เงาเสน่หา ตอนที่ 17
ศิตางค์เดินออกจากร้านอาหาร มาเดินปล่อยอารมณ์ตามชายหาดสวย ธีรภาพก้าวยาวๆ มาเดินข้างๆ กัน ศิตางค์ตกใจไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ ธีรภาพพยายามปรับสีหน้าอารมณ์อันขุ่นมัวให้เป็นปกติ
“บังเอิญจังเลยนะครับ ที่มาเจอกันที่นี่”
“นั่นสิคะ บังเอิญจริงๆ”
“เอ่อ...มาทำอะไรเหรอครับ”
“ก็มาคุยธุรกิจน่ะค่ะ”
ธีรภาพฟังคำตอบแล้วขึ้นเลย
“อ๋อ ก็เพิ่งเข้าใจว่าไอ้แบบนี้เขาเรียกคุยธุรกิจ”
ศิตางค์งง “แบบนี้ คืออะไรคะ”
“ก็...”
ศิตางค์เห็นสีหน้าท่าทีอีกฝ่าย พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“ฮึ พูดกันตรงๆ เลยก็ได้ค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม”
ธีรภาพเงียบ
“ใครจะคิดยังไงก็ช่าง ฉันไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ฉันรู้ว่าฉันทำอะไรก็พอ”
“ก็คงใช่ละครับ เพราะสิ่งที่คุณทำที่ผมเห็น ก็บอกอยู่แล้วว่าคุณ ไม่สนใจ”
“ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง ที่บอกคนอื่นไป บางทีก็อาจไม่มีใครเข้าใจ”
ศิตางค์อึดอัดเหลือเกินกับการต้องพูดเรื่องเหล่านี้
มีนาเดินออกจากโรงแรมลงมาที่ชายหาด มองเห็นธีรภาพยืนคุยอยู่กับศิตางค์ จึงหยุดดู
“ขอโทษนะคะ”
ศิตางค์ขอตัวจะเดินออกไป ธีรภาพรีบพูดดักคอก่อน
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ที่เคยบอกว่าคุณเหมือนคนที่ผมรู้จักเพราะที่จริงแล้วคุณไม่เหมือนเธอเลยสักนิด ไม่เหมือนเลย เพราะนิสาไม่มีทางทำในสิ่งที่คุณทำเมื่อกี้”
ศิตางค์เจ็บในใจขึ้นมาทันที
“แน่ล่ะค่ะ เพราะฉันไม่ใช่ คนนั้นของคุณ แต่ก็ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณผิดหวัง”
มีนาเห็นบรรยากาศแปลกๆ เลยเข้าไปคล้องแขนธีรภาพทันที
“แหม มาอยู่ที่นี่เอง หาตั้งนานแน่ะ ลูกพี่”
ธีรภาพงงกับท่าทีของมีนา ศิตางค์มองสองคนคิดว่าคงเป็นแฟนกัน
“ดึกดื่นแล้วไม่หลับไม่นอน พรุ่งนี้เราต้องกลับกรุงเทพฯ ไฟล้ท์เช้ามืดนะ”
มีนายังคงเกาะธีรภาพแจแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ จนศิตางค์อึดอัดมากขึ้นเลยขอตัวออกไป
“ฉันขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ”
ศิตางค์เดินออกไป ธีรภาพมองตาม พยายามแกะมือมีนาออก มีนายอมปล่อย
“ใครอ่ะ”
“ไม่มีไรหรอก แค่คนรู้จักน่ะ บังเอิญมาเจอกันที่นี่”
มีนาไม่เชื่อ “แค่คนรู้จัก จริงเหรอ ไม่ยากจะเชื่อเลย”
“ไหนว่าดึกแล้วไง ไปนอนสิ” ธีรภาพหงุดหงิดนิดๆ โดยไม่รู้สาเหตุ ตัดบททันที “ไปๆๆ”
ธีรภาพอารมณ์ขุ่นเดินออกไปอีกทาง ทิ้งมีนายืนหงุดหงิดอารมณ์เสียอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งตามไป
พงศธรกับวิริยานั่งในเครื่องบินส่วนตัวที่วิริยาเหมาลำมา พากันกลับกรุงเทพฯ ในคืนนั้นเลย ทั้งสองคนนั่งนิ่งขึง เงียบกริบไม่พูดไม่จากันเลย ในใจพงศธรนั้นรู้สึกอับอาย สูญเสียศักดิ์ศรีของตัวเองจากการกระทำของภรรยาเมื่อชั่วโมงก่อน วิริยาเองก็โกรธจนไม่อยากพูดใดๆ กับสามีทั้งสิ้น
ส่วนศิตางค์เดินมายืนริมกระจกห้องพัก มองเห็นเครื่องบินเจ็ตที่พาพงศธรกับวิริยาทะยานสู่ท้องฟ้าไป ด้วยสีหน้าสะใจกับเหตุการณ์เดียวกัน
“นี่เป็นแค่การเริ่มต้น ฉันหวังว่าคุณคงยืนครบทุกยก อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะคะ พงศธร”
ฝ่ายธีรภาพเดินออกมายืนมองขึ้นไปยังห้องพักศิตางค์ พบว่าเธอยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง รู้สึกตัวว่าเขาพูดจากับเธอแรงเกินไป ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตน ธีรภาพรู้สึกผิดต่อศิตางค์เต็มๆ
เช้าวันใหม่ พงศธรในชุดสูทเนี้ยบออกจากห้องนอนเตรียมไปทำงาน วิริยายังอยู่ในชุดเสื้อคลุมเดินไล่หลังตามมาราวีต่อ และตามมาทันตรงโถงหัวบันได
“ขยันไปทำงานแต่เช้าแบบนี้ ปลายไตรมาสสองรอยัลแอร์ไลน์ คงจะได้เป็นหุ้นท็อปเทนในตลาดหลักทรัพย์แน่ๆ”
พงศธรหยุดกึก แต่ก็ทำเป็นเฉยไม่พูดโต้ตอบอะไรทั้งสิ้น
“คุณจะทำเป็นเงียบไม่พูดไม่จา เพื่อจะทำให้เรื่องเมื่อคืนมันจบ ใช้ไม่ได้กับวิวหลอกนะค่ะ คนอย่างวิว ไม่เคยยอมเสียหน้าให้ใคร โดยเฉพาะกับยัยศิตางค์นั่น”
พงศธรหยุดอีกครั้ง พูดกับวิริยาโดยไม่หันไปมอง
“ผมจะพูดเรื่องนี้กับคุณครั้งสุดท้าย ผมกับศิตางค์ เราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน”
พงศธรเดินลิ่วๆ ลงบันไดไปขึ้นรถที่หน้าบ้าน มีเสียงบ่นบ้าด่าทอของวิริยาดังตามหลังไป
“ฉันไม่เชื่อจะพูดกี่สิบครั้งฉันก็ไม่เชื่อ คอยดูนะ ฉันไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองแน่ จำไว้และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่คุณพ่อจะไม่รู้เรื่องนี้”
พงศธรสะอึกนิดๆ ที่วิริยายกเอากรเกียรติมาขู่ เพราะนั่นหมายถึงอนาคตของตัวเขาเองเช่นกัน พงศธรขับรถออกไปราวกับจะบิน วิริยาโมโหจนหัวร้อนผ่าว
กรเกียรตินั่งอยู่บนเตียงในห้องนอน ท่าทางอ่อนเพลียร่างกายซูบลงไปเห็นชัดถนัดตา กรเกียรติได้ยินลูกสาวทะเลาะกับสามีแล้วอนาถใจที่แต่งงานกันได้ไม่เท่าไร ก็มีเรื่องชู้สาวให้ระคายหูแล้ว กรเกียรติชักเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาดูคนผิดไปหรือเปล่า
