต้องมีขีดปะวะ”
มีนาน้ำตาร่วงเป็นสาย โยนแก้วน้ำแตงโมปั่นใส่ถังขยะหน้าร้านแล้ววิ่งหนีไป ธีรภาพอึ้งกับอีกเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

ธีรภาพกลับบ้านแต่หัววัน จนคนางค์ที่กำลังสอยผ้าอยู่แปลกใจ
“ตี้ ทำไมกลับบ้านแต่วัน มีไรหรือเปล่า หรือว่าไม่สบาย”
“ไม่เป็นไรครับแม่”
“งั้นก็คงเป็นเรื่องไม่สบายใจล่ะ”
ธีรภาพพยักหน้ายอมรับลงนั่งคุยกับแม่
“วันนี้มีผู้หญิงสองคน ร้องไห้ต่อหน้าผมครับ”
“ตี้เป็นคนทำให้ทั้งสองคนเสียใจหรือเปล่า”
“ผมไม่แน่ใจครับ”
คนางค์คะยั้นคะยอ ถามลูกชายอีกครั้ง
“ตี้ตอบไม่ตรงคำถาม แม่ถามว่าลูกคิดว่าทั้งสองคนร้องไห้เพราะต้นเหตุมาจากลูกใช่ไหม”
ธีรภาพพยักหน้า ยอมจำนน
“ครับแม่”
“ก็แค่นั้น”
คนางค์วางงานในมือ จับมือลูกชายมากุมไว้ พูดเตือนให้ข้อคิด
“ผู้หญิงร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายได้ ด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว คือความรัก มันไม่เคยมีเรื่องอะไรที่ซับซ้อนมากไปกว่านี้ ตอบตัวเองแทน แล้วก็แก้ปัญหาของแต่ละคน ด้วยหัวใจของลูกเอง”
“ครับ แม่”
ธีรภาพคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมีนา แล้วบอกกับแม่ว่า
“คนแรก ผมคิดว่าเป็นเพราะ...”
คนางค์ต่อคำให้ลูกชายว่า “รัก...มาก”
ธีรภาพพยักหน้ายอมรับ แล้วคิดถึงน้ำตาในมุมของศิตางค์ขึ้นมา
“แต่กับอีกคน ผมมั่นใจว่าคงเป็นเพราะความรักเช่นกัน”
“แต่เธอก็อาจเสียใจกับมันมาก” คนางค์บอก
“ครับ แต่ผมแค่ไม่รู้ว่า ใคร หรือทำไมเธอถึงต้องเสียใจมากขนาดนั้น”
ธีรภาพมีวี่แววคิดหนักชัดแจ้ง จนคนางค์อดเป็นห่วงความรู้สึกของลูกชายไม่ได้

ขณะเดียวกัน ศิตางค์เดินเข้าห้องอย่างอ่อนระโหยโรยแรง วางกระเป๋าไปทาง แล้วทรุดตัวนั่งลงอย่างเหนื่อยล้ากับชีวิตของตัวเองช่วงนี้ ที่จมอยู่กับการแก้แค้น เอาชนะพงศธรและวิริยา
ศิตางค์เหลือบไปเห็นหน้าตัวเองในกระจกบานใหญ่เต็มตัว จึงลุกขึ้นเดินไปมองใกล้ๆ เอามือจับใบหน้าอย่างเครียดเคร่ง
“ฉันอยากจะรีบจบเรื่องบ้าๆ เหล่านี้ซะที ฉันอยากได้ชีวิตของฉันคืน ขอชีวิตฉันคืนเถอะนะ”
ศิตางค์ปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง อึดอัดเหลือเกินแล้ว

ฝ่ายพงศธรจอดรถหน้าคฤหาสน์ เปิดประตูลงมาสีหน้าเครียดเคร่งคิดไม่ตก ทั้งเรื่องศิตางค์ และเรื่องวิริยาท้อง พงศธรยังไม่เข้าตึกลงนั่งที่บันไดใช้ความคิดหนัก ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี
เมื่อขึ้นนอนเขาก็นอนไม่หลับ วิริยานอนอยู่ข้างๆ แต่ความรู้สึกของทั้งสองเหมือนอยู่ห่างกันคนละฟากฟ้าเลยทีเดียว