อีกฟาก ศิตางค์อยู่ในห้องทำงาน เดินไปคุยโทรศัพท์ไปกับพงศธร
"ฉันต้องขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นนะค่ะ ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขนาดนั้น เมื่อคืนฉันอยากจะโทรหาคุณเพื่อ...แต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าคุณวิริยาเธอจะเข้าใจผิดอีก เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”
“คุณศิตางค์ครับ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะวิวเขาเข้าใจเราผิดเอง ไม่ใช่ความผิดของคุณเลย อย่าโทษตัวเองอย่างนั้นสิครับ”
ศิตางค์ยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์ที่แผนเข้าทาง
“ค่ะ แต่ก็อดเสียดายโอกาสที่รอยัลแอร์ไลน์และสกายเจ็ต จะได้ร่วมธุรกิจกัน ไม่น่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”
“คุณไม่ต้องห่วงครับ MOU ระหว่างเรายังคงอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง ธุรกิจกับปัญหาส่วนตัวผมแยกกันออก คุณศิตางค์ไม่ต้องกังวล คุณยังเชื่อมั่นผมใช่ไหมครับ”
“ค่ะ แค่นี้ก่อนนะค่ะ สวัสดีค่ะ”
ศิตางค์วางสายลง ใบหน้าเปื้อนยิ้มเปลี่ยนเป็นร้ายกาจทันที กดอินเตอร์คอมบอกเลขาหน้าห้อง
“ไม่ว่าใครโทร.เข้ามา บอกว่าฉันไปสนามโปโลคลับ”
กรเกียรตินั่งเอนอยู่บนเตียงในห้องนอนกำลังอ่านเอกสารการขอให้ประธานบริหารอนุมัติความร่วมมือกับ สกายเจ็ต มีคุณเอนก เลขาชายยืนในห้องด้วย
“ฉันไม่เห็นว่ารอยัลแอร์ไลน์จะได้ประโยชน์อะไรจากการร่วมธุรกิจในครั้งนี้ นอกจากเป็นการเป็นสปริงบอร์ดให้สกายเจ็ต เติบโตอย่างก้าวกระโดด”
กรเกียรติเปิดไปที่เอกสารหน้าสุดท้าย ยังไม่มีลายเซ็นของคณะกรรมการทุกคน มีเพียงลายเซ็นพงศธรและวิริยาเซ็นไว้ นั่นหมายถึงว่ายังขาดกรรมการอีก 3 คน และรวมกับลายเซ็นกรเกียรติอีก ถึงจะครบ 4 ตามกฏบริษัท กรเกียรติรู้สึกโกรธจนหน้าแดง แต่พยายามข่มอารมณ์ไว้
“นี่แกคิดจะเอาทุกคนมาบีบฉันงั้นเหรอ พงศธร”
กรเกียรติเครียดจนเจ็บหน้าอกขึ้นมา เลขาจะเข้ามาดูแล แต่ถูกยกมือห้ามไว้ กรเกียรติเพิ่งรู้ซึ้งว่าพงศธรไม่ธรรมดาเลย
“อเนก จัดการเรื่องที่ฉันสั่งให้เรียบร้อยด้วยนะ”
“ท่านไม่ต้องห่วงครับ ทุกอย่างจะเรียบร้อยครับ”
กรเกียรติมุ่งมาดว่าสิ่งที่ตนวางแผนไว้ต้องสำเร็จในเร็ววันนี้ และต้องทันเวลาก่อนที่ทุกอย่างจะสาย
ศิตางค์ขี่ม้าอยู่ในสนามโปโลแห่งนี้มาดเท่ห์และสวยงาม พงศธรเดินเข้ามาใส่แว่นกันแดดดำ ศิตางค์เห็นพงศธร รีบลงจากม้ามาคุยด้วย
“อ้าว คุณพงศธร มาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“พอดีผมมีเรื่องค้างที่อยากจะคุยกับคุณ ก็เลยโทรเข้าออฟฟิศคุณ เลยรู้ว่าคุณแอบหนีอยู่ที่นี่”
“เลขาฉันใช่ไหมค่ะ กลับไปต้องไล่ออก ย้ำหนักย้ำหนาว่าไม่ให้บอกใครว่าฉันมาที่นี่” ศิตางค์ตอแหลด้วยกิริยาน่ารักจัด
“ทำไมละครับ”
“ฉันอยากมีความเป็นส่วนตัว เวลามีเรื่องไม่สบายใจ การได้ขี่ม้า ได้อยู่ใกล้ๆ มัน ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก”
“คุณมีอะไรให้ผมเซอร์ไพรส์ได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
ศิตางค์รู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังแอบถ่ายรูปเธอกับพงศธร จึงจงใจเปิดหน้าทั้งเธอและเขาให้กล้องเห็นเต็มๆ
“ถอดแว่นออกสิค่ะ ฉันอยากเห็นตาคุณเวลาที่เราคุยกัน”
พงศธรหัวเราะ “ขอโทษทีครับ แหมผมนี่เสียมารยาทจริงๆ”
ตรงมุมหนึ่งของสนาม มีช่างภาพลึกลับแอบถ่ายภาพทั้งสองคนไว้ตลอดเวลา
ศิตางค์กับพงศธรย้ายมานั่งในร้านกาแฟสวยหรู ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะริมกระจกร้าน
“เมื่อคืนฉันกังวลทั้งคืนเรื่องของเรา”
พงศธรอึ้งไป
“ฉันหมายถึงเรื่องงานของเราสองคน ว่าจะเป็นยังไงต่อ เพราะฉันตัดคู่ค้าทางธุรกิจทุกบริษัทออกหมด เพราะฉันต้องการร่วมงานกับคุณคนเดียวเท่านั้น”
“คุณไม่ต้องกังวลใจเลยครับ ทันทีที่กรรมการบอร์ดทุกคนอนุมัติหลักการ เราทั้งสองจะร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ในความร่วมมือครั้งสำคัญของวงการสายการบิน”
ศิตางค์มองเห็นช่างภาพลึกลับ จึงจงใจเปิดผมด้านข้างเพื่อรับกล้องเต็มๆ พงศธรเหลือบเห็นแก้มที่แดงช้ำจากน้ำมือของวิริยาเมื่อคืนแล้วหน้าเศร้า
“ผมขอโทษจริงๆ นะครับ”
พงศธรยื่นมือไปแตะแก้มศิตางค์เบาๆ ศิตางค์เอามือเธอจับกุมมือพงศธรไว้พอดีกับที่กล้องถ่ายช็อตเด็ดรัวๆๆ ศิตางค์ทำทีเหมือนเสียใจและทำท่าจะร้องไห้ ก่อนจะขอตัวเข้าห้องน้ำ
“ขอตัวสักครู่นะคะ”
พงศธรมองตามไป รู้สึกผิดต่อศิตางค์ทันที
มือถือวิริยามีภาพส่งมาทางไลน์รัวๆ เป็นรูปพงศธรจับกุมมือและจับแก้มแดงช้ำของศิตางค์ที่ร้านกาแฟ วิริยาคุมแค้น คลิกขยายภาพศิตางค์ที่ใบหน้าแดงช้ำ
“ฉันว่าฉันเตือนแกไปแล้วเมื่อคืน สำหรับวิริยาไม่มีการเตือนครั้งที่สองแน่”
ขณะเดียวกันศิตางค์มองจ้องในกระจกจับแก้มตัวเองที่ดูเหมือนเป็นรอยแดงช้ำ แต่พอเธอเอากระดาษเช็ดออก ที่แท้เป็นลิปสติกติดมากับกระดาษทิชชู่ ศิตางค์ยิ้มสะใจ
“ภรรยาคุณมือหนักจังเลยนะคะ คุณพงศธร”
ธีรภาพนั่งอยู่ในห้องประชุมกับเอนก เลขาท่านประธานวางเอกสารกองใหญ่ไว้ตรงหน้า ธีรภาพอึกอัก พยายามจะพูดทักท้วงกับเลขา
“คุณอเนกครับ คือผม...”