เช้าวันต่อมา วิริยานั่งทานอาหารเช้าเพียงลำพัง พงศธรลงมาสมทบด้วยท่าทางสดชื่นมาก ก้มลงหอมภรรยาแล้วนั่งลงเตรียมทานข้าว สาวใช้ตักข้าวให้ พงศธรทานไป ชวนเมียคุยไป
“วิวเป็นไงบ้าง ยังแพ้อยู่ไหม”
“ก็มีบ้างคะ เป็นๆ หายๆ วิวเบื่ออาการแบบนี้จะแย่อยู่แล้ว มันเหม็นโน่นเหม็นนี่ไปหมด”
“ใจเย็นๆ ทำใจให้มันสบายๆ ร่างกายของวิวไม่ค่อยแข็งแรง คุณหมอบอกว่ามันจะมีผลต่อลูกในท้องได้นะ”
“แต่วิว…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น คุณมีหน้าที่อย่างเดียว คือ ตั้งใจดูแลตัวเอง เพื่อลูกของเรา”
วิริยาไม่โต้ไม่เถียงอะไรต่อ
“เอางี้ พรุ่งนี้วันเสาร์ ผมจะพาคุณไปพักผ่อนตากอากาศที่บ้านพักของเราที่จันทบุรี”
วิริยายิ้มกว้าง ดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่สามีจะพาไปพักผ่อน
“จริงเหรอค่ะพงศ์”
พงศธรพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“เราจะไปด้วยกันแค่สองคน”
วิริยายิ้มแย้มชิงพูดต่อ
“เราจะไปด้วยกันสามคนคะ เราจะไปด้วยกัน”
พงศธรสะอึกอึ้ง นิ่งงันไป เพราะมันช่างเหมือนตอนนิสาพูดกับเขายังไงยังงั้น

ทางด้านธีรภาพเดินเข้าออฟฟิศมา เจอมีนายืนดักรออยู่แล้ว ท่าทางเหมือนคนยอมรับผิดเต็มที่
ไม่นานต่อมาธีรภาพอยู่ในห้องกับคุณเอนก ที่หอบเอกสารมาให้เซ็นเยอะแยะไปหมด จนธีรภาพแปลกใจ
“ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เอกสารเร่งด่วนละครับ”
“พอดีท่านประธาน เอ่อ คุณพงศธร ท่านจะขอลาส่วนตัวครับเลยต้องรีบให้คุณธีรภาพเซ็นเอกสารก่อน กลัวเดี๋ยวจะมีงานตกค้าง หากท่านประธานไม่ได้เซ็นอนุมัติไว้ให้”
เอนกอยากจะบอกธีรภาพว่าพงศธรจะลาไปไหน เลยเอ่ยขึ้นมาเอง
“เห็นว่าคุณพงศธรจะพาคุณวิริยาไปพักผ่อนที่บ้านพักที่จันทบุรีนะครับ”
ธีรภาพได้ยินก็รู้สึกดีขึ้นที่พงศธรจะพยายามเอาใจใส่วิริยาบ้าง
“อ๋อ ก็ดีนี่ครับ ช่วงนี้คุณวิริยาเธอไม่ค่อยแข็งแรง คงต้องการการดูแลพิเศษ”
“ครับ”
อเนกเดินหอบเอกสารปึกใหญ่ออกจากห้องไป ธีรภาพนั่งคิดเหม่ออยู่คนเดียว หยิบแก้วน้ำแตงโมปั่นบนโต๊ะขึ้นมาดูด แล้วนึกถึงตอนเจอมีนาเมื่อเช้า
ตอนนั้นมีนายืนอยู่ต่อหน้าธีรภาพ เหมือนคนสำนึกผิดที่พูดจาไม่ดีกับธีรภาพเมื่อวานเย็น
“ลูกพี่ยังไม่ได้กินน้ำแตงโมปั่นตั้งแต่เมื่อวาน ฉันเลยรีบมาต่อคิวให้แต่เช้า นี่ยังกลัวจะมาไม่ทันเลยลูกพี่ขึ้นตึกเลย”
ธีรภาพพยายามจะเอ่ยปากขอโทษ แต่มีนารู้ทันรีบชิงตัดบททันที
“รีบๆ กินซะนะ เดี๋ยวมันละลายแล้วจะไม่อร่อย”
มีนายื่นแก้วน้ำแตงโมปั่นใส่ให้กับมือธีรภาพ แล้วจะชิ่งหนี ธีรภาพรีบบอก
“อย่าทำดีแบบนี้”
มีนาทำเป็นไม่สนใจอะไร ยิ้มกลบเกลื่อน
“ดีเดออะไรเล่า นึกว่าได้คนเดียวเหรอ เฮียเจน ไอ้พาร์ท ไอ้บอมก็ได้เหมือนกันนั่นแหละ ไปนะ”
ธีรภาพได้แต่มองตาม พลางดื่มน้ำแตงโมปั่น คิดว่าเขาจะปล่อยเรื่องไว้แบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งนานวัน มีนาก็จะยิ่งเจ็บ

คนางค์ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้องไอซียู ไม่กล้าเข้าไปเยี่ยม จนเปรมจิตเดินมาเห็นเข้า คนางค์เดินเลี่ยงหนีออกไป เปรมจิตเรียกไว้
“แม่คนางค์ เดี๋ยวก่อน”
คนางค์หยุดกึก หันมาตามเสียงเรียก
“คะ คุณผู้หญิง”
“จะมาคุณผู้หญิงอะไรกันตอนนี้ นี่จะมาเยี่ยมคุณกรเกียรติไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจะกลับซะละ”
“คือว่า...”
“มัวอ้ำๆ อึ้งๆ เดี๋ยวก็หมดเวลาเยี่ยมกันพอดี รีบเข้าไปสิ”
คนางค์ไม่กล้าเข้าไปอยู่ดี เปรมจิตยังแสดงเจตจำนงเดิม
“เข้าไปเถอะ เผื่อคุณพี่เข้าเห็นว่าเธอมาเยี่ยม เผื่อจะยอมใจอ่อนลืมตาขึ้นมาบ้างก็ได้ เข้าไปสิ”
คนางค์นึกขอบใจเปรมจิตที่มีน้ำใจกับตน ยกมือไหว้เปรมจิต
“ขอบพระคุณมากคะ คุณผู้หญิง”
“บอกแล้วไม่มีคุณผู้หญิง มีแต่คุณพี่ รีบเข้าไปเถอะ”
คนางค์ยกมือไหว้อีกครั้ง ซึ้งในน้ำใจของเปรมจิต รีบเดินเข้าไปในห้องกรเกียรติ
เปรมจิตเองก็รู้สึกโล่งใจ ที่ได้ทำในสิ่งนี้ให้กับกรเกียรติและคนางค์

ฟากศิตางค์คุยโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศกับยุนฮีที่เกาหลี
“ทุกอย่างใกล้สำเร็จแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลตัวเองได้”
ศิตางค์วางสายไป
อีกฟากหนึ่งยุนฮีวางสายด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด นึกเป็นห่วงศิตางค์ ไม่อยากให้จมอยู่กับการแก้แค้น
มือถือศิตางค์มีไลน์จากพงศธรเข้ามา
“ผมอยากจะเจอคุณคืนนี้”
ศิตางค์อ่านข้อความแล้วยิ้มร้ายออกมาเต็มหน้า