อเนกชิงพูดขึ้นว่า “คุณธีรภาพครับ ท่านกรเกียรติกำชับหนักหนาให้ผมดูแลให้คุณได้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรอยัลแอร์ไลน์ให้เร็วและดีที่สุด”
ธีรภาพทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย สักพักมีเสียงเคาะประตู เอนกเดินไปเปิดประตูให้ เห็น ม.ร.ว. โกสุม และ ศ.ดร.ทินกร เดินเข้ามาในนั้น ธีรภาพยกมือไหว้คนทั้งสองอย่างงงๆ เลขาชายแนะนำชายทั้งสองว่า
“คุณธีรภาพครับ นี่ ม.ร.ว.โกสุม ท่านเป็นอดีตบอร์ดคนแรกของรอยัลแอร์ไลน์และ ศ.ดร.ทินกร ท่านเป็นที่ปรึกษาประธานบริหาร ทั้งสองท่านขึ้นชื่อว่าเคยเป็นเสาหลักและลมหายใจของรอยัลแอร์ไลน์เลยทีเดียว ฉะนั้นคุณธีรภาพไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องใดๆ เลยครับ ท่านทั้งสองจะเป็นผู้ถ่ายทอดให้ความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับรอยัลแอร์ไลน์ให้กับคุณได้อย่างแน่นอน”
โกสุมถามขึ้นว่า “พร้อมหรือยัง”
“ไม่ได้ยืดเส้นอย่างนี้มานานละ” ทินกรว่า
ธีรภาพเห็นมาดของสองอาวุโสแล้ว กล้าๆ กลัวๆ คุณเลขาได้แต่ยิ้มกริ่มที่ภารกิจเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตามที่กรเกียรติต้องการ
แยกจากพงศธร ศิตางค์พาตัวเองมาปรากฏตัวที่แฮปปี้โคเรียทัวร์ ท่ามกลางสายตาอึ้งตะลึงของทุกๆ คน ในความสวยของเธอ ศิตางค์เห็นเพื่อนร่วมงานรีบร้องทักด้วยความคิดถึง และทักชื่อถูกหมด
“ยัยมัท โอม เกตุ เป็นไงกันบ้าง”
ทุกคนอึ้งมองศิตางค์เหมือนคนที่ไม่รู้จัก มัทรีได้สติรีบทักขึ้นก่อน
“อุ๊ย คุณศิตางค์ มาที่นี่ถูกได้ไงคะเนี่ย เซอร์ไพรส์ตลอดเลย”
มัทรีหรี่ตาให้ศิตางค์งงๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ทัน
“อ๋อ...ก็คุณเคยแชร์โลเกชั่นให้ในไลน์ไงคะ ลืมแล้วเหรอคะ แล้วนี่ฉันเดาไม่ผิดใช่ไหมค่ะว่าต้องเป็นคุณโอม คุณเกตุ ที่คุณมัทรีเล่าให้ฟังอ่ะค่ะ”
“ค่ะ ค่ะ”
มัทรีรีบพุ่งมาหาศิตางค์ ลากแขนออกมาทางโต๊ะตัวเอง กระซิบต่อว่าทันที
“นี่แก ลืมตัวหรือไง แล้วนี่นึกไงมาที่นี่ ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน”
“ก็ฉันผ่านมาพอดี คิดถึงทุกคนที่นี่ ก็เลยแวะเข้ามา”
ศิตางค์ฝากขนมให้ทุกคนในออฟฟิศ
“นี่ค่ะ พอดีฉันซื้อขนมเจ้าอร่อยมาฝาก เผื่อบ่ายๆ จะหิวกันนะค่ะ”
พนักงานสองคนมารับขนมไป คุยกันเฮฮาเสียงดังจนประยงค์ที่เพิ่งเดินลงบันไดมา ตะโกนโวยวายมาก่อน
“นี่ๆ ที่นี่ขายทัวร์นะจ๊ะ ไม่ได้ขายหมู ขายไก่ อะไรมันจะเอะอะโวยวายอะไรหนักหนา”
ศิตางค์ได้ยินเสียงประยงค์ก็ยิ้มชื่นดีใจรีบหันไปหา ประยงค์เห็นหน้าศิตางค์เข้าก็ตะลึงในความงาม
“บอสคะ”
ประยงค์งงที่จู่ๆ ศิตางค์เรียกเขาแบบนั้น มัทรีรีบแก้สถานการณ์
“ก็ราศีมันบอกว่าต้องเป็นเจ้าของที่นี่ไงคะ”
“แหมอย่างว่าละ เรื่องตาถึงแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้”
มัทรีแนะนำ “เออ นี่ นี่ คุณศิตางค์ ซีอีโอ ของ...”
ศิตางค์ตอบแทน “สกายเจ็ต ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ประยงค์ได้ยินชื่อถึงกับปากค้าง รีบเช็ดมือกับเสื้อ ยื่นมือมาจับมือศิตางค์ทันที
“ผมประยงค์ ซีอีโอ แฮปปี้โคเรีย ครับ ยินดีเช่นกัน”
มัทรีมองหมั่นไส้ “อ้าว ไมบอสเปลี่ยนตำแหน่งเร็วจัง เห็นยังเป็นผู้จัดการทั่วไปอยู่เลย ไหงเป็นซีอีโอแล้วล่ะ”
“เรื่องของฉัน ฉันอยากจะเป็นอะไร วันนี้ฉันอยากเป็นซีอีโอ”
ประยงค์มองศิตางค์ด้วยสายตากรุ้มกรุ่ม เจ้าชู้ไก่แจ้ มัทรีกลอกตาเอือมระอา
ศิตางค์นั่งคุยกับมัทรีและประยงค์ ตรงมุมรับแขกในออฟฟิศ
“ช่วงปลายปีนี้ ทางเกาหลีน่าจะมีงบประมาณจากการท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามาสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทยด้วย เดินทางเข้าท่องเที่ยวที่เกาหลีให้มากขึ้น”
“ช่วงปีที่แล้ว ก็เล่นเอาอ่วมเลยเหมือนกัน ไหนจะคนแห่ไปเที่ยวญี่ปุ่นแทน ไหนจะมีปัญหาเรื่องตั๋วกับรอยัลแอร์ไลน์ที่ยัยนิสา...”
มัทรีรู้ว่าประยงค์จะหลุดพูดอะไรอีก เลยสกัดไว้ก่อน แต่ศิตางค์คิดถึงวันก่อนที่เกิดเรื่องตั๋วกับวิริยาขึ้น
“บอส มันผ่านไปแล้วนิค่ะ จะไปพูดถึงมันทำไม”
“ก็ ฉันคิดถึงนิสานี่ เธอก็คอยห้ามไม่ให้พูดถึงอยู่เรื่อย คนเคยเป็นแฟนกันนิ”
“บอส” มัทรีสงสารแกมหมั่นไส้
ประยงค์เพ้อเจ้อต่อ “ตั้งแต่ยัยนิสาจากไป อะไรๆ ที่นี่ก็ไม่เหมือนเดิม ไม่มีใครให้บ่น ให้ว่า ให้คิดถึง ให้บอกรัก”
มัทรีเซ็งเลย “บอส เอาอีกล่ะ”
ศิตางค์นึกได้ อยากจะช่วยประยงค์และเพื่อนร่วมงาน เลยเสนอไอเดียเป็นแนวทางให้ประยงค์
“น่าดีใจแทนคุณนิสานะค่ะ ถ้าฉันเป็นเธอฉันคงดีใจที่ยังมีคนระลึกถึง แม้ร่างกายเราจะจากไปแล้วฉันก็รู้สึกดีกับคุณมัทรีและคุณประยงค์จัง พวกคุณน่ารักกับฉันมาก อะไรที่พอจะช่วยได้ ฉันยินดีช่วยค่ะเอางี้ ฉันมีเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงแรมในเกาหลีหลายแห่ง ทั้งที่โซลและพูซานจะลองติดต่อให้เพื่อทำส่วนลดพิเศษสำหรับ Happy korea โดยเฉพาะ และเรื่องตั๋วเครื่องบินทางโคเรียนแอร์ก็พร้อมจะเปิดเครดิตเทอมกับบริษัททัวร์ในไทย ตามนโยบายของการท่องเที่ยวเกาหลี การผูกเครดิตตั๋วกับรอยัลแอร์ไลน์เพียงเจ้าเดียว คงไม่เหมาะกับการทำธุรกิจของคุณ ยังไงฉันจะเป็นธุระให้นะคะ ขอให้ฉันได้ช่วยพวกคุณเถอะนะคะ”
ประยงค์มองหน้ากับมัทรี เหมือนนางฟ้ามาโปรดไม่ปาน
“อ๊อย นี่มันนางฟ้ารึเปล่าจ๊ะนี่ มาโปรดสัตว์โลกแท้ๆ แม่คุณ มีเบอร์ไหมจ๊ะแม่คุณ”
“บอสคะ”
ประยงค์เซ็ง “แหมยายนี่ขัดลาภตลอด”
ศิตางค์ยิ้ม หัว ไปกับสองคน นึกถึงวันเก่าๆ ที่นี่ขึ้นมา นี่คงเป็นเสียงหัวเราะแรกของเธอตั้งแต่วันเฉียดตายวันนั้น
ฝ่ายธีรภาพนั่งฟังสองผู้อาวุโสของวงการแอร์ไลน์สอนหลักสูตรเร่งรัด ธีรภาพหาวเป็นระยะ ม.ร.ว.โกสุม แกล้งกระแอม ธีรภาพสะดุ้งตั้งใจฟังต่อ
เมื่อมองจากนอกห้องเข้ามาเห็นว่าธีรภาพกำลังตั้งใจฟัง อาวุโส ศ.ดร. ทินกรอยู่ มือถือของเอนกเอนกกำลัง video call สดให้กรเกียรติดูไปพร้อมๆ
ภาพในไอแพด เห็นธีรภาพกำลังขะมักเขม้นเรียนรู้งานอยู่ กรเกียรติมองวิดีโอนั้นพลางพยักหน้ายิ้มพอใจที่เห็นธีรภาพตั้งใจ พยาบาลถือให้ ท่านประธานรอยัลแอร์ไลน์ ดูไปยิ้มไป
ประยงค์ลากมัทรีเข้ามาในห้องทำงาน ลงนั่งที่เก้าอี้
“เล่ามาซิว่าหล่อนไปรู้จักคุณศิตางค์ได้ยังไง”
มัทรีสะดุ้ง “เอ่อ..คือ...ถ้าให้เล่าเนี่ยเกรงว่าวันนี้ทั้งวันคงเล่าไม่จบ ขอพิมพ์ส่งได้มั้ยบอส”
“ตลกแระ เล่าพอสังเขป เล่าเป็นไม๊สั้นๆ ง่ายๆ เอารู้เรื่องพอ”
มัทรีเริ่มไม่ถูก เพราะลืมคิดมาก่อน “เอ่อ...คือ รู้จักกันที่เกาหลีค่ะ จบ”
มัทรีจะลุกออกประยงค์ร้องห้ามไว้
“เดี๋ยว สั้นเกินไป เล่ามาอีก”
มัทรีอึกอักจะเล่ายังไงดีหว๋า เลยหันไปยิงคำถามใส่บอสแทน
“บอสจะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย เค้าไม่ได้จะมาสมัครงานที่บริษัทเราสักหน่อย เอาเวลาไปคิดทำแผนการลงทุนตามศิตางค์บอกไม่ดีกว่าเหรอคะบอส คิดช้าเดี๋ยวเค้าเปลี่ยนใจไม่ช่วยจะหาว่าไม่เตือนนะบอส”
“แล้วทำไมหล่อนต้องใส่อารมณ์ด้วยเนี่ย ชักจะเอาใหญ่แล้วเดี๋ยวเฉดหัวออกให้เข็ดเลย”
“อ๊ะๆๆ ถ้าไล่ออก แมทซี่เปิดทัวร์แข่งเลยนะคะ ตอนนี้มีแบ็คดีด้วย”
ประยงค์ชะงักคิดได้
“ถอนคำพูดก็ได้ ความจริงที่ฉันอยากจะรู้ ก็เพราะรู้สึกถูกชะตากับคุณศิตางค์จังเลย รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยอยู่กันมานาน”
“ก็แหงล่ะอยู่ด้วยกันมาตั้งนานจะไม่คุ้นได้ไงล่ะ” มัทรีลืมตัวหลุดปาก
ประยงค์งง มัทรีรีบกลบเกลื่อน
“อุ้ย ให้แขกรอนานไม่ดี ขออนุญาตนะคะบอส”
มัทรีรีบแผ่นออกมา ประยงค์มองตามยิ้มๆ รู้สึกดีกับศิตางค์อย่างบอกไม่ถูก
ศิตางค์กับมัทรีเดินคุยกันมาจากหน้าออฟฟิศ
“ยัยมัท ฉันคิดถึงที่นี่จัง”
“คิดถึงก็มาเที่ยวบ่อยๆ สิ”
“อืม นอกจากบ้านพ่อแล้ว ที่นี่ก็เป็นบ้านที่สองของฉัน”
“ฉันเข้าใจ”
สองคนเดินมานั่งที่เก้าอี้สวน มัทรีอ้ำๆ อึ้งๆ หยิบซองน้ำตาลในมือออกมา ส่งให้ศิตางค์
“ฉันว่าจะคืนให้แกหลายครั้ง แต่ก็กลัวว่าแกจะทำใจยังไม่ได้”
ศิตางค์รับซองน้ำตาลมาเปิดออกดู เป็นถุงใส่ของในนั้นมีโทรศัพท์มือถือของพ่อศักดิ์ชายและบัตรโรงพยาบาล
“พ่อ” ศิตางค์ร้องไห้ออกมา
“ทางตำรวจเขาเก็บไว้ให้ เขาแจ้งว่ามันตกอยู่ที่เกิดเหตุในคืนวันนั้น ฉันเห็นเป็นของพ่อแก ก็เลยอยากเก็บไว้ให้แก”
“ขอบใจแกมาก”
“นึกถึงพ่อแกแล้ว ก็อดใจหายไม่ได้นะ ฉันยังจำครั้งสุดท้ายที่ฉันได้คุยกับพ่อแกตอนที่แกไปเกาหลีครั้งสุดท้าย...”