คืนนั้น ศิตางค์จุดเทียนในห้องสร้างบรรยากาศแสนโรแมนติก เพื่อปลุกเร้าความต้องการของพงศธรให้เตลิดถึงขีดสุด เธอบรรจงเลือกชุดแสนเซ็กซี่ เพื่อคืนนี้โดยเฉพาะ
ไม่นานนัก พงศธรกดกริ่งยืนรอจนศิตางค์ไปเปิดประตูให้ พงศธรมองแล้วอึ้งกับบรรยากาศโรแมนซ์ด้านใน และตะลึงกับความงามของศิตางค์ จนลืมเอ่ยทักทายใดๆ ออกมา
“จะไม่เข้ามาก่อนหรือคะ หรือว่าแค่จะแวะมาสวัสดี แค่นั้น”
“คือผม คุณสวยมาก จนผมพูดไม่ออก ก้าวขายังไม่ได้เลย”
ศิตางค์ลอบยิ้ม ยามนี้เธอเห็นพงศธรเหมือนลูกไก่ในกำมือ คว้าแขนจูงพาเขาเข้ามาในห้องเอง
“เข้ามาก่อนสิค่ะ ฉันจะพาคุณผ่านคืนนี้ไปเอง”
ศิตางค์พาพงศธรมาลงนั่งที่โซฟามุมรับแขก แล้วเดินไปรินแชมเปญสองแก้วสำหรับเธอและเขา
“ดื่มอะไรให้หายร้อนก่อนนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
ศิตางค์ยกแก้วชวนดื่ม พงศธรกระดกดื่มรวดเดียวหมด ศิตางค์เห็นเลยชวนดื่มจากแก้วเดียวกับเธอ
“อุ๊ย ของคุณหมดซะแล้ว ของฉันยังเหลือตั้งครึ่ง เรามาแบ่งกันนะคะ”
ศิตางค์ขยับตัวไปจนใกล้ ดื่มพร้อมกับรินแชมเปญจากแก้วที่กำลังดื่มไปสู่แก้วเปล่าในมือพงศธรด้วยท่าทีเย้ายวน
“คุณกำลังทำผมหายใจไม่ออกนะครับ เหมือนกำลังลอยในสุญญากาศ”
“แล้วจะให้ฉันช่วยยังไงละคะ”
“ช่วยทำให้ผมหายใจ ให้ผมรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่”
พงศธรวางแก้วบนโต๊ะกลาง ผลักร่างศิตางค์ลงบนโซฟา ก้าวขึ้นคร่อมอยู่ด้านบน เป็นฝ่ายคุมเกมเสน่หานี้เอง เขาปลดกระดุมถอดเสื้อเชิ้ตออก พร้อมกับปลดเสื้อคลุมของศิตางค์ออกไปเป็นชิ้นแรก
“ผมรู้เราสองคนปรารถนาสิ่งเดียวกัน”
“ค่ะ คุณพงศ์”
พงศธรก้มลงไซร้ซอกคอ พรมจูบตามเรือนร่างงดงาม ศิตางค์ทำเป็นเคลิ้มไปกับลีลารักอันวาบหวาม จนเสี้ยวนาทีหนึ่งเธอก็พลิกกลับมาอยู่เหนือพงศธร คร่อมอยู่บนร่างเขา ทำตัวเป็นผู้นำ ไม่ใช่เหยื่อ
“มันจะเป็นแบบนี้ค่ะ แต่มันจะไม่ใช่ตอนนี้ หรือคืนนี้”
พงศธรงุนงงอารมณ์กำลังกระเจิงเต็มที่ “หมายความว่าไงครับ”
“ฉันอาจจะหัวโบราณไปสักหน่อยสำหรับเรื่องอย่างว่า เอาไว้ให้คุณพร้อม หมดภาระ เคลียร์เรื่องส่วนตัวของคุณให้หมดจด ขาวสะอาด แล้วเราจะมานอนคุยเรื่องของเรากันต่อที่นี่”
ศิตางค์ลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับจนเรียบร้อย เดินไปที่ตู้เย็นเปิดน้ำดื่ม พงศธรอึ้งๆ งงๆ ใส่เสื้อ เขารู้อยู่แล้วว่าศิตางค์พูดหมายถึงอะไร ศิตางค์เอาน้ำเปล่ามาให้พงศธร
“ดื่มน้ำเปล่าล้างคอหน่อยนะคะ ภรรยาที่บ้านจะได้ไม่สงสัย”
พงศธรรับแก้วน้ำไปกระดกหมดแก้ว ด้วยอารมณ์ค้างๆ ศิตางค์เดินไปทางหน้าต่าง เสมือนไม่ขอส่งแขกนะคะคืนนี้
“ผมกลับก่อน ผมสัญญาว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เหมือนที่เราคุยกัน ในแบบที่คุณต้องการ”
“ฉันจะรอ”
เมื่อพงศธรพ้นห้องไป ศิตางค์ค่อยๆ ทรุดลงนั่งกับพื้นข้างๆ โซฟา ปลุกปลอบตัวเองว่านี่คือสิ่งที่มันต้องเป็น ไม่ใช่ความผิด
“มันต้องเป็นแบบนี้ จงเดินต่อ อีกไม่ไกลแล้ว ศิตางค์”