มัทรีนึกเอะใจบางอย่างขึ้นมา
“เออ ครั้งสุดท้ายที่ฉันโทร.หาพ่อแก เป็นวันที่ฉันจะไปรับพ่อแกออกจากโรงพยาบาลตามที่แกฝากไว้ ตอนที่ฉันโทรหาพ่อแก”
หลายเดือนมาแล้ว ขณะที่ศักดิ์ชายนั่งรอรถอยู่ที่ล็อบบี้โรงพยาบาล เสียงมือถือดังขึ้นศักดิ์ชัยรับเป็นสายจากมัทรี
“คุณพ่อมัทเองค่ะ”
“ว่าไงลูก”
“คุณพ่อรอมัทแป๊ปนะคะ พอดีเพิ่งเคลียร์งานเสด เด๋วมัทจะรีบไปรับพ่อกลับบ้านเองนะค่ะ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง พ่อเรียกแท็กซี่ไว้แล้วลูก ไม่ต้องยุ่งยาก”
“ไม่ยุ่งหรอกค่ะพ่อ”
ระหว่างนี้พงศธรเดินเข้ามาหา
“พ่อครับ”
ศักดิ์ชายลดมือถือลงหันไปทางที่พงศธรเรียก มัทรีได้ยินเสียงเรียกของพงศธร
ศักดิ์ชายเห็นพงศธรเดินมาคนเดียวมองหานิสา
“อ้าวคุณพงศ์ เอ่อ...แล้วยัยสาล่ะ”
ศักดิ์ชายวางมือลงไปข้างตัว แต่ยังไม่ได้ตัดสาย
มัทรีได้ยินแว่วๆ พงศธร สาๆ เลยคิดไปเองว่านิสาคงกลับมาแล้ว
“หรือว่าจะกลับกันมาแล้ว คงไม่ต้องไปรับแล้วล่ะ จะได้เคลียร์งานให้เสร็จ ดึกละด้วย”
มัทรีไม่ได้ติดใจอะไรนัก เลยวางสายนั่งทำงานต่อไป
ฟังแล้วศิตางค์แปลกใจมากเรื่องที่พงศธรไปรับพ่อของเธอ และทำไมเขาถึงไปที่นั่น
“แกว่ายังไงนะ คุณพงศธรไปรับพ่อฉันที่โรงพยาบาลงั้นหรือ”
“ก็น่าจะใช่นะ เพราะฉันได้ยินพ่อแกเรียกชื่อเขา”
มัทรียังมีความคาใจสงสัยในเหตุการณ์มาก ว่าทำไม และเกิดอะไรขึ้น
“ฉันแปลกใจวันนั้นทำไมคุณพงศ์เขาถึงไปรับพ่อแก ทั้งๆ ที่ตัวแกก็ไม่ได้กลับมาด้วย แถมแกยังเกิดอุบัติเหตุที่เกาหลีอีกด้วย”
ศิตางค์คิดหนัก
“นั่นสิ ทำไมพงศธรถึงไปปรากฏตัวที่โรงพยาบาลในคืนวันเกิดเหตุได้ละ เขาต้องการอะไรกันแน่”
ศิตางค์สังหรณ์ใจ และเริ่มสงสัยว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
ด้านพงศธรกลับจากที่ทำงานลงรถเดินเข้าบ้านจะขึ้นห้อง วิริยานั่งอยู่ที่โซฟาในโถงรับแขก เลื่อนดูรูปแอบถ่ายของพงศธรกับศิตางค์อยู่ หันมาเห็นจึงเอ่ยทักขึ้นเสียงแข็ง
“ไปทำงานมาทั้งวัน เป็นไงเหนื่อยไหมมากค่ะ”
“ถ้าจะทักกันด้วยน้ำเสียงแบบนี้ มันคงไม่จำเป็น” พงศธรฉุน
“ทำไมคะ ปกติวิวก็ทักคุณพงแบบนี้ ไม่เห็นจะมีอะไร”
“ผมรู้ว่าวิวยังไม่หายโกรธเรื่องเมื่อคืน แต่ผมคิดว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ และไม่อธิบายอะไรใดๆ อีก ผมเป็นมืออาชีพพอที่จะรับมือกับภาวะที่ไร้สาระแบบนี้”
วิริยาลุกเดินปรี่เข้าไปจนใกล้พงศธร
“ได้ค่ะ เรื่องเมื่อที่เกิดเมื่อคืนวิวจะไม่พูด เพราะมันเก่าไปแล้ว ถ้างั้นวิวจะพูดเรื่องวันนี้ละกันค่ะ”
พงศธรชะงักกึก
“ไงคะ คุยได้ไหมคะ”
“ผมไม่รู้ว่าวิวพูดเพื่อต้องการอะไร แต่ทุกสิ่งที่ผมทำไปย่อมมีเหตุผล ผมจะทำอะไร ผมคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่มีใคร หรืออะไรมาเปลี่ยนมันได้”
“คุณพงศ์พูดเหมือนเราไม่ใช่สามีภรรยากัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน” วิริยาตัดพ้อ
“ผมเหนื่อย ผมอยากพักผ่อน ถ้าคุยกันดีๆ ไม่ได้ ผมก็ขอตัวก่อน”
พงศธรเดินขึ้นบันไดไปเลย วิริยาเดินตามไปช่วงตีนบันได กำมือถือแน่น อยากจะเอารูปออกมาให้ดูเสียจริง วิริยาตวาดเสียงดังลั่นตามหลังไป
“ใช่สิ คุยกับฉันมันไม่เหมือนคุยกับคนอื่น”
วิริยาคุมแค้น ยังไม่พูดเรื่องภาพถ่ายวันนี้
“รออีกนิดนะคะพงศ์ ฉันจะให้คุณกะอีแพศยานั่นได้ชดใช้สิ่งที่ทำกับฉัน”
วิริยาทั้งโกรธและแค้น แต่พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะอาจจะเสียแผนใหญ่
กรเกียรตินั่งอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงสองคนทะเลาะกันอีกครั้งแล้ว ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ และเริ่มเห็นลายของลูกเขย
ในขณะที่พงศธรกำลังจะเข้าห้องพัก ผ่านหน้าห้องของกรเกียรติที่เปิดประตูแง้มอยู่ ยินเสียงกรเกียรติพูดเปรยๆ ให้ได้ยิน
“ยัยวิวเป็นอาจจะคนโผงผาง แต่ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล เขาจะทำอะไร เขาคิดเยอะ”
พงศธรหยุดหน้าประตู แล้วเดินเข้ามาในห้องกรเกียรติ
“มาอยู่บ้านนี้ด้วยกันแล้ว ทำอะไรก็ควรคิดหรือให้เกียรติกันบ้าง”
พงศธรเห็นเอกสารเซ็นชื่อลงนามที่วางอยู่ที่โต๊ะข้างๆ หัวเตียง
“ผมไม่เคยทำอะไรล้ำเส้นใคร แต่อะไรที่ผมจะทำ นั่นหมายถึงผมคิดกับมันมาอย่างดีแล้วเหมือนกัน ก็เท่านั้น”