ธีรภาพนั่งทำงานกับโน้ตบุ๊ค สุดท้ายกลับมีแต่เรื่องศิตางค์วนเวียนอยู่ในหัว จนต้องปิดโน้ตบุ๊คลง ทอดถอนใจ
เมื่อนอนไม่หลับ เขาจึงขี่รถมาจอดที่ริมน้ำ จอดรถเดินลงมามองดูผ้าเช็ดหน้าที่ยังผูกคู่กันอยู่ คิดถึงนิสาขึ้นมา
ใจตรงกับศิตางค์ที่เดินมาจากอีกทาง เห็นธีรภาพยืนอยู่ เลยคิดจะกลับ แต่ธีรภาพดันหันมาเห็นเข้า
“อ้าว คุณ”
ศิตางค์หยุดกึกหันกลับมา แล้วเดินหนีไปริมน้ำโดยไม่สนใจเขา ธีรภาพมองแล้วเดินตามไปยืนข้างๆ
“เหมือนว่าถ้าเราจะต้องเจอกัน ที่นี่คงเป็นที่เดียว สำหรับเรา”
“ที่นี่เป็นที่สาธารณะ คนที่ไม่รู้จักก็มาเจอกันได้”
ธีรภาพจี๊ดทันทีกับคำพูดของศิตางค์
“ก็คงจริงนะครับ ผมยังมาเจอคุณที่นี่บ่อยๆ”
“ที่ฉันพูด ไม่ได้หมายความว่า คุณกับฉันเป็นคนอื่น”
“งั้นเราก็คงเป็นคนที่พอรู้จักกัน”
ศิตางค์เงียบไม่ตอบอะไร
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอคุยในฐานะคนพอรู้จักกัน เลิกทำในสิ่งที่คุณพยายาม ทำอยู่อย่างนี้เถอะ มันบาป”
“เรื่องแบบนี้จะให้ฉันพูดเอง เออเองคงไม่ได้”
ธีรภาพฟิวส์ขาด
“ผมไม่รู้ทำไมคุณถึงจ้องทำลายชีวิตคู่ของคุณวิริยากับคุณพงศธรนัก”
“ฉันบอกไปแล้วว่าคุณไม่มีวันเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจแน่ ผมจะบอกคุณให้นะ ว่าเขาทั้งสองกำลังปรับความเข้าใจกัน และกำลังจะสร้างความรักขึ้นมาใหม่”
ศิตางค์แปลกใจ “ความรัก”
“ใช่ ความรักที่คุณไม่มีวันเข้าใจ”
“ฮึ คนอย่างฉันเนี่ยนะ ไม่รู้จักความรัก”
“ใช่”
“คุณกำลังดูถูกคนอื่น โดยที่คุณแทบจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา”
“ผมเนี่ยนะ จะบอกอะไรให้ฟังนะ ไม่ว่าตัวตนของคุณจะเป็นใคร หรือเป็นยังไง คุณจงหยุดสิ่งที่คุณทำและคิดจะทำกับคนในครอบครัวของผม เพราะมันสายเกินไป”
“ไม่จริง มันไม่สาย”
“ได้ ผมจะพาคุณไปเห็นกับตาของคุณเอง แล้วคุณจะต้องเสียใจ”
“ไม่ ฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น”
“คุณต้องไปกับผม” ธีรภาพคว้าแขนหมับ พาศิตางค์ไปที่รถ
“ไม่ ฉันบอกว่า ไม่”
ศิตางค์สะบัดจนหลุดโกรธจนพลั้งมือตบหน้าธีรภาพฉาดใหญ่ แต่มันไม่ทำให้ธีรภาพหยุดมือได้เลย เขายังคงจูงมือเธอไป ศิตางค์ขืนตัวแต่สู้แรงไม่ไหว ธีรภาพบังคับให้เธอขึ้นนั่งคร่อมอานรถมอเตอร์ไซค์ บิ๊กไบค์
ธีรภาพสตาร์ตเครื่อง ขี่รถออกไป มีศิตางค์นั่งซ้อนท้ายไปแบบแข็งขืนอยู่อย่างนั้น