“คิดรอบคอบมันก็ดี แต่คิดให้ถูกต้องมันถึงจะดีที่สุด ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนเราจะยิ่งใหญ่ได้ มันต้องมีบริวารและบารมี แล้วไอ้บารมีเนี่ยจู่ๆ มันจะเกิดเองไม่ได้ มันต้องสร้าง และต้องสร้างในทางที่ถูก ที่ควร ฮึๆ ช่วงนี้นายคงต้องวิ่งเข้าๆ ออกๆ ห้องโน้นห้องนี้ที่รอยัลแอร์ไลน์เป็นว่าเล่นละซินะ”
พงศธรฉุนๆ ขึ้นมานิดๆ แต่พยายามข่มอารมณ์ เดินมาห่มผ้าให้กรเกียรติ ด้วยแววตาทำเรียบเฉย
“เรื่องบางอย่างมันก็ต้องออกแรงบ้างนิดหน่อย ยังไงซะผมก็ต้องขอบคุณท่านมาก ท่านต้องสอนผมอีกเยอะ คงต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้ดีด้วยนะครับ”
กรเกียรติระแวงเช่นกันว่าลูกเขยจะมาไม้ไหน พงศธรขยับตัวมองไปทางเอกสารแว่บหนึ่ง แล้วจึงออกไป
กรเกียรติรู้ได้ทันทีว่าเขาเอางูพิษเข้ามาไว้ในบ้านแล้ว
ทางด้านธีรภาพนั่งที่โต๊ะในออฟฟิศ หอบแฟ้มงานของรอยัลแอร์ไลน์มาหอบใหญ่ เพื่อเรียนรู้ทุกอย่างให้เร็วที่สุดตามที่พ่อขอไว้
ธีรภาพคุยกับกรเกียรติในห้องกรเกียรติ
“พ่อคงไม่ได้ขอให้ตี้ทำในสิ่งที่ตี้ไม่สบายใจ แต่พ่ออยากให้ตี้ทำในสิ่งที่มันควรจะเป็น”
ธีรภาพยังไม่ตอบอะไรพ่อ เขายังคงนิ่งคิด
“ฟังดูเหมือนพ่อเห็นแก่ตัว เอาภาระใหญ่โตมาใส่ไว้บนบ่าตี้ แต่พ่ออยากให้เข้าใจว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ตี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ปกป้องรอยัลแอร์ไลน์ของเรา”
กรเกียรติพูดเพราะรู้ดีว่าตนเองคงไม่สามารถกลับไปบริหารรอยัลแอร์ไลน์ได้อีกแล้ว
“รับหน้าที่นี้ไปเพื่อทุกคน หรือมองมันตายไปด้วยน้ำมือคนอื่น”
ธีรภาพรู้สึกถึงภาระสำคัญจะกลับมาตกอยู่ที่ตัวเองทันที แต่ยังไม่รับปากหรือตัดสินใจใดๆ
เวลาผ่านไปธีรภาพคิดได้ว่าถึงจุดที่เขารับปากพ่อไปแล้ว ก็ต้องพยายามทำให้สำเร็จ ธีรภาพเปิดแฟ้มอันใหม่มาอ่าน จดโน้ต พิมพ์คอม ดูมุ่งมั่น จนมีนาถือกาแฟเข้ามา
“กาแฟร้อนๆ มาแล้ว”
“ขอบใจ”
ธีรภาพยกขึ้นจิบแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อ มีนามองเซ็งๆที่ธีรภาพยกดื่มไม่มองในแก้วเลย
“โห อุตส่าห์วาดฟองเป็นรูปมาให้ มองนิดก็ไม่ได้”
“อ้าวเหรอ ไหนๆ” ธีรภาพยกแก้วมามองแต่ไม่มีรูปเหลือแล้ว “ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“ก็ซดฮวบขนาดนั้นรูปมันก็หายไปแล้วดิ”
มีนางอน ธีรภาพยิ้มขำๆ ส่งกระดาษโน้ตพร้อมปากกาให้มีนา
“งั้นวาดมาใหม่เดี๋ยวจะดู”
มีนารับกระดาษมา ธีรภาพหันกลับไปสนใจเอกสารเหมือนเดิม มีนาวาดไปแอบมองธีรภาพที่เอาแต่มุ่งมั่นกับงานตรงหน้าแล้วหมั่นไส้
มีนาเอากระดาษโน้ตแปะลงตรงหน้าธีรภาพแล้วเดินออกไป ธีรภาพก้มมองดูเห็นเป็นรูปไอค่อนโกรธจัด ก็ขำในความขี้น้อยใจของมีนา
อีกด้านหนึ่งศิตางค์วางโทรศัพท์มือถือของพ่อไว้ที่โต๊ะ พยายามคิดทบทวนว่าทำไมพงศธรถึงเข้าไปรับพ่อเธอที่โรงพยาบาลในคืนเกิดเหตุ ศิตางค์มองดูซองใส นอกจากซองใสนั้นแล้วยังมีบัตรผู้ป่วยโรงพยาบาลของศักดิ์ชายในนั้นด้วย ศิตางค์คิดว่าจะไปหาข้อมูลเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ไม่นานนัก ศิตางค์ อยู่กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2 คน ในห้องคอนโทรลโรงพยาบาล ยืนดูเทปวงจรปิดที่ล็อบบี้โรงพยาบาลในวันที่พ่อกำลังออกจากโรงพยาบาล มองเห็นพงศธรมารับพ่อจริงตามที่มัทรีบอกทุกอย่าง ศิตางค์มองเห็นมือถือที่พ่อถือไว้ในมือ พยายามคิดเรื่องต่างๆ ศิตางค์ขอให้เจ้าหน้าที่ส่งไฟล์นี้ให้กับเธอ
“งั้นฉันขอก็อปปี้ไฟล์ส่วนของคุณพ่อ ช่วยส่งเข้าให้ด้วยนะคะ”
“ได้ครับ”
ศิตางค์ไล่คิดต่อว่าจะเอาไง นึกอะไรขึ้นได้ เงยหน้าขึ้น
ภายในรถสปอร์ตคันหรู ศิตางค์โทรศัพท์หามัทรี เพื่อสอบถามถึงจุดเกิดเหตุที่ศักดิ์ชายถูกรถชนในคืนนั้น
“ริมถนนใกล้วงเวียนแถวเชียงราก”
มัทรีแปลกใจ “แกอยากรู้ไปทำไม”
“ฉันอยากรู้อะไรบางอย่างในคืนนั้น มีไรฉันจะติดต่อแกไปอีกที”
ศิตางค์บึ่งรถออกไปราวกับจะบิน
ศิตางค์จอดรถข้างทางริมถนนเชียงราก ลงรถด้วยความรู้สึกหดหู่ที่ต้องมายืนอยู่ตรงจุดที่พ่อเสียชีวิต ภาพการชนในคืนนั้นวูบเข้ามาในหัว จนเสมือนเธอได้อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นด้วย เพียงแต่ภาพที่เห็นมันเร็วจนดูไม่ออกว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้นบ้าง ในจังหวะหนึ่งศิตางค์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสายตาหนึ่งจ้องมองอยู่จากมุมสูง เมื่อหันไปมอง เธอก็พบว่ามันคือกล้องวงจรปิดที่เสาไฟฟ้า ศิตางค์ยิ้มออกมาทันที
ในเวลาถัดมาศิตางค์อยู่กับตำรวจท้องที่ กำลังหาภาพในคืนวันเกิดเหตุ ที่เห็นเป็นภาพรถพงศธรเข้ามาจอด สักพักเห็นศักดิ์ชายเปิดประตูออกมา จากนั้นพ่อก็โดนรถหกล้อชนกระเด็น สักพักจึงเห็นพงศธรเปิดประตูรถออกมา แล้วจู่ๆ ภาพในวงจรปิดก็หายไปหมด เห็นเป็นคลื่นซ่าๆๆๆ ศิตางค์แปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ สงสัยไฟล์ช่วงเวลานี้จะมีปัญหาพอดี”
“สามารถกู้ไฟล์นี้ขึ้นมาได้ไหมคะ”
“ไม่แน่ใจครับ ผมคงต้องส่งเข้าศูนย์ข้อมูลเพื่อกู้ไฟล์ทั้งหมดออกมาใหม่ คงต้องใช้เวลาหลายวันครับกว่าจะกู้ขึ้นมาได้”
“ฝากด้วยนะคะ แล้วยังไงรบกวนส่งไฟล์ตามเมลที่ให้ไว้นะคะ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ศิตางค์กังวลใจที่เรื่องนี้ก็ยังไม่กระจ่าง พงศธรส่งไลน์เข้ามาในมือถือ
“อย่าลืมนัดของเราเย็นนี้นะครับ”
ศิตางค์อ่านไลน์แล้วคิดหนักว่าศัตรูอยู่ใกล้เธอเข้ามาทุกที
ฝ่ายธีรภาพกำลังทดสอบการพรีเซ็นต์งานการขอรับรองมาตรฐานสายการบิน ตามคณะกรรมการและหน่วยงานความปลอดภัยการบินยุโรป European Aviation Safety Agency หรือ EASA ให้กับเสาหลักทั้งสองฟัง โดยมีอเนกยืนเก็บข้อมูลไม่ไกลนัก และยิ้มปลื้ม
“ทางรอยัลแอร์ไลน์ในฐานะสายการบินของประเทศ ต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย จากการตรวจสอบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศให้ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น”
พงศธรพยายามล็อบบี้บอร์ดบริหารคนแรกในห้องทำงาน จนอีกฝ่ายคล้อยตาม ยอมเซ็นชื่อให้
ขณะเดียวกันธีรภาพอธิบายต่อหน้า โกสุม กับ ทินกร ถึงเรื่องการร่วมมือกับ EASA มีเอนกร่วมฟัง
“โดยทางเราต้องปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบัน สอดคล้องทั้งด้านความเหมาะสมกับการบิน และ เศรษฐกิจ พร้อมทั้งร่วมมือกับ EASA และสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา”
เย็นนั้นในร้านอาหารหรู พงศธรคุยกับบอร์ดคนที่ 2 จนบอร์ดใจอ่อน ยอมเซ็นชื่อให้
กรเกียรตินั่งอยู่บนรถเข็นในห้อง กำลังคิดทบทวนและอ่านเกมทั้งหมดของพงศธรอยู่ และรู้ว่าเกมนี้ตนพ่ายแพ้แน่ๆ แต่ชายสูงวัยมุ่งมั่นมาดหมายอย่างเดียวในตอนนี้ว่าธีรภาพต้องพร้อมให้เร็วที่สุด สมบรูณ์ที่สุด
ธีรภาพอธิบายต่อถึงเรื่องการร่วมมือกับ EASA
“ทั้งหมดที่กล่าวมาก็เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านมาตรฐานการบิน เพื่อประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชียและทั่วแปซิฟิก”
ธีรภาพมีความเข้าใจและมั่นใจในการนำเสนอความคิด จนสองอาวุโสเสาหลักรอยัลฯยิ้มพอใจ
ประตูลิฟต์เปิดออกพงศธรไหว้ลาบอร์ดคนที่ 3 ดูดีๆ จะเห็นบอร์ดท่านนี้ถือซองเงินหนาเป็นปึก พงศธรเดินออกไปหยุดมองเอกสารที่เซ็นแล้วของบอร์ดคนที่ 3
ค่ำคืนนั้นศิตางค์และพงศธรนั่งดื่มไวน์อยู่ด้วยกันสองต่อสองตามนัดหมาย
“เพื่อทำให้งานทุกอย่างเดินได้ ผมอาจต้องใช้กำลังภายในเยอะหน่อย เพื่อให้บอร์ดของผมอนุมัติเห็นชอบ โดยข้ามใครบางคนไปได้”
“คุณคงต้องใช้เสียงข้างมากน่าดู”
“ผมมั่นใจว่าผมทำได้ และทำได้แล้ว”
พงศธรตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ศิตางค์ เพราะเขาล่าลายเซ็นจากกรรมการบอร์ดมาครบหมดแล้ว
“คุณทำฉันทึ่งมากค่ะ คุณพงศ์”
ศิตางค์แกล้งดีใจจับมือยินดีกับพงศธร แล้วทำเป็นเก้อเขินซะเอง
พงศธรยิ้มพราย “เอ่อ...ผมเลยจะมาบอกข่าวดีกับคุณว่า เราพร้อมที่จะแถลงข่าวความร่วมมือครั้งสำคัญของรอยัลแอร์ไลน์และสกายเจ็ต”
“ถือเป็นข่าวดีของวันนี้เลยนะค่ะ”
“งั้น ดื่มให้กับความสำเร็จก้าวแรกของเรานะครับ”
“ค่ะ”
หลังดื่มไวน์แล้ว จู่ๆ ศิตางค์ก็ทำเป็นกังวลอะไรขึ้นมา ลุกเดินไปที่ริมตึกพงศธรลุกเดินตามไป
“แต่ถ้าคุณวิริยาเธอไม่ยอมให้เราทำงานร่วมกัน ด้วยเหตุผลส่วนตัว ดิวนี้ก็คงไม่เกิดได้อยู่ดี”
“เรื่องนั้นคุณสบายใจได้ ผมจะทำงานใหญ่ ผมรู้ว่าจะเรียงลำดับเรื่องสำคัญอะไรเป็น 1 อะไร 2 เรื่องไหนเป็น 3”
“เรื่องของเราเป็น 1...2 หรือ 3 ล่ะค่ะ”
“เรื่องที่มีคุณอยู่ด้วย ย่อมเป็นที่ 1 เสมอครับ”
“ฟังดูตัวฉันเองสำคัญไปเลย ฉันจะลองเชื่อใจคุณดูนะคะ” ศิตางค์ขอตัวเข้าห้องน้ำ “ฉันขอตัวแป๊บค่ะ”
“ตามสบายครับ”
ศิตางค์เดินออกไป พงศธรมองตามด้วยความปลื้ม
ศิตางค์ปิดก๊อกเมื่อล้างมือเสร็จ หยิบลิปสติกขึ้นมาเติมสีปาก ขณะกำลังวาดปากก็ต้องตกใจเมื่อเห็นวิริยาก้าวมายืนอยู่ด้านหลังแล้ว