ในบรรยากาศทะเลสวยตอนเช้าตรู่ เห็นธีรภาพนั่งบนพื้นทรายพิงบิ๊กไบค์หลับอยู่ ข้างๆ ศิตางค์นั่งหลับอิงบ่าของเขา ธีรภาพรับรู้ถึงสัมผัสอันคุ้นเคยที่เกาหลี เผลอกระชับกอดร่างศิตางค์แนบแน่น หลุดปากพูดความรู้สึกลึกๆ ของตนออกมา
“นิสา...นิสา”
ธีรภาพค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น พบว่าศิตางค์อิงไหล่ตนอยู่ จะขยับออกก็กลัวว่าศิตางค์จะตื่น พยายามทำทุกอย่างเบาสุดๆ
ธีรภาพมองจ้องใบหน้าที่เคยแข็งแกร่งดุดัน มาวันนี้ช่างอ่อนโยนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นปัดเกลี่ยผมที่บังใบหน้างามให้ แล้วจ้องมองใบหน้านั้นนิ่งนาน

เวลาล่วงเลยไปจนเกือบสว่าง ศิตางค์เริ่มรู้สึกตัว พบว่าตัวเองอยู่ในวงแขนของธีรภาพ มีเสื้อแจ็คเก็ตของเขาคลุมตัว มองธีรภาพที่หลับตาอยู่ ค่อยๆ ถอนตัวออกมาอย่างแผ่วเบา ลุกเดินออกไปที่ริมทะเล
ธีรภาพรู้ตัวตลอดเวลา แอบลืมตา แกล้งทำเพิ่งตื่นเหมือนกัน มองไปเห็นศิตางค์ยืนอยู่ริมทะเลคนเดียว จึงลุกเดินไปหา
“หลับสบายไหมครับ”
ศิตางค์ไม่ตอบอะไร แต่กลับย้อนถามด้วยประโยคอื่น
“คุณพาฉันมาที่ไหน”
ธีรภาพน้อยใจ แทนที่จะพูดคุยเรื่องเขา กลับถามเรื่องที่ไม่โรแมนติกเอาเลย เลยประชดส่งไปว่า
“ก็ทะเลไงครับ”
“รู้ แล้วมันทะเลที่ไหนล่ะ”
“จันทบุรี ผมจะพาคุณไปที่หน้าผานั่น ตรงนั้นไง” ธีรภาพชี้ไปทางหนึ่ง “ตรงที่เป็นบ้านพักตากอากาศของพ่อผมอยู่ที่นั่น”
ศิตางค์งง ว่าเขาพาเธอมาที่นี่ทำไม ธีรภาพคว้าแจ็คเก็ตมาใส่ เตรียมเดินทางต่อ
“แล้วนี่คุณจะไปไหนอีก”
“ก็ไปหาที่อาบน้ำ ล้างหน้าก่อน ผมขับรถมาทั้งคืน เหนียวตัวไปหมด หรือว่าคุณไม่อยากไป”
“ไม่ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น” ศิตางอน
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ”
“ดี งั้นคุณอยู่นี่ ผมไปเอง”
ธีรภาพเดินกวนตีนไปที่บิ๊กไบค์ ศิตางค์งอนและงงว่าเขาจะไม่ง้อเธอเลยหรือ พอนึกได้ว่าจะอยู่คนเดียวแถวนี้ ก็เลยหายงอน ร้องบอกให้รอด้วย ธีรภาพยิ้มสะใจที่ได้แกล้งเธอ
รอให้ศิตางค์ขึ้นรถแล้วธีรภาพจึงขับออกไปอย่างเร็ว จนศิตางค์หงายเงิบเกือบหล่น ต้องคว้าเอวเขากอดเอาไว้แทบไม่ทัน

ทางฝ่ายพงศธรกับวิริยาเพิ่งมาถึง คนขับรถเปิดประตูให้ สาวใช้รีบลงไปเอารถเข็นจากหลังรถมากางออก ให้วิริยาลงนั่งที่รถเข็น พงศธรคอยช่วยประคองเอาอกเอาใจดี๊ดี
“ที่นี่อากาศดีจังเลยนะครับ คงจะช่วยให้คุณกับลูกของเรา แข็งแรงนะครับ”
วิริยามองสามีด้วยความรัก
“ขอบคุณมากคะพงศ์ ขอบคุณจริงๆ”
พงศธรเข้าไปหอมหน้าผากวิริยาอย่างเอ็นดู
“คุณต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเสมอครับ วิว”
วิริยายิ้มหวาน พงศธรเข็นรถพาวิริยาเข้าบ้านพัก มีสาวใช้กับคนขับรถช่วยกันหิ้วกระเป๋าตามเข้าไป

ธีรภาพยืนคุยกับพนักงานตรงฟรอนต์ที่ล็อบบี้บ้านพักริมทะเล รับรู้ว่าแขกเข้าพักเต็ม ต้องรอเช็คเอาท์ตอนบ่ายโมง และตอนนี้เหลือห้องว่างเพียงแค่ห้องเดียว จึงเดินกลับมาหาศิตางค์
“นี่คุณ ตอนนี้มีเหลือแค่ห้องเดียว ต้องรอแขกเช็คเอาท์ตอนบ่ายโมง เราถึงจะเช็คอินได้”
“หมายความว่าฉันกับคุณต้องพักห้องเดียวกันไปก่อนเนียนะ”
“ก็ใช่”
“ไม่มีทาง” ศิตาค์ปฏิเสธเสียงแข็ง

ธีรภาพเปิดประตูนำเข้าห้องมาก่อน ศิตางค์เดินตามมาอย่างกริ่งเกรง แต่ฝืนทำใจดีสู้เสือ
“คุณคงจะใช้ห้องน้ำนาน ยังไงผมขออาบก่อน คุณจะได้ใช้เวลาของคุณเต็มที่ ไม่ต้องกังวล”
ธีรภาพไม่รอคำตอบถอดเสื้อทันที เหลือแต่กางเกง ศิตางค์ตกใจนิดๆ เสเดินไปเปิดหน้าต่างดูวิวด้านนอก รอจนธีรภาพหายเข้าห้องน้ำไปจึงค้อนควักบ่นบ้ากับตัวเอง
“คนอะไร หน้าตาก็ดี แต่ไม่พกมารยาทติดตัวมาด้วยหรือไง”
ศิตางค์เป็นกังวลเรื่องของพงศธรกับวิริยาทันที ว่ามันคืออะไรกันแน่

ด้านพงศธรเอาอกเอาใจ อุ้มภรรยามาวางลงบนเตียงนอน วิริยายิ้มชื่นมีความสุขเหลือเกินที่สามีคอยดูแลเอาใจใส่อย่างดีเหมือนเคย
“คุณนอนพักก่อน เดินทางมาหลายชั่วโมง ตื่นมาจะได้สดชื่น”
“แล้วพงศ์ล่ะคะ จะทำอะไร”
“ผมก็จะเดินเล่นแถวๆ นี้ จะได้ถือโอกาสเซอร์เวย์ก่อน เผื่อมีอะไรน่าสนใจ จะได้พาคุณไปดู”
พงศธรหอมฟอดหนึ่ง วิริยายิ้มหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า พงศธรค่อยๆ เดินออกไปที่ระเบียง ปิดประตูห้องลง แล้วกดส่งไลน์ไปให้ศิตางค์
“ผมกำลังจะทำให้ตัวเองเป็นอิสระ รอผมนะครับ”

พงศธรยิ้มเหี้ยมหน้าตาดุดัน ดูอำมหิตและน่ากลัวเหลือเกิน คล้ายกับว่าเขากำลังคิดทำชั่วอะไรอีก

อ่านต่อ ตอนที่ 21
กำลังโหลดความคิดเห็น