“ตกใจมากเหรอ สถานการณ์แบบนี้เธอน่าจะชินได้แล้วนะ”
“ไม่ได้ตกใจ แค่แปลกใจที่เห็นคุณที่นี่ ตอนนี้”
“ลิปสติกที่ทาให้มันแดงกว่านี้อีกหน่อยมะ มันจะได้รู้เช่นเห็นชาติแกได้ชัดๆ หน่อย”
“ดูคนนะ เขาไม่ดูกันที่สีลิปสติก หรือแค่ดมกลิ่นน้ำหอมหรอกนะคะ เขาดูกันที่รอยยับของผ้าปูที่นอนมากกว่า”
“แก...แกหมายความว่ายังไง” วิริยาแทบเต้น
“ฮึ แสดงว่าผ้าปูที่นอนที่บ้านคุณเรียบเหมือนเตียงทหาร ลองโยนเหรียญบาทดู มันคงกระเด้งกระเด็นน่าดูเลยซิคะ มิน่า คุณพงศ์ถึงไม่ค่อยชอบกลับบ้านสักเท่าไหร่”
ศิตางค์พูดจบหมายจะเดินออกไป แต่วิริยาโกรธจนเลือดขึ้นหน้าดึงข้อแขนให้หันกลับมา ตบเข้าที่ใบหน้าศิตางค์สุดแรงหนึ่งฉาด
“นี่สำหรับการปากดีของแก และนี่สำหรับการที่เข้ามายุ่งกับสามีคนอื่น”
วิริยาจะตบอีกฉาด แต่ศิตางค์กันไว้ได้ เป็นฝ่ายตบหน้าวิริยากลับไปสองฉาดใหญ่จนวิริยาเซไป
“เธออาจจะทำร้ายผู้หญิงคนอื่นของคุณพงศ์ได้ แต่จำไว้ว่า มันไม่มีวันนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าเธอทำฉัน ฉันก็จะทำเธอตอบ เธอตบฉันหนึ่งที ฉันจะตบเธอสองทีคืน เอาให้แรงเป็นสองเท่า”
วิริยาหันกลับโผนเข้ามาจะตบเอาคืน สองสาวยื้อยุดกันไปมา ศิตางค์คว้ากระเป๋าที่วางบนอ่างล้างหน้าตบวิริยาเต็มแรงอีกสองฉาด จนวิริยาล้มลงกับพื้นห้องน้ำ ศิตางค์มองหน้าวิริยาแล้วหวีดร้องตะโกนขึ้น
“วิริยา เธอทำฉัน อ๊าย เธอตบหน้าฉัน อ๊ายๆๆๆ”
ไม่เท่านั้น ศิตางค์ยังตบหน้าตัวเอง 4 ที จนเลือดกบปาก วิริยายังอึ้งและงงกับการกระทำนั้นอยู่
“ทำไมเธอต้องทำร้ายฉัน วิริยา อย่าๆๆ”
ศิตางค์จับหัวตัวเองกระแทกกับกระจกในห้องน้ำ จนกระจกแตกร้าวเลือดติดกระจก วิริยากรีดร้องด้วยความตกใจ
แขกในร้านด้านนอก ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิง พงศธรก็ได้ยินเช่นกัน
“เธอรังแกฉันทำไม ทำไมถึงทำฉัน”
ศิตางค์ฉีกทึ้งเสื้อผ้าของตัวเองจนขาดกระจุยเกือบโป๊ แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นร้องไห้หน้าตาเฉย วิริยาอึ้งหนัก แต่เมื่อเริ่มมีคนเข้ามาในห้องน้ำ วิริยาก็ถึงบางอ้อทันทีว่าติดกับดักศิตางค์เข้าแล้ว
พงศธรเข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ รีบเข้าไปโอบประคองศิตางค์ถอดเสื้อสูทคลุมให้
“คุณพงศธรช่วยฉันด้วย”
“คุณไม่เป็นไรนะครับ”
ศิตางค์ผวากลัวร้องไห้โฮ “ช่วยฉันด้วยค่ะ ฮือๆๆ”
พงศธรหันไปด่าว่าวิริยา “วิว นี่คุณทำบ้าอะไรนี่ คุณรู้ตัวเองรึเปล่า”
“ฉันเปล่านะค่ะพงศ์ ฉันเปล่า อีนี่มันโกหก มันตอแหล พงศ์อย่าเชื่อมันนะคะ”
วิริยาแค้นจะตามมาจิกผมศิตางค์อีกต่อหน้าต่อตาพงศธร
“พอละวิว พอละ ใจคุณทำด้วยอะไร ทำไมคุณถึง!”
พงศธรมองวิริยาด้วยความโกรธ และรู้สึกสงสารศิตางค์จับใจ ศิตางค์อยู่ในอ้อมกอดของพงศธรมองเย้ยหยันวิริยาด้วยสายตาที่เหนือกว่า พงศธรพาศิตางค์ออกจากห้องน้ำไป วิริยาตะโกนตาม
“คุณพงศ์กลับมา คุณพงศ์ฉันบอกให้กลับมา พงศธร”
วิริยาคลั่งอยู่ในห้องน้ำ ท่ามกลางสายตาไทยมุงที่มองมาอย่างสมเพชเวทนา
ถัดมาไม่นานรถของพงศธรจอดอยู่นิ่งอยู่ในลานจอดของคอนโดศิตางค์ ด้านในรถพงศธรกำลังดูแลทำแผลที่หน้าผากให้ศิตางค์
“คุณแน่ใจนะครับ ว่าจะไม่ให้หมอดูแผลคุณ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันคงตอบคำถามหมอไม่ถูกว่าไปทำอะไรมาไปโดนอะไรมา”
พงศธรเห็นใจที่เขาเป็นต้นเหตุให้ศิตางค์ต้องเจ็บตัว
“ครับ ผมเข้าใจดี และก็ต้องขอโทษคุณอีกครั้งที่ผมเป็นต้นเหตุ ทำให้วิวเขามาทำร้ายคุณ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจคุณวิริยาเหมือนกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดเรื่องได้ขนาดนี้”
พงศธรไม่รู้จักต้องทำอย่างไง ได้แต่จับมือศิตางค์ขึ้นมาปลอบ
“ศิตางค์ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ยอมให้วิวมาทำอะไรคุณได้อีก”
“ค่ะ ขอบคุณคุณพงศ์มากนะคะ ที่เป็นห่วง ดูแลความรู้สึกฉันมาตลอด”
ศิตางค์ยังคงก้มหน้าสะอื้น จนกระทั่งพงศธรค่อยๆ เลื่อนหน้ามาใกล้ ศิตางค์เงยหน้าขึ้นพอดี ตาจ้องตากัน หัวใจเต้นรัว พงศธรจูบศิตางค์อย่างอ่อนโยน ศิตางค์จูบตอบ
พงศธรหลับตาพริ้มสุขสม ในขณะที่ศิตางค์เหมือนหลงใหลไปกับพงศธรผู้ชายที่นิสารักมากที่สุด แต่แล้วความแค้นที่ครอบงำก็เป็นฝ่ายชนะ
ศิตางค์ลืมตาขึ้นด้วยความสะใจที่ดึงพงศธรเข้ามาอยู่ในเงาเสน่หาของเธอได้สำเร็จ
อ่านต่อตอนที่ 18